⚙️ ซีรีส์ชุด อินทาเนีย [วิศวกรรมศาสตร์] メภาค MEメเสือนับแต้ม CH.08 (25-04-2018)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ⚙️ ซีรีส์ชุด อินทาเนีย [วิศวกรรมศาสตร์] メภาค MEメเสือนับแต้ม CH.08 (25-04-2018)  (อ่าน 47204 ครั้ง)

ออฟไลน์ Boorina

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 50
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0

อ่านจดหมายรักจากหลานคนแต่ง ทำเอาปวดท้อง ปวดตับ กรามค้าง  :m20:
เลยจำไม่ได้ว่าเคยเมนต์แล้วใช้คำแทนตัวเราเองว่า "คนแก่" หรือเปล่านะในเรื่องก่อนหน้านี้ นึกๆ ก็นึกไม่ออก  :confuse:
โดนเรียกว่า "เธอ" อ่านแล้วรู้สึกกระชุ่มกระช่วยหัวใจดี้ดี  :o8: 
เลยหาสาเหตุที่มา นี่เลย เลข 4 ตัวหลัง areenart1984  ปกติจะคิดว่ามันคือปี ค.ศ.ที่เกิดใช่ปะ แต่สำหรับคนแก่มันมิใช่
เพราะมันคือ  "เลขที่สำนักงานที่คนแก่ทำงานอยู่จ้า"  :hao3:
ถ้าอยากรู้ว่าทำไมถึงแทนตัวเองว่า คนแก่ เพราะคิดว่าเรามันแก่จริง ๆ นิ  :teach:
:laugh3:


โอ้ยยยยยยยยยยยยยยยยย เรียกหลานเลยเหรอเธอ เรียกเพราะๆเรียกน้องบลูดีกว่า ได้ยินคนเรียกน้องแล้วกระชุ่มกระชวย :hao7: :hao7:
ตกลงว่าเธอปรับอารมณ์ทันไหม อ่านเรื่องดราม่ามาอยู่ดีๆมาเจอจดหมายรักฉบับฮาวาร์ดเข้า คงรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นไบโพลาร์ หรือ ปจด ไม่มา ฮาาาา :laugh: :laugh:
แอบกระซิบ 1984 เป็นเลขที่สำนักงานเธอ แต่ก็ใกล้เคียง คศ เกิดเค้าด้วย อุ้ย หลุดปากกกก :z3: จุ๊ๆๆๆๆๆๆๆๆ ห้ามเอ็ดตะโรโวยวาย รู้แล้วเหยียบหัวเจี๋ยให้มิดเลย เอาให้จมธรณี :3125: ไม่รู้สึกหนุ่มขนาดนี้มานานแค่ไหนแล้วน้า
สุดท้าย ห้ามเรียก คนแก่ เธอไม่สะเทือน แต่เราสะท้านยันตับไตไส้พุงม้ามเซี่ยงจี้ มันปวดใจ :m15: :m15: สรุปไม่มีใครแก่ เรารุ่นเดียวกัน เครนะที่รัก

เย้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย เพิ่งเห็นตัวอักษรลับปรากฎตอนทำโควทข้อความ ซูฮกศิษย์พี่ เราจะแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น รุ่นเดียวกัน เนาะๆ  o18 o18


เด็กสมัยนี้โตเร็ว คงจริง  :katai5: :katai5: :katai5:

ป่านตัวใหญ่แต่รักเหมือนเดิมนะ สนใจหน่อยโว้ยยย


อื้อหือ ใจนักเลงมาก ใช่สิ สนใจหน่อยสิโว้ย โดนใจ ถ้าโดนทิ้งขึ้นมาจะสมน้ำหน้าให้ เชอะะะะะ :serius2: :serius2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-01-2018 17:39:30 โดย Boorina »

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ larynx

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 821
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
เดี๋ยวป่านก็รีบไปหาเฮียเจี๋ยแน่เลย แพ้ทางเขาขนาดนี้ ใจอ่อนเป็นขี้ผึ้ง

ออฟไลน์ rayaiji

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 817
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
    • ray's deviantart
พี่เจี๋ยนี่ถาปัดปีห้าแล้วหรอม ปกติปีห้าเค้าไม่ค่อยตัดธมกันแล้วน้า  โด้ธีสิสกันลูกเดียวเลย

ออฟไลน์ fullfinale

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 666
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
เฮียมาง้อแล้วโน่นนนนนนนน


ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ชักสงสัย  เจี๋ย ยังมีความรักในตัวป่านอีกไหม  :katai1::mew2:

หรือเหลือแค่ความรู้สึกว่า 
ไอ้....คนน่ารำคาญ  เมื่อไร มึงจะออกไปไกลๆกูซักที  :m16: :m16: :m16:
น่าสงสารป่าน   :m15: :monkeysad:
ไม่รักกันป่นแล้วก็บอกเลิกลากันไป อย่าทรมานกันเลย
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
คำว่า "ไวปานวอก" ใช้ได้กับป่านชัวส์ ไม่ถึง 5 นาที ไปหมอบแทบเท้าเจี๋ยเลย  :laugh:

ออฟไลน์ Boorina

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 50
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
ซีรีส์ชุด Intania ภาค CE

เรื่อง  Breaking Way
[CE : Civil Engineering   วิศวกรรมโยธา ]
เขียนโดย  Blue-Legend


CH.04
อาการคนซึน หรือ หลอกเข้าข้างตัวเอง



 

            เฮ้ย!!! ข้างตึก IE มันภาคอุตฯ ใช่ไหมวะ!

            มือถือผมร่วงแทบหลุดจากมือคว้าไว้เกือบไม่ทัน ความซวยคือข้อความที่ผมพิมพ์ค้างไว้ในช่องแชทถูกส่งออกไป

            ฟึ่บ

 

            สุดสายป่านคือลิง : วันนี้กลับห้องช้านะ...

 

            ฉิบหายแล้ว ข้อความถูกขึ้นว่า Read อย่างรวดเร็ว ผมจ้องหน้าจอมือถือจนแทบทะลุแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแต่กลับไม่มีอะไรตอบกลับ ไม่คิดอะไรแล้วโว้ย!

            น้อยใจเลิก! งอนเลิก! ตอนนี้ต้องวิ่งไปหาไอ้เฮงซวยเจี๋ยสุดฝีตีน

            “เฮ้ย จะไปไหน แล้วงานล่ะ”

            “แฟนไลน์มา จะกลับห้อง เดี๋ยวไว้โทรคุย” ผมตะโกนตอบ

            “ไอ้เต็น กูเห็นหางมันงอกส่ายดิ๊กๆ แล่นกลับไปหาเจ้าของแล้วว่ะ”

            ทำไมผมใจง่าย... ก็เพราะร้อยวันพันปีไอ้เฮงซวยเจี๋ยมันไม่เคยโผล่มาหาผมที่คณะเลยน่ะสิ นี่เป็นปรากฎการณ์ที่ทศวรรษหนึ่งจะเกิดสักครั้ง แล้วผมก็ดันโง่ไปน้อยใจพิมพ์ตัดพ้อไปว่าจะกลับห้องช้า ห่าเอ้ยยย ถ้ามันไม่สนใจกลับห้องไปเฉยๆ คงไม่เป็นไร แต่ถ้ามันเกิดรำคาญโกรธหัวเสียหาเรื่องทะเลาะแล้วกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา

            โอ๊ย อยากเขวี้ยงโทรศัพท์ทิ้ง!

            ผมวิ่งสุดกำลังมาหยุดกลางสนามบาสที่มีเด็กวิศวะบ้าพลังเล่นกลางแดดร้อนเปรี้ยงในเวลาเกือบบ่าย ก่อนจะหยุดหอบแฮ่กๆ สายตาสอดส่องมองหามันแต่กลับไร้วี่แวว

            มาไม่ทันเหรอเนี่ย...

            “เฮ้ย! มองหน้าหาตีนเหรอ”

            เสียงกร่างเชิงหาเรื่องเรียกความสนใจผมให้หันขวับไปมอง ไม่ผิดจากที่คิด ปากวอนตีนขนาดนี้เป็นใครไปไม่ได้นอกจากไอ้เฮงซวยเจี๋ย

            สมกับเป็นว่าที่สถาปนิกหนุ่ม ขนาดอยู่ในดงคู่อริยังหาเรื่องปากหมาแบบไม่มีความเกรงกลัวจนนักศึกษาแถวนั้นหันมามอง นี่มันไม่กลัวโดนรุมยำตีนบ้างหรือไงวะ ทำเอาผมต้องรีบปรี่เข้าไปก่อนจะมีโศกนาฏกรรมเกิดขึ้น

            “เจี๋ย...ไอ้เจี๋ย! หุบปากหมาๆ ของมึงไปเลย”

            “หมาแล้วมันหนักกระบาลกลวงๆ ของมึงหรือไงไอ้ป่าน!”

            เมื่อผมแสดงตัวเป็นคนรู้จัก ด้วยอำนาจบารมีของสมุดเชียร์อินทาเนียสีน้ำตาลเข้มซึ่งถูกสอดโผล่พ้นกระเป๋าเสื้อประมาณหนึ่งคืบพอดีเป๊ะกับการแต่งกายถูกระเบียบตั้งแต่หัวจรดเท้า นักศึกษาบริเวณโดยรอบจึงเริ่มสลายตัว ไม่แปลกหากจะมีคนจับจ้องไอ้เจี๋ยด้วยสายตาแปลกจนมันรำคาญ เพราะสภาพมันไม่ได้ต่างจากเด็กสถาปัตย์ทั่วไปเลย ถ้าไม่นับเสื้อนักศึกษาที่ผมซักรีดไว้ให้ตั้งแต่เมื่อคืน รอยเย็บกางเกงยีนส์ขาดๆ ทั้งยังแหว่งเป็นรูเพราะหนูแทะ ทรงผมสั้นเต่อที่ผมลากมันไปตัดแทบทุกเดือน รองเท้าผ้าใบสีดำที่เพิ่งซื้อให้ใหม่

            นั่นคือย่ามสะพายอันใหญ่มหึมาที่ภายในบรรจุสารพัดของเหมือนกระเป๋าวิเศษของโดเรมอน เคยลองแอบค้นดู พบดินสอ ยางลบ โม่ สี สเกล ฉากปรับมุม เครื่องดื่มชูกำลัง สเปรย์ระงับกลิ่น แปรงสีฟัน มุ้ง ผ้าห่ม ขี้จิ้งจก และยังสามารถใช้เป็นหมอนในตัว ในมือหอบสารพัดของงานโมเดลพะรุงพะรังเหมือนบ้าหอบฟาง แต่แบบไอ้เจี๋ยเนี่ยหอบได้เป็นตันๆ ใช้ทุกสัดส่วนร่างกายได้เกิดประโยชน์สูงสุด ใครไม่มองก็แปลกล่ะ แล้วยังจูงจักรยานแม่บ้านคันโกโรโกโสจะพังแหล่มิพังแหล่ปั่นไปมาทั่วมหา'ลัย

            และเป็นจักรยานคันเดียวกับเมื่อห้าปีก่อน...

            “ไหนบอกจะกลับช้า กลับชาติหน้ากูก็ไม่ว่า”

            ดูเอาเถอะผมอุตส่าห์ใส่เกียร์หมาวิ่งมาหา คำพูดชื่นใจผมมาก ต่างกันราวฟ้ากับเหวจากเมื่อห้าปีก่อน แต่ผมก็ควรชินได้แล้ว คำหวานจากไอ้เจี๋ยสักคำอย่าหวัง ท้อแท้ในใจเปล่าๆ

            ผมถอนหายใจเฮือกโต

            “ไอ้เจี๋ย มึงแม่ง ดุกว่ารุ่นพี่เดือนคณะสุดหล่อที่กูเจอบ่อยๆในห้องมืดซะอีก” ผมบ่นงึมงำ ใบหน้าไอ้เจี๋ยเหมือนจะบึ้งตึงลงกว่าเก่า ผมจึงถามต่อ

“แล้วมานี่มีอะไรวะ”

            เป็นคำถามซึ่งไร้คำตอบและถูกละเลยโดยสิ้นเชิง หลายครั้งที่คิดน้อยใจที่ไอ้เจี๋ยมันสนใจสิ่งรอบข้างมากกว่าตัวผม อย่างตอนนี้มันกลับหันไปให้ความสนใจหนุ่มวิศวะคนหนึ่งซึ่งนั่งขัดสมาธิกอดลูกบาสที่ซุกอยู่บนตัก ภายใต้ร่มเงาของต้นอโศกสูงใหญ่ข้างสนามบาส

            “ดำแล้วนั่งหลบใต้ต้นไม้ทำซากเหรอวะ”

            มันโพล่งวิจารณ์ออกมาโต้งๆ หากแต่ระดับเสียงไม่ได้มีการปรับลดโวลุ่มลงแม้แต่น้อย ส่งผลให้แม้เจ้าตัวคนที่ถูกเอ่ยถึงจะนั่งอยู่ห่างพอสมควร แต่คงได้ยินชัดเต็มสองรูหู

            คำว่า ‘ดำ’ คงเสียดแทงใจเจ้าตัวไม่น้อย จึงได้เงยหน้ามาสบตาไอ้เจี๋ยเขม็ง

            จังหวะนั้นเองที่ผมสังเกตเห็นท้ายทอยศีรษะของใครบางคนเคลื่อนขยับอยู่ด้านหลังคู่กรณี จึงถึงบางอ้อว่ารุ่นพี่ตัวดำคนนั้นไม่ได้นั่งอยู่เพียงลำพัง หากแต่ได้ให้ใครบางคนยืมแผ่นหลังพักพิงอิงซบพักสายตา ชายคนนั้นเอี้ยวตัวหันมามองข้ามไหล่เพื่อนที่นั่งกอดลูกบาสกลม

            ผมสะดุ้งโหยง นั่นมันไอ้รุ่นพี่เดือนคณะขาวออร่าหน้าตึงกำลังอ้าปากหาวหวอดๆอย่างผ่อนคลายนี่หว่า พอสบตากับผมปุ๊บ ขึงหน้าขึ้นมาทันที ครู่หนึ่งสายตาก็เบนไปหยุดที่ไอ้เจี๋ย

            ผมสังเกตเห็นไฟฟ้าแฉลบแปลบปลาบระหว่างดวงตาทั้งสอง

            “มึงว่าใครดำ”

            คนที่นอนพิงซบอยู่นานลุกพรวดขึ้นมาไม่บอกกล่าว ทำเอาคนที่นั่งกอดลูกบาสไม่ทันตั้งตัวเซหงาย

“กูว่าใครดำ แล้วมันหนักกบาลมึงเหรอ ไอ้หน้าวอก”

โอ้ยแม่งจี๊ดแน่ๆ แล้วผมกับไอ้เจี๋ยก็ซวยแน่ๆ เพราะเหมือนคู่กรณีจะเพิ่มระดับดีกรีความเดือดขึ้นมาอีก

“ดำไม่ดำมึงก็ด่าไม่ได้เว้ย” พูดจบก็หันหน้าไปหาเพื่อนที่ปัดตูดถือลูกบาสลุกขึ้นมา

“พีต ลิกไนต์ ซับบิทูมินัส บิทูมินัส แอนทราไซต์ กูท่องถูกใช่ไหม ลำดับชั้นการเกิดถ่านหิน ตกเคมีอีกรอบกูโดนเฮียกระทืบจมธรณีแน่” ทำเอาเพื่อนหน้าเหวอ

“มึงก็ด่ามันอยู่ชัดๆ”

“กูด่าได้ คนอื่นห้าม”

“ไอ้ดำกับขาว มึงเลือกเพื่อนได้จัญไรจริงๆ”

“หยุด!”

“ไอ้หยินกับหยาง ขั้วตรงข้ามกันฉิบหาย”

“ไอ้ปากหมา!”

“มึงควรอยู่ให้ห่างจากเพื่อนนะ เดี๋ยวของดำจะมีมลทิน”

“ไอ้ชั่ว! ปากวอนโดนตีนซะแล้ว ข้ามถิ่นมาถึงนี่ยังกล้ากร่าง กูจะสั่งสอนให้ซมซานกลับไปเป็นหมาจรจัดพลัดถิ่นเลย”

ความอดทนสิ้นสุดเมื่อคู่กรณีพุ่งเข้าหา ผมไม่รอช้าที่จะกระโดดเข้าไปขวาง หมัดพุ่งถลาเข้ามาอย่างรวดเร็วจนผมหลับตามิด โดนซิวแน่กู

ทว่าผมกลับไม่รู้สึกว่ามีอะไรปะทะใบหน้า ผมค่อยๆลืมตาขึ้นพบว่าเพื่อนตัวดำคนนั้นถลาเข้ามารั้งไว้ทัน

            “ขอโทษครับ เด็กสถาปัตย์ก็งี้ บ้าๆ ติสท์ๆ พวกพี่อย่าถือสาเลยนะครับ”

            ผมก้มหัวปลกขอโทษรุ่นพี่ในชุดเสื้อช็อปสีเทาอ่อนซึ่งค่อนข้างคุ้นหน้า แผ่บารมีน่าเกรงขามด้วยสายตาโหดดุที่จ้องมา ถึงจะเป็นรุ่นพี่แต่ถ้ามาทำร้ายไอ้เจี๋ย ผมก็ไม่ยอมยืนอยู่เฉยๆแน่

            “กลับภาคได้แล้ว เดี๋ยวก็ตกเคมีอีกหรอก มัวแต่ทำตัวเป็นกุ๊ย”

โบกหัวหนึ่งทีก่อนหันหลังเดินนำไป ผมจ้องสบตารุ่นพี่เดือนคณะนิ่ง ก่อนเขาจะเหลียวตามองไปเบื้องหลังผมที่มีไอ้เจี๋ยอยู่ ยกมือขึ้นชี้หน้า

“เห็นแก่รุ่นน้อง กูจะยกให้สักครั้ง” แล้วจึงหันหลังตามเพื่อนที่เดินนำไป

“กูว่าเพื่อนมันดำ แล้วมันจะเดือดร้อนอะไรด้วยวะ” ไอ้เจี๋ยเอ่ยอย่างหงุดหงิด ผมถลึงตาเขม็ง รุ่นพี่ยังจากไปหัวกระไดยังไม่ทันแห้ง แล้วก็หันกลับมาเตรียมพุ่งถลาอีกครั้ง ผมยกการ์ดเตรียมสวนกลับแล้วทว่า...

โป๊กกกก

ลูกบาสได้ลอยละลิ่วมาชนหัวรุ่นพี่วิศวะอย่างแม่นยำจนเซ ลูกบาสเด้งกระดอนกลิ้งกลับไปตกอยู่ในร่มเงาต้นอโศก

“ไอ้ดำ กูสมองเสื่อมขึ้นมาทำไง!”

แล้วเจ้าตัวก็วิ่งไล่เพื่อนตัวเองหายไปหลังต้นอโศก ทว่าเพียงครู่เดียวก็โผล่กลับมาเก็บลูกบาสที่หล่นอยู่ถือติดมือขึ้นมาปัดเศษดินเศษหญ้า ชายหนุ่มผู้เป็นต้นเหตุของเรื่องราวเมื่อครู่ก็ชะโงกหน้ากลับมาจากหลังลำต้นสูงใหญ่

“มึงจะขโมยลูกบาสไอ้พวกในสนามกลับไปด้วยเรอะ เอาคืนมันไป กูเล่นเสร็จแล้ว”

“เดี๋ยวกูซื้อให้พวกแม่งใหม่”

“ไอ้บ้านรวย จะซื้อใหม่เพื่อ เอาคืนพวกมันไป” เสร็จแล้วก็เข้ามาทำท่าจะแย่ง แต่คนตัวขาวกว่าก็มือไวยกหลบ

“มึงเล่นเอาไปนั่งกกนั่งซุกอยู่ตรงซอกไข่เป็นครึ่งค่อนวัน กูสงสารไอ้พวกนั้น” ว่าแล้วก็ยกขึ้นดม “ยี้เหม็น!”

“เออ! ตามใจแล้วกัน!”

แล้วเจ้าตัวก็ผลุบหายไป ชายหนุ่มตัวขาววิ้งออร่าผุดรอยยิ้มมุมปากเล็กๆ ก่อนตามไปติดๆ

เหอะ! เนียนตัวพ่อ!

“จะเอากลับไปบูชาหรือไงวะ” ไอ้เจี๋ยโพล่งออกมาอีกครั้ง แล้วหน้าขาวๆก็โผล่ออกมาจากต้นไม้ในมุมเดียวกับที่เพื่อนตัวเองโผล่มาด้วยใบหน้าบึ้งตึงอีกครั้ง

ไอ้เจี๋ยทำท่าจะโพล่งอะไรอีก ผมจึงรีบตะครุบปากมันไว้ ไม่งั้นไม่จบไม่สิ้นแน่ ปากหาเรื่องขนาดนี้

รุ่นพี่เดือนคณะพยักหน้าให้ผมหนึ่งทีแล้วก็จากไปอย่างไม่เอาเรื่อง สงสัยจะเอาไปบูชาจริงๆแฮะ

เอ๊ะ! หรือจะเอาไปดมเสพฟินกันแน่นะ?

            “อื้อ” เสียงครางงึมงำในลำคอทำให้ผมได้สติ ว่าตัวเองกำลังเอามืออุดปากไอ้เจี๋ยแน่น ใบหน้าบึ้งตึงไม่สบอารมณ์ ผมคงไปขัดแข้งขัดขาจนมันไม่พอใจหนัก

            “ทำไมมึงปากจัดอย่างงี้วะ พูดจาดีๆเหมือนตอนเพิ่งคบกันมันจะตายหรือไง คำพูดหวานๆแบบนั้นอย่างกับคนละคน” ผมเอ่ย ท้ายประโยคแผ่วเบาบอกตัวเอง

            “กลับล่ะ!!!” ไอ้เจี๋ยกระแทกเสียงไม่พอใจ

            ผมไม่ได้ตั้งใจจะพูดยั่ว แค่อยากบอกให้มันยั้งคิดบ้าง หากผมไม่อยู่ด้วยคอยปรามเหตุการณ์จะบานปลายไปถึงไหน แต่ไม่ว่าผมจะพูดจะทำอะไรก็คงขัดใจไอ้เจี๋ยไปหมดถึงได้แสดงอาการฟึดฟัดหัวเสีย ผมขบริมฝีปากน้อยใจ เอาใจมันไม่ถูก

อีกอย่างที่โผล่มานี่คงแค่แวะมาทำธุระ เป็นเพียงทางผ่านสินะ ผมคงไม่มีค่าอะไรให้มันคิดถึงขนาดแวะมาหา

            คิดในแง่ดีมันไม่แวะมาบอกข่าวร้าย มาบอกเลิกก็ดีแค่ไหนแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นอารมณ์น้อยใจมันก็ตีรื้นขึ้นมาเสียดื้อๆ สุดท้ายผมก็เป็นตัวก่อกวนน่ารำคาญสำหรับไอ้เจี๋ย งั้นผมก็กลับไปทำรายงานภาษาไทยกับไอ้เต็นไอ้พีคงดีกว่า

            “ถึงห้องแล้วอย่าลืมแวะเอาข้าวด้านล่าง เดี๋ยวกูโทรสั่งไว้ให้ เสื้อนักศึกษาถอดรวมไว้ในตะกร้า เดี๋ยวกูกลับไปเอาลงเครื่องซักเอง กระดาษลูกฟูก อะครีลิค โฟโต้บอร์ด เรซิ่น กาวพริตที่มึงฝากซื้ออยู่ข้างชั้นวางรองเท้านะ แปรงสีฟันเสียบไว้ให้ใหม่แล้ว อันสีน้ำเงิน ถ้ามีเวลาก็นอนพักก่อนซะหน่อย ตอนเช้าก่อนออกมากูเพิ่งเปลี่ยนผ้าปูไว้ แล้วก็....”

            ในใจอยากถามว่า เมื่อคืนได้นอนบ้างหรือเปล่า เห็นยุ่งหัวปั่นแทบทั้งคืน ถึงจะเห็นจนชินตาแต่ก็เป็นห่วง มันจะดูเจ้ากี้เจ้าการเกินไปไหม

            ผมตัดใจ คิดไปคิดมาพูดไปไอ้เจี๋ยก็รำคาญเปล่าๆ

            “กลับดีๆ นะ”

            นิ่ง...

            เงียบ...

            ผมรับรู้ได้ถึงรังสีบางอย่าง อาการแบบนี้คงไม่พอใจผมอีกแล้ว อย่างที่บอกแม้สิ่งที่ผมทำจะทำด้วยความห่วงใย ด้วยการใส่ใจชีวิตประจำวันของมันเป็นปกติจนก้าวก่ายล่วงล้ำไปในชีวิตส่วนตัว ไอ้เจี๋ยก็ยังคงขัดใจและมักหัวเสียใส่ผมทุกครั้ง

            ช่วยไม่ได้... คงไม่พ้นต้องทะเลาะกันอีก แต่ผมไม่อยากมาทะเลาะกันในที่รโหฐานจึงคิดว่าเงียบซะคงดีกว่า... ไอ้เจี๋ยอ้าปากเตรียมด่า ส่วนผมยืนนิ่งรอรับชะตากรรม

            “ร่ายขนาดนี้ ไม่กลับด้วยกันเลยล่ะวะ!”

            เดี๋ยว?

            นี่คือคำด่าหรือเป็นคำชวนวะ?

            “จะกลับไหม!!”

            “กะ..กลับ.. กลับ.. กลับครับ”

            ผมรีบกุลีกุจอไปรับจักรยานไม่คิดอะไรเพียงตอบไปตามสัญชาติญาณเพราะโดนเร่งย้ำ ไอ้เจี๋ยหย่อนตัวนั่งคร่อมบนเบาะหลังเอาสิ่งของทั้งหลายแหล่คว้ารวมกองระหว่างเรา แขนเอื้อมคว้ารั้งเอวผมไว้หลวมๆ

            โมเม้นท์เก่าๆฉายย้อนกลับไปยังวันแรกที่เราเป็นแฟน เพียงแต่วันนี้มันสลับกัน

            แม้จะประหลาดใจกับการปรากฏตัวของไอ้เจี๋ยที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ ไม่ว่ามันจะโผล่มาเพื่อทำอะไร แต่ผมขอคิดเข้าข้างตัวเองได้ไหมว่า...

            มันโผล่มาเพื่อชวนผมกลับบ้านด้วยกัน
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ชี้แจงเล็กน้อย
มีคำถามพิเศษ

พี่เจี๋ยนี่ถาปัดปีห้าแล้วหรอม ปกติปีห้าเค้าไม่ค่อยตัดธมกันแล้วน้า  โด้ธีสิสกันลูกเดียวเลย

อันนี้ถ้าเป็นข้อผิดพลาดผมต้องขอโทษด้วยจริงๆ ก่อนเขียนซีรีย์ชุดนี้ ผมกับน้องนักเขียนอีกคนหาข้อมูลกันมามากจริงๆ เพราะเราต้องการเรื่องที่มีข้อมูลพื้นฐานสนับสนุน ไม่ได้คิดเอาเอง มโนเอาเองทั้งหมด
อย่างหลักสูตรสถาปัตยกรรมศาสตร์ก็เพิ่งรู้จากการหาข้อมูลมาว่ามันมีหลักสูตรสี่ปีกับห้าปี เราเลยเลือกห้าปี รู้สึกมันคูลๆหน่อย คนไม่รู้ก็จะคิดว่าเจี๋ยมันเปอร์หรือไง เรียนไม่จบตามหลักสูตร
แต่ข้อมูลเชิงลึกมันหายากมาก มันจึงต้องมีส่วนที่เรามโนเองบ้าง เพราะผมเองก็ไม่ได้มีคนใกล้ชิดเรียนสถาปัตย์ให้สามารถสอบถามข้อมูลได้ ฉะนั้นผิดพลาดประการใดก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยเน้อ
ส่วนคำตอบคือ ไม่รู้จ้า มาจากมโนโดยหาข้อมูลจากการทำธีสิสของนิสิตปีห้า เจอทั้งทำศูนย์วัฒนธรรม สวนสาธารณะ โรงแรม แล้วก็ไปเจองานธีสิสของแต้ว ณฐพรเข้า เห็นว่าเขาทำหมดทุกอย่างตั้งแต่ขึ้น 3D วาดฟลอแปลน แล้วก็ทำโมเดลโรงพยาบาล
มีรูปมาให้ดูด้วย

เราเข้าใจว่าการทำโมเดลโรงพยาบาล ก็คือการตัดโมเดลที่เขาว่ากัน เลยเอาตรงนี้มาเป็นพื้ยฐานการมโนว่าการตัดโมเดลโรงพยาบาลขนาดใหญ่ต้องวุ่นวายมาก เพราะรายละเอียดค่อนข้างเยอะ ก็เลยมโนต่อไปจนเป็นเรื่องเป็นราวตามเนื้อเรื่องนั้นแล

เพิ่มเติมอีกนิด เธอเรียนหรือมีความเกี่ยวข้องด้านสถาปัตย์หรือเปล่า คือถ้าใช่นี่อยากขอข้อมูลด้วยมากๆ เพราะกำลังปั่นเรื่องยาวอีกเรื่องที่ตัวเอกเรียนสถาปัตย์เหมือนกัน มันมีหลายเรื่องที่เราสงสัยและอยากหาคนถาม อาศัยแต่ข้อมูลกว้างๆ จริงๆอยากรู้ชีวิตเบื้องลึกด้วยอ่า อยากสัมภาษณ์เป็นการส่วนตัว ฮ่าๆ ถ้าโปรดกรุณานักเขียนตาดำๆ ตอบเม้นเค้าด้วยน้าาาา

ต่อไปมาทอล์กกัน
ก่อนอื่นไม่ต้องน้อยใจน้าที่เค้ามาตอบเม้นของน้องคนนี้ในท้ายเนื้อเรื่อง คำถามมันค่อนข้างพิเศษเลยอยากถือโอกาสชี้แจงให้คนอื่นๆทราบด้วย ไม่งอนน้าๆ ง้อแล้ว ยังไงเค้าก็ตอบทุกคนนอย่างเท่าเทียม :impress2: :impress2: แต่อยู่ด้านล่างเหมือนเดิมนาจาา
ก่อนอื่นเลย ดีใจจจจจมากกก แลดูทุกคนอินกับเรื่องราวของป่านเจี๋ย แม้จะเป็นความสำเร็จเล็กๆแต่เราติ้นตันมากกก :heaven :heaven และดูเหมือนจะตอบคอมเม้นมากที่สุดตั้งแต่ที่ลงมาเลย ฮาๆ
เราเข้าใจว่าบางคนดองไว้อ่านรวดเดียว นั่นแน่ ถูกจับไต๋ได้ โถววววววว ไม่เนียนนะจุ๊ๆ :hao3: :hao3: ไปฝึกมาใหม่นะพวกเธอววววว เค้าไม่ว่าหรอก แต่อย่าหายไปนานรู้มั้ย เค้าคิดถึง :o8: :o8:
เจี๋ยได้ฉายาใหม่ยกเป็นเฮียเลย ดูเหมือนทุกคนคับแค้น พร้อมที่จะผันเสียงสูง ฮาาาาา จริงๆชื่อไลน์เขาคือเฮ่งเจี๋ยที่ออกเสียงคล้ายลิงในเรื่องไซอิ๋วในตำนาน แต่จะเรียก เฮีย เค้าก็ไม่ว่า เชิญตามสบายยย ฮาาาาา รู้สึกดีมีคนตั้งฉายาให้ตัวละครเรา :mc4: :mc4:

และแขกรับเชิญพิเศษในตอนนี้ก็คือ อือ อือ อือ อือ(เอคโค่)...แท๊นแท่นแทนแท๊นแทนแท่นแทนแท้นแท๊นนนนนนน ใครว้าาาา อ้าวเฮ้ยยยย เปิดตัวยิงใหญ่มาก ช่วยเค้าตอบหน่อยนะว่าใคร ฮาๆ :laugh: :laugh: น่าจะเดาไม่ยาก
สุดท้าย บางครั้งคนเราก็ต้องเลือกที่จะคิดเข้าข้างตัวเอง เพื่อรักษาอะไรบางอย่างที่ตัวเองรักเอาไว้ เจี๋ยถ้ามึงไม่เป็นเหมือนที่ป่านคิดเอาไว้ล่ะก็ เตรียมตัวโดนรุมสะกำยำตีนได้เลย เหอะๆๆๆ :z6: :z6: :z6:

และทอล์กรายบุคคลด้านล่างเหมือนเดิมนะจ๊ะ รักทุกคน จุ๊บๆ :กอด1:
\/
\/
\/







« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-01-2018 21:18:30 โดย Boorina »

ออฟไลน์ Boorina

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 50
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0

 :L2: :pig4:

จองที่ก่อน


จองนานแล้วนะเธอออ เรารอเธอชาตินี้นะ ไม่ใช่ชาติหน้า เพราะชาติหน้าเราอาจไม่ได้เกิดมาเป็นคน o22 o22 ฮาาาาาา

 

เดี๋ยวป่านก็รีบไปหาเฮียเจี๋ยแน่เลย แพ้ทางเขาขนาดนี้ ใจอ่อนเป็นขี้ผึ้ง


ฉ๊านน แพ้ทางคนอย่างเธอออออ
นี่ๆ เธอคือ ต้นตอความวิบัติใช่ไหม รู้นะว่าอยากผันเสียงสูง มารยาทส่อภาษา กิริยาส่อสกุลนาจา เอิ่มมมม พูดไปเหมือนเข้าตัวเองไงไม่รู้ ตายแพ๊บบบ :jul1: :jul1: อืม แต่ไม่แน่ อาจเอาขี้ผึ้งอุดปากเจี๋ยแทนก็น่าจะดีเนอะๆ อย่าเอามาอุดปากเรานะ :serius2: :serius2:


เฮียมาง้อแล้วโน่นนนนนนนน


นี่ก็อีกคนจะผันเสียงสูง ถ้าเธอไม่ได้ลอก แสดงว่าเธอก็ประเภทเดียวกันกับข้างบนนาจา :m20: :m20: ฮ่าๆ แต่อ่อนกว่าเรานะเรื่องนี้ ไปฝึกมาใหม่นะน้อง แล้วแน่ใจได้ไงว่าเฮียมาง้อ อาจมากระทืบซ้ำความรู้สึกป่านให้เข้าไอซียูก็ได้ :m31: :m31:


ชักสงสัย  เจี๋ย ยังมีความรักในตัวป่านอีกไหม  :katai1::mew2:

หรือเหลือแค่ความรู้สึกว่า   
ไอ้....คนน่ารำคาญ  เมื่อไร มึงจะออกไปไกลๆกูซักที  :m16: :m16: :m16:
น่าสงสารป่าน   :m15: :monkeysad:
ไม่รักกันป่นแล้วก็บอกเลิกลากันไป อย่าทรมานกันเลย 
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:


เธอๆๆๆๆๆๆ อินเกินไปไหม เราเป็นห่วงนะ ดูแลสุขภาพด้วย อายุก็ไม่ใช่น้อยๆ เบาหวานความดันกวักมือเรียกอยู่ไวๆ :katai3: :katai3: เรียกเรานี่แหละ จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ :m15: :m15: ฮาาาาาา
แต่เราชอบ เธอคือความอินสุดชีวิตจากนักอ่านทั้งหมดที่เม้นเรื่องเรา มี่กี่คนว้าา ไม่ถึงสิบ :laugh: :laugh: ฮ่าาา เธอคือผู้รอดชีวิตใน เดอะ ฮังเกอร์เกมมม จงภูมิใจเถืด ที่เกิดร่วมแดนไทย จะเกิดชาติไหน ก็ไทยด้วยกันน เกี่ยวไหมหว่า ฮ่าๆ
ส่วนป่าน.... :m15: :monkeysad: :sad4: :o12:
ต้องอึดถึกทนยิ่งกว่าควายขนาดไหนถึงยังคงอยู่ในสถานะนี้ได้ :เฮ้อ: :เฮ้อ: เขียนเองปวดใจเอง


คำว่า "ไวปานวอก" ใช้ได้กับป่านชัวส์ ไม่ถึง 5 นาที ไปหมอบแทบเท้าเจี๋ยเลย  :laugh:


กร๊ากกกกก ไวปานวอกกกกก อันนี้โดนๆๆๆๆ o13 o13 เราต้องเคยผ่านยุค เฮ่งเจีย มาด้วยกันใช่ม๊ายยยยยย รู้สึกดีอ่ามีคนสังเกตเห็นจุดเล็กๆที่เราแทรกไว้ด้วย :hao5: :hao5: แล้วก็ซื้อหวยไหมเธอ เดี๋ยวเราขายให้ แม่นเกิ๊นนนนนน :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
พึ่งรู้แจ้งวันนี้เอง ว่าเจี๋ยปากโฮ่ง ๆ เป็นเรื่องปกติ นึกว่าจะโฮ่ง ๆ ใส่ป่านคนเดียวเสียอีก  :hao4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ larynx

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 821
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
สถาปัตย์ 4 ปีกับ 5 ปีต่างกันที่วุฒิจบค่ะ เรียน 5 ปีวุฒิจบเป็นสถาปัตยกรรมศาสตร์ 4 ปีก็มีเป็นวุฒิวิทยาศาสตร์บ้าง ศิลปกรรมศาสตร์บ้างแล้วแต่ที่มหาลัยเปิด

ป่านเป็นคนใจอ่อนแบบนี้ ก็ต้องยอมเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆเด้อ รอวันแตกหักอะ  :ling1: 

ออฟไลน์ rayaiji

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 817
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
    • ray's deviantart
ใช่ค่ะ เราเรียนถาปัตย์ 555 และแน่นอนอย่างนึงว่าชีวิตช่างไร้เวลาว่างกันเสียเหลือเกิน ได้แต่แว้บมาอ่านนิยายคลายเครียดซักหน่อย  อยากรู้อะไรก้ลองๆถามมาได้นะคะ ถ้าเรารู้เราจะตอบให้  อย่างของม.เราโรงพยาบาลพี่ปีสี่ทำน่ะ ส่วนพี่ปีห้าน่าจะกำหนดเอา ว่าอยากทำเรื่องอะไรแลเวไปเสนอกับโปรเฟสเซอร์ ปอลิง.ส่วนมากเรียนสี่ปีจะเป็นID(INFUSTRAIL DESIGN) ค่ะพวกเซฯ เทร็คไทร์ เฟอร์ กราฟฟิคค่ะ ส่วนห้าปีจะเป็นAR(ARCHITECTURE) หรือจะเรียนไปยันเต็มโควต้าเลยก้ได้

ออฟไลน์ fullfinale

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 666
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
ชอบถาปัต ชอบวิศวะ อ่านแล้วเท่ดี ว้ายมีเด็กถาปัตหลงมาด้วย กรี๊ดดดดดด :o8:  o18

เฮียเค้าปาก ห มา จังเลย ดูถิ่นด้วยเซ่ ถถถ  :z3: :z3: :z3:

ออฟไลน์ Boorina

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 50
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
ซีรีส์ชุด Intania ภาค CE

เรื่อง  Breaking Way
[CE : Civil Engineering   วิศวกรรมโยธา ]
เขียนโดย  Blue-Legend


CH 05
ถอย

            ผมอยู่ได้ด้วยความหวังริบรี่เท่าขี้แมลงวันเพราะการคิดเข้าข้างตัวเอง แม้จะรู้อย่างนั้น ผมก็เลือกที่จะหลอกตัวเองต่อไป

            เลือกที่จะมีความสุขกับอะไรเล็กๆ น้อยๆ อย่างการได้ดูแลใส่ใจช่วงชีวิตประจำวันที่ไอ้เจี๋ยละเลย อย่างการตื่นตั้งแต่ตีห้าครึ่งเพื่อพบว่ามันยังไม่นอน รีดชุดนักศึกษาสำหรับไปมหา'ลัยในทุกวัน ตระเตรียมข้าวของที่จำเป็นอย่างชีทหรืออุปกรณ์การเรียน รวมไปถึงอุปกรณ์สำหรับตัดทำโมเดลสารพัดยัดใส่ย่าม จำพวกกระดาษ โฟโต้บอร์ดหรือกระดาษแปลนที่มีขนาดใหญ่จนไม่สามารถยัดรวมกับของวิเศษในย่ามก็จะแยกไว้บนชั้นวางรองเท้าหน้าประตูทางออก ก่อนพยายามจ้ำจี้จ้ำไชให้มันอาบน้ำเตรียมตัว ซึ่งก็โดนด่าโดนรำคาญไปตามระเบียบ ก่อนจะพาตัวเองออกจากห้องเพื่อหาอาหารเช้าสำหรับเราสองคน

            ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนกลับถึงห้องพร้อมโจ๊กร้อนๆ และปาท่องโก๋ ก่อนจะพบว่าภายในห้องมีเพียงความเงียบงันของความว่างเปล่า ชุดนักศึกษาขาวสะอาดที่แขวนไว้หน้าตู้เสื้อผ้าเหลือเพียงไม้แขวนสีเขียว ผมทอดถอนใจกับความเวิ้งว้างที่เข้าจู่โจม ลากขาเดินไปวางโจ๊กสองถุงกับปาท่องโก๋เหนือตู้เย็น

            เป็นหมันอีกแล้วอาหารเช้ากู...

            เพราะนี่ไม่ใข่ครั้งแรก แต่เกิดขึ้นซ้ำๆ ราวภาพฉายย้อน มันจึงกลายเป็นความชินชา สะบัดหัวตบหน้าตัวเองเปาะแปะเรียกสติและกำลังใจก่อนคว้าผ้าขนหนูสีเหลืองอ่อนที่ยังเปียกชื้นซึ่งถูกกองอยู่ที่พื้นลวกๆ เหมือนคนใช้เร่งรีบเข้าห้องน้ำ

            กว่าจะอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยเวลาก็ล่วงเลยเกือบแปดโมง ผมส่องสำรวจเสื้อผ้าหน้ากระจกจัดเนคไทด์บริเวณคอให้เข้าที่ หยิบน้ำหอมฉีดพรมบริเวณข้อพับแขนและคอซึ่งความอุ่นร้อนของร่างกายบริเวณเหล่านี้จะช่วยกระจายความหอมได้คงทนยาวนานกว่าการฉีดพรมบนเสื้อผ้าโดยตรง ไม่ลืมที่จะเอาโจ๊กใส่ตู้เย็นและคว้าปาท่องโก๋เย็นชืดไปโยนให้หมาในคณะแดก ก็เพื่อนผมนั่นแหละ ก่อนเปิดตู้หยิบรองเท้าหนังใหม่เอี่ยมมาใส่

            ในตอนนั้นเองที่ผมพบว่าของที่จัดเตรียมไว้ให้ไอ้เจี๋ยถูกวางลืมไว้อยู่บนตู้รองเท้าที่เดิม ผมส่ายหัวให้กับความละเลยสะเพร่าขี้หลงขี้ลืม ก่อนคิดทบทวนว่าวันนี้ตนเองมีเรียนทั้งวัน กว่าจะเลิกก็เย็นย่ำ จึงตัดสินใจจะแวะเอาไปให้ที่คณะก่อนไปอาคารเรียนรวม

            ปลายเท้าที่หุ้มรองเท้าหนังสีดำมันเงาแปลบปลาบหยุดอยู่หน้าตึกขนาดใหญ่โอ่อ่า รูปทรงทันสมัยแต่เรียบหรูสมฐานะตึกคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ซึ่งผลิตบุคลากรนักออกแบบสิ่งก่อสร้างอันอลังการณ์ทั้งหลาย ผมเลือกดึงสมุดเชียร์อินทาเนียที่สอดไว้ในกระเป๋าเสื้อซึ่งโดนรุ่นพี่บังคับให้เอาติดตัวไว้ตลอดยัดลงในกระเป๋ากางเกง เพราะนี่เป็นคณะคู่อริ หากชาวสถาปัตย์สังเกตและจับได้ว่าผมเป็นเด็กวิศวะคงไม่พ้นโดนเขม่นจนอาจกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต ก่อนดิ่งตรงไปยังใต้ตึกโล่งกว้างซึ่งมีนักศึกษาพลุกพล่าน

            ก่อนออกจากห้องผมส่งข้อความหาไอ้เจี๋ยบอกจะเอาของมาให้  เนื่องจากหากโทรไปคงไม่พ้นโดนรำคาญ ผมคว้าโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงเพื่อพบว่าข้อความนั้นยังไม่ถูกเปิดอ่าน คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะโทรหาแม้จะโดนด่าว่าให้รำคาญบ้าง แต่ผมมันก็ชินชาซะแล้วหนิ

            ไม่ทันที่จะเลื่อนไปยังรายชื่อโปรดเพื่อกดโทรออก สายตากลับเหลือบเห็นแผ่นหลังคุ้นเคยนั่งอยู่ที่โต๊ะข้างเสาขนาดใหญ่กับเพื่อนร่วมคณะอีกสามสี่คน ผมยัดโทรศัพท์ลงกระเป๋าก่อนเดินมุ่งตรงไปยังเป้าหมาย

            “เชี่ยเอ๊ย ยิงตีฟไม่ทันแหง แค่ตัดโมก็แทบจะเผาแล้ว ตายห่าแน่กู”

            ผมได้ยินไอ้หนุ่มผมยาวหมายเลขหนึ่งบ่นกระปอดกระแปดแว่วมาเมื่อเข้าไปใกล้

            “มึงยังดีมีแฟนสุดประเสริฐช่วยเหลือ สาวน้อยบอบบางแบบฉันสิ เวลาจะหาผัวยังไม่มี แต่คงไม่เท่าไอ้เจี๋ยดวงกุด ได้ข่าวแฟนมันทำงานเน่า ต้องเก็บรายละเอียดส่วนโครงสร้างตึกใหม่”

            ไม่รู้ทำไมอยู่ๆ ผมถึงกระโจนมาหลบอยู่ตรงเสาข้างโต๊ะไอ้เจี๋ย สงสัยคงอยากเซอร์ไพร์สเล่นซ่อนแอบแบบเด็กๆ มั้ง

            หลังจากสาวน้อยที่บอกว่าตัวเองบอบบางแต่ลักษณะทางกายภาพตรงข้ามโดยสิ้นเชิงพูดจบ ทุกสายตามุ่งตรงไปยังพระเอกหนึ่งเดียวที่นั่งสัปหงกน้ำลายไหลยืด ก่อนโดนตบหลังกระอักจนเจ้าตัวเบิกตาโพลง

            ผมนึกสงสัยว่าตัวเองหลงมาอยู่ในดงหมีแพนด้าหรือไงฟระ ขอบตาดำคล้ำทุกคนเชียว

            “เหี้ยไรอีป้อม! เมนส์มาหรือไงวะ กวนอยู่ได้คนจะนอนแม่ง กว่าจะได้ทำงานเมื่อคืน แฟนกวนยันตีสอง ห่ารากเอ้ย!!!”

            “เยด... เยดดดดด... ขนาดตัวยุ่งเป็นเกลียวหัวเป็นน็อตขนาดนี้ยังมีแรงกำลังไปสวีวี่วีเจ๊าะแจ๊ะกับแฟนอีกเหรอวะ โคตรน่าอิจฉา” ไอ้หนุ่มผมยาวหมายเลขสองเอ่ยแซว

            “แม่มึงสิ กูกับมันไม่ได้เอากันมาจะครึ่งปีได้แล้วมั้ง น่ารำคาญเหี้ย!”

            “อารมณ์เสียด้วย วอนท์ก็บอกเขาไป รุกเลยสิจ๊ะน้องเจี๋ย”

            ผมแอบอมยิ้ม พูดถูกใจผมจัง สงสัยคืนนี้ต้องจัดซักดอก

            “วอนท์กับผี สีกับหมอนข้างยังได้อารมณ์กว่ามั้ง เบื่อ... พวกมึงเข้าใจไหมว่ากูเบื่อ โคตรๆ ลำพังงานสุมหัวก็แทบเข้าโรงพยาบาลประสาทวันละสามรอบ แฟนแม่งยังงี่เง่าคอยกวนใจ เจ้ากี้เจ้าการสั่งนู่นสั่งนี่ ตามติดกูเป็นขี้ติดตูด เข้าใจรึยังว่ามันน่ารำคาญขนาดไหน”

            รอยยิ้มที่มีค่อยๆ เจื่อนลง เรื่องความปากเน่าปากหมาผมชิน แต่ที่ไม่เคยรู้คือมันจะมาปากหมากับเพื่อนระบายเรื่องราวทุกอย่างให้เพื่อนฟังอย่างไม่คิดถึงใจผม แค่ถูกละเลยเหมือนก้อนหินไร้ค่าว่าแย่แล้ว กลับกลายเป็นสูงค่าขึ้นมาทันทีเมื่อเทียบกับขี้

            เหนือสิ่งอื่นใดคือคำว่า ‘เบื่อ’ ที่ผมไม่เคยได้ยินจากปากมันสักครั้ง

            “บอกจะช่วยกูตัดโมแต่หัวด้านศิลปะมันโคตรกาก”

            ผมมันคนไร้ประโยชน์ไร้ความสามารถ…

            “จะช่วยปั้นโมเดลขึ้น 3D แต่ดันต้องให้กูมาสอน AutoCAD”

            ผมมันกระจอก เรียนเขียนแบบพื้นฐาน AutoCAD ก็เพิ่งหัด ช่วยอะไรมันไม่ได้...

            “ตกลงจะมาช่วยหรือมาเป็นภาระ”

            ใช่สิ! ผมมันก็แค่ตัวภาระ ทำไมผมไม่เกิดให้เร็วกว่านี้อีกสักสิบปีนะ จะได้เป็นผมที่คอยช่วยเหลือมัน...

            เรื่องราวที่ผมได้รับรู้โดยบังเอิญทำให้แขนขาผมอ่อนยวบแทบทรุดลงไปกับพื้น เคยคิดที่จะพยายามเข้าข้างตัวเองแบบนี้ต่อไป ทั้งที่รู้ว่าสักวันความจริงที่ได้รับรู้มันจะทำให้เจ็บปวดยิ่งกว่า ผมปิดหูปิดตาทู่ซี้เชื่อมาตลอดว่าหากทำอย่างนี้ต่อไป ผมจะยังมีไอ้เจี๋ยอยู่ข้างๆ

            “บางทีกูก็ต้องการความเป็นส่วนตัวบ้าง คงต้องหาโอกาสพูดให้ห่างกันสักพัก...”

            ห่างกันสักพัก...หรือในอีกความหมายหนึ่งคือ ‘เลิกกัน’

            ผมปิดหูปิดตาต่อไปไม่ไหวแล้ว เพราะความจริงที่ได้รู้มันกระจ่างชัดจนใจปวดหนึบ หายใจไม่ออกแทบทุรนทุรายตายไปตรงนั้น ผมคิดเข้าข้างและหลอกตัวเองมาตลอดเพื่อหวังว่าจะยังมีไอ้เจี๋ยอยู่ข้างๆ ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไร โดยไม่ได้รับรู้เลยว่า หากวันนี้มาถึง...

            ผมจะเจ็บเจียนตายขนาดไหน

            ผมไม่มีแรงพอที่จะเผชิญหน้า ในเวลานี้ เวลาที่ผมอ่อนแอ จึงเลือกที่จะหนีมาโดยฝากข้าวของให้เด็กสถาปัตย์แถวนั้นเดินเอาไปให้ ผมเลือกตรงดิ่งไปยังแลปภาครุ่นพี่ที่เป็นที่สิงสถิตประจำของไอ้พีไอ้เต็นบนชั้นหก โดยไม่ลืมส่งข้อความไปบอกพวกมัน

            ‘กูไปเรียนไม่ไหว ฝากเก็บชีทจดเลคเชอร์ด้วย’

            แต่กลับพบพวกมันนั่งเสนอหน้าในห้องมืด...

            ไร้เรี่ยวแรงจะเดินต่อ... ผมหลบไปทรุดลงที่มุมหนึ่งของห้องหลับตานิ่งข่มความปวดหนึบบนเส้นเลือดข้างขมับที่เต้นตุบๆ ราวกับจะระเบิดออกมา ไร้หยาดน้ำตาแต่ใจกลับแหลกสลายร้าวราน ทำไมถึงได้ทรมานแบบนี้

            ที่รับรู้ได้คือเพื่อนทั้งสองเดินมาทรุดลงนั่งพิงกำแพงอยู่เคียงข้างโดยปราศจากคำพูด แค่นั้นก็เพียงพอ ผมแค่ขอเวลาสักพัก

            ผมเริ่มระบายหลังจากผ่านความเงียบทะมึนราวครึ่งชั่วโมง แต่ในความรู้สึกผมกลับคล้ายชั่วกัปชั่วกัลป์ ทุกเหตุการณ์ถูกเล่าผ่านปากอย่างยากลำบากและอัดอั้น จวบจนสิ้นสุด

            “กูเชื่อว่าสิ่งที่หลงเหลืออยู่ระหว่างกูกับเขาเป็นเพียงความผูกพัน  ทั้งที่ความจริงมันไม่ใช่ ไม่งั้นกูคงไม่เจ็บเจียนตายขนาดนี้ ทำไมกูถึงโง่ดักดานได้ตั้งนานวะ”

            “มึงกำลังหลอกตัวเองไง”

            ใช่สินะ... มันคงเป็นเพียงการปลอบโยนปลอบใจตัวเอง เพื่อหวังว่าในวันหนึ่งเมื่อเหตุการณ์แบบนี้มาถึง ผมจะได้ไม่เจ็บปวดและอ้างได้ว่าหมดรักและเดินจากมา เป็นเพียงกำแพงที่ผมสร้างเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดของตัวเอง

            “แล้วกูต้องทำไงวะ สุดท้ายเรื่องราวระหว่างกูกับเขาก็ต้องจบลงที่ทางแยกตามตำนานน่ะเหรอ ต่างคนก็ต่างต้องแยกย้ายกันไปตามทาง แล้วกูต้องทำไงวะ กูนึกถึงวันที่ไม่มีเขาไม่ออกจริงๆ...”

            ผมกลั้นก้อนกระอักอึกที่จุกอยู่ในลำคอ มันพะอืดพะอมแทบอยากสำรอกออกมาตรงนั้น มีเพียงความเงียบปกคลุมอยู่นาน จนคิดว่าตัวเองคงสิ้นหวัง

            “ดักดานนะมึงอ่ะ ถ้าตามตำนานมีทางแยกที่ต่างคนต้องเดิน ในฐานะวิศวกรโยธา มึงก็สร้างทางใหม่ขึ้นมาสิวะ...”

            ทางใหม่?

            ผมเงยหน้าสบไอ้พี สมเป็นมันแล้วที่พูดอะไรแบบไร้หัวคิด ไม่รู้ว่ามันหรือผมที่โง่ ทางแยกเป็นเพียงตำนาน แล้วกูจะไปสร้างทางในตำนานได้ไงวะ

            “ก็เรามันกรรมกรก่อสร้าง จะสร้างตึกหรือสร้างถนนก็งานเราทั้งนั้น”

            คล้ายความหนักหน่วงจะเบาบางลง แม้คำพูดมันจะออกมาแบบโง่ๆ ก็ตาม บางครั้งเราก็ไม่ได้ต้องการเหตุผล เพียงรอยยิ้มและคำพูดปลอบใจก็เป็นแรงผลักดันให้ผมพร้อมฮึดเดินหน้าสู้ต่อ  อย่างน้อยผมก็สัมผัสสิ่งเหล่านั้นได้จากไอ้พี

            และไอ้เต็น...

            “สร้างทางที่พวกมึงสองคนจะสามารถเดินไปด้วยกัน”

            มึงก็เอากับมันเนอะ พวกนี้นี่มันบ้าชัดๆ ทั้งที่เป็นไปไม่ได้ก็ยังจะเออออบ้าบอตามกันไป กลายเป็นลูกบ้ามันถ่ายทอดมาถึงผมด้วย

            “แล้วจะสร้างยังไงวะ”

            ชีทเรียนวิชามนุษย์กับสังคมที่ซึ่งความจริงตอนนี้เราควรนั่งอยู่ใน slope700 ถูกฟาดแสกหน้าแปะ ผมรับมางงๆ

            เวลาแบบนี้ยังมีกระจิตกระใจจะให้ไปเรียนอีกหรือไง...

            “คาลิล ยิบราน นักปรัชญาชาวเลบานอนได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ไว้สามระดับ มีไรบ้างวะไอ้พี”

            “ขั้นแรกทำงานร่วมกันได้ ส่วนชีวิตที่เหลือมึงจะไปตายห่าที่ไหนก็ไป” ไอ้พีก็ช่างตอบรับเป็นลูกคู่ได้จังหวะจะโคน

            “ขั้นที่สองขั้นผูกสมัครรักใคร่... อยากให้เขาเป็นในอย่างที่เราอยาก... อย่างที่เราคาดหวัง... ซึ่งขั้นนี้แหละที่เป็นปัญหาระหว่างมึงกับแฟน ไอ้ป่าน... บางทีเขากับมึงอาจคาดหวังให้อีกฝ่ายเป็นอย่างที่ต้องการมากไป”

            ผมคิดทบทวนตามคำพูดมีสาระของไอ้เต็น

            ผมหมดสิ้นหนทางจนต้องหันมาพึ่งนักปรัชญาแล้วเหรอวะ หากไม่สำเร็จอีกผมไม่ต้องหันไปพึ่งหมอโรคจิตหรือหมอผีเลยเรอะ พวกนี้นี่เป็นจริงเป็นจังจนผมประสาทแดก

            “แล้วกูต้องทำไงวะ”

            แต่ผมก็ประสาทแดกไปกับพวกมัน... คนมันอับจนหนทาง หมามันกำลังจนตรอกก็เอาแม่งทุกทางแหละวะ

            “ง่ายๆเลย เขาต้องการห่าง มึงก็ห่างออกมา”

            “เฮ้ย แบบนี้ก็เลิกกันชัวร์ดิวะ ไม่... ไม่เด็ดขาด” ผมปฏิเสธเสียงแข็งส่ายหน้าหวือ

            “มึงฟังไอ้ป่าน มึงต้องก้าวผ่านมันไปให้ได้ มึงรู้ไหมทำไมปู่ย่าตายายพวกเราถึงอยู่กันยืดยาว นั่นเพราะพวกท่านเข้าใกล้ความสัมพันธ์ขั้นสามตามหลักปรัชญาของคาลิล”

            “แล้วไอ้ความสัมพันธ์ขั้นสามมันคืออะไรวะ” แม้จะรู้สึกย้อนแย้งแต่ก็เลือกที่จะถามกลับ

            “เวรตะไล มึงไปนั่งเรียนหรือมึงไปนั่งหลับ ความสัมพันธ์ขั้นสามคือรักแบบบริสุทธิ์ เป็นห่วงเป็นใยแต่ก็เป็นอิสระ เชื่อมั่นในตัวอีกฝ่ายโดยไม่ก้าวก่ายความเป็นส่วนตัว”

            ผมเริ่มระลึกชาติจากความทรงจำอันลางเลือน จะว่าไปตอนนั่งเรียนก็ได้ยินผ่านหูอยู่นี่หว่า แต่ไม่เคยจะคิดเก็บมาใส่ใจ กลับเมื่อมีปัญหาผมจึงได้คิด

            ที่ผ่านมา... ผมตามติดชีวิตไอ้เจี๋ยจนแทบไม่มีช่องว่างให้หายใจหายคอ บางทีอาจเป็นผมเองที่ผิดมาตั้งแต่ต้น ทำตัวน่ารำคาญเกินไปอย่างที่ไอ้เจี๋ยว่า โดยไม่เคยรู้สำนึก

            ต่อเมื่อสำนึกในตอนนี้ผมก็ไม่รู้ว่ามันจะสายไปหรือยัง...

            “มึงรู้ไหมว่ามันมีคำพูดหนึ่งที่คาลิลกล่าวไว้และกูชอบมาก มันเป็นคำกล่าวที่เข้ากับวิศวกรก่อสร้างแบบพวกเรา”

            ไม่ต้องใช้เวลาคิดนาน เพราะมันเป็นคำกล่าวเดียวกันกับที่ผมจำได้ขึ้นใจ

            “เสาของวิหารสองต้นต้องอยู่ห่างกัน...จึงจะอยู่ได้” ผมงึมงัม

            นั่นหมายถึงคนสองคนต้องมีช่องว่างระหว่างกัน...

            ตลอดมาเพราะผมพยายามอยู่ใกล้มากเกินไป ความสัมพันธ์ระหว่างเราจึงอยู่ใกล้ขั้นล่มสลาย วิหารเริ่มมีรอยร้าวและมันกำลังจะพังลง ต่อเมื่อผมรู้ตัวพยายามจะโยกย้ายเสาต้นนั้นให้ห่างออกมา ทว่าเสาต้นนั้นกลับหนักอึ้งเกินกว่าจะเคลื่อนขยับ มันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับผม ถึงรู้และเข้าใจแต่ใช่ว่าทุกคนจะทำได้ในทันที โดยเฉพาะผมที่ติดไอ้เจี๋ยมาตลอดตั้งแต่เริ่ม

            ผมอาจจะทำไม่ได้ ไม่สิ... ผมทำไม่ได้แน่ๆ แล้วผมควรทำยังไง

            “เสาร์นี้อาจารย์ที่ภาคเสนอจะพาพวกพี่ปีสี่ไปดูงานโครงการรถไฟความเร็วสูง แล้วยังเผื่อแผ่มายังปีอื่นๆ อีก มึงจะไปด้วยกันเปล่าวะ” ผมชะงักเล็กน้อย

            “ไป”

            ก่อนตอบกกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น...

            โชคดีที่ผมมีเพื่อน ถ้ามันจะเป็นหนทางเดียวผมก็ไม่ลังเล ผมจะลองพยายามดูสักตั้ง...

            ผมจะไม่รอให้มันบอกว่าให้ห่างกัน แต่ผมเองจะเป็นคนที่ห่างออกมา...

+++++++++
วันนี้คนเขียนทอร์ค(พี่ Blue-Legend)หาย ไว้จะมาตอนหลังนะคะ  ขอบคุณที่ติดตามค่ะ
+++++++++


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-02-2018 20:27:47 โดย Boorina »

ออฟไลน์ fullfinale

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 666
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
^^^^^

จิ้มตูด

เจี๋ยไมพูดงี้อ่ะ :z3: :z3: :z3:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ลองดูซิ ถ้าป่านหายไป เจี๋ยจะคิดถึงไหม จะยังมีใจให้กันและกันหรือเปล่า  :o12:

ออฟไลน์ Boorina

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 50
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0


ซีรีส์ชุด Intania ภาค CE

เรื่อง  Breaking Way
[CE : Civil Engineering   วิศวกรรมโยธา ]
เขียนโดย  Blue-Legend
 
6

จากใจคนซึน

 

            เราออกเดินทางกันตั้งแต่บ่ายวันศุกร์ เพื่อพบกับความห่อเหี่ยวเงียบงัน ก่อนออกจากห้องยังไร้ความสนใจไยดี เป็นคืนวันศุกร์ที่นอนไม่หลับกระสับกระส่าย เพราะคิดถึงใจแทบขาด อีกใจกลับแอบกลัวว่าความห่างจะทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป ที่หวั่นใจคงไม่พ้นไอ้เจี๋ยค้นพบว่าการไม่มีผมในชีวิตเป็นลาภอันประเสริฐ

            วันเสาร์ยิ่งปั่นป่วนหนัก ผมค้นพบว่าการห่างกับไอ้เจี๋ยเพียงวันเดียวแทบทำให้ผมคลั่ง สับสน กลัว จิตตก ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายมันดิ้นพล่านอยู่ภายในจนแทบอยากรี่กลับไปหาไอ้เจี๋ยเสียเดี๋ยวนั้น

            มันไม่ง่ายและไม่เคยง่ายเลย โดยเฉพาะมีบางสิ่งเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้ผมกระวนกระวายหนัก

            “ไอ้ป่านนรก โทรศัพท์มีไว้ฟังเสียงเพลงรอสายเรอะ ครีมอาบน้ำหมด!”

            “อยู่ในถุงบนโต๊ะกลมข้างตู้เย็น...” เอ่ยเสียงงัวเงียตอบ

            “เออ แค่นี้แหละ!” ยังไม่ทันตั้งตัวสายก็ถูกตัด

            เป็นสายแรกในรอบเกือบวันที่โทรมาในเวลาตีห้าครึ่งซึ่งผมเพิ่งเคลิ้มหลับเพียงชั่วโมงเดียว สติสตังไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่รู้ว่าโทรศัพท์ดังอยู่นานแค่ไหน รู้ตัวก็มีตีนมาสะกิดยิกๆ ให้คว้ารับมึนๆ และนั่นเป็นสาเหตุให้ความคิดถึงเพิ่มเท่าทวีคูณ แค่ได้ยินเสียงเพียงครู่แทบอยากหายตัวแว๊บไปจากตรงนั้น และเพราะเพิ่งตื่นแม้คิดจะเรียกรั้งอยู่คุยก็ไม่ทันเสียแล้ว

            “เน็กไทด์อยู่ไหนวะ เอาไปเก็บบ้านป้ามึงเหรอ กูต้องไปเสนอธีสิส...”

            “อยู่ลิ้นชักด้านซ้ายในตู้เสื้อผ้ารวมกับหัวเข็มขัด เข็มติดไทอยู่ในกล่องเล็กๆ”

            สายที่สิบในเวลาแปดโมงเช้า ขณะที่ผมอยู่ในโรงงานหน้าเบ้าหลอมเหล็กกล้าควบคุมอุณหภูมิ 950-1200 องศาเซลเซียส ได้ยินเสียงโวยวายเล็ดลอดจากปลายสายเหมือนห้องถูกรื้อค้นจนกระจุย

            สายที่ 13 เวลา 8:30

            “รองเท้าหนังกูล่ะ”

            “เพิ่งเอาออกมาขัด ตากลมไว้ข้างทีวี ลืมเก็บ”

            “สมองเสื่อมหรือสมองกลวง!”

 

            สายที่ 14 เวลา 8:52

            “กุญแจดอกไหนไขอะไรวะ หรือไม่ต้องล็อกปล่อยให้โจรมายกเค้าแม่ง”

            “ดอกใหญ่สีเงินล็อกลูกบิด สีทองอันเล็กคล้องแม่กุญแจอีกชั้น”

 

            สายที่ 15 เวลา 8:58

            “จักรยานยางแบน เฮงซวยเอ๊ยยยย คนยิ่งรีบๆ”

            “เดินถัดไปอีกสองซอยเลี้ยวขวาหน้าหอสีชมพูมีวินมอ’ไซค์ ซอยถัดไปมีร้านปะยางไว้กลับมาค่อยไปเอาซ่อม...”

 

            ผมผ่อนลมหายใจ สมองคิดวนเวียนอยู่กับไอ้เจี๋ยเฮงซวยนรกแตกที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เหมือนเด็กอายุสามขวบ เป็นห่วงอยากกลับไปดูแลเหมือนเคยแต่ก็ทำไม่ได้ สายตายืนมองกระบวนการขึ้นรูปเหล็กกล้าเป็นท่อนรางรถไฟ ใจกลับห่วงหากลับไปอยู่กับอีกคน

            เรามาเป็นหมู่คณะเล็กๆ ก็จริง อาจารย์ที่มาถึงจะสนิทด้วยเป็นกันเอง แต่ก็ติดสอยห้อยตามรถเขามา จะทำตัวเป็นภาระเหมือนที่ไอ้เจี๋ยเคยปรามาสไว้ไม่ได้ บอกตัวเองให้อดทนไว้ พรุ่งนี้ก็กลับแล้ว

            ผมตัดสินใจพิมพ์ข้อความส่งหา...

 

            สุดสายป่านคือลิง : กลับห้องเมื่อไหร่อย่าลืมแวะเอาข้าว โทรบอกป้าเจ้าของร้านไว้แล้ว

 

            เวลาล่วงเลยไปยันช่วงบ่ายที่มีการทดสอบคุณภาพเหล็กด้วยคลื่นเสียงอัลตราโซนิกหารอยแตกร้าว วัดค่าความสึกกร่อน ค่าเปอร์เซ็นต์ซัลเฟอร์ ความเค้นความเครียดและอื่นๆ อีกมากมายจิปาถะหลายรายการ การทดสอบเหล็กทุกขั้นตอนผ่านกระบวนการอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพื่อให้ได้มาตราฐานสำหรับทำรางรถไฟ ก่อนเดินทางต่อไปยังไซต์งานที่สถานีรถไฟชานชาลาประจำจังหวัดซึ่งเริ่มก่อสร้างวางระบบรางไปบ้างแล้ว

 

            สายที่ 21 เวลา 14:24

            “ไม้บัลซ่าที่ฝากซื้อ กลับมาเมื่อไหร่จะเอาตีแสกหน้าแม่ง โว้ยยยย”

            “แล้วถ้าไม่กลับล่ะ” ผมหยั่งเชิง แม้จะกลัวในคำตอบ

            “จะตามไปตีแสกหน้าถึงคณะ!” ผมหลุดขำพรืดเบาๆ ก็สมเป็นไอ้เจี๋ยดี

            “ไม้อยู่บนชั้นวางรองเท้าข้างประตู...”

 

            ผมรับรู้ว่าบางสิ่งบางอย่างเริ่มเปลี่ยนไป อย่างน้อยก็ใจผมที่เริ่มบรรเทาเบาบางและปล่อยวาง อาจเป็นเพราะคำตอบที่ผมกลัวนักกลัวหนาว่าไอ้เจี๋ยจะตอกหน้าหงายกลับมาอย่าง ‘ก็เรื่องของมึง’ หรือ ‘กลับชาติหน้ากูก็ไม่ว่า’ มันเปลี่ยนไป แม้จะไม่คาดหวังคำพูดหวานเพราะเสนาะหู แต่ไม่ตัดรอนนั่นถือเป็นเรื่องดี

            ใจที่กระสับกระส่ายกลับเริ่มเต้นนิ่งอย่างสงบ หันกลับไปสนใจเรื่องการวางระบบรางซึ่งพี่วิศวกรกำลังอธิบายเรื่องระห่างของรางคู่ให้ได้ระยะ 1.435 เมตร ก่อนอธิบายระบบไฟฟ้าที่ต้องวางคู่กัน ไม่ลืมที่จะให้พวกเราลงหน้างานจริงช่วยแบกเหล็ก ตอกค้อนโป้กๆยึดรางเหนื่อยสายตัวแทบขาด ในขณะที่เพื่อนสองตัวดอดไปแอบสบายเสนอหน้าพี่วิศวกรให้สอนวิธีบังคับรถเครน

            กว่าจะกลับก็เย็นย่ำค่ำมืด อาจารย์ไม่ลืมที่จะพาไปทานอาหารร้านเด็ด ซึ่งก็โซ้ยกันแหลกเหมือนอดอยากหิวโหยเป็นชูชก ถึงที่พักก็แทบหมดแรงข้าวต้มนอนเป็นผักเน่าแผ่พังพาบ

 

            สายที่ 54 เวลา 21:43

            “ส้วมตัน”

            ผมหัวเราะขำอย่างอารมณ์ดีนอนเกลือกกลิ้งพลิกไปมาบนฟูก แนะนำให้ถ้ามันปวดหนักก็ไปขอใช้ห้องน้ำด้านล่าง แต่ดูเหมือนมันจะแค่โทรมากวนใจอย่างนั้น สองคำสั้นๆ ที่ติดนอยด์หน่อยๆ ไม่ใช่เพราะอารมณ์เสีย แต่คงเพราะขี้เกียจพูดเนื่องจากด่าผมมาทั้งวันจนแทบไม่เหลืออะไรไว้ให้ด่า

            ผมไม่เคยรู้ว่าการเว้นระยะห่างระหว่างกันมันจะมีความสุขได้ถึงขนาดนี้ เรื่องราวที่เกิดเมื่อสองวันก่อนเหมือนจะจางหายไปกลายเป็นแค่ละอองฝุ่นไร้ค่า เพราะอารมณ์ดีผมจึงสานต่อบทสนทนาสายนี้เสียยืดยาวบอกเล่าเรื่องราวนู่นนี่ที่ทำมาทั้งวันอย่างสนุกสนาน นอนมุดตัวคุดคู้ใต้ผ้าห่มคุยจ้อ ได้ยินเสียงตามสายด่าว่า รำคาญบ้าง ปัญญาอ่อนบ้าง ตอบรับงึมงัมบ้าง ในขณะที่เพื่อนอีกสองตัวในห้องกรนลั่นไม่สนใจ

            โมเม้นท์นี้เลย... แม่งเหมือนจีบกันใหม่ๆ

            ตุ้ด ตุ้ด...

            “อ้าวเชี่ย แบตหมด”

            ผมไม่รู้ว่ามันได้ยินประโยคสุดท้ายหรือเปล่า เพราะเมื่อมองหน้าจอก็ดับวูบดำสนิทไปซะแล้ว เสียดายทั้งที่เพิ่งคุยกันเพียงสิบกว่านาทีแต่ผมกลับรู้สึกว่าผ่านไปเร็วมาก อยากคุยต่อหรืออย่างน้อยแค่อยากบอกว่าคิดถึง โทษอะไรไม่ได้นอกจากความสะเพร่าของตัวเองแท้ๆ ที่ดันลืมเสียบชาร์ตเพราะรับโทรศัพท์ไอ้เจี๋ยทั้งวัน ถึงจะแค่ครั้งละ 1-2 นาทีแต่ด้วยจำนวนสายมหาศาลจึงไม่แปลกใจที่แบตจะหมด

            ผมดึงสายมาเสียบชาร์ต แบตก็ดันเสื่อมปกติกว่าจะชาร์ตเข้าเปิดเครื่องติดปกติก็ราวห้านาทีจึงตัดสินใจวางเครื่องไว้บนโต๊ะข้างหัวเตียงโดยไม่ได้เปิด แม้จะอยากโทรไปบอกฝันดีแต่เพราะได้เรียนรู้ว่าประสิทธิภาพของความห่างมันเกิดผลเท่าทวีคูณขนาดไหน สุดท้ายตัดสินใจจะไม่โทรไปกวน ถึงผมจะมีความสุขแต่ไอ้เจี๋ยอาจรำคาญ ปล่อยให้มันทำงานที่มันบ่นเบาๆ ว่านั่นก็ไม่เสร็จ นี่ก็ยังเหลือไปก็แล้วกัน

            ผมหลับตาพักสายตาบวกกับความเหนื่อยอ่อนเมื่อยล้าจึงผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว

            ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาท่ามกลางความมืด... งัวเงียคว้าโทรศัพท์ข้างหัวเตียงมาเปิด หน้าจอสว่างวาบบอกเวลาตีสี่ หลังจากเครือข่ายโทรศัพท์ต่อสัญญาณสี่จี ข้อความก็เด้งเข้ารัวๆ

 

            22:48 เฮ่งเจี๋ย : ปิดเครื่องทำซาก ทำน้ำหกบนเตียง ผ้าปูเตียงอยู่ไหนวะ

            23:22 เฮ่งเจี๋ย : โทรไปจะครบร้อยสายแล้วนะ เปิดเครื่อง!

            23:22 เฮ่งเจี๋ย : ไม่เปิดก็ตอบข้อความด้วย!

            23:45 เฮ่งเจี๋ย : นี่มึงหลับหรือมึงตาย ห๊ะ ไอ้ป่าน!

            00:01 เฮ่งเจี๋ย : ไอ้ป่าน อแดปเตอร์พัง...

            00:01 เฮ่งเจี๋ย : ตอบข้อความกูเดี๋ยวนี้!

            00:33 เฮ่งเจี๋ย : เชี่ย ไฟดับตอนเที่ยงคืน คอมก็พัง โมเดลก็ตัดไม่ได้ เทียนอยู่ไหนวะ!

            00:33 เฮ่งเจี๋ย : ดับทั้งตึกเลยไอ้ห่า

            00:35 เฮ่งเจี๋ย : กูต้องไปนอนใช่ไหม

            01:56 เฮ่งเจี๋ย : นอนไม่หลับ บนเตียงชื้นโคตรหนาว เลยย้ายมานอนบนพื้น แข็งโคตร...

            01:56 เฮ่งเจี๋ย : ไอ้ป่าน ตื่นมาคุยกับกูดิวะ

            01:56 เฮ่งเจี๋ย : กลับมาแล้วไปกินข้าวข้างนอกกันไหมวะ

            01:57 เฮ่งเจี๋ย : กูเริ่มอารมณ์เสียแล้วนะ

            01:57 เฮ่งเจี๋ย : ถ้าไม่ตื่นตอนนี้ก็ไม่ต้องตื่นอีกเลยนะ ไปตายที่ไหนก็ไป!

            01:58 เฮ่งเจี๋ย : หงุดหงิดโว้ยยยยย

            01:58 เฮ่งเจี๋ย : ไอ้ป่าน! ไอ้เลว!

            01:58 เฮ่งเจี๋ย : ไอ้ป่าน! ไอ้เฮงซวย!

            01:58 เฮ่งเจี๋ย : ไอ้ป่าน! ไอ้สันดานเสีย!

            01:58 เฮ่งเจี๋ย : ไอ้ป่าน! ไอ้เด็กขี้งอแง!

            01:58 เฮ่งเจี๋ย : ไอ้ป่าน!!!

            01:59 เฮ่งเจี๋ย : น้องป่าน…

            02:01 เฮ่งเจี๋ย : คิดถึง...

 

            นั่นเป็นข้อความสุดท้ายที่ผมได้รับ... บอกไม่ถูกว่าควรรู้สึกแบบไหน

            งง?

            ใช่

            ดีใจ?

            โคตรๆ

            ไม่ว่าจะรู้สึกแบบไหน สิ่งแรกที่ผมทำคือกดโทรศัพท์โทรออกด้วยความไวแสง เพื่อพบว่ามัน...ปิดเครื่อง

            ผมยิ้มแก้มแทบแตก นั่งจ้องโทรศัพท์อ่านข้อความย้อนเป็นสิบร้อนเหมือนคนบ้า เสร็จก็กลิ้งม้วนตัวบนเตียงผงกหัวขึ้นมาอ่านแล้วก็กลิ้งกลับ เสือกกลิ้งเลยพลัดตกเตียงจนสะโพกเคล็ดแต่กลับไม่รู้สึกเจ็บ ไม่เคยคิดว่าการเลือกที่จะห่างออกมาเพียงเล็กน้อยมันจะได้ประสิทธิผลคุ้มค่าถึงเพียงนี้ ไอ้เจี๋ยโคตรน่ารักเลย

            โอย... ผมหลงมันจนโงหัวไม่ขึ้นแล้วเนี่ย

            กูจะบ้าตาย!

            ถ้ามันอยู่ใกล้ตอนนี้ผมคงกระโดดกอดหอมฟัดรัดรึงให้สมกับความคิดถึงที่เราต่างมีให้กัน อยากกระชากไอ้เพื่อนตัวดีทั้งสองซึ่งนอนกรนคร่อกก่ายขากันไปมาแลบลิ้นเลียแผล่บขนหน้าแข็งอีกฝ่ายก่อนขมวดหน้าหยี ให้ตื่นมาพาผมกลับเสียเดี๋ยวนั้น

            กลับถึงห้องเมื่อไหร่ผมจะจัดหนักจัดเต็มให้หายคิดถึงเลยครับ...พี่เจี๋ย

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

สวัสดีครับ วันนี้มาแบบสุภาพเรียบร้อยนิดนึง หายไปหนึ่งวัน...
เป็นไงล่ะมึง อิเจี๋ย ขาดป่านไปรู้สำนึกแล้วหรือยัง ชีวิตเป็นง่อยเลย สมน้ำหน้าาา !*&#IUEQ&*GI*(**# ฟ้าคคคคคค  :m31: :m31: :m31:
อุ้ย โทษทีหลุดหยาบคาย ลืมตัวอินเกินไปนิดนึง :เฮ้อ: :เฮ้อ:
กลับเข้าสู่โหมดเรียบร้อยอีกครั้ง หายไปวันนึงคิดถึงเค้ามั๊ย แต่เค้าคิดถึงพวกเธอทุกคนเลยนะ กระซิกๆ :m15: :m15:
ก่อนอื่นขอบคุณสำหรับคำคอมเม้นท์เช่นเคย และข้อมูลเพิ่มเติมด้วยนะ อันนี้กระซิบใครมีข้อมูลอะไรอยากบอกอยากเล่า อยากติอยากวิจารณ์ บอกมาได้เลยนะ เค้าใจกว้างเป็นมหาสมุทร แต่อย่าแรงนะ เบาๆหน่อย เค้าบอบบาง :ling3: :ling3:
ช่วงนี้เครียดๆด้วย อาจจะไม่เหมือนเดิม แล้วเรื่องก็เข้าสู่โค้งสุดท้ายแล้ว พอจบ เราก็จะไม่ได้เจอกันเหมือนเดิมอีก ฮือออออ

ทอล์กด้านล่างเหมือนเดิมเน้อออออ รักทุกคน จุ๊บๆ :กอด1:
\/
\/
\/

ออฟไลน์ Boorina

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 50
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0

พึ่งรู้แจ้งวันนี้เอง ว่าเจี๋ยปากโฮ่ง ๆ เป็นเรื่องปกติ นึกว่าจะโฮ่ง ๆ ใส่ป่านคนเดียวเสียอีก  :hao4:


ลองดูซิ ถ้าป่านหายไป เจี๋ยจะคิดถึงไหม จะยังมีใจให้กันและกันหรือเปล่า  :o12:


ตอบรวบยอดครั้งที่แล้วด้วยเนอะเธอ ปากอิเจี๋ยมันคือมหกรรมประกวดสุนัขหลากสายพันธุ์ ช่วงมัธยมมันช่วงวัยรุ่ง ช่วงป็อบปูลาร์ แล้วมันดันเสือกหลงรักเด็ก มันเลยต้องสร้างภาพนิดนึง นี่แหละคือตัวตนธาตุแท้ของมัน :angry2: :angry2: แต่ถ้าถามว่ามันยังรักป่านอยู่ไหม... เธอจะมีใจหรือเปล่าาา เธอเคยมองมาที่ฉันหรือเปล่าาา
เสียดาย ไม่มีฉากอิเจี๋ยอยู่คนเดียว แต่ดูจากแชทในไลน์แล้ว ให้บวกเพิ่มความอนาถเข้าไปอีกร้อยเท่า เหอะๆ :z2: :z2:


สถาปัตย์ 4 ปีกับ 5 ปีต่างกันที่วุฒิจบค่ะ เรียน 5 ปีวุฒิจบเป็นสถาปัตยกรรมศาสตร์ 4 ปีก็มีเป็นวุฒิวิทยาศาสตร์บ้าง ศิลปกรรมศาสตร์บ้างแล้วแต่ที่มหาลัยเปิด 

ป่านเป็นคนใจอ่อนแบบนี้ ก็ต้องยอมเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆเด้อ รอวันแตกหักอะ  :ling1: 


ข้อมูลใหม่มาอีกแล้ว ปลื้มปริ่ม แนะนำตัวหน่อยยยยซิ เค้าอยากรู้จักกกก เป็นเด็กสถาปัตย์หรือมีคนใกล้ชิดหรืออะไรยังไง อยากเสือกเต็มที่  :-[ :-[ ฮาาาาา
ตอนที่แล้วโกรธอิเจี๋ยมากก สารเลว ไม่รักษาน้ำใจคนฟังเลย เฮ้ออ ส่วนตอนนี้คงใกล้ถึงเวลาแตกหักสักที ขอให้อิเจี๋ยพบความพินาศบรรลัย ได้รู้ซึ้งว่าป่านสำคัญแค่ไหน เชอะ ใครง้ออ :m16: :m16:


ใช่ค่ะ เราเรียนถาปัตย์ 555 และแน่นอนอย่างนึงว่าชีวิตช่างไร้เวลาว่างกันเสียเหลือเกิน ได้แต่แว้บมาอ่านนิยายคลายเครียดซักหน่อย  อยากรู้อะไรก้ลองๆถามมาได้นะคะ ถ้าเรารู้เราจะตอบให้  อย่างของม.เราโรงพยาบาลพี่ปีสี่ทำน่ะ ส่วนพี่ปีห้าน่าจะกำหนดเอา ว่าอยากทำเรื่องอะไรแลเวไปเสนอกับโปรเฟสเซอร์ ปอลิง.ส่วนมากเรียนสี่ปีจะเป็นID(INFUSTRAIL DESIGN) ค่ะพวกเซฯ เทร็คไทร์ เฟอร์ กราฟฟิคค่ะ ส่วนห้าปีจะเป็นAR(ARCHITECTURE) หรือจะเรียนไปยันเต็มโควต้าเลยก้ได้


เราคุยกันส่วนตัวแล้วเนอะ ยาวเป็นสารคดีชีวิตสัตว์โลกเลย ไม่พูดซ้ำซาก ฮ่าๆ


ชอบถาปัต ชอบวิศวะ อ่านแล้วเท่ดี ว้ายมีเด็กถาปัตหลงมาด้วย กรี๊ดดดดดด :o8:  o18

เฮียเค้าปาก ห มา จังเลย ดูถิ่นด้วยเซ่ ถถถ  :z3: :z3: :z3:



^^^^^

จิ้มตูด

เจี๋ยไมพูดงี้อ่ะ :z3: :z3: :z3:


โอ้ยย อย่าจิ้มแรงง เจ็บบ :sad4: :sad4: ฮาาาาา
รอเลยนะ นั่งเฝ้าหน้าจอเลย กำลังเขียนอีกเรื่อง วิศวะกับสถาปัตย์ ตีกันชุลมุนวุ่นวายแน่นวลล แล้วจะกรี๊ดเพื่ออออ ผู้ชายเขาไม่ได้หลงมาหาเธอ เขาหลงมาหาแฟนเขา ไม่เกี่ยวออกไป ชิ่วๆ :ruready :ruready ฮาาา
เจี๋ยพูดงี้เจบจี๊ดถึงไส้ติ่งเลย เฮ้ออออ เศร้าจายยย :sad11: :sad11:


 :o12: :o12:

ทำไมต้องเศร้า


เช็ดน้ำตา แล้วมองกันได้ไหมมมมม ฉ๊านนนเป็นใคร เธอลืมไปแล้วหรือออออ :o12: :o12:
มามะให้ยืมอกซบ ไม่เศร้านะไม่เศร้า :katai3: :katai3:
ปล นึกว่าต้องรอถึงชาติหน้าตอนเกิดมาเป็นพยาธิไส้เดือนซะแล้ว ฮาาาา :laugh: :laugh:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
เหมือนหาเรื่องโทรหาน้องมากกว่านะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ larynx

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 821
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
อ้างถึง
01:59 เฮ่งเจี๋ย : น้องป่าน…

02:01 เฮ่งเจี๋ย : คิดถึง...

อ่อนหัด!!!!!!  :laugh: :laugh: ทำมาเป็นบ่นอย่างนู้นบ่นอย่างนี้ อยากได้ช่องว่างไว้หายใจ สรุปตัวเองจะขาดใจตายเพราะช่องว่างที่เคยอยากได้ สมน้ำหน้า  :jul3: 

ไม่ได้เรียนสถาปัตย์ค่ะ แต่อยากเรียน แต่ก็เลือกที่จะไม่เรียนดีกว่า ไปเรียนอย่างอื่นแทน เลยพอรู้ข้อมูลตื้นๆบ้าง

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
เจี๋ยนี่ปากอย่าง ใจอย่างใช่ไหม รับมาซะดี ๆ ปากที่บ่นกับเพื่อน ๆ ว่ารำคาญป่าน อยากจะห่างจากป่านซักพัก เป็นไงล่ะ พอป่านไม่อยู่ ก็กระหน่ำข้อความหาป่านมากขนาดโทรศัพท์ป่านต้องขอพักเครื่องเองเลย บอกตรง ๆ สมน้ำหน้าเจี๋ย แต่การกระทำครั้งนี้ก็คงทำให้ใจของป่านดีขึ้นประมาณหนึ่งนะ  :hao3:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
เจี๋ย :z6:

สมน้ำหน้า ชิส์

 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ fullfinale

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 666
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
ถ้าน่ารักขนาดนี้หนีไปให้ไกลเลย

ให้สมกับที่ทำไว้ก่อนค่อยมา  o22 o22

จะจบละหรอ ไม่นะะะะะะ เรารักพี่เจี๋ย ลัฟยูว :mew1:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
เหอะ......เจี๋ย นี่ทำเป็นบ่นเบื่อป่าน แสดงพาว หรือเปล่า
ว่าฉันเนี่ย  แฟนติดฉัน เหมือนขี้ติดตูด เปรียบเทียบซะกลิ่นมาเลย   o22 o22 o22

ป่าน ก็ดูแลเจี่ย ทำอะไรให้ทุกอย่าง เป็นแม่บ้านแม่เรือน
จนเจี๋ยแทบจะเป็นง่อยแล้ว
แล้วพอป่านไม่อยู่ด้วย
ไอ้คนที่ทำเบื่อแฟน อยากถอยห่าง
กลับทะลึ่ง.....ส่งข้อความกระหน่ำ แทบจะมือถึอไหม้ มันยังง้าย หือ.....นายเจี๋ย
เพราะไม่มีขี้ข้ารองมือรองตีน  หรือจะคิดถึงป่านจริงๆ  :hao4: :hao4: :hao4:

อยากให้มีคนมาชอบป่าน ดูซิ นายเจี๋ยจะปากหมา หรือยินดี  :hao3:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Boorina

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 50
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
ซีรีส์ชุด Intania ภาค CE

เรื่อง  Breaking Way
[CE : Civil Engineering   วิศวกรรมโยธา ]
เขียนโดย  Blue-Legend
 
CH.07

เสาเข็ม (จบภาค)



 

 

 

 

            ผมกลับถึงห้องในเวลาเกือบสี่ทุ่ม เพื่อพบเพียงความว่างเปล่า...

            สภาพห้องคล้ายผ่านสมรภูมิรบสงครามโลกครั้งที่สอง เพราะมันโคตรกระจัดกระจายไปด้วยกระดาษ หนังสือ ชีทเรียน บางส่วนยับยู่ มีก้อนกระดาษที่ถูกใช้แล้วขยำทิ้งปาเกลื่อนพื้น อุปกรณ์เครื่องเขียน อุปกรณ์ตัดทำโมเดลถูกวางทิ้งส่งๆ เรียงรายเรี่ยราด เสื้อผ้ากระจัดกระจายคล้ายถูกรื้อค้นเพื่อหาอะไรบางอย่างกองสุมเป็นมัดก้อน รวมกับเสื้อผ้าในตะกร้าที่ถูกใช้แล้วซึ่งล้มกองระเนระนาด ถ้าผมไม่เคยอยู่กับไอ้เจี๋ยมาก่อนคงคิดว่าห้องโดนยกเค้า

            ตลอดวันผมมีความสุขจนเพื่อนแทบจับเข้าโรงพยาบาลเช็คประสาทด่วนเพราะหาว่าสมองกระทบกระเทือนโดนท่อนเหล็กกล้าฟาดหัวจนติงต๊องไปแล้ว พยายามโทรหาไอ้เจี๋ยทั้งวันแต่มันกลับปิดเครื่องตลอด อยากกลับมาหาใจแทบขาดแต่ก็ต้องอดทนให้ผ่านพ้นวันสุดท้ายของการมาดูงาน ซึ่งเป็นโอกาสที่หาได้ยาก

            จากความสุขเริ่มเปลี่ยนกลายเป็นความกังวลและเป็นห่วงไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นกับไอ้เจี๋ยรึเปล่ามันถึงได้ปิดโทรศัพท์เงียบกริบ ไม่มีแม้แต่เสียงโวยวายรำคาญมาตามสายสักกริ๊งเดียว พอแยกย้ายผมก็เร่งให้ไอ้เต็นเหยียบรถยิกๆสุดตีนเพื่อกลับมาหาไอ้เจี๋ยให้เร็วที่สุด

            จากความกังวลและเป็นห่วงเริ่มเปลี่ยนกลายเป็นความร้อนรน เมื่อเดินสำรวจห้องและไร้วี่แววของไอ้เจี๋ย สมองคิดไปต่างๆ นานาว่าจะเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า ไม่รอช้าวิ่งไปทุบประตูเพื่อนข้างห้องเพื่อถามข่าวคราว ก่อนโดนด่าและบอกเล่าว่าไม่มีเหตุการณ์ผิดปกติใดๆ จำพวกรถตำรวจหรือรถพยาบาลมาวิ่งหวอจอดอยู่ใต้ตึกในช่วงสองสามวันนี้

            ผมเริ่มวิ่งพล่านตามหาในทุกๆ ที่ที่คิดว่าไอ้เจี๋ยจะไปแต่ก็ไร้วี่แวว มือก็กดโทรศัพท์ตามหายิกๆ ข้อความที่ส่งไปตั้งแต่เมื่อเช้ามันก็ไม่เปิดอ่าน จิตใจว้าวุ่นเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หรือมันโมโหมากที่ผมเงียบหายไปเมื่อวาน

            หรือมันจะทิ้งผมไปแล้ว...

            ไอ้ป่าน ไอ้โง่เอ๊ย! น่าจะสังเกตได้จากข้อความเมื่อวานแล้วว่ามันอารมณ์ไม่ดีมันกำลังโกรธ มัวแต่คิดเพ้อเป็นบ้าเป็นหลังจนลืมคิดถึงความรู้สึกอีกฝ่าย ถ้าได้รับข้อความแล้วผมรีบตรงดิ่งกลับมาอาจพอทำอะไรได้บ้าง ดันเสือกปล่อยให้เวลาล่วงเลยมาจนตอนนี้

            ผมอับจนหนทางสิ้นไร้ไม้ตอก วิ่งตามหาเป็นชั่วโมงแต่กลับปราศจากร่องรอยไอ้เจี๋ยโดยสิ้นเชิง จำใจลากสังขารอันหนักอึ้งกลับห้องด้วยความหวังว่าจะพบไอ้เจี๋ยนั่งหันหลังอยู่ที่โต๊ะตัวเดิม ผมเปิดประตูพรวดเข้าไป แต่เก้าอี้ตัวนั้นยังคงว่างเปล่า ผมก้าวเท้าไปหยุดอยู่หน้าโต๊ะทำงานที่มันมักนั่งเป็นประจำก่อนกวาดสายตามอง สะดุดเข้ากับภาพตีฟหรือ Perspective ที่เด็กสถาปัตย์มักร่างทัศนียภาพประกอบการนำเสนอโมเดลวางอยู่บนโต๊ะ

            มันจะไม่สะดุดตาผมเลยหากมันเป็นภาพตีฟทั่วไป แต่สิ่งที่ปรากฎเป็นภาพตีฟของทิวสนสองข้างทางที่เรียงรายขนาบข้างถนนเส้นเล็กๆ ซึ่งติดตรึงอยู่ในความทรงจำผมเสมือนถูกสลักทับด้วยเหล็กกล้าร้อนฉ่าบนผิวหนัง

            ผมรู้ได้ทันทีว่าจะไปตามหาไอ้เจี๋ยได้จากที่ไหน

            สุดท้ายตำนาน Breaking way ก็ดำเนินมาถึงบทสรุปบนถนนเส้นนั้น...

            จะรักหรือจะร้าง มีเพียงคนเดียวที่สามารถให้คำตอบผมได้...

            ผู้ชายร่างสูงผิวขาวหัวทุยนั่งหันแผ่นหลังกว้างทอดสายตาผ่านข้ามคลองไกลออกไปในยามดึกสงัด บนม้านั่งไม้ตัวยาวระหว่างต้นสนสองต้น มีจักรยานแม่บ้านคันโกโรโกโสจอดอยู่เคียงข้าง ผมไม่รีรอที่จะเดินไปหย่อนตัวลงนั่งเคียงข้าง

            “สุขสันต์วัน Breaking way...”

            เราต่างพูดขึ้นพร้อมกันเมื่อเข็มนาฬิกาชี้บอกเวลาเที่ยงคืนตรงแทรกบรรยากาศเงียบเชียบ มีเพียงเสียงแมลงหวีดเรไรเรียกร้องหากันราวกับขาดใจ

            “พี่เจี๋ยเบื่อป่านไหม”

            ผมตัดสินใจทำลายความเงียบเผชิญหน้ากับความจริง หากตำนานจะยังคงดำเนินต่อไปตามเส้นทางเดิมๆ ผมคงต้องทำใจยอมรับ

            อาจเพราะสรรพนามแทนตัวที่แปลกไป พี่เจี๋ยถึงได้เสมองมาด้วยท่าทางประหลาด

            “สมองกระทบกระเทือนเหรอวะ” พี่เจี๋ยก็ยังคงเป็นพี่เจี๋ยในวันนี้ ห้วนปากหมาไร้การรักษาซึ่งน้ำใจ “แล้วมึงล่ะเบื่อกูหรือยัง”

            แทนที่จะได้คำตอบกลับกลายเป็นคำถามกลับ ผมส่ายหน้าหวือ

            “ไม่... ไม่เคยเลย พี่เจี๋ยแหละเบื่อป่าน ป่านได้ยิน”

            “มึงไปได้ยินมาจากไหน” ผมอ้ำๆอึ้งๆ ถ้าบอกว่าแอบฟังมาจะโดนด่าไหมวะ

            “วันที่ป่านเอาของไปให้ที่คณะ” ผมตอบเสียงแผ่ว

            พี่เจี๋ยถอนหายใจหัวคิ้วขมวดมุ่นเงียบราวกับใช้ความคิด หรืออาจกำลังคิดว่าจะด่าผมท่าไหนดี

            “นี่ใช่ไหมเหตุผลที่มึงไปดูงานโครงการรถไฟเร็วทะลุนรก เหตุผลที่มึงทำตัวเหินห่างและแปลกไป”

            ผมพยักหน้าหงึกยอมรับ พี่เจี๋ยเงียบอีกครั้งแม้แต่ผมก็คาดเดาอารมณ์ไม่ถูก

            “เด็กโง่เอ๊ย!” พี่เจี๋ยสบถจนผมสะดุ้งโหยง “มึงไม่รู้จักกูเหรอ มึงก็รู้กูเป็นคนยังไง ปากกูก็พล่ามไปเรื่อย มึงยังจะถือสาอีกเหรอ อีกอย่าง...”

            พี่เจี๋ยเว้นจังหวะ ในขณะที่ผมรอฟังอย่างตั้งใจ

            “ถ้ามึงได้ยินกูบ่นพล่ามว่ามึงเป็นตัวภาระ มึงไม่ได้ยินที่กูพูดกับเพื่อนเหรอ ว่าสุดท้ายกูก็อยู่สอนมึงอย่างตั้งอกตั้งใจ  หรือที่กูบอกให้ห่างกัน กูก็สารภาพกับเพื่อนไปว่าพูดไม่ออกทุกครั้งเวลาเห็นหน้าหงอยๆ ของมึง”

            ไม่...ไม่เห็นเคยได้ยินเลย

            “ทำหน้าเอ๋อแบบนี้แสดงว่าเหมือนละครน้ำเน่าที่มึงหนีไปตอนกำลังพีค”

            เออแม่ง... รู้ทันผมอีก

            “รู้ตัวไว้ซะว่ามึงมีอิทธิพลกับกูขนาดไหน ขนาดห่างกันแค่สองวันกูแม่งจะลงแดงตาย ชีวิตเป๋ไปหมด จะทำอะไรก็ติดขัด ขนาดจะขี้หน้ามึงยังลอยมาทำเอาขี้ไม่ออก เฮ้ออออ”

            โอ๊ยย... แม่ง! ชื่นใจว่ะ

            ผมโผกอดคนข้างๆ ใบหน้ามือเมอสั่นไปหมด เกาะกุมไหล่เจ้าตัวแน่น ปลายจมูกสัมผัสข้างแก้มอย่างโหยหา ไล้คลอเคลียส่ายไปมาหยอกเย้า อยากกอดรัดฟัดย้ำให้หนำใจเสียแต่มันประเจิดประเจ้อเกินไป ก่อนจะโดนมืออุ่นผลักหัวออกห่าง ผมจึงยอมปล่อยมือจากหัวไหล่กลับมานั่งเคียงข้างอย่างเดิม

            “กูไม่เคยคิดเลยนะว่ามึงจะกล้าห่างจากกู ติดกูซะ นิสัยก็เด็กขนาดนี้”

            “เพราะผมได้เรียนรู้ว่าการใกล้กันเกินไป บางทีก็ทำให้พี่เจี๋ยรำคาญ”

            “ใช่ กูรำคาญบ้าง แต่ไม่เคยอยากให้มึงหายไปจากชีวิตนะไอ้ป่าน”

            “ทำไมวันนี้พี่เจี๋ยน่ารักจัง”

            ผมสังเกตเห็นมือกระตุกกำแน่น ใบหน้าขึงตึงขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ ในยามปกติผมคงโดนทุบหลังกระอักไม่ก็โดนด่าเละไปแล้ว นั่นเป็นสิ่งที่ผมได้เรียนรู้ว่าเป็นการกระทำเวลาพี่เจี๋ยเขิน

            “ต่อไปนี้ผมจะเว้นช่องว่างให้พี่เจี๋ยมีเวลาส่วนตัวบ้าง แต่อย่าหวังว่าผมจะเลิกอ้อนเลิกติดพี่นะ เตรียมใจไว้ได้เลย”

            น่าแปลกที่วันนี้แค่มองตา... ผมกลับเข้าใจพี่เจี๋ยอย่างลึกซึ้ง... เราต่างเข้าใจกันและกัน

            “วิหารต่อให้สวยงามตระการตา หรือเป็นมรดกล้ำค่าของโลกขนาดไหน แต่หากเสาของวิหารที่คอยค้ำจุนความยิ่งใหญ่  อยู่ใกล้กันมากเกินไป ความสมดุลก็จะสูญเสีย วิหารจะล่มสลายกลายเป็นเพียงเศษซากอิฐซากปูนไร้ค่า นั่นคือสิ่งที่ว่าที่วิศวกรโยธาในอนาคตอย่างผมเรียนรู้”

            “น้ำเน่า! มึงไปหัดน้ำเน่ามาจากไหนไอ้ป่าน กูอยากสำรอก” ไม่ว่าเปล่าโก่งคออาเจียนซะผมหมดอารมณ์ อุตส่าห์สร้างบรรยากาศเสียโรแมนติก พี่เจี๋ยเมื่อห้าปีก่อนหายไปไหน!

            ผมเอนหัวพิงซบศีรษะอีกฝ่าย อยากยืดเวลานี้ออกไปให้นาน ไม่ต้องแสดงออกว่ารักมากมาย แค่เราเข้าใจกัน และเว้นช่องว่างระหว่างกันให้ได้ระยะพอเหมาะแบบตอนนี้ก็พอ

            ราวกับใจตรงกันเมื่อต่างคนต่างผินใบหน้าหาอีกฝ่าย ระยะที่คิดว่าเว้นไว้พอเหมาะกลายเป็นรู้สึกห่างเกิน ก่อนถูกดึงดูดด้วยแรงโน้มถ่วงบางอย่างจนริมฝีปากประกบแนบชิด

            เป็นจูบดูดดื่มที่หวานปานน้ำผึ้งเดือนห้า ต่างคนต่างคล้ายโหยหาประกบจูบย้ำฉ่ำหวาน ผลัดกันดูดดุนชิมรสความชุ่มชื้นจากริมฝีปากอีกฝ่าย รสสัมผัสอ่อนนุ่มละมุนราวปุยนุ่นชวนให้เคลิบเคลิ้มจนหลงติดอยู่ในวังวนตัณหา ความเชื่องช้าแปรเปลี่ยนเป็นความเร่าร้อน กระทั่งลมหายใจยังหนักหน่วงคุกกรุ่น ต้องการและต้องการมากขึ้น จวบจนสัมผัสได้ถึงฝ่ามือผลักรั้งบริเวณหัวไหล่ จึงต้องผละออกอย่างจำใจและอ้อยอิ่ง

            “พอก่อน… ใกล้เกินไป อดอยากมาจากไหนวะ” ผมส่งสายตาน้อยใจตัดพ้อ

            ยังจะกล้าถาม... ครึ่งปีเลยนะเว้ย!

            “ถ้าพี่เจี๋ยไม่พอใจ ป่านห่างออกมาอีกหน่อยก็ได้” เอ่ยอย่างเอาแต่ใจแกมประชดประชันแบบเด็กๆ

            “ห่างได้...” โหยแม่งน้อยใจว่ะ ไม่ง้อหน่อยเหรอ เฮ้ออ “แต่ไม่เอาแบบวันก่อน”

            ผมชะงัก แอบดีใจลึกๆ ด้วยหัวใจพองโต...

            “เพราะอย่าลืมว่า... ถ้าเสาของวิหารทั้งสองห่างกันเกินไป วิหารก็ล่มสลายได้เหมือนกัน และนั่นเป็นมุมมองของว่าที่สถาปนิกในอนาคต”

            และเรื่องราวระหว่างป่านกับพี่เจี๋ยก็ดำเนินมาถึงตอนจบ มันอาจไม่ได้หวานอิ่มเอมจรรโลงใจแบบที่หลายๆ คนคาดหวัง แต่นั่นคือชีวิตจริงที่มีทั้งสุข เศร้า เคล้าหน่วง ทะเลาะเบาะแว้งกันบ้างบางเวลา หวานกันตามอัตภาพจะเอื้ออำนวย แต่มันเป็นตำนานรัก Breaking way ที่เราสองคนบรรจงสร้างด้วยมือและพร้อมที่จะเรียนรู้ไปด้วยกัน

            ตำนานรักบทนี้ยังไม่จบและยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ตามเส้นทางของมัน หากมีใครเรียกร้องว่ามันยังไม่อิ่มไม่สุดอยากฟินกันอีก ผมก็อาจโผล่มาเล่าเรื่องราวหวานชื่นหลังจากนี้ ซึ่งสามารถรับประกันได้เลยว่าคงต้องโดนด่าอีกแน่ เพราะดันกลับกลอกหลอกลวงไปมา หวานหรือดราม่า สุขหรือจะเศร้า หักมุมกันไป แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำ...

            สุดท้ายป่านกับพี่เจี๋ยก็ได้ครองรักคู่กัน...ตลอดกาล

            แต่คนอย่างป่านใจดีอยู่แล้ว งั้นขอแถมให้อีกนิด เพื่อไม่ให้ทุกคนค้างคา...

            ผมชวนพี่เจี๋ยปั่นจักรยานกลับห้องบนเส้นทางเดิมที่เราเริ่มต้นเมื่อห้าปีก่อน ผมจับจักรยานคันโกโรโกโสมั่นในขณะที่พี่เจี๋ยกวาดขาขึ้นคร่อมเบาะหลัง

            ผมโน้มใบหน้าเข้าใกล้ใบหูก่อนกระซิบถ้อยคำที่หวานซึ้งที่สุดในโลก...

            “กลับถึงห้อง ตอกเสาเข็มกันนะ”

            อดมาตั้งครึ่งปี ขอหน่อยเถอะ!

- จบภาคแล้วจ้า -

คุยกับ Blue-Legend

ตอกเสาเข็มคืออะไยหยอ? เค้าไม่ยู้ มองตาเค้าสิ ใสๆ

เอาความจริง ความหมายที่ผมต้องการสื่อก็คือ เมื่อจะเริ่มสร้างบ้านหลังหนึ่ง ต้องมีการลงเสาเข็ม เพื่อวางรากฐานที่มั่นคง ชีวิตคู่ก็เช่นกัน ดังนั้นป่านจึงต้องชวนเจี๋ยตอกเสาเช็ม โอเค๊ เก็ทนะ อย่าทะลึ่ง อย่าหื่น อย่าด้าน

ทีสุดเรื่องราวก็ดำเนินมาถึงตอนจบ ให้พูดความจริงคือใจหาย ป่านกับเจี๋ย ตัวละครทั้งสองตัวแม้ผมจะเริ่มเขียนขึ้นมาในช่วงเวลาสั้นๆ แต่เป็นตัวละครสองตัวที่มีแง่มุมชีวิตที่แตกต่าง ทำให้ผมรู้สึกผูกพันธ์และรักตัวลครสองตัวนี้จริงๆ

ชอบความเป็นเด็ก ติดพี่ ชอบเรียกร้องความสนใจ และการเอาใจใส่ของป่าน ชอบความปากหมาหน้าซึนของเจี๋ย

สุดท้ายผมหวังว่า นักอ่านจะได้แง่คิดดีๆจากการอ่านเรื่องนี้ นอกเหนือไปจากอ่านเอาสนุก เอาดราม่า เอาฟิน และขอบคุณทุกคนที่ให้การสนับสนุนเสมอมา แม้เป็นนักอ่านกลุ่มเล็กๆ แต่มันเป็นกำลังใจที่สำคัญ ไม่รู้จะพูดอะไรได้มากไปกว่าคำว่าขอบคุณ

พูดเหมือนจะไปแล้วไปลับไม่กลับมา ผมยังไม่ตาย อย่าเพิ่งสวดส่ง ฮ่าๆ ท้ายที่สุด ฝากเรื่องลำดับต่อไปในซีรีย์ชุดนี้ด้วย กับเรื่อง...

เสือนับแต้ม ภาค ME ( ME : วิศวกรรมเครื่องกล ) เขียนโดย Boorina

น้องบูของเรานั่นเอง น้องอาจจะพูดไม่ค่อยเก่ง แต่รักหมดใจนะ ตัวจริงน้องจะเป็นคนเอ๋อๆ เบลอๆ โง่ๆหน่อย ฮาาาา ฝากน้องสาวผมด้วย ให้การสนับสนุนต่อไปเรื่อยๆนะคร้าบ

จนกว่าจะพบกันใหม่...บะ บายยยยยยย

ไม่ลืม ทอล์กส่งท้าย ด้านล่างเหมือนเดิมจ้าาาา

\/

\/

\/

Blue-Legend


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-02-2018 17:21:50 โดย Boorina »

ออฟไลน์ Boorina

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 50
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0

เหมือนหาเรื่องโทรหาน้องมากกว่านะ



ใจมันเรียกร้องอ่ะเนอะ ทำไงได้ ความจริงคือไม่มีป่าน เจี๋ยมันอยู่ไม่ได้หรอก ถึงจะปากร้ายแต่มันก็รักของมัน



อ้างถึง
01:59 เฮ่งเจี๋ย : น้องป่าน…


02:01 เฮ่งเจี๋ย : คิดถึง...


อ่อนหัด!!!!!!  :laugh: :laugh: ทำมาเป็นบ่นอย่างนู้นบ่นอย่างนี้ อยากได้ช่องว่างไว้หายใจ สรุปตัวเองจะขาดใจตายเพราะช่องว่างที่เคยอยากได้ สมน้ำหน้า  :jul3: 


ไม่ได้เรียนสถาปัตย์ค่ะ แต่อยากเรียน แต่ก็เลือกที่จะไม่เรียนดีกว่า ไปเรียนอย่างอื่นแทน เลยพอรู้ข้อมูลตื้นๆบ้าง



แลดูสะใจ ได้ยินเสียงหัวเราะร้ายเหมือนจอมมารดังแว่วมา หวังว่าคงเข้าใจความเจี๋ยเนอะ ถ้าป่านจะไปจริง เจี๋ยมันไม่อยู่เฉยแน่ ป่านคงซวยกว่านี้ ฮาาาา

ปล เสียดายไม่ได้เรียนสถาปัตย์ ไม่งั้นคงได้รับรู้รสของการตัดโมในตำนาน จนตัวเองกลายเป็นกล้าแกร่ง อึด ถึก และทนแน่ๆ ฮ่าๆ



เจี๋ยนี่ปากอย่าง ใจอย่างใช่ไหม รับมาซะดี ๆ ปากที่บ่นกับเพื่อน ๆ ว่ารำคาญป่าน อยากจะห่างจากป่านซักพัก เป็นไงล่ะ พอป่านไม่อยู่ ก็กระหน่ำข้อความหาป่านมากขนาดโทรศัพท์ป่านต้องขอพักเครื่องเองเลย บอกตรง ๆ สมน้ำหน้าเจี๋ย แต่การกระทำครั้งนี้ก็คงทำให้ใจของป่านดีขึ้นประมาณหนึ่งนะ  :hao3:



คนที่อยู่ด้วยกันนานๆ ข้อเสีย ความเป็นตัวเองจะค่อยๆโผล่ออกมา ก็เหมือนเจี๋ยแหละ แรกเริ่มเหมือนจะเป็นคนดีสมบูรณ์พร้อมไปทุกอย่าง แต่ตัวจริงก็อย่างที่เห็น ส่วนป่านก็โตขึ้นตามกาลเวลา เพราะไม่เคยรู้จัก ไม่เคยรักใคร จึงตามติดเจี๋ย บางครั้งอาจมากเกินไป จนเจี๋ยรำคาญ ต่างคนต่างมีข้อเสียในตัว และเมื่อผ่านเวลาที่คบมาอย่างยาวนาน ทุกอย่างเลยกลายเป็นความเคยชิน ทั้งที่ทั้งสองก็ยังรักกันอยู่อ่ะเนอะ



เจี๋ย :z6:


สมน้ำหน้า ชิส์


 :L2: :pig4:



เดี๋ยวๆ ถ้าจะกระโดถีบเจี๋ย ข้ามศพป่านไปก่อนเถอะ ฉันก็รักของฉันเข้าใจบ้างไหมมมมม....



ถ้าน่ารักขนาดนี้หนีไปให้ไกลเลย


ให้สมกับที่ทำไว้ก่อนค่อยมา  o22 o22


จะจบละหรอ ไม่นะะะะะะ เรารักพี่เจี๋ย ลัฟยูว :mew1:



ผมก็รักเจี๋ยยยย ฮืออๆๆๆ เสียใจ แต่เจี๋ยเป็นของปานไปแล้ว ขอบคุณที่รักเจี๋ย เห็นคนรักตัวละครเรา มันอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้เลย



เหอะ......เจี๋ย นี่ทำเป็นบ่นเบื่อป่าน แสดงพาว หรือเปล่า

ว่าฉันเนี่ย  แฟนติดฉัน เหมือนขี้ติดตูด เปรียบเทียบซะกลิ่นมาเลย   o22 o22 o22


ป่าน ก็ดูแลเจี่ย ทำอะไรให้ทุกอย่าง เป็นแม่บ้านแม่เรือน

จนเจี๋ยแทบจะเป็นง่อยแล้ว

แล้วพอป่านไม่อยู่ด้วย

ไอ้คนที่ทำเบื่อแฟน อยากถอยห่าง

กลับทะลึ่ง.....ส่งข้อความกระหน่ำ แทบจะมือถึอไหม้ มันยังง้าย หือ.....นายเจี๋ย

เพราะไม่มีขี้ข้ารองมือรองตีน  หรือจะคิดถึงป่านจริงๆ  :hao4: :hao4: :hao4:


อยากให้มีคนมาชอบป่าน ดูซิ นายเจี๋ยจะปากหมา หรือยินดี  :hao3:

       :L1: :L1: :L1:

  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:



เข้าใจคนปากไม่มีหูรูดหน่อยเนอะ พยายามหน่อยแล้วกัน แม้มันจะไกลจากตัวตนเราก็ตาม

โลกความจริงมันไม่ได้สวยหรูอ่ะเนอะ มันจะมีวงจรของมัน ตอนเริ่มแรกรักมันก็จะเหมือนเป็นช่วงโปรโมชันหน่อย ช่วงตักตวงความสุข ผมเชื่อว่าคู่รักที่เปลี่ยนจากแฟน กลายเป็นคู่ชีวิตคงต้องผ่านเรื่องราวอะไรมามากมาย ปรับตัวและเรียนรู้ซึ่งกันและกัน

ขอบคุณที่อ่านนิยายที่ผมเขียนแล้วรู้สึกอินขนาดนี้ มันเป็นกำลังใจที่สำคัญจริงๆ

ปล พูดถึงมือที่สามแล้ว เออ อยากเห็นเจี๋ยหึงเหมือนกันเนอะ ฮ่าๆ ไว้มีโอกาสอาจมีตอนพิเศษ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ดีต่อใจ  :mew1: :mew1: :mew1:

ชอบคำคม เสาวิหารนะ อยู่ใกล้ไป.....  อยู่ห่างไป......สุดยอดดดดดด  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
แล้ว เอ่อ.....จบแบบค้างอ่ะ  ไม่ได้รู้เรื่องการตอกเสาเข็มด้วยอ่ะ  :sad4: :sad4: :sad4:

แล้วสงสัยสถานภาพ ของทั้งคู่ที่ตอนนี้ป่านสูงกว่าพี่เจี๋ย
จะมีการสลับตำแหน่งกันมั้ยนะ  o18
พี่เจี๋ย จะหวงตำแหน่งหรือเปล่านะ  :z3:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-02-2018 05:49:29 โดย ♥►MAGNOLIA◄♥ »

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
จะกลับไปตอกเสาเข็ม ทำกันดีๆ นะ เสาเข็มที่ลงเสาแรก เขาเรียกเสาเอก เป็นเสามงคล คนแก่ก็ขอให้ครองรักครองเรือนกันไปนาน ๆ นะเด็ก ๆ  :กอด1:  :จุ๊บๆ:

ออฟไลน์ fullfinale

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 666
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
อยากอ่านตอนตอกเสาเข็มจัง 555



 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด