โรคประจำตัว : ตอนพิเศษ : หวง [5/12/18]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: โรคประจำตัว : ตอนพิเศษ : หวง [5/12/18]  (อ่าน 40070 ครั้ง)

ออฟไลน์ benzdekba

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 503
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 6 [13/01/2018]
«ตอบ #30 เมื่อ13-01-2018 23:55:23 »

 :hao7:

ออฟไลน์ poppycake

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2670
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-4
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 6 [13/01/2018]
«ตอบ #31 เมื่อ15-01-2018 17:47:25 »

น้องกี้คนซื่อแห่งปี!!!
โรคประจำตัวแบบนี้ อินคงชอบน่าดู หมั่นไส้อิน 555555

ออฟไลน์ Polkaneko

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-2
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 7 [20/01/2018]
«ตอบ #32 เมื่อ20-01-2018 14:38:31 »

ตอนที่ 7

   ผมยืนมองแผ่นกระดาษที่แปะอยู่บนบอร์ดหน้าห้องเรียนด้วยความรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ บนแผ่นกระดาษสีขาวมีรายชื่อและคะแนนผลสอบมิดเทอมวิชาแคลคูลัสที่เพิ่งผ่านพ้นไปไม่นานมานี่เอง

   “เป็นไงวะ”

   แขนของเพื่อนสนิทโอบคล้องบนบ่าผมแบบที่มันทำประจำ อินเงยหน้าขึ้นไล่สายตาบนกระดาษบอกคะแนน ก่อนจะได้ยินเสียงทุ้ม ๆ เป็นเอกลักษณ์ของมันพูดด้วยน้ำเสียงที่ผมรู้สึกเสียวสันหลังวาบ

   “นายกีรติ ตั้งวัฒนาพานิช 13 คะแนน จากคะแนนเต็ม 40 คะแนน”

   ผมรู้สึกว่าวงแขนที่โอบรอบคออยู่แน่นขึ้นกว่าเดิม

   “นี่วิชาอื่นมึงได้เท่าไหร่”

   ผมเม้มปากแน่นเมื่อได้ยินคำถามของเพื่อนสนิท

   “ไอ้กี้”

   “อิ้งได้ 18 เคมีได้ 15 วิทย์ได้ 17 ... ไบโอได้ 16” ผมตอบเสียงอ่อย เตรียมตัวเตรียมใจโดนอินมันด่ายับแน่ ๆ
   แต่ผิดคาด ผมได้ยินเสียงถอนหายใจด้วยความอ่อนใจจากคนที่อยู่ข้างกายพร้อมกับวงแขนที่คล้ายออก

   “นี่มึงไม่ได้ตั้งใจอ่านหนังสือจริง ๆ จัง ๆ ใช่ไหม”

   “ก็...อ่านอยู่”

   “อ่านแล้วทำไมคะแนนถึงได้แค่นี้”

   ผมเบะปากเหลือบตาขึ้นมองไอ้คนที่จ้องผมอยู่ พอเห็นแววตาที่มองตอบกลับมาด้วยความผิดหวัง ผมก็พูดอะไรไม่ออก ได้แต่ทำตาละห้อยสำนึกผิดที่ไม่ได้ตั้งใจอ่านหนังสือตามที่บอกมันไว้

   “ไงพวกมึง ได้เท่าไหร่กันวะ”

   ชมพู่กับมายเดินมาสมทบ พร้อมกับมองคะแนนบนบอร์ด

   “กูได้ 30” ชมพู่ไล่สายตาไปเรื่อย ๆ “โห ไอ้อินมึงได้ท๊อปเซคเลยเหรอวะ”

   “อ้าว ไอ้กี้มึงตกมีนนี่”

   เออ กูรู้แล้ว มึงไม่ต้องตอกย้ำกูอีกรอบก็ได้

   “ชมพูอย่าไปย้ำกี้สิครับ แค่ตกมีนไปสามคะแนนเอง”

ไอ้มาย...มึงจะเงียบอย่างทุกทีกูก็ไม่ว่านะ

   “เห็นทีกูคงต้องทำอะไรสักอย่างละไม่งั้นมึงไม่รอดเอฟแน่”

   ผมเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนสนิทที่ทำหน้าตาจริงจังราวกับกำลังมีแผนการอะไรสักอย่าง

   “มึงจะทำอะไรวะ”

   “เดี๋ยวมึงก็รู้เอง”





   เสียงริงโทนดังขึ้นคามือในขณะที่ผมกำลังเกลือกกลิ้งเล่นเกมในโทรศัพท์มือถืออยู่บนเตียงในช่วงบ่ายวันเสาร์ ชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอทำให้ผมรีบกดรับสายทันที

“ฮัลโหลม้า”

   ‘เป็นไงเรา สอบได้คะแนนออกมาไม่ค่อยดีเหรอกี้’ ม้าผมเข้าประเด็นทันที ไม่มีเกริ่นอะไรทั้งสิ้น

   “ม้ารู้ได้ไง”

   ผมถามด้วยความตกใจก่อนที่จะนึกออกว่ามีคนเดียวเท่านั้นแหละที่ทำให้ม้ารู้เรื่องผลสอบของผมได้

   “นี่อินมันโทรไปฟ้องม้าเหรอ”

   ‘อินไม่ได้โทรมาฟ้อง แต่อินโทรมาขอม้าว่าจะให้กี้ไปอยู่ที่คอนโดด้วย อินจะได้ติวหนังสือให้’

   “ห๊ะ แล้วม้าว่าไง” ผมดีดตัวเด้งขึ้นจากที่นอนทันที

   ‘ม้าว่ามันก็ดีนะ เราน่ะห่วงแต่เล่นสนุก อยู่ไกลหูไกลตาม้าแบบนี้ ได้อินช่วยเคี่ยวเข็ญ ม้าก็ค่อยวางใจได้’

   “นี่ม้าไม่ไว้ใจลูกตัวเองเลยเหรอครับ”

   ‘ก็เพราะม้ารู้ดีว่าเราเป็นยังไงถึงได้เป็นห่วง นี่ถ้าอินไม่รับปากว่าจะช่วยดูแล ม้าก็ไม่ยอมให้เราไปเรียนที่กรุงเทพหรอก’

   “ม้าอ่ะ กี้โตแล้วนะ”

ผมเบ้ปาก อินมันเป็นลูกรักของม้าผมครับ รูปหล่อ เรียนดี กีฬาเยี่ยม กิจกรรมเด่น ม้านี่ปลื้มมากที่อินเป็นเพื่อนสนิทผม ไม่ว่าอินจะชวนผมไปทำอะไรม้าก็เห็นดีเห็นงามไปเสียหมด

   ‘ไปอยู่กับอินก็ทำตัวดี ๆ นะกี้”

   “ม้า...นี่ลูกชายคนเล็กของม้าเองนะ”

   ‘เอาเป็นว่าตั้งใจเรียน รักษาเนื้อรักษาตัวด้วยนะลูก’

   “ครับ หวัดดีครับ”

   ผมวางสายม้าแล้วกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ห้องพักที่เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ไม่ถึง 3 เดือน อุตส่าห์ได้อยู่สบาย ๆ ชิล ๆ คนเดียวแล้ว นี่ผมต้องย้ายไปอยู่กับไอ้อินมันจริง ๆ เหรอเนี่ย ก่อนจะคว้าหนังสือการ์ตูนที่วางอยู่ขึ้นมานอนอ่าน เรื่องจะย้ายไปอยู่กับอิน ช่างมันก่อนเถอะครับ

   ก๊อก ๆ

   ใครมาวะ ผมลุกขึ้นไปเปิดประตูโดยที่ยังถือหนังสือการ์ตูนไว้ในมือ

   “เก็บของยัง”

   ไอ้เพื่อนรูปหล่อลูกรักของม้าผมเดินอาด ๆ เข้ามาในห้องทันทีที่ผมเปิดประตูโดยไม่ต้องเชิญ

   “ม้ามึงคงโทรบอกแล้วใช่ไหม เรื่องที่กูจะให้มึงไปอยู่ด้วย”

   “ทำไมกูต้องไปอยู่ห้องมึงวะ” ผมกลับเข้าไปนั่งขัดสมาธิบนเตียงมองไอ้คนที่ยืนสูงชะลูดอยู่กลางห้อง

   “ก็ถ้าให้มึงอยู่คนเดียวเหมือนเดิม เทอมนี้มึงก็คงได้แดกเอฟจนอิ่มแน่ ๆ”

   “มึงก็พูดเกินไป วิชาไหนที่มันได้คะแนนน้อย ๆ กูว่าจะไปดรอป แล้วค่อยลงเทอมหน้า”

   “ไม่ได้ กูไม่ให้มึงดรอป”

   “อ้าว มึงเกี่ยวไรอ่ะ” คิ้วของผมขมวดเข้าหากันเมื่อได้ยินประโยคห้ามของอิน

   “ถ้ามึงดรอปเทอมนี้ เทอมหน้ามึงก็ต้องลงเรียนคนเดียว แล้วอย่างมึงนี่เรียนคนเดียวมึงคิดว่าจะรอดเหรอ สี่ปีกูว่ามึงคงไม่จบแน่ ๆ”

   “ไอ้อินมึงก็ว่าเกินไป กูไม่ได้โง่ขนาดนั้น”

   “มึงโง่กว่าที่มึงคิดละกัน”

   “ไอ้เชี่ยอิน”

มันว่าผมโง่อีกแล้วครับ อยากจะกระทืบเท้าใส่ด้วยความโมโหก็กลัวมันจะด่าว่าปัญญาอ่อนแทน

   “เร็ว เก็บของ เดี๋ยวกูจะได้ขนไปที่คอนโด” ไม่พูดเปล่า ไอ้คนเผด็จการเดินไปหยิบกระเป่าเดินทางของผมออกมาเปิดกางบนพื้นห้อง

   “แล้วห้องกูอ่ะ”

   “มึงก็ไปคืนห้องเขาซะ”

   “แต่มันจะโดนยึดค่าประกันนะโว้ย” พูดง่ายนะมึง ตอนย้ายเข้าต้องเซ็นสัญญาจ่ายค่ามัดจำค่าประกันไปตั้งเยอะ

   “แต่ต่อไปนี้มึงก็ไม่ต้องเสียค่าหอแล้ว”

เออ ว่ะ แบบนี้ก็ประหยัดไปเดือนละหลายพัน ผมนั่งคำนวณค่าขนมที่จะเพิ่มขึ้นในแต่ละเดือน แบบนี้ก็มีเงินไปเติมเกมกับซื้อการ์ตูนแล้วสิวะ

   “อย่าลีลา รีบ ๆ เก็บของเลยมึง”

   “เออ ๆ มึงพับผ้าใส่กระเป๋าให้กูด้วย”

   สุดท้ายผมก็ยอมเก็บข้าวเก็บของใส่ท้ายรถแจ๊สลูกรักของไอ้อินไปแต่โดยดี




   คอนโดของอินไม่ได้อยู่ติดมหาลัยแบบหอพักของผม แต่ก็ไม่ได้ไกลเท่าไหร่นัก ผมเคยมาที่นี่สองสามครั้ง ล่าสุดก็วันที่ฉลองสอบเสร็จจนเมาแล้วอินมันพามาค้างด้วย คอนโดนี้คุณอานพพ่อของอินซื้อไว้เมื่อสามสี่ปีก่อนเพื่อที่ว่าเวลามาทำธุระที่กรุงเทพจะได้มีที่พักและเผื่อไว้สำหรับลูก ๆ ที่เข้ามาเรียนต่อด้วย

   ผมกับอินช่วยกันขนของลงจากรถ ซึ่งไม่ได้มีอะไรมากมายนักนอกจากกระเป๋าเดินทางสองใบ ของใช้จุกจิกหนึ่งกล่องและกล่องใส่หนังสืออีกกล่องแค่นั้น ช่วยกันขนเข้าลิฟท์รอบเดียวก็เสร็จแล้ว

   “มึง”

   ผมเรียกเจ้าของห้องหลังจากที่ช่วยกันยกกล่องหนังสือใบสุดท้ายเข้ามาวางตรงโซนห้องนั่งเล่นเรียบร้อย

   “แล้วจะให้กูนอนตรงไหนวะ”

   คอนโดของอินแบ่งเป็นห้องนั่งเล่นที่รวมครัวเล็ก ๆ ไว้ด้วยด้านนอก กับห้องนอนหนึ่งห้องที่มีห้องน้ำด้วยในตัว ผมมองโซฟาขนาดไม่ใหญ่นักที่ตั้งอยู่กลางห้อง ถ้าให้นอนจริง ๆ คงไม่สบายตัวเท่าไหร่นัก

   “มึงก็นอนในห้องกับกูไง”

   “หึ ไม่เอาอ่ะ” ผมส่ายหน้า

   “เรื่องมากนะมึง มีปัญหาอะไรอีกวะ” คนตัวสูงขมวดคิ้วเข้าหากัน

   “ก็...เรื่องนั้น” ริมฝีปากถูกเม้นก่อนผมจะอธิบายต่อ “มึงก็รู้นี่ เดี๋ยวอาการมันจะกำเริบอีก”

   “อ้อ ไอ้โรคประหลาดของมึงอ่ะนะ”

   “จะว่าไป พักนี้ไม่ค่อยได้ยินมึงพูดถึงเลย”

อินเดินเข้ามายืนอยู่ตรงหน้า นัยน์ตาคมคู่นั้นจับจ้องอยู่ที่ดวงตาของผม

“ยังไม่หายใช่ไหมวะ”

   “มันไม่เป็นก็ดีแล้วป่ะ” ผมเสหลบสายตาโดยการมองไปที่ผนังห้องอย่างไร้ความหมาย

   “งั้นกูขอพิสูจน์หน่อย”

   พูดจบผมก็ถูกอ้อมแขนของคนตรงหน้ารวบเข้าทันที จนต้องหันกลับมามองหน้าคนที่เล่นอะไรบ้า ๆ

   “เฮ้ย ไอ้อินปล่อย”

ผมดิ้นขลุกขลักอยู่ในวงแขนที่รัดแน่น พยายามสลัดตัวให้หลุด

“กูบอกให้ปล่อย”

   “แบบนี้ยังโอเคใช่ไหม”

ไอ้อินไม่เพียงแม้แต่จะคลายอ้อมแขนที่กอดรัดออก แต่มันกลับก้มหน้าลงมาใกล้จนผมต้องเบือนหน้าหลบ พร้อมกับเสียงทุ้มนุ่มที่กระซิบแผ่วเบาที่ข้างหู

“แล้วแบบนี้ละ”

ผมรู้สึกถึงสัมผัสที่โฉบผ่านแก้ม สัมผัสถึงลมหายใจร้อน ๆ ที่รดลงบนแก้มด้านนั้น ทำเอาผมรู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วทั้งหน้า

พรึบ...

หัวใจของผมเต้นแรงขึ้น แต่ยังไม่เท่ากับอาการรุนแรงที่กำลังเกิดขึ้นในท้องของผมเลย เจ้าผีเสื้อนับร้อยกำลังกระพือปีกบินกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ราวกับว่าพวกมันกำลังสับสนร้อนรน ผมได้แต่ตัวแข็งทื่อรับมือกับสิ่งที่เกิดกับตัวเองไม่ถูก

   “เฮ้ย เป็นไรเปล่าวะ”

   ไม่รู้ตั้งแต่ตอนไหนที่อินมันคลายอ้อมแขนออก เปลี่ยนมาจับแขนทั้งสองข้างให้ผมหันมาเผชิญหน้ากับมัน ผมเงยหน้าขึ้นสบสายตาที่มองมาด้วยความเป็นห่วง พยายามผ่อนลมหายใจและควบคุมให้กลับมาสงบอีกครั้ง ก่อนจะปลดมือเพื่อนสนิทออกแล้วขยับตัวถอนห่างมันเล็กน้อย

   “เล่นอะไรบ้า ๆ นะมึง กูช็อกตายไปทำไง”

   “ก็นึกว่าหายแล้ว”

   “หายบ้าอะไร เมื่อกี้แม่งบินกันในว่อนในท้องกู จนกูนึกว่าจะหลุดออกมาซะแล้ว”

   ผมโวยวายกับไอ้อินที่เล่นอะไรไม่เข้าเรื่อง ผมเริ่มหงุดหงิดกับอาการบ้า ๆ ที่ทำให้ผมไม่เป็นตัวของตัวเองแบบนี้เต็มทน ผมจึงระบายใส่คนที่ตรงหน้า

“กูไม่ชอบเลยไอ้อาการประหลาดแบบนี้ เมื่อไหร่มันจะหายวะ มึงทำให้มันหายไปได้จริง ๆ เหรอวะอิน”

“เดี๋ยวมึงมาอยู่กับกูมันก็จะดีขึ้น”

“จริงเหรอวะ” ผมมองคนที่ให้สัญญากับผมอย่างไม่ค่อยไว้ใจนัก ก็มันชอบแกล้งผมนี่ครับ

“มึงเชื่อกูเหอะน่า กูมีวิธี”

มือข้างหนึ่งของอินยกขึ้นจะลูบหัวผมแบบที่มันมักจะทำเสมอเวลาต้องการปลอบใจผม แต่ตอนนี้ผมกำลังอารมณ์ไม่ค่อยดีเลยเบี่ยงหัวหลบ ทำให้มันต้องชักมือกลับไปอย่างเก้อ ๆ ก่อนจะได้ยินมันพูดเสียงอ่อน

“มึงไม่เชื่อใจกูเหรอ”

“มึงจะไม่แกล้งกูใช่ไหม” ผมเหลือบตาขึ้นมองมันด้วยความลังเล

“กับเรื่องนี้กูไม่แกล้งมึงแน่นอน”

“กูเชื่อใจมึงได้ใช่ไหม”

อินไม่ตอบ มันเพียงแต่ยิ้มให้ก่อนจะยกมือลูบหัวผมเบา ๆ ซึ่งคราวนี้ผมยอมให้มือข้างนั้นสัมผัสเส้นผมแต่โดยดี



ผมนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่บนเตียงหลังจากที่อาบน้ำเสร็จ ส่วนเจ้าของห้องกำลังอาบน้ำอยู่ โทรศัพท์ในมือถูกลดลงจากระดับสายตา ผมมองไปที่ประตูห้องน้ำอย่างชั่งใจ นึกถึงสิ่งที่เพื่อนสนิทพูดขึ้นมาเมื่อตอนเย็น


   “กูเคยบอกมึงใช่ไหมว่าการที่มึงหลบหน้าหลบตากูมันไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ถูก”

   ผมพยักหน้า จำได้ครับ ตอนนั้นที่ผมโดนพี่ต้าร์หลอกจนเกือบโดนไอ้อินโกรธ

   “นั่นแหละ กูจะบอกว่าการที่มึงไม่ยอมเข้าใกล้กูมันก็เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ”

   “แล้วจะให้กูทำยังไงวะ”

   “มึงเคยได้ยินไหมว่าการเอาชนะความกลัว มึงต้องเริ่มจากการยอมรับที่จะอยู่กับมัน” เพื่อนผมพูดด้วยสีหน้าจริงจังดูน่าเชื่อถือ แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจในสิ่งที่มันพูดอยู่ดี

   “แล้ว...มันเกี่ยวอะไรวะ กูไม่ได้กลัวมึงสักหน่อย”

   “มันก็เหมือนกัน ที่มึงไม่กล้าเข้าใกล้กูเพราะว่ามึงกลัวอาการจะกำเริบถูกไหม” ผมพยักหน้ารับ

   “เอาเป็นว่าตั้งแต่นี้เป็นต้นไป มึงต้องอยู่ใกล้ ๆ กู เพื่อที่ว่ามึงจะได้เคยชิน พอมึงชินกับการที่อยู่ใกล้กูแล้ว อาการของมึงก็น่าจะไม่เป็นขึ้นมาอีก”

   “มันจะได้ผลเหรอวะ”

   “ได้ไม่ได้ มึงลองดูก็รู้”

   “มึงแน่ใจนะ” ผมถามเพื่อนด้วยความไม่แน่ใจ

   “เอาน่า ไม่เป็นไรหรอก”




   “กี้”

    “กี้”

   “ห๊ะ” อยู่ ๆ ใบหน้าหล่อเหลาของเจ้าของห้องก็ชะโงกเข้ามาใกล้ ทำเอาผมที่นั่งคิดอะไรอยู่ผงะด้วยความตกใจ

   “เหม่ออะไรวะ กูเรียกก็ไม่ได้ยิน” อินเดินเอาผ้าเช็ดตัวไปตากไว้บนราว

   “กูคิดอะไรเพลินน่ะ ว่าแต่มึงมีอะไรวะ”

   “กูถามว่ามึงจะนอนเลยไหม จะได้ปิดไฟ”

   “เออ นอนเลยก็ได้”

   ผมถอดแว่นตาวางบนหัวเตียงก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัว แล้วล้มตัวลงนอนด้านฝั่งขวาของเตียง ตะแคงข้างหันหลังให้เหลือที่ฝั่งซ้ายไว้สำหรับเจ้าของห้อง เมื่อแสงไฟในห้องถูกดับลงผมก็รู้สึกถึงฟูกที่ยุบตัวลง ก่อนจะต้องร้องออกมาด้วยความตกใจเมื่ออินมันดึงเอวผมจากทางด้านหลัง

   “เฮ้ย”

   แผ่นหลังของผมถูกดึงเข้าไปจนชิดกับหน้าอกของคนที่ซ้อนตัวอยู่ด้านหลัง

   “อย่าดิ้น” ไม่ต้องมาเนียนทำเสียงดุใส่กูเลยไอ้อิน

   “มึงมากอดกูทำไม ปล่อย”

   “มึงจำที่เราคุยกันตอนเย็นไม่ได้เหรอ มึงจะได้ชินไง”

   “แต่ว่า...”

   “ไม่มีต่งมีแต่ กูแค่นอนกอดมึงเอง” ไม่พูดเปล่า แขนที่โอบกอดผมอยู่กระชับให้ตัวผมใกล้มันมากขึ้น ผมพยายามขืนตัวแต่แขนทั้งสองข้างก็ถูกมันรวบเข้าไปในอ้อมแขนด้วย

   “กูอึดอัด ร้อนด้วย”

ผมเริ่มฮึกฮักโวยวายหาเหตุผลหวังให้มันปล่อยตัว

   “ร้อนเหรอ เดี๋ยวกูเร่งแอร์ให้” แต่ไอ้เพื่อนสนิทผมมันกลับแค่เอี้ยวตัวไปหยิบรีโมตมาเร่งแอร์ให้เย็นขึ้นโดยที่แขนอีกข้างยังล๊อกตัวผมไว้

   “ทีนี้มึงก็เลิกโวยวายแล้วนอนได้แล้ว”

   เสียงทุ้มดังขึ้นข้างหูผมในความมืด ทั้งอ้อมกอดและน้ำเสียงของอินทำให้ร่างกายผมเริ่มต้านทานไม่อยู่ เจ้าฝูงผีเสื้อเริ่มโบยบินอยู่ภายในท้องของผมไม่ยอมพักผ่อนตามเวลาที่ควรจะเป็น ผมพยายามจะบอกสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวผมให้อินรู้

   “...มันเป็นอีกแล้วนะอิน”

   “มึงก็อย่าเกร็งสิ ทำใจให้สบาย เดี๋ยวมันก็ดีขึ้นเอง”

   อ้อมกอดที่โอบรอบตัวผมอยู่คลายออกพอให้สบายตัว เสียงทุ้มนุ่มเป็นเอกลักษณ์ของอินกระซิบบอกผมแผ่วเบาราวกับกำลังกล่อมให้ผมเข้าสู่นิทรา

   “แต่..”

   “นอนได้แล้วกี้”

   สิ้นเสียงตัดบทของอิน ก็ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของคนด้านหลังเป็นจังหวะสม่ำเสมอบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวคงหลับไปแล้ว ผมได้แต่กัดริมฝีปากล่างด้วยความอดทน ค่อย ๆ ผ่อนหายใจเข้าออกช้า ๆ ทำใจให้สงบถึงแม้ว่าเจ้าผีเสื้อตัวน้อยที่อยู่ในท้องจะไม่ค่อยให้ความร่วมมือเท่าไหร่นัก



TBC....


เนียนเลยนะอิน...

ออฟไลน์ Tiffany

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 7 [20/01/2018]
«ตอบ #33 เมื่อ20-01-2018 16:17:12 »

โถน้องกี้ เมื่อไหร่จะตามอินทัน

ออฟไลน์ poppycake

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2670
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-4
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 7 [20/01/2018]
«ตอบ #34 เมื่อ20-01-2018 16:45:07 »

อินเนียนตลอดๆๆๆๆๆ ^^

ออฟไลน์ Polkaneko

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-2
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 8 [26/01/2018]
«ตอบ #35 เมื่อ26-01-2018 20:23:49 »

ตอนที่ 8


   “กี้...”

   เสียงทุ้มที่คุ้นเคยกระซิบอยู่ข้างหู ปลุกผมให้ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ

   “ตื่นได้แล้ว”

   พอผมลืมตาขึ้นเต็มตาก็เห็นร่างสูงของเจ้าของห้องที่ผละห่างออกไป จึงลุกขึ้นนั่งพร้อมกับเลิกผ้าห่มออกจากตัว สัมผัสบางเบาที่ติดค้างอยู่บนแก้มจนเผลอยกมือขึ้นมาลูบแก้มเบา ๆ ด้วยความไม่แน่ใจ ผมหรี่ตามองคนที่ยืนแต่งตัวอยู่หน้ากระจก สบสายตาคมคู่นั้นผ่านภาพสะท้อนในกระจกเงา

   “ลุกไปอาบน้ำได้แล้ว จะได้ไปกินข้าวกัน”

   ผมสลัดความรู้สึกแปลก ๆ ออกจากหัวแล้วลุกขึ้นจากเตียงเพื่อไปอาบน้ำบ้าง พอจัดการกับตัวเองเรียบร้อยผมก็เดินออกจากห้องนอนมาหาเจ้าของห้องที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงโซฟา ไม่รู้มันจะขยันไปไหน

   “ป่ะ ไปหาข้าวกินก่อนแล้วค่อยไปซื้อของเข้าห้อง”

   อินขับรถแจ็สสีดำลูกรักของขวัญที่คุณอานพซื้อให้ตอนที่มันสอบเข้ามหาลัยได้ พาผมมาหามื้อเช้าควบเกือบเที่ยงที่ห้างสรรพสินค้าซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก จริง ๆ ผมก็อยากจะมีรถยนต์ส่วนตัวไว้ใช้บ้างเหมือนกัน ติดตรงที่ขอป๊าแล้วป๊าไม่อนุมัติ ป๊าบอกว่าผมขับรถไม่แข็ง กลัวว่าถ้าขับออกถนนใหญ่แล้วเจอรถเยอะ ๆ แบบกรุงเทพจะขับไปชนรถคันอื่น ป๊าเลยไม่ยอมให้ผมเอารถมาใช้
   หลังจากที่กินข้าวกันเรียบร้อย อินก็พาผมเดินเข้าซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ชั้นล่างเพื่อซื้อของเอาห้อง มันคว้ารถเข็นเดินนำหน้า หยิบพวกของใช้อย่างผงซักผ้า น้ำยาปรับผ้านุ่ม อะไรพวกนั้นใส่ในรถเข็น ผมปล่อยให้อินมันเป็นหยิบไป อยากใช้ยี่ห้ออะไรก็แล้วแต่มันเลยครับ ผมไม่ค่อยสันทัดเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ อยู่บ้านม้ากับพี่เลี้ยงก็เป็นคนจัดการให้หมด ต่างจากอินที่เป็นลูกคนโตของบ้าน ช่วยคุณอาเพ็ญทำงานบ้านและดูแลน้องชายอีก 2 คนตั้งแต่เด็ก

ระหว่างที่ผมเดินตามอินอยู่ก็เริ่มสังเกตว่าคนที่กำลังเดินจับจ่ายซื้อของอยู่โดยเฉพาะสาว ๆ หันมามองเพื่อนของผมที่เข็นรถอยู่ข้างหน้าด้วยความสนใจ ผมจึงสังเกตคนที่เดินอยู่ข้างหน้าบ้าง ผู้ชายตัวสูงหน้าตาอย่างกับนายแบบในชุดเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนขาเดฟสีเข้มที่ดูธรรมดา ๆ แต่ทำไมพออยู่บนตัวของเพื่อนผมคนนี้ถึงได้ดูดีนักนะ ผมที่เป็นเพื่อนมาเดินด้วยกันยังอดรู้สึกชื่นชมมันไม่ได้

   อินเข็นรถมาจนถึงชั้นที่เป็นพวกเครื่องดื่มต่าง ๆ ผมหยิบน้ำอัดลมขวดใหญ่ 2 ขวดมาใส่ในรถเข็น แต่พอเพื่อนผมมันเห็นกลับหยิบไปคืนชั้นแล้วเข็นรถไปหยิบนมขวดใหญ่รสจืดกับรสช็อคโกแลตอย่างละขวดพร้อมทั้งน้ำผลไม้กล่องใหญ่มาใส่แทน

   “กินแต่น้ำอัดลม ตัวมึงถึงได้แค่นี้”

   อินหันมาบอกผมแบบนั้นแล้วก็เข็นรถไปต่อ ปล่อยให้ผมย่นคิ้วด้วยความไม่พอใจอยู่ข้างหลัง พอเดินมาถึงชั้นขนมขบเคี้ยวต่าง ๆ ผมก็หยิบขนมถุงใหญ่ 5 – 6 ถุงหอบไปใส่ในรถเข็น พอวางปุ๊บ ไอ้อินมันก็หยิบกลับไปคืนชั้นปั๊บ เห็นแบบนั้นผมก็เลยบอกมัน

   “กูจะกินขนม”

   “ขนมถุงมันไม่มีประโยชน์ กินแต่ของแบบนี้ มึงถึงไม่โต”

   “แต่กูจะกิน”

   ไอ้คนตัวสูงหันไปหยิบป๊อกกี้รสกล้วยมาใส่รถเข็น 2 กล่อง
 
   “กูให้แค่นี้”

   “กูจะกินเลย์”

   ผมคว้ามันฝรั่งทอดใส่รถเข็นไป 3 ถุงใหญ่ ไอ้คนตัวสูงถอนหายใจแบบรำคาญเต็มแก่ ก่อนจะเอื้อมมือมาหยิบมันฝรั่งทอดในรถเข็นเอากลับไปคืนชั้นวางตามเดิม เหลือไว้ให้ผมแค่ถุงเดียว

   “แค่นี้พอ ไม่ต้องทำหน้างอเลยมึง”

   “ไอ้อิน นี่มึงเป็นป๊ากูเหรอไง”

   “กูไม่อย่าเป็นป๊ามึงหรอก ไม่อยากได้มึงเป็นลูก” มันพูดจบก็เข็นรถหนีผมไปทางกระบะผักผลไม้แทน

   “ชิ” ผมจิปากด้วยความขัดใจก่อนจะเดินตามมันไปอย่างเสียไม่ได้

   ระหว่างที่ผมกำลังยืนมองไอ้เพื่อนที่ชอบทำตัวเป็นพ่อยืนเลือกแอปเปิ้ลกับองุ่นอยู่ สายตาก็เห็นคนตัวสูงหน้าหล่อคุ้นตายืนอยู่ห่างออกไปไม่กี่เมตร

   “พี่นัท หวัดดีพี่” ผมส่งเสียงทักพร้อมกับยกมือไหว้

   “อ้าว กี้”

   พี่นัทส่งยิ้มหล่อมาให้พร้อมกับเดินเข้ามาหาพวกผม

   “มาซื้อของเหรอครับ”

   “ครับ”

   “กี้พักอยู่แถวนี้เหรอครับ พี่ก็มาซื้อของที่นี่บ่อยนะ แต่ไม่เคยเจอเราเลย”

   “ผมเพิ่งย้ายมาน่ะครับ”

   “นี่กินข้าวกันหรือยัง ไปกินกับพี่ไหมครับ เดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง ไหน ๆ ก็เจอกันทั้งที”

   “ว้า เสียดายจังพี่ พวกผมเพิ่งกินมาน่ะครับ อดกินของฟรีเลย นาน ๆ จะมีคนอาสาเป็นเจ้ามือสักที”

   ผมแกล้งทำทางเสียอกเสียดายเหลือเกิน เรียกรอยยิ้มขำ ๆ จากรุ่นพี่

   “งั้นไปหาขนมกินแทนก็ได้”

   ผมยิ้มกว้างกำลังจะอ้าปากตกลง แต่ไอ้คนที่มาด้วยกันก็พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน

   “พวกผมไม่รบกวนพี่นัทดีกว่า เดี๋ยวต้องรีบกลับไปจัดของ พอดีว่ากี้เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่กับผมน่ะครับ นี่ก็เลยต้องมาซื้อของเข้าห้องเพิ่ม”

   ผมเหลือบมองมือที่อยู่ ๆ ก็มาวางบนบ่า เงยหน้าขึ้นมองก็เห็นเพื่อนของผมกำลังยืนจ้องตากับพี่นัท ก่อนที่รอยยิ้มจะแต้มขึ้นที่มุมปากของคนที่โตกว่า

   “กี้ย้ายมาอยู่กับอินเหรอครับ”

   “เออ เพิ่งย้ายมาเมื่อวานน่ะพี่”

   “พวกผมขอตัวไปจ่ายตังค์ก่อนนะครับ”

   อินกระตุกแขนผม ก่อนจะเข็นรถตรงไปยังช่องจ่ายเงิน ผมหันซ้ายหันขวามองตามหลังคนที่พาผมมาด้วยสลับกับพี่นัทที่ยืนอยู่

   “งั้นผมไปก่อนนะครับ”

   “ไว้เจอกันที่ชมรมนะครับกี้”



   “มึงเป็นอะไรอิน”

   หลังจากที่ขึ้นมานั่งบนรถกันเรียบร้อยแล้วผมก็ถามเพื่อนสนิทที่เอาแต่เงียบมาตลอดตั้งแต่ตอนที่จ่ายเงินแล้ว

   “เป็นไร กูไม่ได้เป็นอะไร”

   เหอะ หน้าบูดเป็นตูดลิงขนาดนี้ยังบอกไม่ได้เป็นอะไรอีก

   “อ๋อ เหรอ”

   ผมเอี้ยวตัวไปคุ้ยถุงของซุปเปอร์มาร์เก็ตที่วางอยู่เบาะหลัง หยิบได้ป๊อกกี้มากล่องหนึ่ง ผมแกะขนมในมือก่อนจะหยิบแท่งป๊อกกี้ออกมาแล้วยื่นไปตรงหน้าของคนที่กำลังขับรถอยู่

   “อ่ะ”

   “กินดิ เร็ว ๆ กูเมื่อย”

   ผมเอ่ยปากเร่งเมื่อเห็นอินมันยังทำเฉย อินเหลือบมองป๊อกกี้ที่ยื่นให้นิดนึงก่อนจะยอมกัดเข้าปาก

   “อ้าว กัดขาดทำไม คาบไว้สิ”

   ผมยื่นป๊อกกี้ส่วนที่เหลือให้อีก รอยยิ้มน้อย ๆ ผุดขึ้นที่มุมปากของอินก่อนที่มันจะก้มลงงับขนมในมือผม

   “กี้”

   ผมเลิกคิ้วเป็นเชิงถามก่อนจะหยิบขนมเข้าปากตัวเองบ้างเมื่อเห็นเพื่อนสนิทกินขนมที่ผมส่งให้ไปจนหมดแล้ว

   “เอามาอีกดิ”

   “ฮั่นแน่ ติดใจละสิ อ่ะ”

   “อืม”

   ผมแอบยิ้มกับตัวเองหลังจากที่ส่งป๊อกกี้อีกชิ้นเข้าปากคนที่ขับรถอยู่ อย่างที่ผมคิดไว้ไม่ผิดจริง ๆ ว่าของหวานทำให้คนเราอารมณ์ดีขึ้น ดูสิครับ ตอนนี้ไอ้อินเพื่อนผมกลับมาอารมณ์ดีเหมือนเดิมแล้ว




   “เฮ้ย พวกมึง กินไรดีวะ”

   สาวสวยหนึ่งเดียวในกลุ่มถามขึ้นหลังจากที่พวกผมเรียนเสร็จในช่วงเช้าและกำลังหิวกันเต็มที่

   “ไปกินสเต็กร้านหลังมอไหมครับ กว่าจะเรียนอีกทีก็ตั้งบ่ายสอง”

   “กิน”

   ผมรีบพยักหน้าเห็นด้วยตามที่มายเสนอ สเต็กร้านนี้อร่อยมากครับ ผมชอบ อินกับชมพู่เห็นด้วย พวกผมเลยตกลงกันว่ารวมกันนั่งรถอินไปคันเดียว

   “กี้นี่เอง พี่ก็ว่าหน้าคุ้น”

   ผมเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นผู้ชายตัวสูงพี่สายรหัสปี 3 ของผมยืนยิ้มอยู่

   “อ่า หวัดดีครับพี่โก้”

   ผมยกมือไหว้พี่รหัสที่หลังจากวันเปิดสายก็แทบจะไม่เคยเห็นหน้าอีกเลย และหันไปไหว้รุ่นพี่คนอื่นที่มาด้วยกัน

   “ตอนแรกพี่จำเกือบไม่ได้ พอไม่ใส่แว่นแบบนี้กี้ดูน่ารักขึ้นเยอะเลยนะครับ”

   “เอ่อ ครับ”

   ผมยกมือขึ้นลูบปลายผมตรงท้ายทอยด้วยรู้สึกแปลกที่อยู่ ๆ ก็ถูกผู้ชายชมว่าน่ารัก

   “เจอกี้ก็ดีแล้ว พี่ว่าจะพาไปเลี้ยงสายอยู่พอดี กี้อยากทานอะไรครับ”

   “พี่โก้เป็นคนเลี้ยงก็แล้วแต่พี่เลยครับ กินฟรีผมอะไรก็ได้”

   “งั้นเดี๋ยวพี่พาไปร้านโปรดของพี่ รับรองกี้ต้องชอบแน่ ๆ”

   “ครับ”

   “แล้วนี่เรียนเป็นไงบ้างครับ ไม่เข้าใจตรงไหนบอกพี่ได้นะ เดี๋ยวพี่ติวให้ตัวต่อตัวเลย”

ผมมองพี่รหัสตัวเองอย่างงง ๆ กับความใส่ใจที่มีให้มากล้นกว่าครั้งแรก ๆ ที่เจอกัน จำได้ว่าวันที่เปิดสายพี่แกทักผมแค่สองสามคำ ไม่คิดว่าจริง ๆ พี่เขาจะเป็นคนมนุษยสัมพันธ์ดีขนาดนี้

“พวกผมช่วยกันติวเป็นกลุ่มอยู่แล้วครับ พี่ไม่ต้องเป็นห่วงกี้มันหรอก”

อินที่นั่งอยู่ข้างกันเป็นคนตอบพี่รหัสผมไปแบบนั้น

“แต่ถ้ากี้อยากให้พี่ช่วยก็บอกนะครับ”

“ไม่เป็นไรครับ ผมเกรงใจ”

ผมได้แต่ส่งยิ้มแห้ง ๆ ไปให้ เกรงใจจริง ๆ ครับ ผมไม่ได้สนิทอะไรกับพี่รหัสคนนี้ นี่ถ้าเป็นพี่ก้อยพี่รหัสปี 2 ที่มักจะเอาขนมมาฝากผมบ่อย ๆ คนนั้นก็ว่าไปอย่าง ผมคงจะไม่รู้สึกกระดากใจเวลาขอความช่วยเหลือเท่าไหร่

“เกรงใจอะไรกัน สำหรับกี้พี่ยินดีเสมอ”

“เฮ้ย กี้ รีบกินเถอะเดี๋ยวไปเรียนไม่ทัน”

“งั้นพี่ไปก่อนนะครับ ยังไงเดี๋ยวพี่ไลน์หานะ”

พี่โก้ที่เห็นชมพู่ก้มดูนาฬิกาข้อมือแล้วสะกิดบอกผมเลยขอตัวลาไปก่อน แต่จะว่าไปตั้งแต่แลกไลน์กันวันเปิดสายก็ไม่เคยเห็นแกไลน์มาสักที

“ครับ”

“พี่รหัสมึงนี่เทคแคร์ดีเวอร์” พอเห็นว่าพี่รหัสของผมเดินออกจากร้านไปแล้ว ชมพู่ก็หันมาเม้าคนที่เพิ่งเดินไปแบบเผาขนทันที

“เออ กูก็เพิ่งรู้ว่าพี่โก้เขาใจดีขนาดนี้ ตอนวันเปิดสายก็ไม่ค่อยได้คุยกัน”

ผมเหลือบไปเห็นไอ้คนที่นั่งอยู่ข้างกันกำลังใช้มีดหั่นสเต็กในจานอย่างเอาเป็นเอาตายจนโต๊ะแทบจะสั่นไปด้วย

“เป็นไรวะอิน”

“มึงรีบกินเหอะ มัวแต่คุยอาหารเย็นหมดละ” ไอ้คนหน้าหล่อที่ตอนนี้ทำหน้าเหมือนอยากจะกินหัวใครสักคนเอาส้อมปักเนื้อในจานเข้าปาก สงสัยอินมันคงจะหิวจนอารมณ์ไม่ดีนะผมว่า




“เอ่อ ขอโทษนะคะ”

ระหว่างที่พวกผมกำลังเดินกลับไปเรียนหลังจากกลับจากกินสเต็กกันมาเรียบร้อยแล้ว ก็มีนักศึกษาสาว 2 คน หน้าตาน่ารักทั้งคู่เลยมายืนขวางทางพวกผมไว้ ในมือถือถุงขนมอยู่ด้วย พอเห็นแบบนี้พวกผมก็เขยิบตัวออกหากจากอินทันที พักนี้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นบ่อย ๆ เวลาที่ไปไหนมาไหนกับไอ้นักร้องสุดหล่อคนนี้น่ะครับ มักจะมีสาว ๆ ที่เป็นแฟนคลับของอินมันมาขอถ่ายรูปกับไอ้หล่อนี่ บางทีก็เอาขนมมาฝาก สองสาวนี่ก็คงจะเหมือนกัน

“มีอะไรเหรอครับ”

แหม ถามเขาเสียงละมุนเชียวนะมึง

ผมแอบแหล่ไอ้คนรูปหล่อที่ยืนส่งยิ้มอย่างรู้งาน เมื่อกี้ตอนเดินมายังหน้าตึง ๆ อยู่เลย พอเห็นสาว ๆ เข้าหน่อยนี่เปลี่ยนสีหน้าทันทีเลยนะมึง

“คือว่า...ขอถ่ายรูปกับกี้ได้ไหมคะ”

ห๊ะ...

เพื่อน ๆ ของผมต่างหันมามองผมเป็นตาเดียวเมื่อได้ยินสิ่งที่สาวน้อยผมสั้นหน้าตาน่ารักพูดขึ้น ผมหันไปมองเจ้าตัวที่บิดตัวเขิน ๆ แต่ก็ส่งมือถือให้เพื่อนเตรียมที่จะถ่ายรูป

“เอ่อ ได้ไหมคะ” เธอเอียงอายช้อนตามอง ท่าทางไม่แน่ใจเมื่อเห็นผมยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม

“ครับ”

ผมยิ้มเขิน ๆ ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้เธอเพื่อให้อยู่ในเฟรม ให้เพื่อนเธอถ่ายรูปไปสองสามรูป

“ขอบคุณนะคะ นี่ขนมค่ะ เจ้านี่อร่อยมาก แพนเอามาฝาก”

“ขอบคุณครับ”

เธอยิ้มให้ผมอีกครั้งก่อนจะลาไปพร้อมกับเพื่อนของเธอ

“มึง มีสาวมาขอถ่ายรูปกับกูด้วยว่ะ”

ผมหันไปบอกกับเพื่อน ๆ ด้วยความตื่นเต้น พร้อมกับชูถุงขนมในมือขึ้นอวด

“เออ กูเห็นละ สาวคณะมนุษย์นี่หว่า หน้าตาน่ารักเสียด้วย” ชมพู่มองตามสองสาวที่เดินห่างไปค่อนข้างไกลแล้ว

“เนอะ น่ารักอ่ะ สเปคกูเลย อยากมีแฟนน่ารัก ๆ แบบนี้บ้างว่ะ”

ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ หน้าตาจิ้มลิ้มน่ารัก ท่าทางน่าทะนุถนอมแบบนั้นน่ะแบบที่ผมชอบเลย

“หือ ไอ้กี้มึงแน่ใจนะที่พูด”

“ทำไมวะ”

ผมขมวดคิ้วด้วยความสงสัยในคำพูดของชมพู่ ทำไมหล่อ ๆ แบบผมจะมีแฟนน่ารักแบบนั้นไม่ได้ละครับ

“ก็ไม่ทำไมหรอก แต่กูว่าอย่างมึงไม่เหมาะจะมีแฟนแบบผู้หญิงคนนั้นหรอก อย่างมึงน่ะต้องมีแฟน...”

“กูว่าอย่างไอ้กี้นี่ไม่ควรมีแฟนหรอก”

ชมพู่ยังไม่ทันจะพูดจบ ไอ้อินก็พูดแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงขุ่นที่ไม่น่าฟังเอาเสียเลย

“อย่างมันน่ะเหรอจะดูแลคนอื่นได้ ดูแลตัวเองยังทำไม่ได้เลย จะเอาอะไรไปดูแลผู้หญิงเขา กูว่าเอาตัวเองให้ได้เรื่องก่อนดีกว่า”

“...”

ผมหันควับไปมองหน้าอินทันที รู้สึกหน้าชาเหมือนโดนตบหน้าด้วยคำพูดจากเพื่อนสนิท ผมจ้องหน้ามันแต่มันกลับเสมองไปทางอื่น สองมือของผมกำแน่น

“อิน มึงก็พูดเกินไปป่าววะ”

ชมพู่เอ่ยปรามเมื่อเห็นท่าทีของผม

“เอ่อ กูมันไม่ได้เรื่อง ไม่ได้เฟอร์เฟ็คแบบมึงนี่”

ผมสะบัดเสียงใส่ไอ้เพื่อนปากเสียก่อนจะเดินขึ้นตึกเรียนโดยไม่รอคนอื่น ได้ยินแต่เสียงชมพู่ตะโกนตามหลัง

“เฮ้ย กี้ เดี๋ยวสิวะ”


   TBC....


ตอนนี้กี้ก็จะฮอตหน่อยๆ

ออฟไลน์ BABYBB

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 8 [26/01/2018]
«ตอบ #36 เมื่อ26-01-2018 23:24:07 »

ง่าาาา ไหงมาทะเลาะกันเพราะความปากไวของอินละนี่ กี้โกรธแล้ว ง้อด่วนเลยยยย

ออฟไลน์ wanirahot

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 8 [26/01/2018]
«ตอบ #37 เมื่อ27-01-2018 00:37:04 »

อินเล็มปลากินตลอดตัวเลยน๊า ปลาอย่างกี้ชักจะหอมฟุ้งไปไกลแล้ว รีบรวบกินทั้งตัวด่วนนนนน

ออฟไลน์ fullfinale

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 666
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 8 [26/01/2018]
«ตอบ #38 เมื่อ27-01-2018 09:14:31 »

ไม่อยากเป็นพ่อ อยากเป็นอะไรน้อออ    o22 o22

ออฟไลน์ Polkaneko

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-2
โรคประจำตัว : ตอนที่ 9 [02/02/2018]
«ตอบ #39 เมื่อ02-02-2018 22:00:04 »

ตอนที่ 9



อิน....




   ผมรู้จักกับกี้ครั้งแรกตอนกลางเทอม 2 ของชั้นป. 2 เด็กผู้ชายตัวเล็ก ผิวขาวจัดแบบลูกคนจีน แต่แปลกที่ไม่ได้ตาตี่เป็นเม็ดก๊วยจี๊ ตอนนั้นมันยังไม่ได้ใส่แว่น เป็นแค่เด็กชายตัวกระเปี๊ยกที่เวลาเข้าแถวอยู่หน้าสุด ในขณะที่เมื่อผมย้ายเข้ามาต้องเข้าแถวอยู่หลังสุด

   เป็นเพราะผมย้ายโรงเรียนตามพ่อที่เป็นนายทหารมาอยู่ที่เชียงใหม่ ผมก็เลยไม่มีเพื่อนในขณะที่เด็กคนอื่นเขารู้จักและสนิทกันตั้งแต่เทอม 1 แล้ว วันแรกที่ผมมาโรงเรียน ผมนั่งอยู่หลังห้องเพียงลำพังในตอนพักเที่ยงมองเด็กคนอื่น ๆ ต่างชวนกันไปทานข้าวกลางวันที่โรงอาหารแต่ไม่มีใครเข้ามาชวนผมเลย ในตอนที่ผมกำลังหยิบข้าวกล่องที่แม่เตรียมไว้ให้ตั้งแต่ตอนเช้าออกมาเพื่อจะลุกไปกินที่โรงอาหาร ก็มีเค้กกล้วยหอมชิ้นเล็กมาวางบนโต๊ะ

   “แม่เราทำเอง เราแบ่งให้นะ” เด็กผู้ชายตัวเล็กยิ้มกว้างจนตาหยีให้ผม

   “นายชื่ออะไร เราชื่อกี้ เด็กชายกีรติ ตั้งวัฒนาพานิช”

   “ชื่ออิน อินทนิล หาญตระกูล” เด็กตัวเล็กมองกล่องข้าวของผมที่วางอยู่บนโต๊ะ

   “ป่ะ ไปกินข้าวกัน”

   “วันนี้หม่าม้าเราทำหมูทอดกับผักเต้าหู้มาให้ หม่าม้าของอินทำอะไรให้เหรอ”

   “หม่าม้า...แม่เราทำข้าวผัดไส้กรอก”

   “พ่ออินเป็นทหารเหรอ”

   “อือ”

   “เท่จังเลย เราก็อยากมีพ่อเป็นทหารมั้ง”

   “แล้วพ่อกี้ทำอะไร”

   “เราไม่มีพ่อ”

   “ทำไมถึงไม่มีพ่อ พ่อไปไหนละ”

   “ไม่ได้ไปไหน ไม่มีพ่อตั้งแต่แรกแล้ว มีแต่ป๊ากับหม่าม๊า”

“...”

   “ป๊าเราเปิดร้านขายเหล็กละ เหล็กเป็นเส้น ๆ ยาว ๆ อินเคยเห็นไหม แล้วก็มีอิฐเป็นก้อน ๆ วางซ้อน ๆ กันสูงเลยด้วย”

   ตอนแรกผมไม่แน่ใจว่ากี้มันกวนหรือว่ามันซื่อจริง ๆ แต่พอคบกันมาเป็นสิบปีผมก็ได้รู้ว่ามันเป็นคนซื่อแค่ไหน ที่บ้านมันขายเหล็กจริง แถมยังเป็นร้านขายวัสดุก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดในเชียงใหม่ บ้านกี้เป็นครอบครัวคนจีนครอบครัวใหญ่ มีพี่น้องมากมายในตระกูลและกี้ก็เป็นน้องคนเล็กสุดในรุ่นเดียวกัน ม้าของกี้เคยเล่าให้ผมฟังว่ากี้เป็นลูกหลงของป๊ากับม้าตอนที่ทั้งคู่อายุค่อนข้างมากแล้ว กี้อายุห่างจากพี่ชายถึง 12 ปี แถมตอนเล็ก ๆ ก็ป่วยกระเสาะกระแสะ กี้เลยถูกเลี้ยงดูมาอย่างประคบประหงมสุด ๆ ตอนเด็ก ๆ เลยไม่ค่อยได้ออกไปเล่นนอกบ้านกับพี่ ๆ น้อง ๆ แต่ละวันกี้จึงคลุกอยู่กับการอ่านการ์ตูนกับเล่นเกม พอเริ่มขึ้นชั้นมัธยมก็สายตาสั้นจนต้องเริ่มสวมแว่นและติดเกมจนไม่ยอมออกจากห้องแถมผลการเรียนก็ตกจนในที่สุดก็โดนป๊ายึดเกมและขู่ว่าถ้าเกรดไม่ถึง 3 จะโดนตัดค่าขนม ป๊ากับม้าของกี้กลัวว่าลูกชายคนเล็กจะเอาแต่ขังตัวเองเล่นเกมอยู่ในห้องไม่ยอมทำอย่างอื่น เดือดร้อนต้องขอให้ผมที่สนิทกับกี้ที่สุดคอยช่วยมันเรื่องเรียนและพามันออกจากบ้านมาทำกิจกรรมข้างนอกบ้าง ที่บ้านกี้ก็เลยรักผมเหมือนลูกชายอีกคนหนึ่งไปด้วย ผมเองก็อยากให้กี้มันเปิดหูเปิดตาบ้าง เลยเป็นคนชวนมันไปโน้นมานี้ ไม่อย่างงั้นตัวมันเองคงไม่คิดทำอะไรเลยครับ  นิสัยเอื่อยเฉื่อยจนผมรู้สึกเป็นห่วงอยู่ตลอด

กี้ไม่เคยคบใคร ไม่เคยมีแฟน เพราะแบบนี้จึงไม่แปลกหรอกครับที่กี้มันจะไม่รู้ว่าอาการประหลาดที่มันเป็นคืออะไร ต่างจากผมที่รู้ตัวมาตั้งนานแล้ว   

ใช่ครับ...ผมชอบกี้

   ความรู้สึกนี้มาก่อตัวขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ผมจะไม่แน่ใจ พอรู้ตัวอีกทีสายตาของผมก็ไม่สามารถที่จะมองคนอื่นได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงที่สวยน่ารักแค่ไหนหรือว่ากับผู้ชายคนอื่น ผมก็ไม่เคยสนใจ ผมชอบเวลาที่กี้มันยิ้มจนตาหยี ชอบเวลาที่มันหัวเราะเหมือนไม่เคยมีเรื่องทุกข์ใจ ชอบแม้กระทั่งเวลาที่มันทำหน้างอเวลาที่โดนขัดใจ

   ผมชอบทุกช่วงเวลาที่อยู่กับกี้

กี้คือคน ๆ เดียวที่ผมอยากอยู่ด้วย อยู่กับมันแล้วผมมีความสุข จนผมไม่อยากจะแบ่งความสุขนี้ให้ใคร ไม่อยากให้กี้รู้จักกับความรัก ผมกลัวว่าถ้าหากวันหนึ่งกี้มีความรักกับใครสักคน ผมคงรู้สึกแย่มาก ๆ ถ้าหากกี้ต้องการคนอื่นมาอยู่เคียงข้างแทนที่ผม ผมเลยทำทุกวิถีทางให้ที่จะเก็บกี้ไว้อยู่ข้างตัวผมตลอดเวลา ทั้งเรื่องเรียนและกิจกรรมที่ทำ ผมไม่ให้กี้มีโอกาสที่จะสร้างความสัมพันธ์พิเศษกับใคร

ผมยอมรับว่าบางทีวิธีการที่ผมทำมันค่อนข้างเผด็จการและเอาแต่ใจ จนบางครั้งผมก็ไม่แน่ใจว่ากี้มันมีความสุขจริง ๆ หรือเปล่าในสิ่งที่ผมเลือกให้

   และบางครั้งผมก็รู้ตัวว่าหวงมันมากเกินไป จนเผลอทำอะไรให้กี้มันรู้สึกไม่ดี อย่างเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้



   “มึงก็พูดแรงไปเปล่าวะ”

   ชมพู่หันกลับมาเล่นงานผมทันทีเมื่อเห็นกี้เดินหนีขึ้นตึกเรียนไป

“...”

   “นั่นสิครับ กี้โกรธจนเดินไปโน้นแล้ว”

   “ก็กูไม่ชอบ”

   ผมไม่ชอบที่กี้มันพูดว่าอยากมีแฟน ไม่ชอบเวลาที่กี้มีทีท่าสนใจใครมากกว่าผม ไม่ชอบให้ใครมาทำท่าทีสนใจเหมือนจะจีบเพื่อนผมด้วย

   “แล้วมันใช่เรื่องที่มึงต้องไปว่ากี้มันแบบนั้นด้วยเหรอวะ”

   “กู...กูไม่ได้ตั้งใจ”

   เพราะหวงมันมาก ผมเลยพลั้งปากพูดจาแย่ ๆ แบบนั้น 

   “มึงไปง้อมันเลยนะ เรื่องนี้มึงผิดเต็ม ๆ”

   ชมพู่พูดทิ้งท้ายก่อนจะเดินขึ้นตึกไปกับมาย


   
   
   ผมมองคนที่นั่งเงียบมาตลอดตั้งแต่ขึ้นรถ หรือถ้าจะพูดให้ถูกคือกี้ไม่ยอมคุยกับผมตั้งแต่ตอนที่อยู่ในห้องเรียนแล้ว คิ้วที่ขมวดมุ่นเข้าหากันกับริมฝีปากบางที่ยื่นนั้นเป็นนิสัยที่กี้มันมักจะทำประจำเวลาที่เจ้าตัวกำลังโกรธอยู่ แทนที่มันจะดูน่ากลัว ผมกลับรู้สึกว่ามันน่าแกล้งมากกว่า อยากจะเอานิ้วไปเกลี่ยริมฝีปากบาง ๆ นั่นแล้วบีบจมูกรั้น ๆ นั้นด้วยความหมั่นเขี้ยว

   แต่ขืนผมทำอย่างที่คิดละก็กี้มันคงโกรธผมหนักกว่าเดิม ไม่ยอมยกโทษให้ผมแน่ ๆ

   “กี้”

   ผมลองเรียกชื่อคนที่นั่งข้าง ๆ ระหว่างที่รถจอดติดไฟแดง

“...”

   ไม่มีเสียงตอบรับจากคนที่คุณเรียก...ทำเอาผมใจแป้ว

   “กู...ขอโทษ”

   ผมเอ่อคำขอโทษเบา ๆ พ่อสอนผมตั้งแต่เด็กให้รู้จักขอโทษเมื่อรู้ตัวว่าทำผิดกับคนอื่น ถึงผมจะรู้สึกหงุดหงิดแค่ไหนก็ไม่ควรพูดจาทำร้ายกันแบบนั้น

   “กูไม่ได้ตั้งใจ กูรู้ว่ากูผิดที่พูดไม่ดีกับมึง”

   ผมเหลือบตามองเสี้ยวหน้าของคนตัวเล็ก เห็นมันนั่งทำหน้าคว่ำ

   “ในสายตามึงกูคงเป็นแค่คนโง่ ๆ คนหนึ่งสินะ”

   ในสายตากู มึงเป็นคนที่สำคัญที่สุดตั้งหาก...

   ผมอยากจะพูดออกไปแบบนั้น แต่ในตอนนี้ผมทำได้เพียงแค่บอกมันอีกอย่าง

   “มึงก็รู้ว่ากูไม่ได้หมายความแบบนั้น กูหงุดหงิดไปหน่อย”

   “นี่มึงหงุดหงิดที่ผู้หญิงเขามาขอถ่ายรูปกูแทนมึงงั้นเหรอ ไม่พอใจที่เขาชอบกูมากกว่ามึงว่างั้น”

   “เออ...ก็ประมาณนั้น”

   เหตุผลที่มันว่ามาเหมือนจะใช่ แต่ก็ไม่ใช่ แต่ก็ต้องยอมรับว่าสาเหตุส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้หญิงคนนั้นจริง ๆ

   “มึงนี่บ้าเปล่า มึงจะให้ผู้หญิงเขาชอบแต่มึงหรือไง”

   ผมอยากจะบอกว่าผมไม่เคยคิดอยากจะให้ผู้หญิงหรือใครคนอื่นมาชอบผมนอกจากคนที่นั่งอยู่กับผมตอนนี้เท่านั้น

“มึงมันปากหมา ชอบว่ากู”

   “เออ ๆ กูมันปากหมาปากไม่ดี ด่ากูพอยัง”

   “มึงมันไอ้คนนิสัยไม่ดี”

   นี่แหละครับ คำด่าที่กี้มันคิดว่าเจ็บที่สุดของมันละ

   “เออ กูมันนิสัยไม่ดี หายโกรธกูเหอะ”

   “นะ...”

   ผมทำหน้าตาสำนึกผิดเต็มที่ พยายามง้อมันสุด ๆ มันอยากด่าอะไรก็ยอมให้ด่า โดนไอ้กี้ด่าอย่างไงก็ไม่เจ็บอะไรหรอกครับ กลัวมันโกรธอย่างเดียวเท่านั้นแหละ

   “หึ”

   กี้มันยังคงนั่งทำปากคว่ำแต่คิ้วเริ่มคลายไม่ขมวดกันยุ่งแล้ว ผมเลยงัดไม้เด็ดแบบทุกทีเวลาอยากให้มันอารมณ์ดี

   “เดี๋ยวกูเลี้ยงปิ้งย่าง มึงบ่นว่าอยากกินไม่ใช่เหรอ”

   “...”

   “เนี่ย เดี๋ยวขับรถไปที่ร้านเลย”

   “เอาบุฟเฟต์นะ”

   “ตามใจมึงเลย”

   ผมเหลือบมองไอ้ตัวเปี๊ยกที่นั่งอมยิ้มตาเป็นประกายเมื่อรู้ว่าผมจะพาไปกินของโปรด ให้ต้องแอบยิ้มด้วยความเอ็นดู

   กี้มันไม่รู้ตัวเลยว่าที่จริงมันเป็นคนน่ารักน่าแกล้งขนาดไหน รู้สึกอย่างไงคิดอย่างไงก็แสดงออกมาทางสีหน้าหมด เหมือนเด็กไม่มีผิด ชอบทำตาใสแจกยิ้มให้คนอื่นเขาไปทั่ว เมื่อก่อนมันยังใส่แว่นตาอันใหญ่ดูเนิร์ด ๆ เอ๋อ ๆ เลยไม่ค่อยมีใครสังเกต แต่พอมันเปลี่ยนลุคใหม่มาใส่คอนแท็คเลนส์ ทีนี้คนก็เริ่มจะสังเกตเห็นความน่ารักน่าเอ็นดูของเพื่อนผม แล้วจะไม่ให้ผมหวงมันได้อย่างไงละครับ




   เสียงหัวเราะที่ฟังคุ้นหูทำให้ผมละสายตาจากกระดาษโน้ตเพลงแล้วหันไปมอง เห็นเพื่อนสนิทที่ถือกีตาร์อยู่ในมือนั่งล้อมวงอยู่กับบรรดาเพื่อน ๆ ในชมรม ไม่รู้ว่ากำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่ เห็นแต่ไอ้ตัวดีหัวเราะร่าจนตาหยีพลอยให้ริมฝีปากขยับยิ้มตามไปด้วย

   “เดี๋ยวนี้ไอ้กี้มันดูน่ารักขึ้นเยอะเลยนะ มึงว่าไหมอิน”

   ผมหันมามองพี่ต้าร์ที่สายตากำลังจับจ้องคนที่ถูกพูดถึงอยู่เช่นกัน

   “นี่พี่คิดอะไรกับมันป่ะเนี่ย”

   ผมแกล้งทำเป็นมองพี่ต้าร์ด้วยความสงสัย

   “คิดบ้าอะไร ใครจะเหมือนมึง”

   พี่ต้าร์เป็นอีกคนที่รู้มานานแล้วว่าผมคิดอย่างไงกับกี้ พี่แกดูไม่ค่อยตกใจเท่าไหร่ด้วยซ้ำตอนที่รู้ว่าผมคิดอย่างไงกับกี้ แถมยังค่อยช่วยดูแลกี้เวลาที่ผมไม่ว่างให้ด้วย เสียอยู่อย่างเดียว คือพี่ท่านแม่งโคตรเกรียน ชอบหาเรื่องแกล้งพวกผมประจำ อย่างเรื่องที่กี้มาปรึกษาเรื่องอาการของเจ้าตัวนั่นก็เข้าทางให้พี่แกได้แกล้งสนุกเลย

   “นี่ยังไม่ได้เคลียร์เรื่องที่พี่หลอกไอ้กี้มันเลย”

   พี่แกกลับหัวเราะพร้อมกับทำหน้าเกรียนใส่

   “ก็กูหมั่นไส้มึง”

“ทำไมตอนนั้นพี่ถึงไม่บอกกี้มันละว่าไอ้อาการที่มันเป็นคืออะไร”

“เรื่องอะไรกูจะบอกให้มันรู้ตัว แบบนั้นก็ไม่สนุกสิว่ะ ไอ้กี้มันน่าแกล้งจะตาย”

ผมได้แต่ส่ายหัวกับความคิดของรุ่นพี่ที่เคารพ แต่กี้มันก็น่าแกล้งจริง ๆ ผมยังชอบแกล้งมันบ่อย ๆ ด้วยซ้ำ

“อีกอย่างเรื่องแบบนี้มันต้องรู้ด้วยตัวเอง จะให้คนอื่นมาบอกได้ไง”

ผมก็คิดเหมือนที่พี่ต้าพูด ตอนที่รู้ว่ากี้มีอาการแบบนั้นกับผม บอกเลยผมโคตรดีใจ ที่ได้รู้ว่าจริง ๆ กี้มันก็รู้สึกแบบเดียวกัน แต่ที่ผมไม่ยอมบอกมันไปตรง ๆ ว่าอาการที่มันเป็นคืออะไร บอกตรง ๆ ผมกลัวมันช็อคครับ กลัวมันรับตัวเองไม่ได้ที่รู้ว่าตัวเองรักเพื่อนสนิท แล้วมันจะหนีหน้าผมไป กี้มันไม่ใช่คนที่กล้าจะเผชิญหน้า ผมเลยพยายามทำให้กี้ค่อย ๆ เรียนรู้อาการที่มันเป็น ให้มันรู้ด้วยหัวใจตัวเองว่าที่จริงแล้วมันรู้สึกอย่างไงกับผม

“ว่าแต่เมื่อไหร่มึงจะจัดการให้มันเรียบร้อยวะ กูเห็นเฝ้ามันมาตั้งนานละ”

ผมมองคนที่เป็นประเด็นในบทสนทนายังคงนั่งหัวเราะอยู่กับเพื่อน ๆ รอยยิ้มสดใสที่ได้เห็นทำให้ต้องเผลอยิ้มตามโดยไม่รู้ตัว

“มันก็ต้องค่อยเป็นค่อยไปสิพี่”

“มัวแต่คอยเป็นค่อยไป ระวังเหอะ เดี๋ยวหมาจะคาบไปแดก มึงไม่เห็นเหรอว่ามีคนสนใจไอ้กี้อยู่”

“ผมรู้แล้วน่า”

“ได้ข่าวว่ามีรุ่นพี่มาเต๊าะด้วยนี่ แถมมีสาว ๆ เอาขนมมาฝากด้วย”

“นี่พี่รู้ได้ไง”

ผมหันมองพี่แกด้วยความสงสัย เรื่องนี้ผมยังไม่ได้เล่าให้แกฟังเลย แล้วพี่ต้าร์รู้ได้อย่างไง

“กูก็มีสายของกูม่ะ น้องกูกูก็เป็นห่วงนะโว้ย”

“ถ้าเป็นห่วงก็ช่วยกันไอ้พวกที่จะมายุ่งกับน้องรักพี่ด้วยสิ”

“มึงรู้ได้ไงว่ากูไม่ทำอะไร รู้ไหมว่ามีคนมาขอเบอร์ไอ้กี้กับกูกี่คนแล้ว”

คนโตกว่ายกมือพาดบนไหล่ผม ก่อนจะบุ้ยใบ้ไปทางพวกสมาชิกชมรมที่นั่งกันอยู่ในห้อง

“หา แค่นี้ผมก็เครียดแล้วนะพี่”

“กูถึงบอกให้มึงจะทำอะไรก็รีบทำ”

“พี่ก็รู้ว่ากี้มันเป็นอย่างไง ผมกลัวมันจะไม่ยอมรับแล้วเตลิดไป”

“มึงนี่ก็คิดเยอะ”

พี่ต้าร์มองไปทางเพื่อนสนิทของผมที่ตอนนี้นั่งก้มหน้าก้มตาดีดกีตาร์ในมือ แล้วส่ายหน้า

“ส่วนไอ้นั้นก็ไม่คิดอะไรเลย เหมาะกันชิบหาย”




   ผมมองคนตัวเล็กที่เกือบจะห้าทุ่มแล้วยังไม่ยอมลุกไปอาบน้ำ เอาแต่นอนกลิ้งเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่บนโซฟา ทั้ง ๆ ที่เมื่อครู่ก่อนที่ผมจะเข้าไปอาบน้ำ มันบอกว่าจะทำรายงานที่ต้องส่งวันมะรืนนี้ ได้แต่ส่ายหัวระอาใจในความไม่ตั้งใจของเพื่อนตัวเอง รายงานอาจารย์สั่งตั้งแต่อาทิตย์ก่อนไม่ยอมทำ ผมชวนทำด้วยกันก็เอาแต่ผลัด อ้างโน้นอ้างนี้ไม่ยอมลงมือทำสักที

   “ไหนมึงบอกว่าจะทำรายงาน”

   กี้สะดุ้งเฮือกทันทีเมื่อผมเดินเข้าไปประชิดตัวมัน ทำหน้าทำตาเลิ่กลั่กก่อนจะยิ้มแหย ผมเลยแกล้งตีหน้าขรึมใส่ ดึงโทรศัพท์ในมือมันมาดู

   เอาแต่เล่นเกมจริง ๆ ด้วย

   “อิน เอาคืนมา”

   กี้ลุกขึ้นนั่งพยายามจะเอื้อมแขนมาแย่งโทรศัพท์คืน แต่ผมชูขึ้นสุดแขน เตี้ย ๆ อย่างมันไม่มีทางทำอะไรผมได้หรอก

   “ไปทำรายงานให้เสร็จก่อนค่อยมาเอาคืน”

   “ก็เดี๋ยวทำไง เอาโทรศัพท์กูมา”

   “ไม่ให้ เดี๋ยวมึงก็เอาแต่เล่นเกมอีก”

   “เอามานะไอ้อิน”

   ไอ้กี้เริ่มงอแงทำหน้ามู่ทู่ คราวนี้มันลุกขึ้นยืนพยายามเขย่งสุดตัวให้ถึงโทรศัพท์ที่ผมยึดมา ผมเลยเขยิบตัวหนี พอกี้มันเห็นแบบนั้นก็กระโดดเกาะแขนผมเต็มแรง ทำเอาจังหวะที่ผมกำลังขยับตัวเซไปข้างหน้า ก่อนที่จะสะดุดไอ้คนที่พันแข้งพันขาจนล้มลงบนโซฟาด้วยกันทั้งคู่

   “โอ้ย”

   ผมก้มดูคนที่ร้องเสียงดังด้วยความเป็นห่วง ตอนนี้มันโดนผมทับอยู่ครึ่งตัว ทำหน้าตาเหยเกแต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยมือจากโทรศัพท์ในมือผม

   “ไอ้อิน ปล่อยโทรศัพท์กูเดี๋ยวนี้นะ”

   ได้ยินเสียงโวยวายของมันแบบนี้ก็เบาใจ แสดงว่าคงไม่เป็นอะไร

   “ไม่”

   ผมก้มลงจนปลายจมูกเกือบจะแตะกับปลายจมูกรั้นของคนข้างล่าง สบตากับดวงตากลม ๆ ของกี้ที่กำลังเบิกกว้างก่อนจะแกล้งพูดเน้นคำ

   “กูไม่ให้”

   “มะ...มึง...ลุกก่อน”

   หึ...

   ไอ้ท่าทางอึก ๆ อัก ๆ แบบนี้แสดงว่าอาการมันกำเริบแน่ ๆ ผมเลยแกล้งกดหัวลงต่ำอีกจนปลายจมูกเกือบจะสัมผัสกัน จนกี้มันเป็นฝ่ายเบือนหน้าหนี

   “กูไม่ลุก”

   กี้หลับตาปี๋เมื่อผมขยับเข้าไปใกล้ ๆ หน้ามัน เห็นขนตายาวงอนที่สั่นระริกบวกกับอาการกัดเม้นริมฝีปากแน่นของคนตรงหน้าผมก็อดสงสารไม่ได้

   ทั้งที่ใจหนึ่งก็อยากจะรังแกมันให้สาแก่ใจ แต่อีกใจก็อยากจะถนอมมันไว้แบบนี้

   “มึงลุกไปอาบน้ำแล้วมาทำรายงานให้เสร็จ แล้วเดี๋ยวกูคืนโทรศัพท์”

   ผมลุกขึ้นเต็มความสูงพร้อมกับฉุดมือมันให้ลุกขึ้นมาด้วย ไอ้คนดื้อรีบวิ่งปรู๊ดคว้าผ้าเช็ดตัวกับชุดนอนเข้าห้องน้ำทันทีโดยที่ผมไม่ต้องพูดซ้ำ

   ว่าง่าย ๆ แบบนี้ค่อยน่าเอ็นดูหน่อย จริงไหมครับ



   TBC…


   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-02-2018 19:51:00 โดย Polkaneko »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

โรคประจำตัว : ตอนที่ 9 [02/02/2018]
« ตอบ #39 เมื่อ: 02-02-2018 22:00:04 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Polkaneko

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-2
โรคประจำตัว : ตอนที่ 10 [09/02/2018]
«ตอบ #40 เมื่อ09-02-2018 22:41:27 »

ตอนที่ 10

   ผมกำลังนั่งพักอยู่ที่โต๊ะม้าหินอ่อนข้างลานกิจกรรมหน้าตึกสโมสรนักศึกษา ในเช้าวันเสาร์ที่ปกติผมคงนอนเล่นเกมตีป้อมอยู่ที่ห้อง แต่วันนี้ผมกลับต้องมาช่วยงานการถ่ายทำโปสเตอร์โปรโมทของชมรมดนตรีพ่วงด้วยการถ่ายภาพโฆษณาเสื้อยืดที่ทางชมรมจัดทำขึ้นเพื่อหาเงินมาซื้อและซ่อมแซมอุปกรณ์และเครื่องดนตรีในชมรมที่เก่าและชำรุดไปบางชิ้น ได้ยินพี่แจ็คบ่นว่าปีนี้แต่ละชมรมโดนตัดงบกิจกรรมไปเยอะ สมาชิกของแต่ละชมรมเลยต้องหาทางหาเงินเข้าชมรมกันเอง

   “กี้ มาช่วยยกคีย์บอร์ดลงไปหน่อย”

   เสียงพี่ต้าร์พี่ชายสุดที่รักของผมตะโกนเรียกลงมาจากหน้าห้องชมรมที่อยู่ชั้นสอง ผมจึงต้องเลิกอู้แล้วลุกขึ้นไปช่วยกันยกคีย์บอร์ดลงวางที่สวนเล็ก ๆ ข้างตึกสโมร่วมกับเพื่อนอีก 2-3 คนในชมรมที่โดนเกณฑ์มาใช้แรงงานในวันหยุดเหมือนกัน

   ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจคอนเซปอะไรที่เขาจะถ่ายกันเท่าไหร่หรอกครับ ได้ยินว่าปีนี้อยากจะได้แนวดนตรีในสวนฉีกจากแนวร็อค ๆ แบบปีก่อน พวกผมก็เลยต้องมาช่วยกันยกพวกเครื่องดนตรีต่าง ๆ ลงมา นี่ก็เพิ่งขนกลองทั้งชุดไปตั้งไว้ในสวนเมื่อกี้ พักยังไม่ทันหายเหนื่อยก็โดนใช้อีกแล้วครับ กว่าจะขนลงมาครบทั้งวงก็เล่นเอาพวกผมหอบเลย ยังดีที่ไม่คิดคอนเซปอยากถ่ายบนดาดฟ้าไม่งั้นคงได้แบกขึ้นบันไดหลังเดี้ยงแน่ ๆ

   พอเครื่องดนตรีถูกวางตามตำแหน่งที่ช่างภาพต้องการเรียบร้อย พวกนักดนตรีในวงก็พากันลงจากตึก แต่ละคนสวมเสื้อเชิ้ตผ้าฝ้ายแขนยาวสีขาวคู่กับกางเกงยีนสีซีด เห็นว่าพี่แจ็คขอให้เพื่อนผู้หญิงที่เป็นช่างภาพของสโมสรนักศึกษาและเพื่อนสาวประเภทสองที่เป็นช่างแต่งหน้าให้มาช่วยงานนี้ด้วย ทุกคนเซตเสื้อผ้าหน้าผมอย่างหล่อ อ้อ ยกเว้นพี่แพรวคนนึง วันนี้พี่แกมาลุคสาวเท่แทน ส่วนไอ้อินเพื่อนผมนี่ออร่าโดดเด่นกว่าคนอื่นตั้งแต่เดินลงตึกมาเลย

แม่ง หล่อเกินหน้าเกินตาคนอื่นจริง ๆ

“มองไอ้อินตาค้างเลยเหรอมึง”

ผมสะดุ้งเบา ๆ เมื่อจู่ ๆ พี่ต้าร์ก็ยื่นหน้ามาเสียใกล้ พอหันไปก็สบตากับเพื่อนสนิทที่เดินมาพร้อมกัน

“ก็มองทุกคนแหละ”

ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ไม่รู้ทำไมผมถึงต้องหลบสายตาของเพื่อนตัวเองที่ยืนอมยิ้มด้วยนะ

“เหนื่อยไหมครับกี้”

พี่นัทแวะเดินมาหาผมพร้อมกับยื่นแก้วเครื่องดื่มในมือให้ผม

“น้ำครับ พี่ซื้อมาฝากทุกคน เห็นขนของกันเหนื่อย”

ผมยกมือไหว้ขอบคุณแล้วก้มลงมองแก้วพลาสติกที่บรรจุน้ำสีชมพูที่รับมาด้วยความลำบากใจ

คือ...ผมไม่ชอบกินนมชมพูครับ

ปกติผมชอบกินของหวานหรือขนมนะ แต่นมชมพูนี่ข้อยกเว้น มันมีรสชาติแปลก ๆ ในความรู้สึกของผม แต่ถ้าไม่รับมาก็จะเสียน้ำใจคนที่อุตส่าห์เอามาให้แย่สิครับ

“กี้ ถือน้ำให้หน่อยสิ”

ผมมองแก้วบรรจุน้ำสีชาถูกยื่นมาตรงหน้า ในหัวก็คาดเดาไปว่ามันคือน้ำอะไร

“เร็วสิ กูจะผูกเชือกรองเท้า”

ผมเลยต้องถือแก้วน้ำไว้ในมือทั้งสองข้าง แต่พออินผูกเชือกรองเท้าเสร็จ มันกลับคว้าแก้วนมชมพูไปแทน

“เฮ้ย ของมึงแก้วนี้”

ผมชูแก้วอีกใบที่อยู่ในมือให้มันดู แต่อินมันกลับดูดแก้วที่อยู่ในมือมันแทนหน้าตาเฉย

“กูจะกินแก้วนี้ แก้วนั้นมึงก็กินไปเหอะ”

“อิน มาตรงนี้เร็ว จะเริ่มถ่ายแล้ว”

“ครับพี่”

ผมมองแผ่นหลังของเพื่อนสนิทที่เดินไปประจำตำแหน่งตามที่พี่ช่างภาพเรียก ก่อนจะก้มลงดูดแก้วน้ำสีชาที่อยู่ในมือ ทันทีที่ลิ้มรสผมก็จุดยิ้มที่มุมปาก

เป็นชามะนาวที่ผมชอบจริง ๆ ด้วย...



"แจ็ค มาดูสิว่าโอเคยัง”

พี่ตากล้องกวักมือเรียกประธานชมรมให้ไปดูรูปที่ถ่าย ผมที่ด้อม ๆ มอง ๆ อยู่ไม่ห่างก็ชะเง้อคอแอบดูกับเขาด้วย

“อืม ใช้ได้แล้วละ"

“โอเค งั้นเดี๋ยวถ่ายโปรโมทเสื้อต่อเลย”

“งั้นเดี๋ยวเราไปตามพิ้งค์มานะ” พี่แจ็คก็หันไปเรียกอินให้ตามขึ้นไปที่ห้องชมรม “อินป่ะ ไปเปลี่ยนเสื้อ”

หายขึ้นไปกันสักพัก อินในชุดเสื้อยืดสีดำสกรีนลายก็เดินลงมาพร้อมกับสาวสวยคนหนึ่งซึ่งสวมเสื้อยืดสีขาวลายเดียวกัน ทั้งสองเดินไปหาพี่ช่างภาพที่ยืนรออยู่

“สวยใช่ไหมละมึง นั่นน้องพิ้งค์ดาววิศวะเชียวนะ”

พี่ต้าร์ที่ไม่รู้ว่ามายืนข้างหลังผมตั้งแต่เมื่อไหร่เอ่ยขึ้น

“โคตรสวยเลยพี่” ผมพยักหน้าเห็นด้วย สวยจริง ๆ ครับ ดาววิศวะที่พี่ต้าร์บอก

“เห็นพี่แจ็คบอกว่าเป็นหลานรหัสแก เลยขอให้มาช่วยเป็นแบบ”

ผมเลยนั่งดูการถ่ายภาพที่จะใช้เป็นภาพโฆษณาขายเสื้อของชมรมกับพี่ต้าร์ พี่ช่างภาพบอกให้พิ้งค์ขยับไปด้านหลังเป็นจังหวะที่เหยียบเท้าอินพอดี เธอรีบหันไปขอโทษพร้อมกับส่งยิ้มน่ารักให้เพื่อนผมที่ดูมันก็ไม่น่าจะเจ็บอะไรเท่าไหร่ ไอ้เพื่อนรูปหล่อของผมส่ายหน้าบอกให้รู้ว่าไม่เป็นไรพร้อมกับส่งยิ้มมุมปากให้

เหอะ อ่อยสาวอีกแล้วสินะมึง

“แหม หล่อสวยสมกันดีเนอะ มึงว่าไหมกี้”

ผมมองผู้ชายที่เกือบจะได้เป็นเดือนคณะถ้ามันไม่หนีการคัดเลือกเสียก่อนกับสาวสวยเจ้าของรอยยิ้มน่ารักดีกรีดาววิศวะพ่วงท้าย
หนุ่มหล่อกับสาวสวย...เปล่งประกายเจิดจ้าเสียจนผมแสบตาแทนจะเบือนหน้าหนี

“...งั้นมั้งพี่”

“นี่ถ้ากูเป็นไอ้อินน่ะ ไม่จบแค่งานนี้แน่ ๆ มันต้องมีแลกเบอร์แลกไลน์กันมั้งละ”

“พี่ต้าร์อยากได้เบอร์เขาก็ไปขอสิครับ ไม่ต้องทำเป็นอ้างไอ้อินมันหรอก”

“สวยขนาดนั้นเป็นใครก็ชอบเปล่าวะ” พี่ต้าร์หันมามองหน้าผม “เป็นไรเปล่ามึง อยู่ดี ๆ ก็ทำหน้าเป็นตูด”

ผมชะงัก บอกความรู้สึกตัวเองไม่ถูกเหมือนกันเลยได้แต่ทำเป็นบ่นกลบเกลื่อน

“เมื่อไหร่จะเสร็จเนี่ย ผมหิวข้าวแล้ว”

“เดี๋ยวก็เสร็จแล้วมั้ง”

พี่ต้าร์ยื่นเสื้อยืดสีขาวที่พับอยู่ในถุงพลาสติกมาตรงหน้าผม

“เอาไป กูให้”

“อะไรพี่”

“เสื้อไง นี่มึงดูไม่ออกเหรอ”

“รู้ว่าเป็นเสื้อ”

“ของตัวอย่างน่ะ มันมีตำหนิตรงชายเสื้อนิดหน่อย ร้านเขาเลยให้ฟรีมา กูเลยยกให้มึงตอบแทนที่วันนี้มาเป็นเบ๊ ตกลงจะเอาไหม ม่างั้นกูจะเอาไปให้คนอื่น”

“เอาสิพี่ ของฟรีนี่ ขอบคุณนะครับ”

ผมยิ้มเอาใจก่อนยกมือไหว้ขอบคุณแล้วก้มมองเสื้อยืดสีขาวในมือ แกะออกดูก็เห็นลวดลายที่สกรีนแบบเดียวกันกับเสื้อที่ดาววิศวะกำลังใส่ถ่ายรูปอยู่ตรงโน้น



“โอเคค่า พี่ว่าน่าจะพอได้ละ เดี๋ยวขอเช็ครูปกับแจ็คแป๊บนึงนะ”

สิ้นเสียงพี่ช่างภาพ ไอ้อินมันก็เดินตรงมาที่พวกผมนั่งกันอยู่ มือเรียวยาวของมันจับคอเสื้อกระพือให้อากาศเข้าโดยไม่กลัวว่าเสื้อจะยับเลย 

“ขอน้ำกินหน่อยดิ ร้อนว่ะ”

เห็นหน้าหล่อ ๆ ของมันเต็มไปด้วยเหงื่อ ผมก็เลยยื่นขวดน้ำที่เพิ่งดื่มเมื่อกี้ให้อินมันรับไปดื่มฮึกใหญ่

“เป็นไร หน้าเป็นตูดเชียวมึง”

ทำไมพวกนี้ถึงชอบว่าหน้าผมเหมือนตูดนักนะ

“เปล่า”

ถึงปากจะบอกปฏิเสธแต่ผมก็ยังคงนั่งทำหน้าเบื่อ ๆ เซ็ง ๆ เหมือนเดิม 

“หิวข้าวเหรอ เดี๋ยวก็เลิกแล้ว”

มือใหญ่วางลงบนหัวของผมก่อนจะขยี้เล่นเบา ๆ อย่างเคย ผมสะบัดหัวออก ทำหน้ายู่พลางบ่นไอ้เพื่อนที่ชอบเล่นหัว พยายามจะลูบผมให้มันกลับมาเป็นทรงเหมือนเดิม

“หัวกูยุ่งหมดแล้วเนี่ย”

ไอ้คนขี้แกล้งมันกลับยิ้มขำก่อนจะกระดกขวดน้ำเปล่าในมือเข้าปาก

“เอ่อ น้องกี้ใช่ไหมคะ”

   ผมเงยหน้าขึ้นมองพี่ตากล้องซึ่งเป็นเพื่อนกับพี่แจ็ค ออกอาการแปลกใจที่จู่ ๆ พี่เขาก็เข้ามาทัก

“ครับ”

“เดี๋ยวน้องช่วยเปลี่ยนใส่เสื้อชมรมแล้วมาถ่ายรูปหน่อยได้ไหม”

“หา ผมเหรอ”

ผมยกมือขึ้นชี้ที่ตัวเอง นี่พี่คิดอะไรอยู่เหรอครับ จะให้ผมเป็นแบบเนี่ยนะ

“คือเมื่อกี้ตอนอยู่กับอินพี่ดูแล้วน้องน่าจะใช้ได้น่ะ เลยอยากให้ลองมาถ่ายคู่กับอินดู ตอนนี้กระแสคู่จิ้นกำลังมา คนน่าจะให้ความสนใจ”

ไอ้จิ้น ๆ ที่ผมยังไม่รู้ความหมายนี่อีกแล้ว แต่ท่าทางคงจะมีคนชอบเยอะ

“น่าสนใจดีนะ พี่ว่าก็ดีเหมือนกัน ลองดูก็ไม่เสียหายนะกี้ จะได้มีรูปให้เลือกเยอะขึ้นด้วย”

พี่แจ็คก็ดูจะเห็นด้วยกับไอเดียของเพื่อนตัวเอง มองผมด้วยสายตาที่ผมคงตอบปฏิเสธไม่ได้ ผมหันไปมองอินเป็นเชิงปรึกษา

“ก็เหมือนถ่ายรูปเล่นกับกูนั่นแหละ”

   “เอางั้นเหรอ งั้นก็ได้ครับ”


   ผมยอมไปเปลี่ยนใส่เสื้อตัวที่พี่ต้าเพิ่งให้มา ปล่อยให้พี่ช่างแต่งหน้าเซตผมตบแป้งทาลิปกลอสแล้วมายืนถ่ายรูปคู่กับเพื่อนสนิทอย่างไอ้อินอย่างงง ๆ จริง ๆ ก็ไม่มีอะไรมากเหรอครับ ก็ยืน ๆ หัน ๆ ตามที่พี่เขาบอกนั่นแหละ แต่ด้วยความที่ผมไม่ชินกับการถูกถ่ายรูปอะไรแบบนี้เท่าไหร่นัก

   “น้องกี้ทำตัวสบาย ๆ เลย พี่อยากให้มันดูธรรมชาติหน่อย”

   ผมพยายามจะยิ้มให้ดูธรรมชาติแบบที่พี่ตากล้องเขาบอก แต่ไอ้คนข้างตัวมันกลับพูดแบบนี้

   “กี้มึงอย่าเกร็งดิ นั่นยิ้มหรือแยกเขี้ยววะ”

   “ก็กูไม่เคยถ่ายแบบนี้นี่หว่า”

   “ดูทำหน้า ยิ่งขี้เหร่เข้าไปอีก”

   “ไอ้อิน มึงว่ากูเหรอ”

   คราวนี้ผมหันไปแยกเขี้ยวใส่มันจริง ๆ แต่อินมันกลับหัวเราะขำแล้วยกมือขึ้นมาคงกะจะโยกหัวผมเล่น ผมเลยเบี่ยงหัวหลบ อินมันเลยเปลี่ยนมาคว้าคอผมไปกอดจากทางด้านหลังแทน

   “เฮ้ย”

   ผมเอามือจับแขนมันที่มันเกี่ยวคอผมไว้ หมายว่าจะแกะออก หากเสียงนุ่ม ๆ ของอินกลับกระซิบข้างหู

   “มองกล้องสิมึง”

   เสียงรัวชัตเตอร์ทำให้ผมเงยหน้าขึ้นมองไปทางพี่ตากล้อง อินคลายมือออกเปลี่ยนเป็นวางมือพาดบนบ่าของผมแทน มันเอียงคอส่งยิ้มแบบที่ผมคุ้นตามาให้

   “ยิ้มแบบที่มึงยิ้มทุกทีก็ดีแล้ว”

   ผมเบือนสายตากลับมามองที่กล้องอีกครั้ง พร้อมกับรู้สึกถึงมุมปากที่ยกยิ้มขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่



   “โอเค ทุกอย่างเรียบร้อยละ ขอบคุณทุกคนมากนะครับที่มาช่วยกัน เดี๋ยวขายเสื้อได้ละพี่จะพาไปเลี้ยงข้าวนะ”

   “สัญญาแล้วนะพี่”

   “เออ เดี๋ยวพาไปกินหมูกระทะ”

   “ผมจะกินให้คุ้มกับค่าเหนื่อยเลยพี่”

หลังจากที่พวกผมกลับอุปกรณ์เครื่องดนตรีไปเก็บในห้องชมรมเรียบร้อย ต่างก็พากันแยกย้ายทยอยกลับกัน

   “อินคะ”

   เสียงผู้หญิงสาวเรียกไว้ตอนที่พวกผมกำลังเดินออกจากตึกสโมสรนักศึกษา

   “ครับ”

   “คือจะว่าอะไรไหม คือพิ้งค์อยากจะขอถ่ายรูปอินไปอวดเพื่อนสักรูป เพื่อนพิ้งค์มันกริ๊ดอินกันหนักมาก”

   “ได้สิครับ”

“กี้มาถ่ายด้วยกันสิคะ”

   “เอ่อ...ไม่ดีกว่าครับ เดี๋ยวผมถ่ายให้ดีกว่า”

ไอ้อินยิ้มให้เมื่อพิ้งค์เดินเข้ามายืนข้าง ๆ โทรศัพท์มือถือของพิ้งค์ถูกส่งมาให้ผมพร้อมกับยิ้มหวาน ๆ ผมมองรูปชายหญิงบนหน้าจอที่กำลังส่งยิ้มมาให้ กดส่ง ๆ ถ่ายไป 2-3 รูปก่อนจะส่งคืนเจ้าของ

   “ขอบคุณนะคะ”

   “แล้วนี่พิ้งค์กลับอย่างไง” ผมได้ยินอินมันถาม

   “เดี๋ยวเพื่อนมารับน่ะ”

   ยังไม่ทันขาดคำโทรศัพท์ในมือของพิ้งค์ก็ดังขึ้น

   “ฮัลโหล...โอเค เดี๋ยวเราเดินไปนะน้ำ”

   “งั้นพิ้งค์ไปก่อนนะ”

   ดาวคณะวิศวะส่งยิ้มสดใสทิ้งท้ายให้พวกผมก่อนจะขอตัวเดินไปขึ้นรถที่มาจอดรออยู่ไม่ไกล ผมชำเลืองมองคนที่ยืนอยู่ข้างกันมองตามสาวตาละห้อย

   “เสียดายที่ไม่ได้ไปส่งพิ้งค์ละสิมึง”

   “พิ้งค์เขามีคนมารับอยู่แล้วนี่”

   “หึ” ผมเบ้ปากใส่ ก่อนจะเป็นฝ่ายเดินนำไปที่รถ “เร็วดิ กูหิวข้าว”



“หิวมากเหรอ จะแวะกินแถวนี้ก่อนไหม”

อินหันมาถาหลังจากขับรถออกมาจากมหาลัยได้สักพักเมื่อเห็นว่าผมเอาแต่นั่งเงียบ มันเหลือบมามองผมก่อนจะหันกลับไปมองถนน ตอนแรกผมกับอินตกลงกันว่าจะกินข้าวที่ห้างใกล้ ๆ คอนโด จะได้แวะไปซื้อของด้วย

“ไม่ต้องหรอก”

ผมตอบโดยไม่หันไปมองคนถาม

“กี้”

“กูเห็นมึงแปลก ๆ ตั้งแต่เมื่อกี้ละ มึงเป็นอะไรเปล่าวะ”

“....”

ผมนึกว่าอินมันคงไม่สังเกตเห็นซะอีก ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองเป็นอะไร รู้แค่ว่ารู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก
เป็นความรู้สึกที่ไม่ดีเอาซะเลย...และผมก็ไม่ชอบความรู้สึกนี่เอามาก ๆ ด้วย

“เปล่า ไม่ได้เป็นอะไร”

“ร้อนเหรอ เดี๋ยวกูเร่งแอร์ให้ จะได้อารมณ์ดีขึ้น”

อินเอื้อมมือไปปรับเร่งแอร์ให้แรงขึ้น แต่มันก็ไม่ได้ช่วยทำให้อารมณ์ของผมดีขึ้นเลย

“ก็กูบอกว่าไม่ได้เป็นอะไรไง”

ผมเผลอใช้น้ำเสียงกระด้างพูดกับอิน รู้สึกตัวก็เมื่อเห็นแววตาประหลาดใจที่เหลือบมามอง ผมเลยได้แต่เสเบือนหน้าหนีมองออกนอกหน้าต่าง แสร้งทำเป็นมองไปที่สัญญาณไฟตรงแยกข้างหน้าที่กำลังเปลี่ยนจากสีเหลืองเป็นสีแดง

“มึงโกรธอะไรกูหรือเปล่า”

ความเงียบเข้าครอบงำบรรยากาศภายในรถ ขณะที่ผมยังคงจ้องสัญญาณไฟสีแดงและตัวเลขที่นับถอยหลังลงไปเรื่อย ๆ ในที่สุดผมก็หลุดสบถออกมาจนได้

“แม่ง”

ผมยังคงไม่ยอมหันมาทางคนข้าง ๆ โดยตรง ได้แต่มองเงาสะท้อนเลือนรางจากกระจกหน้าต่างรถ

“กูรู้สึกตัวเองนิสัยไม่ดีเลยว่ะ รู้สึกตัวเองทำตัวแย่ ๆ”

“มึงทำอะไร”

“คือ...กู...” ผมก้มหน้าลงยกมือขึ้นมากุมหัวแล้วถอนหายใจ “กูต้องเป็นเหมือนมึงวันนั้นแน่ ๆ”

“กูรู้สึกแปลก ๆ ตอนที่เห็นพิ้งค์ถ่ายรูปกับมึง มันหงุดหงิดอย่างไงก็ไม่บอกไม่รู้ กูรู้แต่ว่ามันไม่โอเคว่ะ แม่งรู้สึกตัวเองขี้อิจฉาอย่างไงก็ไม่รู้ กูไม่ชอบตัวเองแบบนี้เลยว่ะ”

“กูว่ากูเข้าใจละว่าวันนั้นมึงรู้สึกอย่างไงเวลาที่ผู้หญิงเขาสนใจคนอื่นมากกว่ามึง”

อินมันปล่อยให้ผมพูดพล่ามอยู่คนเดียวจนพอใจแล้ว ผมจึงได้ยินเสียงของมันพูดขึ้นมาบ้าง

“มึงแน่ใจเหรอวะกี้ ว่าที่มึงเป็นคืออิจฉากู”

ผมยกมือที่กุมหัวตัวเองออกแล้วหันไปก็สบเข้ากับสายตาคมของเพื่อนสนิท

“...กูก็ต้องอิจฉามึงสิ”

...หรือไม่ใช่

   ความรู้สึกบางอย่างในตัวผมกำลังกระซิบบอกว่ามันไม่ใช่ แล้วถ้าอย่างนั้นอาการที่ผมกำลังเป็นอยู่คืออะไรกันแน่

   ความรู้สึกบางอย่างนั้นที่ทำให้ผมถามออกไปด้วยความไม่แน่ใจ

   “...มันเกี่ยวกับมึงใช่ไหม”

ก่อนที่ตัวเลขบนสัญญาณไฟจราจรจะนับถอยหลังถึงเลขศูนย์แล้วเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง มือที่คุ้นเคยลูบลงบนหัวของผมแผ่วเบาพร้อมกับรอยยิ้มมุมปากที่คุ้นตา

“มึงค่อย ๆ ทำความเข้าใจกับความรู้สึกของมึงก็ได้ ไม่จำเป็นต้องรีบ กูอยากให้มึงแน่ใจว่าจริง ๆ มึงคิดอย่างไง รู้สึกอย่างไง ไว้วันไหนมึงรู้แล้วมาบอกกูด้วยแล้วกัน”

มือของอินผละออกก่อนที่สัญญาณไฟเขียวจะปรากฏเพียงอึดใจ พร้อมกับคำพูดที่ทิ้งไว้ก่อนจะออกรถ

“แต่อย่านานนักนะ เพราะกูก็รอมานานแล้ว”


TBC...

ออฟไลน์ wanirahot

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 10 [09/02/2018]
«ตอบ #41 เมื่อ10-02-2018 08:54:31 »

อินบางทีก็ใจเย็นป๊ายยยยยยยย กระตุ้นกี้หน่อยลูก ใบ้อีกๆ น้องกี้เค้าซื่อ เด่วรู้ตอนแก่ละแย่เลย

ออฟไลน์ PK13

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 149
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 10 [09/02/2018]
«ตอบ #42 เมื่อ10-02-2018 11:06:21 »

โอ้โหหหหหหหห อะไรจะซื่อเบอร์นั้นนู๋กี้ 5555555

ออฟไลน์ มะเขือม่วง

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 435
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 10 [09/02/2018]
«ตอบ #43 เมื่อ10-02-2018 18:51:56 »

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ::UsslaJlwaJ::

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1011
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-4
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 10 [09/02/2018]
«ตอบ #44 เมื่อ12-02-2018 07:42:49 »

น่าจะมีคนมาจี้จุดซักคน ปล่อยเบลอกันไปหมดดดด คนไม่รู้ไม่จี้ก็ไม่รู้เด้ออออ ไปเราก็ลุ้นกันต่อไป

ออฟไลน์ BABYBB

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 10 [09/02/2018]
«ตอบ #45 เมื่อ12-02-2018 13:25:21 »

กลัวนุ้งกี้จะโดนงาบไปจริงๆถ้าทุกอย่างยังเนิบนาบไปอย่างงี้ ฮืออออิ

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 10 [09/02/2018]
«ตอบ #46 เมื่อ12-02-2018 14:52:55 »

คู่นี้เค้าสมกันจริงๆค่ะพี่ตา
ฮือลุ้นทุกตอนเลยเมื้อไหร่กี้จะรู้ตัว :katai1:

ออฟไลน์ Polkaneko

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-2
โรคประจำตัว : ตอนที่ 11 [16/02/2018]
«ตอบ #47 เมื่อ16-02-2018 19:49:31 »

ตอนที่ 11

            ความรู้สึกของผม....

            ความรู้สึกที่อินมันพูดถึงมันหมายถึงอะไร แล้วมันจะเกี่ยวกับโรคประหลาดที่ผมเป็นด้วยหรือเปล่า อาการที่ผมเป็นมันแค่โรคประหลาดที่ใคร ๆ เขาก็เป็นกันจริงเหรอ สิ่งที่มันกำลังเกิดกับผมมันคืออะไรกันแน่ ผมเอาแต่คิดวนเวียนอยู่ในหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า

          แล้วที่อินมันบอกว่ามันรอมานานแล้ว มันรออะไร สิ่งที่มันรอมาจากผมใช่ไหม มันเกี่ยวกับความรู้สึกของผมที่อินพูดถึงหรือเปล่า

            ผมไม่เข้าใจเลย...

             

 

            “กี้”

            “ไอ้กี้”

            “ห๊ะ เรียกกูเหรอ”

            ผมกระพริบตาปริบ ๆ เมื่อโดนชมพู่ตีเข้าที่แขน

            “เออ กูเรียกเป็นสิบรอบแล้วมั้ง มัวแต่เหม่ออยู่นั่นแหละ”

            “แหะ ๆ โทษทีว่ะ”

          ผมได้แต่ส่งยิ้มแห้ง ๆ ให้เพื่อน เมื่อกี้ไม่ได้ฟังจริง ๆ ว่ามันพูดว่าอะไร

            “กูถามว่าตกลงเย็นนี้มึงกับไอ้อินจะไปกินชาบูกับพวกกูไหม”

            “เอ่อ กูยังไงก็ได้”

            “แล้วไอ้อินละ มันต้องไปซ้อมกับวงเปล่าวะ”

          ชมพู่ถามถึงเพื่อนอีกคนที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้ ตอนนี้ผม ชมพู่ และมายนั่งกันอยู่ที่ใต้ตึกคณะหลังจากเลิกเรียนแล้ว

            “ไม่รู้ มึงก็ไปถามมันสิ”

            “อ้าว ก็พวกมึงอยู่ด้วยกัน ทำไมมึงไม่รู้วะ”

            ชมพู่มองผมด้วยความสงสัย ผมเลยแกล้งสนใจชีทเรียนที่วางอยู่บนโต๊ะแทน

          “แล้วนี่มันไปไหนวะ”

            “เมื่อกี้เห็นอาจารย์ขวัญเรียกให้ไปหาน่ะครับ”

            มายเป็นคนให้คำตอบกับชมพู่เอง เมื่อเห็นผมยังนั่งทำหน้านิ่งไม่รู้ไม่ชี้อยู่

            “งั้นเดี๋ยวมึงก็ถามให้กูหน่อยละกัน”

          “มึงก็ถามมันเองสิ”

            “เอ๊ะ ไอ้นี่ เรื่องมากจริง”

            เพื่อนสาวของผมทำเสียงจิจ๊ะ ก่อนที่มันจะมองผ่านผมไปทางด้านหลัง

            “ไอ้อินมาพอดี”

            “อิน เย็นนี้มึงจะไปกินชาบูด้วยกันเปล่าวะ” ชมพู่ถามคนที่เพิ่งเดินมาถึงโต๊ะ

            “อือ ไปสิ”

          “งั้นพวกมึงไปจองคิวที่ร้านกันก่อน เดี๋ยวกูขอเอาหนังสือไปคืนแล้วจะตามไป”

            “งั้นเดี๋ยวชมพู่ไปพร้อมเราละกัน ขากลับเราจะได้ไปส่งที่หอด้วย”

            “กูไปด้วย” ผมโพล่งขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินมายพูดว่าจะไปพร้อมกันกับชมพู่ ไม่สนสายตาประหลาดใจของทุกคนที่มองมา

            “มึงจะมาด้วยทำไม มึงก็ไปรถไอ้อินก่อนเหมือนทุกทีสิ ก็รู้อยู่ว่าตอนเย็นที่ร้านคนมันเยอะ ทำตัวให้เป็นประโยชน์ด้วยค่ะมึง”

          ชมพู่ไม่ยอมตามใจผม แถมยังด่าผมอีกที่ทำตัวมีปัญหา ซึ่งผมก็เถียงมันไม่ได้ด้วย

“ไม่ต้องมาทำเป็นหน้างอใส่กู กูไม่ใช่ไอ้อินจะได้คอยโอ๋มึง”

            ได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ มาจากไอ้คนที่ถูกพาดพิงถึง ผมเลยได้แต่ทำหน้าเซ็งกว่าเดิมเมื่อไม่ได้อย่างที่หวัง

           

 

 

            “ไอ้อินมึงเลิกตักใส่แต่ชามของกี้มันได้ไหม เต็มชามจนล้นแล้วนั่น เหลือไว้ในหม้อให้คนอื่นกินบ้างเหอะ”

          ชมพู่โวยวายเสียงดังเมื่อเห็นว่าในชามของผมมีทั้งหมูทั้งเนื้อสารพัดสัตว์และเครื่องชาบูที่อินมันตักให้ ส่วนผมก็มีหน้าที่แค่รอให้เย็นแล้วคีบเข้าปาก ก็ปกติเวลาไปกินชาบูหรือปิ้งย่างอะไรแบบนี้ อินมันมักจะค่อยตักค่อยคีบให้ผมอยู่แล้ว ก็เพราะมันบ่นว่าผมกินช้า มัวแต่เคี้ยวเอี้ยงแย่งไม่ทันคนอื่น

            “กูเห็นมันแย่งพวกมึงกินไม่ทัน”

          อินมันตอบไปแบบนั้นโดยที่ยังคีบกุ้งที่สุกแล้วมาใส่ในชามของผมเพิ่ม

            “แหม บุฟเฟต์นะคะคุณมึง ไม่พอก็สั่งมาอีกสิวะ”

          ผมกลืนเนื้อสไลด์ลงคอก่อนจะพูดบ้าง

            “งั้นมึงก็สั่งมาเพิ่มสิวะชมพู่ จะมาบ่นไอ้อินมันทำไม”

            “แหม ทีเรื่องกินนี่รีบเข้าข้างไอ้อินเลยนะมึง ทีเมื่อกี้ยังทำตัวงอแงจะไม่ยอมมากับมันอยู่เลย”

            “ไม่ใช่สักหน่อย เอานี่ กูยกกุ้งให้ตัวนึง สองตัวเลยก็ได้”

            ผมคีบกุ้งในหม้อใส่ชามของชมพู่เพื่อเอาใจมันบ้าง จะได้เลิกพูดมากสักที

          “แล้วของกูละ ไม่เห็นตักให้กูบ้างเลย”

            ผมทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับคำทักท้วงของไอ้คนที่เพิ่งตักกุ้งใส่ชามให้ผม

            “มึงก็ตักกินเองสิ ไม่ต้องตักมาให้กูแล้ว”

            “ก็กูอยากให้มึงตักให้”

            แม่ง...ทำไมมึงต้องใช้เสียงนุ่ม ๆ มาพูดแบบนี้ด้วยวะ

            ผมหยิบกระบวยจวงตักสรรพสิ่งที่อยู่ในหม้อขึ้นมาโดยไม่ทันได้ดูหรอกครับว่าตักได้อะไรบ้างใส่ชามไอ้อิน ถ้าตักได้แต่ผักก็ช่างมัน พอเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นมันส่งยิ้มเป็นประกายมาให้

            “ไอ้กี้ ทำไมหน้าแดงจังวะ”

            “ก็...หม้อชาบูมันร้อน มึงไม่ร้อนหรือไงชมพู่”

            ชมพู่ที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันกับผมทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ ผมเลยก้มหน้าก้มตาคีบอาหารเข้าปากไม่ยอมเงยหน้ามองใครอีกเลย รวมถึงไอ้คนที่ยังนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ข้าง ๆ ผมด้วย

 

 

 

“นี่คิดมากเรื่องที่กูพูดเหรอ”

            อินหันมาถามหลังจากที่ต่างคนต่างเงียบตั้งแต่ชมพู่และมายแยกกลับรถอีกคัน ผมเอาแต่นั่งเงียบ เสมองรถคันข้าง ๆ ที่เคลื่อนผ่านไปคันแล้วคันเล่า

            “ก็เลยพาลไม่อยากอยู่ใกล้กูสินะ” เพื่อนของผมมันถอนหายใจเฮือกใหญ่ให้ได้ยิน

            “กูเสียใจนะเนี่ย อุตส่าห์ตั้งใจหาวิธีช่วยมึงแท้ ๆ”

            ผมรู้หรอกน่าว่าอินมันแกล้งตีหน้าเศร้า ทำเป็นพูดให้ดูดราม่ามาแบบนี้แต่กลับมีรอยยิ้มแต้มที่มุมปาก

            “เปล่าสักหน่อย” ผมตอบเสียงอ้อมแอ้มเบา ๆ

            “กูก็บอกแล้วไงว่าค่อย ๆ คิดก็ได้ ไม่เห็นต้องเครียดแบบนี้เลย”

          น้ำเสียงอ่อนโยนของอินคล้ายกับอยากจะทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น ผมเม้มริมฝีปากล่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบสายตาคมแล้วเอ่ยออกมาเบา ๆ

            “ก็...มึงบอกว่ารอมานานแล้ว กูก็ไม่อยากให้มึงต้องรออีก”

            “....กี้...มึงนี่มัน...”

            อินเอาหน้าฟุบกับพวงมาลัยรถ โชคดีที่เป็นจังหวะรถติดไฟแดงพอดี และโดยที่ผมไม่ทันได้ตั้งตัว จู่ ๆ อินก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วเอื้อมมือมาคว้าท้ายทอยของผมไว้ ก่อนที่ผมจะทันรู้ตัวริมฝีปากของคนตรงหน้าก็แตะเข้าที่ริมฝีปากของผมแล้ว

            ผมได้แต่เบิกตาโพลงพร้อมกับความรู้สึกปั่นป่วนครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในท้อง ผีเสื้อตัวน้อยนับร้อยต่างแข่งกันขยับปีกโบยบินราวกับต้องการจะบินออกมาสู่โลกภายนอก สัมผัสของริมฝีปากที่แนบแน่นยิ่งขึ้นยิ่งเพิ่มความบ้าคลั่งให้กับเจ้าพวกผีเสื้อพวกนี้ พร้อมกับรู้สึกวาบหวิวที่เกิดขึ้นเช่นกัน

เสียงแตรรถด้านหลังที่กดไล่เมื่อไฟสัญญาณเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเขียวทำให้อินผละออกจากผมหันกลับไปสนใจกับการขับรถต่อและดูเหมือนมันจะขับเร็วขึ้นกว่าปกติ

            ราวกับเนิ่นนานทั้ง ๆ ที่ความจริงแค่ชั่วเวลาไม่กี่วินาทีที่รถติดไฟแดง ผมยกมือขึ้นแตะที่ริมฝีปากของตัวเองเบา ๆ ตรงตำแหน่งที่โดนทาบทับเมื่อครู่

 

            “กี้..”

อินที่กำลังเขย่าตัวผมเบา ๆ มองผมด้วยสายตาเป็นห่วง ผมกระพริบตาถี่ ๆ ราวกับการทำแบบนี้จะเร่งสติให้กลับคืนมาได้เร็วขึ้น เหลียวมองรอบตัวก็พบว่าตอนนี้รถจอดสนิทอยู่ใต้คอนโดของอินแล้ว

“มึง...โอเคไหม”

“หา...”

ตอนแรกผมยังงง ๆ ว่าอินมันหมายถึงอะไร แต่พอเงยหน้าขึ้นสายตาปะทะเข้ากับริมฝีปากหยักได้รูปของคนตรงหน้า ความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ก็หวนกลับคืนมา

“เมื่อกี้มึง...ทำอะไรกู”

ทำไมเสียงผมมันถึงเหมือนกับคนกำลังละเมอแบบนี้

“จูบมึงไง”

ไอ้อินตอบหน้าตาเฉย แถมยังถามผมกลับอีก

“อย่าบอกนะว่าแค่จูบมึงก็ไม่รู้จัก”

          ไอ้บ้า จูบใคร ๆ ก็ต้องรู้สิโว้ย ผมได้แต่มองค้อนมันไป

“กูหมายถึงมึงจูบกูทำไม กูเพื่อนมึงนะ”

“ก็...รักษามึงไง”

“รักษา”

ผมทวนคำพร้อมกับขมวดคิ้วด้วยความสงสัย พยายามหาความเชื่อมโยง

“ใช่ ก็อย่างที่กูบอกว่าต้องเพิ่มความใกล้ชิด มึงกับกูลองนอนกอดกันมันยังไม่หายใช่ไหม กูเลยลองจูบมึงดูไง”

“แล้วจู่ ๆ มึงก็จูบกูเนี่ยนะ”

“เออ...ก็กูอยากลอง”

“ไอ้...”

ผมไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาด่ามันดีครับ อยู่ ๆ นึกอยากจะลองจูบมึงก็จูบเนี่ยนะ สรุปว่าอินมันจูบผมก็เพราะอยากจะช่วยรักษาผมหรอกเหรอ

 “แล้ว...มึงรู้สึกอย่างไงบ้าง”

“ไอ้ผีเสื้อบ้าแม่งแทบจะทะลุกระเพาะกูออกมาแล้วมั้ง เล่นอะไรบ้า ๆ ”

ผมโวยวายมันยกใหญ่ จะทำอะไรก็ไม่บอกให้ผมตั้งตัวก่อนเลย

“แค่นั้น?” มันสบตาผมก่อนจะก้มหน้าลงปลดเข็มขัดนิรภัยที่คาดไว้ออก

“ก็เออสิ แล้วมึงจะให้รู้สึกอะไร”

“งั้นขอลองอีกที”

“ไอ้...อุ๊บ”

พูดจบอินมันก็โน้มตัวเข้ามาจนชิด สองมือจับประคองใบหน้าของผมไว้ไม่ให้หันหนีได้ก่อนที่จะประทับริมฝีปากลงมาอีกครั้ง ผมเบิกตากว้างพยายามจะใช้มือดันไปที่หน้าอกของมันแต่ทันทีที่อินมันงับริมฝีปากล่างของผมแล้วดูดดึงเบา ๆ เรี่ยวแรงที่ผมมีก็แทบจะหมดไป ได้แต่ปล่อยให้อินมันทำตามใจ

เจ้าพวกผีเสื้อในท้องของผมยังคงบินวนเวียน แต่น่าแปลกที่ครั้งนี้พวกมันกลับไม่ได้เกรี้ยวกราดอย่างเช่นที่ผ่านมา แต่กลับค่อย ๆ ขยับปีกบินช้า ๆ อย่างอ่อนโยน ชวนให้ผมรู้สึกล่องลอย

ผมปรือตาขึ้นเมื่อรู้สึกถึงสัมผัสที่ผละออก ใบหน้าหล่อร้ายกาจของเพื่อนสนิทยังคงอยู่ไม่ห่าง สายตาของผมจับจ้องอยู่ที่ริมฝีปากสีสดของมัน ผมค่อย ๆ คลายมือที่ไม่รู้ว่าขยุ้มเสื้อนักศึกษาของคนตรงหน้าตั้งแต่ตอนไหนออก นิ้วมือเรียวยาวของอินบรรจงเช็ดน้ำลายที่ริมฝีปากของผมเบา ๆ

“กูว่ามึงชอบวิธีรักษาแบบนี้นะ”

รอยยิ้มเย้ายวนบวกกับสายตาแวววับของมัน ทำเอาผมร้อนวูบที่หน้า ผมรีบผลักมันให้ห่างก่อนจะคว้ากระเป๋าแล้วเปิดประตูลงจากรถทันทีพร้อมกับคำด่าที่ทิ้งไว้

“ไอ้เชี่ยอิน”

ผมได้ยินเสียงไอ้เพื่อนชั่วหัวเราะชอบใจก่อนที่จะกระแทกประตูแจ็สลูกรักของมัน

 

 

ผมกำลังนั่งทบทวนสมการประหลาดในหัว ถ้าการอยู่ใกล้อินแล้วทำให้ผมมีอาการประหลาด การอยู่ห่างจากอินมันก็น่าจะทำให้ผมดีขึ้น แต่มันกลับไม่ได้เป็นแบบนั้นน่ะสิ อาการของผมกลับยิ่งดูแย่ลงกว่าเดิมเสียอีก แล้วพอมาอยู่กับอินตามทฤษฏีความใกล้ชิดจะได้ชินอะไรของมันเนี่ย โรคประหลาดของผมมันก็ยังเกิดอาการอยู่ดี แล้วยิ่งเวลาอินมันเข้าใกล้มาก ๆ  ผมยิ่งรู้สึกเหมือนแทบจะขาดใจตอนที่เจ้าพวกผีเสื้อมันเกรี้ยวกราด

ยกเว้นครั้งล่าสุดที่ผมเกิดอาการ การโบยบินของเจ้าพวกผีเสื้อกลับทำให้ผมรู้สึกดีจนน่าแปลกใจ

แล้วนี่มันเกี่ยวกับความรู้สึกที่อินมันพูดถึงด้วยไหม...

ไม่เข้าใจเลยสักนิด...

            “คิ้วจะผูกกันแล้ว”

          “เฮ้ย”

            ผมสะดุ้งตัวเมื่ออยู่ ๆ อินมันเอานิ้วมาจิ้มตรงกลางหว่างคิ้วของผม

          “ถ้าไม่มีสมาธิอ่านก็ไปนอนเถอะ ดึกแล้ว”

หันไปมองนาฬิกาทรงกลมที่แขวนอยู่บนผนัง เข็มสั้นและเข็มยาวบอกให้รู้ว่าล่วงเข้าวันใหม่มาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว เห็นแบบนั้นผมจึงปิดหนังสือที่กางค้างไว้หน้าเดิมตั้งแต่ชั่วโมงก่อนแล้วลุกจากโต๊ะหนังสือไปแปรงฟันเตรียมตัวจะเข้านอน เสร็จแล้วก็ถอดแว่นขึ้นเตียงห่มผ้า ยังไม่ทันที่ผมจะหลับ ไฟในห้องก็ถูกดับลง

            “เฮ้ย อินไม่เอา ไม่กอด”

          ผมขยับตัวหนีไอ้คนที่พอขึ้นเตียงปั๊บมันก็คว้าหมับเข้าที่เอวผม

            “ทำไมละ ไม่อยากหายแล้วเหรอ”

          มันไม่ยอมปล่อยแถมยังรวบตัวผมไปจนชิดอก ตัวผมแทบจะจมหายไปกับอ้อมกอดของมัน เกลียดตัวเองที่ตัวเล็กกว่ามันจริง ๆ

            “ไม่เห็นมันจะหายเลย นอนให้มึงกอดมาตั้งนานละ”

            “งั้น...ลองจูบอีกสักที เผื่อว่าจะเวิร์ค”

          พูดจบอินก็พลิกตัวขึ้นคร่อมโดยที่ผมยังไม่ทันได้ตั้งตัว แสงสลัวจากระเบียงทำให้ผมพอมองเห็นเสี้ยวหน้าหล่อเหลานั่นแม้จะไม่ชัดเจนนักแต่ผมก็ยังสังเกตเห็นแววตาวาววับของมันได้ รู้ตัวว่าไอ้เพื่อนชั่วมันเอาจริงแน่ ๆ จึงพยายามจะดื้อหนี

            “เฮ้ย ไม่เอา ไอ้อินมึงปล่อยกูเลยนะ”

          อินจัดการปิดเสียงโวยของผมด้วยริมฝีปากของมันเอง ยิ่งผมพยายามจะผลักไสมันมากเท่าไหร่ สัมผัสที่แนบชิดดื้อดึงของมันยิ่งมากขึ้นเท่านั้น อินขบเข้าที่ริมฝีปากล่างของผมเบา ๆ ทำให้ผมเผลอเผยอปากให้มันแทรกลิ้นร้อนเข้ามาสูบเรี่ยวแรงและสติผมไปจนหมด ปล่อยตัวเองให้ล่องลอยไปพร้อมกับฝูงผีเสื้อนับร้อย รู้สึกตัวอีกทีผมก็นอนหายใจอ่อนระทวย เงยหน้าสบตากับไอ้คนที่มันยอมปล่อยริมฝีปากผมให้เป็นอิสระเสียที

            “เฮ้ย เป็นไรเปล่าวะ”

            ฝ่ามือของอินลูบแก้มผมเบา ๆ ความรู้สึกร้อนวูบวาบบนใบหน้าทำให้ผมรีบพลิกตัวซุกหน้าซ่อนไว้กับหมอน

            “ไอ้เชี่ยอิน มึงอย่ามาเข้าใกล้กู”

            “ทำไมละ กูว่ามึงชอบที่กูจูบนะ มึงรู้สึกดีใช่ไหม”

          เสียงทุ้มที่ทำให้ใครต่อใครหลงใหลมานักต่อนักของอินกระซิบอยู่ข้างหู ใกล้เสียจนรู้สึกถึงลมหายใจอุ่น

            “กู...กูไม่รู้ กูไม่รู้อะไรทั้งนั้น กูจะนอนแล้ว”

            ผมตอบเสียงอู้อี้พลางพยายามจะดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมหัว

          “กลัวกูจะจูบมึงอีกหรือไง”

          อินแกล้งยื้อผ้าห่มในมือผมเอาไว้ แกล้งดึงกระตุกอยู่สองสามทีจนผมโมโหหันมาถลึงตาใส่ แทนที่มันจะกลัวกลับยิ้มขำ

            “มองแบบนี้ อยากให้กูจูบอีกละสิ”

            “ไอ้เชี่ยอิน”

            “อย่าด่ากูบ่อย นี่กูกำลังช่วยมึงอยู่นะ”

            เหอะ นี่กูต้องซาบซึ้งที่มึงอุตส่าห์สรรหาวิธีบ้า ๆ แบบนี้มาช่วยกูสินะ

          “ไอ้...”

            “บอกว่าอย่าด่าไง”

          ยังไม่ทันที่ผมจะได้ด่าสักคำ อินก็แลบลิ้นเลียที่ริมฝีปากบอกความนัยของคำพูดของมัน

            “แม่ง”

          ผมเบือนหน้าหนีแต่ยังแอบชำเลืองเห็นว่ามันยังจ้องผมไม่เลิก

            “กูไม่ได้ด่ามึง ไม่ต้องมามองเลย”

            ผ้าห่มในมือของมันถูกผมดึงเอามาคลุมหัวจนมิด ได้ยินเสียงไอ้อินหัวเราะเบา ๆ ก่อนที่มันจะล้มตัวลงนอนข้างกัน ผมขยับตัวหนีเมื่อแขนของมันพาดทับตรงช่วงเอวแต่ก็ถูกมันรั้งไว้

            “นอนได้แล้ว”

            ผมนอนนิ่งจนได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของคนข้างกายแล้วจึงค่อย ๆ ยกมือขึ้นมาแตะที่ริมฝีปากตัวเอง



            TBC... 



            เก็บกดมาจากไหนเหรออิน วันแรกก็ 3 จูบเลย  :o8:

ออฟไลน์ wanirahot

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 11 [16/02/2018]
«ตอบ #48 เมื่อ16-02-2018 23:38:55 »

เขาจูบกันแล้ววววววววววว และเยอะจนฟินเว่อร์!!! อินมาถูกทางแล้ว ต้องทำอีก ทำเย๊อออออๆ

ออฟไลน์ knxiiviii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 90
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 11 [16/02/2018]
«ตอบ #49 เมื่อ17-02-2018 07:21:29 »

อินทนไหวได้ยังไงเนี่ย 555 กี้ลูก เมื่อไหร่หนูจะรู้ตัวคะ ><

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 11 [16/02/2018]
« ตอบ #49 เมื่อ: 17-02-2018 07:21:29 »





ออฟไลน์ BABYBB

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 11 [16/02/2018]
«ตอบ #50 เมื่อ17-02-2018 11:01:32 »

รักษาด้วยปากแล้วเดี๋ยวก็รักษาด้วยร่างกายต่อ  :haun4:

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 11 [16/02/2018]
«ตอบ #51 เมื่อ18-02-2018 16:06:36 »

น้องกี้ซื่อมาก ใสมาก ไม่เคยดูละครซีรี่ย์เลยเหรอ สงสัยโดนอินเซ็นเซอร์ทุกอย่างตั้งแต่เด็กปานอยู่เกาหลีเหนือ  55

ออฟไลน์ Polkaneko

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-2
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 12 [23/02/2018]
«ตอบ #52 เมื่อ23-02-2018 21:25:32 »

ตอนที่ 12



 

            หลังจากที่ทางชมรมดนตรีสากลโพสรูปโฆษณาขายเสื้อชมรมทั้งสองเวอร์ชั่นลงเพจ คือทั้งเซตที่เป็นของอินกับพิ้งค์และอินกับผม ปรากฏว่ายอดกดไลค์กดแชร์ถล่มทลายโดยเฉพาะเซตที่เป็นรูปของผมกับอิน บรรดาสาว ๆ เข้ามาหวีดมาคอมเม้นกันเป็นพัน พี่ต้าร์เล่าว่ายอดส่งซื้อเสื้อเข้ามาเกินกว่าที่คาดการณ์เอาไว้มากจนต้องรีบสั่งให้ร้านทำเพิ่มล๊อตใหม่แทบไม่ทัน พี่แจ็คดีใจยกใหญ่บอกว่าจะพาพวกผมไปเลี้ยงมื้อใหญ่เลย

            ส่วนทางพวกผมเองก็พลอยได้รับอานิสงค์ไปด้วย ตอนนี้เลยดังใหญ่ ไปไหนจากที่ปกติก็มักจะคนมองอินอยู่แล้ว เดี๋ยวนี้ยิ่งมีแต่คนมองโดยเฉพาะสาว ๆ เยอะขึ้นไปอีก เห็นแต่รูปคู่ตัวเองถูกแชร์มาเต็มหน้าเฟซบุ๊คไปหมด ชมพู่ได้ทีแซ็วพวกผมใหญ่เลยว่ากำลังจะกลายเป็นคู่จิ้นแห่งปีไปแล้ว

            ว่าแต่ผมยังไม่ได้ถามชมพู่เลยว่าตกลงไอ้จิ้น ๆ ที่ใคร ๆ ก็พูดถึงกันนี่มันคืออะไร...

           

            “เฮ้ย โทษทีวะ พอดีกูลืมโทรศัพท์ไว้ที่ห้องเลยต้องกลับไปอีกรอบ”

            ชมพู่ที่เพิ่งมาวางกระเป๋ากับหนังสือไว้บนโต๊ะยาวในหอสมุด พร้อมกับนั่งลงข้าง ๆ ผมที่กำลังพิมพ์รายงานอยู่ เช้าวันนี้พวกผมนัดกันมาทำงานกลุ่มด้วยกันที่หอสมุดก่อนที่จะมีเรียนช่วงบ่าย

            “แล้วอินกับมายละ”

            “พวกมันไปหาหนังสือกันน่ะ มึงมาช่วยกูพิมพ์ต่อที”

          “เอามาสิ”

            ผมยกโน้ตบุ๊คของตัวเองไปวางตรงหน้าเพื่อน ก่อนจะยื่นหนังสือหน้าที่ดูค้างไว้ให้มันไปพิมพ์ต่อ ผมจะหยิบโทรศัพท์ออกมาเล่นเกมก็กลัวจะโดนชมพู่มันด่า เลยนั่งเอาคางก่ายกับโต๊ะดูชมพู่ทำงานไปสักพักก็ยังไม่เห็นเพื่อนอีกสองคนจะกลับมา ผมก็เลยได้โอกาสแอบถามชมพู่ถึงเรื่องที่สงสัย

            “ชมพู่ ไอ้คู่จิ้นนี่มันคืออะไร”

            “หือ นี่มึงไม่รู้เหรอ” ชมพู่หันมามองผมแวบหนึ่งก่อนจะก้มหน้าสนใจหนังสือต่อ

            “ไม่อ่ะ ได้ยินแต่คนนั้นคนนี้เขาพูดกัน”

          “ไปอยู่ที่ไหนมามึง ไม่เคยดูละครหรือไง ที่เขาเป็นคู่จิ้นกันน่ะ เดี๋ยวนี้ดังจะตาย”

            “ไม่เคยอ่ะ เคยดูแต่การ์ตูน”

            ชมพู่ละมือจากคีย์บอร์ดหันมาอธิบายให้ผมฟัง “เขาก็ไว้ใช้เรียกคนสองคนที่ไม่ได้เป็นอะไรกันแต่คนอื่นมโนว่ารักใคร่ชอบพอกันอย่างไงละ แบบว่าเคมีดูเข้ากัน ดูแล้วชวนให้คิดว่ามีอะไรกุ๊กกิ๊ก ๆ อะไรแบบนี้”

          ผมเกาหัวด้วยความงงกับคำอธิบายของชมพู่ ไหนจะมโน ไหนจะเคมี ตกลงอย่างไงเนี่ย ชมพู่มันก็เลยอธิบายเพิ่ม

          “ก็เหมือนคู่มึงกับอินนั่นแหละที่คนอื่นเขาจิ้นกันไง”

            “เฮ้ย แต่กูกับอินเป็นเพื่อนกันนะ” ผมกระเด้งตัวขึ้นนั่งหลังตรงทำตาโตทันที

            “ก็ใช่น่ะสิ ไม่งั้นเขาจะเรียกว่าคู่จิ้นเหรอ” ชมพู่หยุดมือหันมาหรี่ตามองผม “เอ๊ะ หรือว่าจริง ๆ พวกมึงเป็นคู่จริงวะ”

            “จริงบ้านมึงสิชมพู่” ผมด่ามันไปทันทีที่ได้ยินมันพูดจาแปลก ๆ

            “ก็ไม่รู้สินะ เผื่อพวกมึงอาจจะซัมติงกันก็ได้” มันกลับยักไหล่พูดหน้าตาเฉย

          “บ้าแล้วไอ้ชมพู่”

            ผมรู้สึกร้อนตัวกับคำว่าซัมติงของมัน หรือว่าชมพู่มันจะรู้อะไร พอดีกับที่เพื่อนอีกสองคนหอบหนังสือกลับมาที่โต๊ะ อินเป็นคนเอ่ยทักชมพู่ก่อน

            “มาแล้วเหรอวะ ช้านะมึง”

            “โทษทีว่ะ”

            “ทำถึงไหนกันแล้วละครับ เดี๋ยวเราจะได้ทำพรีเซนต์ต่อ”

          มายอ้อมมาด้านหลังก้มดูหน้าจอที่ชมพู่กำลังพิมพ์งานค้างไว้อยู่ ผมแอบชำเลืองมองเพื่อนอีกคนที่นั่งลงตรงข้ามผมเป็นพัก ๆ ในใจก็นึกไปถึงคำพูดของชมพู่ที่รบกวนสมาธิของผมไปทั้งวัน

 

            หลังเลิกเรียนทันทีที่ขึ้นมาบนรถ ผมก็ถูกไอ้คนเจ้าของแจ็สสีดำคันนี้ไล่ต้อนจนต้องถอยหลังไปชิดประตูรถ สายตาคมคู่นั้นของมันจ้องหน้าผมเขม็ง

            “แอบมองกูทั้งวันนี่ต้องการอะไรวะ”

            “ใครแอบมองมึง ไม่มี” ผมปฏิเสธเสียงสูง หลักฐานก็ไม่มี เรื่องอะไรจะยอมรับละครับ

            “ทำเป็นปากแข็ง อยากมองกู มึงก็มองตรง ๆ ได้เลย กูรู้กูหล่อ กูอนุญาตให้มองได้เต็มที่”

          ไอ้คนที่มั่นใจในหน้าตาตัวเองจนน่าหมั่นไส้ส่งยิ้มที่ดูแล้วกวนอวัยวะเบื้องล่างเสียเหลือเกิน

            “เหอะ ไอ้คนหลงตัวเอง มั่นหน้าไปนะมึง”

            “เขาเรียกว่าเป็นคนรู้จักตัวเองตั้งหาก”

            “เหรอ หล่อเหี้ย ๆ เลยละมึง” ผมอดที่จะเบ้ปากหมั่นไส้ไม่ได้

            “ปากดีนะมึงเนี่ย แบบนี้มันต้องโดน”

            “โดนไร” ผมมองหน้าหล่อเหี้ย ๆ ที่ยื่นเข้ามาใกล้ด้วยความระแวง จะขยับตัวหนีหลังก็ติดกระจกรถแล้ว

            “ก็โดนแบบนี้ไง”

            พูดจบอินมันก็ฉกริมฝีปากมาจุ๊บปากผมอย่างรวดเร็ว

            “ไอ้เชี่ยอิน แม่งเดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”

          ผมทำตาโตรีบหันไปมองนอกรถว่ามีใครผ่านมาเห็นหรือเปล่า โชคดีที่ลานจอดรถคณะตอนนี้ไม่มีคนเดินผ่านมา ไม่งั้นผมคงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน

            “งั้นถ้าไม่มีใครเห็นก็ทำได้สิ” ดู ๆ ไอ้คนทำมันยังไม่สำนึก ยังมายิ้มหน้าระรื่นอีก ไม่มียางอายเลยนะมึง

            “จะตอนไหนก็ไม่ได้ทั้งนั้นโว้ย มึงรีบออกรถเลย กูหิวแล้ว เร็วสิ”

ผมใช้สองมือทั้งผลักทั้งดันไอ้เพื่อนชั่ว ทำเสียงดังโวยวายกลบเกลื่อนความรู้สึกร้อนผ่าวที่แก้ม อินยอมถอยกลับไปสตาร์ทรถแต่โดยดี ถึงแม้หน้ามันจะยังเห็นว่ากำลังกลั้นยิ้มอยู่ก็ตาม

 

           

            อินจูบผมในทุก ๆ วัน อย่างน้อยก็ก่อนเข้านอน มันบอกว่าเพื่อทำให้อาการผมดีขึ้น ถึงอินมันจะให้เหตุผลว่าเพราะต้องการจะช่วยรักษาโรคประหลาดของผม และตัวผมเองก็เริ่มรู้สึกว่ามันได้ผลอยู่เหมือนกัน ผมไม่ได้รู้สึกทรมานเวลาที่ผีเสื้อพวกนั้นบินวนในท้องแล้ว บางครั้งกลับรู้สึกดีมากด้วยซ้ำ แต่ผมกลับรู้สึกว่าสิ่งที่พวกผมทำมันไม่ใช่เรื่องปกติ แล้วยังมีไอ้ความรู้สึกอะไรที่อินมันบอกให้ผมไปคิดนั่นอีกละ

          ผมนั่งมองไอ้ตัวต้นเหตุที่ทำให้ผมต้องเปลืองสมองมานั่งคิดจนปวดหัว พี่แจ็คเพิ่งจะให้วงหยุดพักการซ้อมสิบนาที แต่เห็นเรียกให้อินไปคุยด้วย มีเพียงพี่ต้าร์ที่เดินมานั่งดื่มน้ำตรงที่ผมนั่งดูอยู่

            “พี่ต้าร์” ผมเรียกพี่แกโดยสายตายังจับจ้องที่เพื่อนสนิท

            “หือ”

            “....”

            “เรียกกูแล้วก็ไม่พูด อะไรของมึง”

          “คือว่า...” ผมหันไปมองหน้ารุ่นพี่คนสนิทแต่ก็ยังพูดไม่ออกอยู่ดี

            “ตกลงมึงจะพูดไหม ไม่งั้นกูจะได้ไปทำอย่างอื่นก่อน พร้อมเมื่อไหร่ค่อยเรียกกูมาฟัง”

            “เดี๋ยวพี่ โธ่ ทำเป็นใจร้อนไปได้ ก็จะพูดอยู่เนี่ย” ผมรีบดึงแขนคนที่ทำท่าจะลุกหนีไว้ก่อน คนแก่ใจร้อนหรือไง

            “ว่ามาเร็ว ๆ”

            “ปกติเพื่อนเขาจูบกันด้วยเหรอพี่”

            “ห๊ะ”

          พี่ต้าร์ทำท่าตกอกตกใจเสียเหลือเกินกับคำพูดที่ผมอุตส่าห์กลั้นใจถาม อยู่กันแค่นี้ไม่รู้พี่แกจะเสียงดังทำไม ยังดีที่ไม่มีใครสนใจ

            “เมื่อกี้มึงว่าอะไรนะ ใครจูบใคร”

            “ผมถามว่าปกติเพื่อนกันเขาจูบกันด้วยเหรอ”

            “นี่มึงกับไอ้อินจูบกันแล้วเหรอวะ” พี่ต้าร์ถามด้วยน้ำเสียงกระซิบกระซาบ

            “อือ”

          ผมพยักหน้ารับก่อนจะร้องด้วยความตกใจรีบโบกไม้โบกมือแก้ตัวเป็นพัลวัน

          “เฮ้ย ไม่ใช่ ๆ ไม่ใช่ผมกับไอ้อิน”

            “เบา ๆ สิมึง อยากให้เขารู้กันทั้งชมรมเหรอ มึงมานี่เลยมา”

พี่ต้าร์ยกมือขึ้นแตะที่ปากเป็นสัญญาณให้ลดเสียงลงก่อนจะลากแขนผมออกไปนอกห้อง แวบหนึ่งที่ผมหันไปเห็นอินมันมองตาม

            “ไหนมึงเล่ามาว่าเรื่องมันเป็นอย่างไง”

          พี่แกลากผมออกมาจนห่างจากห้องชมรมพอสมควร เมื่อมองซ้ายมองขวาจนแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้ ก็หันมาคาดคั้นผมทันที

          “ก็บอกว่าไม่ใช่ผมไง” ผมก้มหน้าหลบสายตาที่มองมา

            “นี่มึงคิดว่าอย่างมึงนี่จะโกหกใครเขาได้เหรอวะ เล่ามาให้หมด”

            “คือ...อินมันบอกว่าเป็นวิธีรักษาอย่างหนึ่ง...” ในที่สุดผมก็ยอมเล่าด้วยน้ำเสียงอ่อย ๆ

            “รักษาด้วยการจูบมึงเนี่ยนะ”

            “อือ” ผมพยักหน้ารับ

            “แล้วมึงก็เชื่อมันเนี่ยนะ”

            “ก็ตอนนั้นมันบอกแบบนี้นี่”

            “นี่มันเข้าข่ายล่อลวงชัด ๆ ไอ้อินนี่มันร้ายนัก”

            “พี่ต้าร์” ผมกัดริมฝีปากตัวเองก่อนจะเอ่ยถามคำถามเดิมอีกครั้ง “เพื่อนกันเขาไม่จูบกันใช่ไหมพี่”

          พี่ต้าร์ถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะลูบหัวผมด้วยความเอ็นดู

            “เรื่องนี้มันอยู่กับว่าพวกมึงสองคนคิดอย่างไง กูก็ไม่อยากจะเสือกเรื่องของพวกมึงหรอกนะ พวกมึงต้องคุยกันเอง กูว่ามึงกลับไปถามคำถามนี้กับไอ้อินมันตรงๆเลยดีกว่า”

          พี่ต้าร์ตบบ่าให้กำลังใจผมแล้วเดินกลับเข้าไปซ้อมดนตรีต่อ ปล่อยให้ผมจมอยู่กับคำถามในใจ

         

 

            “กี้”

            ผมชะลอฝีเท้าลงจนเพื่อนสนิทซึ่งเดินนำไปก่อนหันกลับมาเรียกระหว่างทางที่เรากำลังจะเดินไปยังรถที่จอดไว้หลังจากอินซ้อมดนตรีเสร็จแล้ว

            “ทำไมเดินช้าจังวะ ไม่หิวเหรอมึง”

            “อิน”

            ผมหยุดเท้าก่อนที่อีกเพียงไม่กี่ก้าวจะเดินไปถึงคนที่ยืนรออยู่ แสงไฟข้างทางจากด้านหลังฉายเงาของผมให้ทอดยาวไปตามทางเดิน

            “กูถามอะไรได้ไหม”

            ผมเงยหน้าขึ้นสบสายตาคนที่มองมาด้วยความฉงน ผมแค่อยากจะรู้คำตอบของคำถามที่มันค้างคาใจ

            “ทำไมมึงถึงจูบกู”

          “กูก็บอกเหตุผลมึงไปแล้วนี่”

“มันไม่ใช่แค่การรักษาอาการของกูอย่างที่มึงบอกใช่ไหม”

          “ทำไมมึงถึงคิดแบบนั้นละกี้”

            “กูก็ไม่รู้ กูไม่รู้ว่าทำไมกูถึงคิดแบบนี้ ตอนแรกไอ้พวกผีเสื้อในท้องมันอาละวาดจะเป็นจะตาย แต่พอจูบกับมึง กูกลับรู้สึกดี ทั้ง ๆ ที่มึงเป็นเพื่อนกู เป็นผู้ชายเหมือนกู กูว่ามันไม่ถูกต้อง ทุกอย่างมันดูผิดเพี้ยนไปหมด กูไม่รู้ว่าสิ่งที่กูกำลังเป็น กำลังรู้สึกอยู่ตอนนี้มันคืออะไรกันแน่ กูสับสนไปหมด มึงบอกกูได้ไหม มึงบอกว่ามึงจะช่วยกูไม่ใช่เหรอ”

          ผมระบายความอัดอั้นที่อยู่ในใจออกมายืดยาวให้ไอ้คนตรงหน้าต้นเหตุที่ทำให้ผมต้องเป็นแบบนี้ได้รับฟัง ผมไม่รู้ว่าอินมันจะเข้าใจที่ผมพูดหรือเปล่า หรือบางทีมันอาจจะฟังสิ่งที่ผมพูดออกมาไม่ทันก็ได้ มันถึงยังคงยืนนิ่งอยู่แบบนั้น

            แต่เพียงไม่กี่วินาที อินก็สาวเท้ายาว ๆ เข้ามารวบตัวผมไปกอดไว้แนบอก ใบหน้าของผมซบอยู่ตรงบ่ากว้าง

            “มึงจะเชื่อในสิ่งที่กูกำลังจะบอกไหม”

          อินคลายอ้อมกอด สองมือเปลี่ยนมาจับไหล่ผมไว้มั่น ดวงตาคมของมันสะกดผมให้ไม่อาจเบือนสายตาหนี

            “กูชอบมึง”

 

TBC....

ออฟไลน์ wanirahot

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 12 [23/02/2018]
«ตอบ #53 เมื่อ23-02-2018 23:05:35 »

จิ้มไว้ก่อน อ่านทีหลัง

ออฟไลน์ wanirahot

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 12 [23/02/2018]
«ตอบ #54 เมื่อ23-02-2018 23:18:31 »

ค้างงงงงงง รอตอนต่อไป!!!

ออฟไลน์ fullfinale

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 666
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 12 [23/02/2018]
«ตอบ #55 เมื่อ24-02-2018 00:20:58 »

เชื่อ หมดใจเลยยย

ออฟไลน์ Tiffany

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 12 [23/02/2018]
«ตอบ #56 เมื่อ24-02-2018 05:52:08 »

เย้ ดินสารภาพรักแล้ว เมื่อไหร่น้องกี้จะรู้ใจตัวเองน้า

ออฟไลน์ BABYBB

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 12 [23/02/2018]
«ตอบ #57 เมื่อ24-02-2018 09:52:20 »

เฮ้ออออ น้องกี้เข้าใจยากแท้ นี่ก็กลัวใจนังน้องจะคิดอะไรต่อ จะเข้าใจอะไรมากขึ้นมั้ยนะ

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 12 [23/02/2018]
«ตอบ #58 เมื่อ24-02-2018 23:29:19 »

 :pig4:

ออฟไลน์ Polkaneko

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-2
โรคประจำตัว : ตอนที่ 13 [02/03/2018]
«ตอบ #59 เมื่อ02-03-2018 20:19:37 »

 ตอนที่ 13

 

กูชอบมึง...

นาทีนั้นทั้งผมและคนที่เอ่ยคำนี้ออกมาต่างนิ่งเงียบไปด้วยกันทั้งคู่ ผมจ้องเข้าไปในดวงตาคมที่กำลังสะท้อนภาพของผมอยู่ในขณะนี้หมายจะหาความนัยที่ซ่อนอยู่

ชอบ...ที่อินมันบอกหมายถึงแบบไหน

“มึงหมายความอย่างไง”

“กูไม่ได้คิดกับมึงแค่เพื่อน”

ผมกระพริบตาถี่ ๆ พยายามจะทำความเข้าใจในสิ่งที่คนตรงหน้าบอก

ไม่จริงหรอก...ผมกับอินเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เด็ก...อย่ามาล้อเล่นอะไรแบบนี้

“มึง....จะแกล้งอะไรกูอีก”

มึงแกล้งกูอีกแล้วสินะอิน นี่คิดจะหลอกกูใช่ไหมถึงพูดแบบนี้...

“กูไม่ได้แกล้ง กูพูดจริง”

มึงกำลังรอจะหัวเราะกูทีหลังอยู่ละสิ กูไม่หลงกลมึงหรอก...

“อย่ามาล้อเล่นนะไอ้อิน”

            “กูไม่ได้ล้อเล่น นี่กูซีเรียสนะโว้ย”

            ผมรู้สึกถึงแรงบีบที่แรงขึ้นตรงหัวไหล่ของผมที่ถูกมันจับเอาไว้ อินมองผมด้วยแววตาอ้อนวอน

            “กูชอบมึงจริง ๆ”

            คำ ๆ นี้มันกำลังจะทำให้ผมกลายเป็นบ้าเพราะเจ้าพวกผีเสื้อมากมายที่อยู่ในท้อง ที่พากันกระพือปีกบินอย่างเอาเป็นเอาตาย นี่ผมจะทนไม่ไหวแล้วนะ ผมสะบัดตัวจนหลุดแล้วยกขึ้นมาปิดหูทั้งสองข้างพร้อมกับเดินหนี

          “กี้”

            “ไม่”

            “มึงฟังกูก่อน”

            “กูไม่ฟัง”

            ผมเบือนหน้าหนีอินที่พยายามจะพูดกับผม ปิดหูปิดตาตัวเองไม่รับฟัง

            “มึงฟังกูก่อน ก็ไหนมึงบอกว่ามึงอยากรู้ไม่ใช่เหรอ”

            “ไม่ฟัง ไม่ฟัง ไม่ฟัง”

          ตอนนี้ผมไม่อยากรู้อะไรทั้งนั้นแล้ว ในหัวมีแต่ความสับสนระแวงไปหมด

            “ไอ้กี้ อย่าเพิ่งดื้อ”

          อินที่เดินตามมาพยายามจะแกะมือผมออกแต่ผมไม่ยอม ผมจะดื้อ มันจะทำไม

            “กูไม่ฟัง กูรู้มึงจะแกล้งกู”

            “ก็บอกว่าไม่ได้แกล้งไง โธ่เว้ย”

            ถึงไอ้อินมันจะทำเสียงดุใส่ ผมก็ไม่ยอมปล่อยมือเด็ดขาด มันเลยจับแขนทั้งสองข้างของผมที่ยังยกขึ้นปิดหูอยู่ให้หันมาเผชิญหน้ากัน

            “ถ้ากูไม่ได้ชอบ ไม่ได้รักมึง กูจะจูบมึงเหรอ มึงรู้ไว้นะว่าคนที่กูอยากจูบมีแค่มึงเท่านั้น”

            อินมองผมด้วยสายตาอ้อนวอน ความรู้สึกรักใคร่มันชัดเจนเสียจนผมได้แต่เม้นริมฝีปากตัวเองด้วยความสับสน   

สายตาคู่นี้ผมเชื่อได้จริง ๆ เหรอ...

            ผมเป็นเพื่อนมัน เป็นผู้ชายเหมือนมัน อินมันรักผมแบบนั้นจริง ๆ เหรอ...

            “กูเป็นเพื่อนมึงนะ”

            “แต่กูไม่ได้คิดกับมึงแค่เพื่อน มึงอยากรู้ไม่ใช่เหรอว่าอาการที่มึงเป็นอยู่มันคืออะไร มึงลองคิดดูดี ๆ สิว่าตัวมึงเองก็รู้สึกอย่างไงกับกู”

          “กู...กูไม่รู้ กูไม่รู้อะไรทั้งนั้น”

          ตอนนี้ผมสับสนไปหมดเลยได้แต่หลบสายตาที่จับจ้อง อินถอนหายใจก่อนที่จะยอมปล่อยมือจากผมด้วยสีหน้าอ่อนใจ

          “กูยังไม่เอาคำตอบจากมึงตอนนี้ก็ได้ มึงคิดทบทวนให้ดี แล้วเราค่อยมาคุยเรื่องนี้กัน”

 

 

            อินมันปล่อยให้ผมคิดเองอย่างที่พูดจริง ๆ หลังจากเหตุการณ์วันนั้นอินก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องนั้นอีก มันยังทำทุกอย่างเช่นปกติ มันยังอยู่ข้าง ๆ ผมเหมือนทุกวัน ตื่นไปเรียนด้วยกัน กินข้าวพร้อมกัน กลับห้องด้วยกัน เพียงแต่ผมรู้ว่ามันไม่เหมือนเดิม อินเว้นระยะห่างมากขึ้นเวลาอยู่ใกล้ผม ไม่เล่นหัวหยอกเล่นถึงเนื้อถึงตัวอีก และผมเองก็ทำตัวเกร็ง ๆ เมื่ออยู่ใกล้กัน ไม่ต้องพูดถึงการจูบก่อนนอนและการนอนกอดกันไปจนเช้าอีกแล้ว

            ผมมีโจทย์ที่ต้องหาคำตอบ โจทย์ที่ผมก็ไม่รู้ว่าคนโง่ ๆ แบบผมจะเข้าใจมันได้ไหม....

“เป็นอะไรหรือเปล่า พักนี้เราว่ากี้ดูซึม ๆ นะ”

            ผมเหลือบตามองเพื่อนที่พูดจาสุภาพที่สุดในกลุ่มที่เดินมานั่งลงตรงข้ามกัน

            “นั่นก็อีกคน ทำไมอินถึงไม่มานั่งด้วยกันตรงนี้ละครับ”

          มายพยับเพยิบไปทางอินที่นั่งอยู่ที่โต๊ะตัวถัดไปใต้ตึกคณะ ถึงตอนนี้มันจะกำลังก้มหน้าอ่านหนังสืออยู่แต่ผมแอบเห็นมามันก็แอบมองผมอยู่เช่นกัน

            “ทะเลาะกันกับอินเหรอครับ”

            มายมองผมด้วยสายตาเป็นห่วง ผมได้แต่ทอดถอนใจเบา ๆ

            “ถ้ามีอะไรให้เราช่วยก็บอกได้นะ ไม่ชินเวลาที่เห็นกี้กับอินทำมึน ๆ ใส่กันแบบนี้เลย”

            “มาย...”

            “ครับ”

            “เคยชอบเพื่อนตัวเองไหม”

          มายเงียบไปชั่วครูเมื่อได้ยินที่ผมถาม ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงธรรมดา

            “ยังไม่เคยครับ แต่มันก็ไม่แปลกอะไรนี่ครับ”

            ผมกัดริมฝีปากตัวเองก่อนจะถามต่อ

            “แล้วถ้าเพื่อนคนนั้น...เป็นผู้ชายเหมือนกันละ”

            มายยิ้มให้ผม

            “แล้วมันสำคัญอย่างไงละครับ เราว่ามันก็ไม่ได้ผิดอะไรนี่กับการที่เราจะรักใครสักคน เราคงรักเพราะเขาคือคน ๆ นั้น ไม่ได้รักเพียงเพราะเขาเป็นผู้หญิงหรือเป็นผู้ชายนี่ครับ”

          ผมเหลือบคนที่นั่งอยู่ไม่ไกลนัก

          “ที่เรารักก็เพราะว่าเรารู้สึกกับคน ๆ นั้นพิเศษกว่าคนอื่นไม่ใช่เหรอครับ”

            พิเศษกว่าคนอื่น...

          อาการประหลาดของผมที่เกิดขึ้นเฉพาะกับอินคนเดียวเท่านั้น คนเดียวที่ทำให้ผีเสื้อนับร้อยในท้องของผมโบยบิน คนเดียวที่ทำให้ผมรู้สึกมากกว่าใคร ๆ

            ผมยิ้มให้กับตัวเอง ในที่สุดผมก็เข้าใจและหาคำตอบให้กับตัวเองได้แล้ว

 

 

            อินกับผมแยกจากเพื่อน ๆ มาขึ้นรถกลับบ้านเหมือนอย่างทุกวัน เพียงแต่วันนี้พออินกำลังจะสตาร์ทรถ ผมก็เรียกมันไว้ก่อน

“อิน” คนถูกเรียกหันมามอง

            “อย่าเพิ่งกลับคอนโดได้ไหม”

            “มึงจะไปไหนเหรอ”

            ผมเม้นปากก่อนจะตัดสินใจพูดต่อ

“มึงขับไปที่เงียบ ๆ ได้ไหม...กูมีเรื่องจะคุยด้วย”

อินไม่พูดอะไร เพียงแต่สตาร์ทรถแล้วขับออกจากคณะมาเรื่อย ๆ จนในที่สุดรถแจ๊สสีดำก็จอดสนิทใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างสระน้ำในมหาลัย มีเพียงนักศึกษา 2-3 คนที่มาออกกำลังกายวิ่งผ่านไป หลังจากที่เสียงเครื่องยนต์ดังลงก็เหลือแต่เพียงความเงียบภายในรถ ก่อนที่ผมจะเป็นคนทำลายความเงียบนั้น

“อิน...เรื่องที่มึงถามกู”

            “กูเข้าใจแล้วว่าอาการที่กูเป็นทำไมมันถึงเกิดขึ้นเฉพาะกับมึง”

ผมหันไปสบตาคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทที่สุด

“ก็เพราะมึงคือคนพิเศษสำหรับกู”

            “มันไม่ช้าไปใช่ไหม” ผมถามด้วยความลังเลก่อนจะตัดสินพูดคำนั้นออกไป

“ถ้ากูจะบอกว่ากูชอบมึง”

อินยังคงนั่งนิ่งเมื่อได้ยินคำที่ผมบอกจนผมชักจะหวั่นใจ หรือผมพูดอะไรผิด ผมกำลังจะขยับปากเอ่ยชื่อมัน อินก็ดึงผมเข้าไปกอดเสียแน่นก่อนที่มันก้มหน้าลงมาทำท่าจะจูบผม

“เฮ้ย เดี๋ยวก่อน มึงจะไม่พูดอะไรเลยเหรอ” ผมเบี่ยงหน้าหลบพร้อมกับเอามือยันหน้าหล่อ ๆ ของมันไว้

“ก็กูบอกมึงไปแล้ว แต่ถ้ามึงอยากฟังกูก็จะพูดอีก”

อินคว้ามือผมไว้แล้วยิ้มแบบที่ทำให้ผีเสื้อในท้องของผมเริ่มโบยบิน สายตาคมของมันที่จับจ้องผมอยู่สะกดให้ผมไม่อาจหลบสายตามันได้

“กูชอบมึง”

ผมไม่อาจห้ามหัวใจที่กำลังเต้นแรงเมื่อได้ยินคำ ๆ นี้อีกครั้งได้ ไม่อาจจะห้ามเจ้าผีเสื้อที่กำลังร่าเริงอยู่ภายในท้องของผม

“ชอบมึงมาตั้งนานแล้ว มึงรู้ไหม”

นี่ผมปล่อยให้อินต้องเก็บความรู้สึกนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ

“ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมกูไม่เคยรู้”

“ก็เพราะมึงมันโง่ไง”

“ไอ้อิน มึงด่ากูอีกแล้วนะ”

ผมแยกเขี้ยวโวยมันทันที เวลาแบบนี้มันยังจะมาว่าผมโง่อีก แต่มันกลับเอาหัวเราะขำเสียอย่างนั้น ผมทำหน้าหงิกจนมันหยุดหัวเราะแล้วยอมเล่าให้ผมฟังแต่โดยดี

“ที่กูไม่บอกมึงตั้งแต่แรก ก็เพราะตอนนั้นกูยังไม่รู้ว่ามึงคิดอย่างไงกับกู กูกลัวว่าถ้ากูบอกมึงไป แล้วมึงเห็นกูเป็นแค่เพื่อนคนหนึ่ง มึงอาจจะหนีหน้ากูไปก็ได้ ถ้าเป็นแบบนั้นกูคงทนไม่ได้ สู้ให้กูเก็บเรื่องนี้ไว้เองดีกว่า”

“แต่ตอนที่กูเล่าเรื่องโรคประหลาดของกูให้มึงฟัง มึงก็ต้องรู้แล้วสิ ทำไมมึงไม่บอกกู”

          ตอนนี้ผมพอจะเข้าใจแล้วว่าไอ้อาการประหลาดของผมคืออะไร นี่ผมปล่อยไก่บอกให้อินรู้ว่าผมชอบมันไปกลาย ๆ สินะ

“กูรู้ แต่กูอยากให้มึงรู้สึกด้วยตัวเองมากกว่าว่าสิ่งที่มึงรู้สึกมันคืออะไร เพราะกูคิดว่าบอกความจริงว่ามึงชอบกู มึงก็คงไม่เชื่ออยู่ดี”

นิ้วมือเรียวยาวของอินเกลี่ยเบา ๆ ที่ข้างแก้มของผม

“ขนาดกูบอกชอบมึง มึงยังคิดว่ากูล้อเล่นเลย มึงรู้ไหมว่ากูเสียใจนะ”

“กูขอโทษ”

ผมได้แต่เอ่ยคำขอโทษเสียงอ่อย ๆ ถึงแม้อินมันจะพูดไปยิ้มไปด้วยให้รู้ว่ามันไม่คิดอะไรแล้วก็เถอะ แต่ผมก็ยังอดรู้สึกผิดที่ทำให้มันเสียใจอยู่ดี

“อะไรที่ควรจะพูด กูก็พูดไปหมดแล้ว”

คราวนี้นิ้วมันไม่ได้แค่เกลี่ยข้างแก้มของผมแล้วแต่มันกลับจับล็อกใบหน้าผมเอาไว้ เห็นท่าจะไม่ดีกับตัวผมแน่ ๆ

“อะ...อะไร”

“งั้นตอนนี้กูก็จูบมึงได้แล้วสินะ” พูดจบไอ้อินมันก็ก้มหน้าลงมาหาผมทันที

“เฮ้ย”

มือที่ล็อกคอผมเอาไว้จัดองศาให้ผมเงยหน้ารับจูบของมันพอดี ผมได้แต่หลับตาปี๋ปล่อยให้ริมฝีปากร้อน ๆ ของแตะลงมาละเลียดอย่างแผ่วเบาก่อนที่มันจะค่อย ๆ เพิ่มแรงสัมผัสที่มากขึ้น เพิ่มขึ้น ๆ เสียจนผมต้องยอมแพ้ ได้แต่อาศัยจังหวะที่มันยอมปล่อยริมฝีปากให้เป็นอิสระห้ามมันเสียงสั่น

“มะ...มึงพอได้แล้ว”

ผมช้อนตามองใบหน้าหล่อ ๆ ที่ห่างไม่เกินปลายจมูกสัมผัสกัน สบสายตาคมโดยหวังว่ามันจะยอมเชื่อฟังผมบ้าง แต่ผมคงคิดผิดเพราะอินมันกลับใช้ริมฝีปากรังแกผมต่อ จนผมต้องรวบรวมเรี่ยวแรงดันตัวมันห่าง ซึ่งไอ้อินมันไม่ยอมให้ความร่วมมือกับผมเลย

“อินพอก่อน”

ผมรีบเบี่ยงหน้าหนีเมื่ออินมันยังไม่เลิกที่จะก้มลงมาหาริมฝีปากของผม ผมพูดละล่ำละลัก

“คือ...กูหิวแล้ว ไปหาอะไรกินเถอะ...นะ”

ผมเม้นริมฝีปากแน่นกลัวไอ้คนที่จ้องมองอยู่จะคิดจูบซ้ำอีกครั้ง หากอินยอมถอยขยับตัวกลับไปนั่งที่เดิม

“โอเค ไปหาอะไรกินก่อนก็ได้”

พอเห็นอินสตาร์ทรถแล้วผมก็เผลอถอนหายใจออกมาเบา ๆ แต่ยังโล่งใจได้ไม่ทันไรก็ได้ยินคำพูดที่ต้องหันไปทำตาโตใส่มัน

“เดี๋ยวกลับถึงห้องค่อยต่อ”

“ไอ้เชี่ยอิน”

 

TBC...



บอกเลยว่าอินเก็บกด XD

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด