-4-
วันนี้ตารางพี่ขิงไม่มีเรียน ผมกะจะนอนกินบ้านกินเมืองสักหน่อย นานๆ ทีจะได้นอนที่นอนนุ่มๆ แต่ความคิดนั้นไม่เป็นผล เสียงแปดหลอดมาพร้อมแรงดึงและทึ้งให้ผมลุกขึ้น โดยมีแม่คอยจัดแจงชุดอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า
“จะให้ผมไปไหนครับ ผมไม่มีเรียน” งอแงระดับสิบ ความง่วงไม่เคยปราณีใครนะครับบอกเลย
“นอนไม่ได้แล้วค่าคุณน้อง วันนี้มีงานถ่ายแบบหนังสือค่ะ” คนที่ผมเจอวันที่แม่ไปหาที่บ้าน ยิ้มแป้นแล้น แรงมหาศาลที่มาจากกล้ามแขนนั่นฉุดแป๊บเดียวผมก็แทบปลิวจากเตียง “ไปอาบน้ำค่ะ หรือจะให้พี่อาบให้อย่างน้องขิงคะ”
“ผมอาบเองได้” ว่าแล้วก็รีบวิ่งเข้าห้องน้ำ ใช้เวลาไม่นานก็ตัวหอมฉุยออกมา
“นี่อาบหรือวิ่งผ่านคะคุณน้อง” แล้วแขนของผมก็ถูกดึงไปดู “ขี้ไคลหมดไหมเนี่ย”
“โอ๊ยพี่ครับ ผมอาบสะอาดน่า” รีบดึงแขนตัวเองออกจากการจับๆ ลูบๆ มันขนลุกแปลกๆ “แล้วผมต้องไปที่ไหนนะ” เพราะเมื่อกี้ตื่นไม่เต็มตาเลยฟังไม่ค่อยถนัด
“ถ่ายแบบหนังสือจ้ะ”
“อ๋อ ถ่ายแบบหนังสือ หา? ถ่ายแบบอะไรพี่ ไม่เอา ผมไม่ทำ”
รีบกระโดดขึ้นไปอยู่กลางเตียงทันที บ้าเหรอ จะให้ไอ้ขมิ้นไปถ่ายแบบเนี่ยนะ ไม่เอาหรอก เขินตายห่า แล้วหุ่นผมก็ไม่ได้ดีด้วย
“ต้องทำนะขมิ้น งานของพี่ขิงเขา ลูกจะทำให้พี่เขาถูกด่าเหรอ ไม่สงสารพี่ขิงเหรอ” เสียงแม่ดังแทรกเข้ามา ในมือแม่ถือชุดที่ผมจะต้องใส่ “ใส่ชุดนี้นะ”
“แม่ครับ ขมิ้นไม่อยากไป” ผมส่งสายตาอ้อนวอน แต่ดูไม่เป็นผล ตอนนี้ขาผมถูกดึงจากผู้ช่วยของแม่และพี่ขิง “ไม่เอา ไม่ไป”
“คุณน้องจะมาดีๆ หรือให้พี่ดึงผ้าขนหนูหลุดคะ”
พูดจบผมก็รีบกุมปมผ้าไว้แน่น
“ต้องถ่ายเหรอ”
“ต้องถ่ายค่ะ”
“ไม่อยากถ่ายอะ”
“ไม่อยากก็ต้องถ่ายค่ะ อ่านปากพี่หมูหวานนะคะ ต้องถ่ายค่ะ”
“ถ้าทำไม่ได้ ห้ามด่ากันนะครับ”
ผมนั่งรถออกมากับแม่และผู้ช่วยที่ชื่อหมูหวาน รถราคาแพง เบาะเลยนุ่มน่านอน แต่พอจะนอนก็ถูกดึงขึ้นมาเพื่อฟังแม่บอกรายละเอียดต่างๆ ของวันนี้ ซึ่งกว่าจะจบก็ถึงที่หมายพอดี ก่อนลงรถ แม่กำชับให้ผมวางตัวให้ดี อย่าหลุดเด็ดขาด เพราะคนที่นี่คอยจ้องแต่จะนินทาพี่ขิง
ตึกระฟ้าสูงเด่นจนต้องหรี่ตามองปลายยอด ผมเดินตามหลังแม่กับพี่หมูหวานเข้าไปด้านใน คนที่เดินสวนไปมาต่างก็จ้องมาที่ผมเป็นตาเดียว และนั่นทำให้ผมต้องยิ้มตอบกลับเพื่อแสดงความเป็นมิตรพร้อมโบกมือทักทาย แต่ไม่รู้ทำไม เสียงที่พูดตามหลังมาถึงบอกว่าผมตอแหล
ยิ้มทักทายนี่เรียกตอแหลเหรอครับ หรือเป็นศัพท์ใหม่ของคนที่นี่กัน
พี่หมูหวานเปิดประตูห้องที่มีชื่อของพี่ขิงติดไว้ ด้านในมีกระจกบานใหญ่ บนโต๊ะหน้ากระจกมีข้าวของมากมาย รวมทั้งเครื่องสำอางที่ผมเคยเห็นในทีวี
“นั่งตรงนี้นะ เดี๋ยวช่างเขาจะมาแต่งหน้า ทำผมให้” บอกปุ๊บ แม่กับผู้ช่วยก็เดินออกไปทันที โดยที่ผมอ้าปากร้องทักไม่ทัน คิดเอาผมมาปล่อยไว้ที่นี่หรือเปล่าวะ
เก้าอี้หน้ากระจกสามารถหมุนและขยับขึ้นลงได้ มันช่างเป็นของเล่นแก้เบื่อของผมได้ดีซะจริง ยืดๆ หดๆ สนุกดี พอหมุนซ้าย หมุนขวาได้ไม่นาน ประตูห้องก็เปิด มีคนแปลกหน้าเดินเข้ามาสองคน แม้พวกเขาจะส่งยิ้มให้มา แต่ดูไม่ได้มาจากใจ เป็นรอยยิ้มที่ยกยิ้มไปส่งๆ แค่นั้น
“คิวน้องขิงดั่งทองคำเลยนะคะ” ผมรู้ว่านี่คือคำประชด แต่ก็เลือกที่จะไม่สนใจ “ว่าแต่ คุณแม่น้องได้บอกไหมคะ ว่าวันนี้เรานัดคิวน้องเตอร์มาถ่ายด้วย”
“ครับ” ผมตอบสั้นๆ
ตอนนี้หน้าของผมกำลังถูกละเลงโดยแปรงสารพัด ฝุ่นของแป้งที่เข้าจมูกทำให้จามอยู่หลายครั้ง แต่ทุกครั้งที่จามผมจะยกมือขอโทษ เห็นท่าทางตกใจของช่างแต่งหน้าอยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้สนใจมากไปกว่าอาการคันจมูก นี่พี่ขิงทนได้ยังไง ไม่เป็นภูมิแพ้แย่เหรอ
“เสร็จแล้วค่ะ”
ช่างแต่งหน้าฉีดสเปร์ยน้ำอะไรสักอย่างใส่หน้าผมก่อนบอกว่าเสร็จ พอส่องกระจกดู มันก็เหมือนเดิม เพียงแต่หน้าผมมีแป้งหนาขึ้น สิวกับรอยแผลเล็กๆ ก็หายไปหมด
“ขอบคุณครับ”
หลังจากสำรวจหน้าตัวเองเสร็จก็ยกมือไหว้ขอบคุณตามมารยาท และผมก็ได้คำอุทานแสนตกใจจากช่างแต่งหน้าและผู้ช่วย
“อุ๊ย มาแปลกนะคะ พี่ตั้งตัวไม่ถูกเลย” สีหน้าละล้าละลังจนผมต้องยิ้มแห้งให้ ผมผิดตรงไหนอีกวะ “ไปเปลี่ยนชุดเลยค่ะ”
“ครับ”
ทันทีที่ขาก้าวเดินไป เสียงที่ลอยตามหลังก็ยังเป็นเรื่องของผม ไม่สิ ของพี่ขิง ได้ยินแว่วๆ เรื่องผิวหน้าที่แห้งกร้านไม่เหมือนคนบำรุงน้ำนมเช่นเดิม ก็แหงล่ะสิ หน้าไอ้ขมิ้นเจอแต่ฝุ่น แต่ลม จะไปนุ่มนิ่มเหมือนก้นเด็กได้ยังไง
“ถอดชุดเลยค่ะ”
“ครับ?”
“ถอดสิคะ ไม่งั้นจะเปลี่ยนได้ยังไง”
“ถอดตรงนี้?”
ตกใจประหนึ่งจะถูกลวงไปปู้ยี้ปู้ยำ ก็คนตรงหน้าเป็นหญิงสาวแท้ๆ ไม่ได้เป็นสาวนะยะอย่างช่างแต่งหน้า จะให้ผมแก้ผ้าให้ผู้หญิงดู มันก็ไม่ควรหรือเปล่าวะ
“ก็ตรงนี้แหละค่ะ เร็วๆ เดี๋ยวจะถ่ายแล้ว”
เอาวะ ผมกลั้นใจถอดเสื้อผ้ามันตรงนั้น บ็อกเซอร์ลายมิกกี้เม้าท์สร้างเสียงขำเล็กๆ จากคนตรงหน้าจนผมเขิน แต่ก็ไม่ถึงนาที ชุดที่ถูกเลือกก็สวมอยู่บนตัวของผม กางเกงหนังสีขาวมีซิบเยอะไปหมด พอๆ กับเสื้อแจ็คเก็ตหนังสีขาวรูดซิบจากด้านล่างมาถึงลิ้นปี่
“ไม่มีเสื้อด้านในเหรอครับ” ถามขณะถูกใส่เครื่องประดับบนตัว คำตอบคือการส่ายหน้าพร้อมแลตามอง “มันเย็นๆ”
เมื่อเปลี่ยนชุดเสร็จ ผมก็เดินออกมาพร้อมกับผู้หญิงที่แต่งตัวให้ เธอเดินนำไปยังห้องใหญ่ที่ติดป้ายว่าสตูดิโอ ด้านในนี้มีอุปกรณ์สำหรับถ่ายหนังสือครบครัน ทั้งไฟ ทั้งฉาก รวมไปถึงกล้องที่ตั้งอยู่ด้านหน้า มันเหมือนฉากในละครที่ป้าในตลาดชอบดูเลย
“อ่าวขิง มาแล้วเหรอลูก มานั่งตรงนี้”
เสียงแหลมของแม่ทำให้ทุกสายตาจับจ้องมาที่ผม บอกตรงๆ ผมโคตรไม่ชอบเลย ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ถูกจับตามองแบบนี้ทุกครั้ง มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวประหลาดเดินได้ พี่หมูหวานเห็นผมไม่ยอมเดินเลยเป็นฝ่ายเดินมาหาพร้อมดึงแขนให้ไปนั่งเก้าอี้นวมสุดพิเศษ
“นั่งตรงนี้นะคะ” คำกำชับของพี่หมูหวาน ก่อนเขาจะเดินปรี่ไปหาตากล้องที่กำลังดูความเรียบร้อยหน้าฉาก
ช่วงที่อยู่รอ ผมลองสอดสายตามองไปทั่วบริเวณ จนไปสะดุดตาผู้ชายอีกคนที่นั่งตรงมุม เขาใส่ชุดหนังสีดำดูเท่ไปอีกแบบ ผมเผลอจ้องเขาอยู่นานกว่าจะถูกเรียกให้ไปยืนที่หน้าฉากเพื่อลองกล้องและไฟ
แสงไฟหลายดวงสาดเข้าหน้าจนต้องหรี่ตาอยู่ตลอด ใบหน้าที่มีแป้งหนาๆ คงจะกันความร้อนจากหลอดไฟพวกนี้ไม่ค่อยได้สินะ รู้สึกแสบหน้ามากตอนนี้
“เตอร์ ลองมายืนข้างๆ ขิงหน่อย” เสียงของตากล้องเรียกคนที่นั่งมุมให้เดินเข้ามา พอมายืนข้างกัน เราทั้งสองคนตัวสูงพอๆ กันเลย “โอเค ปรับไฟตรงเตอร์อีกหน่อยนะ”
“เดี๋ยวนะคะคุณตากล้อง ถ้าจะเพิ่มต้องเพิ่มฝั่งน้องขิงสิคะ น้องจะได้เด่นกว่า” เสียงขัดของแม่ ทำเอาคิ้วผมขมวดเป็นปม “ตามนี้นะคะ”
“ก็ได้ๆ” ผมเห็นตากล้องลอบถอนหายใจครู่หนึ่ง ก่อนจะเริ่มสั่งงานต่อ
เสียงสั่งให้ทำท่าทางตามที่นายทุนต้องการ คนข้างผมดูชำนาญอย่างมืออาชีพ แต่สำหรับคนไม่เคยอย่างผม มันช่างยากนัก
“ขิง ทำไมทำหน้าแบบนั้น ดึงหน้าหน่อย” เสียงติดโมโหของตากล้องที่บอกผมรอบที่สิบ ก็ผมไม่เข้าใจ ว่าไอ้การดึงหน้ามันต้องทำยังไง เก็กหล่อก็ไม่เอา ทำหน้าเอ๋อๆ ก็ไม่ใช่อีก จะเอายังไงกับผมวะเนี่ย “ขิง ทำแบบเตอร์น่ะ เห็นป่ะ”
“ทำไงวะ” พูดกับตัวเองเบาๆ ก่อนหันไปมอง คนข้างผมยกยิ้มมุมปากเล็ก หน้าก็ยกขึ้นทำมุม น่าแปลกที่มองจากผม เขาดูเท่มากจริงๆ
การถ่ายแบบวันนี้กว่าจะผ่านไปได้ก็ใช้เวลาทั้งวัน ทุกคนดูเบื่อหน่ายในความเก้ๆ กังๆ ของผม แต่ก็พยายามใจเย็นจนมันสำเร็จลุล่วง ผมเดินตามพี่หมูหวานไปที่ห้องแต่งตัว พอประตูปิดลง พี่เขาก็กรีดร้องจนผมปวดแก้วหูไปหมด ผีเข้าหรือเปล่าวะ
“เอ่อ พี่เป็นอะไรครับ” ถามไป มือก็ยังยกปิดหูอยู่
“ก็คุณน้องทำพี่ลุ้นมาทั้งวัน ฉี่จะแตกอยู่หลายรอบน่ะสิคะ โอ๊ย คุณพี่เห็นเส้นเลือดคุณหญิงแม่เต้นตุบๆ อยู่ตลอดเวลาเลยค่ะ”
“ขอโทษครับ” ผมยกมือไหว้ขอโทษสำหรับความไม่เป็นงานของตัวเอง
“ไม่ต้องขอโทษหรอก พี่เข้าใจว่ามันเป็นครั้งแรก”
“พี่ขิงคงเก่งมากเลยนะครับ”
อดไม่ได้ที่จะนึกไปถึงพี่ชายตัวเอง งานพวกนี้เป็นงานถนัดของเขา ไม่เก่งก็คงแปลกล่ะ
“ถ้าเป็นน้องขิงละก็ งานวันนี้ไม่เสร็จแน่นอนจ้ะ” ผมยืนโป้เหลือแต่บ็อกเซอร์มองพี่หมูหวานที่ยังสาละวนกับชุดที่ผมถอดส่งคืน “น้องขิงน่ะนะ ถ้ามีอะไรผิดใจหรือไม่ชอบใจก็จะเดินหนีออกมาเลย อย่างเช่นถ่ายร่วมกับเตอร์”
“เหรอครับ”
“อุ๊ย พี่ปากพล่อยอีกละ อย่าไปบอกคุณหญิงแม่นะคะ ไม่งั้นพี่หมูหวานโดนด่าแน่” สีหน้าและท่าทางหวาดกลัวนั่นทำให้ผมพยักหน้ารับปาก
เมื่อเปลี่ยนชุดเสร็จ ผมเดินออกมาด้านนอกก่อนพี่ผู้ช่วย สายตากวาดมองทุกคนที่ยังคงวุ่นวายกับการทำงานของตัวเอง จนไปสะดุดตานายแบบที่ถ่ายงานกับผมเมื่อครู่
“ขอโทษนะครับที่ทำให้เสียเวลาทั้งวัน” รู้มาว่าเขาอายุเยอะกว่า ผมเลยยกมือไหว้ขอโทษเขาไป นายแบบรุ่นพี่ปรายตามองมาก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ กาแฟร้อนตรงหน้าของเขาส่งกลิ่นหอมจนผมชักอยากกินบ้าง “เอ่อ แล้วขอโทษแทนแม่ผมด้วยที่พูดไม่ดีกับพี่”
“เลิกเสแสร้งได้แล้วนายน่ะ” อยู่ๆ เขาก็พูดออกมาหลังจิบกาแฟร้อน “ฉันไม่รู้หรอกนะ ทำไมนายถึงมาพูดกับฉัน แล้วไอ้ท่าทางใสซื่อแบบนี้ มันไม่เมคเซ็นซ์เลยว่ะ”
“ผมไม่ได้...”
“อย่ามายุ่งกับฉัน”
“ขอโทษครับ” เมื่อเขาไม่อยากคุย ผมเลยเดินออกมา เป็นอะไรของเขาวะ หรือจะไม่ถูกขี้หน้ากับพี่ขิงอีกคน “โอ๊ะ ขอโทษครับ” เพราะผมมัวแต่เผลอจนลืมมองทาง ทำให้เดินชนกับทีมงานของที่นี่อย่างจังจนเขาลงไปนั่งกองที่พื้น พอเขาเงยหน้าขึ้นมาเห็นผม ก็รีบชักสีหน้าใส่ทันที “เจ็บไหมครับ ผมขอโทษจริงๆ ที่ไม่ได้ดูทาง”
คนล้มทำปากขมุบขมิบนั่น อาจกำลังด่าผมอยู่ในใจ แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องนั้น ผมรีบเข้าไปประคองให้เขาค่อยๆ ลุกขึ้น แต่พี่เขากลับร้องโอดโอยแล้วชี้ไปที่ข้อเท้า
“เจ็บๆ”
“สงสัยขาจะเคล็ดนะครับ” ผมหันไปหันมามองหาคนช่วย แต่กลับไม่มีใครอยู่แถวนี้สักคน พอจับข้อเท้าพี่เขาดู ก็โวยวายดังลั่นว่าเจ็บ “งั้น ไปหาหมอกันครับ”
“ที่นี่มีห้องพยาบาล” เสียงแหวตอบกลับมาทันที คงเพราะพี่เขาขาเจ็บเลยใส่อารมณ์ ผมเข้าใจเลยทำเป็นเมินสายตาขึงขังนั่น
“งั้นเดี๋ยวผมไปส่ง” พยายามประคองคนเจ็บให้ลุก แต่พี่เขาก็ร้องเจ็บขึ้นมาอีก เอาวะ ผมเป็นคนชน ผมก็ต้องรับผิดชอบ “พี่เดินไม่ได้ เดี๋ยวผมแบกพี่ไปเอง”
“หา?”
ไม่พูดพร่ำทำเพลง ผมขยับตัวหันหลังให้พี่เขาขึ้นมา คนเจ็บยังนั่งงงเลยเป็นผมที่ดึงแขนพี่เขาให้ขยับขึ้นมาบนหลังแทน แม้จะมีเสียงโอดโอยและความทุลักทุเลไปบ้างก็เถอะ
“ห้องพยาบาลอยู่ที่ไหนเหรอครับ”
ใช้เวลาตั้งตัวอยู่นานกว่าจะลุกขึ้นยืนโดยมีพี่คนเจ็บเกาะหลังอยู่ พอนิ้วชี้บอกทางปุ๊บ ผมก็รีบก้าวขาอย่างไว ระหว่างทางมีคนหันมามอง มาสนใจก็มาก แต่ผมไม่ได้สนใจอะไร ตอนนี้ต้องพาคนเจ็บไปรักษาก่อน อีกอย่างคือหนักมาก หากหยุดเดินตอนนี้ ผมอาจจะทำพี่เขาหล่นได้ กว่าจะมาจนถึงห้องพยาบาลแขนผมก็แทบล้า ผมค่อยๆ วางพี่คนเจ็บไว้บนเตียง สายตาก็มองหาคุณหมอหรือคนเฝ้าห้องแต่ไม่มีใครอยู่สักคน
“หมอไม่อยู่”
“ไม่มีหมอหรอก”
“อ่าว”
“ทายาก็พอ เดี๋ยวมันก็หายเอง”
ผมยืนมองหน้าคนเจ็บอย่างงงๆ เหมือนเขาไม่ชอบผมเลยอะ ที่จริงก็ทุกคนที่นี่นั่นแหละ ปฏิกิริยาจากทุกคนมันทำให้ผมคิดแบบนี้
“งั้นรอแป๊บนะครับ”
ไม่รอคำตอบใดๆ ผมจำได้ว่า ห้องที่ถ่ายแบบทั้งวันนั้นมีกระติกน้ำแข็งอยู่ กึ่งเดินกึ่งวิ่ง มือก็หยิบผ้าเช็ดหน้าราคาแสนแพงของพี่ขิงออกจากกระเป๋าเสื้อ พอถึงห้องก็พุ่งไปเปิดฝากระติก หยิบน้ำแข็งที่ยังเป็นก้อนวางบนผ้าอย่างลวกๆ
“ทำอะไรคะ” เสียงทักดังมาจากด้านหลัง เธอคือคนที่ช่วยผมแต่งตัวเมื่อตอนเช้า
“พอดีผมชนพี่ทีมงานขาเจ็บ เลยมาเอาน้ำแข็งไปประคบ ขอตัวนะครับ”
ทันทีที่ได้ก็รีบออกจากห้องไป คนถามเมื่อครู่ก็เดินเร็วตามหลังมาด้วย จนมาถึงห้อง พี่คนเจ็บยังนั่งนวดข้อเท้าตัวเอง ใบหน้าบิดเบี้ยวเพราะความเจ็บร้าว
“เอาน้ำแข็งประคบนะครับ เดี๋ยวค่อยทายา”
“เดี๋ยวๆ ผ้านั่น...”
ไม่ทันทักท้วงใดๆ ผมก็รีบเอาผ้าเช็ดหน้าที่มีน้ำแข็งก้อนประคบที่ข้อเท้า ทำไมผมถึงต้องเป็นเดือดเป็นร้อนแบบนี้น่ะเหรอ ก็เพราะตลอดเวลาพ่อจะสอนผมเสมอ เราเป็นผู้ชาย เวลาทำผิดต้องรับผิดชอบ จะเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ก็ตาม เห็นปากร้ายๆ แบบนั้น เป็นคนจิตใจดีมากนะครับ พ่อของผมเนี่ย
ข้อเท้าคนเจ็บบวมนิดๆ แต่พอประคบเย็นก็เริ่มดีขึ้น ผมเลยขยับหนี เพื่อให้พี่ที่เดินตามหลังเข้ามาช่วยนวดยาให้แทน แต่ตลอดเวลา สายตาสองคู่ก็มักจะแอบมองผมอยู่เสมอ และผมก็จะยิ้มกลับทุกครั้ง
“ขอบคุณนะน้องขิง” คำขอบคุณพร้อมรอยยิ้มดูจริงใจกว่าช่วงที่ผ่านมา
“ไม่เป็นไรเลยครับ ผมต่างหาก ที่ต้องขอโทษพี่ ขอโทษจริงๆ นะครับ พี่เจ็บตัวเพราะความซุ่มซ่ามของผมแท้ๆ” ยกมือไหว้อีกรอบ พี่คนเจ็บรีบโบกมือทันที
“ก็น้องไม่ได้ตั้งใจ ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็หายจ้ะ”
ผมรู้สึกว่าพี่เขาดูเป็นมิตรกว่าเมื่อกี้ ทั้งสีหน้า และแววตา
“เอ่อใช่ แม่น้องขิงตามหาอยู่นะ รีบๆ ไปเถอะ ตรงนี้พี่ดูแลเอง”
“ขอบคุณครับ”
ยกมือไหว้ลาก่อนจะเดินออกจากห้อง ไม่รู้อะไรดลใจให้ยืนแอบอยู่ข้างประตู เสียงพูดคุยดังเบาๆ มาจากในห้องเรื่องที่พี่ขิงเปลี่ยนไป จากปกติไม่เคยเห็นหัวใครเลย ไม่แม้แต่จะเอ่ยคำทักทาย แต่วันนี้กลับยิ้มแย้ม แถมยกมือไหว้ขอโทษอีก ก็ผมไม่ใช่พี่ขิงไงครับถึงทำแบบนี้ได้
“เมื่อกี้ น้องขิงเอาผ้าเช็ดหน้าราคาเป็นหมื่นมาแตะที่ขา ฉันแทบช็อก”
ผมมองผ้าเช็ดหน้าในมือที่เปียกชุ่มจากน้ำแข็ง ผืนนี้ราคาเป็นหมื่นเหรอวะ ทำมาจากไหมทองคำหรือเปล่า
“ตอนฉันช่วยเปลี่ยนชุดก็ยกมือไหว้ขอบคุณตลอด ตกใจมากเหมือนกัน”
“ผีเข้าสิงหรือเปล่า ถึงเปลี่ยนจากฝ่าเท้าเป็นหน้ามือขนาดนี้”
ช่างเป็นคำเปรียบเปรยที่...พูดไม่ออกบอกไม่ถูกจริงๆ ครับ
เลิกสนใจคำพูดของคนอื่น ผมก้าวขายาวๆ เพื่อตามหาแม่ ก่อนจะเจอพี่หมูหวานยืนหันรีหันขวาง พอหันมาเจอหน้าผมปุ๊บ ก็รีบปรี่เข้ามา มือใหญ่จับที่แขนแล้วออกแรงลากให้ไปที่รถ
“รีบอะไรขนาดนี้ครับเนี่ย” ผมว่า
“คุณหญิงแม่มีงานต่อค่ำนี้ค่ะ เลยต้องรีบกลับไปอาบน้ำแต่งตัว”
ผมพยักหน้าให้กับคำตอบ ตอนนี้เวลาเกือบจะทุ่มอยู่แล้ว ยังมีงานอะไรที่จัดดึกกว่านี้อีก เมื่อถึงรถ แม่ก็เริ่มบ่นที่ผมหายไป ลามไปจนถึงการถ่ายแบบที่เสร็จช้ากว่ากำหนดมาก นั่นก็เพราะผมอีกนั่นแหละครับ จะทำยังไงได้ ก็คนมันไม่เคยนี่หว่า
รถราคาแพงแล่นเข้ามาจอดในรั้วบ้าน แม่ก็รีบวิ่งเข้าตัวบ้านทันทีโดยมีพี่หมูหวานหิ้วกระเป๋าวิ่งตาม เห็นภาพแบบนั้นแล้ว นึกอยากจะขำ แต่ก็ขำไม่ออก ความเบื่อหน่ายทำให้ผมเดินเอื่อยๆ มาที่สวนข้างบ้านแทน สนามหญ้ามีแสงไฟส่องสว่าง ความกว้างขวางนี้ทำให้นึกถึงสนามฟุตบอลสมัยเรียนมัธยม ผมชอบไปเตะบอลกับเพื่อนบ่อยๆ พอกลับบ้านดึกพ่อก็จะบ่นจนหูชา แต่ตอนนั้นเป็นอะไรที่สนุกมากจริงๆ
หงิงๆ
เหมือนได้ยินเสียงครางของสิ่งมีชีวิตที่อยู่ไม่ไกล ผมสอดสายตามองหาจนเจอก้อนสีขาวนอนขดตัวอยู่ใต้พุ่มไม้ ยิ่งเข้าไปใกล้ เสียงร้องก็จะค่อยๆ ชัดขึ้น
“ลูกหมา?”
สิ่งมีชีวิตที่ขดตัวมีสีขาว ขนฟูฟ่องไม่เหมือนลูกสุนัขพันทางเลย ผมขยับเข้าไปใกล้ ก่อนยื่นมือเข้าไปแตะ ทันทีที่ขนฟูนั่นถูกมือ เจ้าลูกหมาก็ร้องลั่นทำเอาผมตกใจสะดุ้งหงายหลัง
“ใจเย็นๆ นะ ฉันไม่ได้จะทำร้าย มานี่มา” ผมลองกวักมือเรียกดู ลูกหมาก็เริ่มเงยหน้าขึ้นมอง “หิวข้าวไหม ไปกินข้าวกัน ออกมาเร็ว”
ลูกหมาขนสีขาวมองหน้าผมนิ่ง มันดูลังเลนิดๆ แต่สุดท้ายก็ยอมเดินออกมา แต่เอ...ดูเหมือนไม่ใช่ลูกหมาแล้วล่ะผมว่า มันเหมือนหมาที่คนรวยชอบเลี้ยงกัน หมาพันธุ์เล็ก หน้าแหลม ขนฟู ร้องทีแสบแก้วหูไปเจ็ดวัน
“อ่าว คุณหนู มาทำอะไรตรงนี้ครับ” เสียงร้องทักดังจากด้านหลัง ลุงคนขับรถนั่นเอง แกยืนทำหน้าสงสัยก่อนจะเห็นเจ้าขนฟูในอ้อมแขนของผม “นั่นมันปุยเมฆนี่ครับ นังแต้วกำลังตามหาอยู่เชียว”
“ปุยเมฆ? ชื่อหมาเหรอลุง?” ชื่อเพราะซะด้วย “หมาของพี่แต้วเหรอครับ”
“หมาของคุณขิงครับ”
“อ่าว แล้วทำไมถึงมานอนอยู่ตรงนี้ล่ะ” ผมชี้ไปที่ใต้พุ่มไม้ ลุงคนขับรถทำสีหน้าลำบากใจ ไม่กล้าตอบอะไรออกมามากนัก ท่าทางแบบนั้นผมก็พอจะเดาออก “คงเห็นตอนเด็กน่ารักเลยซื้อมาเลี้ยง พอเบื่อก็เลิกสนใจ ประมาณนี้สินะครับ” ได้ยินปุ๊บ คนน้ำท่วมปากก็รีบพยักหน้า
“ตอนนี้คุณหญิงให้นังแต้วดูแล แต่เจ้าปุยเมฆก็ชอบวิ่งหนีมารอคุณขิงอยู่หน้าประตูทุกวัน จนต้องมาอุ้มกลับไปขังกรงน่ะครับ”
“น่าสงสารแย่ อยู่แต่ในกรงแบบนั้น” หมาคนรวยทำไมน่าสงสารแบบนี้เนี่ย “แต่มันเหมือนจะเจ็บขาเลยนะครับ” เพราะเมื่อกี้ตอนมันเดินเข้ามาหา ผมเห็นมันเดินกะเผลกด้วย
“อ๋อ นั่นก็เพราะถูกรถคุณท่านเฉี่ยวเมื่อเช้า”
“ครับ?”
“นังแต้วบอกผม แต่คุณหนูอย่าไปบอกใครว่าผมบอกนะครับ ผมแก่แล้วไม่อยากตกงาน”
“โรงพยาบาลสัตว์ไกลไหมครับ”
ตอนนี้ผมไม่ได้สนใจว่าใครจะด่าใคร จะว่าอะไรใคร สิ่งที่คิดอย่างเดียวตอนนี้คือ ต้องพาปุยเมฆไปหาหมอก่อน มันดูเจ็บขาจริงๆ เมื่อกี้ที่อุ้มไปตอนแรก มันร้องดังลั่นจนผมคิดว่าจะถูกกัดซะด้วยซ้ำ มือผมคงไปโดนขาข้างที่เจ็บ
“มีคลินิกห่างจากที่นี่ประมาณชั่วโมงหนึ่งครับ แต่ไม่รู้ตอนนี้จะปิดหรือยัง”
“ลุงบอกทางหน่อยได้ไหม เดี๋ยวผมพามันไปเอง”
“ไม่ได้หรอกครับ เดี๋ยวคุณหญิงว่า”
“ไม่มีใครว่าลุงหรอก บอกผมมาเถอะ นะครับ ผมขอร้อง”
เพื่อให้ลุงใจอ่อนโดยเร็ว ผมยกมือไหว้ข้างหนึ่ง อีกข้างขยับตัวปุยเมฆไปด้วยเป็นการกระตุ้น ลุงคนขับรถทำหน้าลำบากใจครู่หนึ่งก่อนบอกทางมาอย่างละเอียด แล้วลุงแกก็รีบวิ่งไปหยิบกระเป๋าใส่สุนัขมาให้ด้วย โชคดีที่กระเป๋านี้มีสายสะพาย ผมคล้องสายกับลำตัว แล้วเดินไปควบมอเตอร์ไซค์คันโปรด
“ไปหาหมอกันนะปุยเมฆ”
คุยกับหมาเบาๆ ก่อนขี่ออกมาจากบ้านมุ่งหน้าสู่คลินิกรักษาสัตว์ เส้นทางที่ไม่คุ้นเคยแต่ก็พอเดาได้ ตลอดทางผมภาวนาให้คลินิกนั่นยังไม่ปิด กลัวว่ารอพรุ่งนี้ปุยเมฆจะเจ็บหนักกว่านี้ คนเฉี่ยวก็ใจร้ายเกินไป ไม่คิดจะช่วยก็น่าจะให้คนงานพาไปหาหมอ ใจดำยิ่งกว่าถ่านซะอีก
ป้ายนีออนมีชื่อคลินิกติดอยู่ ผมบิดเร่งเพิ่มความเร็วเพื่อให้ถึงจุดหมาย ทันทีที่จอดรถ ป้ายไฟก็ถูกดับลง ผมตาเหลือกรีบวิ่งไปที่ประตูกระจกที่ด้านในยังเปิดไฟสว่าง มีคนเดินไปมาอยู่สองสามคน
“อย่าเพิ่งปิดครับ” แหกปากก่อนที่ตัวจะถึง “รักษาหมาผมหน่อย”
“คลินิกปิดแล้วค่ะ” ผู้หญิงสวมชุดสีฟ้าบอกพร้อมรอยยิ้ม
“แต่หมาผมถูกชนเฉี่ยวตั้งแต่เช้า มันเจ็บมากเลยนะครับ รอพรุ่งนี้ก็คงไม่ไหว” พยายามส่งสายตาอ้อนวอน แต่ผู้หญิงตรงหน้ากลับยิ้มแห้งๆ “นะครับ”
“มีอะไร” เสียงทุ้มที่ช่างคุ้นหูเหลือเกิน “ไอ้ขิง”
นั่นไง ทำไมผมไม่ซื้อหวยแล้วถูกแจ็คพอตแบบนี้วะ
“สวัสดีครับพี่ไฮท์” ยกมือไหว้ตามมารยาท
“มึงมาทำไม” นี่พี่เขาถามกวนหรือว่าถามจริงวะ “แล้วนั่น...”
“หมาไง มันโดนรถเฉี่ยวเมื่อเช้า” ผมวางกระเป๋าลง แล้วรูดซิปให้ปุยเมฆออกมา “ขามันเจ็บ”
“โดนตั้งแต่เช้าแต่เพิ่งเอามาเนี่ยนะ” ไอ้พี่ไฮท์มองผมตาขุ่น แต่ก็อุ้มหมาไปวางบนเครื่องช่างขนาดใหญ่ “มึงให้มันกินข้าวหรือเปล่าเนี่ย ตัวโคตรผอม”
อยากบอกเหลือเกิน ว่าผมก็เพิ่งเจอมันก่อนหน้าชั่วโมงกว่าๆ นี้เอง
“มันจะเป็นอะไรมากหรือเปล่าพี่” ถามพร้อมเดินตามพี่ไฮท์เข้าไปในห้องที่หน้าประตูมีรูปหมาหน้าย่นติดอยู่
“กูไม่ใช่หมอ จะรู้ไหมเล่า”
“ผมก็ลืมไป”
“มึงกวนตีนกูเหรอ”
“ตอนไหน”
“ก็ตอนนี้นี่แหละ”
แล้วผมก็ถูกขายาวๆ นั่นหวดมาที่ก้นทีหนึ่ง แม้ไม่เจ็บแต่ก็เคืองนะครับนั่น เพราะพี่ชุดฟ้าก็ยืนอยู่ด้วย จังหวะที่พูดกวนกันไปมา ประตูก็ถูกเลื่อนเปิดกว้างขึ้น ผู้ชายสวมชุดสีขาวเดินยิ้มแย้มเข้ามาหา ขนาดมีอายุแต่ก็ยังดูเท่อยู่เลย
“เป็นอะไรมาล่ะ เรา”
“รถชนครับ”
ผมตอบแทนปุยเมฆเลยได้ยินเสียงขำให้ลำคอไอ้พี่ไฮท์พร้อมเสียงกระซิบชิดใบหู
“มึงเป็นหมาเหรอ”
“แล้วพี่คุยกับผมรู้เรื่องหรือเปล่า”
“มึงด่ากูเป็นหมาเหรอ”
“พี่พูดเอง ผมยังไม่ได้ว่าเลย”
“ไอ้ขิง มึง...”
ก่อนที่จะเกิดความรุนแรงในคลินิก เสียงของคุณหมอก็ดังขัดขึ้นมา ทำให้สงครามน้ำลายยุติลง
“ขามันอักเสบน่ะ ไม่ได้หัก เดี๋ยวหมอจะฉีดยาแก้อักเสบให้ก่อน แล้วพรุ่งนี้ก็ค่อยพามาดูอีกทีนะ” เสียงทุ้มมาพร้อมรอยยิ้มที่ทำให้ต้องยิ้มตาม “ไฮท์ พาน้องเขาไปกรอกประวัติสุนัขด้วย”
“ทำไมต้องผม”
“ก็รู้จักกันไม่ใช่เหรอ”
“พ่อรู้ได้ไง...ก็ได้ ตามมาดิ่”
ผมมองหน้าพี่ไฮท์สลับกับคุณหมอ นี่พ่อลูกกันหรือนี่ แต่มองดีๆ ก็คล้ายกันอยู่นะครับเนี่ย
“พ่อพี่เป็นสัตวแพทย์ ทำไมพี่เรียนวิศวะล่ะ” ถามแบบอยากรู้จริงๆ แต่คนถูกถามคงคิดว่าผมกวนละมั้ง ถึงได้วางเอกสารบนโต๊ะซะเสียงดัง
“ไม่ใช่เรื่องของมึง”
“ตามนั้น” ยักไหล่ก่อนจะเริ่มเขียน “พี่ไฮท์”
“อะไรอีก”
“คือ ผมรู้แค่ชื่อกับเพศมันอะ นอกนั้นไม่รู้เลย” มองรายละเอียดบนหน้ากระดาษแล้วก็ต้องเครียด
“มึงเลี้ยงหมายังไงถึงไม่รู้วะ”
“ก็มันไม่ใช่หมาของผมนี่ เพิ่งเจอแล้วก็เอามารักษาเนี่ยแหละ”
คราวนี้ไม่มีคำพูดหรือคำด่าหลุดออกมาอีก พี่ไฮท์จ้องหน้าคล้ายกับจะจับโกหก แต่พอผมส่งสายตาใสปิ๊งๆ คืนให้ พี่แกก็เบือนหน้าหนีไปเฉย
“เขียนเท่าที่รู้นั่นแหละ”
กรอกเสร็จก็พอดีพี่ชุดฟ้าอุ้มปุยเมฆออกมา ตอนแรกท่าทางมันดูหงอยๆ แต่พอเจอหน้าผม มันก็รีบกระดิกหางฟูแบบรัวๆ แถมทำหน้าบ๊องแบ๊วน่าเอ็นดูใส่ยามที่อยู่ในอ้อมกอดของผม
“พรุ่งนี้ค่อยพามาดูอีกทีนะ” คุณหมอว่า
“ครับ” ผมรับคำ แม้จะถูกปุยเมฆเลียหน้า เลียปากไม่หยุดก็ตาม
“เมื่อกี้หงอยเชียว คงคิดว่าถูกทิ้งแหง” ได้ยินคุณหมอพูด ผมก็หน้าสลดลง มันคงคิดว่าผมเป็นพี่ขิงแน่ๆ เลย “ปุยเมฆดูเหมือนจะเป็นเรื้อนด้วยนะ”
“เรื้อนเหรอครับ”
“รักษาหายน่า ไม่ใช่โรคร้ายแรง” ไอ้นั่นผมก็พอรู้ แต่ค่ารักษานี่สิ ขนาดมาวันนี้ผมมีเงินติดตัวแค่สองพันเอง “รีบรักษาจะได้หายไวๆ”
“อ่า ครับ แล้ววันนี้เท่าไหร่เหรอครับ” เตรียมเหงื่อตกแล้วไอ้ขมิ้น
“เห็นเป็นเพื่อนของไฮท์ จะคิดราคาพิเศษก็แล้วกัน”
เป็นคุณหมอที่โคตรใจดี ไม่เหมือนลูก...
“มันเป็นรุ่นน้อง ไม่ใช่เพื่อน และไม่ได้อยากรู้จัก”
นั่นไง ไม่เหมือนพ่อจริงๆ
“วันนี้หนึ่งร้อยก็พอ” พ่อพี่ไฮท์ส่ายหน้าระอาส่งให้ลูกชาย ก่อนจะหันมายิ้มแย้มให้ผม “ส่วนพรุ่งนี้ก็มาดูอาการ ท่าดีขึ้นก็ค่อยว่ากัน”
“ขอบคุณครับ คุณหมอใจดีมาก...” ไม่อยากพูดต่อ เลยใช้สายตาเหล่มองแทน ดูพ่อพี่ไฮท์จะรู้เพราะหัวเราะเสียงดังออกมาเลย “ลานะครับ”
“กลับบ้านดีๆ นะ”
คำอวยพรจากคุณหมอเจ้าของคลินิกที่ออกมายืนส่งอยู่ด้านหน้า ผมยกมือไหว้ลาอีกรอบก่อนขี่มอเตอร์ไซค์กลับบ้าน ทำไมวันนี้ถึงเจอแต่คนขาเจ็บ ขนาดหมาก็ยังขาเจ็บ เริ่มมีความรู้สึกอยากเรียนหมอซะแล้วสิ แต่ไม่รู้คนสมองทึบๆ อย่างผมจะสอบติดหรือเปล่า แต่ถ้ามีโอกาส ผมก็อยากลองสู้ดูสักตั้ง เพื่อพ่อและอนาคตของตัวเอง ไอ้ขมิ้นสู้อยู่แล้ว
...TBC #ไฮท์ขมิ้น