บทที่ 10ว่าไงจ๊ะเจ้าปลาปั๊กเป้า “ไย่ ขยับตัวหน่อยจะเอาปีเตอร์”
“อืออออออ”
ป้าบ! “แอ่กกกก”
โอ๊ยยยยย โดนเตะก้านคอออออ
ฮือออออ ไอ้ไย่มันฝันว่าตัวเองเป็นบัวขาวกำลังขึ้นเวทีชิงแชมป์โลกรึไง! วันนี้เจ็บตัวหลายรอบแล้วนะ จะไปทำบุญจริงๆ ด้วยยยย
เฮ้อ ไม่เอาแม่งละ ประเด็นคือผมพยายามนอนบนเตียงรูมเมทอย่างโมทย์มาเกือบชั่วโมงแล้วแต่ก็ข่มตาหลับไม่ได้สักกะที เลยจะเดินมาเอาปีเตอร์ไปกอดแต่หยากไย่ดันนอนทับ พยายามหยิบออกมาเท่าไหร่ก็ไม่ได้ แงงง ลูกพ่อ ให้ป้านอนทับไปก่อนนะลูก เดี๋ยวพรุ่งนี้พ่อจะเอาไปซักแล้วเรามานอนกอดกันใหม่
แล้วพวกมันจะรู้บ้างมั้ยเนี่ยว่าเพื่อนมันหน้าแหกเลือดอาบ ฮึ่ยยยย อยากจะเอานิ้วจิ้มตูดทีเรียงตัว
ผมเดินคอตกกลับนอนไปที่เตียงเดิม ริมกำแพงมีปราโมทย์นอนหลับตาพริ้มอยู่ มองแล้วก็ต้องหรี่ตาคิดทันที…
หรือต้องถึงเวลาใช้บริการรูมเมทแล้ววะ?
เอาไงดีอะ แบบนี้จะเสียเพื่อนหรือเปล่า คือไม่ได้คิดอะไรกับมันจริงๆ นะแต่ผมจำเป็นจะต้องพึ่งมัน ขอโทษด้วยนะแว่น สัญญาว่าจะจ่ายค่าไฟเดือนนี้ให้ฮือออออ
ตึกตึก ตึกตึก ใจผมระส่ำระส่ายขณะที่เขยิบเข้าไปใกล้คนข้างๆ เอื้อมมือไปหวังจะกอดเต็มที่
ก๊อก ก๊อก ก๊อก โอ๊ยตกใจ! เสียงเคาะประตูเรียกสติกลับมาได้ ฮือออ ขอบคุณณณณณ นรกยังไม่ต้องการผมสินะ
แล้วใครมันมาเวลานี้อีกล่ะ ไม่หลับไม่นอนหรือยังไง
“อ้าว” ผมอ้าปากค้างเมื่อเปิดประตูไปแล้วเห็นว่าเป็นไอ้ทัก ใส่ชุดนอนพร้อมเต็มที่ เสื้อยืดกับกางเกงขายาวบางๆ เหมือนเดิม
“ไหนดูหน้าดิ” ผมนิ่งไปเลยเมื่อมันจับหน้าผมโยกไปทางซ้ายและขวา
นุ่มนวลดีจัง
“โอเคแล้วววว ก็บอกว่าไม่ได้เป็นอะไร” ผมสะบัดหัวหนี เพิ่งสังเกตเห็นของในมือมัน “เอาผ้านวมมาทำไมอะ”
“มานอนดิ”
“หา!?” ผมเท้าเอว “ไม่มีที่จะแทรกตัวแล้วยังจะมานอนด้วยกันอีก”
เดี๋ยวให้นอนทับไอ้มุนินซะให้เข็ด
“เออน่า กูมีทางของกู” ว่าแล้วมันก็เดินเข้ามาโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
ไอ้ทักปูผ้าที่เตรียมมากับพื้นโล่งๆ ที่เคยใช้เป็นวงสุราก่อนหน้านี้ หมอนใบเบ้อเร่อถูกโยนลงตามไป ผมยืนมองมันจัดแจงที่ทางจนเรียบร้อยแล้วก็เดินเข้าไปใกล้
“ห้องตัวเองไม่มีนอนรึไง”
“กูอยากนอนนี่ ผิดเหรอ”
“งั้นมึงไปนอนกับเพื่อนมั้ยล่ะ” ผมชี้ไปทางโมทย์ “เดี๋ยวกูขึ้นไปเบียดกับสามตัวนั้น”
“ไม่ต้องมาทำเป็นออแกไนซ์” มันแยกเขี้ยว “นอนนี่แหละ”
“…”
“กับกู” เอ่อ… ไม่ดีม้างงงงงง
“จ้องอยู่ทำไมล่ะ ลงไปนอน!” ไอ้ทักผลักตัวผม
“มึงตลกแล้วทัก ข้างๆ ไอ้โมทย์ก็ว่าง”
“ตามใจกูหน่อยไม่ได้ไง๊” มันบ่น “อุตส่าห์พาไปหาหมอ”
ผมได้แต่กลอกตาไปมา พูดมากจังวะ งั้นนอนๆ ไปแล้วกันจะได้จบๆ
หมอนที่ไม่มีคนใช้จากเตียงโมทย์ถูกโยนลงมาสมทบ ไอ้ทักทิ้งตัวลงนอนข้างๆ ผมทันที
“อย่านอนคว่ำนะ เดี๋ยวเลือดก็ไหลอีกหรอก”
“รู้แล้วน่า…” ก็นอนตะแคงอยู่นี่ไง
“เออ”
ฮืออออ แต่มันนอนไม่ได้จริงๆ นะ มันไม่มีอะไรให้กอดเลย มันโล่งไปหมด เหมือนหลับกลางทุ่งข้าวสาลี มันอ้างว้างโดดเดี่ยวไร้ผู้คน
“มึง…”
“หือ?” ผมส่งเสียง
“ไม่มีผ้าให้ห่ม โอเคเปล่า? กลับไปหยิบให้มั้ย”
ทำไมมันบริการเก่งจัง “ไม่เป็นไร”
“ก็เห็นมึงกอดตัวเอง ไม่หนาวเหรอ?”
สังเกตขนาดนี้มันต้องนอนมองผมอยู่แน่ๆ ขอหันไปดูหน่อยซิ…
นั่นไง ไอ้ทักตะแคงข้างหนุนมือตัวเอง แถมทำตาแป๋วจ้องมาทางผมเต็มที่
จะมาแอบดูกูนอนทำบ้าอะไรเล่า!!
“มึงไม่หลับล่ะวะ”
“ยังไม่ง่วง”
“แหมแล้วตอนอยู่ศูนย์แพทย์คอพับคออ่อน” ผมบุ้ยปาก “กูนอนแล้วนะ”
“ก็นอนไปสิ”
ผมถอนหายใจแล้วหันหลังให้มันเหมือนเดิม พยายามข่มตาก็แล้ว นึกถึงแกะดีดอูคูเลเล่ก็แล้วแม่งก็ไม่ช่วยยยยย เวลานี้มันต้องก่ายมันต้องกอดเท่านั้นครับ ฮืออออ ไปเคาะตามห้องอื่นๆ ดีมั้ยเนี่ยยย น้องกุ้งขอใช้บริการหน่อยคร้าบบบบบ
“ยุกยิก”
ฮืออออ ไอ้ข้างๆ นี่ก็ยังไม่นอนสินะ “กูนอนไม่ได้!”
“ทำไมอะ” มันส่งเสียง “เพราะกู?”
“ไม่ใช่!” สำคัญตัวเองไปแล้วจ้า
“แล้วเป็นห่าอะไร”
ผมต้องบอกมันสินะ โดนล้อแน่เลยยยย “กูไม่มีปีเตอร์ให้กอดดดด”
“…” ไอ้ทักเงียบไปจนได้ยินเสียงหายใจถี่ๆ
ผมรู้สึกว่ามันกำลังพลิกตัวอีกที จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียง
“งั้นมานี่” “หา!?”
“หันมาสิ”
ผมทำตามอย่างที่มันว่า แล้วก็เห็นว่าไอ้เดือนมหาลัยอ้าเขนออกมารออยู่ก่อนแล้ว
นี่มัน… เหมือนแสงสีขาวจากสวรรค์ อะไรมันจะจ้าซะขนาดนี้
“กอดแขนกูไปก่อน”
“…”
ฮือออออ ถึงมันจะดูไม่ดี แต่อยากทำเชี่ยๆๆ ไม่นะ ทำไมสวรรค์จะถีบผมกลับลงนรกอีกแล้วววว
“กอดแขนเหรอ…”
“อืม” มันพยักหน้าในความมืด “หรือจะกอดกู?”
เวร… อย่าพูดนะ กุ้งมึงอย่าพูดความคิดมึงออกไปเด็ดขาดเลยนะ!!
“กอดมึงได้มั้ยอ่า…” แว้กกกกกกก ไอ้หัวใจไม่รักดี ทำไมไม่ทำตามที่กูสั่งเล่า!!!!
“หึ” ไอ้ทักอมยิ้ม “เอาไงก็เอา”
ผมไม่รอช้า ค่อยๆ เคลื่อนตัวไปหนุนแขนของมันทันที
แม่เจ้าโว้ยยยยยยยยยยยย เป็นแขนที่ดีที่สุดเท่าที่หัวเคยได้สัมผัส ทำไมมันทั้งแข็งแกร่งและนุ่มนิ่มไปพร้อมกันแบบนี้ ฮือออ อยากจะแทะให้เหลือแต่กระดูกไปเลย
“ยึกยักทำไมเนี่ย” ไอ้ทักคว้าแขนผมไปโอบรอบเอวมัน “จะกอดก็กอด”
“…”
ฮืออออ นี่มันไออุ่น… ไออุ่นที่ห่างหายไปนาน โว้ยยยย ไม่ได้นอนกับคนอื่นนานแค่ไหนแล้วนะ นานจนลืมไปแล้วใช่มั้ยว่าความสุขแบบนี้มันเป็นยังไง ดีใจจังที่ได้กลับมาสัมผัสอีกครั้ง
ผมหลับตาพริ้มพร้อมกับเบียดตัวเข้าไปใกล้กว่าเดิม แถมยกขาขึ้นมาก่ายเสร็จสรรพ ฟุดฟิด… ชอบกลิ่นสปอร์ตๆ แบบนี้จัง อยากจะซื้อตัวมันไว้กอดทั้งวันทั้งคืน หลับสบายจริงๆ สบายกว่าครั้งไหนๆ เลยด้วยยยย
“กุ้ง…”
“หืมมม” อะไรวะ เกือบจะหลับสนิทแล้วนะเนี่ย
ไอ้ทักส่งเสียงอย่างแหบพร่า
“แน่นไป” “หา?”
“มัน…” ไอ้ทักหายใจหอบๆ “โอย กุ้งพอก่อนๆ”
อะไรของมันอีกล่ะ
ไอ้ทักผลักผมออกเบาๆ แล้วเม้มปาก ก้มหน้าลงมามองผมที่ตาปรือพร้อมจะหลับเต็มที่
“ต้องกอดจริงๆ ใช่มั้ยฮะ”
ผมเบียดหัวตัวเองเข้ากับไหล่คนข้างๆ “อ้าววว ทำไมอะ กูจะหลับแล้ว”
“…”
“กอดนิดเดียวเอง…” หาวววววว เนี่ยแค่โดนตัวก็ง่วงเลย เห็นเปล่า
“…” ไอ้ทักหันมาตะแคงข้าง “งั้นมึงหันหลัง”
“หืม?” ถึงจะทำหน้าสงสัยใส่ แต่มันก็ผลักผมให้พลิกตัวไปอีกทาง จัดการสอดแขนเข้ามาใต้วงแขนแล้วดึงผมไปพิงกับอกตัวเองเสร็จสรรพ
“…”
อะไรกันวะ นี่มัน… ความรู้สึกที่ไม่เคยได้พบเจอมาก่อน
การโดนกอดมันเป็นแบบนี้หรอกเรอะ!!
“อืม…” ไอ้ทักหายใจรดอยู่ที่ต้นคอ “ดีกว่าเยอะ”
“…”
“สองหนึ่งสอง สองสองสี่ สองสามหก สองสี่แปด”
“ท่องสูตรคูณทำบ้าอะไร” ค่ำๆ มืดๆ อยากจะมาเรียนเลขอะไรเอาตอนนี้วะ
“เออน่า” มันเอามืออีกข้างเข้ามาโอบเอวผมไว้ “กูกำลังสะกดจิตตัวเอง”
วิธีอะไรของมัน
“แบบนี้นอนหลับใช่ปะ”
“อือ…” ง่วงเร็วกว่าเดิมด้วยยยยย
ดีจังเลย ฮือออ น้ำตาจะไหล ทำไมมันรู้สึกล่องลอยขนาดนี้
“อืม” มันเบียดตัวเข้ามาแน่นกว่าเดิม “นอนแบบนี้ไปก่อนนะ”
“…”
“แล้วถ้าพร้อม ค่อยนอนแบบที่มึงชอบแล้วกัน สัญญาเลยว่าจะทำให้ดี”
“กูง่วงแล้วทักกก” ผมร้องเสียงอู้อี้ “ไว้คุยกันทีหลังนะ”
มันจะคิดว่าผมชอบนอนแบบไหนก็เรื่องของมันเหอะ แต่นอนอย่างนี้แหละคือสิ่งที่ผมต้องการ แค่หลับฝันดีโดยมีใครสักคนอยู่ข้างๆ ก็พอใจแล้ว
ไอ้ทักมึงโคตรสุดยอดดดดด
“สองห้าสิบ สองหกสิบสอง สองเจ็ดสิบสี่ สองแปดสิบหก”
สิ่งที่เซอร์ไพร์สที่สุดในสามวันสุดท้ายก่อนงานเปิดหอก็คือ รุ่นพี่จะมาเฝ้าดูการทำงานของพวกเราปีหนึ่งตั้งหลายวัน พอเป็นอย่างนี้จะไม่ให้เกร็งได้ยังไงล่ะครับ เหมือนกับครูดุๆ ที่ยืนจ้องหน้าเวลาสอบอ่านอะไรสักอย่างไม่มีผิด แบบนี้เด็กอย่างพวกเรามันจะรีแร็กซ์ได้ยังไง อึดอัดจังโว้ยยยยย
แล้วประเด็นก็คือ ผมก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าธงรุ่นที่เราจะส่งกันนั้นผู้ชายคนแรกต้องเป็นคนถือ แล้วใครคือผู้ชายคนแรกล่ะ ก็ผมไง!! ฮืออออ ซวยซ้ำซวยซ้อนซวยซ่อนเงื่อน
“มึงงงงงง ผิดแล้ว!!” ไอ้ไย่เดินมานั่งข้างๆ แถมแย่งธงที่ผมกำลังเย็บอยู่ไปจัดการเอง
“ทำไมมันยากจังวะ” สาบานกับตัวเองแล้วว่าจะไม่ยุ่งกับการเย็บปักถักร้อยตลอดชีวิต!
“มึงทำได้ขนาดนี้ก็เก่งแล้ว” มุนินเข้ามาสมทบ
ฮืออออ ดีใจจังที่มีเพื่อนอย่างไอ้สองตัวนี้ ว่างๆ ช่วยมาเย็บกางเกงที่เป้าแตกให้ด้วยนะ ช่วงนี้อ้วนเกิ๊นนนน
“แต่กูงงว่ะ ธงรุ่นมันก็เป็นของรุ่น ทำไมปล่อยให้กุ้งมันทำคนเดียว” อีไย่พูดขณะที่กำลังดึงเข็มขึ้นลง
“ไม่เป็นไรมึง” ผมโบกมือ “กูเข้าใจว่าคนอื่นๆ มันก็ต้องเตรียมงานเปิดหอ สำคัญกว่าปะวะ”
“แล้วมึงไม่ต้องซ้อมหรือไง” ไอ้ไย่เงยหน้ามามอง “แล้วโชว์เดี่ยวของมึงไปถึงไหนแล้ว”
“เออว่ะ ยังไม่ได้เพลงเลย” อีกวันเดียวจะทันมั้ยเนี่ยยย
“พวกมึง!” เสียงหนึ่งขัดจังวะการคุยของเราซะก่อน ไอ้อู๋เดินเข้ามาพร้อมกับขนมถุงใหญ่ “มาๆ มีอะไรให้ช่วยบ้าง”
“งานที่อาคารแปดเหลี่ยมเสร็จแล้วเหรอ” หยากไย่มองค้อน
ไอ้อู๋ถึงกับขมวดคิ้ว “แล้วมึงจะมาโมโหใส่กูทำไม?”
“เฮ้ยยยยไม่เอาน่า” ผมคว้าไอ้ไย่มากอดคอ “มึงอย่าทำให้คนอื่นไม่สบายใจดิ”
“เหอะ” มันบุ้ยปาก แต่สุดท้ายก็เอื้อมมือไปหยิบขนมของไอ้อู๋มากินอยู่ดี
“หิวปะกุ้ง” ไอ้ประธานรุ่นจ้องหน้า
“ฝากทักซื้อแล้ว”
ขวับ! ไอ้มุนินกับหยากไย่หันมาจ้องผมพร้อมๆ กัน
“มะ…มองอะไร”
หยากไย่เท้าเอว “มึงกับเดือนนี่มันยังไง”
“เออ” มุนินพยักหน้า “สรุปมีซัมติงกันใช่มั้ยฮะ”
ผมถึงกับมองหน้าไอ้อู๋เลย ฮือออออ
“บ้า…” ผมทำตาวอกแว่ก “พวกมึงคิดมากไปเปล่า”
“เหรอ…” มุนินเบ้ปาก จากนั้นก็ค้นอะไรบางอย่างในโทรศัพท์มือถือออกมา “แล้วนี่อะไร…”
ตายโหง!
ฮืออออ มันเป็นรูปที่ไอ้ทักนอนกอดผมจากด้านหลัง เกลียดหน้าตัวเองในรูปมาก ยิ้มแป้นเหมือนถูกหวยไม่มีผิด
“พวกมึงถ่ายมาตอนไหน!” จำได้ว่าตื่นก่อนพวกมันนะ
“กูลุกขึ้นไปฉี่พอดีเลยเป็นผู้โชคดีที่ได้เห็นโมเม้นท์หวานๆ” มันว่า แล้วก็เก็บของมือถือเข้ากระเป๋าเสร็จสรรพ
“พวกมึงอย่าพูดไปนะ” ไอ้อู๋กระซิบ
“อ๋อ กลัวกูจะเสีย?” ผมเลิกคิ้ว
“เปล่า กูกลัวไอ้ทักเสียตะหาก”
ขอบใจนะสัส
“แปลว่าจริงเหรอ…” ไอ้ไย่ถึงกับขึ้นเสียงสูง “ไปทำอีท่าไหนถึงได้กันวะ!”
“ยังไม่ได้โว้ยยยยย”
“อ้าว?”
“มึงบอกมันดิอู๋” ผมส่งต่อให้เพื่อนสนิท แล้วก็หยิบธงมาจัดการเจ็บต่อ
“ให้กูบอกอะไรอะ?”
“ว่าไอ้ทักมัน…”
“อ๋อ ที่จะจีบมึงอะนะ?”
“โห…” มุนินถึงกับตาลุกวาว “กูจิ้น”
“ใช่มั้ยมึงๆๆๆๆ” ไอ้ไย่ถึงกับกรีดร้อง “คือมึงผ่านมาขนาดนี้ยังชอบมึงได้ แปลว่ามันคงจริงจังสุดๆ”
“ไม่ใช่แบบนั้นโว้ยยยยยย” ผมวางธงทันที แหม่ ดูท่าแล้วต้องอธิบายกันอีกยาว “มึงคิดว่ากูมั่วขนาดนั้นจริงๆ ดิ”
“อ้าว” มุนินกับหยากไย่มองหน้ากัน
“กูนอนกับคนอื่นเยอะก็จริง แต่ไม่เคยมีอะไรกับใครนะ”
“เดี๋ยวๆ เอาใหม่” ไอ้ไย่ยกมือห้าม “คือจะบอกว่ามึงยังซิงอะเหรอ”
อยากให้ไอ้ทักเข้าใจง่ายๆ แบบนี้บ้างจัง
“เออ” ถามจี้ทำบ้าอะไรเล่า เขินเหมือนกันนะโว้ยยยย
“ตายห่า…” ไอ้ไย่เอามือทาบอก “แล้วที่มึงไปนอนกับคนอื่นล่ะ?”
“แค่นอน… นอนหลับ คือกูเป็นโรคจิตเว้ย ถ้าไม่ได้นอนกอดใครแล้วไม่มีความสุข”
“โห” มุนินถึงกับส่งเสียง “กูอยากเป็นแบบมึงบ้าง”
ไม่ต้องทำหน้าเลื่อมใสศรัทธาขนาดนั้นก็ได้นะ เดี๋ยวจะโดน…
“แล้วเวลามึงกอดกับคนอื่นมึงไม่เคยทำเรื่องอย่างว่าใช่ปะ?” ไอ้ไย่ยังอยากรู้
“เออ” ผมหลบหน้าพวกมัน แม่งงง เขิน
“แล้วพอไอ้ทักมันจะจีบมันเลยทำตัวไม่ถูก” ไอ้อู๋นั่งลงกับพื้น “มันไม่เคยโดนจีบมาก่อน”
แล้วไอ้ไย่มันจะน้ำตาซึมซาบซึ้งกับผมทำไมเนี่ยยยย
“ไอ้กุ้ง!” มันดึงผมไปหอมแก้ม “กูรักมึงมากกว่าเดิมอีก!!”
“อ้าว แล้วตอนแรกไม่รักกูเหรอ”
“รักกกก แต่ก็หมั่นไส้ด้วย พอรู้ว่ามึงยังบริสุทธิแล้วกูโคตรรดีใจ ฮืออออ ลูกแม่”
“พอๆ ไร้สาระใหญ่แล้ว” ผมผลักตัวมันออกไป
“เรื่องนี้ไม่เคยมีใครรู้นอกจากอู๋ใช่ปะ” มุนินถาม
“เออ มีมันรู้คนเดียว”
“แล้วทำไมมึงไม่บอกพวกกูบ้างฮะ” ไอ้ไย่ขยี้หัวผม
“โอ๊ยยยยยย” เจ็บนะโว้ยยยยย พอรู้ว่าจิ้นนี่เล่นกับกูเป็นหมากันเชียว “ก็ตอนนั้นกูยังไม่สนิทกับพวกมึงนี่หว่า”
“ตอนนี้สนิทแล้ว!” ไอ้ไย่ยิ้มแป้น “มา เรามาตั้งชื่อแก๊งกันดีกว่า พวกเราทั้งสี่คน”
“แต่พวกมึงสองคนเรียนอยู่คนละเอกกับกูนะ เดี๋ยวปีสองก็ไม่เจอกันแล้วววว”
ดาวมหาลัยเท้าเอว “แล้วยังไง อยู่คนละเอกจะเป็นเพื่อนสนิทกันไม่ได้ว่างั้น?”
ผมกับไอ้อู๋มองหน้ากัน ไอ้ประธานรุ่นมันยิ้มก่อนคนแรก ผมก็เลยยิ้มตาม
“ก็ได้” ผมพยักหน้า “ตั้งชื่อแก๊งมาสิ”
“มึงว่าไงดีมุนิน” ไอ้ไย่หันไปถามเพื่อน
“สี่คน… แบล็คพิ้งค์มั้ย”
“มึงจะไปลอกเค้าทำห่าอะไร” หยากไย่เท้าเอว “ตั้งเองสิ”
“สี่หัวใจแห่งขุนเขาดิ” ไอ้อู๋โชว์ยิ้มกว้าง
“กูพูดอยู่หยกๆ ว่าอย่าไปลอกคนอื่นเขา” หยากไย่กลอกตา “เออ… แล้วใครเป็นใครอะ กูจองดวงใจอัคคี”
“อ้าว ทำไมมึงไม่เป็นคิมเบอร์รี่ธาราหิมาลัยอะ” ผมถาม
“กูอยากเป็นญาญ่าผิดเหรอ” มันว่า “มึงอะเป็นปฐพีเร่รัก”
“ง่า…”
“เพราะมึงน่ารักใสๆ เหมือนหมาก”
อู้ยยยย เพื่อนชม เขินจังงงง
“ส่วนมุนินเป็นคิมเบอร์รี่ แล้วมึงอะอู๋เป็นบอย ปกรณ์เพราะหล่อเกรียนเหมือนกัน”
“ชมกูแบบนี้เดี๋ยวก็จีบซะหรอก”
“อดจ้ะ ขีดเส้นคำว่าเพื่อนแล้ว” ไอ้ไย่ลอยหน้าลอยตา “แล้วกูจะมาแจกแจงตัวละครทำไมเนี่ย คิดใหม่ๆ”
“กูก็นึกว่าจะเอาชื่อนี้ จริงจังสัดๆ” ผมบ่นขณะที่เอากรรไกรตัดด้าย “หรือว่า
‘ไม่มีใครครบ’ ดี? เอาครบนะไม่ใช่คบ ให้พวกเขารู้กันเลยว่าพวกเราสติไม่ค่อยดี”
“ชื่อโคตรอัปมงคลเลย” ไอ้อู๋หัวเราะ “แต่กูว่าเท่”
“เออเอามั้ยอะ” ไอ้ไย่หันไปถามมุนินคนสุดท้าย
“ตั้งให้เก๋กว่าเดิมด้วยการใช้ชื่อย่อเป็นภาษาอังกฤษ
MMKK” มุนินขยิบตา
“งั้นเอาชื่อนี้” หยากไย่ดีดนิ้วดังเป๊าะ “อู๋ประธานรุ่น หยากไย่ดาวมหาลัย กุ้งอิมเมจของคณะ”
ไอ้มุนินอ้าปากค้าง “แล้วกูล่ะ?”
“คนใช้ไง”
“ขอบใจค่ะอีสัด” ฮ่าๆๆๆๆ เกลียดจังหวะการด่าของพวกมันจริงๆ “งั้นเดี๋ยวกูตั้งกรุ๊ปไลน์เลยแล้วกัน”
ผมอดยิ้มให้กับความจริงจังของพวกมันไม่ได้ เฮ้ออออ ในที่สุดเพื่อนสนิทของผมก็เพิ่มมาเป็นสี่คนแล้วสินะ ดีใจจังมีเพื่อนๆ เยอะๆ แบบนี้ ตอนมัธยมอยู่กับไอ้อู๋แค่สองคน เหงาฉิบหายยยย
“กฎของแก๊งเรามีข้อเดียว นั่นก็คือมีเรื่องอะไรต้องเล่าให้ฟัง” ดาวคณะตัวตั้งตัวตีมองหน้ารอบวง “โอเคนะ?”
ผมกับไอ้อู๋และมุนินพยักหน้าพร้อมกัน
“ส่วนสโลแกนกลุ่ม ขอตั้งว่า…” ไอ้ไย่แย่งมือถือมาจากมุนิน คงจะแก้ตรงสเตตัสกรุ๊ปละมั้ง
“เรามาร่วมสร้างตำนานที่นครนายกกันเถอะ” ฮ่าๆๆๆๆ เกลียดการทำหน้าทำตาของมันเหลือเกิน
“ถ้ามีปัญหาอะไรบอกกูได้ โอเค้?” หยากไย่จับมือผมไว้
“กูด้วย” มุนินก็เช่นกัน
ผมหันไปทางไอ้อู๋ “มึงจะมาจับมือรวมพลังอะไรกับเขามั้ย?”
ประธานคนเท่ฉีกยิ้ม มันส่ายหัวอย่างเอือมๆ แต่สุดท้ายก็ทำตามคนอื่นๆ อยู่ดี
ไม่มีใครครบจงเจริญ เย้!
“เสร็จสักทีโว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย” ผมร้องลั่นอาคารแปดเลี่ยมด้วยความดีใจ
ฮืออออ ในที่สุด ธงที่เย็บมากับมือก็เสร็จสิ้นสวยงามตามต้องการ ผมล่ะภูมิใจจริงๆ อยากกอดทั้งวันทั้งคืนให้เหมือนปีเตอร์เลย มาเป็นลูกพ่ออีกคนนะครับบบบบ
เพื่อนๆ ทุกคนในคณะที่กำลังง่วนอยู่กับการตกแต่งอาคารเพื่อเตรียมพร้อมในงานเปิดหอวันพรุ่งนี้ร่วมปรบมือกันดังระงม ฮือออ ดีใจจัง ในที่สุดก็ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันแล้ววววว
“สินกำจัดแถว!”
ยังเฉลิมฉลองกันไม่ได้เท่าไหร่ อยู่ๆ ก็มีเสียงสุดโหดดังขึ้นจากอีกฝั่ง พี่ว้ากปีสองถึงปีสี่ยืนเรียงแถวหน้ากระดานโคตรจะน่ากลัว นำทีมโดยพี่วินที่กอดอกทำตาถมึงทึงอยู่ตรงกลาง
“เร็วสิครับ! ผมสั่งพวกคุณไม่ได้ยินหรือไง!!”
มาจากไหนกันวะเนี่ยยยย
ขณะที่พวกเรายืนแถว พี่ว้ากทุกคนก็เดินจ้องหน้าพวกเราไปทีละคน แปลกแฮะ ทำไมวันนี้พวกพี่ๆ โคตรจะจริงจังเลย
“อะไรเนี่ย” พี่วินใช้นิ้วเขี่ยของที่ผมแบกด้วยใบหน้าพิลึก
“ธงรุ่นครับ…”
“สภาพนี้อะนะ” อยู่ๆ พี่วินก็จะกระชากแย่งมันไป โชคดีที่ผมดึงไว้ทัน “ปล่อย!”
“ไม่ครับ” จะเอาไปไหนก็ไม่รู้ ผมจะไม่ยอมให้เด็ดขาด ทำแทบตายนะโว้ยยยย
“อย่าลองดีกับผม” วันนี้พี่วินแม่งน่ากลัวจริงๆ “เอามา”
“พี่จะเอาไปไหนอะครับ”
“ผมขอให้คุณถามเหรอ?” พี่วินจ้องหน้า ไม่เอาสิ จะเอาลูกผมไปทำไมมมม “ผมบอกให้ปล่อย”
“…”
“อย่าให้ผมต้องทำโทษคุณ”
พอได้ยินอย่างนั้นผมก็เลยจำใจปล่อยไป พี่วินคว้าด้ามจับและควงมันไปมา พร้อมทั้งโชว์ให้รุ่นพี่คนอื่นๆ เห็นอีกด้วย
“นี่คือเสร็จแล้วใช่มั้ย”
“…”
“ผมถามว่าเสร็จแล้วใช่มั้ย!!” “เสร็จแล้วครับ!” ผมตะโกนตอบเมื่อเห็นว่าไม่มีใครส่งเสียง ทำไมไม่ช่วยกันล่ะวะ
“ทำไมคุณรู้เรื่องอยู่คนเดียวล่ะ?” พี่วินเหยียดยิ้มใส่ “ทำคนเดียวเหรอ…”
ไม่ได้ ผมจะตอบว่าทำคนเดียวไม่ได้เด็ดขาด มีหวังโดนยึดแน่ๆ
“ช่วยกันครับ”
พอผมตอบ พี่วินถึงกับเลิกคิ้ว “คุณพูดเองนะ”
แล้วพี่วินก็เดินไปทางแถวผู้หญิง
“มีใครบอกผมได้บ้างว่าไอ้การ์ตูนตัวเล็กๆ บนผืนธงนี้หมายถึงอะไร” พูดจบพี่ว้ากก็สอดส่องสายตาหาเหยื่อ “ใบเฟิร์น ลุก”
ผมมองตามใบเฟิร์น ดาราของรุ่นที่ไม่ค่อยได้มารับน้องเท่าไหร่เดินออกไปหน้าแถว
“หนูไม่รู้ค่ะ”
“หึ” พี่วินหันมาแยกเขี้ยวใส่ “ไหนบอกทำทั้งรุ่นไง”
“…”
“คุณฝ้าย” พี่วินเรียกเพื่อนอีกคนออกมา ฝ้ายเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ไม่ค่อยมีปากมีเสียง ชอบแยกไปอยู่คนเดียวซะมากกว่า “คำถามเดียวกัน”
“หนู… หนูก็ไม่รู้ค่ะ”
“หึ แค่นี้ก็ไม่ต้องตรวจแล้ว” พี่วินเดินมาหาผม “สรุปว่าธงรุ่นหรือธงของคุณคนเดียว”
“ธงรุ่นครับ” ผมยังยืนยันคำเดิม
“แล้วทำไมคนอื่นไม่รู้!”
ผมได้ยินแบบนั้นถึงกับย่นคิ้ว “ทำไมพี่ต้องตะโกนใส่หน้าผมด้วยล่ะครับ ถามดีๆ ก็ได้”
“กุ้ง…” ไอ้อู๋สะกิดหลังผมเหมือนต้องการจะให้ใจเย็นๆ แต่ครั้งนี้ผมจะไม่ยอมแล้ว นี่มันเป็นงานที่ผมตั้งใจทำนะ มันต้องมีความหมายกับพี่ๆ บ้างสิ
“ไม่เป็นไรคุณประธาน” พี่วินนั่งยองๆ ลงมาจ้องหน้า “ผมจะคุยกับคุณเบาๆ ก็ได้ถ้าคุณต้องการ”
“…”
“ธงรุ่น… ไม่ผ่าน” แม้เสียงนั้นจะเบาคล้ายกระซิบ แต่มันก็ดังมากในหูผม ดังจนไปกระตุ้นหัวใจให้สูบฉีดเลือดทั่วร่างกาย มือไม้สั่นไปหมดด้วยความโมโห
[อ่านต่อด้านล่าง]