,,รักนี้ แค่นาย,, [ตอนพิเศษ หมูกะทะพาเพลิน] [P.12] // {15/09/61}
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ,,รักนี้ แค่นาย,, [ตอนพิเศษ หมูกะทะพาเพลิน] [P.12] // {15/09/61}  (อ่าน 88343 ครั้ง)

ออฟไลน์ O-RA DUNGPRANG

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1783
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-5
Re: ,,รักนี้ แค่นาย,, [ตอนที่ 5] // {30/12/60}
«ตอบ #30 เมื่อ30-12-2017 23:55:03 »

ขิงเลวว่ะ ด่าได้ป่าว555 เฮ่อ!!! :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:อย่างน้อยก็มีคนรู้ว่าขมิ้นมีตัวตนแล้วนะเราค่อยโล่งใจหน่อยทีนี้มาลุ้นพี่ไฮน์กันต่อนะจ๊ะ o18 o18 o18

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
Re: ,,รักนี้ แค่นาย,, [ตอนที่ 5] // {30/12/60}
«ตอบ #31 เมื่อ31-12-2017 01:17:35 »

ชอบบบบบ

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2685
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
Re: ,,รักนี้ แค่นาย,, [ตอนที่ 5] // {30/12/60}
«ตอบ #32 เมื่อ31-12-2017 06:10:32 »

ก็สมควรสงสัยกัน เปลี่ยนไปขนาดนั้น
ขิงหนีหนี้หรอ หรือถูกจับไปขายแล้ว
หรือหนีไปใช้ชีวิตสบายล้านแปด

น่าสงสารขมิ้น เพราะคำว่าแม่กับพี่อะนะ พ่อค้านยังไง ก็ยังมา
แล้วเจอแต่ละเรื่อง ไม่ธรรมดามาก คือของทำตัวยังไงให้มีแต่เรื่อง
แถมพ่วงคนไม่ชอบ ถึงขั้นเกลียดมาอีกโขยง

เจมส์ตลกดี น่ารักด้วย คนอะไรขี้แยและรักเพื่อนมาก

ไฮท์ก็ยังสงสัย ชอบพ่อไฮท์ รู้ล่ะสิว่านี่ว่าที่สะใภ้ 55555

—————

สวัสดีปีใหม่นะคะ
ปล.รออ่านข้ามปีกันเลย


ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
Re: ,,รักนี้ แค่นาย,, [ตอนที่ 5] // {30/12/60}
«ตอบ #33 เมื่อ31-12-2017 08:13:54 »

สงสารน้องขมิ้น แต่ก็อยากให้มีคนดีๆ อย่างพี่ไฮท์ดูแลนะครับ ^^

ออฟไลน์ มาชิ มาชิ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
Re: ,,รักนี้ แค่นาย,, [ตอนที่ 5] // {30/12/60}
«ตอบ #34 เมื่อ31-12-2017 08:14:45 »

เจมส์รู้เเล้ว ต่อไปก็คงเป็นไอ้พี่ไฮท์ อิอิ หรือเปล่าอ่ะ

ออฟไลน์ ♥lvl♀‘O’Deal2♥

  • หานิยายถูกใจยากจัง!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2665
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +176/-4
Re: ,,รักนี้ แค่นาย,, [ตอนที่ 5] // {30/12/60}
«ตอบ #35 เมื่อ31-12-2017 11:57:09 »

อ้าวเปลี่ยนคู่เหรอค่ะ ได้นะ

ออฟไลน์ aiaea83

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 676
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +494/-5
Re: ,,รักนี้ แค่นาย,, [ตอนที่ 6] // {01/01/61}
«ตอบ #36 เมื่อ01-01-2018 15:41:42 »


-6-





        หน้าตึกคณะนิติศาสตร์ ป้ายมันบอกว่าแบบนั้น เจมส์พาผมเดินเข้าไปใต้ตึก มีนักศึกษาหลากหลายกลุ่มนั่งก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสืออย่างเอาเป็นเอาตาย คณะนี้คงเครียดน่าดู เจมส์เดินตรงเข้าไปหานักศึกษาโต๊ะหนึ่งที่มีทั้งชายและหญิง ก่อนมันจะยื่นมือไปสะกิดไหล่ผู้ชายที่นั่งหันหลังให้ แต่นั่นก็ทำให้ทั้งโต๊ะเงยหน้าขึ้นมามองกันหมด

   “ไอ้พี่นาวไม่อยู่เหรอครับ”

   “ไอ้นาว?” คนที่ถูกสะกิดถามกระพริบตาปริบๆ ก่อนจะปรายตามามองผมแล้วแสยะยิ้มออกมา “ไม่ถามเมียมันล่ะ มาถามพี่ทำไม”

   หน้าตึงเลยผม ถูกหาว่าเป็นเมียไอ้หน้าตี๋นั่นอีกแล้ว

   “ถ้าเพื่อนผมรู้ คงไม่ถ่อมาถึงนี่หรอก”

   ผมเห็นคนทั้งโต๊ะเริ่มจ้องหน้าเจมส์เขม็งก็อดหวั่นๆ ไม่ได้ กลัวพวกเขาลุกฮือมารุมเพราะคิดว่าผมกับเจมส์มาหาเรื่องถึงถิ่น อีกทั้งเสื้อช็อปบนตัวก็ดูเป็นที่น่าสนใจมากอยู่แล้ว ตั้งแต่เดินเข้ามาเมื่อกี้

   “แหม ไอ้บิ๊กเลี้ยงมาดีสินะ ถึงกร่างได้แบบนี้”

   “พี่บิ๊กไม่เกี่ยวด้วย”

   “เจมส์ใจเย็น” ยกมือแตะบ่าเจมส์เบาๆ เพื่อให้คุมอารมณ์ตัวเอง มันฮึดฮัดตอนแรกแต่ก็ยอมเงียบ ผมเลยเป็นฝ่ายถามซะเอง “เพื่อนพี่อยู่ที่ไหนเหรอครับ”

   “แหม เรียกพวกกูว่าพี่ซะด้วย น้ำจะท่วมโลกหรือเปล่าวะ” เสียงโห่ร้องดังทั้งโต๊ะ ผมถึงกับวางตัวทำหน้าไม่ถูกเมื่อถูกพูดแบบนั้น

   “หรือไม่ให้เรียกพี่ ให้เรียกมึงแทนเหรอครับ”

   “อ่าว ไอ้สัดขิง ปากดีนะมึง”

   “ปากดีก็ดีกว่าปากหมาไม่ใช่เหรอครับ”

   “มึง!”

   ตอนนี้กลายเป็นเจมส์ที่ต้องห้ามผมแทน ผมพยายามทำใจเย็นนับหนึ่งถึงสามแล้วเพื่อไม่ให้ก่อเรื่อง แต่คำพูดคำจาของคนตรงหน้าไม่ทำให้ผมใจเย็นลงเลย มิหนำซ้ำ ยังมีท่าทีที่พร้อมจะกระโจนเข้าหาผมอีก

   “พวกพี่ไม่รู้ก็ไม่เป็นไร ไว้ผมหาเองก็ได้” 

   “เดี๋ยวสิ ถ้ากูบอกว่าไอ้นาวอยู่ที่ไหน กูจะได้อะไร” จังหวะที่ผมกับเจมส์จะเดินหนี ไอ้รุ่นพี่ปากดีก็คว้าแขนผมเอาไว้ สายตาแวววับนั่นมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า “ลองทำให้กูติดใจลีลาของมึงแบบที่ไอ้นาวว่าสิ กูถึงจะบอก”

   “งั้นพี่ก็ไปลองกับพ่อพี่ดูก่อนสิครับ”

   “อ่าว ไอ้เหี้ยขิง”

   ไอ้รุ่นพี่ปากดีตั้งท่าจะกระโจนลุกออกจากโต๊ะมาหา เจมส์ก็รีบฉุดแขนผมให้วิ่งหนี ยังโชคดีที่ไม่มีใครวิ่งตามออกมา แต่ถ้ามีเรื่องจริง ผมก็พร้อมมากเลยนะ ไม่กลัวหรอกมือเท้าก็มี...แม้พวกเขาจะมีมากกว่า ตายเป็นตาย ไอ้ขมิ้นไม่ยอมอยู่แล้ว

   “เกือบไปเฝ้าท่านยมแล้วไหมล่ะ” เสียงคนลากผมหอบหนักอยู่ข้างๆ มันใช้มือสองข้างค้ำเข่าพยุงร่างไม่ให้ลงไปนั่งกองที่พื้น “มึงนี่ปากหาเรื่องจริงๆ”

   “ก็มันกวนตีนกูก่อน คณะนี้มีแต่คนกวนตีนหรือไง..”

   “พูดแบบนี้หน้าคณะคนอื่น ไม่ค่อยดีนะน้อง”

   ผมพูดไม่ทันจบดีก็มีเสียงอื่นแทรกเข้ามา ดูจากใจความประโยคคงจะเป็นคนเรียนคณะนี้เหมือนกัน ผมค่อยๆ หันหน้าไปดูคนพูดที่ยืนเท้าเอวอยู่ด้านหลัง หน้านิ่งๆ แต่ดูโดดเด่นออกมาจากกลุ่มคนใต้ตึกเมื่อกี้เลย

   “สวัสดีครับพี่โอบ” เจมส์มันยกมือไหว้ระหว่างที่ผมกับคนขัดกำลังเล่นเกมส์จ้องตาอยู่

   “เออ” แม้จะตอบรับ แต่ตาดุๆ นั่นยังจ้องมาที่ผม จนเจมส์ต้องเดินมาขวาง สายตานั่นถึงเปลี่ยนจุดโฟกัส “มึงมาหาเรื่องใครที่นี่”

   “ไม่ได้มาหาเรื่องสักหน่อย แค่มาหาไอ้พี่นาว พี่โอบเจอบ้างป่ะ”

   “เจอตอนเช้านะ” คนที่เจมส์รู้จักตอบ แต่มิวายเหล่ตามาจ้องหน้าผมอีกรอบ “เพื่อนมึงปากดีตลอดเลยนะ”

   “โห พี่โอบก็น่าจะรู้ ว่าไอ้ขิงมันเป็นคนยังไง”

   “ก็พอได้ยินชื่อเสียมาบ้าง”

   “ชื่อเสียงหรือเปล่าครับ” ผมขัดขึ้นมา ดูเหมือนพี่เขาจะออกเสียงไม่เต็ม

   “ชื่อเสียถูกแล้ว รีบพาเพื่อนมึงกลับคณะได้ละ กูขี้เกียจมีเรื่อง”

   ว่าจบก็ยกมือปัดๆ เหมือนรำคาญ ผมส่งเสียงฮึดฮัดแต่ก็ไม่อยากให้เพื่อนเดือดร้อนเลยหุบปากตัวเอง ว่าแต่ พี่ขิงนี่ศัตรูเยอะเกินนะ ไปที่ไหนก็มีคนเกลียดที่นั่น โคตรขัดกับสิ่งที่แม่เคยบอกว่าพี่ขิงเป็นที่รักของทุกคน พอเราสองคนเดินออกมาไกล ผมก็เริ่มถามถึงคนเมื่อกี้ ดูเจมส์จะสนิทพอสมควร

   “เมื่อกี้เหรอ ชื่อพี่โอบ เพื่อนห้องเดียวกับไอ้พี่นาวนั่นแหละ” ผมพยักหน้าเมื่อเจมส์อธิบาย “เห็นหล่อๆ แบบนั้นโคตรโหดนะมึง”

   “ยังไงวะ”

   “พี่เขาเคยไปยำคนมาทำร้ายเพื่อนอาการปางตายเลยนะเว้ย โคตรโหด”

   “หน้าตาพี่เขาก็เอาเรื่องอยู่นะ” พูดไปก็นึกถึงสายตายามจ้องผมเมื่อกี้ไป โหดพอๆ กับไอ้พี่ไฮท์เลย แต่คนเมื่อกี้ดูนิ่งกว่าเยอะ “แล้วนี่ เราจะไปตามหาไอ้หน้าตี๋นั่นจากที่ไหนต่อ”

   “ไม่รู้ว่ะ”

   พอถึงตรงนี้ เราสองคนก็ถอนหายใจออกมาพร้อมกัน

   “ถอยทัพก่อนไหมวะ หิวว่ะ” ท้องเริ่มประท้วงนิดๆ เจมส์มันก็เห็นด้วย เราเลยเปลี่ยนจากตามหาคน ไปตามหาร้านข้าวแทน
 




   เจมส์พาผมมาร้านเด็ดแถมห่างจากมหาลัยไม่มาก มันบอกร้านนี้ลาบอีสานอร่อยสุด แค่พูดชื่อน้ำลายก็สอ แต่พอมาถึงจริงแทบอยากขับรถกลับ ร้านมีตั้งมากมาย ทำไมต้องมาเจอคนไม่อยากเจอด้วยวะเนี่ย

   “มีเรียนไม่ใช่เหรอ” คำถามนี้ไม่ได้ถามผมครับ แต่ส่งมายังเจมส์ที่ยิ้มแห้งๆ “โดด?” คราวนี้ไอ้พี่แว่นเลื่อนตามามองผมแทบจะทันที

   “ผมไม่ได้ชวนมันโดดนะครับ” รีบโบกมือโบกไม้ปฏิเสธทันที

   “ก็ยังไม่ได้ว่าอะไร” พี่แว่นว่า และผมก็คงจะไม่หน้ากระตุก หากไม่มีคนพูดประโยคถัดมา 

   “คนมันร้อนตัวก็งี้แหละ” ไอ้พี่ไฮท์ใช้ส้อมจิ้มข้าวเหนียวเข้าปากแล้วลอยหน้าลอยตาจนผมอยากจะถีบเก้าอี้ให้มันร่วงลงไปกองกับพื้น “ทำไม โกรธกูเหรอที่กูพูดถูก”

   “ไม่ได้โกรธสักนิดเลยครับพี่” กัดฟันตอบสุดๆ

   “ไปนั่งโต๊ะเถอะว่ะ” เจมส์มันคงเห็นผมยืนกัดกรามเลยคิดห้าม แต่การชวนของมันก็ไม่เป็นผลเมื่อพี่แว่นขยับเก้าอี้ตัวเปล่าข้างๆ ให้เจมส์นั่ง “เอ่อ”

   “นั่งนี่แหละ” พี่แว่นว่า

   “ทำไม นั่งกับพวกกูไม่ได้หรือไง ไอ้นายแบบดัง” เสียงกวนโมโหของไอ้พี่ไฮท์ทำให้ผมตัดสินใจลากเก้าอี้ตัวข้างเขาแล้วกระแทกนั่ง “โห รุนแรงซะด้วย”

   ไม่พูดพร่ำทำเพลง ผมกวักมือเรียกพนักงานของร้าน สั่งลาบ น้ำตก ไก่ย่าง หมูย่างมาจนล้นโต๊ะ นั่นเพราะพี่แว่นที่ชื่อบิ๊กออกปากจะเลี้ยง ผมรู้ว่าพี่เขาจะเลี้ยงเจมส์ แต่ผมก็มาด้วยไง ก็ต้องเลี้ยงผมด้วยสิ

   “มึงสั่งมาทำไมตั้งเยอะวะ” เจมส์ทำตาโตมองกับข้าว ผมก็ยักไหล่ มือจกข้าวเหนียวเข้าปาก

   “สั่งมาก็แดกให้หมดนะมึง ไม่หมดกูยัดปากมึงแน่” เสียงข่มขู่จากไอ้พี่ไฮท์ ผมหันไปมองแล้วยัดข้าวเหนียวเข้าปากยั่วโมโห แถมได้ผล มันเอาส้อมตีหน้าผากผมดังปั๊ก “กวนตีน”

   ผู้ชายตัวโตๆ สี่คนนึกเหรอครับว่าจะไม่หมด แม้รุ่นพี่สองคนจะกินมาก่อนหน้า แต่ผมก็เห็นพากันกินอย่างอร่อย โดยเฉพาะตับในลาบอีสาน

   “พี่ไฮท์ นี่ของผมนะเว้ย” ผมกำลังจะถูกแย่งตับชิ้นสุดท้ายในจานไป

   “มึงกินทุกอัน ให้กูกินบ้างไอ้ขิง” พี่ไฮท์ก็ไม่ยอม มันเอาส้อมจิ้มไว้ แถมแยกเขี้ยวใส่ผมอีก

   “พี่ก็กลับไปกินตับแฟนพี่ดิ่ ตับหมูนี่ของผม” พูดปุ๊บ ส้อมนั่นก็ถูกขว้างใส่จานจนผมสะดุ้ง จากคนที่แหย่กันไปมา ตอนนี้เริ่มกลับเข้าสู่โหมดโหดเหี้ยม “ผมพูดอะไรผิดเหรอ”

   “มึงยังกล้าพูดถึงแฟนกูอีกเหรอวะ”

   “ฉิบหาย”

   จริงด้วยว่ะ วันแรกของการมาเยือน ผมก็เกือบเจอหมัดของไอ้พี่ไฮท์ทักทายด้วยข้อหาเอาเมียพี่เขามากก สถานการณ์ตอนนี้เริ่มมาคุ พี่บิ๊กก็ทำนิ่ง ส่วนเจมส์ก็เอาแต่คาบส้อมมองหน้าผมกับพี่ไฮท์สลับไปมา

   “พี่ครับพี่” ผมยกมือเรียกพนักงานให้มาที่โต๊ะ คนร่วมโต๊ะก็พากันมองหน้า “ผมขอลาบอีสานอีกจาน แต่เปลี่ยนจากหมูเป็นตับทั้งจานแทนได้ไหมครับ”

   “คะ?”

   “ตับอีสาน”

   “อ่อ ได้...มั้งคะ”

   แล้วพี่พนักงานแกก็เดินกลับไปแบบงงๆ หวังว่าจะเข้าใจในสิ่งที่ผมบอกนะครับ

   “ถ้ามันมีแต่ตับ มันจะเรียกลาบอีสานได้ยังไง” เสียงคนโกรธถามออกมาอย่างสงสัย พี่ไฮท์ขมวดคิ้วเป็นปม

   “ก็เรียกตับอีสานไง อยู่บ้าน พ่อผมชอบทำให้กิน เพราะผมชอบกินตับ” บอกพร้อมรอยยิ้มเมื่อนึกถึงรสมือของพ่อ แต่ยิ้มไม่นานก็ต้องรีบหุบเมื่อถูกตาดุหรี่จ้องมอง

   “พ่อมึงทำให้กิน?”

   “หมายถึงพ่อบ้าน แม่บ้านอะไรแบบนี้ เนอะๆ เจมส์เนอะ” ต้องหาแนวร่วม และเพื่อนพี่ขิงก็เป็นลูกคู่ที่ดี เจมส์รีบเอาส้อมที่คาบชี้ยืนยัน

   “อ่อ” พี่ไฮท์กับพี่บิ๊กก็พยักหน้าเหมือนเชื่อ “แต่มึงสั่งมาทำไมอีกวะ แค่นี้ก็อิ่มถึงชาติหน้าแล้ว”

   “ก็...เออว่ะ”

   “ตับอันเดียวทำมึงโง่ได้ขนาดนี้เลยเหรอวะ ไม่สิ มึงมันโง่อยู่แล้ว”

   “พี่จะพูดกับผมดีๆ บ้างไม่ได้เลยหรือไง”

   “แค่กูคุยกับมึงปกติแบบนี้ก็ดีเท่าไหร่แล้ว”

   “ขอบคุณที่ไม่กระทืบผมครับ”

   ยกมือไหว้ท้วมหัวจนโดนส้อมเคาะหน้าผากอีกรอบ และถึงแม้พี่ไฮท์จะบอกว่าอิ่ม พอจานตับอีสานวางลงตรงหน้า พี่แกก็แย่งผมกินอยู่ดี จะว่าก็ไม่ได้เพราะเจ้ามือคือเพื่อนของเขา เมื่อกับข้าวบนโต๊ะหมดเกลี้ยง สภาพแต่ละคนก็คล้ายพะยูนเกยตื้นทั้งนั้น ผมเอนหลังพิงพนัก มือก็ลูบท้องแน่นๆ ของตัวเอง

   “แล้วนี่ พวกพี่ไม่มีเรียนเหรอ” เจมส์มันถามหลังจากรอเงินทอน

   “ก็มี งั้น ไอ้ไฮท์ มึงให้ไอ้ขิงไปส่งที่มอก่อนนะ เดี๋ยวกูไปธุระกับไอ้เจมส์แป๊บ”

   “อ่าวอะไรวะ เฮ้ยไอ้บิ๊ก ไอ้เชี่ย ชิ่งกูเฉย” พี่ไฮท์โวยวายลั่นเมื่อเพื่อนเดินออกร้านไปก่อน ผมได้แต่เดินตัวลีบตามหลัง “แล้วมึงจะเดินหอยทากทำไม ไหนรถมึง”

   “โมโหแล้วพาลว่ะ”

   “เดี๋ยวกูถีบ” ไม่เดี๋ยวแล้วครับ ไอ้พี่ไฮท์ยกขาเตะก้นผมจริงๆ แม้ไม่แรงแต่คนไม่ได้ตั้งตัวก็ต้องมีเซกันบ้าง ผมตวัดสายตาส่งไป คนทำร้ายผมก็ไม่รู้สึกรู้สา “เร็วๆ”

   “ครับๆ” ผมควบมอเตอร์ไซค์ KSR ของตัวเอง กำลังจะสตาร์ท คนที่ยืนดูกลับไล่ให้ผมขยับแล้วคนไล่ก็สอดตัวมานั่งแทน “พี่ทำอะไรเนี่ย”

   “กูขี่เอง”

   “แต่นี่มันรถผมนะพี่”

   “กูไม่ไว้ใจมึง”

   เมื่อทำอะไรไม่ได้ก็ต้องปล่อยเลยตามเลย พี่ไฮท์ออกตัวนิ่มอยู่ ตอนแรกคิดว่าจะกระชากแกล้งให้ผมหล่นลงจากรถซะอีก ระยะทางขากลับก็ไม่ได้ต่างจากขามา แต่ที่ต่างคือบรรยากาศมากกว่า กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ลอยติดปลายจมูก พอมองจากด้านหลัง พี่เขาก็ดูไม่ได้นิสัยเสีย แต่พูดทีเหมือนวิญญาณตัวร้ายในละครสิงร่างเลย

   “....เอาหมามึงด้วย” เสียงพี่ไฮท์พูดโต้กับลมทำให้มันขาดๆ หายๆ

   “พี่ว่าอะไรนะ” ผมขยับหน้าไปชิดหลังแล้วถาม

   “กูบอกว่า มึง...หมามึงด้วย”

   “หา? ไม่ได้ยิน โอ๊ะ” จังหวะที่โน้มตัวไปชิดเพื่อจะฟังถนัดๆ รถที่ขี่ๆ มากลับเบรกกะทันหัน หน้าผมก็พุ่งไปชนกับหลังกว้างดังปึ๊ก “ขอโทษพี่”

   “มึงทำร้ายกูเหรอไอ้นี่”

   “พี่เบรกกะทันหันนี่หว่า ว่าแต่ เมื่อกี้พี่ว่าอะไรนะ”

   “กูบอกให้มึงไปเอาหมาด้วย”

   “อ๋อ เดี๋ยวผมแวะไปเอา ขอบคุณครับ”

   ไม่มีเสียงตอบกลับอะไรออกมาอีกจนถึงหน้าคณะ พี่ไฮท์ลงจากรถแล้วเดินเข้าตึกไป ส่วนผมได้แต่มองหลังคนหน้าบึ้งไม่มีแม้แต่คำขอบคุณหรือคำใดๆ อีก ผีเข้าผีออกนะรุ่นพี่คนนี้ ผมเลิกสนใจพี่ไฮท์ ก่อนขี่รถกลับไปรับปุยเมฆ ป่านนี้คงเฝ้ารอให้ผมไปรับอยู่แน่ๆ พอตัวสะอาดแล้วน่าจะสวยมาก เป็นหมาคนรวยแท้ๆ แต่กลับมีสภาพยิ่งกว่าไอ้ด่างข้างบ้านผมซะอีก





   หน้าคลินิกมีรถยนต์จอดเรียงราย คงจะเป็นลูกค้าของที่นี่ ผมผลักบานประตูเข้าไป เสียงหมาตัวใหญ่กำลังเห่าขู่แมวขนฟูในตะกร้าของคุณป้าแว่นดำก็ทำให้ต้องอุดหู ยิ่งเสียงเจ้าของตะโกนห้ามก็ยิ่งทรมาน

   “มารับปุยเมฆครับ” กว่าจะฝ่าด่านหมาแมวกับคุณป้าเจ้าของมาได้ ก็ต้องใช้ความพยายามมากเลยทีเดียว แค่ก้าวขา หมาตัวใหญ่ก็หันมอง กลัวมันงับก้นผมสุดๆ

   “อ๋อ รอสักครูค่ะ” แล้วพี่ชุดฟ้าก็หายไปด้านหลัง และออกมาพร้อมกระเป๋าใส่ปุยเมฆ “เหมือนน้องจะกลัวเสียงดังนะคะ” พี่เขาคงเห็นผมขมวดคิ้วตอนรับกระเป๋า ปุยเมฆขดตัวเป็นก้อนกลมๆ ไม่ยอมมองผมเลย

   “เท่าไหร่ครับ”

   “คุณหมอไม่คิดเงินนะคะ”

   “เอ่อ ขอบคุณครับ”

   ผมมองหาคุณหมอแต่ก็ไม่เห็น เลยได้แต่ฝากคำขอบคุณผ่านพี่ชุดฟ้า ผมยกกระเป๋าใส่ปุยเมฆขึ้นพาดคอแล้วรีบเดินหนีออกมาให้ไว เมื่อพ้นจากเสียงดัง เจ้าก้อนกลมๆ ก็ค่อยๆ ขยับ พร้อมส่งเสียงร้องอย่างดีใจ

   “ไง ปุยเมฆ คิดถึงพี่ขมิ้นไหม” เอานิ้วจิ้มกระเป๋าดู ปุยเมฆก็ร้องแล้วใช้จมูกดันนิ้วผมคืน “น่ารักจริงๆ คืนนี้พี่ขมิ้นมีขนมให้ด้วยนะ”

   เสียงปุยเมฆก็ร้องเบาๆ มาตลอดทาง พอถึงบ้านเสียงก็เงียบลงเหมือนจะรู้ว่าควรเงียบ ผมมองซ้ายมองขวาแล้วรีบวิ่งขึ้นชั้นสองของบ้าน ขืนช้ามีคนเห็น ไม่ผมก็ปุยเมฆนี่แหละจะซวย

   เข้าห้องมาแล้วผมก็รูดซิบเปิดกระเป๋าเอาปุยเมฆออกมาชื่นชม ขนที่มีคราบสีดำๆ ตอนนี้ใสสะอาด ขนก็นุ่มนิ่ม ตัวก็หอม ผมอุ้มปุยเมฆขึ้นมาบนเตียง วางเจ้าตัวเล็กไว้บนอก ปุยเมฆขยับคลานมาเลียตามหน้าตามคอผมจนขนลุกไปหมด

   “น้ำลายเยอะขนาดนี้ คิดถึงพี่ขมิ้นมากเลยใช่ป่ะ” จุ๊บปุยเมฆหลายๆ ทีด้วยความรัก ผมว่า ผมกำลังตกหลุมรักเจ้าหมาตัวนี้ซะแล้ว หากพี่ขิงกลับมา ผมจะขอไปเลี้ยงที่บ้าน “พี่ขมิ้นซื้ออาหารกับขนมมาให้เยอะเลยนะ”

   โฮ่ง

   “จะบอกว่า เจ๋งมาก ใช่ไหม แน่นอน พี่ขมิ้นซะอย่าง”

   โฮ่ง

   “น่ารักนะเนี่ย เป็นแฟนกับพี่ขมิ้นเถอะ” ผมยกตัวปุยเมฆขึ้นปุ๊บ สัญลักษณ์บางอย่างก็แทบทิ่มตา “มึงตัวผู้นี่หว่า เป็นพี่น้องกันดีกว่าเนอะๆ”

   โฮ่งๆ

   เสียงเคาะประตูทำให้ผมต้องรีบซ่อนปุยเมฆ ยังโชคดีคนมาเคาะเป็นป้าแม่บ้านที่บอกให้ลงไปกินข้าว แต่ทำไมวันนี้ถึงกินไว ปกติไม่ทุ่มก็สองทุ่มนู้น

   “พอดีคุณท่านกับคุณผู้หญิงไปงานเลี้ยงด้านนอกค่ะ เลยขึ้นมาถามว่าคุณขมิ้นจะทานข้าวกี่โมงดีคะ”

   “ตอนนี้ก็ได้ครับ” ผมหันไปมองปุยเมฆที่เดินไปนอนที่ผ้าห่มก่อนจะเดินออกห้องไป “วันนี้มีของอร่อยอีกแน่เลย ใช่ไหมครับ”

   “ไก่ย่างค่ะ คุณขมิ้นชอบไหมคะ”

   “สุดๆ ครับ”

   “ปกติแล้ว คุณขิงไม่ทานเลยนะคะ บอกว่าอ้วน”

   “แต่ผมชอบที่สุดครับ”

   ผมใช้เวลากินข้าวกับพวกพี่ๆ หลังบ้านอยู่นานเป็นชั่วโมง พอกลับขึ้นห้อง ปุยเมฆก็ยังนิ่ง เรียกไปก็ไม่ตอบอะไร คงจะหลับลึกแน่ๆ เลยละความสนใจแล้วเดินเข้าไปอาบน้ำแทน กลับออกมาเจ้าก้อนกลมก็ยังนิ่ง

   “ปุยเมฆ กินขนมไหม เยอะนะ” ลองเอาขนมเป็นแท่งหลอกล่อ แต่ก็ยังเงียบ “ไม่กินเหรอ พี่ขมิ้นจะกินแทนละนะ” ผมลองกัดขนมหมาดู รสชาติโคตรจืด แม้กลิ่นจะเค็มก็เถอะ “อร่อยนะปุยเมฆ ไม่สนเหรอ”

   หงิงๆ เสียงตอบกลับเบาๆ พร้อมกับหัวเล็กยกขึ้นดู แต่แล้วก็กลับลงไปขดตัวใหม่ สงสัยจะไม่หิว ผมละความสนใจจากปุยเมฆก่อนกระโดดขึ้นเตียง แม้จะยังไม่ดึกมากแต่กลับง่วงซะงั้น สงสัยกินข้าวเหนียวมากไปหน่อย ตั้งแต่มื้อเที่ยง มามื้อเย็นอีก น่าแปลก ทำไมกินข้าวเหนียวแล้วถึงง่วงมากกว่าปกติ





   เผลอหลับไปทั้งที่ยังไม่ได้ปิดไฟซะด้วยซ้ำ มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนมีเสียงกุกกักๆ ผมปรือตาขึ้นดูก็ไม่เห็นมีอะไร เลยหลับตาลงอีกรอบ แต่คราวนี้ เสียงนั้นดังกว่าเดิม เพิ่มเติมมาด้วยเสียงไอแรงๆ จนผมสะดุ้ง

   “ปุยเมฆไม่สบายเหรอ” ผมหรี่ตามองหาหมาที่ตอนนี้มันไม่อยู่ตรงผ้าที่ปูให้นอนแล้ว “ปุยเมฆอยู่ไหน” เสียงไอแรงๆ จนผมเริ่มเป็นห่วง สอดสายตามองหาทั่วห้องก็ไม่เจอ เลยลองก้มดูใต้เตียง เจอปุยเมฆกำลังอาเจียนออกมาเป็นฟอง “ปุยเมฆ เป็นอะไร”

   ผมลงมาจากเตียง พยายามยื่นมือไปดึงปุยเมฆให้ออกมา แต่มันก็ไม่ยอมเดินมาหา เอาแต่ไอตัวโยนแล้วก็อ้วกออกมาอีกหลายกองจนผมใจไม่ดี

   “ปุยเมฆ มาหาพี่ขมิ้นก่อน” พยายามกวักมือเรียกแต่ก็ไม่ได้ผล ผมเลยมุดตัวไปดึงหมาออกมา “ไปหาหมอกันนะ” แม้ตอนนี้จะใกล้เที่ยงคืนแล้วก็ตาม แต่ผมต้องพามันไปหาหมอก่อน “อย่าเป็นอะไรนะปุยเมฆ แกจะต้องไม่เป็นอะไร เดี๋ยวพี่ขมิ้นจะพาไปหาหมอ เดี๋ยวก็หาย”

   ร่างเล็กๆ ที่ผมอุ้มสั่นน้อยๆ คล้ายจะรับรู้ถึงความรักของผม เสียงครางหงิงๆ กับดวงตากลมใสแวววาวจ้องหน้าผมอยู่ตลอด...อย่าเป็นอะไรนะปุยเมฆ

   ผมเอาปุยเมฆใส่กระเป๋าแล้วคว้ากุญแจรถออกจากห้องทันที ในโรงจอดยังไม่มีรถของเจ้าของบ้าน แต่ผมไม่สนใจ ตอนนี้สนแต่อาการของปุยเมฆ ตอนไปรับมามันยังร่าเริงอยู่เลย จู่ๆ ทำไมมันถึงอ้วกเยอะแยะแบบนั้นก็ไม่รู้ ตลอดทางที่มาคลินิก ปุยเมฆร้องครวญครางสลับกับไอแรงๆ และอ้วก ผมก็รีบเร่งความเร็วจนมาถึงหน้าคลินิก

   คลินิกปิดแล้ว ด้านในไม่มีคนอยู่ด้วย ผมเดินไปเดินมาอย่างกระวนกระวายใจ ไม่รู้จะทำยังไง พอลองโทรไปที่เบอร์ที่ติดหน้าประตูก็ไม่มีคนรับ เบอร์นี้น่าจะเป็นเบอร์ติดต่อที่อยู่ในคลินิก เสียงไอแรงของปุยเมฆทำให้ผมทำอะไรไม่ถูก สมองตื้อไปหมด ช่วงจังหวะที่น้ำตารื้นก็นึกถึงหน้าเจมส์ขึ้นมา ผมลองโทรไปหาเพื่อนใหม่ดู รออยู่นานกว่ามันจะรับ

   (ว่าไง)

   “เจมส์ มึง”

   (ขมิ้นเหรอ มีอะไรวะ โทรมาโคตรดึก)
 
   “คือมึง”

   ตอนนี้สมองผมไม่ทำงาน หาคำพูดที่จะพูดไม่ได้สักประโยค

   (อะไรของมึงวะ คือมึงอยู่นั่น เกิดอะไรขึ้น หรือเจอไอ้ขิงแล้ว)

   “ไม่ใช่ มึง...มีเบอร์พี่ไฮท์ไหม”

   (เบอร์พี่ไฮท์? มึงเอาไปทำไมวะ)

   “หมากู หมากูเป็นอะไรไม่รู้ ขอเบอร์พี่ไฮท์หน่อย เร็วๆ”

   (เออๆ รอแป๊บ...ศูนย์เก้าแปด......)

   “ขอบใจๆ”

   พอได้เบอร์ผมก็รีบโทรไปหาทันที สัญญาณโทรศัพท์ตัดไปสามสี่รอบถึงมีคนรับสาย

   (ใครวะ) เสียงเพลงดังทะลุออกมาจนแทบไม่ได้ยินเสียงเจ้าของเครื่อง (ฮัลโหล ใครวะ)

   “พี่ไฮท์ ผมเอง”

   (หา? ใครวะ กูไม่ได้ยิน) ปลายสายตะโกนกลับมา ผมเลยแหกปากตอบไป

   “ผมขิงเอง”

   (ไอ้ขิงเหรอ มึงมีอะไรถึงโทรหากูวะ)

   “หมาผมอ้วก คลินิกพ่อพี่ก็ปิดแล้ว”

   (ก็มันเที่ยงคืนแล้วไงไอ้ห่า แล้วนี่มึงอยู่หน้าคลินิกพ่อกูเหรอ)

   “ครับ...ปุยเมฆ” ผมตัดสายพี่ไฮท์ทิ้งทันทีเมื่อปุยเมฆเริ่มชักอยู่ในกระเป๋า ปากของมันมีน้ำเหนียวๆ ไหลออกมาอยู่ตลอด แถมอึเหลวๆ ก็ไหลออกมาจนตัวมันมีแต่สีเหลือง “ปุยเมฆเป็นอะไร เชี่ยเอ๊ย” ตอนนี้น้ำตาของผมไหลไม่ขาดสาย ทำไมผมไม่สังเกตเลยว่ามันไม่สบายหนักขนาดนี้ ถ้ามันเป็นอะไรขึ้นมาก็เพราะผมผิดเองที่ไม่ได้ดูแล

   ปุยเมฆ อย่าเพิ่งทิ้งพี่ขมิ้นไปนะ อยู่ด้วยกันก่อน ไหนสัญญาว่าจะไปอยู่กับพี่ที่บ้านเราไง ไม่ลืมใช่ไหม อย่าเพิ่งเป็นอะไรนะ



...TBC

สวัสดีวันปีใหม่ค่าาาาา ขอให้ทุกคนมีความสุขตลอดทั้งปีเลยนะคะ ร่ำรวยๆ เฮงๆ ถูกหวยรวยเบอร์ หุ้นขึ้นพรวดๆ มีเงินใช้ทั้งปีค่าา

(01.01.61)

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2685
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
ขมิ้นเอ้ยยย ชีวิตยุ่งขิงจริงๆ
วุ่นวายไปหมด จะไปหาใคร ก็เหมือนไปหาเรื่อง

เจมส์น่ารักดี

ไฮท์คะ จะกวนประสาทอะไรขนาดนั้น
คิดว่าไฮท์ดูออก

ปุยเมฆเป็นอะไรล่ะ อยู่ดีๆ ก็เป็นหรอ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-01-2018 23:29:42 โดย labelle »

ออฟไลน์ มาชิ มาชิ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
มาให้กำลังใจคนเขียน นิยายสนุกมากค้าา รอน้าาา :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ O-RA DUNGPRANG

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1783
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-5
 :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ,,รักนี้ แค่นาย,, [ตอนที่ 6] [P.2] // {01/01/61}
« ตอบ #39 เมื่อ: 01-01-2018 18:47:47 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ♥lvl♀‘O’Deal2♥

  • หานิยายถูกใจยากจัง!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2665
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +176/-4
ดราม่าซะงั้น อย่าเป็นอะไรนะลูก

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
น้องงง อย่าเป็นอะไรนะ

ออฟไลน์ iamtsubame

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
โอ๊ยยยยย ใครทำน้องงงงง :serius2:
บ้านนั้นมีแต่คนใจร้ายอ่ะ :hao5:

ออฟไลน์ aiaea83

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 676
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +494/-5

-7-





(พาร์ท ไฮท์)




   ค่ำคืนแห่งความสนุก วันนี้พวกผมมากินเลี้ยงฉลองหลังจากสอบควิซผ่านกันยกกลุ่ม กินไป เต้นไป เหล่สาวไปตามประสาชายโสด แต่อยู่ๆ กระเป๋ากางเกงผมก็สั่น พอหยิบออกมาดูเป็นเบอร์ที่ไม่รู้จัก ผมปล่อยให้มันสั่นอยู่แบบนั้นหลายรอบจนรำคาญเลยกดรับ

   “ไอ้ขิงเหรอ? มึงโทรหากูทำไม”

   คนเหม็นขี้หน้าอันดับหนึ่งคือคนโทรมา มันคงจะบ้าหนักที่โทรหาผม แถมเบอร์ที่โทรเข้ามาก็ไม่ใช่เบอร์มันอย่างทุกที

   (หมาผมอ้วก คลินิกพ่อพี่ก็ปิดแล้ว) เสียงตอบกลับมาดูสั่นแปลกๆ

   “ก็มันเที่ยงคืนแล้วไงไอ้ห่า” ผมดูนาฬิกาข้อมือก่อนตะโกนว่ามัน “แล้วนี่ มึงอยู่หน้าคลินิกพ่อกูเหรอ” หรือหมามันจะป่วยหนักถึงขนาดมาหาหมอตอนเที่ยงคืนวะ

   (ครับ...ปุยเมฆ)

   แล้วปลายสายก็ตัดไป สบถคำหยาบออกมาอย่างโมโหที่อยู่ๆ มันก็วางไป นึกจะโทรก็โทร นึกจะวางก็วางไม่พูดไม่บอกอะไรเลย มารยาทมันไม่เคยดีขึ้นเลย แต่เมื่อกี้ผมได้ยินแว่วๆ เหมือนมันจะร้องไห้นะ ด้วยความสงสัยเลยโทรกลับไปหา แต่มันก็ไม่ยอมรับ ลองโทรย้ำอีกรอบคราวนี้มันรับ แต่น้ำเสียงสั่นสะอื้นดังออกมา

   “มึงร้องไห้เหรอ” แม้เพลงในนี้จะดังแต่ผมก็พอได้ยินเสียงสะอื้นของมัน “ไอ้ขิง มึงยังอยู่หน้าคลินิกพ่อกูใช่ไหม รอก่อน เดี๋ยวกูไป” ไม่ได้เป็นห่วงมันหรอกนะครับ แต่ห่วงหมามันมากกว่า

   “จะกลับแล้วเหรอไอ้ไฮท์” ไอ้แน่เพื่อนในกลุ่มตะโกนถาม

   “เออ กูกลับละ พอดีมีเรื่องนิดหน่อย” บอกเพื่อนไปแบบนั้นก่อนจะรีบออกมาจากผับ จากการคำนวณระยะทางแล้ว น่าจะใช้เวลาเกือบๆ ชั่วโมงในการไปที่คลินิก ไม่รู้ไปจะได้เจอไอ้เด็กนิสัยเสียนั่นหรือเปล่า แต่ก็ลองเสี่ยงไปดู

   คืนนี้รถไม่ติดเลยทำให้ไปถึงเร็วกว่าที่คิด ผมเปิดประตูลงไป มองหารอบๆ หน้าคลินิกก็ไม่เจอ ทั้งที่รถคันที่เกือบทำให้ผมตกก็ยังจอดอยู่ แล้วเจ้าของรถมันหายหัวไปไหน

   “ไอ้ขิง อยู่ไหนวะ” ผมลองตะโกนเรียกดู ก่อนจะเห็นเงาดำๆ อยู่แถวต้นไม้ด้านข้าง “มึงทำอะไร...วะ”

   ค่อนข้างตกใจต้องบอกว่าแบบนี้ หน้าตาจืดๆ ของไอ้เด็กมารยาททรามเต็มไปด้วยคราบน้ำตา มันร้องไห้จริงๆ ด้วย มือมันถือกระเป๋าใส่หมาของมัน

   “พี่...” เสียงสะอื้นฟังแทบไม่รู้เรื่อง

   “พ่อกูรออยู่ที่บ้าน” ผมบอก ไม่รู้จะทำตัว ทำหน้ายังไงดี เอาจริงๆ คือไม่ชินกับการที่ต้องมาเห็นคนที่ไม่ชอบหน้าร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร แม้ผมจะเกลียดมันมาก แต่ก็ไม่ได้ใจดำขนาดนั้น “ขึ้นรถสิ”

   “ผม จะขี่ตาม”

   ขนาดนี้ยังห่วงรถของมัน ผมพยักหน้าแล้วกลับไปขึ้นรถ ดูจากอาการของคนแล้ว หมามันน่าจะอาการหนักพอสมควร กลิ่นที่ออกมาจากกระเป๋าแรงมาก ไม่รู้กลิ่นอะไรบ้าง

   ผมขับรถมาเรื่อยๆ ตาก็คอยมองกระจกมองหลัง กลัวมันขี่แบบไม่มีสติแล้วเผลอไปชนใครเข้า ก่อนจะมาที่นี่ ผมโทรไปหาพ่อและพ่อผมเป็นคนบอกให้พามันไปที่บ้าน ถ้าเป็นผมเหรอ ให้มันรอวันพรุ่งนี้นั่นแหละ พอมาถึงหน้าประตูบ้าน ประตูอัตโนมัติก็ทำงานของมัน ไอ้เด็กที่ขี่รถตามมาก็บึ่งเข้าไปจอดด้านใน

   “หลีกๆ ไอ้หมู” ผมใช้ขาเตะหมาพันธุ์โกลเด้นกับไซบีเรียนของพ่อให้ถอย เพราะตอนนี้มันวิ่งเข้ามามะรุมมะตุ้มจนผมกับไอ้ขิงเดินไม่ได้ “พ่อ”

   “เข้ามาๆ” พ่อกวักมือเรียกไอ้ขิงที่ยังมีรอยน้ำตาที่แก้ม “อาการเป็นไง”

   เดินตามสองคนนั้นเข้าไปในห้องทำงานฝั่งซ้ายของบ้าน ห้องนี้บ้างครั้งพ่อก็จะใช้เป็นที่รักษาอาการของหมาแถวๆ บ้านนี่แหละ ห้องนี้เลยมีอุปกรณ์ครบไม่ต่างจากที่คลินิกสักเท่าไหร่

   “มันอ้วก แล้วก็ขี้ไหลเยอะแยะด้วย” ไอ้ขิงพยายามกลั้นสะอื้นบอก มันรูดซิปเอาหมาตัวเองออกมา “มันจะตายไหมคุณหมอ” พอเห็นสภาพของหมาแล้ว ผมก็ย่นจมูกเพราะกลิ่นเหม็นคาวนั่น แต่ไอ้ขิงกลับร้องไห้ออกมา “คุณหมอครับ”

   “อืม...” พ่อผมกำลังตรวจ ไอ้เจ้าของหมาก็ร้องไห้

   “คุณหมอ”

   “เมื่อเช้าตอนตรวจก็มีซึมๆ แต่ก็ไม่ได้ตรวจละเอียดดีซะด้วยสิ”

   “มันเป็นอะไรเหรอครับ”

       “น่าจะเป็นไข้หัดสุนัขนะ”

   “ไข้หัดสุนัข เหมือนไข้หวัดไหมครับ”

   “ไม่เหมือน ไข้หัดจะอันตรายมากกว่า โดยปกติแล้วหากเป็นโรคนี้มันจะมีอาการซึม ไม่กินข้าว อาเจียนหรือถ่ายเหลวแล้วแต่เคส”

   “ตอนผมเจอปุยเมฆมันก็ซึม พี่คนที่เลี้ยงก็บอกมันไม่กินข้าวมาหลายวันแล้ว มันจะรักษาหายไหมครับ”
 
   ตอนนี้หน้าตาจืดๆ ขึ้นสีแดงชัดมาก ทั้งตา จมูกแล้วก็ปากมันแดงเข้มไปหมด

   “เราเคยทำวัคซีนหมาตัวนี้ไหม” พอพ่อผมถาม มันก็ส่ายหน้า “ไม่เคยเหรอ”

   “ไม่รู้ครับ มันไม่ใช่หมาของผม”

   “สงสัยจะไม่ได้ทำ” พ่อบอกก่อนถอนหายใจออกมา “มันไม่ไหวแล้วล่ะ”

   ตอนนี้ไอ้ขิงปากสั่นมาก ขนาดผมที่ไม่ชอบขี้หน้า เห็นมันเป็นแบบนั้นก็อดที่จะสงสารไม่ได้ 

   “มันจะตายแล้วเหรอครับ” แล้วไอ้ขิงก็ปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อดกลั้น พ่อกับผมถึงกับเม้มปากแน่น “รักษามันไม่ได้เหรอครับ มันเพิ่งบอกรักผมเมื่อเย็นนี้เอง คุณหมอ” เสียงสะอื้นดังไปทั่วห้อง ใบหน้าบิดเบี้ยวของไอ้ขิงทำให้ผมต้องเบือนหน้าหนี

   “อาการปุยเมฆหนักมากแล้วล่ะ” พ่อพยายามปลอบคนร้องไห้อย่างหนัก “อาขอโทษนะ”

   “พ่อรักษาไม่ได้เหรอ” ผมพยายามทำเป็นไม่สนใจตอนแรก แต่ตอนนี้เริ่มไม่ไหวเหมือนกัน ไอ้ขิงร้องไห้จนตัวแดงไปหมด มันกอดหมาที่ตัวมีแต่ขี้อย่างไม่รังเกียจ คงจะรักมากจริงๆ

   “อาการมันหนักแล้ว ไข้หัดปกติก็รักษาตามอาการ ให้ยา ให้น้ำเกลือ โอกาสรอดก็น้อยเหมือนกัน ยิ่งมาตอนอาการหนักขนาดนี้แล้ว รักษาลำบากแล้วล่ะ”

        พ่อผมพูดไม่นาน หมาของไอ้ขิงก็ดิ้นชักอย่างทุรนทุราย และสุดท้ายหมาตัวนั้นก็ค่อยๆ นิ่งสนิท ผมมองรุ่นน้องที่ไม่ชอบขี้หน้าด้วยความรู้สึกหลากหลาย แต่ที่มากหน่อยก็คงเป็นความสงสาร ตอนนี้มันร้องไห้จนสะอึก

   “มันตายแล้ว” ยื่นมือไปจับบ่าของคนร้องไห้ มันเงยหน้าทำตาแดงกล่ำมองผม “มันไม่ทรมานแล้ว ปล่อยมันเถอะ”

   “มัน ฮึก ตาย” เหมือนมันจะพูด แต่ผมกลับฟังไม่ออกสักคำ

   “เออๆ” รับคำไปงั้น ก่อนหันไปมองหน้าพ่อคล้ายจะถามว่าต้องทำยังไงต่อ พ่อผมเดินไปดึงไอ้คนร้องไห้ออกมา “ให้ผมฝังที่หลังบ้านไหม”

   “อืม ขุดลึกๆ นะ” พ่อบอกพลางดึงไอ้ขิงให้ออกห่าง แต่มันก็ไม่ยอมไป รั้งตัวเองให้ยืนอยู่ที่เดิม “อาต้องฝังนะ เพราะมันเป็นโรคไข้หัด เป็นโรคติดต่อรุนแรงที่แพร่เชื้อตัวอื่นได้”

   “ทำไมมันถึงเป็นล่ะครับ” ไอ้ขิงพยายามถามพ่อผม มันต้องใช้เวลาในการรวบรวมคำพูดเพื่อจะทำให้พ่อผมเข้าใจอยู่หลายรอบ

   “ปกติแล้ว หมาหรือแมวจะต้องทำวัคซีนรวมป้องกันโรคพวกนี้ตั้งแต่เด็ก แต่ตัวนี้ไม่ได้ทำก็เลยเสี่ยงติดโรคนี้มากกว่า ไม่แน่ แถวบ้านของขิง อาจจะมีหมาเป็นโรคนี้อยู่ก็ได้” พ่อผมอธิบายแบบย่อๆ ในระหว่างที่ผมออกมาหาที่ขุดฝังแถวหลังบ้าน

   “แล้วแบบนี้ หมาคุณหมอไม่ติดเหรอครับ”

   “หมาสองตัวนี้ อาทำวัคซีนทุกปี ต่อไปถ้าขิงจะเลี้ยง ก็ต้องทำวัคซีนตลอดนะ ถึงแม้จะเลี้ยงในบ้าน ไม่ได้ปล่อยออกมาข้างนอกก็เถอะ บางที เชื้อโรคพวกนี้อาจจะติดตัวเราเข้าไป พอเราสัมผัสสัตว์เลี้ยง มันก็จะติดโรคได้”

   “ครับ”

   เสียงพูดคุยดังอยู่ช่วงหนึ่งก่อนจะเงียบไป ผมจ้วงขุดดินอยู่พักหนึ่งก็ต้องแปลกใจ เมื่อเห็นเสียมอันเล็กปักลงมาใกล้ๆ

   “มึงทำอะไร” ยกแขนขึ้นปาดเหงื่อที่ไหลมาข้างขมับ ขุดดินแค่นี้โคตรใช้พลังงานเยอะ เหล้าที่กินมาก็คงไหลมาเป็นเหงื่อหมด

   “ช่วยพี่ขุด จะได้เสร็จไวๆ” ไอ้ขิงตอบโดยไม่ได้มองหน้าผมสักนิด ช่วงที่มันขุด บ่อยครั้งจะยกแขนขึ้นเช็ดน้ำตา

   “ขุดไปร้องไห้ไป คงจะเสร็จไวหรอกไอ้ห่า” ผมว่า มันช้อนตาขึ้นมาค้อน ดวงตามันวาวระยิบเมื่อน้ำตาที่คลอเบ้าสะท้อนกับหลอดไฟหลังบ้าน “เออๆ รีบๆ ขุด” เห็นว่าร้องไห้หรอกนะ

   “ฝังไว้ที่นี่ได้เหรอ” อยู่ๆ มันก็ถามออกมา “บ้านพี่ฝังหมาผมได้เหรอ”

   “ถ้าไม่ได้กูคงไม่มาขุดหรอก” ตอบเหวี่ยงเพราะความเหนื่อย คนถามเลยเงียบไป “หลังบ้านกูเนี่ย ฝังหมาหลายตัวแล้ว” ไม่รู้ทำไมถึงต้องบอกมันแบบนี้ ไอ้ขิงได้ยินก็หยุดมือแล้วเงยหน้าขึ้นมามองผม “เมื่อก่อนบ้านกูก็มีนะ หมาพันธุ์เล็กแบบมึงเนี่ย แต่มันก็ตายหมด”

   “เป็นโรคเหมือนปุยเมฆเหรอ”

   “มันแก่ตายสิวะ อายุสิบหกปีอะ”

   “ตอนมันตายพี่ร้องไห้ไหม”

   “ร้องสิวะ...” เชี่ยเอ๊ย หลุดปากทำไมเนี่ย “กูก็แค่น้ำตาคลอเท่านั้นแหละ” ตอบปุ๊บ ปากไอ้ขิงก็ยกยิ้มออกมา “พูดมาก รีบๆ ขุด จะได้ฝัง”

   “ขอโทษครับ”

   ผมยืนมองไอ้เด็กรุ่นน้องที่ตั้งหน้าตั้งตาใช้เสียมอันเล็กขุด สีหน้าและแววตามันวันนี้ดูไม่เหมือนเมื่อก่อน หลายอาทิตย์มานี้ ผมเฝ้าสังเกตท่าทีของมัน ดูๆ แล้วเหมือนไม่ใช่ไอ้ขิง แต่ถ้าไม่ใช่ไอ้ขิงจะเป็นใครได้ล่ะ คำถามนี้ สักวันผมต้องได้คำตอบ

   “ไปเอาหมามึงมาได้แล้ว” ไอ้ขิงไม่ตอบอะไร มันลุกไปเงียบๆ ก่อนจะกลับมาพร้อมร่างของหมามัน ไอ้หมาตัวเล็กสีขาวนอนนิ่งลิ้นห้อยออกจากปาก “เอามันนอนในหลุมสิ”

   “มันจะหนาวไหม” เสียงสั่นเครือถามผม

   “มันตายแล้วไม่รู้สึกหรอก” ดูเหมือนคำตอบผมคงจะชั่วเกินไป ไอ้ขิงตวัดสายตามองผมอย่างโมโห “ถ้ากลัวมันหนาว มึงก็ซื้อผ้าห่มไปทำบุญให้มันสิ”

   “พูดไปเรื่อย” ปากว่าแบบนั้น แต่มันกำลังด่าผมทางสายตาอยู่

        ผมจิ๊จ๊ะอย่างรำคาญเมื่อเห็นว่ามันชักช้า “มึงทำอะไรวะ” แล้วอยู่ๆ ไอ้ขิงมันก็ถอดเสื้อตัวเองเฉย

   “ผมจะเอาเสื้อคลุมให้ปุยเมฆ” พูดแล้วมันก็สอดหมาเข้าไปในเสื้อ ก่อนจะวางลงในหลุมที่ขุดไว้ “ขอโทษนะปุยเมฆ ที่พี่ขมิ้นดูแลไม่ดี ไว้เจอกันใหม่นะ”

   ผมมองไอ้ขิงล่ำลาหมาของตัวเองด้วยเสียงสะอื้นจนฟังไม่ได้ศัพท์ น้ำตาหยดลงบนเสื้อที่ห่มร่างหมามันจนเปียกเป็นวงกว้าง มือขาวของมันพยายามปิดตาหมาที่ค้างเพื่อให้หลับตาสนิท

   “จะฝังแล้วนะ” บอกปุ๊บ ไอ้ขิงก็ค่อยๆ ขยับถอยห่าง ผมใช้จอบเกลี่ยดินที่ขุดออกให้กลับลงที่เดิม ดินสีดำค่อยๆ กลบร่างหมาจนมิด “เข้าบ้านเถอะ”

   “ผมขออยู่อีกแป๊บ”

   ผมยักไหล่แล้วเดินเข้าบ้าน ปล่อยให้ไอ้ขิงมันนั่งอยู่หน้าหลุมฝังร่างของหมามันไป ส่วนพ่อผมก็เพิ่งเดินออกมาจากห้องตรวจเพราะต้องทำความสะอาดห้องด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ

   “ไม่ชวนน้องเข้าบ้านมาล่ะ”

   “มันบอกขออยู่อีกแป๊บ”

   “ร้องไห้หนักน่าดู” ผมมองพ่อที่กำลังจ้องไปยังคนที่นั่งร้องไห้อยู่ด้านนอก “ก็ไม่ได้ร้ายอย่างที่ลูกว่านะ”

   “อาจจะเล่นละครอยู่ก็ได้” ตอบปุ๊บก็ถูกมือพ่อตีเข้าหัวปั๊บ “เจ็บนะเนี่ย”

   “คนเรามักจะมีสองด้านอยู่เสมอ ลูกอาจจะเห็นแค่ด้านเดียวของน้องเขาก็ได้”

   “ไม่ว่าจะด้านไหนของมันผมก็ไม่ชอบ”

   ก่อนจะถูกพ่อตบหัวอีกรอบ ไอ้ขิงก็เดินตาแดงเปลือยอกเข้ามา มันยกมือลาพ่อผมกับผม

   “ไม่ต้องกลับหรอก นอนที่นี่นั่นแหละ จะตีสองแล้วด้วย” พ่อผมยกยิ้มให้มัน “ไฮท์ ดูแลน้องด้วย เอาเสื้อผ้าให้น้องเปลี่ยน”

   “ทำไมต้องเป็นของผมล่ะ”

   “หรือจะให้ใส่ของพ่อ ไปๆ ขึ้นไปบนห้องได้แล้ว อาบน้ำกันซะใหม่ด้วยนะ”

   “ผมกลับบ้านได้ครับ เดี๋ยวพี่ไฮท์เขาจะ...”

   “พ่อกูบอกให้นอนก็ต้องนอน อย่าเถียง” ผมรีบดึงไอ้ขิงให้ตามขึ้นห้องเมื่อพ่อตั้งท่าจะตบหัว ชอบใช้กำลังกับลูกอยู่เรื่อย “มึงอาบน้ำก่อนกู”

   “ขอบคุณครับ”

   “อืม”

   เหมือนจะเริ่มชินที่ถูกไอ้ขิงไหว้ ผมยื่นผ้าเช็ดตัวกับเสื้อยืดกางเกงบอลให้มันเปลี่ยน เพราะตอนนี้ตัวมันเหม็นทั้งขี้และอ้วกหมา แค่เข้าห้องนอนผมมา กลิ่นก็ฟุ้งไปทั่วจนต้องรีบไปเปิดประตูระเบียงไล่กลิ่น นั่งผงกรออยู่ไม่นานไอ้ขิงก็เดินออกจากห้องน้ำมา กลิ่นสบู่ที่ออกมาจากตัวมันทำให้ผมขมวดคิ้ว ปกติอาบเองไม่เคยคิดว่ามันหอมขนาดนี้ 

   “พี่ให้ผมนอนตรงไหนเหรอครับ”

   “ก็บนเตียงนั่นแหละ”

   รีบชี้ไปที่เตียง แล้วเดินสะบัดหัวเข้าห้องน้ำ นี่ผมกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่ เวลานี้ควรนึกถึงเตียงนุ่มๆ สิ พอนึกถึงแล้วก็อยากนอนใจจะขาด แต่ก็ต้องอาบน้ำก่อน ออกไปเที่ยวมา มีกลิ่นเหล้า กลิ่นบุหรี่ แถมยังต้องมาเหงื่อซกด้วยการขุดดินอีก ไม่อาบก็คงนอนไม่ได้หรอกสภาพแบบนั้น น้ำอุ่นๆ ทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้ดี ผมใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมง ออกมาไอ้เด็กต่างรุ่นยังคงนอนสะอื้นไห้อยู่

   “ทำไมยังไม่นอนอีก” ผมถามเบาๆ ก่อนเดินไปปิดไฟ “รีบๆ นอน พรุ่งนี้จะได้ไปเรียน”

   “ครับ”

   ผมสอดตัวลงนอนใต้ผ้าห่มเดียวกับไอ้ขิง แสงสว่างจากหลอดไฟนอกระเบียงสาดเข้ามาทำให้เห็นว่าร่างคนข้างๆ สั่นเทาเบาๆ และในความเงียบยังคงมีเสียงสะอื้นออกมาให้ได้ยิน แม้ผมจะพยายามข่มตาให้หลับ แต่สมองกลับทำงานอยู่ตลอด ก่อนสะดุ้งนิดๆ เมื่ออีกคนขยับพลิกตัว

   ไอ้ขิงนอนตะแคงหันหน้ามาหาผม ดวงตามันหลับไปแล้ว แต่น้ำใสๆ ยังคงออกมาจากหัวตา ไหลผ่านจมูกโด่งลงมาที่แก้มและหยดลงบนหมอนของผม เปลือกตาที่ซ่อนนัยน์ตาแข็งกระด้างยามมองคนอื่น ผมโคตรเกลียด ปากสีแดงที่คอยแต่จะเหยียดยิ้มยามดูถูกคนอื่นอีก ผมก็โคตรเกลียด สรุปคือ ผมเกลียดทุกอย่างที่เป็นมัน


   “กูโคตรเกลียดมึง ไอ้ขิง”


...TBC


พาร์ทของไฮท์ช่วงนี้ต่อมาจากตอนที่แล้วก่อนนะคะ แต่ถ้าเป็นพาร์ทจริงๆ ของไฮท์ก็ยังมีอยู่ค่ะ

ขอบคุณค่าา  :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ ♥lvl♀‘O’Deal2♥

  • หานิยายถูกใจยากจัง!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2665
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +176/-4
แงะ ค้างหนักเลย ย ย ยย

ออฟไลน์ i.am.wee

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
พี่ขมิ้น~ :sad4:

ออฟไลน์ O-RA DUNGPRANG

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1783
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-5
 :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4:

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
อุ้ยยย เกลียดให้ได้อย่างปากเถอะ

มีหลุดพูดชื่อตัวเองละเน้อ ขมิ้น

ออฟไลน์ เนเน่

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
พี่ไฮ์จะเริ่มใจอ่อนยังน๊าอย่าเกลียดขมิ้นเลยนะคะ

ออฟไลน์ iamtsubame

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
น่าสงสารทั้งหมาทั้งคน :hao5:
ขิงก็น่าสงสารนะ โดนเลี้ยงมาแบบไหน ถึงได้เป็นคนแบบนั้น :o12:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ,,รักนี้ แค่นาย,, [ตอนที่ 7] [P.2] // {04/01/61}
« ตอบ #49 เมื่อ: 05-01-2018 11:23:10 »





ออฟไลน์ boonpa

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-9
 :hao4: ขมิ้นนี่เจอแต่เรื่องตลอด

ออฟไลน์ ซีเนียร์

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
ติดตามจ้า  :L2:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Happy New Year 2018
สวัสดีปีใหม่ ๒๕๖๑  ขอให้ไรท์ ไม่มีโรคภัย มีความสุขมากๆ

สงสารปุยฝ้าย สงสารขมิ้นด้วย  :mew2: :mew2: :mew2:
ขมิ้น หลุดปากชื่อตัวเองออกมา แต่ไฮท์จะได้ยินไหมนะ

ไฮท์ น่าจะสังเกตแววตา กิริยาของขมิ้นนะว่าไม่เหมือนขิงเลย
หรือตัวตนของขิง มันบดบัง ติดอยู่ในตาไฮท์
หรือในใจของคนที่เกลียดขิงทุกคน
         :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ bungg

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 66
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เข้มแข็งไว้นะขมิ้น ปุยเมฆไปสบายแล้วน้องจะไม่หนาวและไม่ต้องทรมานอีกแล้ว
สงสารขมิ้นจังจะไปไหนก็เจอแต่ปัญหาที่พี่ขิงก่อไว้ อยากรู้แล้วสิว่าพี่ขิงหายไปไหนกันแน่
ส่วนพี่ไฮท์ถึงจะปากร้ายกับขมิ้นในบทขิงไปหน่อย แต่ก็ยังสัมผัสได้ถึงความใจดี อย่าใจร้ายกับน้องขมิ้นนักเลยค่ะพี่ไฮท์ น้องออกจะน่ารักก

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
นึกว่าพี่ไฮจะสังเกตุเห็นตอนขมิ้นลาน้องแล้วพูดชื่อตัวเองออกมา

ออฟไลน์ aiaea83

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 676
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +494/-5
-8-




       
        อาการปวดท้องน้อยทำให้ผมปรือตาขึ้นมา แม้จะรู้สึกหนักๆ ตาแต่ก็ต้องตื่น ไม่อยากฉี่รดที่นอนแบบตอนเด็ก ผมเดินมึนๆ เข้าห้องน้ำ พอทำธุระเสร็จก็เดินออกมากะจะล้มตัวนอนต่อ แต่ก้อนใหญ่ๆ บนเตียงกับภาพห้องที่ไม่คุ้นเคยทำให้ต้องรีบขยี้ตาเพื่อให้มองชัด

   ฉิบหาย นี่มันห้องของไอ้พี่ไฮท์นี่หว่า

   กว่าสมองจะประมวลเรื่องราวเมื่อคืนได้หมด ผมก็รีบถอยหลังไปจนติดกับตู้เสื้อผ้า คงเพราะเมื่อวานรู้สึกมึนเบลอหลังจากปุยเมฆตายทำให้หลับไม่รู้เรื่อง หากเป็นแบบปกติ ผมคงไม่คิดไม่นอนที่นี่หรอกยิ่งบนเตียงเดียวกับคนที่เกลียดพี่ขิงอีก เกิดดีไม่ดีเจ้าของห้องลุกขึ้นมาฆ่าผมตอนดึกเพราะคิดว่าเป็นพี่ขิงจะทำยังไง ตายฟรีเลยไงไอ้ขมิ้นเนี่ย

   “เชี่ย”

   ผมสะดุ้งจนตาเหลือกเมื่ออยู่ๆ ไอ้พี่ไฮท์ก็ละเมอออกมาเสียงดัง เกือบหัวใจวายแล้วไหมล่ะ นาฬิกาดิจิตอลมีแสงสีๆ สลับไปมาบนโต๊ะข้างหัวเตียงบอกเวลาตีห้ากว่า ผมต้องกลับแล้วสินะ ขืนไปนอนต่อแล้วเจ้าของห้องตื่นมาเจออาจถูกกระทืบตายได้ ผมรู้ว่าคนที่พี่เขาเกลียดคือพี่ขิงไม่ใช่ผม แต่ตอนนี้ผมคือพี่ขิง ดังนั้น รักษาตัวเองก่อนเป็นยอดดี
 
   เดินย่องให้เบาที่สุด หยิบกุญแจรถตัวเองพร้อมหอบกางเกงเหม็นๆ ออกห้องมาด้วย เดินลงบันไดมาเห็นแสงไฟจากห้องๆ หนึ่ง ด้วยความอยากรู้ทำให้ผมเดินเข้าไปหา

   “อ่าว ตื่นเช้าจัง” ผมรีบยกมือไหว้คุณหมอทันทีที่ท่านหันมาเจอ “อยู่กินข้าวเช้ากันก่อนสิ อากำลังทำข้าวต้มหมู”

   “ไม่เป็นไรดีกว่าครับ” ขืนอยู่กินด้วยคงกลืนไม่ลง เพราะจะถูกสายตาทิ่มแทงจนข้าวต้มหมู เปลี่ยนร่างเป็นข้าวต้มตะปูได้ “ทำไมคุณหมอตื่นเช้าจังครับ”

   “อาไปวิ่งมา แก่แล้วก็ต้องออกกำลังกายมากหน่อย แล้วก็เอาไอ้หมูสองตัวนั่นไปลดพลังด้วย” คุณหมอยิ้มหวานจนผมยิ้มตาม ส่วนไอ้หมูสองตัวของคุณหมอนอนหมดแรงลิ้นห้อยอยู่บนโซฟา “ที่จริง ลูกของอามันไม่ได้ร้ายอย่างที่เห็นหรอกนะ”

   “ไม่ร้ายน้อยสิครับ” พูดกับตัวเองเบาๆ ก่อนรีบยกมือไหว้ลา ขืนช้ากว่านี้กลัวพี่ไฮท์ตื่น “ขอบคุณนะครับ แล้วก็ขอโทษที่ผมมารบกวนคุณหมอเมื่อคืน”

   “ไม่เป็นไร มีอะไรก็ไปหาอาได้ที่คลินิก หรืออยากมาหาปุยเมฆที่บ้านนี้ ก็มาได้ตลอด”

   “ขอบคุณครับ”

   ผมยกมือไหว้ลาคุณหมอ พลางมองไปยังสวนหลังบ้านที่ตอนนี้ปุยเมฆนอนหลับใหลอยู่ใต้ผืนดินนั่น กลั้นใจอยู่นานกว่าผมจะก้าวขาออกมาจากบ้าน ช้ากว่านี้ผมต้องร้องไห้ออกมาอีกแน่ ภาพปุยเมฆดิ้นชักก่อนตายยังคงติดตาผมอยู่เลย พอเดินมาถึงประตูเห็นเงาสะท้อนหน้าตัวเองในกระจกแล้วก็อยากต่อยให้หน้าหงาย โมโหแทนปุยเมฆที่ถูกพี่ขิงเลี้ยงแบบทิ้งๆ ขว้างๆ หมามันไม่ได้ร้องไห้ขอมาอยู่ด้วยสักหน่อย ซื้อมาก็แพงแต่ไม่สนใจ 





   มอเตอร์ไซค์ KSR สีดำวิ่งกลับตามเส้นทางเดิมจนมาถึงหน้าบ้านหลังใหญ่ ผมมองบ้านที่ไม่ใช่ที่ของผมด้วยความว่างเปล่า จากที่ดีใจที่จะมีเพื่อนรอให้กลับมาเล่นด้วย ตอนนี้กลับไม่มีแล้ว

   “คุณหนูไปไหนมาครับ” ทันทีที่ผมกดกริ่งเรียก ลุงคนขับรถที่ยืนเช็ดรถอยู่ก็รีบวิ่งมาเปิดประตูให้ แกดูตกใจที่เห็นผมนั่งควบมอเตอร์ไซค์ด้านนอก

        “ลุงครับ...” ผมมองหน้าคุณลุงที่ดูห่วงใยผมทั้งที่เราก็เพิ่งจะเจอกัน ก่อนจะเม้มปากซ่อนความอ่อนไหวยามจะพูดในสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน

   “มีอะไรหรือเปล่าครับ ทำไมทำหน้าเศร้า”

   “ปุยเมฆตายแล้วครับลุง” กลั้นใจบอกไป ลุงแกตกใจทำตาโต ผ้าในมือก็ร่วงลงพื้น “หมอบอกว่า มันเป็นไข้หัดสุนัขเพราะไม่ได้ฉีดวัคซีน”

   “โธ่ ไอ้ปุยเมฆ สงสัยมันจะติดจากพวกหมาจรจัดแถวนี้นะครับ เพราะพวกมันตายเกือบจะหมดแล้ว” ผมเห็นลุงยกมือเช็ดน้ำตาตัวเองก็อดที่จะยื่นมือไปจับมือแกไม่ได้ ลุงกับพี่ๆ ในบ้านน่าจะสนิทกว่าผม “มันไปสบายแล้วครับคุณหนู”

   “ครับ มันไปสบาย ไม่ทรมานอีกแล้ว” ผมเดินแยกกับลุงจะเข้าบ้าน แต่เจอเจ้าของบ้านกำลังเดินออกมาพอดี “สวัสดีครับ” ยกมือไหว้ตามมารยาท ซึ่งก็ได้การพยักหน้าตอบกลับนิดๆ แต่พอจะเดินสวนเข้าไป กลับมีคำพูดที่ทำให้ต้องหยุดชะงัก

   “จะไปเที่ยวหรือทำอะไรมันก็เรื่องของเธอ แต่อย่าลืมว่า ตอนนี้เธอคือขิง คิดให้มาก หากจะทำให้ขิงเสียหาย” เป็นคำตำหนิที่ผมอยากจะหัวเราะจนกรามหัก ผมหันหลังกลับไป ก็เห็นว่าเขาก็มองผมอยู่เช่นกัน

        “ผมไม่ได้ทำให้พี่ขิงเสียหายแน่นอน” เพราะคนทำคือเจ้าตัวนู้น

   “ก็ดี”

   พูดจบเจ้าของบ้านก็เตรียมก้าวขาเดิน แต่ผมเลือกที่จะถามบางสิ่งที่มันติดอยู่ในใจ

   “ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ” ทำหน้าจริงจังจนคนถูกถามพยักหน้าลง “คุณรู้ไหม ว่านิสัยจริงๆ ของพี่ขิงเป็นคนยังไง”
 
   “ถามแปลก” เจ้าของบ้านเลิกคิ้วนิดๆ ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา “ถึงแม้ขิงจะไม่ใช่ลูกชายแท้ๆ ของฉัน แต่ฉันก็เลี้ยงเขามาด้วยมือคู่นี้ ต้องรู้อยู่แล้วว่าเขานิสัยยังไง”

   “แล้วนิสัยพี่ขิงเป็นยังไง”

   “ลูกชายฉัน ภายนอกเขาอาจดูหยิ่ง แต่ที่จริงแล้ว เขาขี้อ้อนมาก พูดเก่ง แถมความคิดก็เป็นผู้ใหญ่ เขาวางแผนชีวิตเขาเสมอ นี่แหละที่ฉันภูมิใจ”

   ผมมองหน้าคนที่บรรยายความดีของพี่ขิงด้วยความชื่นชม แต่ทำไมผมถึงอยากหัวเราะออกมาเสียงดัง

   “แน่ใจเหรอครับ ว่าไม่ได้คิดไปเอง”

   ไม่มีคำตอบให้กับผม คุณเจ้าของบ้านปรายตามอง ก่อนจะก้าวขาอย่างไวไปขึ้นรถที่ลุงคนขับเปิดรออยู่ ผมละสายตาจากรถคันยาวเพื่อมองไปรอบๆ บ้าน แม้จะหลังใหญ่ แต่ก็ไม่น่าอยู่สำหรับผม
 
   ภายในบ้านตอนนี้ยังคงเงียบ เวลานี้แม่อาจจะยังไม่ตื่น ผมเดินขึ้นห้อง ทำใจอยู่นานกว่าจะผลักบานประตูห้องเข้าไป ห้องที่ปุยเมฆเคยวิ่งเล่น ต่อไปนี้ไม่มีอีกแล้ว ผมทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนุ่ม กลิ่นโคลนของปุยเมฆยังติดอยู่ที่ผ้าห่มทำให้น้ำตาผมรื้นขึ้นมาอีกรอบ

   คิดถึงมากจริงๆ แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่มันช่างมีความสุข

   ผมพลิกตัวไปมาพยายามข่มตาหลับแต่ก็หลับไม่ลง เลยตัดสินใจอาบน้ำแต่งตัวเพื่อจะไปเรียน เจมส์ส่งข้อความมาบอกว่าขอสอบควิซใหม่ได้เช้านี้ ผมต้องรีบทำสมองให้ว่าง ไม่อย่างนั้นพี่ขิงอาจสอบตกได้ พอแต่งตัวชุดนักศึกษาลงมาชั้นล่าง เจอกับแม่ที่นั่งเช็ดเครื่องประดับเต็มโต๊ะ ความวาวของเพชรกระแทกตาจนอยากจะได้แว่นกันแดดมาสวมเพราะกลัวตาบอด

   “อ่าวขมิ้น ทำไมตื่นเช้าจังลูก” แม่ทักทายแค่นั้นก่อนจะหันไปสนใจเครื่องเพชรตัวเองต่อ

   “แม่กินข้าวหรือยัง” ที่ถามเพราะแม่ยังสวมชุดนอนสายเดี่ยวลงมาด้านล่าง

   “ยังเลย พอดีคุณลุงเขาซื้อเครื่องเพชรชุดใหม่ให้แม่ เป็นไง สวยไหม แม่ว่าจะใส่ออกงานที่จะถึงนี้ ขมิ้นว่าไง” แม่ยกสร้อยคอประดับเพชรเม็ดใหญ่ขึ้นแนบตัว ดูแม่ช่างมีความสุขกับของพวกนี้ซะเหลือเกิน

   “แม่รีบๆ ตามหาพี่ขิงได้ไหมครับ ผมอยากกลับแล้ว” ใจจริงอยากกลับวันนี้ ตอนนี้เลยซะด้วยซ้ำ

   “คุณลุงเขาก็รีบอยู่” แม่ตอบแบบขอไปที ก่อนจะหันมาแหวผมเรื่องปุยเมฆ “แม่ไม่อนุญาตให้เอาหมาขึ้นไปนอนบนห้องนะ เกิดมันขี้เรี่ยราดจะทำยังไง เอามันไปขังกรงตามเดิมนั่นแหละ”

   “มันคงขึ้นไปนอนกับผมไม่ได้แล้ว” ผมเม้มริมฝีปากเน้นยามนึกถึงดวงตากลมๆ ของมันตอนดีใจที่เจอหน้าผม “มันตายแล้ว”
 
   “ตายแล้วก็ดี”

   “แม่!”

   “เอ..จะขึ้นเสียงทำไมน่ะ แม่ตกใจหมด”


   จะบาปไหมถ้าผมบอกว่าไม่ชอบแม่เลยตอนนี้ ผมพยายามปรับอารมณ์ตัวเองให้สงบนิ่ง กลัวระเบิดออกมาอีกเพราะถูกกระตุ้น


   “แม่ครับ”

   “อะไร”

   “แม่รู้ไหม ว่านิสัยจริงๆ ของพี่ขิงเป็นยังไง”

   “รู้สิ ก็แม่เลี้ยงพี่เขามา”

   “พี่ขิงนิสัยยังไงเหรอครับ”

   “พี่เราเขาจะเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยพูดค่อยจา เขาเรียกมีโลกส่วนตัวสูงใช่ไหม” ผมย่นหน้าทันทีที่แม่ตอบ “แต่เขามีความรับผิดชอบสูงมาก อย่างแม่รับงานไว้สี่ห้างานต่อวัน พี่เขาก็จะจัดการได้ อ่อ พี่ขิงน่ะ ไปไหนก็มีแต่คนรักนะ”

   “มีแต่คนรักเหรอครับ” แทบอยากจะขำจนฟันหลุดออกจากปาก

   “ใช่สิ ไม่ว่าจะที่มหาลัยหรือที่ทำงาน ทุกคนก็รักพี่ขิงกันหมด ขมิ้นต้องเรียนรู้จากพี่เขามากๆ นะ”

   “งั้นแม่ก็รีบๆ หาพี่ขิงให้เจอนะครับ เพราะผมก็อยากเรียนรู้จากพี่เขาเหมือนกัน” ที่ว่า ทำยังไงให้คนเกลียดได้มากขนาดนี้

   ผมไม่รู้หรอก ระหว่างแม่กับลุงเจ้าของบ้านใครจะรู้นิสัยจริงๆ ของพี่ขิง แต่ที่แน่ๆ สิ่งที่พวกเขาพูด ไม่เหมือนกัน อย่างเช่น บอกพี่ขิงพูดเก่ง แต่แม่กลับบอกไม่ค่อยพูด นี่สรุปเขาเลี้ยงคนๆ เดียวกันหรือเปล่า และใครกันแน่ ที่รู้นิสัยจริงๆ ตัวตนจริงๆ ของพี่ขิง






   อากาศวันนี้ค่อนข้างร้อนอบอ้าว ขนาดตอนเช้าแบบนี้ยังรู้สึกร้อน ผมจอดมอเตอร์ไซค์ที่ลานจอดตามปกติ ระหว่างเดินจะขึ้นบันได แขนผมถูกฉุดดึงให้เข้าห้องน้ำที่อยู่ข้างๆ ก่อนคนดึงจะรีบปิดประตูแล้วล็อค

   “ใครวะ” ความตกใจทำให้ต้องยกการ์ดขึ้นปกป้องตัวเอง ประสบการณ์หลายอาทิตย์มันทำให้ผมตื่นตัวอยู่เสมอ

   “ขมิ้น พี่เอง” เสียงเรียกชื่อผมไม่น่าตกใจเท่าคนที่ยืนตรงหน้าดึงฮู้ดกับมาร์กปิดปากออก ตอนนี้คล้ายกับมีเงาสะท้อนร่างตัวเองจากกระจกบานใหญ่ ต่างก็ตรงแค่คนตรงหน้าสวมเสื้อฮู้ดสีดำ กับมีมาร์กสีเทาติดอยู่ที่ปลายคาง

   “พี่ขิง” ตาโตเรียกชื่อพี่ชายตัวเอง “พี่ขิงมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

   “พี่มาสอบควิซน่ะสิ” พี่ชายฝาแฝดพูดพร้อมรอยยิ้ม “ขมิ้น พี่ขอโทษนะ ขมิ้นไม่เป็นอะไรใช่ไหม”

   “ไม่เป็นน้อยน่ะสิ ผมจะถูกกระทืบวันไหนก็ยังไม่รู้ พี่ขิงจะกลับมาแล้วใช่ไหม ผมจะได้กลับ” แม้จะใจหายแต่ก็ต้องยอมรับความจริง

   “ขอโทษนะขมิ้น” พี่ขิงทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ทำให้ผมเม้มริมฝีปากแน่น “ไว้ทำควิซเสร็จ พี่จะเล่าทุกอย่างให้ฟัง นะขมิ้น”

   “เดี๋ยวผมรออยู่แถวนี้ พี่ขิงสอบเสร็จ เราจะได้คุยกัน ตกลงไหม”

   “ได้ๆ ขอบใจนะน้องรัก”

   ผมย่นคิ้วเมื่อถูกดึงเข้าไปกอด นี่คือครั้งแรกที่เรากอดกัน ขนาดตอนเด็กเล็ก เราสองคนยังไม่เคยกอดกันสักครั้ง ช่างเป็นฝาแฝดที่แปลกเสียจริง

   พี่ขิงเดินออกจากห้องน้ำแบบเปิดหน้าทุกอย่าง และผมก็ต้องปิดหน้าแทน ร่างผอมบางของพี่ชายเดินผ่านกลุ่มคนที่ผมเคยทักทายตลอด พวกเขาดูแปลกใจที่ไม่ถูกทักกลับ แต่นั่นไม่ทำให้รู้สึกเห็นใจเท่าเพื่อนคนใหม่ของผม เจมส์เดินมาจากลานจอดรถด้านหลังอย่างทุกที แขนยาวของมันยกพาดไหล่ของพี่ขิงอย่างที่ทำกับผม แต่พี่ขิงกลับสะบัดออกอย่างไร้เยื่อใย จนหน้าระรื่นของมันค่อยๆ สลดลง


   ขอโทษแทนพี่ขิงนะเจมส์


   มองตามพี่ชายจนหายขึ้นตึกไป ผมเลือกที่จะนั่งอยู่หลังพุ่มไม้เพื่อจะรอพี่ขิงมาอธิบายเรื่องราวทั้งหมด และบอกถึงสาเหตุในการหายตัวไปครั้งนี้ ถามว่ารู้สึกดีใจไหมก็ใช่ เพราะผมไม่อยากเป็นพี่ขิงแล้ว อยากกลับไปเป็นไอ้ขมิ้นคนเดิมที่เดินดิน กินข้าวแกงโดยไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังกลัวคนจะมองไม่ดี หรือมีคนจ้องจะกระทืบ


   จากหนึ่งนาที ค่อยๆ เพิ่มเป็นหนึ่งชั่วโมง ผมนั่งชะเง้อมองหาพี่ขิงที่ตอนนี้น่าจะทำข้อสอบเสร็จแล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นลงมาสักที หรือข้อสอบมันจะยากจนทำไม่ได้วะ

   “มึงเป็นอะไร” แรงแตะบ่ากับน้ำเสียงดูเป็นห่วงทำให้หันไปมอง ผมทำตาโตตกใจไม่คิดว่าจะมีคนจำได้ “ทำไมทำตัวแปลกๆ วะ เหมือนกำลังหลบใครอยู่”

   “มึงจำกูได้ด้วยเหรอ เจมส์” ถามเสียงเบาหวิว คือผมปิดปากแถมยังหลบมุมมานั่งตรงนี้ เจมส์มันยังเจอแถมจำได้อีก

   “อะไรของมึง นี่ไม่ใช่ละครที่ปิดปากแล้วหน้าจะเปลี่ยนนะเว้ย” เจมส์มันว่าขำๆ “แต่เมื่อกี้เหมือนไม่ใช่มึงเลย...”

   “ก็ไม่ใช่กูน่ะสิ”

   “หา? นี่มึงจะบอกว่า คนที่ขึ้นไปสอบกับกู คือไอ้ขิงเหรอวะ!”

   “มึงจะแหกปากบอกคนอื่นเขาทำไมวะเนี่ย” ผมรีบยกมือปิดปากเจมส์แน่น มันคงตกใจเหมือนผมเจอพี่ขิงเมื่อเช้านั่นแหละ “แล้วพี่ขิงล่ะวะ ทำควิซยังไม่เสร็จเหรอ” ว่าแล้วก็ชะเง้อคอมอง

   “ลงมาก่อนหน้ากูเมื่อกี้ เชี่ยเอ๊ย มิน่าเมื่อเช้าถึงมองกูตาขวางขนาดนั้น กูก็เผลอนึกว่ามึงเสียใจเรื่องหมาตาย” เจมส์ทำหน้างอ แต่ตอนนี้ผมไม่ได้สนใจมัน คนที่ควรสนใจคือพี่ขิงต่างหาก

   “มึงบอกว่าพี่กูลงมาแล้ว ทำไมกูไม่เห็นวะ ถ้าเพิ่งลงมา แสดงว่ายังไปได้ไม่ไกล” ผมพูดกับตัวเอง ก่อนจะรีบเดินหนีคนที่ยังบ่นเป็นหมีกินผึ้งเรื่องที่จำเพื่อนตัวจริงไม่ได้

   “อ่าว ไอ้ขมิ้นไปไหน รอกูด้วย”

   “มึงจะตะโกนชื่อกูเสียงดังทำไมเนี่ย”

   “กูลืมไป ซอรี่ๆ”

   ผมกับเจมส์เดินออกด้านข้างตึก เพราะเป็นลานจอดรถยนต์ของคณะ ขายาวๆ ก้าวเร็ว ดวงตาก็มองหาคนสวมเสื้อฮู้ดสีดำ ด้านหน้ามีรูปลิง

   “ไหนบอกให้กูรอ เชี่ยเอ้ย ให้กูรอแล้วได้อะไร” 

   ทะลุจากข้างตึกมาหลังตึก เจอรุ่นพี่ปีสามนั่งรวมกลุ่มกันอยู่ ที่รู้เพราะมีคนโดดเด่นกว่าชาวบ้านนั่งเล่นกีต้าร์ใบหน้าบูดบึ้งไม่เข้ากับพวกที่กำลังสุมหัวหยอกเอินสาวๆ ที่เดินผ่าน

   “กูไม่เห็นรถของไอ้ขิงเลยว่ะ”

   เสียงของเจมส์ ทำให้ผมละสายตาจากกลุ่มรุ่นพี่ มาสนใจสิ่งที่ต้องตามหาต่อ

   “รถของพี่ขิงหน้าตายังไงวะ”

   ถึงแม้จะรู้ว่ารถพี่ขิงราคาแพงแค่ไหน แต่ไม่เคยเห็นก็ยากหน่อยที่จะตามหา

   “รถพอร์ชสีส้ม”

   “เด่นขนาดนั้นถ้าจอดอยู่ในลานพวกเราก็ต้องเห็นสิวะ” เท่าที่ผมมองดูลานกว้างอีกฝั่ง ไม่เห็นมีรถคันไหนสีส้มโดดเด่นออกมาเลย “หรือจะไปจอดที่อื่น”

   “ก็เป็นไปได้นะเว้ย”

   เมื่อลงความเห็นว่าจะไปตามหาที่อื่น ผมกับเจมส์ก็รีบหันหลังเตรียมวิ่ง แต่เสียงดีดกีต้าร์พร้อมตะโกนเรียกชื่อพี่ขิงดังลั่นทำให้ต้องชะงักขาที่ก้าวไปแล้วครึ่งก้าว และตอนนี้คนเรียก ก็เดินหน้าโหดมายืนอยู่ข้างผม

   “พี่เรียกผมเหรอ” ค่อยๆ หันไปมอง สายตาของพี่ไฮท์ดูเหมือนโมโหอะไรมาสักอย่าง หรือสาวที่เดินผ่านไม่สนใจ “พี่...”

   “เมื่อกี้มึงด่ากูว่าอะไร”

   “หา? ผมด่าพี่เหรอ เมื่อไหร่” งงสิ อยู่ๆ ถูกโยนความผิดว่าไปด่าเขาไว้ซะงั้น “ผมเพิ่งมาถึงเนี่ย”

   “มึงด่ากูเมื่อกี้นี้ แล้วมึงก็เดินหนีกูไป”

   “ด่าเมื่อกี้? ตรงนี้เหรอ?”

   “เออสิ จะให้ด่าที่ไหน พวกกูนั่งสุมหัวอยู่นี่มาตั้งแต่เช้า”

   ผมทำตาโตหันไปมองเจมส์ แปลว่าเมื่อกี้พี่ขิงผ่านมาทางนี้จริงๆ ด้วย

   “แล้วพี่เห็นพี่ เอ่อ เห็นผมเดินไปทางไหน”

   “มึงบ้าหรือเปล่า มาถามกูว่ามึงเดินไปทางไหน”

   “พี่รีบๆ ตอบสิ ผมเดินไปทางไหน”

   “นู้น”

   “ขอบคุณครับ”

   เมื่อพี่ไฮท์ชี้นิ้วบอก ผมกับเจมส์ก็ใส่เกียร์หมาวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต แม้มีเสียงโวยวายไล่ตามหลังมา แต่ก็ไม่ใช่เวลาสนใจ ผมกับเจมส์เริ่มแยกกันหา เพราะไปด้วยกันอาจคลาดกับพี่ขิงได้ ผมแยกไปทางซ้าย มองแทบทุกซอกทุกมุมแม้แต่ในถังขยะก็ไม่เห็น ทำไมไปไวราวกับหายตัวได้แบบนี้วะ

   “เจอไหม” เสียงถามพร้อมหอบหนักๆ ของเจมส์ ผมส่ายหน้าช้าๆ อย่างเสียดาย “เชี่ยเอ้ย ทั้งที่เจอตัวแล้วแท้ๆ”

   “นั่นสิ กูไม่น่าปล่อยให้พี่ขิงคลาดสายตาเลย” ผมทิ้งตัวนั่งริมฟุตบาทกับเจมส์ ตอนเฝ้าข้างบันได ผมก็มองอยู่ตลอดแต่ทำไมถึงไม่เห็น “หรือพี่ขิงจะหายตัวได้วะ”

   “ไอ้ขมิ้น พี่มึงไม่ใช่มัลฟรอยด์นะเว้ย”

   “ต้องเป็นแฮรี่ไม่ใช่เหรอวะ” เพราะแฮรี่มีผ้าคลุมล่องหน

   “ก็ไอ้ขิงไม่ใช่พระเอกไง”

   “ไอ้ประสาท”

   เจมส์ทำให้ผมหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลัง ลืมความเหนื่อยที่วิ่งตามหาพี่ขิงเมื่อกี้ไปซะหมด

   “แต่อย่างน้อย เราก็รู้ว่าไอ้ขิงปลอดภัยดี มีอวัยวะครบสามสิบสองอยู่” เจมส์ว่า มันก็คงห่วงพี่ขิงเหมือนกัน

   “อืม”

   ผมไม่ได้ออกความเห็นมากนัก ตอนนี้มีแต่คำว่าเสียดายลอยเต็มหัวไปหมด เสียดายที่พี่ขิงหนีไป เสียดายที่ผมพลาดโอกาสที่จะกลับมาเป็นขมิ้น

   “กูว่า อีกไม่นานเดี๋ยวมันก็มาอีก ตอนนั้นกูจะช่วยมึงเอง” ผมมองหน้าคนมุ่งมั่นจะช่วยก็อดขำออกมาไม่ได้ “ขำอะไรของมึง”

   “ก่อนจะช่วยกู ช่วยแยกกูกับพี่ขิงให้ออกก่อนเถอะ” เพราะเมื่อเช้าเห็นแววตาเสียใจของเจมส์ตอนถูกพี่ขิงปัดแขนออกจากไหล่

   “กูมั่นใจว่าต้องแยกออก”

   “มั่นใจยังไง”

   “กูจะกอดมึงไง ถ้ากอดได้แปลว่าเป็นมึง แต่ถ้าถูกด่า ก็แปลว่าเป็นไอ้ขิง เป็นไง กูฉลาดป่ะ”

   “อืม ฉลาดที่สุด” ผมยิ้มให้กับเพื่อนสนิทคนใหม่ มันเป็นคนมองโลกด้านบวกทุกอย่าง ขนาดว่าถ้าทำอย่างที่มันว่า มันอาจจะเสียใจก็ได้ หากถูกพี่ขิงด่าหรือทำเป็นไม่สนใจ “แต่มึงจะฉลาดกว่านี้ ถ้าเลี้ยงข้าวกู”

   “งั้นกูขอโง่ดีกว่า” เจมส์มันลุกจะหนี แต่อยู่ๆ มันก็นั่งลงเหมือนเดิมจนผมสงสัย “แต่ก่อนที่กูจะโง่ มึงจะซวยก่อน”

   “ทำไมวะ” ไม่มีเสียงตอบ มีเพียงปฏิกิริยาจากใบหน้าเป็นคำตอบ เมื่อต้องหันไปมองด้านหลังของตัวเอง “ซวยมากจริงๆ ด้วย”

   ซวยจนอยากไปไหว้พระขอพรให้หลุดพ้นจากเจ้ากรรมนายเวรที่ชื่อไฮท์สักที

   “มึงว่ากูซวยเหรอ” เสียงเย็นจนต้องรีบส่ายหน้า “ก็กูได้ยิน”

   “ผมบอกว่าสวย โอ้ นั่นนกพิราบ สวยจริงๆ”

   “กวนตีน”

   “กวนตีนต้องเป็นญาติกับโอวัลตินแน่ๆ ใส่น้ำตาลหน่อยอร่อยแน่นอนครับ”

   “ไอ้!!”

   ผมยิ้มกว้างหลังจากกวนโมโหพี่ไฮท์ ไม่รู้หรอกว่า หลังจากนี้จะโดนเตะ ต่อย หรือกระทืบ แต่บางทีเราก็ต้องแสดงจุดยืนบ้าง ทำให้เขาเห็นว่า เราก็สู้คน...ผมคิดถูกใช่ไหม



...TBC

ผู้สร้างปัญหาเริ่มปรากฎตัวแล้วค่าาา แต่ก็ยังมิวายสร้างปัญหาให้ขมิ้นอีก แต่รอบนี้ พี่ไฮท์ดูซอฟลงนะคะเนี่ย แหมมมม

ขอบคุณสำหรับการติดตามค่าาาา

และขอโทษที่ชอบหายไปนานๆ ต้องขอโทษจริงๆ ค่ะ (ก้มกราบ)

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ♥lvl♀‘O’Deal2♥

  • หานิยายถูกใจยากจัง!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2665
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +176/-4
ไม่น่าช่วยเลยอะคนบ้านนี้

ออฟไลน์ cheezett

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
บ้านนี้แต่ล่ะคน มองบนค่ะ คุณพ่อคุณแม่คะ ตกลงขิงนี่นิสัยยังไงกันแน่คะ??
อยากรู้ขิงมีปมอะไร ขมิ้นพลอยซวยไปด้วย ขมิ้นสู้ๆๆ

ออฟไลน์ O-RA DUNGPRANG

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1783
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-5
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด