เขยช่างไฟสะใภ้ช่างยนต์
{13}
“เมื่อตอนเที่ยงคนที่โรงพยาบาลสัตว์โทรมาบอกว่าไอ้ตัวเล็กออกจากโรงพยาบาลได้แล้วนะ
แต่ก็ต้องมาให้หมอตรวจเช็คอาการทุกเดือนจนกว่าจะหายสนิท เพราะภายในมันบอกช้ำมากพอสมควร
…มึงจะเอาไง” พอร์ชเอ่ยถามในขณะที่นั่งรอเรียกประชุมสี บอกให้โซ่ได้รับรู้ในทุกคำที่ตนเองได้คุยกับ
ทางโรงพยาบาล เพราะวันนี้พวกเขาพักไม่ตรงกัน เลยไม่ได้มานั่งกินข้าวด้วยกันเหมือนทุกที
“หน้าบ้านกูมีหมาใหญ่อยู่เต็มเลย ไว้ที่นั่นไม่ได้หรอก จะเอามันกลับไปบ้านพักแมวจรก็ไม่ได้
ไม่อย่างนั้นได้ตายแน่” ความจริงแล้วโซ่อยากจะเอาเจ้าตัวเล็กมาเลี้ยงเอง แต่ว่าหน้าบ้านเขามีหมาจร
ตัวใหญ่กว่าสิบตัวที่ชอบเข้ามากินเศษอาหารที่บ้านเพราะมีนักมวยบางคนรักสัตว์ชอบเก็บอาหารเหลือ
ไว้ให้มาพวกนี้ อีกทั้งบ้านพักหมาแมวจรจัดที่พวกเขาเอาอาหารไปบริจาคก็มีหมาแมวมากเกินไปแล้ว
แถมยังไม่สะอาดเท่าที่ควร ถ้าเอาไอ้ตัวเล็กไปไว้ในนั้น ถ้าไม่โดนกัดตาย ก็แผลติดเชื้อตายอย่างแน่นอน
“เอาไว้บ้านกูก็ได้ แม่กูชอบแมวอยู่แล้ว คงไม่มีปัญหาอะไรหรอก” พอร์ชเสนอ เพราะที่บ้าน
เขาเป็นทาสแมวกันทั้งบ้าน แถมไอ้เหมียวตัวล่าสุดเพิ่งแก่ตายไปได้ไม่กี่เดือน หลังจากที่อยู่เป็นเพื่อน
แม่เขามากว่ายี่สิบปี ซึ่งถ้าเทียบอายุกันจริงๆ มันก็รุ่นทวดเขาแล้ว
“แต่กูสัญญากับมันไว้แล้วว่าถ้ามันรอด จะพามันมาอยู่ด้วยกัน…หรือว่ากูควรจะย้ายไปอยู่บ้าน
พ่อกูดี?” อย่างแรกเลยคือโซ่รู้สึกถูกชะตากับเจ้าเหมียวน้อยตัวนี้ตั้งแต่แรกเห็น จึงได้พูดออกไปแบบนั้น
แล้วนั่นก็เป็นเหมือนสัญญาลูกผู้ชาย ที่พูดแล้วไม่ควรคืนคำ แต่จะให้ไปอยู่ที่บ้านก็อย่างที่บอกว่ามันไม่ได้จริงๆ
เพราะแมวเป็นสัตว์ที่คอนโทรลไม่ได้ ไม่เหมือนหมาที่จะสอนจะสั่งยังไงก็ได้ สามารถทำตามได้ทุกอย่าง
“บ้านพ่อมึง?”
“มึงเห็นคลินิกเก่าสองคูหาที่อยู่ตรงข้ามร้านมึงป่ะ?” โซ่ถาม
“มึงอย่าบอกนะว่า…”
“อือ...ของพ่อกูเอง พอเขาตายมันก็เลยกลายเป็นตึกร้างอย่างที่เห็น ส่วนบ้านที่กูบอกเนี่ยมัน
อยู่ข้างบึง(สีไฟ)โน่น ตรงโน้นกูให้อาทนายเช่าอยู่” โซ่พูดถึงอาคารพานิชย์สองคูหาที่อยู่ตรงข้ามกับบ้าน
หรือร้านของพอร์ช ซึ่งเมื่อก่อนมันเป็นคลินิกของพ่อเขา แต่พอท่านเสียชีวิตแล้วก็ไม่ได้ทำอะไร ปล่อยมัน
เอาไว้อย่างนั้น ถึงแม้ว่าจะมีคนแวะเวียนมาขอเช่าและซื้ออยู่เรื่อยๆก็ตาม
ก่อนที่พ่อกับแม่จะแยกทางกัน โซ่ก็มีชีวิตไม่ต่างจากเด็กคนอื่นๆ ชอบตามพ่อไปที่คลินิก
เพราะมีเพื่อนเล่นเยอะ ของกินก็แยะ มีแต่คนมารุมล้อมเอาใจ สนุกสนานร่าเริงไปตามวัย จะมีก็แต่
ไอ้แห้งขี้ขโมยที่มันชอบมาแอบดูดน้ำแดงในกระติกน้ำคิตตี้ของเขานี่แหละที่มันเป็นศัตรู เอาแต่
ล้อเลียนเรื่องรูปร่างของเขา แต่ก็นั่นแหละ จะเถียงมันก็ไม่ได้ ในเมื่อเขาอ้วนมากจริงๆ และมันก็
เป็นคนเดียวที่คอยซับน้ำตาให้เขา ถึงแม้ว่าเก้าในสิบส่วนของน้ำตาของเขาจะมีสาเหตุมาจากการ
กลั่นแกล้งของมันก็เถอะ ก่อนที่จะต้องห่างหายกันไป เพราพ่อแม่ของเขาแยกทางกัน โดยที่แม่
ไม่ยอมให้เขามาเจอกับพ่ออีกเลย จนกระทั่งวันที่พ่อตายนั่นแหละ
“นี่อย่าบอก…อย่าบอกนะว่ามึงคือไอ้เด็กอ้วนหัวฟูที่ชอบหิ้วกระติกน้ำคิตตี้คนนั้นอ่ะ!”
พอร์ชตบโต๊ะดังตึกตังเหมือนว่าจะนึกอะไรขึ้นมาได้ ความทรงจำวัยเด็กที่ขาดหายไปนาน
“งั้นมึงก็ไอ้แห้งปากหมาที่ชอบแย่งน้ำแดงกูแดกสินะ!” ว่าจบพอร์ชก็ลงไปนอนกองอยู่
ที่พื้นด้วยแรงส่งจากฝ่าเท้าของโซ่ ทำเอาคนที่อยู่รอบข้างแตกฮือ เพราะเข้าใจผิดคิดว่าช่างยนต์
กับช่างไฟตีกันอีกแล้ว เพราะสองกลุ่มนี้นั่งอยู่ด้วยกัน
“โอ้ย…ไอ้โซ่ไอ้เหี้ย! ถีบมาได้…โคตรจุก!” พอร์ชโวย
“เพราะมึง! เพราะมึงคนเดียวเลยที่ทำให้กูโดนจับไปโกนหัวเป็นอิคคิวซังอยู่ตั้งนาน”
โซ่จำได้ดีเลยว่าตอนนั้นรู้สึกแย่แค่ไหนที่ไอ้โดนไอ้แห้งแย่งน้ำแดงมันว่าผมเหมือนขนหมา
เสียใจแทบตายตอนพ่อพาไปโกนหัวที่ร้านตัดผม เพราะเข้าใจผิดคิดว่าเขาไม่ชอบไว้ผมยาวๆ
ทั้งที่เขาโคตรรักโคตรหวงเส้นผมของตัวเองมากเลย
“เฮ้ยแยกๆ ตีกันทำห่าไรพวกมึง พวกขาเสือกเขาตกใจกันหมดแล้ว” เป้กับบุญล้อม
ช่วยกันจับเพื่อนของตนเองไว้แน่น เมื่อทั้งสองคนทำท่าจะพุ่งเข้าหากันอีกรอบ
“คุณโซ่ไม่เป็นอะไรนะครับ” บุญล้อมตรวจเช็คอาการของเพื่อนรักให้แน่ใจ แม้ว่าจะ
เห็นอยู่แล้วว่าฝ่ายที่เจ็บนั้นคือพอร์ช
“อือ” สะบัดตัวออกจากเพื่อนแล้วนั่งลงที่เดิม
“คงจะเป็นหรอกถีบกูซะเต็มตีนขนาดนั้น” ถึงปากจะแขวะแต่พอร์ชก็ทิ้งตัวลงนั่งข้าง
โซ่เหมือนเดิม โซ่ขึงตาใส่ แต่พอร์ชทำเป็นไม่สนใจ
“โอ้ย…กูอยากจะบ้า อยู่ดีๆก็ตีกันซะงั้น…ประมาณว่าด้วยรักและส้นตีน…งี้หรอวะ?”
แวนได้โอกาสแทรก หลังจากจัดการเรื่องแก้ข่าวกับเผือกเสร็จ ไม่อย่างงั้นคงได้มีหมาคาบข่าว
ไปฟ้องอาจารย์กันมั่ง โดยเฉพาะกับพอร์ชที่จะซวย เพราะมีอาจารย์ที่ปรึกษาเป็นคนเดียวกับ
อาจารย์ฝ่ายปกครอง ช่วงนี้พวกเขาเลยถูกเพ่งเล็งเป็นพิเศษ หลังจากที่มีเรื่องยกพวกตีกับ
ช่างไฟวันนั้นแล้วพอร์ชกลับมาด้วยหน้าตาเขียวช้ำในวันรุ่งขึ้น
“เสือก/เสือก” พอร์ชกับโซ่พูดบอกออกมาพร้อมกัน
“ซะงั้นเลยกู” แวนชูนิ้วกลางให้พอร์ชกับโซ่คนละข้างก่อนที่จะนั่งลงที่เดิมของตัวเอง
“ย้ายมาอยู่กับกูสิ อย่าอยู่คนเดียวเลย…กูเป็นห่วง” เพราะโซ่ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่อง
เมื่อครู่นี้อีก พอร์ชก็เลยตีเนียน ชวนมาอยู่ด้วยกันซะเลย
“ตรงข้ามบ้านมึงเนี่ยนะอันตราย?” โซ่ล่ะงงกับตรรกะเสื่อมๆของพอร์ชเหลือเกิน อยู่
ห่างกันแค่ถนนสองเลนกั้นมันบอกอันตราย แต่เขาว่าอยู่กับมันเสียมากกว่าที่ต้องระวัง
“เออดิ…กูไม่ให้มึงอยู่ตึกนั้นคนเดียวหรอก ถ้ามึงอยู่ก็จะไปอยู่ด้วย แต่ทางที่ดีมึงมาอยู่กับกูดีกว่า
…กลับบ้านไปกูจะรีบคุยเรื่องนี้กับแม่เลย” พอร์ชพูดบอกอย่างเอาแต่ใจ
“เพ้อเจ้อ” ด่าเสร็จก็ลุกหนีทันทีที่ประธานสีบอกปล่อย อีกเดี๋ยวไอ้คนงี่เง่ามันก็ลุกตามมาเองแหละ
เพราะต้องกลับบ้านพร้อมกัน
“นึกจะมาก็มา ไม่คิดที่จะชวนกูเลยนะมึง” พอร์ชบ่นเป็นหมีกินผึ้ง วิ่งตามโซ่มาติดๆ แต่ก็
ไม่ได้หงุดหงิดอะไร เพราะเริ่มจะชินกับ ‘ความโซ่’ บ้างแล้ว
“โซ่” เพียงแค่เงยหน้า จากอารมณ์ดีๆก็เริ่มฉุนจัด เพราะคนที่มายืนดักอยู่ตรงหน้านี้คือ
ศัตรูคู่อาฆาตที่ชอบมาหาเรื่องพวกเขาบ่อยๆ
“ไง” แม้ว่าเพื่อนจะเงียบหายเข้ากลีบเมฆไปกว่าสองสัปดาห์ แต่โซ่ก็ไม่ตื่นเต้นอะไร
เพียงแค่รู้สึกแปลกใจที่จู่ๆเจ้าตัวก็โผล่มาแบบไม่มีบอกกล่าว ไม่แม้จะส่งข่าวมา ให้เพื่อนได้
รับรู้บ้างว่าตนเองเป็นอย่างไร อยู่ไหน สบายดีไหม เพราะล่าสุดที่โซ่กับบุญล้อมไปถามหายศ
ที่บ้านก็เจอแต่ความว่างเปล่า ถามเพื่อนบ้านที่อยู่ข้างๆก็ไม่มีใครรู้
“กูมารับ”
“กูไม่ให้ไป! วันนี้มึงต้องไปรับไอ้เหมียวกับกู มึงจะไปกับมันได้ไง” กลับเป็นพอร์ช
ที่ตะโกนเสียงดังใสหน้ายศ แล้วหันมาให้เหตุผลกับโซ่ โดยหยิบยกเรื่องลูกแมวขึ้นมาอ้าง
“เดี๋ยวกูตามไป” โซ่บอกกับยศ ยศพยักหน้ารับรู้ แล้วเดินไปรอที่รถ ซึ่งจอดอยู่ไม่
ไกลจากตรงที่พวกเขายืนอยู่นัก
“กูบอกว่าไม่ให้มึงไปกับมัน…ไม่ได้ยินรึไงวะ!” พอร์ชรู้สึกโมโหที่คนรักไม่ยอมฟัง
คำพูดของตนเอง ยกมือขึ้นมาบีบต้นแขนของโซ่ไว้แน่น
“อย่าไปกับคุณยศเลยนะครับคุณโซ่” ทั้งที่เติบโตมาด้วยกัน เป็นเพื่อนรักเพื่อนซี้กัน
มาตั้งนาน แต่ไม่รู้ทำไม วันนี้บุญล้อมถึงได้รู้สึกไม่สบายใจกับการกลับมาของยศในครั้งนี้เลย
“ไปรอกูที่บ้าน ไว้ไปรับไอ้เหมียวด้วยกัน” โซ่แกะมือของพอร์ชออกจากต้นแขนของตน
ก้าวเดินไปหายศแบบที่ไม่ฟังเสียงร้องห้ามของใคร ขึ้นรถได้ ยศก็บิดคันเร่ง พาออกจากวิลัยไป
แบบที่ไม่หันกลับมามองคนที่เป็นมองตามไปด้วยความเป็นห่วงเลยแม้แต่น้อย
“น้องกูถูกส่งตัวไปรักษาที่กรุงเทพฯ เพราะขามันติดเชื้อ โรงบาลบ้านเรา เอาไม่อยู่”
ยศไม่ได้พาโซ่ไปส่งที่บ้านอย่างที่เคย แต่กลับพามาบ้านของตัวเองแทน
“อือ” โซ่พยักหน้ารับรู้ โอเค…เรื่องแรกถือว่าเคลียร์
“กูได้ยินมาว่ามึงคบกับไอ้พอร์ช” เป็นเพราะสาเหตุนี้ที่ทำให้เขาใจร้อน บุกไปรับโซ่ถึงวิลัย
หลังจากที่ได้รู้ข่าวจากเพื่อนในแผนกเมื่อตอนที่กลับมาถึงบ้าน เลยอยากจะได้คำยืนยันจากปากของโซ่
ว่าตกลงแล้วความจริงมันเป็นยังไงกันแน่
“อือ” โซ่ก็ไม่รู้ว่าจะปฏิเสธไปทำไม ในเมื่อมันคือความจริง
“ทำไมวะ ไอ้พอร์ชมันอยู่ช่างยนต์นะเว้ย แล้วมันก็เป็นอริกับเราด้วย มึงจำไม่ได้หรอ” ทำไมจะ
จำไม่ได้ล่ะ ในเมื่อทุกครั้งที่สองฝ่ายยกพวกตีกัน เขาก็อยู่ในเหตุการณ์เสมอ เพียงแค่ไม่ได้กระโดดเข้า
ไปร่วมวงด้วยเท่านั้นเอง
“ไร้สาระ” โซ่ว่า
“มึงพูดได้แค่นี้เองหรอวะโซ่!” โซ่ก็ไม่รู้ว่าทำไม เป็นเพราะอะไรยศถึงได้มาหาเรื่องเขาด้วย
เรื่องไร้สาระแบบนี้ แต่รู้แค่ว่าตอนี้เขาไม่พอใจเป็นอย่างมาก เพราะเขาไม่ชอบให้ใครมาตะโกนใส่หน้าอย่างนี้
“กูไม่รู้หรอกนะยศ ว่าที่หายไปมึงไปเจอกับอะไรมาบ้าง ถ้ามึงไม่เล่าให้กูฟัง และเผื่อว่ามึงจะ
ยังไม่รู้นะยศ…ตอนนี้ช่างยนต์กับช่างไฟเขาเลิกตีกันแล้วว่ะ” พูดจบโซ่ก็หันหลังเดินหนี ไม่รอฟังคำพูด
ไร้สาระของเพื่อนอีกแล้ว ในเมื่อเจ้าตัวไม่ยอมพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมาสักที
“กูรักมึง! กูรักมึงได้ยินไหมไอ้โซ!”
“…..” คำสารภาพที่ออกมาจากปากของเพื่อนรักที่คบกันมากว่าสิบปีทำให้โซ่หยุดนิ่ง
“ถ้ามึงจะรักใครสักคน ขอให้คนๆนั้นเป็นกูไม่ได้หรอวะโซ่” ยศก้าวเข้ามาหยุดยืนอยู่ข้างหลังโซ่
อ้อนวอนขอให้เพื่อนเห็นใจ เพราะนานมาแล้วที่ตัวเขาเอง มองโซ่เป็นมากกว่าเพื่อน
“ไม่ได้” อาจจะฟังดูใจร้ายไปนิด แต่นี่คือความจริง ไม่มีใครสามารถบังคับใครได้ แม้แต่เขาเอง
ยังบังคับหัวใจตัวเองไม่ได้เลย
“แล้วทำไมต้องเป็นไอ้พอร์ชด้วยล่ะ! มึงก็รู้ว่ากูไม่ถูกกับมัน ถ้าไม่มีมันสักคน…”
“ต่อให้ไม่มีมัน มึงก็เป็นได้แค่เพื่อนกูเหมือนเดิมยศ” ยังไม่ทันที่ยศจะได้พูดจบ โซ่ก็พูดสวน
ขึ้นมาเสียก่อน ด้วยถ้อยคำที่ชวนให้คนฟังใจสลาย
“…..”
“ลองคิดทบทวนให้ดีนะยศ ว่าจริงๆแล้วมึงคิดยังไงกับกูกันแน่ แต่จำเอาไว้เลย…ไม่ว่าจะวันนี้
พรุ่งนี้ หรืออีกจะกี่เดือน กี่ปี…มึงยังเป็นเพื่อนกู” ประโยคทียาวที่สุดในชีวิตได้ออกจากปากของโซ่มาแล้ว
แต่เขาไม่คิดเลวว่าจะได้พูดอะไรแบบนี้กับใคร เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่น่าภูมิใจ แต่มันกลับทำให้เขารู้สึกแย่
เพราะผลลัพธ์มันออกได้สองทาง คือหนึ่งยศจะกลับมาเป็นเพื่อนที่ดีของเขาเหมือนเดิม หรือสอง…
เขาอาจจะต้องเสียเพื่อนที่ดีที่สุดคนหนึ่งไปเลยก็ได้
“แต่…กู รัก มึง…จริงๆนะโซ่”
“มึงนี่มันฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องจริงๆสินะ” โซ่บนออกมาเมื่อเห็นพอร์ชนั่งค่อมรถรออยู่ที่
หน้าบ้านของยศ ซึ่งเจ้าตัวก็คงจะขี่รถตามหลังเขามาแรก เพียงแต่เขาไม่ได้สนใจก็เท่านั้นเอง
แต่จะมาอีกท่าไหนถึงได้เงียบขนาดนี้ อันนี้คงต้องถามเจ้าตัวเอาเองก็แล้วกัน
“ไปรับไอ้เหมียวกันเถอะ” จะว่าพอร์ชเสือกก็ได้ แต่ดับเครื่องยนต์ตั้งแต่ปากซอยเพื่อ
มาแอบฟังอย่างนี้ก็เพราะความเป็นห่วงความปลอดภัยของคนรักทั้งนั้น ไม่ได้มีเจตนาอื่นแอบ
แฝงเลยแม้แต่น้อย ถึงจะรู้สึกหมั่นไส้ไอ้เจ้าของบ้านตอนที่มันพาดพิงมาถึงเขาอยู่มากก็เถอะ
“เจ้าตัวเล็กนี้หรอที่เราบอกกับแม่น่ะพอร์ช” คุณนายแม่ของพอร์ชมองลูกแมวในอ้อม
แขนของโซ่ด้วยความเอ็นดู เพราะตั้งแต่ออกมาจากโรงพยาบาลสัตว์ เจ้าตัวเล็กก็ไม่เอาใครเลย
จะอยู่แต่กับโซ่ แม้ว่าทั้งพอร์ชและคุณนายแม่ของพอร์ชจะพยายามหลอกล่อกันจนสุดความสามารถแล้วก็ตาม
“อือ…น่ารักไหมแม่...สวัสดีครับคุณย่า ผมชื่อเด็กหญิงมณีลูกชายป๋าพอร์ชกับหม่ามี้นิ่งเองครับ”
เอิ่ม...ตกลงแล้ว ไอ้เหมียวตัวเล็กนี่เป็นเพศไหนกันแน่? คุณนายเธอละสับสนกับการเรียกชื่อเรียงลำดับ
เพศผิดๆถูกๆของลูกชายเสียจริง แต่ก็ไม่กล้าทัก เพราะเห็นลูกอยู่ในสภาวะ...เพ้อ
เมี๊ยว~
‘หม่ามี้พ่อง!’ ทดหนึ่งไว้ในใจก่อน ถึงเวลาเมื่อไหร่พ่อจะอัดให้น่วม! ผู้ชายไร้มดลูกที่ไหนเขา
เป็นหม่ามี้กัน…อย่างพี่โซ่คนแมนต้องพ่อจ๋าเท่านั้นโว้ย!
“ตลก” เพราะเกรงใจแม่ของพอร์ชโซ่จึงปฏิเสธคำพูดเพ้อเจ้อของพอร์ชด้วยถ้อยคำที่ดูซอฟต์ที่สุด
เกิดหลุดด่ามันออกมา เดี๋ยวเขาจะหาพ่อแม่ไม่สั่งสอน
เมี๊ยว~
ว่าแล้วก็อยากจะรู้จริงๆว่า ที่เจ้าเหมียวมันร้องตามออกมาติดๆนั้น กำลังคิดอะไรอยู่…จะเห็นด้วย
หรือเห็นต่างจากพอร์ชกันแน่นะ?
“แกก็พูดไปเรื่อยเจ้าพอร์ช!” คุณนายฟาดมือเข้าที่ต้นแขนของลูกชายเต็มแรง เหมือนว่าจะไม่เห็นด้วยกับ
คำพูดของเจ้าตัว แล้วโซ่กำลังจะยิ้มออกมาอยู่แล้วเชียว ถ้าหากไม่มีประโยคถัดมาที่ว่า…
“รอให้แม่ไปขอกับทางบ้านโน้นก่อนสิ จะได้เป็นครอบครัวเดียวกันจริงๆสักที”
บึ้ม!
โซ่รู้สึกเหมือนถูกถีบกลางอากาศ สติโดนทำลายไปแล้วกว่าครึ่ง ไม่คิดว่าแม่ของพอร์ชจะเป็น
ไปกับลูกชายด้วย มันก็ดีอยู่หรอกที่ทางนี้ไม่รังเกียจในตัวตนของเขา แถมยังต้อนรับเป็นอย่างดี แต่อย่าลืมสิ
ว่าเขาก็ผู้ชายคนหนึ่ง ไม่ว่าอนาคตข้างหน้าจะอยู่ในสถานะใดก็ตาม จะให้มาพูดเรื่องแบบนี้ตรงๆ มันก็รู้สึกแปลกๆชอบกล
เอิ่ม...จะถามว่าเขินหรอ?
เออ…เขินก็ได้วะ!
ยืดอกยอมรับ(ในใจ)แบบแมนๆไปเลย พี่โซ่คนจริงอยู่แล้ว(?)
TBC.
ชีวิตคนเราไม่ได้มีแค่คนรัก วันๆหนึ่งเราเจอคนมากกว่าหนึ่งคน เจอปัญหามากกว่าหนึ่งอย่าง
พบความสุขมากกว่าหนึ่งครั้ง...แล้วจะไปกำเกณฑ์ทำไมให้มันเหนื่อย ทำใจให้สบาย
ใช้ชีวิตอย่างที่ต้องการ แล้วพรหมลิขิตจะนำทาง
ใจเย็นๆ ค่อยๆเรียนรู้ไปด้วยกัน แล้วคุณจะรักพอร์ชอย่างที่โซ่รัก แล้วคุณจะหลงโซ่อย่างที่พอร์ชเป็น
Ps.ขอโทษนะคะที่หายไปหลายวัน พอดีมีเรื่องยุ่งๆเข้ามาให้คนเขียนปวดหัวหลายอย่าง