เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่34(THE END)--(08/03/2561)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่34(THE END)--(08/03/2561)  (อ่าน 17116 ครั้ง)

ออฟไลน์ Amazing princess

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
     ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
 

Share This Topic To FaceBook




 





        คำสัญญาก่อนจากทำให้เด็กหนุ่มยึดมั่น ทว่ามีใครอีกคนดีกับเขาเหลือเกิน...แล้วเด็กหนุ่มจะเลือกใคร...

        ระหว่างคนที่ให้สัญญา...

       กับคนที่เข้ามาเติมเต็มหัวใจที่เงียบเหงา



                                                    แนะนำตัวละคร

ตั้งแต่ก้าวเข้ามาในเรือนแห่งนี้ ชีวิตของเด็กหนุ่มพานพบทั้งความปวดร้าว และความสุขที่แม้ได้รับเพียงชั่วคราว

   -ยม...เด็กกำพร้าที่ถูกหลวงวินิตรับมาเป็นเด็กรับใช้ เป็นคนหัวไว แต่ชอบเก็บตัวเงียบเพราะถูกโขกสับให้ทำงานแต่ในครัว บางครั้งก็ถูกทรมานเจ็บเจียนตาย แต่เพราะสัญญาจากคนๆนั้น ทำให้ยมไปไหนไม่ได้ ยมยินดีที่จะรอแม้จะเจ็บจนตายก็ตาม

    "ยมจะรอ...จนกว่าพี่จะกลับมาจ้ะ"

    -คุณเขม...บุตรชายคนเดียวของหลวงวินิตกับคุณเขลางค์ อ่อนโยน สุภาพ เป็นความหวังเดียวในการสืบทอดวงศ์ตระกูล ทว่าคุณเขมกลับรักยมหมดหัวใจ แม้รู้ดีว่าอาจทำให้วงศ์ตระกูลต้องเสื่อมเสีย

     "รอพี่...อีกไม่นาน พี่จะไปรับยมมาอยู่ด้วยกัน"

    -คุณโดม...บุตรชายของพระยามนตรี สหายเก่าแก่ของหลวงวินิต และเป็นร้อยตรีหนุ่มที่เก่งกาจ เนื่องจากเป็นลูกที่เกิดจากแหม่มฝรั่ง ทำให้คุณโดมมีหัวคิดสมัยใหม่และชอบคิดต่าง กล้าได้กล้าเสีย ปากไวไปบ้างแต่มีความจริงใจสูง

     "รอแล้วได้อะไร ไม่กลัวบ้างเหรอว่าเขาจะลืม"


ฝากนิยายพีเรียดเรื่องแรกของเราด้วยน้าาา เป็นครั้งแรกเลยค่ะที่มาอัพในเล้า เขินจัง55555

   
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-03-2018 18:03:28 โดย Amazing princess »

ออฟไลน์ Amazing princess

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
เรือนร้าว(YAOI)
«ตอบ #1 เมื่อ09-01-2018 20:37:04 »

เรือนร้าว1
ตอน เด็กรับใช้
บรรยากาศเรือนเก่าแก่ซึ่งสืบทอดมาหลายชั่วอายุคนโอมล้อมไปด้วยพฤกษชาตินานาพันธุ์ อันถูกปลูกสร้าง ณ ใจกลางพระนคร เป็นเรือนของหลวงวินิต...ผู้ปกครองเรือนคนปัจจุบัน ณ ที่แห่งนี้มีด้วยกันทั้งหมดสามเรือนหลัก เรือนที่หลวงวินิตอาศัยนั้นเป็นเรือนใหญ่ที่สุด รองลงมาคือเรือนของคุณเขลางค์ ภริยาเอกของหลวงวินิต และเรือนถัดมานั้น คือเรือนของคุณเขม บุตรชายคนเดียวของท่าน ซึ่งนานครั้งคุณเขมจะกลับมาจากโรงเรียนประจำ

      เรือนทั้งสามควรจะมีวิถีอันสงบสุขดังเช่นบ้านเรือนอื่นทั่วไป...

     ถ้ามิใช่เพราะ...เรือนของคุณเขลางค์มักมีเสียงโอดครวญของข้าทาสวัยรุ่นทั้งหญิงชาย

     เพี๊ยะ!!!!                                                       

     “โอ๊ย!!!! ฮือ บ่าวเจ็บเหลือเกินเจ้าค่ะ คุณเขลางค์พอเถิดเจ้าค่ะได้โปรด โอ๊ย!!!”

      เสียงนางทาสหน้าตาสกปรกมอมแมมถูกจับล่ามตรึงไว้ใต้ถุนเรือน โดยมีนางทาสร่างใหญ่อีกคนคอยเฆี่ยนตีอย่างไม่ยั้งมือ เสียงโอดครวญวิงวอนขอความเมตตากลับทำให้คุณเขลางค์ยิ้มมุมปากอย่างมีความสุข

      “เฆี่ยนมันต่ออีเฟื้อง พอมันสลบแล้วค่อยปล่อย”

      “เจ้าค่ะ”

     เพี๊ยะ เพี๊ยะ!!!

     กลุ่มข้าทาสชายหญิงที่ถูกบังคับให้ต้องนั่งดูได้แต่ร้องไห้กอดคอกันอย่างเสียขวัญ เพราะรู้ดีว่าหากอีเฟื้องเฆี่ยนนางทาสผู้นี้จนสลบ พวกตนคนใดคนหนึ่งอาจต้องเป็นรายต่อไป

      ใช่...คุณเขลางค์มีจิตไม่ปกติ

      คุณเขลางค์มักนิยมจับทาสวัยหนุ่มสาวแล้วให้อีเฟื้องบ่าวคนสนิทเฆี่ยนตีต่อหน้า บางครั้งถ้าเกิดเกลียดใครเข้ามากๆคุณเขลางค์ก็มักจะลงมือเสียเอง แล้วเมื่อกระทำการอันโหดร้ายนี้เสร็จสิ้น ถึงจะได้รับสมุนไพรกับเงินคนละชั่งมาปิดปาก พร้อมถูกขู่ว่าหากแพร่งพรายออกไป อาจจะไม่จบเพียงเฆี่ยนตี

      ด้วยเหตุนี้ ทำให้ไม่มีใครกล้าไปฟ้องหลวงวินิต

      “อีทองสลบไปแล้วเจ้าค่ะคุณเขลางค์”

      “ปล่อยมัน แล้วให้ไอ้เม่นพาไปพัก อ้อ ให้อัฐอีทองไปด้วย”

      พอทาสที่ชื่อเม่นแบกร่างที่ไม่ได้สติของทองออกไป คุณเขลางค์ก็ลุกขึ้นจากแท่นที่นั่ง ก่อนจะเข้ามาสำรวจข้าทาสที่ตื่นตระหนกอย่างสั่นกลัวกว่าเดิม สายตาดั่งพญามัจจุราชกราดมองไปยังเด็กหนุ่มตัวเล็กที่ก้มหน้านิ่ง ไม่มีท่าทีสั่นกลัวเหมือนกับทาสคนอื่นๆ

      “ดูเอ็งจะไม่กลัวเลยนะไอ้ยม  ไม่กลัวหรือไร?”

      คุณเขลางค์เอ่ยถามยิ้มเยาะ หากแต่เด็กหนุ่มกลับเงยหน้าสบตากับผู้หญิงใจดำอย่างไม่กลัวเกรง

     “อวดดีนักนะมึง อีเฟื้อง เอาหวายมา กูจะเฆี่ยนไอ้ยมเอง!”

     ครั้นเมื่ออีเฟื้องส่งหวายให้นายหญิง ทาสบ่าวคนอื่นก็รีบพากันไปหลบเร้นร้องไห้อีกมุม มือที่กำหวายลงทัณฑ์ยมอย่างไม่ยั้งมือ จนเสื้อผ้าตัวบางขาดวิ่น เลือดซิบเจ็มแผ่นหลังบางน่าเวทนา หากแต่แม้จะเจ็บเพียงใด ก็ไม่มีเสียงโอดครวญออกมาจากปากเด็กหนุ่มสักแอะ

    “ร้องออกมาสิไอ้ยม ถ้ามึงร้องกูอาจจะหยุด หึๆ”

    ยมยังคงเงียบกริบ เพราะรู้ดีว่าคนที่กำลังเฆี่ยนตนไม่ต่างจากนิรยบาลผู้นี้ไม่เคยปรานี ทั้งๆที่สุดแสนจะเจ็บด้วยคุณเขลางค์ลงหวายแรงกว่าอีเฟื้องนัก แต่ยมกลับชินเสียแล้ว เพราะตั้งแต่ที่เขาได้รับความเมตตาจากหลวงวินิตให้เข้ามารับใช้ ยมก็ถูกคุณเขลางค์ขอมาอ้างมารับใช้ในครัว

    ในครั้งนั้น ยมจึงได้รู้จักนรกบนดินที่แท้จริง

     ครั้งแรกที่ยมโดนลงหวายเขาก็ร้องไห้แทบขาดใจ อยากจะไปฟ้องหลวงวินิตก็ถูกขู่เอาถึงชีวิต ทำให้เด็กหนุ่มต้องจำใจฝืนทนเฉกเช่นทาสคนอื่น จากความทรมาน กลายเป็นความชินชากับความเจ็บ ถูกลงหวายมาตั้งแต่เก้าขวบจนอายุสิบสองได้แล้วกระมัง

     “โอ๊ย! กูเฆี่ยนมึงจนเหนื่อยแล้ว จะไปไหนก็ไปไอ้ยม พวกมึงด้วย ไสหัวไปได้แล้ว คืนนี้คุณพี่จะกลับมาจากลำปาง อย่าให้กูรู้ว่ามีใครหน้าไหนไปฟ้องนะ!”

       ครั้นเมื่อคุณเขลางค์ขึ้นเรือนไปพร้อมอีเฟื้อง ยมก็หอบหายใจรวยรินด้วยความเจ็บ พร้อมกับพยายามพยุงตัวลุกขึ้นเพื่อไปทำแผลที่ห้อง

    “สมน้ำหน้าไอ้ยม อยากสะเออะอวดดีนัก” เข้ม...บ่าวทาสตัวสูงใหญ่ยิ้มเยาะ ยมได้แต่ปรายมองด้วยหางตาก่อนจะเดินออกไปไม่สนใจ

         ก่อนจะกลับถึงห้อง ยมได้ไปเก็บสมุนไพรที่แอบปลูกไว้ใกล้เรือนของคุณเขม เรือนบุตรชายของหลวงวินิตดับไฟเงียบสนิท วันนี้คุณเขมยังคงไม่กลับมาจากโรงเรียนประจำ ยิ่งคิดถึงคุณเขม ทำให้ยมยิ้มออกมาได้ด้วยหัวใจที่เป็นสุข ช่างโชคดีที่แม้คุณเขมจะเป็นลูกของคุณเขลางค์ ทว่านิสัยช่างแตกต่าง ชายหนุ่มเป็นคนสุภาพอ่อนโยนกับทุกคน

       สมุนไพรเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นต้นแห้วหมู ใบเสือหมอบ และใบฝรั่ง คุณเขมก็เป็นคนสอนเขาปลูก เพราะครั้งหนึ่งยมเคยล้มต่อหน้าคุณเขมที่กำลังอ่านหนังสือจนได้แผลเหวอะ คุณเขมจึงนำสมุนไพรเหล่านี้มารักษาอย่างไม่รังเกียจว่ายมจะเป็นเพียงข้าทาส

       “หวังว่าบ่าวจะหายทันก่อนคุณเขมจะกลับมานะขอรับ”



    ยมตื่นเช้าเพื่อทำงานหน้าที่ของตน ทุกคนต่างพากันทำงานปกติ ไม่มีใครถูกนำไปทรมานหลังจากที่หลวงวินิตกลับมาจากธุระที่ลำปางได้สามวัน       

   “เอ้า...ว่าอย่างไรเจ้ายม ตื่นแต่เช้าเลยนะ”       

 บุรุษวัยกลางคนทักเมื่อเห็นเด็กหนุ่มกำลังใช้ขันรดน้ำในสวนของคุณเขลางค์ ยมได้แต่ยิ้มเล็กน้อยเพื่อเก็บซ่อนความเจ็บปวดใต้ร่มผ้า       

 หลวงวินิตเป็นชายวัยอายุประมาณสี่สิบปี หากแต่ยังคงดูหนุ่มแน่นราวอายุสามสิบต้นๆ แรกเห็นยมก็นึกชื่นชมในความเมตตาที่ท่านรับอุปการะเขาเป็นเด็กรับใช้ เพราะในเวลาที่หลวงวินิตกลับมา ทุกคนในบริเวณเรือนคุณเขลางค์จะรอดพ้นจากการถูกทรมานไปได้สักพัก       

ด้วยความเมตตาของคุณท่าน เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ยมไม่กล้าเปิดโปงความอำมหิตของคุณเขลางค์ เพราะหลวงวินิตนั้นรักคุณเขลางค์มากจนไม่อาจมีบ้านเล็กบ้านน้อย อีกทั้งไม่เคยรับรู้ด้วยซ้ำ ว่าภริยาของตนมีจิตไม่ปกติเพียงใด     

 “แม่เขลางค์ยังไม่ลงมาจากเรือนรึ?”     

 “ขะ...ขอรับ”  ยมตอบรับคุณท่านน้ำเสียงตะกุกตะกัก       

“เอ็งนี่ ข้ามิใช่ผีสาง จะกลัวทำไมวะ?”   

   “เอ่อ บ่าวขออภัยขอรับ”         

 “เงยหน้าขึ้นเจ้ายม อย่าให้ข้าต้องเอ็ดตะโรใส่เอ็ง”         

เด็กหนุ่มจำต้องเงยใบหน้าขึ้นตามคำสั่ง หลวงวินิตมองหน้ายมด้วยความรู้สึกเอ็นดูเหมือนลูกเหมือนหลานคนหนึ่ง พลางคิดว่าหากยมเป็นผู้หญิงคงจะมีบ่าวไพร่ชายมาเกี้ยวจนหัวกระไดไม่แห้งเลยกระมัง     

   “เอ็งนี่ ถ้าเกิดเป็นหญิง ป่านนี้เอ็งอาจจะได้เป็นเมียทาสของเจ้าคุณท่านอื่นแล้ว”   

 หลวงวินิตพูดอย่างไม่ได้คิดอะไร เพราะปกติเรือนของท่านมักเป็นที่ชุมนุมของเหล่ามิตรสหายเป็นบางครั้ง แน่นอนว่าเจ้าคุณบางท่านย่อมจะสนใจไม้งามที่มีอยู่รอบๆเป็นเรื่องปกติ แต่กลับทำให้ยมทำหน้าแปลกไปนิดๆ   

    “เอ่อ แต่บ่าวเป็นชาย...”     

  “หึๆ ข้าเย้าเล่น” หลวงวินิตหัวเราะเล็กน้อย "ข้าขึ้นไปหาแม่เขลางค์ก่อน เอ็งมีอะไรไปทำก็ไปทำเถอะ"                       

 ครั้นเมื่อหลวงวินิตลับตาไปแล้ว ยมก็ทำหน้าที่รดน้ำพรวนดินต่อไป แม้จะรู้สึกเจ็บแผลจนจับไข้เล็กน้อย แต่ด้วยความที่เป็นชายและชินชากับบาดแผลมาตลอดสามปี เด็กหนุ่มจึงสามารถออกมาทำงานเดินเหินได้ราวกับคนที่หายสนิทแล้ว           

  เมื่อจัดการส่วนของเรือนคุณเขลางค์เสร็จ เด็กหนุ่มตัดสินใจยกกระบุงใส่น้ำใบใหญ่ไปรดน้ำยังเรือนข้างๆต่อ นอกจากจะมีสมุนไพรที่รักษารอยแผลของเขาแล้ว คุณเขมยังชอบปลูกดอกรักกับดอกมะลิไว้แทบจะครึ่งเรือน 

   เหตุผลก็คือ...

“เวลาที่พี่กลับโรงเรียน พี่ฝากยมดูแลทีนะ พอมันออกดอกเยอะ ยมก็เก็บมาร้อยมาลัยไปถวายพระในเรือนพี่ด้วย”   

  เห็นเขาเป็นทาสหญิงหรือไรกัน!?   

  ขณะที่ยมทำแก้มพองลมด้วยความไม่พอใจ เด็กหนุ่มก็รู้สึกเหมือนถูกมองจากด้านหลังซึ่งตรงกับหน้าต่างเรือนของคุณเขมพอดี แต่ครั้นเมื่อหันไป เขากลับพบเพียงสายลมที่พัดผ้าม่านให้ปลิวล่องตาม 

   สงสัยคงจะคิดไปเอง...   

 หลังจากรดน้ำพรวนดินเป็นที่เรียบร้อย เด็กหนุ่มก็ยื่นใบหน้าดอมดมความหอมของดอกมะลิชั่วครู่ ก่อนจะยกกระบุงเพื่อเอาไปเก็บในเรือนทาส     

หารู้ไม่ว่าทุกท่วงท่าของยมที่ไม่ค่อยมีผู้ใดได้เห็น กลับตกอยู่ในสายตาคมกริบที่แอบมองจากหน้าต่างสูง...     

 เมื่อเก็บกระบุงพร้อมกับอาบน้ำอาบท่ามาจากเรือนทาสแล้ว ยมจึงเดินไปยังโรงครัวเพื่อทำงานแกะสลักและทำอาหารเพื่อตั้งสำรับอาหารเช้าให้กับเรือนใหญ่ซึ่งหลวงวินิตกับคุณเขลางค์จะรับมื้อเช้าพร้อมกัน     

“พวกเอ็ง ที่เรือนใหญ่บอกคุณเขมเพิ่งกลับมาเมื่อครู่นี้เอง ตั้งสำรับไว้อีกหนึ่งที่นะ”

      เสียงแม่ครัวเก่าแก่บอกทาสที่ทำงานเป็นลูกมือ นั่นทำให้หัวใจของยมพองโต รอยยิ้มปรากฎขึ้นน้อยๆไม่มีใครเห็นบ่งบอกถึงความปรีดา     

คุณเขมของบ่าวกลับมาแล้ว



“พ่อเขม กลับมาก็มานั่งอ่านตำราเรียนเลยนะลูก ไม่คิดจะไปหาแม่เลยหรือไร?”

เมื่อทราบว่าบุตรชายคนเดียวเพิ่งกลับมาถึงเรือนเมื่อเช้านี้ คุณเขลางค์ก็รีบเดินมายังเรือนของคุณเขมแล้วทำทีเป็นน้อยอกน้อยใจลูกชายหัวแก้วหัวแหวน     

 “ไม่ใช่ขอรับคุณแม่ ลูกเพียงมาจัดตำราเท่านั้น แล้วค่อยไปหาคุณแม่ที่เรือนขอรับ” คุณเขมกล่าวเสียงนุ่มเอาใจมารดา     

“เอาไว้ก่อนเถิดลูก ตอนนี้คุณพ่อรอรับมื้อเช้าอยู่ที่เรือนใหญ่ ไปพร้อมแม่เลยนะ”   

  คุณเขมจำต้องวางตำราที่ยังจัดไม่เสร็จไปก่อน แล้วจึงตามมารดาไปยังเรือนใหญ่     

   “ดูสิลูกพ่อเขม ต้นจำปีออกดอกกลิ่นหอมเชียว ไว้แม่จะให้อีเฟื้องไปวางในห้องให้นะลูก พ่อเขมจะได้สดชื่นยามทบทวนตำรา"   

    คุณเขลางค์ชวนบุตรชายพูดคุยขณะเดินไปยังเรือนใหญ่ คุณเขมตอบรับบ้างเป็นระยะ หากแต่สายตากลับมองรอบๆคล้ายจะมองหาใครสักคนที่อยากพบ   

  “มองหาอันใดรึพ่อเขม?”     

 “เอ่อ ไม่มีอะไรขอรับ ลูกว่ารีบไปพบคุณพ่อเถิดขอรับคุณแม่”


สามารถติดตามความคืบหน้านิยายได้ที่เพจ amazing princess นะค้าาาา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-01-2018 20:41:17 โดย Amazing princess »

ออฟไลน์ Amazing princess

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
Re: เรือนร้าว(YAOI)
«ตอบ #2 เมื่อ09-01-2018 20:53:19 »

เรือนร้าว2
ตอน ข้าวหุง
         “คุณพ่อขอรับ” คุณเขมประนมมือไหว้ผู้เป็นบิดาอย่างนอบน้อม หลวงวินิตจึงเรียกบุตรชายเข้ามาใกล้ๆ
            “มาแล้วรึพ่อเขม นั่งก่อนสิ อีกประเดี๋ยวบ่าวจะยกสำรับขึ้นมา”
             ร่างสูงใหญ่ของคุณเขมนั่งลงข้างหลวงวินิตพร้อมคุณเขลางค์ สายตาก็พลางมองคนที่อยากเจอเหมือนเคยก็ยังไม่พบ สงสัยยังคงทำงานอยู่ในโรงครัวกระมัง
             “คราวนี้พ่อเขมจะกลับมาที่เรือนกี่วันเล่า  เมื่อวานพ่อเจอแหม่มเคธี่บอกว่าอีกไม่นานเจ้ากำลังจะสอบไล่ปีสุดท้ายแล้วมิใช่รึ?”
             “ลูกกลับมาห้าวันขอรับ ลูกกลับมาคงต้องอ่านตำราเยอะเป็นพิเศษ เพราะครูใหญ่บอกว่าหากลูกได้ที่หนึ่งของชั้นอีกครั้ง ท่านจะมอบทุนให้ลูกไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษขอรับ”
             “บ๊ะ! อังกฤษเชียวรึ? งั้นพ่อเขมก็ต้องตั้งใจกว่าที่ผ่านมานะรู้ไหม”
             หลวงวินิตตบบ่าคุณเขมเบาๆ เพราะปกติคุณเขมสอบได้ที่หนึ่งของโรงเรียนมาตั้งแต่เข้าเรียนใหม่ๆแล้ว ยิ่งได้รับความไว้วางใจจากครูใหญ่ หลวงวินิตจึงยิ่งยินดี ไม่แพ้คุณเขลางค์ที่รู้สึกดีใจไปกับบุตรชายเช่นกัน
          “เอ้านั่น พวกบ่าวยกสำรับมาแล้ว แม่เขลางค์กับพ่อเขมก็ทานข้าวก่อนเถอะ วันนี้มีอะไรกินบ้างเล่าป้าฟัก?” หลวงวินิตเอ่ยถามหัวหน้าแม่ครัวที่เดินนำบ่าวทาสยกสำรับขึ้นมา
           “วันนี้มียำใหญ่ หมูแนม แกงมัสมั่น น้ำพริกปลาทู  แล้วก็ข้าวหุงของโปรดของคุณเขมเจ้าค่ะ”
           เมื่อพวกบ่าวตั้งสำรับเสร็จ คุณเขลางค์ตักข้าวหุงส่งให้หลวงวินิตและคุณเขมตามลำดับ ทันทีที่คุณเขมตักข้าวหุงคำเล็กเข้าปาก ก็จำรสมือนี้ได้ทันที  ไม่ว่าใคร ก็ไม่สามารถปรุงข้าวหุงสู้คนๆนี้ได้
            ทั้งหอมกลิ่นข้าว กลิ่นเครื่องเทศ คละรสด้วยลูกเอ็นและใบกระวาน ที่ปลูกจากในสวนครัวท้ายเรือน
          “ฟักทองแกะสลักวันนี้งามทีเดียวนะ ป้าฟักทำเองรึ?”
          คุณเขลางค์ถามหัวหน้าแม่ครัวที่หมอบอยู่ใกล้ๆ มือก็ตักแกงมัสมั่นให้สามีและลูกชายอย่างรู้งาน
           “ว่าอย่างไรล่ะจ๊ะป้าฟัก ป้าทำเองรึ?” เมื่อเห็นว่าฟักยังเงียบ คุณเขมจึงถามแทนมารดาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
          “มิใช่บ่าวดอกเจ้าค่ะ หากแต่นอกจากฟักทองแกะสลักแล้ว ทั้งข้าวหุง แกงมัสมั่น เป็นฝีมือของเจ้ายมทำเจ้าค่ะ”
           เมื่อหลวงวินิตกับคุณเขมได้ฟังเช่นนั้นก็นึกชื่นชม ในขณะที่คุณเขลางค์กำมือแน่นซ่อนความไม่พอใจไว้เมื่อได้ยินชื่อของบ่าวไพร่ที่ชิงชังที่สุด
          “เจ้ายมนี่แปลกแท้ เป็นผู้ชาย แต่มีฝีมือทำอาหารและแกะสลักไม่แพ้หญิง หึๆ”
            “แล้วยมอยู่ไหนล่ะจ๊ะป้าฟัก? เขมอยากชื่นชมเสียหน่อยที่ปรุงข้าวหุงถูกปากนัก” คุณเขมถามขึ้นบ้าง เพราะไม่เห็นเจ้าของฝีมือคนทำข้าวหุงขึ้นมาด้วยเสียที
          “จะถามถึงมันทำไมกันเล่าพ่อเขม ทานต่อเถอะลูก”
           คุณเขลางค์เรียกคุณเขมด้วยน้ำเสียงติดหงุดหงิดเล็กน้อย ทำให้คุณเขมจำต้องรับอาหารไปอย่างเงียบๆ ไม่มีเสียงพูดอันใดอีกจนนายทั้งสามรับอาหารเช้าเสร็จ พวกบ่าวไพร่จึงมายกออกไป
          ทางด้านยม...หลังจากช่วยทาสคนอื่นๆล้างถ้วยล้างชามในโรงครัวจนเสร็จ เด็กหนุ่มจึงยกกระบุงไปตักน้ำบนเรือนจนครบทั้งสามเรือน ก่อนจะเลยไปยังแปลงผักสวนครัวที่ปลูกอยู่ท้ายเรือนทาส มีทั้งสมุนไพร พืชผักที่ปลูกไว้มากมายเพื่อประกอบอาหาร ยมขุดดินตรงพื้นที่ว่างเล็กน้อยก่อนจะโรยเมล็ดใบกระวานปลูกเพิ่ม
          วันนี้ตอนที่เขากำลังกินข้าวรวมกับทาสคนอื่นๆ ป้าฟักก็เข้ามาบอกกับเขาว่าคุณเขมชมว่ายมปรุงข้าวหุงอร่อยที่สุด นั่นทำให้ยมเกือบทำจานข้าวตกจากมือด้วยหัวใจที่แทบจะหลุดออกมาจากอก
           แม้ว่านี่จะมิใช่ครั้งแรก...ที่ยมปรุงข้าวหุงให้คุณเขมรับก็ตาม
         
          “นั่นเจ้าปรุงอะไรอยู่น่ะ?”
           คุณเขมในวัยสิบห้าปีเอ่ยถามเด็กน้อยที่กำลังหยิบจับสมุนไพรอย่างคล่องแคล่วก่อนจะผัดไปกับข้าวในกระทะส่งกลิ่นหอม ตามด้วยใส่ลูกเอ็นผัดอีกเล็กน้อยแล้วนำมาใส่จานเพื่อไม่ให้ข้าวแฉะจนเกินไป
         “บ่าวทำข้าวหุงเครื่องเทศขอรับ เอาข้าวสวยมาผัดกับใบกระวาน ยี่หร่า อบเชย พริกไทยดำ กานพลู ลูกเอ็น บ่าวเห็นป้าฟักทำให้คุณเขลางค์ทานจึงจำมาฝึกทำบ้างขอรับ”
        “กลิ่นหอมจังเลยยม ขอฉันชิมได้ไหม?”
      “เอ่อ...ขอรับ...” ยมใช้ช้อนตักข้าวหุงพอดีคำส่งให้คุณเขม วินาทีนั้นเองมือของคุณเขมเผลอสัมผัสกับมือของยมโดยไม่รู้ตัว
         แต่ด้วยวัยเพียงเก้าขวบ...ยมจึงไม่ได้คิดอะไรเหมือนกับตอนนี้นัก
       “รสชาติดีทีเดียวนะยม หอมกลิ่นสมุนไพรในปาก ถูกปากฉันนัก”
      คุณเขมวางช้อนลง ก่อนจะถอดแหวนจากนิ้วส่งให้เด็กน้อยตรงหน้า
      “ฉันไม่มีอัฐจะให้ เจ้ารับแหวนวงนี้ไปเป็นรางวัลก็แล้วกัน”
     “เอ่อ อย่าดีกว่าขอรับ คะ...คือ บ่าวเกรงว่าคุณเขลางค์จะคิดว่าบ่าวขโมยของๆคุณเขมน่ะขอรับ”
      “เจ้าก็อย่าให้คุณแม่เห็นสิ” คุณเขมจับมือเล็กแบออก ก่อนจะวางแหวนบนมือให้ยมรับไว้
       “ต่อไปนี้เวลาฉันกลับมาจากโรงเรียน ยมต้องทำข้าวหุงไปให้ฉับบนเรือนทุกครั้งเลยนะ”

         
      หลังจากทำงานเหนื่อยล้ามาทั้งวัน ยมจึงคิดว่าจะกลับไปนอนที่เรือนทาสทันที เวลานี้ทาสคนอื่นๆก็คงพากันกลับไปนอนแล้วเช่นกัน  แน่นอนว่าก่อนจะไปยังเรือนทาส จะต้องผ่านเรือนของคุณเขมที่ด้านในหน้าต่างยังคงมีแสงสว่างจากแสงเทียน เด็กหนุ่มยิ้มขึ้นน้อยๆ สงสัยคุณเขมกำลังทบทวนตำราอยู่กระมัง ดึกป่านนี้แล้วยังไม่หลับไม่นอน     
         “เฮ้ย! ไอ้ยม”  เสียงคุ้นหูดังขึ้นจากด้านหลัง ยมจำได้ว่าเป็นเสียงของไอ้เข้ม...บ่าวทาสรุ่นราวคราวเดียวกับเขาทว่าตัวใหญ่กว่านัก มันมีนิสัยชอบพูดจาถากถางรังแกทาสที่ไร้ทางสู้ไปทั่ว     
        นี่ขนาดว่าเขาไม่เคยโต้ตอบมันกลับสักหน ไม่รู้จะตามรังควานไปถึงไหน   
       “เฮ้ยๆๆ จะรีบไปไหนวะไอ้ยม” ร่างใหญ่เดินมาขวางยมที่กำลังจะเดินหนี   
       “กูเห็นมึงด้อมๆมองๆเรือนของคุณเขมนานละ มึงคิดจะขโมยของรึอย่างไรวะ?”   
       ยมยิ้มเยาะมุมปากน้อยๆ ในเมื่ออยากให้ตอบโต้จนถึงขั้นต้องพูดกล่าวหากัน เด็กหนุ่มก็จะสนองให้ 
      “ข้ามิใช่เอ็งนะไอ้เข้ม อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ ว่าเอ็งลอบขโมยยาสูบของคุณหลวงไปขายให้กับพวกฝรั่งยาจกในตลาด”                     
        “นี่มึง!!”   
         “หึ! ข้าไม่ใช่คนขี้ฟ้อง ถ้าไม่อยากให้ผู้ใดล่วงรู้ เอ็งก็เลิกวุ่นวายกับข้าเสียที”   
         ยมรีบหันหลังเพื่อเดินหนีไปอีกทาง ทว่าไม่ทันแรงของเข้มที่กระชากแขนเล็กอย่างแรง ก่อนที่ใบหน้าหวานจะถูกเหวี่ยงไปตามแรงชก     
          พลั๊วะ!!     
          “อ่อก...”  ด้วยแรงที่เยอะทำให้มีโลหิตไหลออกมาจากมุมปาก แม้จะออกมาไม่มาก แต่ความช้ำที่แก้มทำให้ยมต้องเอามือประคบด้วยความเจ็บ   
          “ไอ้ทาสอวดดีอย่างมึง ต้องเจออีกหลายหมัดถึงจะสาแก่ใจกูไอ้ยม!”   
           ร่างเล็กถูกกระชากเส้นผมรุนแรง ใบหน้าที่ไม่หวาดหวั่นของยมทำให้อารมณ์คุกกรุ่นของเข้มเพิ่มเป็นทวีคูณ มือใหญ่กำหมัดหมายจะชกใบหน้าหวานให้สาแก่ใจอีกหลายครั้ง     
            พลั๊วะ!     
          ยมที่เตรียมรับชะตากรรมอย่างอ่อนแรงประหลาดใจเมื่ออยู่ๆร่างของตนก็ร่วงลงไปกับพื้นหญ้า อีกทั้งใบหน้าไม่ได้ถูกชกเพิ่ม กลับเป็นอีกฝ่ายที่ร้องโอดโอยด้วยความเจ็บเสียเอง ยมจึงเงยหน้าขึ้นน้อยๆ ก็พบว่ามีบุรุษขี่ม้าขาวมาช่วยเขาไว้                 
              คุณเขมของบ่าว...     
           “เข้ม! เจ้านี่มันเก่งแต่กับคนไร้ทางสู้ เห็นทีฉันต้องสั่งสอนให้หลาบจำ!”     
           “คะ...คุณเขม ไอ้เข้มผิดไปแล้วขอรับ”  เข้มยกมือท่วมหัว ทว่าอารมณ์โกรธของคุณเขมมีมากเกินกว่าจะให้อภัย           
           “มั่น เพลิง เอาตัวเข้มไปโบยท้ายสวนยี่สิบไม้ อย่าให้คุณพ่อคุณแม่ได้ยินเป็นอันขาด ฉันไม่ต้องการรบกวนพวกท่าน”     
            “ขอรับ”  สองผู้ติดตามของคุณเขมพาตัวเข้มที่ตอนนี้หน้าซีดเซียวเมื่อรู้ถึงโทษทัณฑ์ที่กำลังจะได้รับ   
          เมื่อสั่งลงโทษคนผิดแล้ว ร่างสูงก็เข้ามาประคองคนตัวเล็กที่ได้แต่เอามือกุมไว้ที่แก้ม ใบหน้าหวานคล้ายอยากร้องไห้ทว่ากลับร้องไม่ออก   
             “จะ...เจ็บ”   
            “อย่าเพิ่งพูดอะไรอีกเลย พี่จะพาเจ้าไปทำแผลนะ”     
             คุณเขมโอบอุ้มร่างที่แทบจะหมดสติแล้วค่อยๆวางที่แท่นใต้ถุนเรือนอย่างทะนุถนอม ร่างสูงเดินไปยังต้นสมุนไพรที่ปลูกไว้จำนวนมาก คุณเขมเก็บใบรางจืดมาหนึ่งกำมือ นำกลับมาล้างน้ำแล้วตำให้ละเอียด ผสมกับการบูรอีกหนึ่งหยิบมือ จากนั้นห่อด้วยผ้าขาวทำเป็นลูกประคบ แล้วนำไปนึ่งเตาไฟให้พออุ่นสักพัก         
          “ตอนนี้เจ้ายังบาดเจ็บและอ่อนล้า พี่จะประคบไปเรื่อยๆนะ พอวันพรุ่งพี่จะทำลูกประคบให้ใหม่ เจ้าเพียงนำไปจุ่มเหล้าขาวที่พี่เตรียมให้ จะเป็นกษัยยาได้ดีนัก”     
           มือใหญ่ค่อยๆประคบรอยฟกช้ำที่มุมปากอย่างเบามือที่สุด ยมลอบมองอิริยาบถของร่างสูงที่ใส่ใจตนเองเสมอ คุณเขมเก่งรอบด้านไปเสียทุกอย่าง ทั้งรูปงาม การเรียนไม่เคยเป็นรองผู้ใด อีกทั้งยังรอบรู้ด้านสมุนไพรทุกชนิด อาจเพราะสนใจสรรพคุณของมันทำให้คุณเขมปลูกแทบจะทุกชนิดที่หามาได้       
            “แอบมองพี่ทำไมยม?” คุณเขมกระเซ้าถาม ทำเอายมสะดุ้งน้อยๆ       
            “เอ่อ...บ่าวดีขึ้นแล้วขอรับคุณ...”       
            “ยม” คุณเขมพูดขัดเด็กหนุ่มขี้นมาเสียก่อน “พี่บอกกี่ครั้งแล้ว ให้แทนตัวเจ้ากับตัวพี่ว่าอย่างไร?”     
             “แต่ บ่าวไม่กล้าขอรับ”     
             “ยม” คุณเขมทำเสียงเข้ม แสร้งทำกดดันให้เด็กหนุ่มพูดใหม่     
             “ยะ...ยมดีขึ้นแล้วจ้ะ พี่..เขม”  แม้น้ำเสียงจะตะกุกตะกักไปบ้าง แต่นั่นก็เรียกรอยยิ้มให้ร่างสูงเป็นอย่างดี     
              “เจ้ายังไม่ได้ตอบพี่เลย ว่าแอบมองพี่ทำไม หื้ม?”
               คุณเขมยื่นใบหน้าเข้าไปใกล้ จนจมูกสันโด่งใกล้จะชิดแก้มนวลอยู่รำไร       
             “เอ่อ...ยมแค่คิดว่า ทำไมพี่เขมถึงดูแลยมขนาดนี้ ทั้งๆที่ยมเป็นเพียง...”     
              “ยม” นิ้วยาววางบนริมฝีปากแดงสด “จงจำไว้เถิด สำหรับพี่...เจ้าไม่ใช่บ่าวไพร่...”     
              คุณเขมใช้มือหนาลูบเส้นผมคนตัวเล็กอย่างอ่อนโยน ใบหน้าคมสันขยับเข้าไปใกล้เพื่อกระซิบข้างใบหูเด็กน้อย
           “สำหรับพี่ เจ้าคือคนสำคัญ”



         ข้าวหุงของหนูยม เมนูที่เป็นเสน่ห์ปลายจวัก และมีอยู่จริงนะคะ เพราะอยู่ในกาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวานของรัชกาลที่2 มีการกล่าวถึงเมนูข้าวหุงปรุงอย่างเทศว่า...

ข้าวหุงปรุงอย่างเทศ           รสพิเศษใส่ลูกเอ็น

ใครหุงปรุงไม่เป็น                  เช่นเชิงมิตรประดิษฐ์ทำ

    ปัจจุบันก็ยังมีอยู่นะคะ แล้วแต่ว่าแต่ละคนเค้าจะปรับสูตรกันยังไง แต่ไรท์ชอบตรงที่รัชกาลที่2กล่าวว่า ไม่มีผู้ใดทำข้าวหุงได้อร่อยเท่าฝีมือของพระศรีสุริเยนทราอีกแล้ว ซึ่งหมายถึงไม่มีผู้ใดถ้าทำอาหารอร่อยเท่ากับคนที่เป็นที่รักได้อีกแล้ว

 ส่วนยำใหญ่...ก็คือยำรวมมิตรแหละค่ะ ใส่สารพัดตามที่บทกลอนว่าไว้เลย

    ยำใหญ่ใส่สารพัด               วางจานจัดหลายเหลือตรา​

 รสดีด้วยน้ำปลา                     ญี่ปุ่นล้ำย้ำยวนใจ

ถือเป็นเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆเนอะ

เราอาจจะไม่ค่อยมีความรู้ด้านสมุนไพรมาก ผิดถูกอย่างไรท้วงติงกันได้น้ออออ

กษัยยา หมายถึง ตัวนำยา นั่นคือเมื่อนำลูกประคบมาจุ่มเหล้าขาว แผลของหนูยมก็จะหายเร็วขึ้นนั่นเอง




ออฟไลน์ Amazing princess

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
Re: เรือนร้าว(YAOI)
«ตอบ #3 เมื่อ10-01-2018 19:43:51 »

 เรือนร้าว3
ตอน เงาะป่า     
     คืนนี้เป็นคืนที่ยมมีความสุขมากที่สุด เพราะหลังจากที่คุณเขมประคบยาเสร็จ ร่างสูงก็พาเด็กน้อยมาส่งยังเรือนทาสที่มียมอาศัยอยู่เพียงคนเดียว
    “วันพรุ่งมาที่เรือนพี่นะ มาประคบแผลเพิ่ม หากหายได้ไวพี่จะพาเจ้าไปเที่ยวที่ๆเจ้าอยากไป”
      ใบหน้าที่อิงหมอนยิ้มสดใสอย่างมีความสุขอยู่คนเดียว แผลที่ใบหน้าแทบจะหายเป็นปลิดทิ้งเมื่อเจอน้ำเสียงของคุณเขมเข้าไป ใครจะว่าเขาเป็นเด็กแก่แดดแก่ลมก็ได้ด้วยเขาอายุเพียงสิบสองย่างเข้าสิบสามเท่านั้น
    จะทำอย่างไรได้...ในเมื่อยมมอบความจงรักภักดีและความไว้ใจให้คุณเขมหมดสิ้นแล้ว
     วันนี้ก็เป็นอีกวันที่เหมือนเดิม นั่นคือยมต้องรดน้ำพรวนดินต้นไม้ทั้งสามเรือนก่อนจะเข้าโรงครัวเพื่อเตรียมสำรับ แน่นอนว่าหลังจากดูแลส่วนของเรือนคุณเขมเสร็จ ยมก็เดินไปยังใต้ถุนเรือนเพื่อประคบแผลตามที่ร่างสูงกำชับไว้ เด็กหนุ่มอมยิ้มเมื่อพบว่ามีลูกประคบอุ่นกับเหล้าขาวถูกตระเตรียมไว้อยู่แล้ว
      คุณเขมยังคงใส่ใจเขาเสมอ...
     ยมเอาลูกประคบจุ่มเหล้าขาวสักครู่แล้วประคบเบาๆ แผลฟกช้ำไม่ค่อยปวดเท่าเมื่อวานนักอาจเป็นเพราะได้รักษาไปบ้างจนดีขึ้น
     “เอ้า...นั่นไอ้ยมใช่หรือไม่?”
    “พี่เพลิงรึ?” ยมจำได้ว่าเป็นเสียงคนสนิทของคุณเขม เพลิงแม้จะมีหน้าตาดุดัน แต่ความจริงแล้วใจดี ทำให้ยมนับถือเพลิงเหมือนพี่ชายคนหนึ่ง
    “แผลเอ็งเป็นอย่างไรบ้างวะ?”
    “ดีขึ้นแล้วจ้ะพี่...”
     “เอ็งนี่โชคดีแท้” เพลิงมองลูกประคบในมือยมก่อนจะยิ้มแปลกๆออกมา “นี่ถ้าเอ็งเป็นหญิงนะ ข้าคิดว่าคุณเขมคงชอบพอเอ็งเป็นแน่”
     นี่เป็นครั้งที่เท่ากันนะที่ถูกเปรียบเทียบเขาเป็นเป็นหญิงเนี่ย!
     “เอ้าๆไอ้ยม ข้าเย้าเอ็งเล่น ไม่เห็นต้องทำหน้าบูดบึ้งเลย ฮ่าๆๆ” เพลิงหัวเราะออกมาดังลั่น ทำเอายมได้แต่ส่ายหน้าระอา
     “จะหัวเราะอีกนานไหมเพลิง?”
     น้ำเสียงดุดันทว่าแฝงไปด้วยความนุ่มนวลทำเอาทาสร่างใหญ่ทำหน้าหงอลงทันที ยมก้มหน้าซ่อนรอยยิ้มเล็กๆ
      คุณเขมช่วยเขาไว้อีกแล้ว...
     “ฉันใช้ให้เจ้าไปบอกป้าฟัก ว่าวันนี้ให้แยกสำรับข้ามาต่างหากมิใช่รึ?”
     “ขอประทานโทษขอรับ” เพลิงได้แต่ยิ้มแหยๆ “บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้แหละขอรับ”
    “ไม่ต้อง” ร่างสูงของคุณเขมเดินเข้ามาใกล้ยมกับเพลิงที่นั่งก้มหน้าคุกเข่า “เดี๋ยวข้าใช้ยมเอง เอ็งจะไปทำอะไรก็ไป”
      “ขอรับๆ”
      เมื่อเพลิงไปแล้ว คุณเขมก็นั่งยองข้างหน้าเด็กหนุ่ม ก่อนจะยื่นมือมาเชยคางให้เด็กน้อยสบตา ตอนนี้ใบหน้าหวานแดงก่ำ ในหัวยังนึกถึงเรื่องราวเมื่อคืนอยู่เลย
      “ประคบแผลเพิ่มแล้วใช่ไหมยม?” คุณเขมปรับน้ำเสียงอ่อนลงถามคนตัวเล็ก
      “ขอรับ” ยมเผลอตอบรับแบบที่เคยชิน ทำเอาคุณเขมต้องทำตาดุเป็นสัญญาณให้คนตัวเล็กพูดใหม่
      โธ่...ก็มันไม่ชินนี่นา
     “ประคบเพิ่มแล้วจ้ะพี่เขม ยมไม่ค่อยเจ็บเท่าไหร่แล้ว”
       “ดีแล้ว” คุณเขมยิ้มอย่างพอใจ “เดี๋ยวยมจะไปที่โรงครัวตั้งสำรับอีกหรือไม่?”
      “ไปจ้ะ ยมต้องไปช่วยป้าฟักตั้งสำรับอยู่แล้ว”
      “พอดีวันนี้พี่ตั้งใจทบทวนตำรา จึงใช้ให้เพลิงไปบอกป้าฟักให้แยกสำรับมาต่างหาก แต่ตอนนี้ พี่วานเจ้าแทนได้หรือไม่?”
      “ได้จ้ะ ยมจะบอกป้าฟักให้นะจ๊ะ”
      ยมลุกขึ้นก่อนที่จะเดินโค้งศีรษะผ่านร่างสูง ทว่าเสียงคุณเขมกลับเรียกไว้
      “ยม” เด็กหนุ่มหันกลับมา เผื่อว่าคุณเขมอาจต้องการสั่งสิ่งใดเพิ่มเติม
      “วันนี้ทำข้าวหุงมาให้พี่อีกนะ”
       ในโรงครัวเหมือนทุกๆวันที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นเสียงของป้าฟักที่คอยดูเตาปรุงอาหารไปสั่วบ่าวไร่ไป เสียงของตะหลิวกระทบกระทะเพื่อปรุงอาหารชั้นเลิศจนเกิดควันโขมง บางทีก็เป็นเสียงของเหล่าทาสที่ส่วนมากเป็นทาสหญิงนั่งเด็ดผักแล้วซุบซิบนินทาเรื่องของคนอื่นอย่างสนุกปาก
       “นี่ๆ เอ็งรู้รึยังอีปริก ว่าอีทองมันเพิ่งขอลาคุณหลวงกลับบ้านนอกไปทำนาเมื่อเช้านี้เอง”
      “จริงรึ แล้วคุณเขลางค์ยอมรึนั่น เห็นว่าเป็นนางทาสคนโปรดเสียด้วย”
      “ข้าได้ยินมาว่าผัวมันเอาอัฐิมาไถ่มันออกไป คุณหลวงก็มิได้ว่ากระไรนะ ส่วนคุณเขลางค์คงต้องตามใจคุณหลวงนั่นแหละ จะกักไว้ก็คงไม่ดี เพราะหลวงท่านประกาศเลิกทาสมานานแล้วด้วย”
        นางทาสทั้งสองยังคงนั่งนินทาต่อ จนลืมไปว่ามีเด็กหนุ่มกำลังนั่งแกะสลักผลไม้ได้ยินเรื่องของนางทาสที่ชื่อทองชัดเจน ยมจำได้แม่นเพราะก่อนที่หลวงวินิตจะกลับมา คุณเขลางค์ก็ได้ทรมานนางทาสที่ชื่อทองก่อนหน้าตน
       ถึงทองจะรอดพ้นจากน้ำมือคุณหญิง แต่ความเจ็บปวดที่ได้รับจากนรกบนดิน ทองคงจะต้องจำไปจนตาย
      แม้จะพ้นสภาพความเป็นทาส...แต่ความลับก็คงจะเป็นความลับตลอดไป เพื่อรักษาชีวิตของตนไว้
       ถึงหลวงท่านจะประกาศเลิกทาส  จนบัดนี้แผ่นดินมีรัชกาลองค์ใหม่แล้ว แต่คุณหลวงก็ยังคงเมตตาให้ที่พำนักแก่เหล่าทาสที่ไร้ที่ไป รวมถึงยม...เด็กกำพร้าที่ไม่มีใครสนใจจนต้องมาขอฝากตัวเป็นทาส ด้วยไร้ทั้งบ้าน พ่อแม่ ญาติมิตร โชคดีที่ยมเป็นเด็กหัวไว ด้วยความที่ต้องทำงานในโรงครัวและเทียวไปเทียวมาทั้งสามเรือนตลอด ทำให้ยมมีฝีมือในด้านการทำอาหารและแกะสลักจากการดูป้าฟัก มีฝีมือในการร้อยมาลัยและจัดดอกไม้จากการแอบมองคุณเขลางค์ยามที่มีงานใหญ่บนเรือน และพอมีความรู้ด้านสมุนไพรจากคุณเขม ซึ่งต่างกันตรงที่ว่า คุณเขมสอนยมด้วยความจริงใจ ไม่ต้องไปคอยแอบดูอย่างสองรายที่ผ่านมา
        แต่โชคชะตาคงเล่นตลก...ตรงที่ว่าเขากลายเป็นทาสที่คุณเขลางค์ชิงชัง ต้องถูกลงหวายทรมานยามที่หลวงวินิตไปราชการ เขาควรจะหนีมากกว่าอยู่
       หากจะทำอย่างไร ในเมื่อคนที่ยมรักและจงรักภักดียังอยู่ที่นี่
     แม้ว่า...เขาจะเป็นสายเลือดของหญิงอำมหิตคนนั้นก็ตาม
    ยมส่ายหัวสลัดความคิดออกไป ก่อนจะก้มหน้าก้มตาแกะสลักแตงกวาต่อจนเสร็จ แล้วจึงเดินไปตักข้าวสวย ตามด้วยเครื่องเทศที่ตระเตรียมไว้เสร็จสรรพ
      เพื่อปรุงข้าวหุงสุดฝีมือให้กับคนที่ตั้งใจทบทวนตำราบนเรือน
       “คุณเขมขอรับ บ่าวยกสำรับขึ้นมาแล้วขอรับ”
     หลังจากที่ในครัวตั้งสำรับเสร็จ ป้าฟักก็วานให้ยมเป็นคนนำสำรับไปให้คุณเขมแทน ส่วนสำรับของหลวงวินิตกับคุณเขลางค์เป็นหน้าที่ของทาสคนอื่นๆ
        “มาแล้วรึ?” คุณเขมใช้ปากกาคั่นตำราไว้แล้ววางลง ร่างเล็กจึงยกสำรับที่ส่งกลิ่นหอมมาตั้งไว้บนโต๊ะไม้กลางเรือน แล้วทำท่าจะเดินออกไป
      “ไม่ต้องไปไหนหรอกยม รอเก็บสำรับทีเดียว พี่ทานไม่นาน”
     เด็กหนุ่มจึงต้องนั่งพับเพียบลงกับพื้น ด้วยคุณเขมกำชับมิให้ยมนั่งหมอบดังเช่นทาสคนอื่นๆในเรือน
       “ไหนวันนี้ นอกจากข้าวหุงแล้วมีอะไรอีก” คุณเขมเปิดฝาชามกับข้าวชามหนึ่ง พบว่าด้านในเป็นไข่ที่ถูกเจียวแล้วทำเป็นตาข่ายห่อไส้หมูสับผัดกับหัวหอม
      “พอดีวันนี้คุณหลวงอยากทานล่าเตียง ป้าฟักจึงให้พวกบ่าวช่วยกันทำน่ะจ้ะพี่เขม”
     “พี่เคยเห็นที่แม่ครัวที่โรงเรียนเขาก็ทำคล้ายแบบนี้ แต่ไข่ที่ห่อจะเรียบ ไม่ได้เป็นแพแบบนี้หรอก”
      “ถ้าเป็นแบบนั้นเขาเรียกหรุ่มจ้ะ จะคล้ายๆล่าเตียง ต่างกันตรงรูปไข่ที่ใช้ห่อไส้เท่านั้นเอง”
       คุณเขมยิ้มเมื่อคนตัวเล็กอธิบายได้อย่างเชี่ยวชาญ เขาไม่เคยคิดว่ายมเป็นเด็กอวดดีอย่างที่พวกทาสคนอื่นซุบซิบนินทา กลับมองว่ายมฉลาดเกินวัยไปเสียด้วยซ้ำ
       “แล้วนี่อะไร?” คุณเขมเปืดฝาอีกชาม ด้านในเป็นผัดผักใบเขียว มีกลิ่นหอมของกระเทียมกับน้ำปลาแทรกมานิดๆ
      “ผัดผักหวานจ้ะ อันนี้ยมทำเอง ไว้ทานเคียงกับข้าวหุง”
     คุณเขมไม่ได้อะไรออกมาอีก ชายหนุ่มตักผัดผักทานคู่กับข้าวหุง โดยมียมคอยมองตาแป๋วอยู่เป็นระยะ
      “ผัดผักรสดีนะ ไม่เค็มไม่จืดไป…”
      เด็กหนุ่มยิ้มน้อยๆเมื่อได้ฟังคำชื่นชม ทว่าก็ต้องหน้าแดงไปอีกเมื่อคุณเขมพูดประโยคถัดมา
      “ส่วนข้าวหุง ยังรสดีเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ยิ่งเป็นรสมือของเจ้า พี่ยิ่งชอบนัก”
     เมื่อเห็นว่าเด็กน้อยก้มหน้าก้มตาเพื่อซ่อนใบหน้าแดงก่ำ คุณเขมจึงหัวเราะเบาๆแล้วหยุดหยอกล้อเพื่อรับอาหารต่อไป ส่วนยมที่รอเก็บสำรับมองไปยังหนังสือที่วางอยู่ข้างๆตัวคุณเขมด้วยความสนใจ
      “สนใจวรรณคดีด้วยหรือไร?”
     เสียงนุ่มทุ้มที่ถามทำให้ยมต้องเลิกจ้องหนังสือ หากแต่คุณเขมยิ้มน้อยๆ ก่อนวางช้อนลงแล้วส่งหนังสือให้คนตัวเล็กดู
     “นี่วรรณคดีเรื่องเงาะป่า เป็นบทพระราชนิพนธ์ของในหลวงรัชกาลก่อน”
       คุณเขมอธิบายแล้วนึกสะท้อนในอกอย่างใจหาย ยามที่กล่าวถึงพระมหากษัตริย์รัชกาลก่อนที่บัดนี้เสด็จสวรรคตไปแล้ว
      “รู้ไหม ว่าพระองค์ใช้เวลาแต่งเรื่องนี้เพียงแปดวันเท่านั้นเอง วรรณคดีเรื่องนี้ก็เป็นที่นิยมจนถึงขั้นกลายเป็นบทเรียนภาษาไทยของโรงเรียนตั้งแต่วันแรกที่ได้ตีพิมพ์”
       “พระองค์มีพระปรีชาเหลือเกินจ้ะ” ยมรับหนังสือมาเปิดดูอย่างเบามือ ด้านในมีแต่บทกลอนเต็มไปหมด ปกติตัวหนังสือทั่วไปว่าอ่านยากแล้ว ยมที่พออ่านตัวหนังสือออกได้บ้างก็ถึงกับทำหน้างงไปชั่วขณะ
      “ยมแปลไม่ออกหรอกจ้ะ ถึงพี่เขมจะเคยสอนหนังสือยมแล้วก็เถอะ แต่แบบนี้ยากเกินไปสำหรับยมจริงๆ”
      เด็กน้อยบ่นอย่างเสียดาย แม้ในใจลึกๆนั้นอยากรู้เรื่องราวของวรรณคดีเรื่องนี้เป็นอย่างมาก คุณเขมหัวเราะเล็กน้อย ก่อนจะยื่นมือไปลูบศีรษะป้อยๆ
      “ตอนเย็นมาหาพี่นะ พี่จะสอนเจ้าอ่าน”
       เด็กหนุ่มกลับลงไปทำงานของตนเองปกติ ทว่าวันนี้หัวใจของยมกลับเป็นสุขกว่าทุกวัน ท่ามกลางความทุกข์ที่ได้รับจากคุณหญิง กลับได้รับความสุขจากคุณเขมที่เปรียบเหมือนร่มเงาเย็นให้พึ่งพิง จนเด็กหนุ่มไม่อยากให้คุณเขมจากไปอีกเลย
       แต่ยมก็ทำได้เพียงแค่คิด เพราะพอพ้นห้าวันที่คุณเขมกลับมา ความทรมานก็อาจจะมาเยือนในไม่ช้า
       สู้เก็บเกี่ยวความสุขตอนนี้ให้มากที่สุดน่าจะดีกว่า
      ยมทำงานจนถึงยามเย็นจวบย่ำค่ำเหมือนทุกวัน ทาสคนอื่นพากันแยกย้ายไปพัก เด็กหนุ่มก็รีบมุ่งไปยังเรือนของคุณเขมทันที ยมยิ้มขึ้นเมื่อเห็นว่าคุณเขมกำลังอ่านหนังสือวรรณคดีเรื่องเงาะป่าอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในสวน
       “ยมมาแล้วจ้ะ” เมื่อเด็กหนุ่มเห็นว่าไม่มีผู้ใดเดินผ่าน ยมจึงเรียกแทนตัวเองด้วยชื่ออย่างไม่สะดุด คุณเขมเงยหน้าขึ้นจากหนังสือ
       “มานั่งใกล้ๆพี่สิยม”
       ยมเดินมานั่งใกล้ร่างสูงอย่างว่าง่าย
      “พี่จะเล่าเรื่องย่อคร่าวๆให้ยมฟังก่อน เวลาแปลกลอนจะได้พอจับใจความได้  ดีหรือไม่?”
       “จ้ะ” ยมพยักหน้ารับ คุณเขมจึงเริ่มเล่าเรื่องย่อของเงาะป่าให้เด็กน้อยฟังโดยไม่มีติดขัด
      “เงาะป่า...เป็นเรื่องราวรักสามเส้าระหว่างตัวละครที่ชื่อซมพลา ลำหับ แล้วก็ฮเนา แท้จริงแล้วซมพลารักกับลำหับอยู่แล้ว แต่ลำหับถูกพ่อแม่จับคลุมถุงชนให้แต่งงานกับฮเนา ซมพลาตัดสินใจพาคนรักหนีตามแม้จะรู้ว่าผิดผี ฮเนาจึงตามมาล้างแค้นหมายจะชิงลำหับกลับไป ซมพลาปกป้องคนรักไว้จนตัวตาย ด้วยความเสียใจลำหับจึงใช้มีดของซมพลาฆ่าตัวตาย ฮเนารู้สึกผิดก็เลยฆ่าตัวตายไปอีกคน ศพของทั้งสามถูกฝังให้อยู่ด้วยกันในป่าใกล้หมู่บ้านซาไกนั้นเอง”
      เมื่อได้ฟังเรื่องราวย่อๆ ยมก็ทำหน้าเศร้าไปชั่วขณะ ไม่คิดว่าวรรณคดีเรื่องเงาะป่าจะมีเนื้อเรื่องที่เศร้าได้ถึงขนาดนี้
      “เศร้าเหลือเกินจ้ะพี่เขม ยมสงสารทั้งสามคนเลยที่ต้องมาตายเพราะความรัก”
      “เนื้อเรื่องอาจจะฟังแล้วเศร้านัก แต่ครูที่โรงเรียนบอกพี่ว่า นอกจากเนื้อเรื่องที่เศร้ากินใจผู้อ่าน เรื่องเงาะป่ายังมีอะไรที่มากกว่าความรัก นั่นคือบทกลอนที่แฝงไปด้วยวิถีชีวิตของชาวซาไก บทขบขัน บทโศก ความงามของธรรมชาติที่ถูกร้อยเรียงผ่านภาษา พี่คิดว่าหากเจ้าอ่านจนจบ เจ้าอาจจะอยากอ่านวรรณคดีเรื่องอื่นก็เป็นได้”
      “จริงหรือจ๊ะพี่เขม?”
     “พี่จะปดด้วยเหตุใดเล่า” คุณเขมเปิดหนังสือให้คนตัวเล็กดูบทกลอนบางส่วนจนถึงหน้าสุดท้าย ก็เห็นบันทึกท้ายเล่มมีใจความว่า
      พระนิพนธ์เงาะป่าว่าตามเค้า
คนังเล่าแต่งต่อล้อมันเล่น
ใช้ภาษาเงาะป่าว่ายากเย็น
แต่พอเห็นเงื่อนเงาเข้าใจกัน
ทำแปดวันครั้นมาถึงวันศุกร์
สิ้นสนุกไม่มีที่ข้อขัน
วันที่สองของเดือนกุมภาพันธ์
ศกร้อยยี่สิบสี่มั่นจบหมดเอย
     “คนังเป็นใครหรือจ๊ะพี่เขม?”  ยมสะดุดชื่อแปลกตาตรงวรรคที่สอง หรือจะเป็นชื่อของผู้ที่ช่วยในหลวงท่านแต่งเรื่องเงาะป่ากันนะ
      “คนังเป็นเด็กชาวซาไกที่ในหลวงทรงรับอุปการะ พระองค์จึงได้รับรู้วิถีชีวิตของชาวซาไก  ภาษาก็อย และวัฒนธรรมที่แทรกอยู่ในหนังสือ ก็มาจากคนังนี่แหละ พระองค์ถึงได้แต่งเสร็จภายในแปดวันไม่ติดขัด”
      เมื่อเห็นคนตัวเล็กเริ่มเข้าใจมากขึ้น คุณเขมจึงเปิดหนังสือหน้าแรกแล้วอ่านออกเสียงให้ยมฟัง พอจบบทหนึ่งก็จะแปลความหมายกลอนบทนั้นให้ฟัง ยมจึงพอเข้าใจวิธีการอ่านนี้มากขึ้น คุณเขมอ่านกลอนมาเรื่อยๆ จนท้องฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นกลางคืน
       “เห็นฝูงปลามาเป็นพรวนทวนกระแส                  สองเงาะแบมือจ้องเที่ยวมองจับ
เหยียบศิลากลิ้งกลมลื่นล้มพับ                                  ลงนอนทับกันงอนหง่อหัวร่อริก…”
        อ่านถึงแค่นั้น คุณเขมรู้สึกได้ถึงน้ำหนักตรงหัวไหล่จึงหันมา ก็พบว่าเด็กน้อยเผลอเอียงศีรษะมาซบหลับไปเสียแล้ว
       “ยม...” คุณเขมเรียกคนตัวเล็กเบาๆ แต่กลับได้ยินเสียงอือๆตอบกลับมาแค่นั้น เมื่อเห็นว่ายังไงคนตัวเล็กไม่ยอมตื่นขึ้นมาง่ายๆ คุณเขมจึงโอบอุ้มร่างเล็กไปนอนที่เรือนทาส เมื่อเปิดประตูเข้ามาด้านใน แขนแกร่งจึงค่อยๆวางคนตัวเล็กลงนอนกับเสื่อ คุณเขมออกไปตักน้ำในตุ่ม แล้วหยิบผ้าจุ่มในน้ำหมาดๆ แล้วบรรจงเช็ดไปตามใบหน้าหวาน
        “อื้อ...”
      ด้วยเกรงว่ายมจะตื่น คุณเขมจึงรีบเช็ดตัวตามลำแขนเล็กอีกเล็กน้อยแล้ววางขันน้ำไว้ตรงหัวนอน  พร้อมกับวางหนังสือเงาะป่าลงข้างๆเด็กน้อยที่ยังคงหลับใหล
      “พรุ่งนี้พี่จะมาพบเจ้าอีก...คนดี”
      ริมฝีปากหยักศกประทับลงบนหน้าผากมนแผ่วเบา เขาไม่สนใจว่าร่างน้อยที่หลับอยู่จะมีอายุเพียงสิบสองซึ่งห่างจากเขานัก จะทำอย่างไรได้...
     ในเมื่อคุณเขมเอง...ก็มอบหัวใจให้กับเด็กน้อยคนนี้ตั้งแต่เมื่อสามปีที่แล้วเช่นกัน

ออฟไลน์ Amazing princess

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
Re: เรือนร้าว(YAOI)
«ตอบ #4 เมื่อ10-01-2018 19:46:31 »

เรือนร้าว4
ตอน น้ำตาลปั้น
      นี่เป็นวันที่สี่แล้วที่คุณเขมกลับมาที่เรือนของหลวงวินิต คุณเขมมักใช้เวลาไปกับตำราเรียนเพื่อเตรียมสอบไล่ก่อนจะกลับไปยังโรงเรียนอีกสองวัน ยามเย็นคุณเขมจึงพักสายตามาคอยสอนยมอ่านเรื่องเงาะป่า ร่างสูงแทบไม่ต้องคอยอ่านคอยแปลให้ฟังเหมือนคราแรกนัก เพราะเด็กน้อยหัวไวพอที่จะจับใจความบทกลอนได้แล้ว
    “วันนี้พอแค่นี้ก็ได้ยม”
    “ขอรับ” เด็กหนุ่มพยักหน้าว่าง่าย
   “เจ้าอ่านเก่งขึ้นทุกวัน พี่กลับมาจากโรงเรียนอีกที ยมคงจะอ่านจนจบเล่มแล้วกระมัง”
    ยมได้ฟังเช่นนั้นหัวใจก็หล่นวูบ ชายที่เปรียบเหมือนร่มเงาเย็นกำลังจะจากเขาไปอีกแล้ว วันเวลาห้าวันใครว่ายาวนาน มันช่างแสนสั้นเหลือเกิน
      “ยมขอกลับเรือนทาสก่อนนะจ๊ะ”
     ร่างเล็กลุกขึ้นพรวด ทว่ามือใหญ่กลับรั้งข้อมือเด็กน้อยไว้
    “วันนี้ที่มีงานที่ภูเขาทอง” คุณเขมเอ่ยก่อนจะลุกขึ้นตาม จับมือให้ยมหันมามองเขา “พี่อยากจะไปเดินเที่ยวเสียหน่อย พี่ขออนุญาตคุณพ่อแล้ว”
    “แล้วอย่างไรล่ะจ๊ะ? จะให้ยมไปตามพี่เพลิงพี่มั่นหรือไม่?”
   “สองคนนั่นไม่ไปหรอก แต่พี่จะพาเจ้าไป”
   ยมเบิกตาขึ้นอย่างงุนงง ไปงานทำบุญใหญ่กับคุณเขม...สองคน?
   “ไม่ต้องคิดอันใดแล้ว ไปกันเถิดยม”
     
         คุณเขมพายมนั่งรถลากมาลงที่งานวัดภูเขาทอง ซึ่งชายหนุ่มได้ยินมาว่าวันนี้น่าจะจัดเป็นคืนสุดท้ายเพิ่อให้ชาวพุทธทุกคนได้ขึ้นไปสักการะพระบรมสารีริกธาตุบนภูเขาทอง และเปิดให้พ่อค้าแม่ค้าเข้ามาเร่ขายของเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังมีการแสดงที่มาซ้ำให้คนในงานได้ดู ไม่ว่าจะเป็นโขน ลิเก มวยไทย งิ้ว และการละเล่นพื้นบ้านจำนวนมาก
       “น้องเขมเคยมาที่นี่ไหม?” ร่างสูงถามคนตัวเล็กที่เดินมองสินค้าแปลกใหม่ที่นำมาเร่ขายด้วยความตื่นตาตื่นใจ
       “ไม่เคยจ้ะ ได้ออกมาอย่างมากเพียงแค่จ่ายตลาดใกล้เรือนเท่านั้น ยังไม่เคยมาเดินงานทำบุญอย่างนี้หรอกจ้ะ”
        “ถ้าอย่างนั้น เราขึ้นไปด้านบนภูเขาทองก่อนดีกว่า เสร็จแล้วพี่จะพายมลงมาเที่ยวต่อ”
        ร่างสูงจูงมือเด็กน้อยเดินปะปนกับกลุ่มชาวบ้านขึ้นไปยังพระบรมบรรพต คุณเขมชวนยมสักการะและปิดทองพระบรมสารีริกธาตุ 
         “ทำแบบนี้นะยม...” เมื่อเห็นว่าตอนปิดทองคงตัวเล็กยังทำแผ่นสีทองร่วงลงพื้น มือใหญ่จึงจับมือเล็กคลี่แผ่นปิดทอง แล้วใช้นิ้วโป้งช่วยกดทับจนมันไม่ร่วงลงมาได้อีก
        “ขอบคุณจ้ะ” ยมหันมาสบตาเข้ากับคุณเขมพอดี  พบว่าตอนนี้ร่างเล็กอยู่ในอ้อมกอดของคนตัวสูง ใบหน้าหวานแดงก่ำพร้อมบางสิ่งในอกที่เต้นรัวคล้ายกลอง เมื่อเห็นท่าไม่ดีเด็กหนุ่มจึงค่อยๆมุดออกจากวงแขนแกร่ง นั่นทำให้คุณเขมหัวเราะน้อยๆกับการกระทำน่ารักของเด็กน้อย
      คุณเขมพาเด็กยมตัวน้อยเที่ยวชมบริเวณรอบๆทำให้ยมได้เห็นวิวสวยๆจากด้านบน เด็กหนุ่มรู้สึกได้ทันทีเลยว่าคนด้านล่างตัวเล็กเท่ามดก็วันนี้เอง
         “พี่จะพายมลงไปข้างล่างแล้ว อยากเที่ยวบนนี้อีกหน่อยไหม?”
        “ไม่ล่ะจ้ะ ลงไปกันเลยก็ได้”
         เมื่อได้ยินดังนั้นคุณเขมจึงพาเด็กน้อยลงมาจากภูเขาทองเพื่อเดินดูสินค้าต่อ ร่างสูงจับมือเด็กน้อยไว้แน่นด้วยค่อนข้างมั่นใจว่าจะไม่เจอเพื่อนที่โรงเรียนหรือคนรู้จักแถวนี้
         “นั่นน่ะน้ำตาลปั้น”  คุณเขมมองยมที่จ้องขนมที่ถูกปั้นเป็นรูปต่างๆแปลกตาด้วยความเอ็นดู
          “ยมไม่เคยเห็นขนมแบบนี้เลยจ้ะพี่เขม”
         “งั้นยมรอพี่ตรงนี้นะ”
         เมื่อเด็กน้อยพยักหน้ารับ คุณเขมจึงเดินไปเลือกน้ำตาลปั้นมาชิ้นหนึ่ง เมื่อจ่ายอัฐเสร็จกำลังจะเดินกลับมาหายมที่ยืนคอยอยู่
        “พี่เขมคะ...”
        อยู่ๆก็มีเสียงหวานของผู้หญิงทักคุณเขมขึ้น เธอสวมชุดไทยลูกไม้คอกว้าง ประดับสร้อยไข่มุกยาวถึงทรวงอก นุ่งผ้าถุงสีอ่อนยาวถึงหน้าขา ไว้ผมสั้นหยักศกตามสมัยนิยมเข้ากับใบหน้าหวานจนมีชายอื่นต่างต้องเหลียวหลังมามอง จูงมือเด็กหญิงวัยหกขวบมาใกล้ร่างสูง
        “จำน้องมิได้หรือคะ? น้องจำปาบุตรสาวของหลวงอรรถกร เพื่อนของคุณพ่อพี่เขมอย่างไรล่ะคะ”
         “อ้อ” คุณเขมพอจะจำหญิงสาวตรงหน้าขึ้นมาได้บ้าง “พี่ได้ยินมาว่าน้องจำปาไปเรียนต่อที่ปีนัง ไม่คิดว่าจะได้เจอน้องที่นี่”
       “น้องเพิ่งกลับมาน่ะค่ะ เห็นว่าวันนี้มีงานภูเขาทองวันสุดท้ายเลยขออนุญาตคุณพ่อมาเที่ยว คุณพ่อก็เลยฝากแม่จำปีให้มากับน้องด้วยเสียเลย”
       “พี่จำปา  ไหนว่าจะพาน้องมาซื้อน้ำตาลปั้นมิใช่รึเจ้าคะ?” แม่จำปีเขย่าแขนพี่สาว ทำเอาพี่ๆทั้งสองหัวเราะน้อยๆด้วยความเอ็นดู
         ยมมองคุณเขมที่ยืนสนทนากับหญิงแปลกหน้าด้วยความรู้สึกที่โหวงๆจนไม่อาจอธิบายได้  ยิ่งเห็นคุณเขมยื่นน้ำตาลปั้นที่ตอนแรกบอกจะซื้อให้ตนกับแม่หญิงผู้งดงามคนนั้นแล้ว ดวงตาน้อยๆก็แทบจะร้องไห้เสียให้ได้ แต่ก็ต้องเก็บมันไว้ด้วยความเคยชิน เด็กน้อยยังคงรอคอยคุณเขมที่เดิม ผู้คนเริ่มเยอะขึ้นทุกที จนร่างเล็กร่างของใครสักคนเบียดเข้าเต็มๆ ยมหลับตาปี๋ด้วยคิดว่าร่างของตนต้องกองลงไปนั่งจ้ำเบ้ากับพื้นแน่ๆ
       หมับ!
      เด็กน้อยลืมตาขึ้นช้าๆ ร่างเล็กไม่ได้ร่วงลงไปนั่งกับพื้น ทว่าถูกใครสักคนรับไว้ได้ทันท่วงที
     “ระวังหน่อยสิ” ชายแปลกหน้าเอ่ย ก่อนจะปล่อยให้เด็กน้อยเป็นอิสระ
     “กระผมไม่ทันระวังจึงถูกเบียดเกือบล้ม  ขอบพระคุณคุณมากขอรับ”
      “คราวหลังก็ระวังหน่อยนะ” ใบหน้าหล่อยิ้มให้ยมอย่างเอ็นดู เด็กน้อยสำรวจคนตรงหน้า คนๆนี้คงมีอายุไล่เลี่ยหรืออาจจะมากกว่าคุณเขม
      “ขะ...ขอรับ”
      “เจ้าชื่ออะไรรึ?” ชายแปลกหน้าถามขึ้น  เขารู้สึกถูกชะตากับเด็กหนุ่มหน้าหวานคนนี้อย่างน่าประหลาด
       “เอ่อ...” ยังไม่ทันที่เด็กหนุ่มจะได้ตอบคำถาม  เสียงดุดันก็แทรกขึ้นมาเสียก่อน
        “ยม!” คุณเขมจ้องหน้าชายแปลกหน้าอย่างไม่พอใจ “ยมคุยกับใคร?”
       “ไม่มีอันใดหรอกจ้ะพี่เขม เมื่อครู่ยมถูกเบียดจนจะล้ม คุณคนนี้เลยเข้ามาช่วยยมไว้เฉยๆ”
      “นี่พี่ชายเจ้ารึ?” ชายหนุ่มเลิกคิ้ว “คงมัวแต่จู๋จี๋กับสาวจนลืมน้อง ดูแลน้องให้ดีๆหน่อยสิ นี่ยังดีที่เกือบล้ม หากน้องเจ้าถูกจับไปขายจะว่าอย่างไร?  ผู้คนยิ่งละลานตาออกขนาดนี้”
       คุณเขมไม่ได้ตอบโต้ ทำได้เพียงแต่ระงับอารมณ์ของตัวเองไว้ เพราะเกรงว่าหากไปมีเรื่องแล้วรู้ถึงหูของหลวงวินิตคงไม่ดีต่อเขาและยมแน่
       “ผมขอตัวก่อนก็แล้วกัน” เขายื่นมือมาแตะไหล่ยมเบาๆ “หากมีโอกาส เราคงได้พบกันอีกนะ...ยม”
       ก่อนที่คุณเขมจะพรวดเข้ามาปัดมือชายแปลกหน้าออก ร่างสูงก็เดินจากไปอย่างรวดเร็วเสียแล้ว คุณเขมนับหนึ่งถึงสิบในใจเพื่อระงับอารมณ์มาพูดน้ำเสียงอ่อนลงกับยม
       “พี่ขอโทษนะยม  ยมไม่เจ็บตรงไหนใช่ไหม?”
       “ยมไม่เป็นไรจ้ะ” ยมทำเป็นยิ้มกลบเกลื่อน “แล้วไหนล่ะจ๊ะ? ขนมของยม”
      “พี่ขอโทษนะ พอดีเมื่อสักครู่พี่เจอคนรู้จัก เขาพาน้องสาวมาด้วย พี่เลยสนทนานานไปหน่อย”
     “แล้วพี่เขมก็ให้ขนมที่พี่ซื้อให้ยมให้เขาไปใช่ไหมจ๊ะ?”
     เด็กน้อยเผลอถามคำถามงี่เง่าออกมาจนได้  ทั้งสองฝ่ายต่างเงียบ  ยมที่เพิ่งจะรู้ตัวว่าเผลอพูดประชดออกไปก็รู้สึกผิด
     “ยมขอโทษ...” คนตัวเล็กพูดเสียงสั่นก่อนจะวิ่งฝ่าผู้คนออกไป   เขาไม่เคยอ่อนแอมากถึงขนาดนี้  นี่เขาเผลอพูดอะไรออกไป  คุณเขมเป็นเจ้านายเป็นเจ้าชีวิต  เพียงแค่เอ็นดูเขามากกว่าทาสคนอื่นๆก็เท่านั้น 
      ยมวิ่งมาเรื่อยๆจนมาถึงยังริมแม่น้ำใกล้ภูเขาทอง ตรงนี้สงบเงียบเพราะผู้คนเข้าไปในงานกันหมด  เด็กน้อยนั่งชันเข่ากอดตัวเอง  ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมต้องน้อยใจมากถึงขนาดนี้  คุณเขมหาใช่คนรักของตนไม่ 
      ก็แค่แอบรักแอบชื่นชม  จะไปเรียกร้องให้ได้อะไรกัน...
     “ยม...” เมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กนั่งกอดเข่าอยู่ใกล้ริมแม่น้ำคนเดียวจึงรีบวิ่งเข้าไปหาทันที  ยมยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติงแม้จะรับรู้ว่ามีคนมานั่งข้างๆ
      “รู้ไหมพี่ตกใจขนาดไหน ที่อยู่ๆยมก็วิ่งออกมาจากงานแบบนี้  พี่เป็นห่วงยมนะ”
      ใบหน้าหวานหันมามอง  น้ำตาที่ไม่เคยไหลในรอบหลายปีหยาดลงมาอาบแก้มเนียน  คุณเขมตกใจที่อยู่ๆเด็กน้อยของเขาร้องไห้ออกมา  เขาไม่ชอบเอาเสียเลย...
       “ร้องไห้ทำไมยม ไม่เอานะพี่ขอโทษ พี่ไม่ได้ตั้งใจเอาของๆยมให้คนอื่น พี่เพียงรักษามารยาทกับคนรู้จักของคุณพ่อเท่านั้น ไม่อย่างนั้นอาจเสียมาถึงคุณพ่อได้”
         เมื่อนึกได้  คุณเขมก็ยื่นน้ำตาลปั้นอันใหม่ให้เด็กน้อย  นิ้วก็เกลี่ยน้ำตาบนใบหน้าหวานด้วยความรู้สึกผิด
        “พี่ซื้อน้ำตาลปั้นมาให้ยมใหม่ หายโกรธพี่ได้รึยัง?”
         “ยมขอโทษที่พูดแบบนั้นออกไป  ยมไม่ได้ตั้งใจ...” เสียงเด็กน้อยอ่อนลง ไม่มีเสียงสะอื้นให้ได้ยิน
        “พี่ไม่โกรธยมเลยนะ...” ร่างสูงขยับเข้าไปใกล้ “ยมรู้ไหม? ตอนที่ผู้ชายคนนั้นเข้ามาประคองยม พี่รู้สึกอย่างไร”
         ยมส่ายหน้าช้าๆ
        “พี่โกรธตัวเองที่ทิ้งยมจนยมเกือบล้ม แล้วพี่ก็ไม่พอใจผู้ชายคนนั้น จะว่าอย่างไรดี...เช่นนั้นพี่บอกตรงๆเลยนะ...พี่หวงยม”
          พี่หวงยม...
        “แล้วยมเล่า...หวงพี่บ้างหรือไม่?”
        เด็กน้อยเบือนหน้าไปอีกทางเพื่อซ่อนใบหน้าแดงก่ำ ในขณะที่ร่างสูงขยับเข้ามาแนบชิดจนไม่เหลือช่องว่าง
     “ยมมีสิทธิ์หวงพี่เขมด้วยหรือจ๊ะ?”
      “ทำไมจะมิได้...” มือใหญ่ประคองหน้าหวาน ก่อนจะกระซิบแผ่วเบา "ในเมื่อเรารักกัน"
ในเมื่อเรารักกัน...
      “พะ...พี่เขม" เด็กน้อยเบิกตาโพลง เขาไม่ได้ฝันหรือหูฝาดไปใช่หรือไม่
      “ที่พี่บอกเจ้าเมื่อตอนนั้น เจ้ายังไม่แจ้งแก่ใจอีกหรือ?”
       ตอนนั้น...
      หรือว่า...?
     “สำหรับพี่...เจ้าคือคนสำคัญ”
     คุณเขมพูดย้ำออกมาเหมือนเมื่อคืนนั้น มือใหญ่ประกบกับมือของคนตัวเล็ก
    “พี่รู้ว่ามันเร็วเกินไปสำหรับยม แต่พี่ก็ห้ามใจตัวเองไม่ได้เช่นกัน”
     ตึกตัก...ตึกตัก...
   “พี่รักเจ้า รักมากเหลือเกิน”
   “พี่เขม...”
    ไม่มีเสียงเอื้อนเอ่ยใดๆออกมาอีก คุณเขมบรรจงประทับริมฝีปากลงบนกลีบปากนิ่มของอีกฝ่าย จูบนี้มิได้ดูดดื่มลึกซึ้ง หากแต่หวานล้ำจนน้ำตาลปั้นที่ซื้อมากลายเป็นหม้ายทันที
สองมือประสานไม่พรากจาก เช่นเดียวกับหัวใจสองดวงที่สอดประสาน
     จนอยากให้โลกนี้หยุดหมุนตราบนานเท่านาน...



**ต้องให้รักกันเร็วหน่อยค่ะ เพราะดราม่ามันเริ่มจากนี้

ออฟไลน์ Amazing princess

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
Re: เรือนร้าว(YAOI)
«ตอบ #5 เมื่อ15-01-2018 18:08:01 »

เรือนร้าว5
ตอน คนรักที่ห่างไกล...กับชายคนนั้น
วันนี้แล้วที่คุณเขมจะต้องกลับไปยังโรงเรียน ทั้งที่เพิ่งจะมีความสุขที่สมหวังแท้ๆ ยมกับคุณเขมจะต้องจากกันอีกแล้ว กว่าคุณเขมจะสอบไล่เสร็จแล้วกลับมาอีกครั้ง เห็นทีจะเป็นเดือนหน้า

  ยมพอจะรู้เรื่องที่คุณเขมอาจจะได้ไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษจากพวกนางทาสที่แอบซุบซิบกัน เด็กหนุ่มไม่รู้หรอกว่าประเทศอังกฤษที่ว่านั้นอยู่ที่ไหน แต่มันต้องไกลมากแน่ๆ

  เพียงเท่านี้เขาทั้งสองยังห่างกันไม่พออีกหรือไร?     

 แต่ถ้าหากคุณเขมต้องไปจริงๆ ยมคงจะห้ามอะไรไม่ได้ ในเมื่อเป็นความตั้งใจของคุณเขม เด็กหนุ่มก็ควรสนับสนุนคนรักจึงจะถูก     

 เด็กน้อยนั่งอยู่บนแคร่ไม้มองพระอาทิตย์ตกดิน ไม่กล้าไปแอบมองเรือนของคุณเขมอย่างที่เคยทำเพราะตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไป คำบอกรักที่คุณเขมพร่ำบอกตอนนั้นยังคงก้องอยู่ในหัว

“พี่รักเจ้า รักมากเหลือเกิน”       

      “ยม ยม”

      เสียงของเดือน...นางทาสที่แก่กว่ายมเกือบสิบปีเรียกเขาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลผิดกับกิริยาของนางทาสคนอื่น และเป็นคนเดียวที่ยมพอให้ความเคารพเป็นเหมือนพี่สาวคนหนึ่ง นอกจากพี่เพลิงกับพี่มั่น   

    “พอดีคุณเขมให้พี่ตามเอ็งขึ้นไปบนเรือนน่ะ เห็นว่าจะให้ไปช่วยเก็บของเพิ่มเติมก่อนจะไปท่าเรือวันนี้”     

  แม้เดือนจะแปลกใจที่คุณเขมก็มีผู้ช่วยคนสนิทอยู่แล้วสองคน แต่เหตุใดจึงต้องตามยมมาช่วยอีก หากแต่เมื่อเป็นคำสั่ง ทาสอย่างเดือนก็ต้องรับคำสั่งมาอยู่ดี   

    “ยมไม่ไปได้ไหมจ๊ะ?”     

  “ไปเถอะน่า คุณเขมกำลังจะกลับโรงเรียนแล้วนะ เอ็งไม่อยากไปส่งคุณรึ?”

 เด็กหนุ่มเบือนหน้าหนีทาสสาว ความคิดตอนนี้สองจิตสองใจนัก ใจหนึ่งก็อยากไปส่งคุณเขมให้ถึงท่าเรือ ทว่าอีกใจนั้นกลัวว่าเมื่อจะต้องลาคุณเขมจริงๆ เขาอาจจะร้องไห้ออกมาอีก        หากสักวันคุณเขมต้องไปไกลจริง ยมจะทำใจได้หรือไม่...     

“เดี๋ยวยมตามไปนะจ๊ะ” เด็กน้อยตอบกลับทาสรุ่นพี่ไปในที่สุด   

 “อือม์...พี่ไปนะ” 

 เมื่อเดือนเดินจากไปแล้ว เด็กน้อยหันมามองดวงอาทิตย์เป็นครั้งสุดท้าย แววตาของยมสั่นระริก กว่าคุณเขมจะกลับมาก็ตั้งเดือนหน้า  นั่นสิ...เขาควรจะไปส่งชายที่รักก่อนจะจากไกลอีกครั้ง

      “คุณเขม!”

     ยมวิ่งขึ้นไปบนเรือนของคุณเขมด้วยอยากเอ่ยลาให้หายคาใจ ทว่าร่างเล็กต้องหยุดเมื่อภายในห้องมีหลวงวินิตกับคุณเขลางค์กำลังพูดคุยกับบุตรชายอยู่

     “ไอ้ยม!เอ็งนี่ไร้มารยาทนัก วิ่งเสียงดังโครมครามขึ้นเรือนได้อย่างไร”

     เมื่อถูกคุณเขลางค์เอ็ดตะโรต่อหน้าหลวงวินิตกับคุณเขม ทำให้ทาสตัวน้อยต้องนั่งหมอบคลานเข้ามาแทน

      “บ่าวขออภัยขอรับ บ่าวไม่ทันเห็นคุณทั้งสอง” ยมพูดเสียงสั่น

     “จะเห็นไม่เห็นเอ็งก็ไม่ควรวิ่งเสียงดังเช่นนี้”

   “เอาล่ะๆ พอได้แล้วแม่เขลางค์” หลวงวินิตปรามภริยาเอก คุณเขลางค์จึงจำต้องเงียบแม้ดวงตาจะมองเด็กหนุ่มอย่างกินเลือดกินเนื้อ

     “เอ็งจะมาช่วยคุณเขมเก็บของใช่ไหมยม? ไม่ต้องแล้วล่ะ เอ็งรอไปส่งคุณเขมกับคนอื่นๆเถอะ”

     “ขอรับ...”

      เมื่อยมเงยหน้าก็พบว่าสายตาคมเข้มจ้องมองมาที่ตนอยู่แล้ว วันนี้คุณเขมแต่งกายด้วยเสื้อราชปะแตนตามกฎของโรงเรียนดูสง่างามนัก

     แม้ในใจมีหลายสิ่งจะอยากจะพูดเหลือเกิน ทว่าตอนนี้เด็กน้อยทำได้เพียงลงกลับไปยังเรือนทาส

   ภายในกล่องใบเล็กที่ยมแอบซุกไว้ใต้กองเสื้อผ้าแน่นหนา ด้านในมีแหวนทองที่ได้รับเมื่อสามปีก่อน และหนังสือเรื่องเงาะป่าที่มีใบไม้ใกล้แห้งเหี่ยวคั่นหน้าไว้...

  ตอนนี้เจ้าของหนังสือกำลังจะกลับไปเพื่อสอบไล่ปีสุดท้าย  ยมควรจะเอาไปคืนให้คุณเขมอ่านมากกว่า เพราะเห็นว่าเป็นบทเรียนภาษาไทยโรงเรียนของคุณเขม

        ถึงเขาจะยังอ่านไม่จบก็ตาม...

       สองมือกอดหนังสือเรื่องเงาะป่าไว้แน่น...แล้วเขาจะคืนคุณเขมเมื่อใด ในเมื่อคุณเขลางค์คอยจับผิดตนเองอยู่

      อีกแล้วที่ยมอยากจะร้องไห้...แต่ก็ร้องไม่ออก

       “ยม...”

      เสียงอบอุ่นแบบนี้...

      “พี่เขม”

      เด็กน้อยโผกอดร่างสูงราวกับคุณเขมจะจากไปไกลแสนไกล  มือใหญ่ลูบแผ่นหลังเบาๆ ริมฝีปากก็จูบซับขมับคนตัวเล็ก

       “พี่จะกลับมาเดือนหน้า เจ้ารอพี่ได้หรือไม่?”

      ไม่ไปได้ไหม...

      แต่สิ่งพูดออกมากลับสวนทางกับหัวใจ

      “จะกี่เดือนยมก็รอ พี่อย่าทิ้งยมก็พอนะจ๊ะ”

       ทั้งสองกอดอยู่เนิ่นนาน กระทั่งเด็กหนุ่มนึกอะไรบางอย่างได้

     “พี่ต้องใช้หนังสือเล่มนี้สอบไล่หรือไม่? ยมคืนให้จ้ะ”

      คุณเขมรับหนังสือเงาะป่ามา มือใหญ่เปิดหนังสือวางอะไรบางอย่างก่อนจะปิดส่งคืนให้ยมที่ยืนงุนงง

      “ยมเอาไปอ่านให้จบเถอะนะ สัญญาได้ไหมว่าถ้าพี่กลับมา เจ้าจะอ่านบทกลอนจนจบทั้งเล่ม”

        “แต่...”

       “สัญญาได้ไหมยม?”

      สายตาคมที่ตอนนี้เปลี่ยนคล้ายจะวิงวอน ทำให้ยมต้องกลืนคำถามที่อยากถามไปเสียจนหมด

       “จ้ะ”

    ฝ่ามืออบอุ่นยังคงประคองมือน้อยไม่ห่างไกล จวบจนย่ำค่ำ หลวงวินิตกับคุณเขลางค์มาส่งคุณเขมลงเรือที่ท่าน้ำด้านหน้าเรือนเรียบร้อย  เด็กหนุ่มเดินรั้งท้ายทาสคนอื่นๆเพื่อสบสายตากับร่างสูงที่มองกลับมายังตนจนเรือที่ชายหนุ่มนั่งเลือนรางไป

       ยมจะรอพี่เขม...รีบกลับมานะจ๊ะ



สามวันผ่านไป

        ทุกชีวิตที่อาศัยอยู่ในเรือนของหลงวินิตยังคงใช้ชีวิตเหมือนเช่นทุกวัน  ยมก็เช่นกัน  หากแต่เด็กหนุ่มหาได้ทำงานด้วยใจที่หดหู่ไม่  ในใจเขาสั่งให้อดทนนับเวลารอวันที่คุณเขมจะกลับมาพร้อมข่าวดี  ยมยังคงมาดูแลสวนของคุณเขมเหมือนเดิม บางครั้งยามว่าง เด็กหนุ่มก็จะอาสาขึ้นไปทำความสะอาด ปัดกวาดเช็ดถูบนเรือนคุณเขมเพื่อแทนความคิดถึงได้บ้าง

         “ยมจ๊ะ ป้าฟักฝากมาบอกว่าหากตักน้ำเสร็จแล้วให้ยมตามไปทำขนมรับรองแขกด้วยนะ วันนี้แขกของคุณหลวงจะมาที่เรือนน่ะ”

         “จ้ะพี่เดือน” ยมพยักหน้ารับรู้  เวลานี้เห็นจะมีแต่เดือนที่พอจะคุยแก้เหงาด้วยได้  ส่วนเข้มที่ถูกคุณเขมสั่งลงหวายเมื่อหลายวันก่อน  ยมก็ไม่ได้เห็นมันเข้ามายุ่งวุ่นวายอีกเลย  ซึ่งเป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว

         หลังจากตักน้ำตุ่มสุดท้ายเสร็จ ยมก็มาช่วยป้าฟักในโรงครัวทันที  เด็กหนุ่มชะงักเล็กน้อยเพื่อเจอคุณเขลางค์กำลังจัดจีบช่อม่วงอยู่บนแคร่ไม้โดยมีเฟื้องคอยช่วย ยมกลัวว่าจะถูกหาเรื่องอีกจึงนั่งคลานเข่าเข้าไปเงียบๆ

        “มาแล้วรึไอ้ยม?” คุณเขลางค์ถามทั้งที่ก้มหน้าบรรจงจัดจีบขนมอยู่  “พอดีข้าจะทำฝอยทองต้อนรับพระยามนตรีแขกของคุณพี่เพิ่ม แต่ตอนนี้ไข่ไก่หมด เอ็งไปเก็บที่เล้าไก่ให้ข้าหน่อยสิ”

       “แต่เมื่อเช้าป้าฟักเพิ่งจะให้บ่าวไปเก็บเองนะขอรับ” ตอนนี้ตาขวาเด็กหนุ่มเริ่มกระตุก นี่คุณเขลางค์จะแกล้งอะไรเขาอีก

       “อีฟักอาจเอาไปทำสำรับหมดแล้วก็ได้ ไปเก็บให้ข้าหน่อย หากเอ็งไม่ไป ข้ากับเอ็งเห็นดีกันแน่” ประโยคหลังคุณเขลางค์กล่าวด้วยน้ำเสียงทำเอายมหวาดหวั่น หากแต่น้ำเสียงที่กล่าวออกไปนั้นแฝงไปด้วยความแข็งกระด้างกลบเกลื่อนความกลัว

      “ขอรับ...บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้”

       เมื่อออกมาจากโรงครัวแล้ว ยมได้แต่กัดฟันกรอดด้วยรู้อยู่เต็มอกว่าถูกแกล้ง ไข่ไก่มันจะหมดเร็วขนาดนั้นได้อย่างไร ก็ในเมื่อเขาเก็บมาได้เต็มกระบุง รวมแล้วก็มากกว่าสิบฟอง

       แต่จะทำอย่างไรได้

       อดทนไว้ยม...อดทน

      สุดท้ายยมก็ต้องเดินมาถึงเล้าไก่จนได้  ยังดีที่เด็กหนุ่มยังเก็บไข่ไก่มาไม่หมดด้วยตั้งใจเหลือไว้สำหรับตั้งสำรับวันอื่นบ้าง หากแต่ยังไม่ทันที่เด็กน้อยจะผลักรั้วเข้าไป อยู่ๆก็มีมือประหลาดเข้ามาอุดปากใบหน้าหวานเสียก่อน

         “อื้อออ...อืออ!!”

         “เสร็จกูล่ะไอ้ยม!”

        นี่มันเสียงไอ้เข้ม!!

        “อ่อย อ่อยอ้าอะ!!!” คนตัวเล็กดิ้น ร้องโวยวายได้ไม่เต็มปากเพราะถูกอุดไว้อยู่

       “ปล่อยให้โง่รึ! คราวที่แล้วมึงทำกูเจ็บแสบมาก คราวนี้คุณเขมไม่อยู่ ดูซิว่าใครจะมาช่วยมึงได้ ฮ่าๆๆ อ๊ากกกกกกก!!!!!”

       ไอ้เข้มร้องลั่นเมื่อถูกมือถูกฟันของยมกัดเข้าอย่างแรงจนเลือดออกทำให้เผลอปล่อยคนตัวเล็ก ยมจึงสบโอกาสวิ่งกลับไปยังโรงครัวอย่างไม่คิดชีวิต

      “ไอ้ยม ฮึ่ย!! ตัวก็เล็กนิดเดียวแต่กัดเจ็บชิบหาย!!”  ไอ้เข้มได้แต่เจ็บใจเพราะให้วิ่งตามก็คงไม่ทัน เดี๋ยวทาสอ้ายอีคนอื่นจะเห็นแล้วแผนอาจจะล่ม ต้องถอยไปตั้งหลักก่อน

      “แฮ่กๆ หวังว่ามันคงตามไม่ทันหรอกนะ” เด็กน้อยวิ่งพลางหันไปมองด้านหลัง ทำให้ไม่ทันมองว่ามีกรวดหินแหลมคมอยู่ตรงหน้า

      “โอ๊ยยยย!”

     ร่างเล็กนอนลงไปกับพื้นหญ้าทันที หัวเข่าทั้งสองข้างมีเลือกออกจากการสะดุดกรวดหิน ยมลองขยับจะลุกขึ้น หากแต่ความเจ็บทำให้เด็กหนุ่มลุกไม่ขึ้น

      พี่เขม...

      หากพี่เขมยังอยู่  พี่เขมคงจะมาช่วยยมเหมือนตอนนั้น...

     “เจ้า...เจ้าเป็นอะไรไหม?”

     เสียงคุ้นหูเหมือนเคยได้ยินมาก่อนทำให้เด็กน้อยเงยหน้า  คนตรงหน้าของเขาคือชายร่างสูงที่มีหน้าตาออกไปทางลูกครึ่งแบบฝรั่ง ไว้ผมรองทรงประดับด้วยหมวกหางนกยูง สวมเสื้อราชปะแตนเต็มยศคล้ายข้าราชการ หากแต่โจงกระเบนที่ส่วมใส่ดูแปลกตาเพราะมันยาวถึงข้อเท้า

     “เอ๊ะ! นี่เจ้า…ยมใช่ไหม?”

     เด็กหนุ่มพิจารณาชายตรงหน้าอย่างงุนงงเมื่อเขาเรียกชื่อของตน ยมครุ่นคิดอยู่นาน แต่เมื่อมองใบหน้าหล่อเหลาที่ดูมาดเป็นคนรักสนุกแล้ว...

       หรือว่า...ชายคนนี้ คือคนที่เข้ามาช่วยเขาในงานภูเขาทองตอนนั้น!

      “คุณที่ช่วยกระผม เอ่อ...บ่าว ตอนนั้น...” ยมพึมพำ ดูจากการแต่งกายของคนตรงหน้า ทำให้ยมรู้แล้วว่าเขาหาใช่คนสามัญไม่

      “ตอนนั้นฉันอุตส่าห์ช่วยไม่ให้ล้ม แต่พอวันนี้เจ้ากลับซุ่มซ่ามเสียเอง น่าขันแท้ หึๆ” ร่างสูงลงมาประคองร่างเล็กเบาๆ

     “มันน่าขันอย่างไรเล่าขอรับ! เหวอ...” ยมโวยวายขึ้นทันทีเมื่อเห็นคนตรงหน้าหัวเราะเบาๆ แต่ก็ต้องตกใจเมื่อร่างของตนถูกโอบอุ้ม

      “ปล่อยนะขอรับ!”

      ร่างสูงพายมไปนั่งบนแคร่ไม้ใกล้ๆ โชคดีที่แถวนั้นมีตุ่มใส่น้ำใบใหญ่ตั้งอยู่  ร่างสูงเปลื้องเอาผ้าชายพกที่เอวจุ่มลงไปในขันน้ำแล้วบิดหมาดๆ จากนั้นจึงค่อยๆซับลงบนแผลยังคงมีเลือดไหล

      “อู๊ย! เบาหน่อยขอรับ บ่าวแสบ”

      “ต้องล้างแผลก่อน เสียดายที่ฉันไม่มียาฝรั่งติดตัวมา ไม่อย่างนั้นจะได้ใส่ยารักษาแผลด้วยเสียเลย”

        “มะ...ไม่เป็นไรขอรับ” ยมตบเสียงตะกุกตะกัก “บ่าวมีสมุนไพรอยู่ ขอบพระคุณคุณมากนะขอรับ”

      “ไม่ต้องไหว้ฉันหรอก” ชายหนุ่มรีบจับมือเล็กเมื่อเห็นว่ายมทำท่าจะไหว้ตน “คิดเสียว่าฉันเป็นเพื่อนหรือพี่ชายคนหนึ่งของยมเถิด แล้วนี่พี่ชายยมไปไหนล่ะ?”

       “เอ่อ...คือบ่าว...” ยมกำลังจะตอบคนตรงหน้าว่าไม่มีพี่ชาย  คุณเขมที่ชายหนุ่มเจอในตอนนั้น แท้จริงแล้วคือเจ้านายของตนต่างหาก

      “นั่นพ่อโดม มานั่งทำอะไรกับเจ้ายมรึ?”

      หลวงวินิตเดินเข้ามาพร้อมกับชายวัยกลางคนที่สวมราชปะแตนสูงศักดิ์ หากแต่ที่ชายพกมีดาบประดับบารมีดูน่าเกรงขามนัก

     “ผู้ใดกันรึคุณหลวง?” พระยามนตรีเอ่ยถาม

     “นี่เจ้ายม เด็กรับใช้เรือนของแม่เขลางค์เขา” หลวงวินิตตอบสหายเก่าแก่ ก่อนจะหันไปถามเด็กน้อยที่ก้มหน้าด้วยความเคยชิน “แล้วนี่เอ็งไปทำอะไรมาล่ะ...ถึงได้แผลมาแบบนี้?”

        “คือ...” ยมอึกอักเล็กน้อย อยากจะบอกความจริงว่าวิ่งหนีไอ้เข้มที่กำลังจะทำร้ายตนมา แต่เพราะไม่อยากให้เรื่องมันวุ่นวายจึงตัดสินใจปดออกไป

        “คือ...บ่าวตกใจเสียงตุ๊กแกขอรับ ไม่ทันระวังจึงสะดุดกรวดแถวนั้นล้ม แล้วคุณคนนี้ก็มาช่วยล้างแผลให้บ่าวขอรับ”

      “ไอ้นี่…เป็นชายซะเปล่าดันกลัวตุ๊กแก” หลวงวินิตหัวเราะ ทำเอาพระยามนตรีขันตามไปด้วย  เด็กหนุ่มได้แต่ก้มหน้าเพื่อซ่อนพิรุธกลบเกลื่อน

     “เอาเถอะ อย่างไรอาต้องขอบใจพ่อโดมนะ เจ้ายม...กราบขอบพระคุณพ่อโดมเสียสิ พ่อโดมเป็นถึงบุตรท่านพระยามนตรีเชียวนะ”

     “บ่าวขอบพระคุณคุณโดมขอรับ” เด็กหนุ่มก้มกราบบุตรชายท่านพระยา ทำเอาคุณโดมจับร่างเล็กไว้แทบไม่ทัน

      “ไม่เป็นไรขอรับคุณอา กระผมยินดีขอรับ” คุณโดมหันไปตอบหลวงวินิตด้วยความจริงใจ

     “คุณพี่เจ้าคะ” คุณเขลางค์เดินมาหาหลวงวินิต  “เชิญท่านพระยามนตรีขึ้นเรือนเถิดเจ้าค่ะ น้องให้บ่าวยกสำรับของว่างขึ้นไปบนเรือนแล้ว เชิญท่านพระยาขึ้นไปรับของว่างนะเจ้าคะ”

      “ขอบใจนะแม่เขลางค์” พระยามนตรียิ้มตอบรับไมตรี “ขึ้นเรือนกับพ่อเถิดเจ้าโดม เห็นว่าเจ้ามีราชการจะปรึกษาคุณหลวงมิใช่รึ?”

       “ขอรับคุณพ่อ” คุณโดมตอบรับบิดา “ฉันไปก่อนนะยม ไว้ฉันจะมาพบเจ้าอีก”

       ครั้นเมื่อหลวงวินิตนำพระยามนตรีกับคุณโดมขึ้นไปบนเรือนแล้ว ใบหน้าที่อ่อนหวานของคุณเขลางค์ในคราแรกก็เปลี่ยนเป็นมองตาเขียวใส่ยมจนเด็กหนุ่มสะดุ้งน้อยๆ แต่ก็ยังทำสีหน้านิ่งเป็นปกติ

       “สำออย!”  คุณเขลางค์แขวะเด็กหนุ่มอีกเล็กน้อย ก่อนจะตามหลวงวินิตขึ้นไปบนเรือนใหญ่เพื่อช่วยผู้เป็นสามีรับรองแขกสูงศักดิ์ที่มาเยือน



     “กะอีแค่ฉุดมันไปซ้อมก็ทำไม่ได้  เอ็งนี่มันไม่ได้เรื่องเลยนะไอ้เข้ม! เฆี่ยนมันต่ออีเฟื้อง”

      “เจ้าค่ะ”

     เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!!!!

     “อ๊ากกกกก!!! บ่าวผิดไปแล้วขอรับคุณเขลางค์”

    เสียงโวยวายของไอ้เข้มเริ่มดังลั่น  คุณเขลางค์นึกขึ้นได้ว่าคุณหลวงยังพูดคุยธุระอยู่บนเรือนใหญ่ จึงให้อีเฟื้องไปหาผ้ามาอุดปากไอ้เข้มแล้วลงหวายต่อ

     “ข้าจะขึ้นเรือนไปร้อยมาลัยต่อ  เฆี่ยนมันอีกสิบไม้แล้วรีบปล่อยมัน  ข้าไม่อยากเสี่ยงให้คุณพี่เห็น”

     “เจ้าค่ะ”

   เมื่อเข้ามาในห้องแล้ว คุณเขลางค์ก็ปาดทุกอย่างบนโต๊ะแป้งกระจัดกระจายด้วยความโมโหที่ไม่สามารถทำอะไรทาสที่ตนเกลียดได้เลย

     “ไอ้ยม  กูไม่หยุดแค่นี้แน่!”

     คุณเขลางค์หยิบมาลัยดอกมะลิที่ร้อยค้างไว้มาทำต่อเพื่อสงบจิตใจลง แต่แล้วก็ชะงักไปพักหนึ่งเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของนางทาสมาจากสวนนอกเรือน

     “นั่นเสียงอีเดือนมิใช่รึ?” คุณเขลางค์ถือเข็มมาลัยไปยังหน้าต่าง  ก็พบว่าเดือนกำลังเอาดอกลั่นทมมาทัดหูของยมแล้วหัวเราะสดใส

       “ทำไมข้าเพิ่งสังเกตว่าอีเดือนมันงามขนาดนี้”

      คุณเขลางค์รำพึง  พลางเอาแต่จ้องนางทาสสาวแสนสวยจนไม่ทันระวัง ทำให้เข็มมาลัยปักเข้าที่มือไม่ลึกมากนัก

        “บ้าจริง!” คุณเขลางค์โยนเข็มมาลัยลงบนเตียง  ดอกมะลิที่ร้อยค้างไว้เปื้อนเลือดจากมือบาง  คุณเขลางค์ยกมือที่เลือดไหลขึ้นมามองด้วยสายตาที่น่ากลัวมากกว่าทุกที

         “อือม์...อีเดือน”

        สายตาจับจ้องดอกมะลิที่อาบเลือดชวนให้นึกถึงผิวที่นวลเนียนผิดแผกจากทาสทั่วไปของเดือน

        ผิวขาวที่นวลเนียนนั่น...อยากจะให้มันประดับด้วยรอยแผลและ...

        รอยเลือด!

        ริมฝีปากแดงซับเลือดจากมือ แม้จะเจ็บแสบแต่กลับกลายเป็นว่าเป็นที่ถูกใจคุณเขลางค์นัก

       “อ่า...อีเดือน...”

        “แม่เขลางค์อยู่ข้างในรึเปล่า? ฉันเข้าไปนะ”

     เสียงของหลวงวินิตเรียกจากด้านนอก  ทำให้คุณเขลางค์ต้องซุกมือที่เปื้อนเลือดไว้  ในใจก็วิตกว่าผู้เป็นสามีจะเห็นบ่าวของตนเฆี่ยนไอ้เข้มอยู่หรือไม่  แต่เมื่อเห็นเฟื้องตามเข้ามา คุณเขลางค์จึงค่อยโล่งใจ

    “ว้าย! มือของคุณเขลางค์ไปถูกอะไรมาเจ้าคะ?!” เฟื้องร้องด้วยความเป็นห่วงนายหญิง ก่อนจะรีบหาหยูกยาและผ้าพันมาทำแผลให้คุณเขลางค์   

     “มือไปถูกอะไรมาแม่เขลางค์?” หลวงวินิตเข้ามาจับมือด้านที่ปกติผู้เป็นภริยาเอกด้วยความห่วงใยขณะที่เฟื้องกำลังทำแผลมืออีกข้าง

   “ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ น้องแค่ร้อยมาลัยไม่ทันระวัง ไม่ต้องเป็นห่วงน้องนะเจ้าคะ”


ออฟไลน์ Amazing princess

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
Re: เรือนร้าว(YAOI)
«ตอบ #6 เมื่อ15-01-2018 18:10:28 »

เรือนร้าว6
ตอน ตรอกผีเสื้อ
“นี่ๆพวกเอ็งมาฟังทางนี้ ข้ามีเรื่องจะมาเล่าให้ฟัง เอ้าเร็วๆเข้า”     

 เสียงของปริกโวยวายแต่เช้าทำเอาในครัวที่กำลังตั้งสำรับวุ่นวายไปหมด เดือนที่นั่งเด็ดผักอยู่ข้างๆยมสะกิดทาสรุ่นน้องให้เงยหน้า   

  “เอ็งว่าพี่ปริกไปคันปากมาจากไหนยม? ดูสิ เสียงดังแต่เช้าเลย”     

“ไม่รู้หรอกจ้ะพี่” เด็กน้อยตอบซื่อๆ มือก็ยังบรรจงแกะสลักฟักทองต่อ     

 “ไม่รู้ก็ไปฟังกัน ข้าอยากรู้”     

 เดือนจับข้อมือเด็กหนุ่มให้ลุกขึ้นไปรวมกลุ่มกับทาสคนอื่นๆเพื่อฟังเรื่องที่ปริกกำลังจะเล่า ยมจึงต้องตามไปอย่างช่วยไม่ได้     

  “พวกเอ็งรู้ไหมว่าตอนที่อีทองกับผัวมันกำลังกลับบ้านนอก อยู่ๆก็ถูกโจรที่ไหนไม่รู้ฆ่ากลางทาง ตายทั้งผัวทั้งเมียเลย”     

   “ตาเถร!" ป้าฟักวางมือทาบอก “ไม่น่าเลยอีทองเอ๋ย เพิ่งเห็นกันอยู่หลัดๆ”   

    “แต่ที่น่าประหลาดก็คือ ไอ้โจรนั่นไม่ได้เอาอัฐไปสักแดงเดียว เห็นว่าพอมันฆ่าเสร็จมันก็รีบหนีไปเลย”                         

 เมื่อได้ยินเช่นนั้นพวกทาสคนอื่นก็พากันซุบซิบถึงเหตุการณ์น่าประหลาด เว้นเพียงแต่ยมกับเดือนที่ได้แต่เพียงเวทนาในชะตากรรมของอดีตนางทาสที่ชื่อทอง     

 เพิ่งได้หลุดจากความเป็นทาส...ก็ต้องมาพบกับความตายก่อนอันควรเสียแล้ว   

   “งานการไม่ทำหรือไร? ถึงได้มาจับกลุ่มซุบซิบนินทา!” 

     เสียงดุดันทรงอำนาจดังขึ้นทำให้พวกทาสต้องพากันเงียบกริบ คุณเขลางค์เดินเข้ามาพร้อมกับบ่าวคนสนิท ก่อนจะปรายตามองไปยังทาสสาวที่ตอนนี้นั่งนิ่งเช่นทาสคนอื่นๆ   

  “ไอ้ยม อีเดือน วันนี้ข้าจะไปตลาดช่วงสายๆ พวกเอ็งต้องไปช่วยข้าถือของ”     

 กล่าวเพียงแค่นั้นคุณเขลางค์ก็เดินออกจากครัวไป     

 “แล้วพวกเอ็งน่ะ ทำงานทำการได้แล้ว เดี๋ยวคุณเขลางค์ของข้าจะเคืองได้” เฟื้องกำชับพวกบ่าวคนอื่นทิ้งท้าย ก่อนจะเดินตามผู้เป็นนายหญิงกลับเรือน   

  “หนอย...ข้าล่ะหมันไส้อีเฟื้องจริงเชียว คิดว่าเป็นคนสนิทก็เลยอวดเบ่ง”  ปริกทำหบ้าเบ้จนป้าฟักต้องเอาตะหลิวมาตีแขน   

  “โอ๊ยป้า! ตีฉันทำไมเนี่ย?” ปริกลูบแขนต้วเองป้อยๆ   

  “เดี๋ยวอีเฟื้องมันก็ได้ยินพวกเราจะซวยกันหมด ไปๆ พวกเอ็งแยกย้ายกันไปทำงานได้แล้ว!”     

 เมื่อพวกทาสพากันไปทำหน้าที่ของตน เดือนก็แยกยมออกมาคุยกระซิบเพียงสองคน     

“วันนี้คุณเขลางค์มาแปลก อยู่ๆก็มาให้เราสองคนไปตลาดด้วย ยมคิดอย่างไร?”       

 “ทำตามที่คุณเขลางค์สั่งเถอะพี่เดือน” ยมตอบอย่างไม่ใส่ใจ     

 “เอ็งนี่น้า...” เดือนส่ายหัวให้กับคำตอบของทาสรุ่นน้องที่ช่างพูดน้อยเหลือเกิน ก่อนจะนั่งทำหน้าที่ของตัวเองตามปกติ



 “คุณพี่เพิ่งกลับมาไม่กี่วัน ต้องไปราชการอีกหรือเจ้าคะ?”  คุณเขลางค์แสร้งถามหลวงวินิตเสียงน้อยใจขณะที่เดินมาส่งที่ท่าน้ำหน้าเรือนพร้อมบ่าวไพร่       

“มันเป็นราชการด่วนน่ะ แม่เขลางค์เข้าใจฉันนะ อีกสองวันก็กลับมาแล้ว”     

   “เช่นนั้นเดินทางดีๆนะเจ้าคะคุณพี่” คุณหญิงยิ้มให้กับผู้เป็นสามี     

   “จ้ะ แล้วฉันจะรีบกลับ" หลวงวินิตจูบหน้าผากมนของภรรยาอ่อนโยน “งั้นฉันไปก่อนนะ ไอ้กลอง ไปกันได้แล้ว” คุณหลวงหันไปสั่งคนสนิทก่อนจะก้าวลงเรือ         

 “ขอรับคุณหลวง”       

 ครั้นเมื่อหลวงวินิตเดินทางแล้ว บ่าวไพร่ทั้งหลายก็พากันแยกย้าย ทว่าคุณเขลางค์ยังคงอยู่ที่เดิม ใบหน้าสวยงามมีรอยยิ้มประดับดูน่ากลัวมากกว่าสวยงาม     

     “คุณเขลางค์เจ้าขา..." เฟื้องเรียกผู้เป็นนายขึ้นอย่างรู้งาน “จะให้บ่าวจับพวกทาสเด็กๆขังไว้ก่อนไหมเจ้าคะ?”                     

     “วันนี้ยังก่อนอีเฟื้อง" คุณเขลางค์หันไปตอบ “เพราะวันนี้มีอะไรน่าดูกว่านั่งดูทาสที่โดนเอ็งเฆี่ยน หึๆ”                               

     “คุณเขลางค์หมายถึงอีเดือนรึเจ้าคะ?” อีเฟื้องยิ้มอย่างมีเลศนัย       

    “เอ็งนี่มันรู้ใจข้า” คุณเขลางค์ยิ้มเยาะ “เอาหูมานี่ ข้ามีงานให้เอ็งไปทำ”     

    “เจ้าค่ะ”     

    ครั้นเมื่อคุณเขลางค์กระซิบแผนบางอย่างจนหมด เฟื้องก็พยักหน้าเพื่อรับคำสั่งจากผู้เป็นนายหญิงของตนทันที     

        “ได้เจ้าค่ะ บ่าวจะรีบไปจัดการเดี๋ยวนี้ ว่าแต่...บ่าวสงสัยเจ้าค่ะ”

       “เอ็งสงสัยอะไรอีเฟื้อง?”

       “ทำไมคุณเขลางค์ถึงเอาไอ้ยมไปด้วยล่ะเจ้าคะ?”

       “หึ...” คุณเขลางค์ยกมุมปากเล็กน้อย “ก็แค่...”

 

ตลาดช่วงยามสายอาจดูไม่ครึกครื้นเหมือนยามเช้ามากนัก แต่ก็ยังคงมีผู้คนเดินซื้อของกันอยู่ไม่น้อย คุณเขลางค์เดินเข้าไปในร้านแพรไหมเสียส่วนใหญ่ โดยมีเดือนและยมคอยเดินถือของตามไม่ห่าง       

  “ข้าจะทำรังนกไปเยี่ยมคุณหญิงเพ็ญ เอ็งไปซื้อของรังนกนางแอ่นที่ร้านเถ้าแก่เล้งให้ข้าทีสิไอ้ยม”       

  “แต่ร้านเถ้าแก่เล้งอยู่ไกลจากตรงนี้พอควรเลยนะขอรับ”  ยมตอบเสียงแผ่วเมื่อเห็นคุณเขลางค์จ้องตนตาขวาง

   “เอ็งไปซื้อเถอะน่ะ ซื้อเสร็จก็กลับเรือนไปก่อนได้เลย ข้ารีบใช้”

    ยมจึงจำต้องรับอัฐจากคุณเขลางค์มาอย่างเสียไม่ได้  ตอนนี้เหลือเพียงแค่เดือนอยู่กับคุณเขลางค์สองคน

    “ส่วนเอ็งอีเดือน ตามข้ามา”

      คุณเขลางค์เลือกซื้อผ้าแพรพรรณได้สักพักก็ออกจากร้าน  เดือนเดินตามนายหญิงออกมาเรื่อยๆ จนรู้สึกว่าทางที่คุณหญิงกำลังเดินมันใกล้ออกนอกเส้นของตลาดไปแล้ว

    “คุณเขลางค์จะไปที่ใดหรือเจ้าคะ?” เดือนมองรอบๆด้วยความแปลกใจ เพราะตรงนี้แทบไม่มีผู้คนพลุ่งพล่านเหมือนในตลาด

        “ตามข้ามาเงียบๆเถอะอีเดือน”

        คุณเขลางค์พาเดือนมายังที่ๆแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ในตรอกลึกสุดของตลาด ด้านนอกดูเป็นหอพักธรรมดา หากแต่ด้านในนั้นประดับตกแต่งคล้ายหอนางโลมที่เดือนพอจะเคยได้ยินมาปากต่อปาก เพราะด้านในเต็มไปด้วยหญิงสาวที่นุ่งน้อยห่มน้อย บางนางกำลังประทินโฉมของตน  ในขณะที่บางคนกำลังนั่งตักผู้ชายที่เข้ามาพักผ่อนหย่อนใจกลางวันแสกๆ

       “ที่นี่มันโคมเขียวนี่เจ้าคะคุณเขลางค์ บ่าวว่าเรากลับกันเถิดเจ้าค่ะ” เดือนตัวสั่นด้วยความกลัวเมื่อโดนหญิงนางโลมจับจ้องมาด้วยสายตาไม่เป็นมิตร

      “อาคุณหญิงมาแล้วหรือเจ้าคะ อาซ้อกำลังรอพบคุณหญิงอยู่พอดี เชิญที่ห้องรับรองเจ้าค่ะ”

      หญิงร่างท้วมแต่งกายคล้ายชาวจีนเดินออกมาต้อนรับด้วยสำเนียงจีนแปร่งๆ  คุณเขลางค์พยักหน้าก่อนจะหันไปสั่งนางทาสตัวน้อยที่ยังสั่นกลัว

       “เอ็งรอข้าด้านนอกนี่แหละ ข้าเข้าไปคุยธุระสักครู่ อาเง็ก พาข้าไปพบนายเอ็งได้แล้ว”

      “เจ้าค่ะ”

      เมื่อคุณเขลางค์เดินหายเข้าไปด้านในแล้ว เดือนนั่งรอนายหญิงได้สักพักหญิงรับใช้คนเดิมที่ชื่อเง็กก็เดินเอาถาดกาน้ำชามาวางบนโต๊ะรับรอง

        “ดื่มชารอไปก่อนนะอีหนู อาคุงหญิงคุยธุระกับอาซ้อไม่นานหรอกน่า” เง็กรินน้ำชาส่งให้เดือน

        “ขอบใจจ้ะ” นางทาสสาวยกถ้วยชาขึ้นดื่มอย่างไม่คิดอะไร ทำให้ไม่ทันเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของเง็ก

       ผ่านไปนานเท่าใดแล้วที่คุณเขลางค์ยังไม่กลับออกมา  เดือนอยากกลับเรือนแต่ก็กลับไม่ได้เพราะกลัวคุณเขลางค์สั่งทำโทษ

       “เป็นอะไรอีหนู ท่าทางลื้อดูเพลียๆ?” เง็กถาม แต่มุมปากแฝงด้วยความเลศนัย

      “ฉันรู้สึกปวดหัว อยากนอนน่ะจ้ะ” เดือนตอบไปตามจริง เพราะตั้งแต่ดื่มน้ำชาเข้าไปก็รู้สึกวิงเวียนศีรษะ อีกทั้งยังมีอาการง่วงทั้งที่ก่อนหน้านั้นไม่เคยเป็น

      “ลื้อนอนไปก่อนเถอะ เดี๋ยวอาคุงหญิงออกมาอั๊วจะปลุก”

     “จ้ะ” ตอนนี้เดือนไม่อาจฝืนอาการวิงเวียนได้ เปลือกตาจึงปิดลงพร้อมกับใบหน้าที่ฟุบลงกับโต๊ะทันที เมื่อเห็นแผนการสำเร็จเง็กจึงวิ่งเข้าไปรายงานคุณเขลางค์กับอาซ้อด้านในทันที

      “อีหนูนั่นหลับไปแล้ว อาซ้อจะให้อั๊วทำยังไงต่อ?”

      “พาขึ้นไปห้องรับรองแขกด้านบน...” อาซ้อกางพัดขนพัดเบาๆ “เอาห้องที่ดีที่สุดนะอาเง็ก”

       “ได้เลยซ้อ...”

       เมื่อเง็กเดินออกไปแล้ว คุณเขลางค์จึงหยิบอัฐิถุงใหญ่ยื่นให้อาซ้อเพื่อตบรางวัล

      “เอ้านี่อัฐห้าชั่ง แล้วเหยียบเรื่องนี้ไว้เหมือนไม่เคยเกิดขึ้น”

     “ขอบพระคุงอาคุงหญิง” อาซ้อยื่นมือไปรับถุงอัฐิตาวาวด้วยความโลภ  “ตอนนี้เชิญอาคุงหญิงไปสำราญในฐานะแขกพิเศษของตรอกผีเสื้อเจ้าค่ะ”

       “อีเฟื้อง...”

      “เจ้าคะคุณเขลางค์” นางทาสร่างท้วมเตรียมรับคำสั่งต่อจากนี้

      “ระหว่างที่ข้าจัดการกับอีเดือน เอ็งรีบตามไอ้ยมไปที่ร้านเถ้าแก่เล้ง ไปดูว่าป่านนี้ไอ้ยมเป็นอย่างไรบ้าง แล้วกลับมารายงานข้า"”

   

ภายในร้านเถ้าแก่เล้งไม่ค่อยมีคนมากมายเหมือนร้านอื่นเท่าใดนัก ไม่สิ...เรียกได้ว่าไม่มีคนเดินภายในร้านมากกว่า อาจเป็นเพราะสินค้าจากประเทศจีนที่เอามาขายค่อนข้างราคาสูง หากไม่ติดว่าคุณเขลางค์ให้อัฐมาจำนวนมาก ให้ตายอย่างไรยมก็ไม่กล้ามายังร้านแห่งนี้คนเดียวเป็นแน่

      “อ้าว...นั่นอายมใช่ไหม?” เถ้าแก่ร่างท้วมเงยหน้าขึ้นจากลูกคิด มองเด็กน้อยด้วยสายตากรุ้มกริ่ม

     “คือ...คุณเขลางค์ให้มาซื้อรังนกนางแอ่นรังหนึ่งจ้ะ คุณเขาจะทำรังนก”

     “อ่า  รอเดี๋ยวนา อั๊วไปหาของเดี๋ยวมา...”

      เด็กน้อยยืนมองรอบๆร้านเถ้าแก่เล้งระหว่างรอรังนก มีทั้งโสมและสมุนไพรที่คิดว่าน่าจะนำเข้าจากประเทศจีนเพื่อขายให้คนมีฐานะซื้อไปบำรุงร่างกาย

      “มาเลี้ยวอายม...เอ้านี่ๆๆ”

     เด็กหนุ่มยื่นอัฐส่งให้เถ้าแก่เล้งแล้วจะเดินออกไปจากร้าน ทว่าจู่ๆร่างเล็กก็ถูกชายร่างท้วมกอดรัดจากทางด้านหลัง

   “เถ้าแก่! นี่มันอะไรกัน!? ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ!!” ยมดิ้นจนรังนกในมือลงไปกองกับพื้น หากแต่เถ้าแก่เล้งหัวเราะในลำคอ

       “อั๊วน่ะถูกใจอายมมานานแล้ว มาอยู่กับอั๊วเถอะน่า แล้วลื้อจะสุขสบายไปตลอดชีวิก”

      “ไม่!!!...” ยมใช้กำลังที่มีอยู่กระทุ้งศอกใส่หน้าใบหน้าเถ้าแก่ตัณหากลับก่อนจะรีบวิ่งสุดแรง แต่เพราะมีแผลจากการหกล้มเมื่อวาน ทำให้เด็กหนุ่มเซหกล้มตอนใกล้ถึงประตูร้าน

       “โอ๊ย!”

      “ลื้อหนีอั๊วไม่พ้นหรอกอายม ฮ่าๆ” เถ้าแก่เล้งค่อยๆเข้าไปหมายจะจับตัวร่างเล็ก

     “อย่า...อย่าเข้ามา...” ยมคลานถอยหลังอย่างไม่ยอมสุดชีวิต แค่คิดว่าตนเองจะตกเป็นของไอ้เถ้าแก่นี่ก็สยองเต็มทีแล้ว

     ปัง!

     “เฮ้ย! ใครมายิงปืนแถวนี้วะ!?” เถ้าแก่เล้งโวยวาย

      “ผมเอง”

     ร่างสูงในเครื่องแบบของตำรวจนครบาลถือปืนเข้ามาพร้อมกับชายหนุ่มแปลกหน้าอีกสองคน ยมเบิกตาอย่างดีใจเมื่อเห็นว่าคนที่มาช่วยเป็นใคร

      “คุณโดม  ช่วยบ่าวด้วยขอรับ”

      “ลื้อเป็นใครวะ?! นี่มันเรื่องของผัวเมีย!” เถ้าแก่โวยวายออกมาหน้าด้านๆ

    “ผมร้อยตรีดนัย...ขอจับกุมเถ้าแก่เล้งข้อหาลักลอบนำของผิดกฎหมายเข้ามาค้าในสยาม” คุณโดมกล่าวน้ำเสียงดุดัน ก่อนจะหันไปสั่งเพื่อนตำรวจรุ่นน้องด้านหลังให้จับกุมเถ้าแก่เล้ง

      “วายุ ขจร ฉันฝากเถ้าแก่นี่ไปส่งให้ทางการสอบสวน”

       “แล้วพี่โดมล่ะ?” ขจรถามเมื่อเห็นว่าตำรวจรุ่นพี่ไม่ไปด้วยกัน

      “เด็กคนนี้เป็นน้องชายของฉัน พวกนายพาผู้ต้องหาไปก่อน พรุ่งนี้ฉันจะเข้าไปที่กรม”

       เมื่อวายุกับขจรพาผู้ต้องหาไปแล้ว  คุณโดมก็เข้ามาหายมเพราะคิดว่าเด็กน้องอาจจะหวาดกลัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่...เพราะนอกจากเด็กน้อยจะไม่ร้องไห้สั่นกลัวอย่างที่ควรจะเป็นแล้ว  อาการสั่นกลัวก็ไม่มีออกมาให้เห็น

      “เป็นอย่างไรบ้างยม? เถ้าแก่นั่นทำร้ายยมรึเปล่า?” ร้อยตรีหนุ่มถามเสียงนุ่มนวล  เด็กหนุ่มส่ายหน้าเล็กน้อย

     “ยมไม่เป็นอะไรขอรับ” เด็กหนุ่มตอบตามจริง แม้อาจจะเจ็บจากการสะดุดล้มไปบ้าง แต่ก็น่าจะยังเดินเหินได้ปกติ

     “แล้วยมมาทำอะไรที่นี่? ดีนะที่ฉันวางแผนจะมาจับเถ้าแก่เล้งพอดี ไม่อย่างนั้นยมแย่แน่ๆ ”

     “คุณเขลางค์ให้บ่าวมาซื้อรังนกขอรับ บ่าวไม่เคยรู้เลยว่าเถ้าแก่เล้งจะ เอ่อ...” เด็กน้อยก้มหน้าด้วยความกลัว

    “ถือว่าฟาดเคราะห์ไปนะยม” คุณโดมเอื้อมมือลูบเส้นผมป้อยๆ ทำเอาเด็กหนุ่มหัวใจสั่นไหว

      ทำไมทำเหมือนพี่เขมอย่างไรอย่างนั้นเลยเล่า!?

      เวลาที่ปลอบใจ...พี่เขมก็จะลูบศีรษะแบบนี้กับยมเสมอ ซึ่งนั่นทำให้เด็กหนุ่มหวั่นไหว

     “ฉันจะพาไปส่งที่เรือนคุณอาวินิต ลุกไหวไหม?”

     “ไหวจ้ะ” เด็กน้อยลุกขึ้นอย่างรวดเร็วเพราะมีแรงบ้างแล้วจริงๆ คุณโดมจึงพายมออกมาจากร้านเพื่อไปส่งยังเรือนหลวงวินิต

      “เอ่อ...คุณโดมขอรับ...” ยมเรียกร่างสูงเมื่อนึกอะไรบางอย่างได้

     “บ่าวลืมไปว่าคุณเขลางค์ให้มาซื้อรังนก แต่บ่าวทำตกไว้ในร้านเถ้าแก่เล้ง...”

     ยมพูดไม่จบ เพราะไม่กล้าบอกร่างสูงว่าหากไม่เอารังนกกลับไปให้คุณเขลางค์ มีหวังอาจถูกเฆี่ยนหลังลายเป็นแน่  ยิ่งเมื่อเช้าคุณหลวงเพิ่งไปว่าราชการต่างจังหวัด จากที่ปกติก็ถูกทรมานทั้งที่ไม่มีความผิดอยู่แล้ว หากไม่ทำตามคำสั่ง...อาจจะโดนมากกว่าเดิมหลายเท่า

          “ที่เรือนของฉันพอจะมีอยู่บ้าง ตามฉันไปประเดี๋ยวได้หรือไม่?”

         “แต่ว่า...”

          “ไม่ต้องแต่ ยมจะได้ไม่ต้องเสียอัฐเพิ่มอย่างไร...ไม่ดีรึ?”

     สุดท้ายเด็กน้อยต้องตามคุณโดมไปจนได้ เรือนของคุณโดมนั้นไม่เหมือนเรือนของหลวงวินิตแม้แต่น้อย เพราะเป็นบ้านที่ปลูกออกไปทางยุโรปสมกับฐานะบิดาของคุณโดม รั้วนั้นก็หาได้ทำด้วยไม้ หากแต่มันคล้ายแท่งเหล็กขนาดเล็กหลายๆแท่งเรียงห่างกันโดยมีลวดลายสีทองประดับ

      “เดินเล่นรอในสวนไปก่อนนะ ประเดี๋ยวจะไปเอารังนกมาให้”

     “ขอรับ...”

      เมื่อคุณโดมเดินหายเข้าไปในเรือน เด็กน้อยก็เดินสำรวจในสวนกว้างซึ่งมีพรรณไม้แปลกตามากมายที่เขาไม่เคยเห็น ทว่ามีดอกไม้ดอกหนึ่งที่สะดุดตายมมากที่สุด ดูคล้ายๆดอกกุหลาบสีแดงที่ยมเคยเห็นที่เรือนใหญ่ หากแต่ดอกไม้ชนิดนี้มีสีขาวดูบริสุทธิ์บอบเช่นเดียวกับกลีบของมัน หรือจะเป็นดอกกุหลาบสายพันธุ์อื่นกัน?

     “นี่ดอกไลเซนทัส เป็นดอกไม้ที่ฉันชอบมากที่สุด”

     !!!


**ใครที่รู้ว่าเดือนโดนอะไร...ก็...ตามนั้นค่ะ555555
 

ออฟไลน์ Amazing princess

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
Re: เรือนร้าว(YAOI)
«ตอบ #7 เมื่อ15-01-2018 18:12:13 »

เรือนร้าว7
ตอน ไลเซนทัส
“ดอกไล...อะไรนะขอรับ?”     

   “ไลเซนทัส” คุณโดมหัวเราะเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มทำสีหน้างุนงง “เป็นภาษาอังกฤษน่ะ”   

   “ภาษาอังกฤษ เหมือนที่คุณเขมเคยอ่านหรือขอรับ?” ยมเผลอกล่าวชื่อคนรักออกมาตามที่ใจคิด     

    “คุณเขมรึ?” ร่างสูงเลิกคิ้ว ด้วยรู้สึกคุ้นถึงนามนี้นัก       

 “บุตรชายของคุณหลวงวินิตขอรับ” ยมอธิบายอย่างซื่อๆ “แล้วก็เป็นคนเดียวกับที่คุณเข้าใจผิดว่าเป็นพี่ชายของบ่าวด้วย”         

 คุณโดมครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เพราะครานั้นที่ไปเรือนของหลวงวินิตพร้อมบิดา หลวงวินิตก็กล่าวเพียงแต่ว่าคุณเขมบุตรชายเพิ่งกลับไปเรียนต่อได้ไม่นาน       

 ที่แท้...คุณเขมคือคนเดียวกับที่เขาเข้าใจผิดว่าเป็นพี่ชายของยม     

  “หึๆ ถึงว่าเหตุใดเจ้าทั้งสองแต่งกายไม่เห็นเหมือนกัน คนพี่แต่งกายดูมียศ ในขณะคนน้องแต่งกายมอมแมมราวไม่ได้อาบน้ำสิบวัน”         “...”

 เด็กน้อยถึงกับไปต่อไม่ถูกเมื่อเจอถ้อยคำที่ตรงแสนตรงของคนตรงหน้า จนมือใหญ่ยื่นห่อบางอย่างส่งให้                       

“เอ้านี่รังนก...ลองเปิดห่อดูก่อนก็ได้ ฉันไม่หลอกยมหรอก”   ร้อยตรีหนุ่มยังแกล้งยมต่อไป เด็กหนุ่มเปิดห่อขึ้นมาเมื่อเห็นว่าด้านในเป็นรังนกจริงก็โล่งใจ         

อย่างน้อยเขาก็คงรอดจากหวายนรกไปได้อีกวัน         

 “ขอบพระคุณขอรับ...” เด็กหนุ่มทำท่าจะไหว้           

 “อย่าๆ ไม่ต้องๆ” คุณโดมยื่นมือมาจับมือเล็กไว้ “พอดีฉันไม่ค่อยชินหากมีใครมาไหว้น่ะ"

 เด็กหนุ่มทำสีหน้าแปลกใจหนักกว่าเดิม จนคุณโดมยิ้มออกมาอีกครั้งด้วยความเอ็นดู         

   “เอาเถอะ ยมออกมานานแล้วใช่ไหม?  ฉันจะพาไปส่ง”         

  คราแรกยมไม่ยอมเพราะเกรงใจ แต่เป็นเพราะคุณโดมยืนยันจึงต้องให้ร่างสูงพาไปส่งจนได้  คุณโดมนี่ช่างแปลกคนจริงๆเลย  บางครั้งก็นิสัยอบอุ่นเหมือนคุณเขม  หากบางครั้งก็ชอบเย้าแหย่ตนเล่น  คาดเดายากจริงคนๆนี้

    “...”

       ยมนั่งเงียบมาตลอดทางเพราะตัวเกร็งอยู่บนยานพาหนะคันสีดำมะเมื่อมที่คุณโดมเรียกว่ารถยนต์  มันไม่เหมือนรถลากที่เคยนั่งกับคุณเขมเพราะที่นั่งนั้นนุ่มและนั่งสบายกว่ามาก  อีกทั้งรอบทิศมีประตูครึ่งกระจกที่ลดลงมาเพื่อให้มีอากาศเข้ามาภายใน คล้ายรถม้าเหมือนที่คุณเขมเคยเล่าให้ฟัง  หากแต่เมื่อคุณโดมขยับวัตถุทรงกลมสีดำอยู่ด้านข้าง  มันก็ออกตัวไปเองโดยที่ไม่ต้องมีคนหรือม้าคอยลาก ทำเอาเด็กน้อยร้องตกใจเพราะตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเจอของแปลกใหม่เช่นนี้ ขณะที่ยานพาหนะประหลาดกำลังออกตัว เด็กน้อยก็เห็นดอกไม้สีขาวแบบเดียวกับในสวนวางอยู่บนวัตถุคั่นกลางระหว่างเบาะนั่ง

       “คุณโดมมีดอกไล...เซนทัสในรถยนต์ด้วยหรือขอรับ?” ยมพอจะพูดชื่อดอกไม้ภาษาต่างประเทศได้บ้างแม้จะแปร่งไปสักนิดก็ตาม

        “ใช่ กลิ่นมันไม่หอมแรงจนเกินไป อีกทั้งยังมีความหมายดีด้วยนะ ยมอยากรู้ความหมายของมันหรือไม่?” ร้อยตรีหนุ่มมาถามแวบหนึ่ง ยมพยักหน้าเพื่อบอกว่าอยากรู้

        “มันหมายถึงการเอาใจใส่ ความทรงจำที่ดี มิตรภาพที่ดี...” เด็กหนุ่มสังเกตว่าที่รอยยิ้มของคุณโดมมีรอยยิ้มน้อยๆ หากรอยยิ้มนั้นเศร้าจนเด็กน้อยสังเกตได้

      “เหมือนคุณแม่ของฉัน ที่เสียไปก่อนที่ฉันจะเรียนจบนายร้อยตำรวจ”

     กล่าวเพียงนั้น  ความเงียบงันก็แทรกเข้ามาในบรรยากาศบนรถ จนกระทั่งคุณโดมขับรถมาถึงเรือนของหลวงวินิต

       “ฉันส่งแค่ตรงนี้นะ”

      “ขอบพระคุณที่มาส่งบ่าวขอรับ” ยมยกมือไหว้คุณโดมเร็วๆเพราะเกรงว่าร่างสูงจะห้ามอีก  “เอ่อ...ว่าแต่ประตูเปิดอย่างไรหรือขอรับ?”

        “เปิดอย่างนี้...”  คุณโดมเอี้ยวตัวมาฝั่งที่เด็กหนุ่มนั่ง ก่อนจะบอกวิธีพร้อมเปิดประตูให้เด็กน้อยจนเข้าใจ

        “ขอบพระคุณเรื่องรังนกด้วยนะขอรับ” ยมทำท่าจะลงจากรถ

       “เดี๋ยวสิ...” คุณโดมเรียก ก่อนจะยื่นดอกไลเซนทัสส่งให้เด็กหนุ่ม “ฉันให้ยม ห้ามปฏิเสธ เพราะที่บ้านฉันมีอีกเยอะ”

       “คุณโดมมอบให้บ่าวทำไมหรือขอรับ?” เด็กน้อยถามงงๆ เมื่ออยู่ๆร้อยตรีหนุ่มส่งดอกไม้ชื่อฝรั่งมาให้ตนรับ

       “แด่มิตรภาพ...ระหว่างฉันกับยม”



      “ฮึก ฮือ...”

     ภายในห้องรับรองแขกพิเศษซึ่งอยู่ด้านบนสุดของตึกตรอกผีเสื้อ ร่างเปลือยเปล่าที่คลุมผ้าห่มปกปิดรอยช้ำของเดือนร้องไห้ราวกับจะขาดใจ ในขณะที่ฝ่ายกระทำอย่างคุณเขลางค์กลับสวมเสื้อผ้าและแต่งผมหน้ากระจกบานใหญ่อย่างสบายอารมณ์

      ก๊อกๆ

      “นั่นใคร?”

      “บ่าวเองเจ้าค่ะคุณเขลางค์” เฟื้องตะโกนตอบนายหญิง

     “เอ็งรอหน่อย ข้าแต่งตัวสักครู่”

     เงียบเสียงบ่าวคนสนิท คุณเขลางค์ก็จัดแจงเสื้อผ้าผมเผ้าให้เรียบร้อยเหมือนก่อนหน้า  ร่างระหงเดินไปยังนางทาสสาวที่นอนหันหลังร้องไห้ไม่หยุด

       “เดี๋ยวข้ามา แล้วค่อยกลับพร้อมกันนะ นางทาสของข้า”

      ใบหน้าสวยก้มลงหอมแก้มเดือน หญิงสาวอยากจะเบือนหน้าหนีแต่ก็ทำได้เพียงยอมให้คุณเขลางค์หอมแก้มด้วยความรู้สึกพะอืดพะอม

        “มีอะไรก็ว่ามาอีเฟื้อง” คุณเขลางค์ถามความคืบหน้าบ่าวคนสนิทเมื่อเข้ามาในห้องที่ปลอดคน

       “คือ…” เฟื้องทำสีหน้าไม่สู้ดีนัก ทำให้คุณเขลางค์ต้องเอ็ดตะโรใส่

      “อ้ำๆอึ้งๆอยู่นั่นแหละ ว่ามาเร็วเข้า!”

      “คะ...คือ เถ้าแก่เล้งเจ้าค่ะ ถูกทางการจับตอนที่กำลังจะปู้ยี่ปู้ยำไอ้ยม มันเลยรอดเจ้าค่ะ”

   “อะไรนะ!” ร่างระหงทะลึ่งลุกขึ้นพรวด ก่อนจะปัดข้าวของแถวนั้นระเนระนาดลงพื้นระบายความแค้น “กูอุตส่าห์ส่งไอ้ยมไปลงนรก นี่มันรอดกลับมาอีกแล้วรึ! ทำไมมันดวงแข็งขนาดนี้นะ”

        คุณหญิงพูดระบายเมื่อไม่สามารถทำอะไรยมได้  หญิงสาวล่วงรู้มาว่าเถ้าแก่เล้งนิยมชมชอบเลี้ยงเด็กผู้ชายวัยขบเผาะไว้บำเรอกาม  คุณเขลางค์จึงใช้โอกาสนี้ลวงให้ยมไปซื้อรังนกเพื่อให้เถ้าแก่ตัณหากลับนั่นปู้ยี่ปู้ยำจนยมไม่สามารถกลับมาที่เรือนได้อีก

       “แล้วคุณเขลางค์จะทำอย่างไรต่อเจ้าคะ?” เฟื้องทำใจกล้าถามเมื่อเห็นว่าอารมณ์ของนายหญิงเริ่มสงบลง

       “ปล่อยมันไปก่อน ต้องมีสักวันที่มันทำตัวเอง! ถึงตอนนั้นข้านี่แหละ ที่จะส่งมันลงนรกเป็นครั้งที่สอง!!!”



   เมื่อกลับมาถึงเรือน ยมก็ทำงานตามหน้าที่ของตนเป็นปกติ เด็กน้อยมองหาเดือนก็ไม่พบ ถามทาสคนอื่นๆก็บอกว่ายังไม่กลับจากตลาดพร้อมคุณเขลางค์ ยมรอเดือนตลอดทั้งวันจวบจนย่ำค่ำก็ได้ยินมาจากป้าฟักว่าทาสรุ่นพี่ไม่สบายหนักหลังจากกลับมาพร้อมคุณเขลางค์ ต้องการพักเพียงคนเดียวและไม่ต้องการพบผู้ใด ร่างเล็กจึงเดินกลับไปยังเรือนทาสของตนแล้วตั้งใจว่าจะไปแวะไปหาเดือนวันพรุ่ง

     เด็กน้อยยกกองผ้าหนาแน่นออกเพื่อเปิดกล่องด้านใน มือเล็กหยิบหนังสือเงาะป่าเปิดดูหลังจากที่ไม่ได้อ่านมาหลายวัน ก็พบกระดาษข้อความที่คิดว่าคุณเขมคงใส่ให้ตนวันนั้นเป็นแน่ ยมยิ้มขึ้นน้อยๆก่อนจะเปิดมันอ่านใจความข้างใน

       ถึง ยม

พี่อยากจะให้จดหมายความในแก่เจ้ามานานแล้ว ตลอดสามปีที่ผ่านมา...พี่ไม่เคยคิดมองเจ้าเป็นทาสเป็นบ่าวอย่างที่ผู้อื่นมอง แรกพบที่พี่เห็น พี่ก็เอ็นดูเจ้าเหลือเกิน จนเกิดเป็นความรักตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้

แต่ยามที่พี่ให้แหวนเจ้าครานั้น พี่ก็รู้ตัวแล้วว่ามิใช่รางวัลที่เจ้าเพียงทำข้าวหุงถูกปาก

หากเป็นแหวน...ที่พี่อยากมอบให้เจ้าด้วยหัวใจ

พี่ดีใจเหลือเกินที่หัวใจของเจ้าคิดตรงกับพี่

เดือนหน้าพี่จะกลับมาหาเจ้าทันทีที่พี่สอบไล่เสร็จ รอพี่หน่อยนะ...พี่จะกอดเจ้าให้หายคิดถึง  และจะกลับมาฟังเจ้าอ่านเงาะป่าให้ฟังอีกครั้ง

                                                              พี่รักเจ้าเสมอ

เขม 

              “พี่เขมของยม...” เด็กน้อยปิดกล่องใบเล็กที่มีเพียงแหวนไว้ที่เดิม ก่อนจะหยิบหนังสือเงาะป่ามานอนกอดไว้แนบอก ใบหน้าตาหวานมองดวงจันทร์ผ่านบานหน้าต่างที่เปิดรับลมไว้

               คืนนี้พระจันทร์ช่างงดงามนัก...

               พี่เขมจะมองดวงจันทร์เหมือนที่ยมมองหรือไม่นะ?

               ดวงตาหวานล้ำหันมามองดอกไลเซนทัสที่เขาวางไว้บนแจกันเก่าแก่ที่ได้รับจากหลวงวินิต พลางนึกถึงความหมายที่คุณโดมเป็นคนกล่าวให้ฟัง

มันหมายถึงการเอาใจใส่ ความทรงจำที่ดี มิตรภาพที่ดี...

      “เหมือนที่พี่เขมเอาใจใส่ยมใช่ไหมจ๊ะ?” เด็กน้อยรำพึงเบาๆด้วยใจที่เป็นสุข ร่างเล็กลุกขึ้นดับตะเกียงเพื่อให้แสงจันทร์ลอดเข้ามาให้แสงสว่างแทน  สองมือยังกอดหนังสือไว้แนบอกไม่ห่าง

       รู้สึกเหมือนมีพี่เขมอยู่เคียงข้างตลอดเวลาเลย

       เด็กน้อยอมยิ้มให้กับความคิดของตนเอง ก่อนที่พระจันทร์จะขับกล่อมให้เด็กน้อยค่อยๆหลับตาลงให้พบกับความฝันที่ดี

       แม้วันพรุ่งนี้  อาจจะต้องพบฝันร้ายในชีวิตจริงก็ตาม...

     

   ยม...
      ร่างสูงในเสื้อผ้าลำลองจ้องพระจันทร์ที่เด่นสง่าท่ามกลางดารานับหมื่นพัน  พลันใบหน้าหวานของเด็กน้อยที่คุณเขมถวิลหาคือสิ่งที่มาบังความงดงามของแสงจันทร์  พรุ่งนี้จะเป็นวันสอบไล่วันสุดท้าย หากแต่ต้องยังอยู่เพื่อรอประกาศผลสอบและพิธีจบการศึกษาซึ่งกินเวลาไปเกือบหนึ่งเดือนเต็ม

       หวังว่าจดหมายที่พี่แนบไปกับหนังสือเงาะป่า...เจ้าคงได้เปิดอ่านแล้ว

       ยิ่งคิดถึงคนตัวเล็กที่เรือนของหลวงวินิตผู้เป็นบิดา รอยยิ้มอบอุ่นไม่ต่างไปจากแสงจันทร์คลี่ยิ้ม เขาคิดถึงยมเหลือเกิน

       คิดถึงทั้งความเขินอาย ความหัวไวเกินเด็กที่เจ้าตัวมีผิดแผกจากทาสอื่น

       คิดถึงรสมือข้าวหุงกับผัดผักหวานที่คนตัวเล็กปรุงเพื่อเขาจากมา

        การรอคอย  มันทรมานอย่างที่ใครกล่าวไว้จริงๆ...

       คุณเขมเริ่มคิดถึงอนาคตข้างหน้า  ทั้งเขาและยมต้องได้อยู่ด้วยกันแม้อาจมีอุปสรรคขวางกั้น ชายหนุ่มตระหนักถึงข้อนี้ดี  คุณเขมเป็นถึงบุตรชายของคุณหลวงซึ่งมีหน้ามีตาในสังคม  แม้วันข้างหน้าอาจต้องถูกจับคลุมถุงชนกับผู้มีศักดิ์เสมอ

       แต่คุณเขมก็จะไม่ยอมแพ้

       เมื่อถึงตอนนั้น  คุณเขมจะไม่ยอมให้ยมห่างกาย

      จะปกป้องคนตัวเล็ก  ด้วยชีวิตของเขาเอง

ออฟไลน์ net. net_n2537

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 305
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: เรือนร้าว(YAOI)
«ตอบ #8 เมื่อ16-01-2018 12:40:38 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Amazing princess

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
Re: เรือนร้าว(YAOI)
«ตอบ #9 เมื่อ16-01-2018 20:09:15 »

เรือนร้าว8
ตอน ดอกไม้ที่ชื่นชอบ
ดอกมะลิรอบสวนชุ่มชื่นจากหยาดน้ำที่เด็กน้อยดูแลเป็นอย่างดี เมื่อเห็นว่าวันนี้ดอกมะลิออกดอกสวยงามเป็นจำนวนมาก ยมจึงนำกระจาดมาเด็ดเพียงพอสำหรับร้อยมาลัยไปไว้ห้องพระตามที่ร่างสูงเคยชอบกำชับไว้  รวมทั้งเก็บดอกรักและดอกกุหลาบแดงในสวนมาเล็กน้อยเพื่อร้อยพู่อุบะอย่างที่เคยทำเป็นประจำ

       เด็กน้อยบรรจงจีบดอกมะลิร้อยเรียงบนแคร่ยามว่าง  วันนี้แม้หลวงวินิตจะยังไม่กลับเรือน หากแต่โชคดีที่วันนี้บ่าวคนอื่นพูดกันว่าคุณเขลางค์อ่อนเพลียจึงพักผ่อนอยู่บนเรือนตลอดทั้งวัน ยมถึงค่อยโล่งใจที่สามารถรอดจากหวายนรกของคุณหญิงไปได้อีกวัน

      ส่วนเดือน...ตั้งแต่กลับมาเมื่อวานก็เอาแต่เก็บตัวอยู่ในเรือนทาสเพียงลำพังจนถึงตอนนี้ อ้างว่าป่วยหนักจากแสงแดดในตลาด  เด็กน้อยจึงแบ่งดอกมะลิไว้ส่วนหนึ่งเพื่อนำไปทำยาลดไข้ให้ทาสรุ่นพี่ เขาว่ากันว่าได้ผลดีนัก

       หลังจากแต่งตัวมาลัยดอกมะลิด้วยอุบะดอกกุหลาบสีแดงเสร็จเรียบร้อยแล้ว เด็กน้อยก็นำพวงมาลัยไปวางไว้ในห้องพระบนเรือนของคุณเขมที่ตอนนี้ไม่มีผู้ใดอยู่  และไม่ลืมที่จะสวดมนต์เพื่อให้จิตใจสุขสงบลงด้วย

        *‘หากเวรกรรมของลูกนั้นใกล้หมดลงเมื่อใด  ขอให้ลูกได้พบความสงบสุขในชีวิตด้วยเถิด ลูกเหนื่อยเหลือเกิน’*

       ร่างเล็กก้มกราบพระสามครั้งแล้วจึงกลับลงมายังเรือนทาสดังเดิม  ยมนำดอกมะลิที่แบ่งไว้ใส่ในครกแล้วใช้สากตำให้ละเอียด

        “ยม” เสียงของร้อยตรีหนุ่มดังขึ้นทำให้ยมต้องวางสากลง “นั่นยมทำอะไรอยู่รึ?”

       “คุณโดม” เด็กน้อยลุกไปนั่งคุกเข่าลงด้านล่างอย่างเคยชิน  เพื่อให้ผู้เป็นนายนั่งบนแคร่ วันนี้คุณโดมสวมเครื่องแบบร้อยตรีบ่งบอกว่าวันนี้ไปเข้ากรมตำรวจมา

      “บ่าวกำลังทำยาไปให้พี่สาวของบ่าวขอรับ พี่สาวของบ่าวไม่สบาย”

     “ลุกขึ้นมานั่งเถอะยม” ร้อยตรีหนุ่มประคองร่างเล็กให้ขึ้นมานั่งด้วยกัน “ฉันไม่ชอบเลย ทั้งๆที่หลวงประกาศเลิกทาสมานานแล้ว ยังต้องมาพบเห็นอะไรอย่างนี้อีก”

        ด้วยความที่คุณโดมเป็นบุตรชายของพระยามนตรีที่เกิดจากแหม่มฝรั่ง แล้วจบจากโรงเรียนนายร้อยที่ประเทศอังกฤษที่ตอนนี้เป็นประเทศมหาอำนาจ หากแต่ไร้การปฏิบัติที่แบ่งชนชั้นเช่นนายกับทาสมานานแล้ว เมื่อกลับมาทำงานรับราชการที่กรมตำรวจที่สยามจนได้เลื่อนยศเป็นร้อยตรีด้วยความสามารถตั้งแต่อายุยังน้อย ก็ต้องพบว่าแม้ในหลวงรัชกาลก่อนจะสั่งประกาศเลิกทาสแล้ว แต่ก็ใช่ว่าเมื่อผลัดแผ่นดินรัชกาลองค์ต่อมาทาสในเรือนใช่ว่าจะไม่มีเลย ทาสบางเรือนยังคงเกรงกลัวและยังคงไม่มีสิทธิเทียบเท่าผู้เป็นนาย

     “บ่าวเป็นเพียงเด็กกำพร้าไร้ญาติ ก็มีคุณหลวงที่เมตตาให้ที่อยู่อาศัยแก่บ่าว ไม่อย่างนั้นบ่าวคงต้องตายข้างถนน”

     “แล้วพี่สาวที่ยมพูดถึงคนนั้นเล่า?”

     “พี่เดือนมิใช่พี่สาวแท้ๆของบ่าว แต่พี่เดือนเป็นคนเดียวที่บ่าวนับถือเหมือนพี่สาวคนหนึ่งขอรับ”

     “เฮ้อ” เมื่อได้ฟังความจากยมคุณโดมก็ได้แต่ถอนหายใจด้วยความสงสารเด็กน้อยตรงหน้านัก  ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องเพื่อให้ยมหายกังวล

      “แล้วนี่คุณอาวินิตไปไหนล่ะ? พอดีหัวหน้าของฉันรู้ว่าฉันรู้จักคุณอา เลยฝากฉันนำลิ้นจี่กับลูกพลับจีนมาให้”

       “คุณหลวงไปราชการตั้งแต่เมื่อวานขอรับ ตอนนี้ที่เรือนเหลือแต่คุณเขลางค์อยู่คนเดียวขอรับ ป้าฟักบอกว่าคุณเขลางค์ต้องการพักผ่อน แต่เช้าจึงยังมิได้ลงจากเรือนขอรับ”

      “อย่างนั้นหรือ?” คุณโดมกล่าวลอยๆ ก่อจะหันมาสนทนากับยมต่อ “ถ้าอย่างนั้นระหว่างรอ ฉันขอนั่งดูยมตำยาได้หรือไม่?”

      “เอ่อ...ขอรับ”

       ร้อยตรีหนุ่มนั่งดูเด็กน้อยตำดอกมะลิสดที่เก็บมาจากสวน ก่อนจะนำถ้วยพิมเสนมาผสมเข้าด้วยกันแล้วโขลกทำเป็นตัวยาอย่างชำนาญ

     “เพิ่งรู้นะว่ายมมีความรู้ด้านสมุนไพรด้วย” คุณโดมมองเด็กหนุ่มที่ตั้งใจทำตัวยายิ้มๆ

   “คุณเขมเป็นคนสอนขอรับ” ยมคลี่ยิ้มออกมาเมื่อได้เอ่ยชื่อของชายผู้เป็นที่รัก “ไม่ใช่แค่ตัวยาจากดอกมะลิอย่างเดียว ที่สวนของคุณเขมยังปลูกสมุนไพรหลายชนิดเพื่อให้ทาสคนอื่นๆที่ป่วยนำตัวยาไปรักษาได้ขอรับ”

     น่าแปลกที่ร้อยตรีหนุ่มรู้สึกไม่ชอบใจยามที่เด็กน้อยตรงหน้าเอ่ยถึงนามของคุณเขมอะไรนั่น เพราะยามที่ยมเอื้อยเอ่ยถึงนามนั้น สีหน้าของยมก็ดูจะมีความสุขผิดกับทุกครั้ง   

       “แล้วนี่คุณเขมของยมไปไหนเสียเล่า?” ชายหนุ่มเอ่ยถาม เพราะนอกจากที่งานภูเขาทองแล้ว ทุกครั้งที่มายังเรือนแห่งนี้คุณโดมก็ยังไม่เคยพบบุตรชายของหลวงวินิตเลยสักครั้ง

     “คุณเขมกลับโรงเรียนเพื่อสอบไล่ปีสุดท้ายขอรับ” ยมตอบขณะโขลกตัวยาให้ละเอียด ร้อยตรีหนุ่มจึงนึกขึ้นมาได้เพราะเมื่อตอนมาพบหลวงวินิตท่านก็เคยบอกไว้แล้ว ว่าคุณเขมกำลังจะเรียนจบปีสุดท้าย

     “คุณเขมของยมอายุน้อยกว่าฉัน ถ้าฉันเรียกแค่เขมอย่างเดียว ยมคงจะไม่ว่ากระไรฉันหรอกนะ”

       ร้อยตรีหนุ่มลอบมองปฏิกิริยาของยม เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อยก่อนจะก้มลงไปโขลกตัวยาต่อ

      “ไม่หรอกขอรับ บ่าวทำตัวยาเสร็จแล้ว ขอตัวไปหาพี่เดือนก่อนนะขอรับ”

     “เดี๋ยวสิ” ร้อยตรีหนุ่มเรียกเมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กทำท่าจะลุก ก่อนจะยื่นดอกไลเซนทัสส่งให้ “ดอกไลเซนทัสดอกที่สอง ฉันให้ยมนะ”

         เด็กน้อยรับมาอย่างงุนงง

       “ที่คุณโดมให้มาเมื่อวานยังไม่เฉาเลยนะขอรับ เหตุใดจึงให้ดอกใหม่มาอีก”

     “อย่าลืมสิว่าฉันชอบประดับดอกไลเซนทัสไว้บนรถ แต่ก่อนที่ฉันจะลงจากรถมา ฉันเห็นดอกไลเซนทัสแล้วนึกถึงยม” คุณโดมกล่าวออกมาจากใจจริง เพราะเด็กน้อยตรงหน้าช่างบอบบางและบริสุทธิ์เหมือนดอกไม้ที่ร้อยตรีหนุ่มชื่นชอบนัก  “แล้วฉันก็รู้ ว่ายมชอบดอกไลเซนทัสมากด้วย”

      “ขอบพระคุณขอรับ บ่าวขอตัวก่อน”

      เด็กน้อยเดินจากไปแล้ว คุณโดมทำท่าจะลุกเพื่อนำผลไม้ไปฝากให้คุณเขลางค์มอบให้หลวงวินิต แต่ครั้นเมื่อหันไปก็พบว่าร่างระหงของคุณเขลางค์ยืนรอพร้อมเฟื้องอยู่แล้ว

      “อาต้องขอโทษด้วยนะพ่อโดม พอดีอาเพิ่งหายจากอาการเพลียจึงลงมารับลมเสียหน่อย นำของมาให้คุณหลวงรึ?”

    “ขอรับ...” คุณโดมยื่นห่อผลไม้ให้คุณหญิง “หัวหน้าของผมรู้จักกับคุณอาวินิต จึงฝากให้ผมนำลิ้นจี่กับลูกพลับจีนมาให้ขอรับ”

       “อาฝากขอบน้ำใจแทนคุณหลวงด้วยนะพ่อโดม” คุณเขลางค์ยิ้มมุมปากเล็กน้อย

      “ขอรับ เช่นนั้นกระผมขอตัวก่อนนะขอรับ ออกจากกรมมานานแล้ว”

     ครั้นเมื่อร้อยตรีหนุ่มเดินจากไปแล้ว สายตาที่เป็นมิตรของคุณเขลางค์ก็พลันเปลี่ยนเป็นร้ายมองตามเด็กน้อยที่กำลังถือตัวยามารักษาอาการของเดือน

      จะรักษาอีเดือนรึ...มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกไอ้ยม!!



    “พี่เดือน พี่เดือนเป็นอย่างไรบ้าง?

   ยมนั่งลงข้างๆเสื่อที่หญิงสาวนอนหันหลังให้ ร่างบางของนางทาสสาวห่มผ้าหนาทำให้ยมคิดว่าเดือนคงหนาวเพราะพิษไข้ หากแต่เรียกเท่าใดเดือนก็ไม่ยอมตอบทาสรุ่นน้องกลับทั้งๆที่ยังตื่นอยู่

    “ยมบดยามาให้พี่นะ พี่หันมาหายมหน่อยสิ”

    “ออกไปก่อนเถอะยม พี่อยากอยู่คนเดียว” นางทาสสาวตอบเสียงสั่น

   “พี่เดือนลุกขึ้นมาก่อนเถอะนะ ยมจะเอาตัวยานี้สุมบนหน้าผากพี่ ความเย็นจากดอกมะลิจะได้ช่วยให้พี่หายป่วยอย่างไรล่ะ”

      ยมวางถ้วยยาไว้ข้างๆก่อนจะเอามือไปแตะหน้าผากทาสรุ่นพี่   

   “เอ็งวางไว้เถอะ เดี๋ยวพี่ลุกขึ้นมาทำเอง”  เดือนบอกยมเสียงแผ่ว   

 “ในเมื่ออีเดือนมันไม่อยากได้ก็ไม่ต้องไปเซ้าซี้มันสิไอ้ยม”     

 ยมหันไปตามเสียง ก็พบว่าอีเฟื้องเดินเข้ามาด้านในก่อนจะคว้าถ้วยยาเดินกลับออกไปอย่างรวดเร็ว เด็กน้อยรีบวิ่งตามนางทาสร่างท้วมออกไปทันที     

  “พี่เฟื้อง เอายาคืนมานะ!”     

 “เอ็งอยากได้ยาคืนไหมล่ะไอ้ยม?” อีเฟื้องหลบด้านหลังคุณเขลางค์ แล้วส่งถ้วยยาให้ผู้เป็นนายหญิง     

 “คุณเขลางค์ คืนยาตัวนั้นให้บ่าวเถิดขอรับ" แม้ด้านในจะผูกใจเจ็บ แต่เมื่อนึกได้ว่าเดือนยังนอนซมอยู่ในเรือนก็พยายามอ้อนวอน         

แม้รู้ทั้งรู้ว่าอาจไม่ได้รับเศษเสี้ยวจากความเมตตา...

 “เกลียดบ่าว...บ่าวไม่ว่า แต่ยาตัวนั้นบ่าวตั้งใจทำมารักษาอาการของพี่เดือน”   

  “อือม์ ก็มาเอาไปสิ”       

“แต่...คุณเขลางค์เจ้าคะ..." เฟื้องโวยเมื่อเห็นนายหญิงยื่นถ้วยยาที่ตนไปแย่งมาคืนให้เจ้าของ     

“เงียบน่า ว่าอย่างไร?มาเอาคืนไปสิ”   

 ยมเม้มปากด้วยไม่รู้ว่าคุณเขลางค์จะมาไม้ไหนอีก แต่เมื่อนึกถึงพี่เดือนเด็กน้อยจึงค่อยๆคลานเข้าไป ทว่ายังไม่ทันจะได้ยื่นมาไปรับ คุณเขลางค์ก็แสร้งทำถ้วยยาตกพื้นเข้าเต็มๆ     

 “ตายจริง! อยู่ๆแขนข้าก็อ่อนแรง เอ็งคงต้องทำใหม่แล้วล่ะไอ้ยม หึๆ”     

คนเสแสร้งกลับขึ้นเรือนอย่างไม่สำนึก ทิ้งให้ยมนั่งมองถ้วยยาที่ตนอุตส่าห์ตั้งใจทำตาละห้อยเพราะอยากให้ผู้ที่ให้ความเคารพเหมือนพี่สาวหายจากอาการป่วย     

 คุณเขลางค์ช่างใจดำ อำมหิตยิ่งนัก!     



เด็กน้อยเดินกอดถ้วยยากลับไปที่เรือนของคุณเขมอีกครั้ง แววตาน่าสงสารคล้ายจะร้องไห้มองดอกมะลิที่ออกดอกชูช่องดงาม มันงามยิ่งกว่าตอนที่เด็กหนุ่มเก็บไปก่อนหน้านี้เสียอีก     

งามจนเด็กหนุ่มตัดใจเด็ดไม่ลง 

  "นอกจากพี่เขมแล้ว ไม่มีผู้ใดรู้หรอกว่า ยมชอบดอกมะลิมากที่สุด..."

  เพราะดอกมะลิก็เป็นดอกไม้ที่คุณเขมก็ชอบมากที่สุดเช่นเดียวกัน...



สุดท้ายยมก็ตัดใจเก็บดอกมะลิมาตำยาให้เดือนเป็นครั้งที่สองจนได้  หากแต่คราวนี้เฝ้าระวังจนแน่ใจว่าคุณเขลางค์กลับขึ้นเรือนไปแน่นอนแล้วเด็กน้อยจึงเข้ามาในเรือนทาสของเดือน  ก็พบว่าเดือนได้หลับไปด้วยพิษไข้เสียแล้ว ทว่าสิ่งที่ทำให้เด็กน้อยฉงนก็คือ...ขวดยาฝรั่งสีน้ำตาลพร้อมกับขันน้ำที่ตั้งไว้ข้างๆเสื่อที่นางทาสสาวกำลังหลับนอน

     ยาของผู้ใดกัน? ทั้งที่ค่อนข้างมีราคาแพง แต่กลับมาอยู่ในเรือนทาสนี้

     “แค่กๆ”

    เสียงไอของเดือนทำให้ยมเลิกสนใจขวดยาฝรั่ง เด็กน้อยค่อยๆพลิกตัวทาสรุ่นพี่อย่างเบามือที่สุด

    “พี่เดือน!”

    ยมร้องอย่างตกใจก่อนจะเอามือปิดปาก เมื่อพบว่าใบหน้าของเดือนเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำคล้ายกับรอยตบตี เด็กน้อยถือวิสาสะเปิดผ้าห่มออกดูก็พบว่าตามลำแขนก็เต็มไปด้วยรอยอะไรสักอย่างที่เหมือนรอยหวาย  หากแต่รอยแผลนั้นไม่ได้เป็นทางยาว แสดงว่าน่าจะมาจากอย่างอื่นเสียมากกว่า

     “คุณเขลางค์ทำพี่เดือนใช่ไหม? โธ่...มิน่าเล่าถึงได้แกล้งไม่ให้ยมทำยาให้พี่”

    ความจริงยมใคร่อยากจะรู้สาเหตุที่เหตุใดคุณเขลางค์จึงต้องทำเดือนได้ถึงขนาดนี้ หากเด็กน้อยยังเกรงใจคนป่วยที่ยังหลับไม่รู้เรื่องอยู่ จึงทำได้เพียงนำตัวยาจากดอกมะลิมาสุมไว้บนหน้าผากของนางทาสสาว  ก่อนจะล้มตัวลงนอนเพื่อรอให้ความเย็นจากดอกมะลิออกฤทธิ์ช่วยลดไข้ของพี่เดือน

     ‘หวังว่าตัวยาที่พี่เขมเคยพร่ำสอนยม...จะช่วยให้พี่เดือนหายโดยเร็วนะจ๊ะ’

   “ยม...ยม...”

    เสียงของเดือนทำให้เด็กน้อยค่อยๆลืมตาขึ้นมาช้าๆ เมื่อเห็นว่าเดือนกำลังกรอกตาเพื่อมองว่ามีอะไรอังอยู่บนศีรษะตนเอง

   “บนหัวพี่มีอะไรวางอยู่น่ะ?”

   “พอดียมทำดอกมะลิโขลกกับพิมเสนมาอังหน้าผากพี่ค้างคืนไว้จ้ะ เขาว่าช่วยลดไข้ได้ดีนัก” ยมอธิบายพลางหยิบผ้าชุบน้ำค่อยๆเช็ดนำตัวยาออกจากหน้าผากของเดือน แล้วลองเอามือแตะเพื่อดูอาการ

   “ไม่ค่อยมีไข้แล้วนะจ๊ะพี่ วันพรุ่งพี่เดือนก็หายสนิทแล้ว  ยมบอกกับเดือนด้วยรอยยิ้มที่ดีใจนักที่ตัวยาได้ผล

   “ขอบใจเอ็งนะยม” เดือนมองเด็กน้อยที่รักประดุจน้องชายด้วยสายตาที่เอ็นดู เด็กน้อยมักห่วงใยตนเสมอยามเจ็บไข้

   “พี่เดือน...” ยมตัดสินใจถามสิ่งที่ค้างคาใจมาตั้งแต่เมื่อคืน “พี่ไปทำสิ่งใดให้คุณเขลางค์ขุ่นเคืองหรือไม่ ทำไมทั้งใบหน้ากับแขนของพี่ถึงมีรอยคล้ายถูกตบตีนักเล่า?”

  “ไม่มีอะไรหรอกยม” เดือนตอบทาสรุ่นน้อง หากแต่สายตานั้นหลบหลีกที่จะเผชิญอย่างเห็นได้ชัด “เอ็งไปทำงานเถอะ ประเดี๋ยวเอ็งต้องไปตั้งสำรับอีกมิใช่รึ?”

   “แต่...”

   “ถ้าเอ็งยังรักพี่อยู่ เอ็งอย่าได้ถามเกี่ยวกับรอยบนตัวพี่อีกเลย ถือว่าพี่ขอร้องนะยม”

   เดือนกล่าวจบก็เบือนหน้าหนี เพื่อหลบซ่อนแววตาที่เต็มไปด้วยความเสียใจ นางทาสสาวไม่อยากให้เด็กที่มีอายุเพียงสิบสองอย่างยมต้องมารับรู้ความโหดร้ายที่ตนได้รับจากหญิงอำมหิต

    ความบัดสี...และราคีที่เดือนไม่อาจจะลบล้างได้ตลอดชีวิต!

   “ยมขอโทษจ้ะ เช่นนั้นพี่เดือนพักผ่อนเถิดนะ แล้วยมจะมาหาจ้ะ”

     เมื่อเด็กหนุ่มออกจากเรือนของเดือนไปแล้ว นางทาสสาวก็ปล่อยโฮออกมาอย่างเหลือทน ปล่อยให้หยาดน้ำตาเปียกท่วมหมอนอิงจนเปียกปอน

       ให้ตายก็จะให้ยมรู้เรื่องอย่างนี้ไม่ได้

       เรื่องบัดสีวันนั้นที่ตรอกผีเสื้อ...มันจะต้องเป็นความลับตายไปกับเดือนตลอดไป!



คุณเขลางค์เอาอีกแล้วเร้ออ สงสารหนูยมจุง

มีผู้ชายมาจีบหนูยม พี่เขมกลับมาจัดการเดี๋ยวนี้//รีดคนหนึ่งได้กล่าวไว้ ก๊ากกกกก

**ใครรักดอกไม้ไทยๆอย่างดอกมะลิให้มาอยู่ทีมคุณเขม ส่วนใครรักดอกไม้ฝรั่งอย่างไลเซนทัสให้อยู่ทีมคุณโดม ฮ่าาาา

​**ว่าแต่ ยาฝรั่งนี่ของใครกันน้อออ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: เรือนร้าว(YAOI)
« ตอบ #9 เมื่อ: 16-01-2018 20:09:15 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Amazing princess

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
Re: เรือนร้าว(YAOI)
«ตอบ #10 เมื่อ16-01-2018 20:21:34 »

เรือนร้าว9
ตอน เจ็บที่เพิ่งพบ...แล้วจะห่างไกล
เวลาผ่านไปจนครบกำหนดหนึ่งเดือน...พิธีจบของโรงเรียนจัดขึ้นทันทีที่ประกาศผลสอบเป็นที่เรียบร้อย  และตอนนี้เสียงของอาจารย์ท่านหนึ่งกำลังประกาศรายชื่อนักเรียนที่มีผลการเรียนดีของระดับชั้น จนมาถึงคนสุดท้าย

        “ผู้ที่สอบได้ที่หนึ่งของปีการศึกษาชั้นสุดท้าย ได้แก่ เขม วินิตราชศักดิ์”

       เสียงปรบมือแสดงความยินดีดังขึ้นทันทีที่ผู้ขึ้นมารับประกาศนียบัตรคนสุดท้ายเดินขึ้นมาด้านหน้าหอประชุมโรงเรียน  ตามด้วยครูใหญ่ที่กล่าวแสดงความยินดีแก่ผู่ที่จบการศึกษาเป็นอันเสร็จพิธี

        “คุณเขมเก่งจริงๆเลยนะขอรับ กระผมได้เพียงลำดับที่ห้าของชั้นเท่านั้นเอง” เพื่อนร่วมชั้นเข้ามาแสดงความยินดีกับคุณเขม

         “ลำดับที่ห้าก็เก่งมากแล้วขอรับคุณแท่ง” คุณเขมกล่าวแสดงความยินดีด้วยน้ำเสียงสุภาพ

        “คุณเขมนอกจากจะเรียนเก่งแล้วยังไม่ถือตัวด้วยนะขอรับ ไม่เหมือนคนแถวนี้ ได้ที่สองแล้วยังไล่แขวะเพื่อนคนอื่นอีก”

         คุณแท่งหันไปมองชายหนุ่มร่างสูงที่มีหน้าตาออกไปทางฝรั่งด้วยความหมันไส้  ทำให้คุณเขมต้องปรามเพื่อไม่ให้เพื่อนร่วมชั้นมีเรื่อง

      “อย่าไปมองคุณดอมอย่างนั้นสิขอรับคุณแท่ง อย่างไรเสียวันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายของการศึกษาแล้ว วันพรุ่งพวกเราต่างต้องแยกย้ายไปเพื่อเตรียมตัวสอบเข้ารับราชการตามที่คุณพ่อคุณแม่ของทุกคนคาดหวังไว้”

       “นั่นสินะขอรับ...” คุณแท่งปรับเสียงให้อ่อนลง “คุณเขมยังใจเย็นเสมอเลยนะขอรับ”

       “คุณเขมขอรับ มาอยู่ตรงนี้เอง บ่าวตามหาเสียทั่ว”

      คุณเขมหันไปตามเสียงเรียกที่คุ้นหู เมื่อเห็นว่าผู้ใดเป็นคนเรียกก็คลี่ยิ้มออกมาอย่างปรีดา

      “น้ากลอง...ถ้าน้ากลองอยู่นี่ แสดงว่าคุณพ่อมาด้วยอย่างนั้นรึ?”

       “ขอรับ ตอนนี้คุณพระกับคุณเขลางค์รอคุณเขมอยู่ที่ห้องของคุณครูใหญ่ รีบไปกันเถิดขอรับ”

       “กระผมขอตัวก่อนนะขอรับคุณแท่ง”

         น้ากลองรีบพาคุณเขมไปยังห้องครูใหญ่ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากหอประชุมมากนัก น้ากลองเคาะประตูเพื่อบอกว่าคุณเขมมาแล้วก่อนจะผลักประตูเข้าไป ก็พบว่าผู้เป็นบิดาที่บัดนี้ได้รับบรรดาศักดิ์ยศเป็นคุณพระวินิตราชศักดิ์กำลังสนทนาอยู่กับครูใหญ่โดยมีคุณเขลางค์นั่งอยู่ข้างๆ

        “คุณพ่อ คุณแม่ขอรับ” ร่างสูงเข้าไปกราบผู้เป็นบิดาและมารดา  คุณเขลางค์กอดจูบลูกรับขวัญลูกชายด้วยความคิดถึง

       “แม่คิดถึงลูกเหลือเกินพ่อเขม”

      “คุณครูใหญ่บอกพ่อหมดแล้วล่ะ ว่าเจ้าสอบไล่ได้ที่หนึ่งของชั้นจนได้ เก่งจริงๆลูกพ่อ” คุณพระตบบ่าบุตรชายอย่างยินดี

        “อย่างนั้นหรือขอรับ?”

         “ถูกต้องแล้วพ่อเขม” เสียงครูใหญ่แทรกขึ้น “กระผมจะมอบทุนให้พ่อเขมไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษเป็นเวลาสี่ปี เมื่อกลับมาแล้วก็จะได้รับราชการเช่นคุณพระต่อไป ไม่ทราบว่า คุณพระกับคุณหญิงจะขัดข้องสิ่งใดหรือไม่ล่ะ?”

        “กระผมยินดีขอรับครูใหญ่ เพราะพ่อเขมจะได้นำวิชาความรู้มารับราชการได้ในภายภาคหน้า บ้านเมืองยังต้องการคนเก่งอีกมากนักขอรับ”

        “แล้วคุณหญิงล่ะขอรับ?” ครูใหญ่ถามต่อ

       “อิฉันยินดีเจ้าค่ะ เพราะมันเป็นความต้องการของพ่อเขมมาตั้งแต่เด็ก ที่จะได้นำวิชาความรู้มารับราชการในภายหน้า”

       “หากคุณพระกับคุณหญิงเห็นสมควรแล้ว กระผมก็จะมอบทุนให้พ่อเขมเสียเลย เพราะทางโรงเรียนได้ติดต่อกับทางมหาวิทยาลัยล่วงหน้าแล้ว ทางนั้นยินดีรับพ่อเขมเข้าศึกษาอย่างยิ่งตั้งแต่ยังไม่ทันสอบไล่ครั้งสุดท้าย แต่...”

       “แต่อะไรหรือขอรับ?”

    “อีกเจ็ดวันพ่อเขมจะต้องเดินทางทันทีตามธรรมเนียมตั้งแต่ครูใหญ่คนก่อนเป็นผู้ริเริ่ม เพื่อเตรียมตัวปฐมนิเทศที่ทางมหาวิทยาลัยเป็นผู้จัดขอรับ”



    “พวกเอ็งๆ ข้ามีข่าวด่วนมาบอก ว้ายยย!!”

     ด้วยความรีบทำให้ร่างแคระแกร็นของอีปริกล้มคะมำกลางโรงครัว ยมที่นั่งแกะสลักผลไม้อยู่ใกล้ๆจึงช่วยพยุงอีปริกขึ้นมา

     “ข่าวด่วนอะไรของเอ็งห้ะอีปริก?” ป้าฟักถามด้วยความหงุดหงิด เพราะอีปริกเสียงดังทีเดียวทำให้ตนเกือบทำผัดผักไหม้คากระทะ

    “คุณพระ...กำลังจะพาคุณเขมกลับมาที่เรือนวันนี้แล้วจ้า”

    “จริงเหรอวะอีปริก? เอ็งไม่ได้มั่วใช่ไหม?”

   “จริงสิป้า ก็ฉันอยู่กำลังเก็บผักอยู่กับอีแตน แล้วไอ้กลองผัวมันก็กลับมาส่งข่าวว่าคุณพระขอรับตัวคุณเขมกลับมาก่อน ฉันเลยวิ่งกลับมาบอกป้านี่แหละ”

    “โอ๊ย!! ดีใจจังโว้ย ยมเอ้ย...เดี๋ยววันนี้ข้ายกหน้าที่ให้เอ็งทำข้าวหุงให้คุณเขมนะ คุณเขมเขาชอบรสมือเอ็ง” ป้าฟักหันไปบอกยมด้วยน้ำเสียงที่ยินดี   พร้อมๆกับเสียงของบ่าวทาสในโรงครัวพากันเซ็งแซ่บ่งบอกว่ายินดีที่บุตรชายคนเดียวของคุณพระกำลังจะกลับมาเรือนที่จากไปเสียนาน

    “ได้จ้ะ...” ยมตอบรับป้าฟัก ก่อนจะเดินคว้ากระจาดเดินออกไปจากโรงครัวเพื่อเก็บสมุนไพรมาปรุงรสข้าวหุง

      เมื่อยมเดินถือกระจาดมายังสวนผักท้ายเรือน เด็กน้อยก็เก็บผักกับสมุนไพรที่จะใช้ทำข้าวหุงต้อนรับคุณเขม อีกทั้งยังเก็บผักหวานบ้านไว้ผัดทานคู่กับข้าวหุง วันนี้ยมคิดว่าจะทำหรุ่มอย่างที่เคยตั้งใจให้คุณเขมด้วย

     “ยม...”

     เมื่อเด็กน้อยเงยหน้าขึ้นมาเมื่อพบว่าร่างสูงของร้อยตรีหนุ่มกำลังถือห่ออะไรบางอย่างส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ยมวางกระจาดไว้ข้างๆเพื่อนั่งคุกเข่ากับพื้นดิน

     “คุณโดม...”

    “พอดีคุณพ่อทราบว่าเขมกำลังจะกลับมาวันนี้  แต่ท่านติดธุระกะทันหัน จึงฝากฉันนำแอปเปิ้ลมาแสดงความยินดีกับคุณอาน่ะ แล้วนี่...ยมทำอะไรอยู่?”

    “บ่าวตั้งใจมาเก็บสมุนไพรไปทำสำรับขอรับ”

    “แล้ว...” ร่างสูงนั่งยองๆใกล้ๆเด็กน้อย “วันนี้ยมจะทำอะไรบ้างเหรอ?”

   “บ่าวจะทำข้าวหุงกับผัดผักหวาน ของโปรดของคุณเขมขอรับ” ยมตอบคุณเขมแล้วอมยิ้มด้วยใบหน้าที่เป็นสุข รอยยิ้มของยมนั้นทำเอาร้อยตรีหนุ่มถึงกับคลี่ยิ้มตาม

    นี่เจ้าตัวจะรู้ตัวบ้างไหม...ว่าเวลาที่ยมยิ้ม โลกนี้ช่างสดใสแค่ไหน

    “ข้าวหุงเหรอ...มันเป็นอย่างไร? ฉันไม่เคยเห็นหน้าตามาก่อน”

    “เป็นข้าวสวยนำมาผัดปรุงรสกับเครื่องเทศขอรับ ใส่ใบกระวาน อบเชย กานพลู แล้วก็ลูกเอ็น คุณเขมชอบทานคู่กับผัดผักหวานขอรับ”

      คุณเขม...อีกแล้ว...

     เอ่ยชื่อนี้บ่อยเสียจริง

     “รู้สึกว่ายมจะเอ่ยถึงคุณเขมบ่อยเหลือเกิน ฉันถามหน่อยเถิด ยมเคารพคุณเขมขนาดนั้นเชียวหรือ?”   

     “เอ่อ...” เด็กน้อยถือกระจาดแล้วทำท่าจะลุกขึ้น “นี่ใกล้ยามเย็นแล้ว บ่าวขอกลับไปเตรียมตั้งสำรับก่อนนะขอรับ”

    “เดี๋ยวยม...” มือใหญ่คว้าแขนเล็กไว้ นั่นทำให้ยมไม่ทันระวังจนข้อเท้าเผลอสะดุดตั้งท่าจะล้ม กระจาดที่เก็บสมุนไพรร่วงลงไปกับพื้น เด็กน้อยหลับตาปี๋ด้วยคิดว่าจะร่วงลงไปกับพื้นแล้ว แต่...

    “คะ...คุณโดม...” เด็กน้อยเบิกตากว้าง เมื่อพบร่างของตนถูกร้อยตรีหนุ่มรับไว้ในอ้อมกอด

    “นี่เป็นครั้งที่สองแล้วนะ ที่ฉันช่วยยมไม่ให้ล้ม”

    “คุณโดมปล่อยบ่าวก่อนขอรับ เดี๋ยวมีคนมาเห็น” ใบหน้าหวานหันซ้ายขวาด้วยความหวาดระแวง แต่คุณโดมกลับกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น

      “ว่าอย่างไรเล่า? ยมยังไม่ได้ตอบฉันเลย”

     “ขอรับ บ่าวเคารพคุณเขมที่สุด ปล่อยได้แล้วขอรับ บ่าวไม่สนุกขอรับ”

   แต่ดูร้อยตรีหนุ่มจะไม่เลิกแกล้ง คุณโดมจึงยังไม่ยอมปล่อยร่างน้อย อีกทั้งดวงตาสีนิลแบบฝรั่งยังคงจ้องใบหน้าหวานที่ตอนนี้ดูจะไม่ค่อยชอบใจนัก

      “ยม!”

     เสียงนี้มัน...

     ยมหันใบหน้าไปตามต้นเสียง ก็พบร่างสูงใหญ่ที่ยมคิดถึงกับพี่มั่นพี่เพลิงยืนอยู่ไม่ห่างจากแปลงผักนัก แววตาของคุณเขมมองด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายได้ ก่อนที่ร่างสูงเดินหันหลังกลับออกไปอย่างรวดเร็ว

    “พี่เขม...พี่เขมฟังยมก่อน...” เด็กน้อยผลักร้อยตรีหนุ่มเต็มแรง ก่อนจะวิ่งตามคนรักออกไป วินาทีนี้ยมไม่สนใจแล้วว่าจะถูกทั้งสามคนที่อยู่ตรงนั้นมองอย่างไร

      “นี่...อย่าบอกนะว่า...” คุณโดมพึมพำอย่างไม่ใคร่จะเชื่อนัก ส่วนเพลิงเองที่เคยเย้ายมเล่นไว้ว่าคุณเขมอาจชอบยมหากเป็นหญิง พอมาเกิดขึ้นจริงแล้วก็ทำเอาตกใจไปเหมือนกัน

      คุณเขมชอบยมจริงๆ...ทั้งที่ยมเป็นผู้ชาย!!



      “พี่เขม...ฟังยมก่อนนะจ๊ะ”

       ยมวิ่งตามคนตัวสูงมาจนทัน โชคดีที่ไม่มีใครผ่านมาแถวนั้นคุณเขมจึงหยุดเดิน ก่อนจะหันมาสวมกอดยมไว้แนบแน่น

     “พะ...พี่เขม...” เด็กน้อยเบิกตาโพลงเมื่อถูกสวมกอด สองเรียวแขนเล็กกอดตอบคุณเขมกลับเช่นกัน

    “พี่ขอโทษนะที่เดินหนีมา พี่เพียง...ทนไม่ได้หากมีผู้ใดมายุ่งเกี่ยวกับยม”

     ร่างสูงกระซิบข้างหูคนตัวเล็กตามที่หัวใจสั่ง ทันทีที่กลับมาถึงเรือนช่วงใกล้ยามเย็น คุณเขมก็ขออนุญาตคุณพระกับคุณหญิงวินิตราชศักดิ์ออกมาเดินเล่นด้านนอกเรือนเพื่อรับลมจากอากาศที่ใกล้เย็นย่ำ หากแท้จริงแล้วต้องการมาหาคนตัวเล็กที่แสนคิดถึง แต่เมื่อมาพบว่ายมกำลังอยู่ในอ้อมกอดของคนที่คุณเขมพอจะจำได้ลางๆว่าเคยพบที่งานภูเขาทองก็เกิดอาการหึงหวง แต่ก็ต้องรีบออกมาเพราะเกรงว่าจะเก็บอารมณ์ไม่อยู่จนเผลอไปทำร้ายคนที่มายุ่งกับคนของเขา

     หากแต่เพียงเสียงของเจ้าตัวน้อยตามเรียกจากด้านหลัง...อารมณ์ที่ร้อนหุนหันนั้นก็แทบแปรเปลี่ยนเป็นความเย็นที่รู้สึกผิดต่อเจ้ายมน้อย

    เพราะร่างสูงว่าอย่างไรคนตัวเล็กคงไม่ได้ตั้งใจ

    พี่ขอโทษ...พี่ขอโทษจริงๆ...

   “คุณโดมไม่ได้ทำอะไรยมหรอกจ้ะ” ใบหน้าหวานซุกบนอกแกร่ง “เมื่อครู่ยมจะล้ม เขาเลยช่วยยมไว้เท่านั้นเอง”

     เด็กน้อยเต็มใจรับสัมผัสอบอุ่นอยู่เนิ่นนาน กระทั่งทั้งสองต้องผละออกจากกันก่อนที่ใครจะมาเห็นเข้า หากแต่สองมือยังแนบประสานไม่ห่าง

       “ยมดีใจที่พี่เขมฟังยม ยมคิดว่าจะถูกพี่เขมเกลียดเสียแล้ว”

      “พี่รักยม” เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยหนักแน่น “พี่รักยม”

      สองดวงตาสอดประสานด้วยหัวใจที่สุขล้น ในที่สุดหัวใจทั้งสองดวงก็กลับมาพบกัน

      แม้คุณเขมจะกังวลใจลึกๆก็ตาม

     “ยม คือ...” คุณเขมกำลังจะบอกเรื่องที่จะต้องเดินทางไปประเทศอังกฤษกับคนรัก หากแต่เด็กน้อยปล่อยมือใหญ่ออกช้าๆ

     “ยมต้องไปช่วยป้าฟักแล้วพี่เขม ไว้พี่เขมรอทานข้าวหุงของยมนะจ๊ะ” เด็กน้อยเดินออกไป หากคุณเขมพูดตามหลังยมไปว่า

     “ค่ำนี้พี่จะไปพบเจ้าที่เรือน”

     ร้อยตรีหนุ่มเดินขึ้นบันไดบนเรือนใหญ่เมื่อบ่าวไพร่มาบอกว่าคุณพระวินิตราชศักดิ์เพิ่งกลับมาจากโรงเรียนของคุณเขมได้สักพัก ก็พบว่าทั้งคุณพระและคุณหญิงต่างนั่งรออยู่บนแท่นแล้ว

      “นั่งก่อนสิ ว่าอย่างไรพ่อโดม? แล้วท่านพระยามนตรีไม่มาด้วยรึ?” คุณพระเชื้อเชิญแขกก่อนจะเอ่ยถามถึงบิดาของชายหนุ่ม

      “พอดีคุณพ่อทราบว่าเขมกลับมาจากโรงเรียนวันนี้ แต่ท่านติดธุระกะทันหัน จึงให้หลานนำแอปเปิ้ลมาแสดงความยินดีที่เขมเรียนจบขอรับคุณอา” ว่าจบ ร้อยตรีหนุ่มก็ยื่นห่อแอปเปิ้ลสีแดงสดจำนวนหนึ่งส่งให้คุณพระ

     “ผลไม้นอกเสียด้วย อาฝากขอบใจถึงคุณพ่อของเจ้าด้วยนะพ่อโดม” คุณพระมองของฝากอย่างพอใจ ก่อนจะสั่งให้กลองนำไปเก็บในครัว “เดี๋ยวสักพักพวกบ่าวจะยกสำรับขึ้นมา พ่อโดมอยู่รับข้าวเย็นที่นี่ด้วยกันนะ”

     “ขอบพระคุณคุณอาขอรับ...” ร้อยตรีหนุ่มไหว้ผู้ใหญ่อย่างนอบน้อม “แต่หลานต้องไปเข้ากรมต่อ วันนี้หัวหน้าเรียกประชุมสำคัญขอรับ”

     “อือม์...ช่างน่าเสียดายนัก เลยอดเจอพ่อเขมลูกชายของอาเลย”

     ความจริงหลานเพิ่งเจอเขมเมื่อสักครู่นี้เองขอรับคุณอา...

      “ไว้วันอื่นหากว่าง หลานจะมาขอรับ”

    “รีบหน่อยก็ดีนะพ่อโดม” คุณพระกล่าวเตือน “เพราะอีกเจ็ดวัน พ่อเขมกำลังจะเดินทางไปประเทศอังกฤษแล้ว”

       เคร้ง!!

     “ว้ายเจ้ายม! ทำไมซุ่มซ่ามอย่างนี้ห้ะ...หกหมดเลยเห็นไหม?!” ป้าฟักเอ็ดเด็กน้อยที่พลั้งทำขันน้ำลอยดอกมะลิเพื่อรับแขกหกเรี่ยราด

     “ยม...ยมขอโทษจ้ะป้าฟัก” ยมเสียงสั่นคล้ายจะร้องไห้ หากแต่ไม่ใช่เพราะถูกป้าฟักเอ็ด หากแต่เป็นเพราะได้ยินสิ่งที่คุณพระวินิตกล่าวเมื่อครู่ต่างหาก

     นี่พี่เขมของยม...เพิ่งจะกลับมาหายมแท้ๆ จะจากยมไปอีกแล้วหรือไร?

     “อย่าไปเอ็ดเจ้ายมมันเลยอีฟัก...” คุณพระเอ่ยด้วยน้ำเสียงเมตตา “คุณโดมกำลังจะกลับพอดี เอ็งลงไปช่วยบ่าวคนอื่นยกสำรับก็แล้วกัน”

    “ขอรับ” เมื่อได้ยินยมก็คลานออกไปก่อนที่จะเดินลงไปจากเรือน โดยที่คุณโดมมองตามไปไม่วางตา

      อยู่ๆยมก็ดูเศร้านัก

      “หลานขอตัวก่อนนะขอรับ”

      หลังจากกราบลาคุณพระแล้ว ร้อยตรีหนุ่มก็จะเดินลงบันไดเพื่อกลับไปยังรถที่จอดอยู่ด้านนอก หากแต่สายตาก็มองหาคนตัวเล็กที่คิดว่าน่าจะยังไปได้ไม่ไกลด้วยรู้สึกผิดอยู่ลึกๆที่ทำเขมเข้าใจยมผิดในตอนนั้น

     “หายไปเร็วจริงๆ”

     เมื่อเห็นว่าอย่างไรก็ไม่พบยมอีก คุณโดมจึงตัดใจเดินกลับไปยังรถยนต์คู่ใจ ใบหน้าคมอย่างฝรั่งมองดอกไลเซนทัสที่เบาะข้างๆก็นึกถึงเด็กน้อย แต่ครั้นจะกลับเข้าไปอีกครั้งก็คงจะไม่ดีนักเพราะเพิ่งเสร็จธุระไปเมื่อสักครู่นี้เอง

      เขาจะมาอีก...

      มาเพื่อมอบดอกไลเซนทัสให้ยม...



 เวลาผ่านไปจนถึงสองยาม เมื่อเห็นว่าผู้เป็นบิดาและมารดาเข้านอนแน่แล้ว คุณเขมจึงลงมาจากเรือนเพื่อไปหาคนตัวเล็กตามที่บอกไว้ตอนเย็น ในใจรู้สึกร้อนรุ่มเพราะเมื่อตอนเย็นที่ยมยกสำรับขึ้นมา คุณเขมจ้องคนตัวเล็กที่เบือนหน้าหนีคล้ายจะหลบซ่อนแววตาแสนเศร้าตลอดเวลา อยากจะเอ่ยถามตั้งแต่ตอนนั้นก็ไม่อาจทำได้

        “ยม พี่มาแล้ว...”

    เมื่อได้ยินเสียงของคุณเขม ยมที่กำลังอ่านหนังสือเงาะป่าก็ต้องวางลงเพื่อเปิดประตูเรือนให้คนรักเข้ามาด้านใน ด้วยกลัวว่ายามดึกดื่นยุงร้ายจะกัดคุณเขมเอา ทันทีที่คุณเขมเข้าไป ร่างของเพลิงกับมั่นที่แฝงกายอยู่ในพุ่มไม้ก็ค่อยๆยื่นหน้าออกมา

      “เอ็งแน่ใจนะไอ้เพลิง ว่าคุณเขมมารักกับไอ้ยม” มั่นสะกิดคู่หู

     “เออน่ะ! เอ็งเงียบๆแล้วตามข้ามาเถอะ”

     เพลิงจุ๊ปากก่อนจะค่อยๆพามั่นย่องไปแถวบานหน้าต่างที่ถูกปิด แล้วแนบหูเพื่อฟังเสียงคนด้านในพูดคุยกัน

    “ยม...ใยเจ้าจึงไม่มองหน้าพี่” คุณเขมเชยคางมนเพื่อให้เด็กน้อยสบตา “ตั้งแต่ตอนที่เจ้ายกสำรับขึ้นมาแล้ว พี่มองเจ้าตลอดเวลา แล้วเจ้ากลับเบือนหน้าหนี”

    “พี่เขม...” ยมก้มหน้าเพื่อหลบแววตาที่เศร้าสร้อย “ยมดีใจด้วยนะจ๊ะ ที่...พี่เขมจะได้ทำตามความฝันเสียที”

      “ยม...” ร่างสูงขยับกายเข้าไปใกล้ร่างน้อย “เจ้ารู้แล้วอย่างนั้นรึ?”

      “ยมได้ยินคุณพระพูดน่ะจ้ะ” เด็กน้อยหันหลังให้คนรัก “พี่ต้องไปนานเท่าใด?”

     คุณเขมเงียบไปสักพัก ก่อนจะตัดสินใจคำที่ยากจะเอื้อนเอ่ยออกมา

    “สี่ปี”

     !!!

    “ฮึก...”

    เด็กน้อยปล่อยให้น้ำตาไหลอาบแก้ม จนร่างสูงต้องคว้าร่างน้อยเข้าไปกอดแนบแน่น สองแขนเล็กกอดชายอันเป็นที่รักราวกับว่าคุณเขมจะหายไปเดี๋ยวนั้น

     “ยม...เพียงเจ้าบอกพี่มา ว่าเจ้าไม่อยากให้พี่ไป พี่จะสละทุนไปอังกฤษทันที” มือใหญ่เกลี่ยหยาดน้ำใสบนใบหน้าหานอ่อนโยน คุณเขมมิได้พูดเพื่อเอาใจคนตัวเล็ก หากแต่มันถูกร้อยเรียงมาจากหัวใจ “พี่ยอมทิ้งทุกอย่าง...เพื่อยม!!”

      “เฮ้ย...ไม่ได้นะเว้ยไอ้ยม อย่าพูดนะโว้ย อื้อ!!” มั่นดิ้นเมื่อถูกมือของเพลิงปิดปากแน่น

     “เอ็งอย่าเสียงดังสิวะไอ้มั่น เดี๋ยวก็ถูกโบยหลังลายหรอก!” เมื่อมั่นพยักหน้าเข้าใจเพลิงจึงค่อยๆปล่อยมือเพื่อแอบฟังต่อ

      “พี่จะทิ้งความฝันของพี่ได้อย่างไร...” เด็กน้อยใจกล้าขึ้นมาสบตาคนรัก สองมือเล็กประคองใบหน้าคมคาย “ยมยินดีกับพี่เขมนัก ที่พี่จะได้ทำตามความฝัน อย่างน้อย...เราก็มีเวลาตั้งเจ็ดวันที่ได้อยู่ด้วยกัน”

      “ยม...” คุณเขมเรียกชื่อของเด็กน้อยไม่รู้เบื่อ ดวงตาสีนิลเข้มมองแววตาน่ารักของยมไม่กะพริบ “พี่รักยมมากนะ”

     “ยม ก็...” เด็กน้อยหน้าแดง ยังมิทันจะได้ตอบกลับ ก็ได้ยินเสียงดังโครมครามมาจากนอกเรือนทาสของยมมาจากบริเวณบานหน้าต่างที่ปิด ร่างสูงจึงรีบลุกขึ้นไปเปิดเพื่อดูต้นเสียงทันที พบว่าร่างของเพลิงล้มทับมั่นที่นอนลงไปกองกับพื้น

     “มั่น เพลิง!”

 

ออฟไลน์ Amazing princess

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
Re: เรือนร้าว(YAOI)
«ตอบ #11 เมื่อ18-01-2018 19:57:56 »

เรือนร้าว10
ตอน คำมั่นสัญญา
“บ่าว...บ่าวผิดไปแล้วขอรับ...” เพลิงกับมั่นรีบนั่งคุกเข่าแล้วยกมือท่วมหัวผู้เป็นนายหวังให้คุณเขมใจเย็นลง เพราะเวลาที่ร่างสูงตรงหน้าโกรธเมื่อใดก็เปรียบเหมือนมีพายุลูกใหญ่เข้ามาเมื่อนั้น

      “บ่าวไม่ได้ตั้งใจนะขอรับ...ก็...ก็ไอ้เพลิงนั่นแหละ ที่พาบ่าวมาแอบฟังว่าคุณเขมกับไอ้ยม เอ่อ...”

     “แต่เอ็งก็ตามข้ามาไม่ใช่รึไอ้มั่น ห้ะ!!” เมื่อเห็นว่าเพื่อนโยนความผิดให้ตนคนเดียวเพลิงก็หันไปโวยทันที

     “เอาล่ะ เจ้าสองคนพอได้แล้ว” คุณเขมรีบห้ามคนสนิททั้งสอง “ในเมื่อพวกเจ้ารู้แล้ว ฉันขอล่ะ...เพลิง มั่น ช่วยเก็บเป็นความลับได้หรือไม่? ”

        “แต่สักวันคุณพระก็ต้องรู้ความจริงนะขอรับ” น้ำเสียงของเพลิงเริ่มจริงจัง “บ่าวทั้งสองแม้ต้องตายก็ยินดีจะช่วยคุณเขม  แล้วคุณเขมจะบอกความจริงกับคุณพระเมื่อใดขอรับ? ”

         “มันยังไม่ถึงเวลาหรอกเพลิง” ร่างสูงถอนหายใจเฮือกยาว “สี่ปีเมื่อฉันกลับจากอังกฤษ ฉันจะตั้งใจทำงานรับราชการจนมีความมั่นคง เมื่อนั้นฉันถึงจะบอกความจริงกับคุณพ่อเรื่องของฉันกับยม”

      “แต่กาลข้างหน้า คุณเขมจะเป็นผู้มีหน้ามีตาในสังคม หากมีคนรักเป็นผู้ชายแล้ว...คุณเขมมิเกรงกลัวถูกครหาจากสังคมรอบด้านหรือขอรับ?” ครานี้มั่นเป็นฝ่ายถามออกมาตรงๆ หากแต่ท่าทีของคุณเขมนั้นหาได้วิตกกับคำถามไม่

       “ฉันไม่กลัว ฉันคิดถึงอนาคตข้างหน้าไว้แล้ว”น้ำเสียงอบอุ่นกล่าวอย่างมาดมั่น ทำเอาเด็กน้อยที่แอบฟังจากด้านในหัวใจเต้นระส่ำ

       “แม้กาลข้างหน้าอาจถูกกดดันหรือมีอุปสรรคเพียงใด ฉันกับยมจะฝ่ามันไปด้วยกันให้ได้ ยมเป็นคนรักของฉัน ฉันจะปกป้องเขาด้วยชีวิต”



   “พี่เขมอ่านหนังสือภาษาอังกฤษหรือจ๊ะ?” ร่างน้อยเอ่ยถามคุณเขมที่กำลังอ่านหนังสือที่มีชื่อว่า The Merchant of Venice ขณะวางจานขนมรังไรสีสันสวยงามน่ารับประทานบนโต๊ะอ่านตำรา ผ่านไปเข้าวันที่สองแล้วทั้งคุณเขมกับยมใช้เวลาอยู่ด้วยกัน หากยมก็ยังทำงานปกติมิได้ทิ้งงานซึ่งเป็นหน้าที่แต่อย่างใด

       “พี่ชอบอ่านวรรณกรรมภาษาอังกฤษน่ะ จะได้เป็นการฝึกภาษาไปด้วย เวลาไปอังกฤษจะได้ไม่อายฝรั่งมังค่าเขา” คุณเขมพูดแล้วส่งยิ้มเล็กน้อย หากแต่ยมยิ่งฟังกลับยิ่งใจหาย ดวงตาหวานล้ำอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด

       “ยม...พี่ขอโทษ” คุณเขมวางหนังสือลงก่อนจะเข้ามาประคองใบหน้าหวาน “ระหว่างที่เราอยู่ด้วยกัน พี่จะไม่พูดถึงเรื่องประเทศอังกฤษอีก”

       “ยมไม่ได้เป็นกระไรจ้ะ” มือเล็กสัมผัสคนรัก ก่อนจะชวนคุณเขมเปลี่ยนเรื่องพูดคุย “ยมอ่านเงาะป่าจบแล้วนะจ๊ะ อยากอ่านให้พี่ฟัง แต่พี่เขมคงไม่สะดวกตอนนี้ ถ้าอย่างนั้น...”

      “ดีเลย... ” คุณเขมวางวรรณกรรมลง “พี่อยากฟังยมอ่าน อ่านให้พี่ฟังหน่อยนะคนดี”

     “แต่ตอนนี้พี่เขมอ่านภาษาอังกฤษอยู่มิใช่หรือจ๊ะ?”

      “พี่อยากฟังเสียงยมอ่านมากกว่า” คุณเขมลองยื่นหนังสือวรรณกรรมมาให้เด็กน้อยหมายจะแหย่เล่น “หรือว่ายมอยากลองอ่านเล่มนี้ดู”

     “ไม่เอา...” เด็กน้อยส่ายหน้ารัวทันที แค่ภาษาสยามก็อ่านยากอ่านเย็นจะแย่ “อย่างนั้นพี่เขมรอสักครู่นะจ๊ะ เดี๋ยวยมกลับไปเอาหนังสือเงาะป่าที่เรือนก่อน”

       เด็กน้อยหันหลังเดินไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะได้ยินเสียงเพลิงกับมั่นที่นั่งหมอบอยู่ใกล้ๆหัวเราะคิกคัก

    “ไอ้ยมมันอ่านภาษาปะกิตไม่ออกดอกขอรับคุณเขม ” เพลิงแซ็วก่อนจะยิ้มกรุ้มกริ่ม “มันอ่านแต่ภาษารักออกเท่านั้นแหละขอรับ”

     “เพลิง!” คุณเขมทำเสียงดุใส่คนสนิท หากแต่เด็กน้อยก็พอจะรู้ว่าร่างสูงกลังกลั้นเสียงหัวเราะอยู่ ทำเอาแก้มเนียนพองลมอย่างช่างงอน

       พี่เขมบ้า! เห็นท่าทางสุขุมอ่อนโยน แต่หากเย้าเล่นก็ทำเอาเขินได้เหมือนกันนะ!



เมื่อหยิบหนังสือเงาะป่าแล้วกำลังจะกลับเรือนของคุณเขม ยมก็มาพบกับคนที่เพิ่งทำให้ตนกับคนรักเกือบผิดใจกันเมื่อวานมายืนตรงหน้าราวกับดักรอไว้ คุณโดมยังคงแต่งกายร้อยตรีเต็มยศ  ในมือก็ถือดอกไลเซนทัสสีขาวบริสุทธิ์ ครั้นเมื่อยมตัดสินใจเลี่ยงไปอีกทาง ร้อยตรีหนุ่มกลับหันมาเห็นแล้วรีบวิ่งตามยมไปทันที

      “ยม! เดี๋ยวสิยม”คุณโดมวิ่งมาด้านหน้ายมอย่างรวดเร็ว “อย่าหนีฉันอย่างนี้สิ”

     “คุณพระอยู่บนเรือนขอรับ...” ยมตอบเลี่ยงเผื่อว่าร้อยตรีหนุ่มอาจจะมีธุระสำคัญกับคุณพระวินิตราชศักดิ์

    “ฉันไปพบคุณอามาแล้ว” คุณโดมขยับเข้ามาใกล้ ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำสียงจริงจังไม่ขี้เล่นเหมือนอย่างเคย “ยมยังโกรธฉันอยู่หรือไม่?”

     “บ่าวไม่ได้โกรธขอรับ” ร่างน้อยกำลังจะเดินหนีไปอีกทาง หากแต่ร้อยตรีหนุ่มขยับมาด้านหน้าดักไว้

     “ฉันพอจะรู้นะ...” แววตาสีนิลฝรั่งฉายดูจริงจัง “ว่ายมกับเขมน่ะมีความสัมพันธ์อย่าง...คนรัก”

    “คุณโดมรู้!?” แขนน้อยแทบจะทำหนังสือเงาะป่าร่วงลงจากพื้นเมื่อมีอีกคนรับรู้ความสัมพันธ์ของตนกับคุณเขม ดวงตาหวานระริกอ่อนไหว “บ่าวขอร้องนะขอรับ คุณโดมช่วยปิดเป็นความลับด้วย บ่าวไม่อยากให้คุณเขมเดือดร้อนเพราะบ่าว”

      “ไม่ต้องกังวลหรอก ยมเป็นเด็กดี ฉันจะไม่ยอมให้ยมเดือดร้อน” ร้อยตรีหนุ่มลูกครึ่งถอนใจ ก่อนจะตัดสินใจพูดออกไป “วันนี้ฉันไม่ได้มาเพื่อจะบอกยมเรื่องนี้หรอกนะ ฉันจะมาลายม”

    “คุณโดมจะไปไหนขอรับ?”

    “หัวหน้าของฉันสั่งให้ไปประจำการที่เชียงใหม่ เพราะช่วงนี้ที่นั่นมีโจรชุกชุมมากยิ่งกว่าในพระนครอีก” น้ำเสียงเข้มเศร้าสร้อย เด็กน้อยได้ฟังก็รู้สึกเห็นใจที่คุณโดมต้องพลัดจากเรือนไปไกล

    “คุณโดมต้องไปนานเท่าใดขอรับ?”

    “ไม่มีกำหนดที่แน่นอน หรือจนกว่าจะปราบโจรได้จนหมด” ร้อยตรีหนุ่มยื่นดอกไลเซนทัสให้ยม “ฉันคงไม่ได้มาให้ดอกไลเซนทัสนี้กับยมอีกนาน รับไว้เถอะ ฉันอยากมีความทรงจำที่ดีกับยม”

    “ขอรับ” เด็กน้อยรับดอกไลเซนทัสมาจากร้อยตรีหนุ่ม “บ่าวขอให้คุณโดมแคล้วคลาดจากภยันตรายทั้งหลายแล้วปราบโจรได้สำเร็จนะขอรับ จะได้กลับสู่พระนครเร็วๆ”

      “ขอบใจนะ” คุณโดมยื่นมือไปลูบศีรษะเด็กน้อยอย่างเอ็นดู ซึ่งยมก็ไม่ได้ห้ามอะไร “แค่นี้ฉันก็ดีใจมากแล้ว”

      “มาแล้วเหรอยม? แล้วนั่นถือดอกไม้อะไรมาด้วยน่ะ?”             

    คุณเขมวางวรรณกรรมเวนิสวานิชฉบับภาษาอังกฤษลงเมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กเดินกลับขึ้นเรือนมาพร้อมหนังสือเงาะป่า แต่อีกมือก็ถือดอกไม้สีขาวคล้ายดอกกุหลาบ

    “ดอกไลเซนทัสจ้ะ คือ...เมื่อครู่ยมเจอคุณโดมก่อนจะกลับขึ้นเรือนมา คุณโดมมาบอกลายมเพื่อไปประจำการที่เชียงใหม่ แล้วคุณโดมให้มา”

      ยมตอบเสียงแผ่วเมื่อเห็นว่าคุณเขมเริ่มทำหน้าตึง เด็กน้อยมองซ้ายขวาเมื่อเห็นว่าเพลิงกับมั่นไม่ได้นั่งอยู่ด้วยเหมือนก่อนหน้านั้นจึงค่อยๆขยับเข้าไปใกล้ร่างสูง ก่อนจะซบใบหน้าไหล่แกร่งเพื่อเอาใจคนรัก

     “อย่าทำหน้าอย่างนี้สิจ๊ะ คุณโดมเพียงแค่เอ็นดูยมเป็นเพียงน้องชายก็เท่านั้น พี่เขมอย่าคิดมากเลยนะ” เด็กน้อยอ้อนร่างสูงเสียงหวาน เมื่อเห็นว่าขนมรังไรที่ยกมาคุณเขมยังไม่ได้แตะต้อง มือน้อยจึงหยิบมาจ่อริมฝีปากหนาเพื่อป้อนเอาใจ

     “พี่เขมเคยบอกยมว่าถ้าทานของหวานแล้วอารมณ์จะดี ถ้าอย่างนั้นยมก็ต้องป้อนขนมพี่เขม พี่เขมจะได้อารมณ์ดีใช่ไหมจ๊ะ?”

       “หึๆ” ร่างสูงกลั้วหัวเราะในลำคอ สิ่งที่เขาเคยบอกเคยแนะนำยมเวลาที่ถูกใครดุจนเครียด กลับมาย้อนเข้าตัวเขาเองเสียนี่

      “เด็กน้อยของพี่...” มือใหญ่ลูบเส้นผมนุ่มของเด็กน้อย ก่อนที่จะงับขนมรังไรสีสวยเข้าปาก ก่อนจะหยิบขนมมาผลัดป้อนกับยมบ้าง ทั้งสองผลัดกันป้อนขนมรังไร หากแต่ตอนนี้คุณเขมจะเป็นฝ่ายป้อนเสียมากกว่า

     “พอแล้วจ้ะพี่เขม”ยมดันมือใหญ่ที่ทำท่าจะป้อนขนมมาอีก “พี่เขมอยากให้ยมอ่านเงาะป่าให้ฟังมิใช่หรือจ๊ะ?  ยมว่ายมอ่านเลยดีกว่า”



       เขาว่าวันเวลาแห่งความสุขช่างผันผ่านไปเร็วนัก ก็คงจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ วันนี้เข้าสู่วันที่ห้าที่คุณเขมมาอยู่กับยม บางครั้งหากไม่มีอะไรร่างสูงก็จะเพียงมานอนกอดคนตัวเล็ก ก่อนจะตื่นออกไปก่อนไก่โห่เพราะเกรงว่าจะมีบ่าวไพร่มาเห็น จนกระทั่งถึงเวลาย่ำค่ำที่วันพรุ่งจะเป็นวันที่หก คุณเขมก็ชวนร่างน้อยนั่งชมแสงจันทร์ที่มีดาราเป็นบริวาร แล้วต่างหวนนึกถึงคืนที่จากไกล

    “ตอนที่พี่ยังนอนที่โรงเรียน พี่ชอบมองพระจันทร์มากเลยยมรู้ไหม?” เสียงนุ่มทุ้มกระซิบแผ่วข้างหู

   “จริงหรือจ๊ะ...ยมนึกว่ายมชอบมองอยู่ฝ่ายเดียว” ดวงตาหวานล้ำมองหน้าชายคนรัก

   “แต่พี่จะชอบมากกว่านี้ หากพี่ได้มองพระจันทร์ข้างๆยม”

    ถ้อยคำหวานซึ้งถูกร้อยเรียงออกมาจากข้างใน ทำเอายมอายตัวม้วน ก่อนจะซบใบหน้าหวานออดอ้อน

    “ยมอยู่นี่แล้วนะจ๊ะ…อยู่กับพี่เขม”

    สองดวงตาประสบกันอีกครา แววตาสีนิลเข้มมองใบหน้าหวานเกินทาสชายอื่นด้วยความเสน่หา คุณเขมชอบทุกอย่างที่เป็นยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งดวงตากลมโตที่คอยออดอ้อนเขา แม้ยามห่างกันแววตาคู่นี้ก็จะตรึงอยู่ในหัวใจของร่างสูงเสมอ

    “ดวงตาของยมสวยเหลือเกิน” ว่าจบใบหน้าคมคายก็จุมพิตที่เปลือกตาของเจ้ายมตัวน้อย ก่อนที่นิ้วเรียวยาวที่ลูบไล้ไปที่ริมฝีปากอิ่ม

    “ยะ...ยมขอไปปิดหน้าต่างก่อนนะจ๊ะ”

     ร่างเล็กลุกขึ้นไปปิดบานหน้าต่างเรียบร้อย ก็กลับมานั่งอยู่ข้างๆคนรัก อยู่ๆคุณเขมก็คว้าเข้าไปกอดแนบชิดจนไม่เหลือช่องว่าง

    “พี่อยากจูบยม” ร่างสูงเอ่ยสิ่งที่ปรารถนาออกมาตรงๆ เด็กน้อยเบิกตากว้าง หากแต่ก็ยอมให้ริมฝีปากหนาค่อยๆโน้มลงมาประกบเบาๆ ก่อนที่คุณเขมจะยื่นใบหน้าไปกระซิบแผ่วข้างคนตัวเล็ก

    “พี่อยากให้ยมเป็นของพี่...ทั้งตัวและหัวใจ”

   “พี่เขม...”

    คุณเขมประคองกอดร่างเล็กให้ค่อยๆนอนราบลง ก่อนที่ริมฝีปากหยักศกจะแตะลงบนกลีบปากนุ่มแผ่วเบา มือใหญ่ทั้งสองก็ประคองใบหน้าหวานอย่างทะนุถนอม จากจูบแผ่วเบาเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นร้อนแรงเมื่อลิ้นร้อนสอดแทรกเข้ามาด้านในโพรงปากหวาน     

 “อื้ออออ!!”

  นี่เป็นจูบที่ลึกซึ้งครั้งแรกของทั้งสองคน แม้คุณเขมจะไม่เคยจูบกับผู้ใด แต่สัญชาตญาณกลับนำพาเขามอบความสุขให้คนตัวเล็กไปเอง ลิ้นร้อนเกี่ยวกระหวัดลิ้นเล็กที่ตอบโต้อย่างเงอะๆงะๆด้วยไม่เคยได้รับสัมผัสเช่นนี้มาก่อน ทั้งสองจูบกันอยู่เนิ่นนานคุณเขมก็ผละออกมาเพื่อให้เด็กน้อยพักหายใจ     

 “แฮ่ก...แฮ่ก...” ร่างเล็กสูดอากาศหายใจเพราะจูบเมื่อสักครู่รุนแรงนัก แต่ยังไม่ทันได้พักไปมากกว่านี้ คุณเขมก็ประกบริมฝีปากลงมาอีกครั้ง     

 “อื้ออออ!!” เด็กน้อยร้องเมื่อฟันขาวของคุณเขมขบกัดกลีบปากบางเล็กน้อยไม่ได้เจ็บมาก ลิ้นร้อนละเลียดทั่วกลีบปากนุ่ม ก่อนจะผละลงมาสัมผัสลำคอขาวผ่องแล้วจูบซับแทน   

  “อื้อ!” เด็กน้อยดิ้นเพราะรู้สึกจั๊กจี้ที่ลำคอ       

 “พี่จะไม่ทำรอยตรงนี้นะ” คุณเขมกล่าวแล้วค่อยๆลากริมฝีปากจูบซับต่ำลงมาจนถึงกลางไหปลาร้า ใบหน้าคมคายกดจูบตรงนั้นทำเอาเด็กน้อยสะดุ้ง   

  “พะ...พี่เขม...” ยมตกใจเมื่อมือใหญ่ทำท่าจะถลกเสื้อขึ้นด้านบน   

  “ยกแขนขึ้นหน่อยนะ คนดี"

  เสียงนุ่มทุ้มออดอ้อน เด็กน้อยยกแขนทำตามอย่างว่าง่าย เมื่อท่อนบนปราศจากอาภรณ์ปกปิด ก็ปรากฏเรือนร่างขาวผ่องของเด็กน้อยที่ยังไม่เติบโตเต็มที่แข่งกับแสงจันทร์ที่ลอดสาดส่องเข้ามา   

 “อื้อ อ๊า พี่เขม”     

 ใบหน้าหล่อขบเม้มผิวเนียนบริเวณแผ่นอกบางจนเกิดรอยสีกุหลาบ ริมฝีปากอุ่นจูบซับรอบแผ่นอกเนียนก่อนที่ลิ้นร้อนจะสัมผัสยอดอกสีสดจนมันเริ่มตั้งชัน 

   “อ๊า! อึก...”      ร่างน้อยดิ้นเร่า จนมือใหญ่ต้องคอยจับสะโพกให้อยู่นิ่ง ลิ้นร้อนยังคงฉกชิงความหวานจากยอดอกจนมันแข็งสู้ลิ้น ส่วนยอดอกอีกด้านก็ถูกนิ้วร้ายบีบขยี้จนตั้งชัน 

  “อ๊ะ อ๊า!!”     มือที่ว่างอยู่สอดไปยังแผ่นหลังบางเพื่อให้รับสัมผัสได้ถนัดขึ้น ริมฝีปากจูบซับต่ำลงมาเรื่อยๆจนถึงหน้าท้องแบนราบ     

 “พี่เขม...” มือเล็กเอื้อมมาจับมือคุณเขมเมื่อรู้สึกได้ว่าผ้าโจงกระเบนถูกกระตุก ร่างเล็กสั่นสะท้านเมื่อมือใหญ่สัมผัสบริเวณกลางกาย

    “พี่อยากให้ยมเป็นของพี่คนเดียว” เสียงนุ่มทุ้มกระซิบแผ่ว “เชื่อใจพี่เถิดนะ”

   เมื่อเห็นว่าเด็กน้อยพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต ผ้าโจงกระเบนก็ถูกกระตุกออกไป ตอนนี้เรือนร่างขาวเนียนผิดทาสชายทั่วไปไร้อาภรณ์ปกปิด ยิ่งเห็นร่างที่บอบบางที่เป็นเหมือนแก้วอันล้ำค่า คุณเขมก็คิดว่าจะต้องทะนุถนอมร่างนี้ไม่ให้บอบช้ำให้ถึงที่สุด

       “อื้อออ!”

       เด็กน้อยร้องเมื่อกลางกายถูกดูดกลืนเข้าไปจนมิด มือเล็กกอดศีรษะทุยไว้เพื่อระบายความเสียวซ่าน ไม่นานกลางกายเล็กก็ปลดปล่อยความสุขออกมาเต็มโพรงปากของคนตัวใหญ่

     “อ๊างง!! พะ...พี่เขม...” ยมเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าคนตัวใหญ่กลืนหยาดหยดของตนเองลงคอด้วยสีหน้าที่เป็นสุข

    “หวานเหลือเกินคนดี...” ลิ้นร้อนเลียที่มุมปาก มือใหญ่ยกสะโพกของเด็กน้อยขึ้นพาดบ่า ก่อนจะส่งนิ้วร้ายเข้าไปสำรวจช่องทางคับแคบด้านใน

      “อึก พี่เขม ยมเจ็บ...” ใบหน้าหวานเริ่มมีน้ำตาคลอ ริมฝีปากหยักศกยื่นไปจูบซับหยาดน้ำตาคู่นั้น

     “อย่าเกร็งนะเด็กดี ผ่อนคลายแล้วเจ้าจะรู้สึกดี”

    เด็กน้อยผ่อนคลายอย่างว่าง่าย ความเจ็บเริ่มเลือนหายไป จนตอนนี้แปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกที่ไม่อาจบรรยายได้

     “อ๊า!!”

     เมื่อเห็นว่าเด็กน้อยเริ่มปรับสภาพได้แล้ว คุณเขมก็ส่งนิ้วที่สองและสามเข้าไปในช่องทางคับแน่น ทำเอาร่างสูงต้องคำรามออกมาอย่างสุขสม

     “อ่า ดี...ดีจังเลย...”

      เมื่อเห็นว่าเบิกทางจนแน่ใจว่าเด็กน้อยไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแล้ว คุณเขมก็ปลดโจงกระเบนของตนออก เผยความเป็นชายที่ใหญ่โตเกินชายไทยจนเด็กน้อยเริ่มรู้สึกกลัว

     “ยม...ยม...” เด็กน้อยพูดเสียงตะกุกตะกัก หากแต่เสียงอบอุ่นลงมากระซิบปลอบโยนข้างหูอ่อนโยน

     “เชื่อใจพี่นะยม...เชื่อใจพี่...”

    “...” ไร้เสียงน้อยๆตอบ หากแต่ใบหน้าหวานพยักหน้าเป็นสัญญาณบอกว่าตอนนี้ยมพร้อมจะเป็นของพี่เขมทั้งกายและใจ ร่างสูงจึงจับกลางกายที่ใหญ่โตจ่อเข้าไปในช่องทางคับแน่นที่เบิกทางไว้แล้วล่วงหน้า

    “อึ๊ก...อ๊า พี่เขม ยม ยมเจ็บ ฮือ!!”

    ร่างเล็กร้องไห้ปานจะขาดใจเมื่อถูกกลางกายของชายอันเป็นที่รักค่อยๆหยัดเข้ามาจนสุด ริมฝีปากหยักก็ลงมาจูบดื่มด่ำกลีบปากบางเพื่อให้คลายความเจ็บปวดลงได้บ้าง ลิ้นร้อนแทรกสอดเข้าไปดูดดื่มความหวานไม่รู้เบื่อ ก่อนจะผละออกมาเมื่อเห็นว่าร่างน้อยพอจะปรับสภาพได้บ้างแล้ว

        “ผ่อนคลายอีกนิด คนดี” เสียงทุ้มย้ำเตือนเมื่อเห็นว่าร่างน้อยตัวเกร็งเป็นครั้งที่สอง ใบหน้าหวานพยักหน้ารับแล้วผ่อนคลายจนกลางกายใหญ่รู้สึกได้

      “พี่จะค่อยๆขยับนะ...”  ร่างใหญ่ค่อยๆขยับช้าๆเพื่อถนอมเด็กน้อยให้ถึงที่สุด  แม้ยมจะรู้สึกเจ็บ หากตอนนี้ความซ่านเสียงเริ่มเข้ามาแทนที่ความรู้สึกนั้น

     “อ๊ะ อ๊ะ อ๊า!!!”

      “อ่า...ไปพร้อมกันนะคนดี”

     สองร่างที่สอดประสานเป็นหนึ่งเดียวกอดกันไม่ยอมห่าง คุณเขมขยับสะโพกเร็วขึ้นทำให้คนตัวเล็กครางออกมาด้วยความรู้สึกดีมากกว่าเดิม พร้อมกับจิกเล็บลงบนแผ่นหลังกว้างเพื่อระบายอารมณ์ที่ใกล้จะปลดปล่อยในอีกไม่นาน

      “อ๊ะ อ๊ะ อ๊า!!! พี่เขมจ๋า” ยมครางอ้อนคนรักเสียงหวาน

     “อ่า เด็กน้อยของพี่...”

      ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเนิ่นนานแข่งกับเวลาแห่งพระจันทร์ จนกระทั่งหัวใจทั้งสองดวงต่างปลดปล่อยความสุขสมออกมา คุณเขมถอนกลางกายใหญ่ออกเพื่อให้คนตัวเล็กพัก ตอนนี้ยมตัวน้อยนอนหอบตัวโยนด้วยความเหนื่อยล้า เรือนกายทั้งสองร่างที่กอดก่ายหยาดชื้นไปด้วยเหงื่อไหล ใบหน้าคมคายคลี่ยิ้มออกมาอย่างมีความสุขที่ได้ครอบครองหัวใจของคนตัวเล็กเป็นคนแรก

        ตอนนี้ยมเป็นของคุณเขมทั้งกายและใจแล้ว

        ได้รักเด็กน้อยคนที่ทั้งรัก และทั้งหวง

        และอีกสี่ปีหลังกลับจากอังกฤษ คุณเขมตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะต้องพายมไปอยู่ด้วยกันสองคน ในฐานะคนที่เขารักมากที่สุด

          “ยมเป็นของพี่แล้วนะ...” คุณเขมก้มใบหน้าลงมาประทับจุมพิตบนหน้าผากมน ดวงตาคู่น้อยหลับตาพริ้มรับสัมผัสอันอ่อนโยนจากคนรัก “เจ้าเป็นของพี่คนเดียว”

         “พี่เขม” สองมือน้อยประคองใบหน้าของคนรัก “พี่เขมก็เป็นของยมคนเดียว เป็นคนที่อยู่ในหัวใจของยมคนเดียว”

          กล่าวจบ ใบหน้าหวานก็ยื่นไปประกบริมฝีปากหนาอย่างนุ่มนวล เป็นครั้งแรกที่ยมกล้าจูบคุณเขม ซึ่งร่างสูงก็ตอบรับสัมผัสของคนตัวเล็กอย่างเต็มใจ

         “พี่เขมจ๋า...”

         “จ๋า...?” คุณเขมตอบรับเสียงหวาน

         “สัญญากับยมนะ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด พี่เขมจะมียมเพียงคนเดียว”

         “พี่ให้สัญญา คนดี” ร่างสูงตอบรับคนตัวเล็กอย่างหมายมั่น ใบหน้าหวานซบลงบนแผงอกแกร่งออดอ้อนเมื่อได้ยินคำมั่นสัญญาของชายอันเป็นที่รัก

         “หลับตาลงเถิดนะคนดี” คุณเขมตระกองกอดยมตัวน้อยให้อิงหมอน ก่อนที่ร่างสูงจะตามลงไปกอดร่างเล็กแนบกาย “พี่จะนอนกอดเจ้าก่อนจากไกล”

          เพียงแค่นั้นน้ำตายมก็ไหลออกมาเมื่อได้ยินคำว่าจากไกล แม้ดวงตาน้อยจะปิดสนิท แต่คุณเขมก็ยังสัมผัสได้ถึงความอ่อนไหวในแววตาที่หลบซ่อน มือใหญ่เอื้อมไปเช็ดน้ำตาคนตัวเล็กก่อนจะค่อยๆเข้าสู่ห้วงนิทราไปด้วยกัน

        คำมั่นสัญญาของใจสองดวง จึงมีพระจันทร์ในค่ำคืนนั้นเป็นพยานในความรักของสองร่างที่กอดแนบชิดไม่ห่างกาย

   

 เวลาดำเนินจนมาถึงช่วงยามบ่ายของอีกวัน ดวงตาน้อยฝืนลืมตาขึ้นอย่างหนักหน่วง ก็พบว่าร่างสูงที่เข้ามากำลังบรรจงเช็ดตัวให้อย่างทะนุถนอมราวกับยมเป็นแก้วที่มีค่า

     “พี่เขม...” ยมพึมพำเสียงแหบแห้งเมื่อมือใหญ่อังหน้าผากมน ตอนนี้เนื้อตัวของยมรู้สึกอ่อนเปลี้ยไม่ค่อยมีแรงเท่าใดนัก

     “ยมมีไข้นิดหน่อย พี่เช็ดตัวให้แล้ว วันนี้ยมไม่ต้องออกไปทำงานหรอกนะ”

    “ไม่ได้จ้ะ ยมต้องไปช่วยป้าฟักตั้งสำรับ เดี๋ยวพี่เขมจะไม่ได้ทานข้าวหุงของยม”

    คำพูดที่แสนน่าเอ็นดูทำให้คุณเขมคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย ริมฝีปากหนาเอื้อมเข้ามาจูบหน้าผากมนแผ่วเบา ในใจรู้สึกผิดที่เมื่อคืนเผลอรุนแรงกับคนตัวน้อยไปหน่อย

    “เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง พี่ให้เพลิงไปบอกป้าฟักแล้วว่ายมไม่สบาย” คุณเขมยื่นใบหน้าไปแตะหน้าผากของเด็กน้อยอ่อนโยน “พี่เป็นห่วงยมมากกว่า พี่ยกข้าวต้มกับยาแก้ไข้มาให้ยมแล้ว เดี๋ยวพอพี่ออกไปยมค่อยทานข้าวทานยาแล้วพักผ่อนเสียนะ”

     หน้าผากของทั้งสองสัมผัสกันอยู่เนิ่นนาน  ริมฝีปากประกบกลีบปากอิ่มเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินออกจากเรือนทาสไป ยมมองตามคนรักด้วยหัวใจที่เป็นสุข เมื่อทานข้าวต้มร้อนๆเสร็จเด็กน้อยก็หยิบยาที่คนรักทำมาให้ ก่อนที่ตาน้อยๆจะค่อยๆปิดลง ในใจก็คิดว่าจะอ่านเงาะป่าที่ใกล้จะจบให้คุณเขมฟังในวันพรุ่ง

       แต่หารู้ไม่ว่า...เมื่อดวงตาหวานล้ำปิดลง จะต้องพลัดพรากจากคนรักโดยที่ยังไม่ได้ล่ำลา

       คุณเขมกลับมาที่เรือนใหญ่เพราะมั่นมาบอกว่าคุณพระวินิตราชศักดิ์ตามตัวด่วน ชายหนุ่มเบิกตากว้างเมื่อพบว่าสาเหตุที่ผู้เป็นบิดาเรียกคืออะไร

      “คุณครูใหญ่” คุณเขมไหว้แขกผู้ใหญ่ของคุณพระ เมื่อครูใหญ่รับไหว้แล้วจึงพูดธุระของตนทันที

     “พ่อเขมก็มาแล้ว กระผมมีเรื่องที่จะแจ้งด่วนจะแจ้งขอรับ” ครูใหญ่เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง

    “มีอะไรหรือขอรับคุณครูใหญ่?” คุณเขมถามด้วยใจที่เริ่มวิตก

    “กระผมติดต่อโฮสต์ที่ประเทศอังกฤษไว้แล้ว เขาเป็นญาติห่างๆของกระผม คุณพระกับคุณหญิงไม่ต้องเป็นห่วงแล้วนะขอรับ แต่...”

   “อะไรหรือเจ้าคะคุณครูใหญ่?” คุณเขลางค์ที่เงียบมานานถามขึ้นบ้าง

   “เรือที่จะพานักเรียนทุนเดินทางไปประเทศอังกฤษจะเดินทางคืนนี้ พ่อเขมต้องเดินทางไปที่ท่าเรือเพื่อเตรียมตัวเดินทางทันที”

   “เหตุใดมันกะทันหันเช่นนี้เล่า? ไหนว่ากำหนดการคือวันพรุ่งสองยามมิใช่หรือขอรับคุณครูใหญ่?” คุณพระวินิตราชศักดิ์ถามด้วยความประหลาดใจ ที่จู่ๆกำหนดการเปลี่ยนแปลงกะทันหันเช่นนี้

    “คุณพระทราบเรื่องที่ในหลวงทรงประกาศสงครามกับเยอรมันแล้วใช่ไหมขอรับ?”

    “ขอรับ ในหลวงท่านตัดสินพระทัยมาตั้งแต่ปีที่แล้ว” คุณพระตอบคุณครูใหญ่ เพราะพอจะได้ยินขุนนางจากในวังมาบ้าง ว่าก่อนหน้านั้นในหลวงตัดสินพระทัยเข้าช่วยฝ่ายสัมพันธมิตรเพราะเล็งเห็นว่าหากชนะสงคราม สยามจะได้เรียกร้องสิทธิในการแก้สนธิสัญญาเบาว์ริงมาตั้งแต่รัชกาลก่อนๆ

     “วันพรุ่งพระองค์จะส่งกองกำลังทหารไปร่วมรบที่ประเทศฝรั่งเศส ในวังจึงให้มาแจ้งกะปิตันที่มีหน้าที่พานักเรียนทุนไปยังอังกฤษว่าจะต้องรีบออกเดินทางก่อนกำหนด เพื่อให้วันพรุ่งพระองค์จะได้เสด็จมาอวยชัยทหารที่ท่าเรือได้โดยสะดวก พ่อเขมเร่งเดินทางเถิด มิเช่นนั้นอาจไม่ทันเที่ยวเรือรอบนี้”



     “ยม เป็นอย่างไรบ้าง?”

      หลังจากหลับไปนานเพราะพิษไข้ เด็กน้อยก็ลืมตาขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงของทาสรุ่นพี่มาปลุกอยู่ข้างๆ “ป้าฟักบอกว่าเอ็งไม่สบาย พี่เลยมาดูอาการ”

    “พี่เดือน...” ร่างน้อยค่อยๆพยุงตัวลุกขึ้นนั่งโดยมีเดือนคอยช่วย “ยมหลับไปนานแค่ไหนแล้วจ๊ะ?”

    “ก็นานจวบจนตอนนี้ก็ค่ำแล้วล่ะ พอดีคนอื่นเขาไปส่งคุณเขมกันเกือบหมด พี่ก็เลยพักมาดูอาการเอ็งสักหน่อย”

      “อะ...อะไรนะ? คุณเขม คุณเขมไปไหน?” เด็กน้อยถามด้วยน้ำเสียงที่ตกใจจนเดือนสะดุ้ง

     “พอดีที่โรงเรียนมาแจ้งว่าคุณเขมจะต้องเดินทางคืนนี้แทนน่ะสิ เอ็งน่ะไม่สบายก็นอนพักเถอะ” เดือนกล่าวแล้วทำท่าจะประคองยมลง

    “คุณเขม! ยมจะไปหาคุณเขม!”

    ร่างของเด็กน้อยวิ่งออกไปท่ามกลางความตกใจของเดือน นางทาสสาวพยายามวิ่งตามไปแต่ก็ไม่ทัน เด็กน้อยวิ่งออกจากทางหลังเรือนเพื่อไปยังท่าเรือที่ค่อนข้างไกลจากเรือนคุณพระวินิตนัก หากแต่เพราะอยากลาพี่เขม ยมจึงหาได้สนระยะทางที่ไกลไม่

    พี่เขม...จะจากยมโดยยังไม่ทันล่ำลาเชียวหรือ?

    น้ำตาของยมไหลออกมาตลอดทาง ร่างน้อยก็วิ่งสุดกำลังแม้ร่างกายอาจรับไม่ไหวด้วยยังไม่หายป่วยดี เท้าที่รีบวิ่งจนไม่มองทางเจ็บระบม แต่ยมก็ยังพยุงตัวไปยังท่าเรือจนได้แม้หนทางจะไกลสำหรับผู้ที่เดินทางเท้ามากโข

    “ลุง ลุงจ๊ะ...” ยมเรียกชายชราที่มีหน้าที่ดูแลความสะอาดของท่าเรือ “เรือที่พานักเรียนทุนไปยังอังกฤษออกไปหรือยังจ๊ะ?”

     “เพิ่งออกไปเมื่อตะกี้เองไอ้หนู เอ็งถามทำไมรึ?”

     เมื่อได้ยิน น้ำตาของยมก็แทบจะไหลออกมาอีกครั้ง หากแต่เสียงของชายชราก็พูดขึ้นมาอีกก่อนจะไปทำความสะอาดรอบๆต่อ

    “เอ็งกลับบ้านไปเถอะไอ้หนู ข้าต้องดูแลความเรียบร้อย วันพรุ่งในหลวงท่านจะมาส่งขบวนทหารไปเมืองฝรั่ง”

      “ไอ้ยม!” เสียงของมั่นกับเพลิงทำให้ยมรีบวิ่งเข้าไปทั้งคู่

   “พี่เพลิง พี่มั่น” น้ำตายมแทบจะไหลออกมาอีกครั้ง หากแต่ครานี้กลับร้องไม่ออก ด้วยมันจุกแน่นสุมในอก

    “ตอนข้ากลับเรือนพร้อมคุณพระ ข้ากับมั่นมาหาเอ็งที่เรือน เดือนมันบอกว่าเอ็งวิ่งออกไปไหนไม่รู้ แต่ข้ารู้ทันทีว่าเอ็งต้องมาที่นี่”

    “พี่เพลิง พี่มั่น...เหตุใดพี่เขมถึงเดินทางเร็วกว่ากำหนดเล่า?”

 “ก็วันพรุ่งในหลวงท่านจะเสด็จมาที่ท่าเรือแห่งนี้ คุณเขมจึงต้องเดินทางไปพร้อมนักเรียนทุนคนอื่นเร็วก่อนกำหนด” ครานี้มั่นเป็นฝ่ายตอบ

    “ก่อนไปคุณเขมได้ฝากฝังให้ข้ากับไอ้เพลิงคอยดูแลเอ็งจนกว่าคุณเขมจะกลับมา”

     เมื่อได้ฟังความจริงยมก็ปล่อยให้หยาดน้ำตาไหลออกมา เด็กน้อยมองไปยังเรือเล็กที่หากพายออกไปคงจะไปอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ ต่อให้พายออกไปก็ไม่อาจติดตามเรือที่คุณเขมเดินทางได้อยู่ดี

      อยากจะฝากลมกับมหาสมุทรไปบอกกับพี่เขม...

     ขอให้พี่เขมเดินทางถึงอังกฤษโดยปลอดภัยทีเถิด

      ยมจะรอ...จนกว่าพี่จะกลับมาจ้ะ



พี่เขมก็ไปแล้ว คุณโดมก็ไม่อยู่ ขอเวลาไรท์ทำใจกับดราม่าแป๊บนะ ฮืออออ

เค้าไม่ค่อยถนัดเอ็นซีอ่ะตะเอง เขียนสุดความสามารถแล้วจีๆ//คุณเขมเป็นอมตะเพราะกินเด็ก55555

ออฟไลน์ Amazing princess

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่11--
«ตอบ #12 เมื่อ21-01-2018 11:48:42 »

เรือนร้าว11
ตอน คราวเคราะห์1
“ยม...มาช่วยพี่ตากเสื้อหน่อยสิ”

       “จ้ะพี่เดือน”

       วันเวลาผ่านไปสามปี บัดนี้ยมเติบโตเป็นหนุ่มน้อยวัยสิบห้าปี ใบหน้ายังคงหวานสังเกตได้จากดวงตากลมโตอันหวานล้ำ คิ้วโก่งคล้ายคันศร ริมฝีปากแดงเป็นกระจับ แม้ผิวกายไม่ได้ขาวเนียนเท่าเมื่อก่อนด้วยทำงานตรากตรำหากยังคงมีราศีกว่าทาสทั่วไปนัก  ร่างน้อยสูงขึ้นจากเมื่อสามปีก่อน หากแต่ก็สูงกว่าเดือนเพียงนิดเดียวเท่านั้น ทั้งยังดูบอบบางคล้ายแก้วล้ำค่าที่พร้อมจะเปราะได้ตลอดเวลาอีกต่างหาก

       หลังจากยมช่วยงานเดือนเสร็จ ก็มาช่วยทำสำรับมื้อเย็นยกไปให้คุณพระวินิตราชศักดิ์กับคุณเขลางค์บนเรือนใหญ่ ขณะที่เด็กน้อยกำลังนั่งเด็ดผักอยู่บนแคร่ อยู่ๆอีปริกก็ยกกระจาดใบกระวานเข้ามาหมายจะโยนงานเพิ่มให้เด็กน้อย

    “ยมเอ้ย! ข้าวานเอ็งเอาใบกระวานไปเด็ดหน่อย ป้าฟักจะเอาไปทำมัสมั่น” อีปริกวางกระจาดก่อนจะรีบวิ่งออกไปนอกโรงครัว

   “จะรีบไปไหนของเขานะ?” ยมพึมพำก่อนจะหยิบกระจาดมาเด็ดใบกระวาน พลางหวนให้นึกถึงคนที่อยู่ไกลแสนไกล

      สามปีแล้วสินะที่พี่เขมจากยมไปเมืองฝรั่งมังค่า

    เด็กน้อยรำพึงในใจ ใบกระวานที่เด็ดยมใคร่อยากทำข้าวหุงในพี่เขมทาน เหลืออีกหนึ่งปี หนึ่งปีที่พี่เขมจะกลับมา

     “ยม พี่ช่วยเด็ดนะ” ร่างของทาสรุ่นพี่นั่งลงข้างๆ ก่อนที่เดือนจะช่วยยมเด็ดใบกระวานอย่างคล่องแคล่ว

     ทุกชีวิตที่เรือนของคุณพระวินิตราชศักดิ์ยังคงดำเนินเหมือนทุกวันที่ผ่านมา หากแต่อาจจะมีบ่าวไพร่บางคนเริ่มเก็บอัฐแล้วออกไปทำไร่ทำนาเองบ้างก็มี ส่วนใครที่เป็นคนเก่าคนแก่ก็ยังคงตั้งใจทำงานตอบแทนที่คุณพระเมตตาให้ที่พักอาศัยต่อไป

      หลังจากยกสำรับขึ้นเรือนใหญ่เรียบร้อย ยมก็กลับมาทานข้าวที่โรงครัวและช่วยเก็บล้างตามปกติพร้อมกับบ่าวทาสคนอื่นๆ แล้วจึงไปทำงานตามหน้าที่ประจำของตน นั่นก็คือดูแลสวนของทั้งสามเรือน

    ต้นมะลิที่เรือนของคุณเขมยังคงออกดอกชูช่อแข่งขันเมื่อได้รับสายธารที่ยมเป็นคนวักจากขัน จนทั้งลำต้นได้รับความชุ่มชื่น ยมยังคงทำหน้าที่เก็บดอกมะลิไปร้อยมาลัยถวายพระที่เรือนของคุณเขมเป็นประจำ วันนี้ก็เช่นกัน เมื่อยมตกแต่งพวงมาลัยดอกมะลิเสร็จจึงจะขึ้นเรือนของคุณเขมเพื่อนำพวงมาลัยไปถวายพระเช่นเคย

     “ไอ้ยม!”

     “คุณเขลางค์...”

    ผั๊วะ!!!

    ร่างของยมนอนลงไปกับพื้นหญ้าเพราะคุณเขลางค์ตวัดมือตบลงบนใบหน้าหวานเต็มแรง ยมเงยหน้ามองคุณเขลางค์อย่างไม่เข้าใจว่าตนทำอะไรผิด

    “นี่เอ็งจะขึ้นไปขโมยของบนเรือนลูกข้ารึ? เอ็งทำมากี่ครั้งแล้วไอ้ยม!?” คุณหญิงชี้หน้ายมกราดเกรี้ยว

   “มิใช่นะขอรับ...” ยมชูมาลัยดอกมะลิให้คุณหญิงพินิจ  “บ่าวเพียงแค่จะนำมาลัยดอกมะลิที่ร้อยเองไปถวายพระที่ห้องพระตามที่คุณเขมสั่งก่อนไปอังกฤษเท่านั้น”

   “ลูกข้าน่ะรึ!? เอ็งโกหก ลูกข้าเนี่ยนะจะใช้เอ็งร้อยมาลัยถวายพระ หึ!” คุณเขลางค์กระชากมาลัยงามเต็มแรงแม้ยมจะพยายามยื้อไว้ก็ไม่อาจสู้แรงได้ ก่อนจะส่งให้คนสนิทที่ประกบอยู่ด้านหลัง

   “อีเฟื้อง...”

   “เจ้าค่ะ” ทาสร่างท้วมรับมาลัยมาอย่างรู้งาน ก่อนจะปามันลงพื้นแล้วยกตีนเหยียบลงไปเต็มแรง

  “พี่เฟื้อง อย่านะ...ยมขอร้องล่ะ” ร่างน้อยกระเสือกกระสนหมายจะเข้าไปแย่งมาลัยกลับมา หากตีนของอีเฟื้องขยับไปอีกทางแล้วย่ำมาลัยดอกมะลิจนมันไม่เหลือความงามอีกต่อไป

   “จำไว้นะไอ้ยม หากข้าเห็นเอ็งกำลังขึ้นเรือนลูกข้าอีก เอ็งอาจไม่ต่างอะไรจากมาลัยใต้ตีนอีเฟื้องนี่!”

   เมื่อกล่าวจบคนใจร้ายก็เดินกลับออกไป อีเฟื้องยิ้มเยาะแทนนายหญิงก่อนจะใช้ตีนเขี่ยมาลัยที่ตอนนี้เต็มไปด้วยเศษฝุ่นดำเปื้อนความขาวบริสุทธิ์ของดอกมะลิแล้วตามคุณเขลางค์ออกไป

   “ฮึก...”

    ร่างน้อยคลานเข้าไปประคองมาลัยดอกมะลิที่เปื้อนฝุ่นด้วยความเสียใจ ไม่มีน้ำตาไหลออกมาจากดวงตาหวานล้ำ มีเพียงเสียงสะอื้นเล็กน้อยที่เล็ดลอดออกมาจากลำคอ

    “พี่เขม ยมขอโทษที่ต่อไปยมคงร้อยมาลัยตามที่พี่ชอบกำชับมิได้แล้ว”

   “ไอ้ยม...เกิดอะไรขึ้น!?”

    เพลิงกับมั่นที่เพิ่งกลับมาจากดูแลสวนวิ่งเข้ามาดูเด็กหนุ่มที่นั่งกอดพวงมาลัยไว้แนบอก มั่นคว้าร่างของยมเข้ามาประคองไว้ โดยที่เพลิงได้แต่มองตามคุณเขลางค์ด้วยสายตาที่ระอาในความโหดร้ายของนายหญิง ภาพของยมที่กอดมาลัยดอกมะลิเปื้อนดินตรงหน้าทำให้รับรู้ได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น

     “คุณเขลางค์ทำเอ็งอีกแล้วใช่ไหมวะ?”

      ใช่ว่าทั้งสองจะเป็นคนสนิทของคุณเขม...จะไม่รับรู้เรื่องนี้

      เรื่องความอำมหิตที่มีไม่กี่คนที่รู้

     แน่นอนว่ารวมถึงเรื่องที่...คุณหญิงวินิตราชศักดิ์เกลียดยมมากที่สุดในบรรดาบ่าวไพร่

     หากเพียงแต่ถ้าเรื่องของคุณเขลางค์ถึงหูคุณเขม

    ชีวิตของทั้งสองก็อาจไม่ได้อยู่รับใช้บุตรชายของคุณพระวินิตต่อไปเช่นกัน



  สองวันต่อมา...คุณพระวินิตราชศักดิ์ต้องตามข้าราชการขุนนางอื่นไปยังพระนครศรีอยุธยาเป็นเวลาห้าวัน สบโอกาสคุณเขลางค์ที่มิได้ลงหวายทรมานพวกทาสมาเกือบเดือน ครั้นเมื่อถึงยามเย็น อีเฟื้องก็ไปลากตัวทาสหนุ่มสาวนั่งจับกลุ่มใต้ถุนเรือนของนายหญิงเหมือนอย่างที่ผ่านมา

    “เอ...เริ่มที่ใครก่อนดีน้า...”

    นิ้วเรียวยาวยกขึ้นแตะที่มุมปาก คุณเขลางค์พินิจดูเหล่าทาสที่นั่งจับกลุ่มกันด้วยความหวาดกลัว น้ำเสียงหวานหากแต่มันไม่ต่างจากพญามัจจุราชกำลังจะลากตัวลงนรก จะมีเพียงเดือนกับยมเท่านั้นกระมังที่ไม่มีสีหน้าตื่นกลัวแต่อย่างใด สายตาของคุณหญิงวินิตราชศักดิ์มองไปยังเดือนเป็นคนแรก หากแต่สักพักกลับเบือนไปยังนางทาสที่นั่งร้องไห้อยู่ใกล้ๆแทน

    “อีเฟื้อง!ลากอีแดงออกมา”

    “เจ้าค่ะ”

    “คุณเขลางค์อย่านะเจ้าคะ อย่าลงหวายบ่าวเลยบ่าวกลัว!” นางทาสวัยรุ่นราวคราวเดียวกับยมร้องไห้หนักกว่าเดิมด้วยความหวาดกลัว แม้จะเคยถูกลงหวายมาครั้งสองครั้งแล้ว แต่แดงก็หาได้ชินชาไม่

    เพี๊ยะ...เพี๊ยะ!!!

    “โอ๊ยยย!! ฮือ บ่าวขอร้องเจ้าค่ะบ่าวขอร้อง ฮือ”

    เสียงนางทาสร้องไห้ดังระงมขอความเมตตากลับทำให้หญิงอำมหิตกระตุกยิ้มมุมปากอย่างชอบใจราวกับกำลังชมการแสดงละครอย่างไรอย่างนั้น จนกระทั่งแดงสลบคาหวายจึงยัดยากับอัฐปิดปากแล้วใช้ทาสผู้ชายตัวใหญ่แบกร่างนางทาสผู้โชคร้ายออกไป

      “ไอ้ยม...ออกมา...”

     “อย่าขอรับ...” เพลิงให้มั่นรั้งตัวยมไว้ เขาอยากปกป้องคนรักของคุณเขมให้ถึงที่สุด “เอาบ่าวไปลงหวายแทนก็ได้”

      “ไม่ใช่เรื่องของเอ็งไอ้เพลิงไอ้มั่น!” คุณเขลางค์ชี้นิ้วใส่คนสนิทของบุตรชาย “อย่าคิดว่าเป็นคนสนิทของลูกข้าแล้วจะขออะไรก็ได้”

      “ไม่เป็นไรจ้ะพี่มั่นพี่เพลิง” เด็กหนุ่มแกะมือของมั่นออก “ยมชินกับรอยหวายแล้ว”

   ประกาศิตจากคุณหญิงวินิตราชศักดิ์ทำให้ยมต้องเดินออกมาจากกลุ่มทาสที่นั่งเกาะกลุ่มร้องไห้ ร่างเล็กนั่งหมอบให้อีเฟื้องมัดข้อมือกอดเสาใต้ถุนเรือนอย่างเคยชิน ก่อนที่นางทาสร่างท้วมจะส่งหวายให้ผู้เป็นนายหญิง

    “มึงนี่มันยังอวดดีไม่เปลี่ยน...” คุณเขลางค์แตะหวายลงบนกลางแผ่นหลังของยมเบาๆ “กูเฆี่ยนมึงมาตั้งแต่อายุเก้าขวบจนมึงอายุสิบห้า หากไม่นับครั้งแรก กูยังไม่เคยเห็นน้ำตาของมึงอีกเลย”

     “...” แววตาของยมจงใจจ้องหญิงอำมหิตอย่างไม่เกรงกลัว จนใบหน้าสวยงามของคุณเขลางค์เกรี้ยวกราดที่ไม่สามารถทำให้ยมกลัวตนได้เลย

   “หึ...นี่สำหรับมึงที่กล้าขึ้นไปบนเรือนพ่อเขม”

    เพี๊ยะ!!!

   “อึก...”

    เสียงหวายกระทบกับแผ่นหลังรุนแรงตั้งแต่คราแรกทำเอายมจุกได้เหมือนกัน หากแต่ครั้งต่อไปเด็กหนุ่มเริ่มจะชินชาจนกลายเป็นความนิ่งคล้ายไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรอีก ยิ่งเป็นเช่นนั้นคุณเขลางค์ก็ยิ่งลงหวายไม่ยั้งมือ ตอนนี้เสื้อผ้าของยมขาดวิ่นอีกทั้งยังมีเลือดซึมเต็มแผ่นหลังน่าสงสาร เพลิงกับมั่นก้มหน้าหลบซ่อนความรู้สึกผิดที่ไม่อาจปกป้องยมได้จากมารดาของคุณเขมได้เลยสักครั้ง ขนาดเดือนที่ในคราแรกไม่มีน้ำตาสักหยดตอนนี้เริ่มจะร้องไห้ด้วยสงสารยมจับใจนัก

      “คุณเขลางค์ พอเถิดเจ้าค่ะบ่าวขอร้อง...มาลงหวายบ่าวแทนก็ได้”

     เสียงร้องไห้ของเดือนทำให้มือที่กำหวายแน่นนั้นหยุดชะงัก ดวงตาคมกริบตวัดไปมองหน้าเดือนที่ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบน้ำตา

     “ฮึ่ย!! อีเฟื้อง มาปล่อยมัน!!”

   คุณเขลางค์กระแทกหวายลงกับพื้นเต็มแรงก่อนจะเดินออกไปที่สวนเพื่อระงับอารมณ์โกรธที่ยังไม่คลาย อีเฟื้องจึงมาปล่อยเด็กหนุ่มก่อนจะตามนายหญิงออกไป

     “ยม...เอ็งเป็นอย่างไรบ้าง เจ็บมากใช่ไหม?” เดือนคลานเข้ามาประคองเด็กหนุ่มที่นอนหายใจรวยริน หากยมชินแล้วแม้คุณเขลางค์อาจจะเพิ่มแรงตามอารมณ์ที่โกรธจัดก็ตาม

    “ยม...ยมไหวจ้ะ พี่เดือนไปพักเถอะนะ ยมไหวจริงๆ”

     “ไม่เป็นไร มาเถอะ...พี่ช่วยพยุงนะ” เดือนพูดพร้อมกับช่วยประคองยมลุกขึ้นยืนหมายจะพากลับไปพัก โดยมีเพลิงกับมั่นมาช่วยอีกแรง

       “อีเดือน!คุณเขลางค์ให้มาตาม” อีเฟื้องเดินมากระชากแขนของนางทาสสาว แต่ยมพยายามรั้งไว้สุดกำลังด้วยคิดว่าเดือนอาจถูกพาไปลงหวายอีกเพราะปกป้องตน

       “ไม่! แค่ยมคงเดียวยังไม่สาแก่ใจอีกรึ? อย่าพาพี่เดือนไปนะ...”

       “เจ็บแล้วยังไม่เจียมสังขารนะไอ้ยม!”

      ร่างของยมที่ถูกเหวี่ยงมีเพลิงมารับไว้ได้ทัน เด็กน้อยร้องเรียกทาสสาวที่ถูกอีเฟื้องกระชากให้ตามออกไป

      “พี่เดือน...” ดวงตาหวานล้ำเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา “พี่เพลิงพี่มั่น คุณเขลางค์จะทำอะไรพี่เดือนไหม?”

     “ข้าไม่รู้ยม...” เพลิงส่ายหน้า “ข้าว่าตอนนี้เอ็งห่วงตัวเองก่อนเถอะว่ะ ไปทำแผลที่เรือนคุณเขมก่อน ไป...ไอ้มั่น”

       มั่นพยักหน้ารับ ก่อนที่จะช่วยพยุงร่างเล็กที่เจ็บปวดจากบาดแผลไปยังเรือนของคุณเขมทันที แม้ยมจะเป็นห่วงเดือนแค่ไหนก็จำใจต้องตัดใจเพราะตนเองนั้นก็เจ็บเหลือเกิน



     “โธ่เว้ย!! เสียอีกแล้วหรือวะเนี่ย?!”

     ไอ้เข้มเตะกรวดที่เรียงรายตามทางด้วยอารมณ์หงุดหงิด อุตส่าห์แอบอาศัยจังหวะช่วงที่คุณพระไม่อยู่ออกไปพนันไก่ชนตั้งแต่เย็นหวังจะได้อัฐกลับมาสักสามสี่ชั่ง แต่ไม่เลย...นอกจากจะไม่ได้กลับมาสักแดงแล้วยังต้องเสียอัฐในฐานะที่แพ้พนันตั้งหกชั่ง ทุกวันนี้อัฐที่ออมเพื่อจะใช้ออกไปตั้งต้นยังมีแค่น้อยนิด นับประสาอะไรกับจะเอาเงินไปคืนให้เจ้าของบ่อนเล่า

     “นั่นเรือนไอ้ยมนี่หว่า...”

     ไหนๆก็เดินผ่านเรือนของคนที่หมันไส้มานานแล้ว ยิ่งเมื่อเห็นว่าตอนนี้เจ้าของเรือนทาสหลังเล็กไม่อยู่ก็ได้ใจ  ไอ้เข้มจึงค่อยๆย่องเข้าไปหมายจะขโมยอัฐ แล้วเริ่มค้นห้องอย่างแนบเนียน

     “หรือว่ามันซ่อนไว้ใต้หมอนวะ?”

    แต่พอเปิดหมอนขึ้นมาก็พบเพียงแค่ความว่างเปล่า หาตรงอื่นก็หาไม่เจอจนไอ้เข้มเริ่มหงุดหงิด

   “โธ่เว้ย! มันซ่อนอัฐไว้ไหนวะ?!”

   ไอ้เข้มถีบกองเสื้อผ้าที่พับไว้บนหัวนอนด้วยความโมโหที่ไม่สามารถหาอัฐพบ แต่แล้วมันก็ใจเย็นลงเมื่อเห็นว่ากองผ้าที่ระเนระนาดนั้นมีกล่องใบไม่เล็กไม่ใหญ่ซุกซ่อนไว้อยู่

    “หึๆ เสร็จกูล่ะ”

    ไอ้เข้มนั่งยองๆก่อนจะหยิบกล่องขึ้นมาเปิด ก็พบว่าด้านในมีแหวนทองลวดลายนพรัตน์ดูเก่าแก่กับหนังสืออีกเล่มหนึ่งซึ่งไอ้เข้มอ่านตัวหนังสือไม่ออก หากตอนนี้มันไม่ได้สนใจ แววตาของมันละโมบเมื่อเจอของมีค่าอย่างแหวนนพรัตน์มากกว่า

    “ที่แท้ไอ้ยมมันมีของดีนี่เอง ท่าทางวงนี้น่าจะขายได้หลายชั่ง”

     มันรีบฉกชิงแหวนเหน็บไว้ที่ชายพกทันที ก่อนจะเอาวางกองผ้าแล้วซุกกล่องยัดไว้ดังเดิม ไอ้เข้มแง้มประตูออกเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่แล้วจึงค่อยๆวิ่งออกไปทันที โดยไม่รู้ตัวเลยว่าถูกสายตาของใครบางคนจับจ้องอยู่ไกลๆ





  ต้นแห้วหมูกับใบฝรั่งจากเรือนของคุณเขมทำให้เด็กน้อยรู้สึกดีขึ้นเสมอที่ได้ประคบ โชคดีที่ไม่มีผู้ใดผ่านมานอกจากมั่นกับเพลิงที่ทำลูกประคบสมุนไพรให้ยมคอยประคบรอยแผล จนกระทั่งเลือดแข็งตัวและไม่ค่อยแสบเท่าคราแรกนัก ใบหน้าหวานสัมผัสกับลูกประคบแผ่วเบาพลางคิดถึงเจ้าของเรือนที่ยังไม่กลับมาเสียที ดวงตาหวานล้ำก็จับจ้องไปยังพระจันทร์คล้ายจะฝากข้อความไปถึงคนที่อยู่แดนไกล

      พี่เขมจ๋า...ต่อให้ยมต้องถูกทรมานจนตาย ยมก็จะรอ

      “เป็นอย่างไรบ้างวะยม? ดีขึ้นหรือยัง?” เพลิงรับประคบมาจากยมแล้วไปตั้งไว้ที่เดิม

      “ดีขึ้นหน่อยแล้วจ้ะพี่ ขอบใจนะจ๊ะที่อาสาตำยาประคบให้”

     “ข้าก็รู้สึกผิดนี่หว่า นี่ถ้าคุณเขมรู้ว่าข้าไม่อาจปกป้องเอ็งได้ ข้าคงไม่แคล้วถูกโบย”

      “ยมเข้าใจพี่เพลิงจ้ะ...” ยมยิ้มรับน้อยๆเพราะเพลิงกับมั่นแม้จะเป็นคนสนิทของคุณเขม แต่อย่างไรฐานันดรก็คือบ่าวไพร่ ที่ไม่อาจขัดความต้องการของผู้เป็นนายได้ แม้การกระทำของคุณเขลางค์จะโหดร้ายผิดมนุษย์มนานัก

      “ยมขอกลับเรือนนอนก่อนนะจ๊ะ”

     “เอ็งไหวรึ? ให้ข้าไปส่งเถอะ” เพลิงอาสา หากแต่เด็กหนุ่มส่ายหน้าปฎิเสธ

      “ยมชินแล้วล่ะจ้ะ พี่เพลิงพี่มั่นพักเถอะนะ ยมเดินกลับได้ ”

     “ประเดี๋ยวข้าจะต้มยาแก้ไข้เอาไปให้นะ จะได้ดักพิษไข้ไว้ก่อน เอ็งโดนไปไม่น้อยเลยนะไอ้ยม” มั่นที่กำลังนั่งปรุงยาอยู่ใกล้ๆพูดขึ้น

     “จ้ะ”

     ยมรับคำก่อนจะเดินเพื่อกลับเรือนนอน แต่ก่อนจะถึงเรือนของตนนั้นต้องผ่านเรือนของเดือนที่นอนคนเดียวเช่นกัน ความจริงคราแรกเดือนก็ไม่ได้อยู่เพียงลำพังเหมือนเด็กหนุ่มหรอก หากแต่ตั้งแต่ป้าแรมแม่ของเดือนเสียเดือนจึงอยู่คนเดียวตลอดมา

      “เรือนของพี่เดือนยังเปิดไฟอยู่นี่” ยมพึมพำ ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้หมายจะเรียกทาสรุ่นพี่ด้วยเป็นห่วงว่าถูกคุณเขลางค์ทำร้ายหรือไม่

       “อื้อ...อย่า อย่าเจ้าค่ะ อ๊า!!”

        !!!

       ยมเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อได้ยินเสียงครวญครางของเดือนลอดออกมา มือที่กำลังจะเคาะบานประตูไม้เก็บแนบข้างลำตัวแทบไม่ทัน แต่นั่นก็ยังไม่เท่ากับเสียงของต้นเหตุด้านใน

      “อ่า อีเดือน เอ็งอย่าเกร็งสิ”

     เจ้าของเสียงทรงอำนาจไม่ต่างกับพญามัจจุราช...ที่เพิ่งสั่งทรมานบ่าวไพร่เมื่อหัวค่ำ

      พี่เดือน กับ...

     คุณเขลางค์!!!

    เด็กน้อยตัดสินใจทำใจกล้าแง้มประตูเล็กน้อย ก่อนที่จะเบิกตากว้างด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายได้ มือเล็กยกขึ้นปิดปากเพื่อกลั้นเสียงตกใจ

    “อ๊ะ อ๊า!!”

     ภาพตรงหน้า...คือร่างเปลือยเปล่าของเดือนร้องครางอยู่ใต้ร่างของคุณเขลางค์ซึ่งยังคงสวมเสื้อผ้าครบ

    “ฮึก...”

    ยมยกมือปิดปากก่อนจะรีบปิดประตูทันที แสดงว่าที่ผ่านมารอยช้ำบนผิวหน้ากับตามลำตัวของเดือน ก็เป็นฝีมือคุณเขลางค์น่ะสิ!!

    เด็กหนุ่มเดินก้าวถอยหลังให้เงียบที่สุดเพื่อไม่ให้เกิดเสียง

   ต้องหนี...จะให้คุณเขลางค์รู้ไม่ได้ว่าตนอยู่นี่

    แต่แล้ว...

     “อ๊ะ...อ๊า!!!”

    เสียงร้องของเดือนทำให้ร่างเล็กที่กำลังเดินหนีสะดุ้งตกใจจนเผลอสะดุดล้มกับบันไดกอไผ่ขนาดเตี้ย แผ่นหลังที่เจ็บกระแทกเข้ากับพื้นดินเต็มๆ

     โครม...

     ยังไม่ทันที่ยมจะได้ร้องด้วยความเจ็บทั้งเท้าทั้งแผ่นหลัง เสียงเปิดประตูก็เปิดออกดังด้วยแรงโทสะ

    “ไอ้ยม!!” เสียงทรงอำนาจดังขึ้นอย่างโกรธเกรี้ยว แต่ยังไม่ทันที่ร่างของคุณเขลางค์จะเข้ามาถึง เดือนที่ตอนนี้พันกายด้วยผ้าห่มผืนยาวก็มารั้งผู้เป็นนายหญิงไว้

     “คุณเขลางค์เจ้าขา เข้าไปต่อกับเดือนด้านในเถิดเจ้าค่ะ” เสียงหวานแสร้งทำออดอ้อน หากแต่สายตาจ้องไปยังเด็กน้อยเป็นสัญญาณบอกให้รีบหนีไป ยมที่เข้าใจในทันทีจึงรีบลุกหนีอย่างไม่ลังเล

   “คุณหญิงเข้าไปต่อกับเดือนเถอะนะเจ้าคะ...โอ๊ย!!” ร่างของเดือนล้มคะมำเพราะถูกตบเข้าที่ใบหน้าเต็มแรง คุณเขลางค์ตวัดมองเด็กหนุ่มที่วิ่งหนีไปได้ไกลพอสมควรแล้ว

     “ไอ้ยม...กูคงต้องจัดการมึงขั้นเด็ดขาดเสียที!”


**เม้นให้กำลังใจหนูหน่อยนะค้าาา

ออฟไลน์ Amazing princess

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่12--
«ตอบ #13 เมื่อ22-01-2018 13:23:52 »

เรือนร้าว12
ตอน คราวเคราะห์2
เมื่อออกจากเรือนของยมไปได้สักพัก ไอ้เข้มก็มองซ้ายขวาเพื่อดูว่ารอบๆมีคนผ่านมาหรือไม่อย่างหวาดระแวง ครั้นเห็นว่าไม่มีใครก็ค่อยเดินเร็วเพื่อกลับเรือนของตัวเอง

     “ไอ้เข้ม!!”

      เสียงอีเฟื้องดังขึ้นทำให้เข้มชะงัก มันตบแหวนที่ซ่อนไว้ในชายพกแล้วตั้งท่าจะเดินหนี แต่ก็ไม่พ้นนางทาสร่างท้วมที่รีบมายืนดักหน้าไว้อย่างรวดเร็ว

     “เฮ้ย! โห่พี่เฟื้อง ฉันตกใจหมด”

    “เอ็งจะไปไหนไอ้เข้ม? ท่าทางเอ็งมีพิรุธ” อีเฟื้องถามเสียงแข็งอย่างจับผิด

   “ฉันก็กลับเรือนฉันน่ะสิ ง่วงจะตายอยู่แล้ว” เข้มแสร้งอ้าปากหาววอดแล้วจะเลี่ยงออกไป แต่อีเฟื้องกางแขนขวาป้องกันไม่ให้หนี

   “ตะกี้ข้าเห็นนะ ว่าเอ็งเข้าไปขโมยของในเรือนของไอ้ยม เอ็งเข้าไปทำไมห้ะ?”

    “มีอะไรกัน!?”

    เสียงของคุณหญิงวินิตราชศักดิ์ดังขึ้น ทำให้ไอ้เข้มกับอีเฟื้องต้องนั่งหมอบลง ใบหน้าเกรี้ยวกราดของคุณเขลางค์หันไปหาบ่าวคนสนิทเพื่อให้ตอบคำถาม

     “บ่าวเห็นไอ้เข้มเข้าไปในเรือนของไอ้ยม ท่าทางมันมีพิรุธเหมือนไปขโมยของมาเลยเจ้าค่ะ”

    “จริงรึไอ้เข้ม...”ใบหน้างดงามตวัดมองบ่าวร่างยักษ์เกินวัย “เอ็งไปขโมยอะไร? เอามาให้ข้าดูเดี๋ยวนี้”

    “เอ่อ...” ไอ้เข้มเลิ่กลั่ก จนอีเฟื้องที่นั่งหมอบอยู่ข้างๆต้องดุ

   “เอ็งจะให้คุณเขลางค์ดูดีๆหรืออยากถูกลงหวายห้ะ?!”

  “ขอรับๆ” ด้วยความกลัวหวายมากกว่าจึงยอมหยิบแหวนนพรัตน์ที่ซ่อนเอาไว้ยื่นให้คุณเขลางค์ “บ่าวติดหนี้พนันแต่ไม่มีอัฐไปใช้ คราแรกหมายจะขโมยแค่อัฐ แต่บ่าวไปพบแหวนทองที่มันซ่อนไว้ เห็นว่าน่าจะขายได้หลายอัฐเลยขโมยมาแทนขอรับ”

     คุณหญิงรับแหวนนพรัตน์จากไอ้เข้มมาพินิจ เพียงแวบเดียวก็จำได้ทันทีว่าเป็นแหวนนพรัตน์ที่คุณพระวินิตราชศักดิ์ซื้อมามอบให้คุณเขมในวันที่มีอายุครบสิบขวบปี

      ‘ไอ้ยม...มึงกล้าขึ้นไปขโมยของๆลูกกูเจียวรึ!!’

     แต่ในที่สุด วันที่ไอ้ยมทำตัวของมันเองก็มาถึง!

    “ไอ้เข้ม...เอ็งไปพบแหวนวงนี้ในเรือนของไอ้ยมแน่ใช่ไหม?” คุณเขลางค์ถามหลังจากระงับโทสะพร้อมกับจ้องแหวนในมือ

    “ขอรับ คุณหญิงอย่าสั่งโบยบ่าวนะขอรับ หากบ่าวไม่เอาอัฐไปใช้หนี้พวกมันเอาบ่าวตายแน่ขอรับ...” ไอ้เข้มวิงวอนพร้อมกับก้มลงกราบเสียงสั่น คุณเขลางค์กระตุกมุมปากอย่างสมเพชก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า

    “หึ...หากเอ็งทำงานให้ข้า ข้าจะบำเหน็จเอ็งด้วยอัฐที่มากพอที่จะใช้หนี้ เอ็งสนหรือไม่เล่าไอ้เข้ม?”

    “สนขอรับ ขอเพียงคุณเขลางค์สั่งบ่าวมาเท่านั้น” ทาสร่างยักษ์ตอบนายหญิงด้วยความดีอกดีใจที่นอกจากจะไม่ถูกลงหวายแล้ว ยังได้อัฐมาใช้หนี้อีกด้วย

   คุณเขลางค์หันหลังให้ทาสทั้งสองแล้วนำแหวนขึ้นมาพินิจอีกครั้ง พลางนึกถึงไอ้เด็กเมื่อวานซืนอย่างยมที่บังอาจทำให้ตนโกรธถึงขีดสุดแล้ว

      “มึงบังอาจขโมยแหวนลูกกู กูไม่เอามึงไว้แน่ไอ้ยม!”



 ร่างน้อยกลับเข้ามาหลับนอนในเรือนด้วยความเหน็ดเหนื่อย ดวงตาปิดสนิทไม่รับรู้สิ่งใดอีกด้วยล้าเต็มทีด้วยพิษไข้ หากริมฝีปากแดงนั้นยกมุมปากด้วยใจเป็นสุข  ดูแล้วเหมือนเด็กไร้เดียงสาที่กำลังหลับฝันหวาน

    หารู้ไม่ว่าฝันร้ายที่ไม่อาจลบเลือนกำลังจะกรายเข้ามา!

    ไอ้เข้มค่อยๆเปิดประตูเบาๆ ในมือถือเชือกกับผ้าชุบยาสลบที่คุณเขลางค์มอบให้เข้ามาด้วยความตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่ให้ผิดพลาดซ้ำสอง ร่างยักษ์นั่งยองเบาๆข้างๆเด็กน้อยที่ยังคงหลับฝันดี ก่อนที่มือใหญ่เข้าใช้ผ้าอุดปากยมแน่นเพื่อไม่ให้มีเสียงเล็ดลอดออกไป

    “อื้อออ!!!”

  ดวงตาน้อยเบิกโพลงเมื่อรับรู้ได้ถึงอันตราย หากแต่บาดแผลที่เพิ่งถูกโบยทำให้ยมมีไข้จึงไร้กำลังที่จะขัดขืน ก่อนจะสลบไปในที่สุด

    “เสร็จกู”

    เข้มกระตุกยิ้มก่อนจะใช้เชือกมัดมือมัดเท้าให้แน่น ก่อนจะแบกร่างของยมขึ้นพาดบ่าก่อนจะพาออกไปนอกเรือน โดยไม่ทันได้สังเกตว่ามั่นที่กำลังจะมาหายมเพื่อเอายาแก้ไข้มาให้ได้เห็นเหตุการณ์เข้าทั้งหมด

     “ไอ้เข้ม! นั่นเอ็งจะเอายมไปไหน!?”

     มั่นถลาเข้าไปกระชากร่างของไอ้เข้มทันทีเพื่อจะแย่งตัวของยมมา ทาสทั้งสองคนยื้อยุดกันไปมาอยู่นาน แต่ด้วยความที่เข้มนั้นตัวใหญ่กว่ามากโข กำปั้นหนักมันชกหน้าของมั่นทีเดียวก็ล้มแน่นิ่งไป

    “อั๊ก!”

     “เกือบไปแล้วไหมล่ะ” ไอ้เข้มพึมพำ ก่อนจะแบกร่างของยมเข้าไปยังห้องเก็บของด้านหลังเรือนของคุณเขลางค์ตามคำสั่งของคุณหญิงวินิตราชศักดิ์

      “มาแล้วรึ?” ร่างระหงที่นั่งอยู่บนแท่นเก่าแสยะยิ้ม ในมือกำแหวนนพรัตน์แน่น ก่อนจะพยักหน้าให้อีเฟื้องสาดน้ำใส่ร่างน้อยที่ไอ้เข้มวางกับพื้น

     “แค่กๆ”

      ยมสำลักน้ำที่อีเฟื้องสาดเข้าใบหน้าเต็มๆ สมองประมวลจำได้ว่าตอนที่ตนหลับก็ถูกไอ้เข้มเอาบางอย่างมาอุดปากแล้วจากนั้นก็ไม่รับรู้อะไรอีก ดวงตาเบิกกว้างเมื่อพบว่าตอนนี้ตนมาอยู่ในที่ๆหนึ่งที่ค่อนข้างเหม็นอับและร้างจากการที่ไม่ได้ทำความสะอาดมานาน อีกทั้งเมื่อขยับก็พบว่าถูกพันธนาการที่ข้อมือและเท้า โดยมีหญิงอำมหิตนั่งอยู่เบื้องหน้าไม่ต่างจากพญามัจจุราชกำลังชูบางอย่างขึ้นมา

      แหวน...แหวนของพี่เขมที่มอบให้เมื่อหลายปีก่อน!!

     มาอยู่ที่คุณเขลางค์ได้อย่างไร!?

      “นี่มันอะไรกันขอรับคุณเขลางค์!”

         ผั๊วะ!!!

    ใบหน้าของยมหันไปตามแรงตบ ก่อนที่ใบหน้าของยมจะเงยขึ้นมาเพราะคุณเขลางค์กระชากเส้นผมอย่างรุนแรง

      “มึงกล้าขโมยแหวนของพ่อเขมรึไอ้ยม!? ห้ะ!”

     ผั๊วะ! ผั๊วะ!!!

     “ว่ายังไง ตอบกูมา!!!” คุณเขลางค์ถามน้ำเสียงกระแทกใส่หน้าเด็กหนุ่ม

    “บ่าวตอบไม่ได้ขอรับ”

     ยมจงใจปดนิรยบาลตรงหน้า อย่างไรยมก็จะให้คุณเขมมาเดือดร้อนกับเขาไม่ได้  เพราะหากคุณเขลางค์ล่วงรู้ความสัมพันธ์ของตนกับคุณเขม เรื่องนี้จะต้องถือหูคุณพระอย่างแน่นอน แล้วคุณเขมอาจไม่ได้รับความไว้วางใจจากผู้ที่เคารพนับถืออีก

     ต่อให้ต้องถูกตัดลิ้น...ก็จะไม่มีวันพูดออกไป!

     “นี่มึงจงใจกวนประสาทกูรึ ห้ะ!! อีเฟื้อง!” ร่างระหงกระแทกร่างเล็กลงไปกองกับพื้นอีกครั้ง ตอนนี้มุมปากของยมเต็มไปด้วยรอยเลือด อีเฟื้องส่งหวายให้ผู้เป็นนายอย่างรู้หน้าที่

      เพี๊ยะ!!!

     “นี่สำหรับที่มึงบังอาจขโมยแหวนของพ่อเขม”

    คุณเขลางค์ลงหวายอย่างไม่ยั้งมือ รอยแผลที่ยังไม่ทันจะหายถูกซ้ำลงไปอย่างรุนแรง ยมกัดปากจนห้อเลือดด้วยความเจ็บปวดเหลือคณา เลือดซึมทะลุเสื้อสีขาวเต็มแผ่นหลังน่าสยดสยอง ขณะที่ผู้ลงทัณฑ์กลับหัวเราะอย่างสาแก่ใจ

    เพี๊ยะ...เพี๊ยะ!!

     “อ๊ากกกก!!!” ยมร้องลั่นเมื่อคุณเขลางค์ค่อยๆรดน้ำเกลือลงไปซ้ำบนรอยแผลสด แต่นั่นยังไม่สาแก่ใจเท่ากับ...

    “อีเฟื้อง มึงไปเอาของมา”

    ร่างระหงของคุณเขลางค์ทิ้งหวายลงอย่างรุนแรงก่อนจะยืนหอบด้วยความเหนื่อย ยมที่ตอนนี้ไม่มีกำลังจะขัดขืนได้เลยเบิกตากว้างเมื่ออีเฟื้องส่งไม้คีบถ่านไฟที่ร้อนระอุให้คุณเขลางค์ ก่อนจะเข้ามากระชากเส้นผมให้เด็กหนุ่มสบตากับผู้เป็นนายหญิง ส่วนไอ้เข้มเอาผ้าอุดปากเพื่อกลั้นเสียงของเด็กหนุ่มไม่ให้เล็ดลอดออกไป

     “อื้อ...อื้อ...”

     “และนี่...สำหรับที่มึงล่วงรู้ความลับของกู”

     ฉ่า...   

     ฉ่า...!!!!

    “อื้อออออออออออออ!!!!”

    น้ำตาของยมแทบจะหลั่งออกมาเป็นสายเลือดเมื่อถูกถ่านสีดำร้อนระอุนาบบนใบหน้าอย่างไร้ความปรานี ร่างเล็กดิ้นทุรนทุรายคล้ายตกอยู่ในกองไฟเอาชีวิตรอด แม้นจะเจ็บปวดเพียงใดก็ไม่อาจเรียกให้ผู้ใดมาช่วยได้

     “ฮึก...อื้อ อื้อออออ อืออ...” น้ำตาจากดวงตาที่ปิดสนิทหลั่งรดความเจ็บปวดและความร้อนแสบสันหากแต่คุณเขลางค์กลับมองภาพตรงหน้าด้วยรอยยิ้มราวกับเป็นประติมากรรมชิ้นเอก

     “ฮ่าๆๆๆๆๆๆ”

     หญิงอำมหิตหัวเราะลั่นอย่างคนโรคจิต แววตาโหดร้ายจ้องไปที่ใบหน้าหวานของยมที่ตอนนี้มีบาดแผลสดน่าสยดสยองด้วยความสาแก่ใจยิ่ง

     “แผลบนใบหน้าของมึง...” คุณเขลางค์โยนไม้คีบถ่านทิ้งไป ก่อนจะเข้ามากระชากเส้นผมเด็กหนุ่มอย่างรุนแรง “มันจะเหมือนกับรอยแผลที่อยู่ในใจกู!!”

      “คุณเขลางค์จะให้บ่าวทำอย่างไรต่อเจ้าคะ?” เฟื้องถามขึ้น

     “ไม่ต้องแล้วอีเฟื้อง แต่เอ็งไอ้เข้ม ข้าอยากเห็นเอ็งกระทืบไอ้ยมเป็นขวัญตานัก หึๆๆ”

    “ตามที่คุณเขลางค์บัญชาขอรับ” ไอ้เข้มแสยะยิ้ม ก่อนจะกระชากเส้นผมของยมแล้วลงมือเตะต่อยอย่างไม่ปรานี

     “ฮึก อื้อๆๆๆ”

     คุณเขลางค์นั่งมองภาพตรงหน้าราวกับชมละครในโรงมหรสพ จนกระทั่งไอ้เข้มที่เตะต่อยร่างเล็กอย่างไม่ปรานีเริ่มสังเกตว่าร่างของยมนั้นแน่นิ่งไป

      “หยุดทำไมไอ้เข้ม? ข้ากำลังสนุกอยู่เลย”

   ไอ้เข้มไม่ตอบคุณเขลางค์ หากแต่ก้มลงนั่งยองๆแล้วยื่นมือไปอังจมูกของเด็กหนุ่มที่ตอนนี้ดวงตาปิดสนิท ใบหน้าของมันซีดเผือดก่อนจะรายงานผู้เป็นนายเสียงสั่น

      “คุณเขลางค์ ไอ้ยมไม่หายใจ มันตายแล้วขอรับ!”



      ไอ้เข้มแบกร่างของยมมายังป่าช้าที่อยู่ท้ายวัดห่างไกลจากเรือนของคุณพระเพียงลำพัง แม้จะหวาดกลัวเสียงเห่าหอนกับบรรยากาศที่ขนลุกเพียงใด สุดท้ายมันก็หาบริเวณว่างพอที่จะฝังศพเด็กหนุ่มจนได้

      *“ฝังศพไอ้ยมเสร็จ เอ็งไปรับรางวัลกับอีเฟื้องที่ท่าน้ำท้ายวัดได้เลยนะ ข้าไม่อยากเสี่ยงให้อ้ายอีในเรือนมาเห็นเข้า”*

       “เอาล่ะ ตรงนี้แหละ”

   ไอ้เข้มวางร่างของยมไว้บนพื้นดิน ก่อนจะคว้าจอบที่พกมาเตรียมขุดดินเพื่อฝังร่างที่ไร้วิญญาณของยม หากแต่...

     “เฮ้ยไอ้หนุ่ม! นั่นเอ็งทำอะไรวะ?”

     ไอ้เข้มสะดุ้งโหยง แต่เมื่อหันไปก็พบว่าชายชราในเสื้อผ้าสีขาวสะอาดที่มีหน้าที่ดูแลป่าช้าผืนนี้ยืนจ้องมาก็ค่อยโล่งใจ

     “โธ่ลุง...ฉันตกใจหมด”

     “แล้วเอ็งมาทำอะไร? ที่นี่มันป่าช้า ไม่ใช่ที่ๆจะมาตามใจชอบนะโว้ย”

    “ฉัน เอ่อ พอดีฉัน อ้อ...ฉันจะเอาศพเพื่อนฉันมาฝังจ้ะ มันเพิ่งตายเมื่อครู่นี้เอง มันไม่มีญาติที่ไหนฉันเลยจะเอามาฝังจ้ะ”

    “เอ็งอย่าเอาศพมาฝังซี้ซั้วนะโว้ย...” ชายชรากล่าวน้ำเสียงจริงจัง “ข้าน่ะเป็นสัปเหร่อ ศพไร้ญาติแบบนี้ต้องจัดการพิธีเล็กน้อยแล้วใส่เงินปากผีมันก่อน เดี๋ยวข้าฝังศพเพื่อนเอ็งเอง เอ็งกลับไปได้แล้ว”

     “จ้ะๆ” เมื่อเห็นว่าสีหน้าของชายชราจริงจังทำให้ไอ้เข้มเชื่อสนิทใจ เพราะอย่างไรศพไอ้ยมก็ต้องถูกฝังอยู่ดี อีกทั้งตนไม่ต้องเปลืองแรงฝังศพไอ้ยมอีกด้วย “ถ้าอย่างนั้นฉันฝากลุงด้วยแล้วกันนะ”

      ไอ้เข้มยกมือไหว้ลุงสัปเหร่อก่อนจะรีบวิ่งจากไป เมื่อพ้นสายตาไอ้เข้ม ชายชราก็เรียกคนที่หลบอยู่หลังพุ่มไม้ออกมา

     “ไอ้เพลิง ไอ้มั่น ออกมาได้แล้วโว้ย”

      บ่าวคนสนิทของคุณเขมออกมาจากที่กำบังเมื่อได้ยินเสียงเรียกของลุงเบิ้ม...สัปเหร่อที่มีศักดิ์เป็นญาติห่างๆของมั่น ทั้งสองรีบเข้าไปดูอาการของยมทันที

     “นี่ไอ้เข้มมันแค้นอะไรไอ้ยมมาถึงได้ทำกับมันขนาดนี้!? จะเอาถึงชีวิตเลยหรือไร!!!”

     เพลิงทุบกำปั้นกับพื้นดินจนห้อเลือดด้วยความโกรธ รู้สึกเกลียดตัวเองที่มาช่วยคนรักของคุณเขมไม่ทัน เพราะเพิ่งจะรู้จากปากมั่นว่าไอ้เข้มพาตัวยมไปไหนไม่รู้ เพลิงจึงรีบไปค้นหาจนทั่วเรือนก็ไม่พบ จนกระทั่งมั่นสังเกตเห็นไอ้เข้มแบกร่างของยมออกมาจากหลังเรือนคุณเขลางค์มุ่งไปยังป่าช้า จึงรีบแอบติดตามแล้วให้ลุงเบิ้มทำทีไล่ไอ้เข้มออกไปเพื่อมาดูอาการของยม

    “เอ็งไม่ต้องกังวลหรอก ไอ้หนูนี่ยังไม่ตาย เกือบถูกฝังทั้งเป็นแล้วไหมล่ะ!” ลุงเบิ้มอังจมูกของยมก็พบว่ายังมีลมหายใจอยู่ เพลิงกับมั่นจึงค่อยโล่งใจได้บ้าง

     ยมขยับเปลือกตาขึ้นมาช้าๆแล้วกลอกตาไปมา ก็พบว่าเพลิงกับมั่น แล้วก็ชายชราอีกคนกำลังจ้องมองตนอยู่

    “โอ๊ย!!” เด็กหนุ่มรู้สึกปวดแสบบนใบหน้าจนน้ำตาเล็ด มั่นจึงเข้าไปประคองคนรักของเจ้านาย “ฉันเจ็บเหลือเกิน”

     “เรื่องมันเป็นอย่างไรไอ้ยม ใยหน้าเอ็งเละเช่นนี้...เล่าให้ฟังเดี๋ยวนี้เลย!”

     ด้วยความอดทนที่ตอนนี้เก็บไม่ไหวอีกต่อไป ยมจึงตัดสินใจเล่าเรื่องทุกอย่างให้ทั้งสามคนฟัง ว่าตนถูกไอ้เข้มแบกมาให้คุณเขลางค์ทรมานสาหัส ไม่ว่าจะเป็นเฆี่ยนรอยแผลซ้ำ ถูกสาดน้ำเกลือรดแผล แต่ที่สาหัสเจียนตายก็คือถูกถ่านร้อนๆทาบบนใบหน้าไปแทบจะครึ่งหน้า  นอกจากนี้ยังถูกไอ้เข้มซ้อมปางตาย เด็กหนุ่มจึงตัดสินใจกลั้นลมหายใจแกล้งตายเพื่อเอาตัวรอดเฉพาะหน้าโดยยังไม่แน่ใจว่าจะเอาชีวิตรอดจากการถูกฝังทั้งเป็นหรือไม่ แต่โชคดีที่ลุงเบิ้มผ่านมาพบเข้าจึงรอดชีวิตราวปาฏิหาริย์

    “โชคดีนะที่เอ็งแกล้งตายออกมา ไม่อย่างนั้นเอ็งได้ตายจริงๆแน่” เพลิงส่ายหน้าอย่างเวทนาในโชคชะตาของยม “ดีนะที่ไอ้มั่นมันเห็นไอ้เข้มกำลังแบกเอ็งไปไหนไม่รู้ แต่กว่าจะมาบอกข้า ก็ถูกไอ้เข้มมันเล่นงานเข้าเสียก่อน”

      “ขอบใจลุงเบิ้มมากนะจ๊ะที่ช่วยฉันสองคน” มั่นเอ่ยขอบคุณญาติห่างๆ

    “เออๆ ไม่เป็นไรโว้ย ข้าว่าไอ้หนูนี่คงกลับไปที่เรือนไม่ได้แล้วล่ะ คุณเขลางค์อะไรนั่นเอาตายแน่”

   “เป็นตายร้ายดีอย่างไรฉันก็ไม่ยอมให้ไอ้ยมกลับเรือนแน่ๆ” เพลิงมองเด็กหนุ่มก่อนถอนหายใจดังเฮือกอย่างเวทนา “ไอ้ครั้นจะให้หนีไปไกลๆ ใบหน้าเอ็งก็ยังเป็นแผลเหวอะ อีกทั้งยังถูกเฆี่ยนซ้ำปางตายอีกต่างหาก อย่างไรก็ต้องรักษาเอ็งก่อน”

     “เอาอย่างนี้ ให้ไอ้หนูมาซ่อนตัวที่เรือนข้าแล้วรักษาตัวไปก่อน แล้วจากนั้นค่อยว่ากันดีไหมเล่า?” ลุงเบิ้มเสนอ ด้วยใจที่สงสารในชะตาของเด็กหนุ่ม

      “ก็ดีเหมือนกันนะจ๊ะลุง” เพลิงเห็นด้วย “ปล่อยให้คุณเขลางค์คิดว่าไอ้ยมตายแล้วน่าจะดีกว่า เธอจะได้เลิกจองล้างจองผลาญมันเสียที”

   

  “เอ้านี่...รางวัลของเอ็ง”

     เมื่อเสร็จภารกิจ ไอ้เข้มจึงเดินมารับรางวัลตามที่คุณเขลางค์สัญญาไว้กับอีเฟื้องที่มายืนรออยู่ที่ท่าน้ำท้ายวัดนานแล้ว

     “ขอบใจจ้ะพี่เฟื้อง” ไอ้เข้มรับถุงอัฐมาก่อนจะเปิดดูด้านในด้วยความโลภ “โหย ตั้งสิบชั่ง คุณเขลางค์ช่างใจดีเหลือเกิน”

     “ใช่ คุณเขลางค์ของข้ายังมีรางวัลให้เอ็งอีก สนไหมล่ะ?”

    “สนสิ ว่าแต่อะไรรึพี่เฟื้อง?”

    ไอ้เข้มทำตาโตด้วยความละโมบ แต่ไม่ทันระวังอีเฟื้องที่ใช้มีดคมกริบใบเล็กแทงเข้ากับหน้าท้องเต็มแรง เสื้อสีขาวที่มันสวมใส่ชุ่มไปด้วยเลือด

    “นี่ไงล่ะ รางวัลอีกอย่างของเอ็ง”

   “อั๊ก! อี อีเฟื้อง...อั๊ก...” ไอ้เข้มชี้หน้านางทาสที่ทรยศหักหลังตนเอง แต่ก็ไร้เรี่ยวแรงจนถูกแทงซ้ำเป็นครั้งที่สอง

 “หึๆๆๆ” อีเฟื้องกระหน่ำแทงจนมีดใบเล็กมิดด้ามก่อนจะถอนออกมา  หยาดหยดสีแดงกระเซ็นใส่ใบหน้าแสยะยิ้ม ร่างของไอ้เข้มใกล้ล้มลงกับพื้นจากอาการบาดเจ็บ แต่ก็ถูกตีนของนางทาสร่างท้วมถีบตกน้ำหายไป อีเฟื้องกระตุกยิ้มชั่วร้ายอีกครั้งก่อนโยนมีดทิ้งแม่น้ำเพื่อทำลายหลักฐานไม่ให้สาวมาถึงคุณเขลางค์ได้

    ตู้ม!!!

    “เชิญเอ็งไปใช้อัฐในนรกเถอะไอ้เข้ม หึๆๆ”


**นิยายหนูเงียบจังฮือออ ขอกำลังใจหน่อยนะค้าา

ออฟไลน์ mizuamechang

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่12--
«ตอบ #14 เมื่อ22-01-2018 20:31:43 »

เพิ่งเห็นและอ่านรวดเดียวเลยค่ะ โหยย รอตอนต่อไปนะคะ

ออฟไลน์ fahsai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 815
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่12--
«ตอบ #15 เมื่อ23-01-2018 01:00:20 »

โรคจิตของแท้เลย น่ากลัวมาก

ออฟไลน์ Amazing princess

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่13--
«ตอบ #16 เมื่อ23-01-2018 15:10:09 »

 เรือนร้าว13
ตอน ความลับในหนังสือเงาะป่า
 “เจ้ายมเอ๊ย...ลุกมาประคบแผลก่อน”

   ลุงเบิ้มประคองร่างบอบช้ำของยมที่นอนราบบนเสื่อให้ขึ้นมานั่งเบาๆด้วยตอนนี้เด็กหนุ่มยังไม่หายดีนัก รอยแผลบนใบหน้าของยมนั้นแม้จะถูกประคบด้วยใบบัวบกฆ่าเชื้อลุกลามได้ทันเวลา แต่เพราะเป็นแผลเหวอะที่โดนความร้อนสาหัสเกินที่สมุนไพรจะรักษาทำให้ยมเสียโฉมไปครึ่งหน้าในที่สุด                       

 “รอยหวายเอ็งก็ดีขึ้นแล้ว ส่วนไข้ก็เริ่มจะทุเลาลงบ้าง...” ชายชรากล่าวพลางยื่นลูกประคบให้ยมกดลงบนแผลที่หน้าเบาๆ “แต่ข้าล่ะเวทนาเอ็งเหลือเกินว่ะ ยังเด็กอยู่แท้ๆ กลับต้องมาพบอะไรที่โหดร้ายเกินจะรับ” 

 “ยมชินแล้วล่ะจ้ะ...” มือเล็กสัมผัสรอยแผล “ชินตั้งแต่เด็ก”     

น้ำเสียงช้ำโศกของเด็กหนุ่มทำให้ลุงเบิ้มทำได้เพียงส่ายหน้าด้วยความสงสาร ร่างผอมเกร็งนั่งลงข้างๆก่อนจะเล่าเรื่องของตนขึ้นมา   

 “ข้าก็มีลูกสาว แต่มันป่วยตายพร้อมกับแม่มันเมื่อสองปีก่อน ถ้ามันยังอยู่มันคงอายุเท่าๆเอ็ง ข้าถึงเข้าใจความเจ็บปวดอาการปางตายของเอ็งดี”       

  เด็กหนุ่มตั้งใจฟังลุงเบิ้มพูดเสียงเศร้า ก่อนที่ชายชราจะกล่าวขึ้นมาอีก

    “แต่เอ็งโชคดีกว่าลูกข้านักเจ้ายม อย่างน้อยเอ็งยังมีชีวิตรอด แม้ใบหน้าเอ็งจะต้องเสียโฉมไปครึ่งหน้าก็เหอะ”

    เมื่อประคบเสร็จยมก็ส่งลูกประคบสมุนไพรคืนให้ลุงเบิ้ม ชายชราส่งยาแก้ไข้ให้ยมดื่มก่อนจะให้เด็กหนุ่มนอนแล้วตนก็ออกไปทำหน้าที่จัดการพิธีศพของวัดต่อ มือเล็กลูบรอยแผลที่ไม่มีวันจางหายได้อีกต่อไปบนใบหน้าด้วยใจที่เจ็บช้ำ ลำพังรอยแผลที่เกิดจากการเฆี่ยนตียังพอรักษาให้หายได้เร็ววัน หากแผลบนใบหน้าที่ถูกความร้อนจากถ่านไม่ต่างไปจากความอำมหิตของผู้กระทำนั้น มันไม่ต่างกับตราบาปที่ติดตัวยมไปตลอดชีวิต

       ต้องกลายเป็นคนหน้าผีแทบครึ่งหน้า...จากกรรมที่ไม่ได้ก่อ

      นี่มันเวรกรรมอันใดของตนกันแน่!?

       ขอให้บาปกรรมครั้งนี้เกิดขึ้นเป็นครั้งสุดท้ายได้ไหม...?

     นี่ก็ผ่านไปหลายวันแล้ว เป็นเวลาที่คุณพระวินิตราชศักดิ์กลับมาถึงเรือน ครั้นตนอยากจะกลับไปยังเรือนเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมก็คงไม่มีประโยชน์ เพราะเมื่อวานมั่นกับเพลิงมาส่งข่าวว่าได้ยินคุณเขลางค์พูดป้ายสีกับคุณพระว่ายมขโมยแหวนนพรัตน์ของคุณเขมแล้วถูกจับได้ จึงหนีออกจากเรือนหายสาบสูญ ทั้งที่แท้จริงคุณเขลางค์รู้อยู่แก่ใจ...ว่าแท้จริงตนได้ถูกฝังอยู่ในป่าช้าไปแล้ว

      “พี่เขม...”

    เด็กน้อยน้ำตารินไหลออกมา ด้วยคิดถึงคนที่อยู่แสนไกล ทั้งที่อีกหนึ่งปีเท่านั้น คุณเขมก็จะกลับมาหายม มาปกป้องยมแล้วแท้ๆ

       “ถ้าพี่เขมเจอยม พี่เขมจะเกลียดหน้าผีของยมไหม?...”

       แม้ไม่อาจกลับเรือนไปรอคอยคนรัก...

      ยมก็ขอให้พี่เขมไม่ลืมคำมั่นสัญญาก็ยังดี

      แม้วันที่พี่เขมกลับมารับราชการแทนคุณแผ่นดิน แม้พี่เขมอาจจะไม่ตามหายมแล้ว

      ยมจะไม่ลืมคำสัญญาของเราเช่นกัน



   วันต่อมา...เมื่อลุงเบิ้มเห็นว่ายมเริ่มมีอาการดีขึ้นแล้วจึงให้ออกมาสูดอากาศด้านนอกเพื่อรับลมยามเช้าบ้าง เนื่องจากสายลมโชยในยามเช้าไม่ค่อยแรงอีกทั้งยังบริสุทธิ์ทำให้ยมสามารถสูดอากาศดีเข้าเต็มปอด

     “ข้าว่าเอ็งเอาผ้าคลุมหน้าออกเถอะไอ้ยมเอ๊ย...” ชายชราบอกเด็กหนุ่มที่นั่งใกล้ๆขณะกวาดใบไม้ที่ร่วงหล่นตามพื้นมาตามลม “นี่ยังเช้ามืดอยู่  ไม่เป็นไรหรอกน่า”

     “...” เด็กหนุ่มเงียบพร้อมกระชับผ้าคลุมหน้าแน่นขึ้น เขาไม่ต้องการให้ผู้ใดมาเห็นใบหน้าที่ไม่ต่างกับผีของตน ถึงแม้ว่ารอยแผลอาจไม่ได้ลามทั่วใบหน้ามากก็ตาม

     “เออๆ เอาเถอะๆ เอาที่เอ็งสบายใจแล้วกัน” ชายชราพูดก่อนที่จะกวาดใบไม้ต่อ ยมมองบริเวณรอบๆ ใกล้เรือนหลังเล็กท้ายวัดของลุงเบิ้มปลูกต้นไม้ไว้มากมาย ยิ่งมีลมเย็นๆโชยมาทำให้ได้กลิ่นของพรรณไม้นานาโชยมา

     แต่กลิ่นที่ยมคุ้นเคยและคิดถึงมากที่สุด...ก็คงเป็นดอกมะลิขาวบริสุทธิ์ที่ปลูกอยู่ติดกับต้นสักและต้นปีบขนาบด้านข้าง

     ‘พี่เขม...’

     ร่างน้อยลูบดอกมะลิตูมยังไม่ออกดอกชูช่อเต็มที่ จมูกโด่งสวยที่มีรอยแผลยื่นเข้าไปดอมดมกลิ่นหอมที่คิดถึง

      คิดถึงดอกมะลิที่เรือนของคุณเขม

      ที่ไม่มีวันจะได้กลับไปอีก...

    “ดูเอ็งจะชอบดอกมะลินะ” เสียงลุงเบิ้มพูดขึ้น ยมพยักหน้ารับน้อยๆ

   “ปกติยมชอบร้อยมาลัยดอกมะลิถวายพระจ้ะ...”

   เด็กหนุ่มหยุดพูดก่อนที่จะหวนนึกถึงความหลังในวันนั้นอีกครา...

    ความทรงจำที่เรือนที่มีทั้งความขื่นขมระทม...

    และพานพบความความสุขแม้เพียงชั่วครั้งชั่วคราว...กับชายคนรัก



วันนั้นคุณเขมเพิ่งกลับมาจากโรงเรียน มาพบร่างของเด็กน้อยวัยสิบขวบกำลังบรรจงจีบดอกมะลิร้อยเรียงอย่างงดงาม ขณะที่ยมหยิบดอกมะลิดอกหนึ่งขึ้นมา มือใหญ่ดอกรวบมือน้อยมาหอมอย่างหยอกเย้าจนเด็กน้อยอายตัวม้วน

 “คะ...คุณเขม...” ตอนนี้เด็กน้อยน่ารักแก้มแดงเป็นลูกตำลึงที่ถูกบุตรชายของหลวงวินิตหยอกเย้า คุณเขมหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะนั่งลงข้างๆ

“พี่ไม่ชอบให้ยมเรียกเช่นนี้เลย...” ร่างสูงในเครื่องแบบราชปะแตนของโรงเรียนขยับเข้ามาใกล้ “เรียกใหม่ซะ...ไหนเรียกพี่เขมซิคนดี”

“แต่ว่า...”

“เรียกเถิดนะ...แค่ยามอยู่กับพี่สองคนก็ได้”

“พะ...พี่ พี่เขม...” ยมเรียกรัวจนลิ้นแทบพันกัน เด็กน้อยเบือนหน้าหนีผู้เป็นนายด้วยความอาย แต่มือใหญ่ก็ยื่นมาลูบเส้นผมอย่างเอ็นดู

 “ดีมาก...” คุณเขมเผยอรอยยิ้มชื่นชม ก่อนที่ดวงตาสีนิลจะจ้องไปที่ดอกมะลิที่อยู่ในกระจาด “ยมเอาดอกมะลิที่ไหนมาร้อยมาลัยรึ?”

“เอ่อ...” เด็กน้อยอึกอัก ใครจะไปกล้าบอกเล่าว่าตอนที่ไปรดน้ำต้นมะลิที่เรือนของคนตรงหน้าแล้วเห็นดอกมะลิลาสะพรั่งเต็มต้น  จนอดใจไม่ไหวต้องแอบเด็ดมาร้อยมาลัยเล็กน้อย

   “หึๆ จริงสิ ทั้งเรือนก็มีเพียงเรือนพี่ที่ปลูกต้นมะลิไว้เรือนเดียว” คุณเขมหัวเราะในลำคอแผ่วเบาเมื่อแกล้งคนตัวเล็กที่ก้มหน้างุดสำเร็จ

   “คะ...คุณเขมอย่าลงโทษบ่าวนะขอรับ”

   “ยม...พี่ไม่ชอบ” เสียงทุ้มแสร้งดุ จนร่างน้อยสะดุ้งไปเล็กน้อย น้ำเสียงสั่นเครือคล้ายจะร้องไห้

   “พี่เขม ยมขอโทษ”

เมื่อได้ยินเด็กน้อยแทนตนเองด้วยชื่อ คุณเขมก็ยิ้มกว้างละไม มือใหญ่ยื่นไปลูบเส้นผมสะอาดด้วยความเอ็นดู

   “รู้ไหม...พี่ชอบยามที่เจ้าแทนตัวเองเช่นนี้จัง ” ใบหน้าหวานเงยขึ้นมาสบสายตาคมกริบ “พี่ไม่ลงโทษเจ้าหรอกนะ พี่เพียงอยากให้เจ้าทำบางอย่างให้พี่เท่านั้น”

“อะ...อะไรหรือจ๊ะ?”

เด็กน้อยถามเสียงหวานเพราะไม่อยากถูกดุ มือใหญ่ส่งดอกมะลิในมือให้เด็กน้อยรับไว้ ก่อนจะเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มละมุนว่า

   “ต้นมะลิที่เรือนพี่...” ใบหน้าคมคายเข้ามาแนบชิดร่างเล็ก ก่อนจะเบือนหันไปยังทิศที่เรือนของตนเอง

 “เวลาที่พี่กลับโรงเรียน พี่ฝากยมดูแลทีนะ พอมันออกดอกเยอะ ยมก็เก็บมาร้อยมาลัยไปถวายพระในเรือนพี่ด้วย”



“ยมเอ๊ย!นั่งร้อยมาลัยไปก่อนนะ พอดีหลวงพ่อเรียกไปธุระนิดหน่อยเดี๋ยวมา” ลุงเบิ้มหอบข้าวของพะรุงพะรังใส่ย่ามเดินมาบอกเด็กหนุ่มที่กำลังบรรจงร้อยมาลัยดอกมะลิที่ชายชราเต็มใจให้เก็บมา เพราะอาจเป็นสิ่งเดียวที่พอจะเยียวยาจิตใจของยมได้

     “จ้ะลุง” เด็กน้อยตอบสั้นๆ

    “แล้วอย่าออกไปไหนเกินจากเรือนข้านะ” ลุงเบิ้มกำชับเป็นครั้งสุดท้ายก้อนจะเดินออกไปทำธุระนอกวัดตามที่หลวงพ่อสั่ง     

     ยมยังคงบรรจงร้อยเรียงพวงมาลัยดอกมะลิเหมือนอย่างที่ผ่านมา พฤษชาติงดงามในมือยังคงตราตรึง ด้วยคิดถึงคนที่เคยมอบให้เด็กหนุ่มรักษาดูแลยามห่างไกล

      มาลัยดอกมะลิลางดงามถูกแต่งตัวด้วยพู่อุบะจนเสร็จ ดวงตาหวานล้ำจ้องมองมันอย่างเพลิดเพลิน อย่างน้อยได้อยู่ที่นี่ก็สบายใจ ไม่ต้องระแวงผู้ใดที่เรือนหลังที่จากมาอีก

     ยกเว้นพี่เดือน...

     “ป่านนี้พี่เดือนจะเป็นอย่างไรบ้างนะ?”



     นางทาสสาวนั่งกอดเข่าร้องไห้ที่ท่าน้ำท้ายเรือนที่ทอดยาวไปถึงด้านหน้า หยาดน้ำตาไหลออกมาไม่รู้ครั้ง เรื่องที่ยมขโมยแหวนของคุณเขมเป็นที่ลือลั่นไปทั้งเรือน บ่าวไพร่ต่างพากันซุบซิบนินทาไม่เว้นแต่ละวัน

    ข้าก็พอรู้นะว่าไอ้เข้มมันชอบลักเล็กขโมยน้อย แต่ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเด็กเงียบๆอย่างไอ้ยม มันจะมือไวขโมยของๆคุณเขมด้วย ดีนะที่คุณเขลางค์จับได้เสียก่อน

นั่นสิ...ไม่อย่างนั้นมันจะขโมยอะไรอีกก็ไม่รู้ ไว้ใจไม่ได้เลยจริงๆ

   เรื่องนี้คราแรกคุณพระวินิตราชศักดิ์ก็ไม่ใคร่อยากจะเชื่อนักแม้จะเห็นว่าแหวนของคุณเขมอยู่ที่คุณหญิง  แต่เพราะมีอีเฟื้องมายืนยันว่าเห็นไอ้เข้มกับยมต่างขึ้นไปขโมยของบนเรือนคุณเขมแล้วถูกจับได้ทั้งคู่ ก่อนที่จะหนีจากเรือนเพื่อหลีกเลี่ยงความผิด

    ส่วนเดือน ตั้งแต่วันที่ยมหายไป เธอก็เหมือนตัวคนเดียว ในใจก็รู้สึกผิดตลอดเวลาว่าทั้งหมดเป็นความผิดของตน ตลอดเวลาสามปีที่มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับคุณเขลางค์โดยที่ไม่ได้เต็มใจ คนที่ล่วงรู้ความลับกลับกลายเป็นเด็กที่ถูกหญิงอำมหิตคนนั้นจ้องทำร้ายตลอดเวลา

     จนกระทั่ง...ยมหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย!!

     หากแต่ข้าวของภายในเรือนตอนนี้...ยังคงอยู่ครบ

     ไม่! พี่ไม่เชื่อ พี่ไม่เชื่อว่ายมทำแบบนั้น

    หญิงสาวรู้จักยมดี เด็กหนุ่มไม่ค่อยสุงสิงกับผู้ใดนับตั้งแต่ขอฝากตัวเข้ามาเป็นทาสที่นี่ แม้อาจถูกทรมานก็ไม่เคยเรียกร้องขอความเห็นใจจากผู้ใด แต่เพราะวันหนึ่งเดือนเกิดถูกตัวต่อต่อยเข้าขณะปีนเก็บมะม่วงบนต้นใหญ่แล้วตกลงมาอย่างแรงตรงหน้ายมที่เดินผ่านมาพอดี เด็กน้อยที่แม้จะร่างเล็กกว่าเดือนก็มาช่วยประคองไปนอนพักโดยไม่เกี่ยงงอนแล้วเก็บสมุนไพรมาทำหยูกยารักษาจนกระทั่งหญิงสาวหายดี

     แต่นั้นเป็นต้นมา...เดือนก็ได้รู้แล้วว่า ยมเป็นเด็กดีมากคนหนึ่ง และไม่เคยทำร้ายใครแม้ว่าจะถูกกระทำก่อนก็ตาม หญิงสาวจึงเป็นฝ่ายเข้าหาและช่วยเหลือยมบ้าง จนก่อเกิดความผูกพันเหมือนดังพี่น้องร่วมสาบาน

     หากจะให้เชื่อว่ายมขโมยของคุณเขมแล้ว...เดือนยิ่งไม่อาจเชื่อได้จริงๆ

    เพราะเธอรู้จากเพลิงกับมั่นตั้งแต่วันที่ยมวิ่งออกไปที่ท่าเรือตั้งแต่สามปีก่อนแล้วว่า ยมเป็นคนรักของคุณเขม!                   

   แน่นอนว่าเธอต้องช่วยกันปิดเพราะหากแพร่งพรายออกไปภัยร้ายอาจมาถึงทั้งตัวยม และตัวของบุตรชายคุณพระวินิตราชศักดิ์เอง

    “เอ้า! เร็วๆเข้าหน่อย เดี๋ยวคุณเขลางค์จะรอนาน”

   เดือนเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าบ่าวทาสกลุ่มหนึ่งกำลังพากันยกของออกมาจากเรือนทาส ซึ่งถ้าหญิงสาวจำไม่ผิด ข้าวของพวกนั้นเป็นของๆยม!

      “หยุดนะ!พวกเอ็งจะเอาของๆยมไปไหน”

     นางทาสสาววิ่งตามไปแย่งหีบเสื้อที่พอจำได้ว่าเป็นของยมกับทาสร่างใหญ่ เดือนสู้แรงไม่ได้ถูกผลักกระเด็นก้นจ้ำเบ้ากับพื้นหญ้าดังตุ๊บ

     “ไม่ใช่เรื่องของเอ็งอีเดือน”

    “แต่มันไม่ใช่ของๆเอ็ง!” สวนกลับไปทันควัน อย่างไรเธอก็ไม่ยอม “พวกเอ็งไปเอาของที่เรือนยมออกมาทำไม ห้ะ!?”

    “คุณเขลางค์สั่ง ข้าขัดไม่ได้” ทาสชายร่างยักษ์ตอบ ก่อนจะพยักหน้าให้คนอื่นรีบสาวเท้าเดินต่อรวดเร็ว  นางทาสสาวขบคิดครู่หนึ่ง หากพวกทาสคนอื่นไม่ได้หยิบเอาไปตามชอบ แต่เป็นคำสั่งของคุณหญิงวินิตราชศักดิ์...

     จริงสิ! ลืมได้อย่างไร!? วันนี้คุณพระไปประชุมราชการกลับค่ำมืดนี่!

     !!!

     “คุณเขลางค์? อย่าบอกนะว่า...”



     ฟืนมัดยาวกองสุมจนก่อเกิดไฟฟอน  กองเพลิงสีแดงฉานลุกพรึบสมพอกับร่างของหญิงอำมหิตที่สวมอาภรณ์สีเลือดหมูเพื่อรับกับอารมณ์ที่ไม่ต่างไปจากกองไฟ

    “เอาเสื้อมันมาอีเฟื้อง!” น้ำเสียงทรงอำนาจเอ่ยสั่ง ดวงตาคมกริบกราดมองบ่าวไพร่ที่ก้มหน้าก้มตาราวกับไม่รู้เห็นเรื่องที่กำลังจะเกิดต่อจากนี้

     “นี่เจ้าค่ะ”

     นางทาสร่างท้วมส่งผ้ากองหนึ่งให้ผู้เป็นนายหญิง คุณเขลางค์กระตุกยิ้ม ก่อนจะโยนเสื้อผ้าเหล่านั้นลงกองไฟที่ลุกโชนดังพรึ่บ

      ‘ข้าอุตส่าห์ส่งข้าวของเครื่องใช้ไปให้ในนรกเจียวนะ ขอบใจข้าเสียด้วยไอ้ยม!’

 เสื้อผ้าสีขาวบริสุทธิ์ของทาสในเรือนคุณพระวินิตราชศักดิ์ที่ชื่อว่ายมกำลังถูกทำลายไปทีละน้อยจนหมดสิ้น กระทั่งอีเฟื้องส่งกล่องใบเล็กให้นายหญิงของตนเอง

     “นี่กล่องอะไรอีเฟื้อง?” คุณเขลางค์ปรายตามองแล่วเอ่ยถาม

    “กล่องของไอ้ยมเจ้าค่ะ พวกอ้ายอีมันไปพบในกองผ้าที่ยัดไว้จึงแยกออกมา”

     “หึ!”คุณหญิงรับกล่องใบนั้นมาหมายจะเปิดดูของด้านใน แต่ทว่า...

   “อย่าเจ้าค่ะ!” เดือนวิ่งเข้ามาแย่งกล่องในมือของคุณเขลางค์มากอดไว้แน่น “ขอร้องเถิดเจ้าค่ะ ละของชิ้นนี้ไว้ด้วยเถิด”

    “มึงกล้านักเรอะอีเดือน!?” อีเฟื้องหมายจะเข้าไปแย่งกล่องในอ้อมกอดของเดือนแล้วตบสั่งสอนสักทีสองที

    “หยุด! ไม่ต้อง” คุณเขลางค์สั่งเสียงเข้ม ก่อนจะหันไปมองหน้าเดือนที่ร้องไห้กอดกล่องใบนี้ไม่ยอมปล่อย

    “ไม่ใช่ธุระของเอ็ง เอากล่องนั่นส่งมาให้ข้า”

 “ไม่...ไม่เจ้าค่ะ” นางทาสสาวส่ายหน้าร้องไห้ไม่หยุด ก่อนจะค่อยๆคลานเข้าไปกอดขาร่างระหงแล้ววิงวอน “ได้โปรดเจ้าค่ะ อย่างไรเสียบ่าวก็รักยมเหมือนน้องแม้ยมจะทำผิดก็ตาม เหลือสิ่งของๆยมให้บ่าวดูต่างหน้าเถิดเจ้าค่ะ นะเจ้าคะ ฮึก...บ่าวขอร้อง...”

     สองมือกอดขาเรียวขอความเมตตา แต่แขนก็ยังหนีบกล่องไว้แน่นไม่ยอมปล่อย คุณเขลางค์หายใจเฮือกหนักครั้งหนึ่งอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะสะบัดขาออกจนร่างของนางทาสตัวเล็กนอนลงไปกับพื้นหญ้า

     “พวกเอ็งดับไฟได้แล้ว อ้อ...อย่าให้เรื่องนี้รู้ถึงหูคุณพี่ ไม่อย่างนั้นพวกเอ็งจะไม่ได้อัฐสักแดงเดียว!”

     “ขอรับ” เสียงทาสคนหนึ่งตอบรับคุณหญิงวินิตราชศักดิ์ ร่างระหงในอาภรณ์สีเลือดหมูก้าวเท้าฉับไวออกไปอย่างรวดเร็ว

     “คุณเขลางค์ คอยบ่าวด้วยเจ้าค่ะ”

    อีเฟื้องรีบวิ่งตามนายหญิงที่อารมณ์ไม่ค่อยจะดีนัก ส่วนทาสคนอื่นๆก็จัดการดับไฟด้วยใบหน้าเรียบนิ่งราวกับว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นมาก่อน



      นางทาสสาวรีบกลับเข้าไปในเรือนทาสของตนทันทีที่คุณเขลางค์ไม่สนใจในกล่องใบเล็กอีกต่อไป มือเล็กเปิดออกดูก็พบว่าด้านในเป็นหนังสือเก่าพอสมควร ปกสีเหลืองเก่าใกล้ขาดเต็มที มิน่าเล่า...คุณเขลางค์จึงไม่สนใจที่จะเปิดมองความด้านใน

        พรึ่บ!

    แผ่นกระดาษใบหนึ่งร่วงลงบนตักนางทาสสาว เดือนหยิบออกมาเปิดออกดูก็ได้แต่ขมวดคิ้วเป็นปมด้วยไม่รู้หนังสือ เพราะด้านในนั้นเป็นข้อความยาวเต็มกระดาษน่าปวดหัว

     ก๊อกๆ

    เดือนรีบซุกกระดาษใบเล็กใส่หนังสือแล้วเก็บในกล่องไว้เช่นเดิม ก่อนจะลุกไปเปิดบานประตูไม้ นางทาสสาวค่อยโล่งใจไปบ้างเมื่อเห็นว่าผู้มาเคาะเรียกเป็นผู้ใด

     “โธ่ พวกเอ็งเองรึ?ไอ้เพลิงไอ้มั่น”

     “อีเดือน” เพลิงรีบพรวดพราดเข้ามาถามนางทาสสาวด้วยสีหน้ากังวล “ตอนข้ากลับมาจากวัดข้าได้ยินพวกทาสคนอื่นคุยกัน ว่าคุณเขลางค์เอาเสื้อผ้าข้าวของๆไอ้ยมไปเผาเสียสิ้นเลยเจียวรึ?”

     “เอ่อ...” เดือนอึกอัก ด้วยรู้สึกผิดที่ไม่อาจห้ามปรามกระกระทำของผู้เป็นนายหญิงได้เลย ยิ่งเห็นสีหน้าของเพลิงที่ดูจะโกรธจัดแล้ว ความรู้สึกผิดก็ยิ่งถาโถม จนมั่นต้องถามซ้ำด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลกว่า

    “เอ็งพูดมาเถอะเดือน ไม่ใช่ความผิดของเอ็ง แต่มันเป็นความผิดของผู้หญิงคนนั้นต่างหาก”

    “ใช่...” ในที่สุดหญิงสาวก็จำต้องกล่าวออกมา “ข้าเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง แต่ก็ไม่อาจห้ามได้ ข้าเป็นเพียงบ่าว จะไปสู้ก็ไม่วายโดนเฆี่ยน แต่...”

    “แต่อะไรวะอีเดือน?”

    “หนังสือของยมที่ซ่อนในกล่องยังไม่ถูกเผา ข้าห้ามไว้ทัน”

    ร่างบางหันไปหยิบหนังสือกล่องใบเล็กส่งให้เพลิง ทาสหนุ่มเปิดมันออกก็เบิกตากว้าง ถ้าจำไม่ผิดเขาเคยเห็นคุณเขมให้ยมอ่านหนังสือเล่มนี้ให้ฟัง

     หนังสือแบบเรียนเก่าที่ถูกตีพิมพ์แรกๆจนมุมปกเยินเล็กน้อย วรรณคดีเรื่องเงาะป่า

    “ข้าจำได้...คุณเขมเธอให้หนังสือเล่มนี้กับยมไว้ตั้งแต่สามปีที่แล้ว” มั่นกล่าวขึ้น ทาสหนุ่มจำหนังสือในมือของเพลิงได้ เพราะตอนที่คุณเขมมอบให้ยมสภาพก็ค่อนข้างยับเยินเช่นนั้นอยู่แล้ว พอเด็กหนุ่มนำมาเก็บรักษาจึงทำให้สภาพไม่ต่างไปจากเมื่อสามปีก่อนนัก

    “จริงสิ ตอนข้าเอาหนังสือออกมา มีกระดาษใบหนึ่งร่วงมาด้วย แต่ข้าอ่านไม่ออกหรอกนะ”

    “กระดาษรึ?” เพลิงทวน ก่อนจะคลี่หนังสือเรื่องเงาะป่าออกช้าๆ ก็พบว่าด้านในมีกระดาษซ่อนอยู่จริง มือใหญ่ส่งหนังสือให้มั่นถือเพื่ออ่านใจความ โชคดีที่เขาพอรู้หนังสือจากการเป็นคนสนิทของคุณเขมมาบ้างจึงพอจับความออก

ถึง ยม

พี่อยากจะให้จดหมายความในแก่เจ้ามานานแล้ว ตลอดสามปีที่ผ่านมา...พี่ไม่เคยคิดมองเจ้าเป็นทาสเป็นบ่าวอย่างที่ผู้อื่นมอง แรกพบที่พี่เห็น พี่ก็เอ็นดูเจ้าเหลือเกิน จนเกิดเป็นความรักตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้

แต่ยามที่พี่ให้แหวนเจ้าครานั้น พี่ก็รู้ตัวแล้วว่ามิใช่รางวัลที่เจ้าเพียงทำข้าวหุงถูกปาก

หากเป็นแหวน...ที่พี่อยากมอบให้เจ้าด้วยหัวใจ

พี่ดีใจเหลือเกินที่หัวใจของเจ้าคิดตรงกับพี่

เดือนหน้าพี่จะกลับมาหาเจ้าทันทีที่พี่สอบไล่เสร็จ รอพี่หน่อยนะ...พี่จะกอดเจ้าให้หายคิดถึง  และจะกลับมาฟังเจ้าอ่านเงาะป่าให้ฟังอีกครั้ง

พี่รักเจ้าเสมอ

เขม

    “อีเดือน!” เพลิงเงยหน้าขึ้นมาจากกระดาษใบเล็ก ถามเดือนเสียงเข้มอย่างหวาดวิตก “คุณเขลางค์เห็นจดหมายฉบับนี้หรือไม่”

    “เธอยังไม่ทันเปิดกล่อง ข้าก็แย่งเอามาเสียก่อนที่คุณเขลางค์เธอจะเผาอีกชิ้น” นางทาสสาวตอบ “ข้อความในกระดาษนั้นมีกระไรร้ายแรงรึไอ้เพลิง?”

    “ไอ้มั่น...” เพลิงหันไปกำชับกับคู่หู “เอ็งออกไปดูลาดเลาแถวนี้ ข้าไม่อยากให้ผู้ใดผ่านมาได้ยิน”

     “ได้ๆ”

    เมื่อมั่นเดินจ้ำออกไปสำรวจรอบเรือนทาสแล้ว เพลิงก็อ่านใจความให้เดือนฟัง นางทาสสาวเบิกตาด้วยความตกใจ มือเรียวทาบอกด้วยความโล่ง

     “คุณพระคุณเจ้า! เกือบไปแล้วไหมเล่าที่คุณเขลางค์ไม่พบ เอ็งเอาหนังสือเก็บไว้มิดชิดเลยนะไอ้เพลิง”

   “แน่ล่ะ...หากกระดาษนี้ถึงมือคุณเขลางค์หรือคุณพระ คนที่เสียหายมากที่สุดคือคุณเขมที่กำลังจะกลับมาปีหน้า” เพลิงคว้ากล่องสีดำมะเมื่อมใบเล็กมาเก็บหนังสือเข้าที่ “ขอบใจเอ็งว่ะอีเดือนที่ไปพบเข้าก่อน ข้าจะเก็บรักษามันไว้เอง”

     ให้ความลับในหนังสือเรื่องเงาะป่า...ปิดเงียบเช่นนี้ไปตลอดจนกว่าจะถึงเวลาที่คุณเขมจะเผชิญหน้าตามที่ให้สัญญากับยมเมื่อสามปีที่แล้ว

         “สี่ปีเมื่อฉันกลับจากอังกฤษ ฉันจะตั้งใจทำงานรับราชการจนมีความมั่นคง เมื่อนั้นฉันถึงจะบอกความจริงกับคุณพ่อเรื่องของฉันกับยม”

“แต่กาลข้างหน้า คุณเขมจะเป็นผู้มีหน้ามีตาในสังคม หากมีคนรักเป็นผู้ชายแล้ว...คุณเขมมิเกรงกลัวถูกครหาจากสังคมรอบด้านหรือขอรับ?”

“ฉันไม่กลัว ฉันคิดถึงอนาคตข้างหน้าไว้แล้ว”

“แม้กาลข้างหน้าอาจถูกกดดันหรือมีอุปสรรคเพียงใด ฉันกับยมจะฝ่ามันไปด้วยกันให้ได้ ยมเป็นคนรักของฉัน ฉันจะปกป้องเขาด้วยชีวิต”


ออฟไลน์ Pe_no

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 375
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่13--
«ตอบ #17 เมื่อ23-01-2018 16:37:32 »

น่าสงสาร  :mew2:

ออฟไลน์ Amazing princess

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่14--
«ตอบ #18 เมื่อ23-01-2018 20:22:10 »

เรือนร้าว14
ตอน บาปซ้ำ...กรรมซัด

    หลังจากยมอาบน้ำเสร็จก็กลับเข้ามายังเรือนหลังเล็ก ก็พบว่าร่างผอมของชายชรากำลังเคี้ยวหมากอย่างเอร็ดอร่อย บนตักมีเชี่ยนหมากวางไว้

   “อ้อ มาพอดีเลยยมเอ๊ย!” ลุงเบิ้มหันมาพูดกับเด็กหนุ่ม ในปากก็เคี้ยวหมากจนฟันแดงเถือกไปหมด มือเหี่ยวย่นส่งเชี่ยนหมากให้ยม  “เคี้ยวหมากไหม? อร่อยนะโว้ย”

   “ขอบใจจ้ะลุง แต่ยมไม่ชอบเคี้ยวหมากจ้ะ” ยมตอบยิ้มๆ เพราะเคยเห็นป้าฟักกินแล้วชอบบ่นโอดโอยปวดเหงือกเป็นประจำแต่ก็หาได้เข็ดหลาบไม่ แต่ที่สำคัญคุณเขมเคยบอกว่าหากไม่อยากมีคราบฟันที่ดำ....ห้ามเคี้ยวหมากเหมือนทาสคนอื่นเด็ดขาด

    “เอ็งนี่แปลกว่ะ...” ลุงเบิ้มบ้วนน้ำหมากใส่ขันใบเล็ก ก่อนจะใช้มือเหี่ยวเช็ดปากลวกๆ “เอ็งนี่ดูสำอางเหมือนผู้หญิงเลยนะไอ้ยม”

     “โธ่ลุง...”

    ยมบ่นอุบอิบ...นี่เขาถูกล้ออีกแล้วหรืออย่างไร?  ชายชราได้ยินก็หัวเราะเล็กน้อยพลางหยิบขันน้ำใกล้ๆมาบ้วนปากล้างคราบน้ำหมากในปาก

     “เออๆ ข้าหยอกเอ็งเล่นโว้ย เออนี่...เอ็งนอนก่อนได้เลยนะ วันนี้ข้าต้องไปทำพิธีที่ป่าช้า อาจจะกลับเกือบๆสางว่ะ”

    “จ้ะลุง” คนตัวเล็กพยักหน้ารับ ก่อนจะช่วยลุงเบิ้มจีบหมากพลูใส่ห่อใบตองเพื่อให้ชายชรากินระหว่างไปธุระที่ป่าช้า

    “เอ็งนี่จีบหมากสวยนะ เออ ขอบใจมาก ข้าไปล่ะ”

    ชายชรากระชับถุงย่ามแล้วเดินออกไปทันที ส่วนยมก็นำขันที่เต็มไปด้วยน้ำหมากที่ลุงเบิ้มบ้วนทิ้งไว้ไปล้างอย่างไม่รังเกียจ เด็กหนุ่มอาศัยอยู่กับลุงเบิ้มมาหลายวันแล้ว สัปเหร่อชราเอ็นดูยมเหมือนลูกหลานไม่ต่างจากเพลิงและมั่น ยมจึงอยู่ที่นี่ได้อย่างสบายใจที่ไม่ต้องมาคอยระแวง แม้ลุงเบิ้มจะกำชับไม่ให้ยมออกไปไหนเกินหน้าเรือน แต่เด็กหนุ่มก็ไม่ได้คิดเบื่ออะไร ด้วยคิดว่าตนรอดชีวิตมาได้ก็ดีเหลือเกินแล้ว

      ก็อย่างที่สัปเหร่อชราเคยบอกครั้งหนึ่ง...แม้จะเสียโฉมไปเกือบครึ่งหน้า แต่ก็ยังดีกว่าไร้วิญญาณ!

      ครั้นเมื่อยมดูแลบ้านช่องจนเรียบร้อยดีแล้ว ร่างเล็กก็กลับมานอนคดตัวบนเสื่อผืนยาว ยื่นแขนไปดับตะเกียงแสงไต้ให้มอดลง จะมีก็เพียงแสงดาวที่ส่องประกายระยับ แค่นั้นก็ทำให้หยาดน้ำตาหลั่งรินอาบแก้ม

      “ฮึก...ยมคิดถึงพี่เขม”

     พระจันทร์สาดส่องราวกับจะคอยปลอบใจเด็กน้อย ไม่มีครั้งใดเลยที่ยามคิดถึงคนที่อยู่แดนไกลแล้วจะไม่ร้องไห้ แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าอาจไม่มีโอกาสได้พบคนรักอีก แต่ในใจลึกๆ อยากจะฝากพระจันทร์ไปบอกคนทางนั้นเหลือเกิน

     พี่เขม...มารับยมที พายมหนีไปที

     หนีไปในที่ๆมีเพียงเรา...



  ช่วงนั้น ณ กรุงลอนดอนอยู่ในช่วงเหมันตฤดูพอดี ยิ่งไปกว่านั้น...ช่วงนี้เด็กๆต่างพากันคึกคักกันเป็นพิเศษ เพราะเพิ่งผ่านพ้นคริสมาสต์อีฟมาหมาดๆ ทุกบ้านล้วนมีการประดับตกแต่งต้นคริสมาสต์ประชันความสวยงามอลัง รับกับหิมะขาวที่ร่วงโปรยปรายด้านนอกของแต่ละบ้าน

     ก๊อกๆๆ

     “Hello! Mrs.Crew...” ชายหนุ่มถอดหมวกโค้งตัวสุภาพพร้อมยื่นกล่องของขวัญกล่องใหญ่ เมื่อมีสุภาพสตรีชาวเอเชียผู้เป็นเจ้าของบ้านเดินมาเปิดประตูให้ “Merry Chrismas! คุณอาอดัมไม่อยู่หรือครับ?”

     “ขอบใจจ้ะ...สุขสันต์วันคริสมาสต์เช่นเดียวกันนะจ๊ะจอห์น” สตรีผู้เป็นภรรยาของคุณอดัมกล่าวต้อนรับจอห์นเป็นภาษาอังกฤษชัดถ้อยชัดคำแล้วรับกล่องของขวัญมา  “คุณอดัมไปธุระจ้ะ มาพบคุณเขมใช่ไหม? เดี๋ยวน้าขึ้นไปตามให้”

     “ไม่เป็นไรครับ ผมขอขึ้นไปตามเองดีกว่า” ชายหนุ่มตาน้ำข้าวยกมุมปากท่าทีทะเล้นน้อยๆ“อย่างเขมจะทำอะไร? นอกจากปลูกต้นไม้ก็เอาแต่อ่านตำราบนห้อง จริงไหมครับน้าจูลี่”

      “นั่นสินะ” คุณน้ำใจ...หรือที่เพื่อนบ้านชาวอังกฤษคนอื่นนิยมเรียกว่าจูลี่หัวเราะคิกคัก “ถ้าอย่างนั้นตามสบายนะ น้าขอไปอบขนมในครัวก่อน”

       เมื่อหญิงวัยกลางคนเดินเข้าครัวไปแล้ว จอห์นก็วิ่งขึ้นบันไดไม้ขึ้นชั้นสองอย่างเคยชิน บ้านของสองสามีภรรยามีสองชั้นก็จริง หากแต่ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป เรียกว่ากะทัดรัดน่าอยู่เสียมากกว่า เพราะบ้านหลังนี้คอยรองรับนักเรียนทุนจากสยามที่มาเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยได้ครั้งละประมาณคนสองคน ภรรยาของมิสเตอร์ครูว์เป็นญาติใกล้ๆของผู้อำนวยการโรงเรียนที่คุณเขมศึกษา คุณเขมจึงได้มาพักที่นี่โดยมีมิสเตอร์ครูว์กับคุณน้ำใจคอยดูแล

      “เขม...เปิดประตูให้ไอหน่อย”

     หนุ่มน้อยตาน้ำข้าวเคาะประตูเรียกเจ้าของห้องเสียงดัง ไม่นานร่างสูงใหญ่เจ้าของห้องก็เดินมาเปิดประตูพลางยิ้มทักทายเพื่อนสนิท จอห์นจึงเดินเข้าไปสำรวจห้องก่อนจะนั่งบนเตียงนุ่มสบายใจเฉิบ

     “โธ่ยู...นี่คริสมาสต์แท้ๆ ยังจะอ่านหนังสืออีกหรือเขม?” จอห์นบ่นเมื่อเห็นว่าบนโต๊ะเขียนหนังสือเต็มไปด้วยตำราเล่มใหญ่พร้อมกับสมุดจดบันทึกที่เต็มไปด้วยสรุปน่าปวดหัว

     “ก็ต้องขยันสิจอห์น เหลืออีกไม่ถึงปีพวกเราก็จะจบกันแล้วนะ ไอล่ะคิดถึงบ้านเกิดที่สยามเต็มที” ร่างสูงตอบเป็นภาษาอังกฤษชัดคำพลางย่อตัวนั่งบนเก้าอี้ไม้ที่ติดกับโต๊ะหนังสือ คุณเขมกลั้วหัวเราะเมื่อเห็นเพื่อนชาวฝรั่งเบ้หน้า จอห์นเป็นเพื่อนสนิทที่มหาวิทยาลัย ออกจะนิสัยทะเล้นและขี้เกียจไปบ้าง แต่ก็เป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่งเช่นกัน

      “ยูคิดถึงบ้านที่สยาม...” ใบหน้าขาวแบบฝรั่งยิ้มทะเล้น “หรือคิดถึงใครที่สยามกันแน่?”

     เมื่อได้ฟังคุณเขมถึงกับไปต่อไม่ถูก ร่างสูงไม่ได้ตอบอะไรเพื่อนสนิทหากแต่หันไปจดสรุปอีกเล็กน้อยก่อนจะเก็บตำราเข้าที่

      “ไอหิวแล้ว...ไปข้างล่างกันเถอะ”

     “เดี๋ยวสิเขม ยูยังไม่ได้ตอบคำถามไอ!”

     จอห์นโวยวายเมื่อคนร่างสูงเดินหนีลงบันไดไปอย่างรวดเร็ว ริมฝีปากหยักศกยิ้มเล็กน้อยเมื่ออยู่ๆก็คิดถึงคนที่อยู่สยามขึ้นมาจริงๆ คราแรกจอห์นไม่ได้รับรู้เรื่องนี้ด้วย หากแต่นานวันเข้าถูกเซ้าซี้ทำให้คุณเขมเผลอพูดออกไป

     “I have my cute lover already.”

ฉันมีคนรักที่น่ารักอยู่แล้ว

      นับจากตอนนั้นคุณเขมก็ไม่ยอมบอกอะไรอีกแม้จะถูกหลอกถามครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เพียงแค่นั้นก็ทำให้บุตรชายของคุณพระวินิตราชศักดิ์ใจเต้นเสียทุกครา

      สามปีแล้ว...ที่ไม่ได้พบ

      คิดถึงเหลือเกิน...

     “ลงมาแล้วรึพ่อเขม น้ากำลังจะขึ้นไปตามพอดีเลยจ้ะ”

    คุณน้ำใจวางจานไก่งวงอบตัวอวบบนโต๊ะอาหารที่เรียงรายไปด้วยจานชาม และอาหารเย็นรสเลิศ นอกจากนี้มิสเตอร์ครูว์ยังให้ภรรยาเตรียมไวน์แดงเพื่อขอบคุณพระเยซูในค่ำคืนคริสมาสต์อีกด้วย

     แกร๊ก!

    “กลับมาแล้วจ้ะ” ร่างสูงใหญ่ของมิสเตอร์ครูว์ หรือ อดัม ครูว์...ถอดเสื้อโค้ทที่ประปรายไปด้วยหิมะแขวนไว้ใกล้ๆ ก่อนจะเข้าไปจุมพิตหน้าผากคุณน้ำใจเบาๆ

   “ยินดีต้อนรับกลับบ้านค่ะ” หญิงสาวปัดใบหน้าของสามีที่ยังมีเศษหิมะออกเบาๆ “ทานดินเนอร์กันเถอะนะคะ น่าเสียดายที่พ่อบูรพาไปทำกิจกรรมที่มหาวิทยาลัย ไม่อย่างนั้นคงได้อยู่รับประทานอาหารด้วยกันพร้อมหน้า”

      คุณน้ำใจกล่าวถึงคุณบูรพา...นักเรียนทุนชาวสยามอีกคนที่ตนกับสามีทำหน้าที่โฮสต์คอยดูแล แต่นานครั้งคุณบูรพาถึงจะกลับมาด้วยติดพันกิจกรรมพิเศษเป็นนักร้องประสานเสียงประจำมหาวิทยาลัย จนแทบจะมีมหาวิทยาลัยเป็นบ้านหลังที่สองเสียมากกว่าแล้วกระมัง

       ครั้นมื้อค่ำผ่านไป ตามบ้านต่างพากันร้องเพลงเฉลิมฉลองคริสมาสต์ เว้นเพียงแต่บ้านโฮสต์มิสเตอร์ครูว์ที่ภรรยาคนไทยไม่ค่อยชินกับวัฒนธรรมคริสมาสต์เสียเท่าใดจึงพากันแยกย้ายพักผ่อนตามประสา คุณเขมขึ้นห้องมาอ่านตำราหลังจากส่งเพื่อนสนิทเรียบร้อย ดวงตาคมคายสีนิลเข้มแบบชายไทยกวานอ่านตัวหนังสือภาษาอังกฤษก่อนจะจดสรุปตามที่เข้าใจ จนเวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจทราบ ร่างสูงรู้สึกได้ว่าหิมะที่นอกบานหน้าต่างกระจกเริ่มซาลง บนฟากฟ้าเริ่มมีดวงดาวสดใสระยับแม้จะไม่มาก แสงของพระจันทร์ของแดนยุโรปใยจะสุกสกาวเท่าพระจันทร์แดนสยาม

      มือใหญ่เอื้อมมือไปเปิดลิ้นชักใบเล็กแล้วหยิบถุงใบจิ๋วขึ้นมา ด้านในคือแหวน...มันอาจไม่ใช่แหวนเพชรราคาแพง หากแต่เป็นแหวนที่เขาตั้งใจเก็บออมจากค่าใช้จ่ายส่วนตัวมาสามปีกว่าจะซื้อได้ แหวนวงนี้จะมีวงเดียวในโลก เพราะคุณเขมสลักชื่อสำหรับคนพิเศษในหัวใจลงไปด้วย

       ‘YOM’

     หากให้อธิบาย...แหวนวงนี้ไม่ต่างจากแหวนขอแต่งงาน ยิ่งคุณเขมได้รับการศึกษาเช่นฝรั่งแล้ว ทำให้ชายหนุ่มยิ่งเปิดทัศนคติต่อความรักได้กว้างขึ้น

      ความรักที่แท้จริงทำให้เรามองข้ามหน้าตา อายุ หรือแม้กระทั่งเพศ

     ไม่ว่าจะเพศชายทั้งสองจะรักกัน...มันก็คือความรักที่ไม่ต่างจากชายหญิง

     แล้วทำไมคุณเขมจะแต่งงานกับยมไม่ได้เล่า?

      อีกปีเดียว...ที่พี่จะไม่จากไกลจากเจ้าอีก

      อีกปีเดียว...ที่พี่จะพิสูจน์ให้คุณพ่อคุณแม่เห็น ว่าพี่สามารถทำให้พวกท่านภูมิใจในหน้าที่การงานข้างหน้าได้

     เราต้องได้อยู่ด้วยกัน...ไม่จากกันอีก

     “พี่แทบจะรอมอบให้เจ้าไม่ไหวแล้วยมเอ๋ย”



      จักจั่นเรไรส่งเสียงเจื้อยแจ้วมากจากร่มไม้ใหญ่ สายลมโชยพัดกลิ่นมะลิกรุ่นทำให้ร่างน้อยหลับสบายลืมความทุกข์ได้ชั่วคราว ค่ำคืนนี้คล้ายจะสงบงันเหมือนเช่นที่ผ่านมา...

      “ไอ้งั่ง...เร็วๆสิวะ”

     ร่างของชายร่างยักษ์ทั้งสองคนหันมองลาดเลาซ้ายขวา พวกมันเดินย่องจนเริ่มเข้าใกล้เรือนหลังเล็กท้ายวัดของสัปเหร่อที่ปลูกอยู่เพียงหลังเดียว

     “เฮ้ยๆไอ้เต่า มึงแน่ใจเหรอว่าจะขโมยของเรือนหลังนี้ ทั้งเก่าทั้งโทรม จะมีของให้ขโมยเหรอวะ?” ไอ้งั่งสะกิดเพื่อน

    “เอาน่ะ...ทำไงได้วะ ตะกี้ไม่ถูกกัดจมเขี้ยวก็ดีตายห่า” ไอ้เต่าบ่นพลางย่อเข่าหอบเหนื่อย เพราะเมื่อครู่พวกมันสองคนพากันไปขโมยของที่เรือนใหญ่ของเศรษฐีผู้มั่งคั่ง แต่ยังไม่ทันจะไดลงมือก็ถูกสุนัขไทยหลังอานตัวใหญ่นับสิบชีวิตที่เลี้ยงไว้ตามไล่กัด ทำให้ต้องเผ่นหัวซุกหัวซุนจนมาถึงวัดเก่าแก่แห่งนี้

     “ไม่แน่นะโว้ยไอ้งั่ง...เรือนเล็กที่ติดกะวัดอาจมีพระเครื่องสะสมก็ได้ ถ้ามีคงขายได้หลายชั่งอยู่ได้หลายวัน ไปโว้ย!”

    เพราะเรือนของลุงเบิ้มมีขนาดเล็ก ไอ้เต่าจึงเดินขึ้นบันไดไม้เพื่อส่องบานหน้าต่างมองด้านในอย่างง่ายดาย ไอ้งั่งย่องมาชะแง้มองบ้างแล้วรีบสะกิดเพื่อน

      “ข้างในมีไอ้หน้าผีมันนอนอยู่ว่ะ กูว่าเปลี่ยนไปที่อื่นเหอะ”

     ขณะที่ไอ้เต่าเริ่มลังเลเล็กน้อยเพราะด้านในเรือนเล็กและคับแคบนัก อีกทั้งยังมีร่างของเด็กน้อยนอนเกาะกะอยู่อีกด้วย หากแต่เพราะความโลภบังตาสักพักมันก็ตัดสินใจตั้งท่าจะปีนเข้าไปจนได้

      “เฮ้ย! หยุดนะโว้ยไอ้หัวขโมย!”

     เสียงลุงเบิ้มทำให้ไอ้เต่าที่กำลังปีนเข้าด้านในหยุดชะงัก ชายชราลืมของทำพิธีจึงต้องแวบกลับมาเอา ไม่คิดเลยว่าอยู่ๆจะมีโจรที่ไหนมาขึ้นเรือนทั้งที่ตนก็แทบไม่มีทรัพย์สินอะไรมากมายนอกจากอัฐค่าจ้างที่ได้รับจากการทำงานในวัดเล็กน้อย

     “มาก็ดีแล้วไอ้แก่!” เมื่อเห็นว่าเจ้าของเรือนเป็นเพียงชายชราร่างเล็กก็ทำวางท่ากร่าง ไอ้งั่งควักมีดที่เหน็บไว้ที่ชายพกขึ้นมาขู่ “มีของมีค่าเท่าใดเอามาให้หมด ถ้ายังอยากแก่ตายอยู่!”

     “มึงพกมีดตั้งแต่แรกทำไมไม่ฟันหมาวะ!? มึงนี่มันงั่งสมชื่อจริงๆ!” ไอ้เต่าตบกะบาลเพื่อนไปหนึ่งทีเต็มแรง ก่อนจะแย่งมีดพกมาขู่สัปเหร่อชราบ้าง

     “ว่าไง!ถ้าไม่อยากตายส่งของมีค่ามา!!” มันพูดแล้วหันไปมองร่างน้อยที่หลับใหลไม่รู้เรื่องราวอยู่ด้านใน “หรือแกอยากให้ไอ้หน้าผีข้างในมันถูกแทง”

     “อย่าทำหลานข้านะโว้ย!  ตกลงๆ พวกเอ็งรอตรงนี้นะ ข้าจะไปเอาพระเครื่องมาให้” ลุงเบิ้มพยายามปรับน้ำเสียงอ่อนลง ลำพังตนเพียงคนเดียวก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ารักษาชีวิตของยมไว้ไม่ได้ ชายชราคงไม่มีหน้าไปพบกับมั่นเพลิงอีก

     ร่างผอมเกร็งของชายชราเดินเข้าไปในบ้าน ลุงเบิ้มถอยหายใจด้วยความโล่งใจที่เด็กหนุ่มยังคงหลับลึกไม่รู้เห็นกับเหตุการณ์เลวร้าย ก่อนจะตัดใจรวบรวมพระเครื่องและถุงอัฐเพียงน้อยนิดทั้งหมดที่มีกำไว้แล้วเดินออกไปนอกเรือนเบาๆ

    ‘ขอล่ะ...อย่าเพิ่งให้หลานข้าตื่นขึ้นมาเลย’

    “ทำไมมีแค่นี้วะไอ้แก่? กะอีแค่พระเครื่ององค์เล็กๆจะได้สักกี่ชั่งกันเชียว!?” ไอ้เต่าตะคอกเหิมเกริม

    “ข้าก็มีเท่านี้แหละ” ชายชรากล่าวไปตามสัตย์จริง  อย่างไรเสีย...ยอมเสียทรัพย์อย่างไรก็ดีกว่าเสียชีวิตแล้วกัน “เอาของไปแล้วไสหัวไปเลยนะ...ไม่อย่างนั้นข้าแจ้งทางการแน่!”     

 “หนอยไอ้แก่!!”     

เมื่อโจรใจบาปได้ยินว่าทางการก็เลือดขึ้นหน้า  ไอ้เต่าพุ่งตัวหมายจะกระหน่ำแทงลุงเบิ้ม แต่ชายชราเบี่ยงตัวหลบทัน หากถึงคราวเคราะห์เพราะไอ้งั่งอาศัยช่วงนั้นคว้ามัดฟืนขนาดพอดีมือที่กองแถวนั้นทุบศีรษะชายชราเข้าเต็มแรง     

   อั๊ก!!     

  ร่างของลุงเบิ้มล้มลงหมดสติทันที ไอ้เต่าฉวยโอกาสนั้นกระหน่ำแทงแผ่นหลังของชายชราไม่ยั้งด้วยเกรงว่าหากปล่อยไป มันทั้งสองอาจถูกตามจับและต้องโทษอาญาแผ่นดิน

    “ไอ้แก่มันตายแล้วไอ้เต่า” ไอ้งั่งยื่นมืออังจมูกชายชรา ก็พบว่าตอนนี้ลุงเบิ้มไม่หายใจอีกต่อไปแล้ว “เอาไงต่อวะ?”                     

   “ตายซะได้ก็ดี...” ใบหน้าเหี้ยม​โหดของไอ้เต่ากระตุกยิ้มชั่ว “ข้าว่าด้านในไอ้แก่ต้องซ่อนของมีค่าไว้อีกแน่ๆ ตามมา!!”

     ไอ้เต่าเดินนำเพื่อนสนิทเข้าไปด้านใน ก่อนจะแยกกันรื้อค้นของมีค่าจนข้าวของกระจัดกระจาย ก็ไม่พบของมีค่าใดซุกซ่อนไว้เลย

     “โธ่เว้ย!! ไม่มีแล้วจริงๆด้วยว่ะไอ้งั่ง!” ไอ้เต่าสบถด้วยความหงุดหงิด  เมื่อพบว่าทั้งเรือนไม่มีของมีค่าเลยนอกจากพระเครื่องกับถุงอัฐในมือ “ไปเถอะโว้ย ได้แค่พระเครื่องไปขายก็ยังดี”

     “เดี๋ยวๆ” ไอ้งั่งสะกิดเพื่อน มองร่างของเด็กน้อยที่ยังหลับสนิทไม่รู้เรื่องราวที่กำลังเกิดขึ้นด้วยสายตาโลมเลีย  “มึงว่าไอ้เด็กนี่รูปร่างมันดีไหมวะ?”

       “มึงอย่าบอกนะ...ว่าหน้าผีขนาดนี้มึงยังจะ โอ๊ย!!” โจรใจทรามกุมขมับกับความคิดวิปริตของเพื่อน ความหื่นกามไม่ใครเข้าออกใครแท้ๆ หน้าตาเละเทะไม่สนขอให้ได้เอาก็เป็นพอ

    “เออน่า เดี๋ยวกูทำคนเดียว มึงออกไปดูต้นทางไป!” ไอ้งั่งไล่เพื่อน ไอ้เต่าส่ายหน้าระอาแต่ก็ยอมออกไปดูต้นทางแต่โดยดี สบโอกาสให้ใบหน้าน่าเกลียดน่ากลัวขยับเข้าไปใกล้ซอกคอขาวผ่องที่ปราศจากบาดแผลเหมือนใบหน้า

      หน้าเหมือนผี...แต่ส่วนอื่นสวยเหมือนกันนี่หว่า

     “อื้อ!!” ยมครางเมื่อถูกรบกวนบริเวณต้นคอ ดวงตาน้อยปรือตาขึ้น แต่แล้วก็ต้องเบิกโพลงอย่างตื่นกลัวเมื่อพบว่าใครก็ไม่รู้ขยับใบหน้าเข้ามาใกล้

      “แก...แกเป็นใคร...!? ลุงเบิ้ม ลุงเบิ้มช่วยยมด้วย!!”

     “ไม่มีใครช่วยมึงได้หรอก มาเป็นเมียกูซะดีๆ”

     ไอ้งั่งแสยะยิ้มชวนสยอง ร่างของยมถูกมันคร่อมไว้จนแทบมิดจนหาทางรอดได้ยากยิ่งนัก สัมผัสน่าขยะแขยงทำให้ยมอยากจะร้องไห้ออกมาเป็นสายเลือด ในขณะที่เด็กหนุ่มเกือบจะเสียท่าเต็มที ก็พลันนึกมาได้ว่าลุงเบิ้มกำชับให้ตนซ่อนมีดไว้ใต้หมอนตามเกิดเหตุสุดวิสัย  มือเล็กที่ไม่ถูกตรึงรีบคว้ามีดทำครัวใต้หมอนมากระหน่ำแทงแผ่นหลังไอ้โจรหื่นกามไม่ยั้ง

      “อ๊ากกก!!!”

     เมื่อเห็นว่าโจรแน่นิ่งไปแล้ว ยมก็ผลักร่างของมันออกด้วยความขยะแขยง เด็กหนุ่มเก็บโยนมีดใกล้ๆร่างที่อาบเลือดของโจรชั่วอย่างหวาดกลัว ยมพยายามรวบรวมสติแล้วหยิบผ้ามาห่อมีดเหน็บชายพกไว้ ทุกอย่างล้วนไม่น่าไว้ใจทั้งนั้น ด้านนอกอาจจะมีคนที่จ้องจะทำร้ายยมอีกก็ได้

    เพราะขนาดมีใบหน้าอัปลักษณ์ยังถูกจ้องทำร้ายในเชิงนี้ได้ หากลุงเบิ้มไม่กำชับตนให้ซ่อนมีดใต้หมอนไว้ป้องกันตัวจะเป็นอย่างไร

      “ลุงเบิ้ม!”

     เด็กน้อยรีบลุกขึ้นผลักประตูออกไป ก็พบว่าร่างของชายชราที่ตนเคารพคนหนึ่งนอนอาบเลือดแน่นิ่ง ยมรีบเข้าไปประคองลุงเบิ้มที่ตอนนี้กลายเป็นเพียงร่างไร้วิญญาณเสียแล้ว

     “ลุง...ลุงเบิ้ม!! ลุงตื่นขึ้นมาสิ ตื่นขึ้นมา”

     ไม่ว่ายมจะเรียกเท่าไหร่ ก็ไม่มีเสียงของชายชราที่เป็นเหมือนที่พึ่งยามยากตอบกลับมา แสดงว่าโจรที่เข้าไปทำร้ายตนด้านใน คือคนที่ฆ่าลุงเบิ้มอย่างนั้นหรือ?

      “เฮ้ย! ไอ้หน้าผีมันออกมาได้ยังไงวะ!? มึงทำอะไรเพื่อนกู!”

      ไอ้เต่าที่ออกไปดูต้นทางรอบเรือนหลังเล็กได้ยินเสียงของเพื่อนจึงรีบวกกลับมา มันยกมีดขึ้นชี้ขู่อาฆาตหน้าเด็กหนุ่ม ยมตัดสินใจวางร่างของชายชราก่อนจะรีบวิ่งหนีด้วยรู้สึกได้ถึงลางร้าย

     “ช่วยด้วย!” ยมวิ่งลงจากเรือนอย่างรวดเร็วพลางตะโกนขอความช่วยเหลือ แต่ก็ถูกไอ้เต่าจับตัวไว้ทันและลงมือบีบคอระหงอย่างแรง

     “อั๊ก!!!”

      “หึ! มึงรอดจากไอ้งั่งมาได้ แต่กูไม่ปล่อยให้มึงรอดแน่”

      มือใหญ่บีบลำคอยมเต็มแรง ร่างน้อยดิ้นทุรนทุรายด้วยหายใจไม่ออกเต็มที แต่ยมก็ยังมีสติพอที่จะหยิบมีดที่พกมาด้วยอ้อมไปด้านแผ่นหลังใหญ่ ก่อนที่จะ...

      “อ๊ากกกกกก!!!”

      ไอ้เต่าร้องลั่นเมื่อท้ายทอยด้านหลังถูกกระหน่ำแทงไม่ยั้ง น้ำตาไหลอาบแก้มด้วยความกลัว มือของมันปล่อยลำคอของยมเป็นอิสระก่อนจะล้มแน่นิ่งไป เด็กหนุ่มมองมีดในมือก่อนที่จะโยนมันทิ้งไปข้างๆร่างของโจรชั่วที่พยายามจะฆ่าตนเมื่อสักครู่ ดวงตาหวานสั่นระริกนองไปด้วยน้ำตา ใบหน้าของยมส่ายรุนแรงหวังเพียงให้ฝันไปเท่านั้น

     ไม่ได้ฝัน...

       เด็กหนุ่มฆ่าคนตายถึงสองคน...เพียงเพื่อปกป้องตัวเองเท่านั้น!!

      “ไม่...ยม ยมไม่ได้ตั้งใจ ยมป้องกันตัว”

      ร่างเล็กออกวิ่งไปไกลอย่างไร้จุดหมาย ในใจหวาดกลัวว่าหากตนไม่หนี อาจถูกทางการจับข้อหาฆ่าคนตาย แม้ว่ายมจะไม่ได้มีเจตนาก็ตาม แต่เพราะกลัว...

      กลัวจะถูกข้อหากระทำเกินเหตุ

      กลัวจะถูกส่งตัวให้ทางการ

      กลัวทุกอย่าง...กลัวไปหมด...

      ต้องหนี...หนีไปให้ไกล

      แล้วจะไปไหน!? หนีไปไหนดี!!

       ร่างเล็กล้มลงอย่างอ่อนล้าเพราะวิ่งหนีจากจุดเกิดเหตุมาไกลเหลือเกิน ดวงตากลอกดูรอบด้านก็พบว่าหนีมาถึงดงป่าร้างห่างไกลจากวัดพอสมควร กระทั่งหญิงวัยกลางคนท่าทางใจดีคนหนึ่งซึ่งกำลังนั่งชมจันทร์อยู่บนหลังเกวียนเหลือบมาเห็นเด็กหนุ่มที่นอนอยู่กลางทรายอย่างไร้เรี่ยวแรง

      “ไอ้หนู...เป็นอย่างไรบ้าง?” นางลุกจากเกวียนเล่มเก่าเดินเข้ามาหายม ก่อนจะช่วยประคองร่างเล็กขึ้นมาช้าๆ “น้าช่วยนะลูก มานั่งพักบนเกวียนของน้ามา”

      เด็กน้อยมองตาปรืออย่างเมื่อยล้า ยอมให้หญิงผู้ใจดีตรงหน้าประคองตนเดินไปนั่งบนเกวียน นางส่งกระบอกไม้ไผ่ที่เต็มไปด้วยน้ำให้ยม ใบหน้าของหญิงตรงหน้าดูไม่หวาดกลัวรอยแผลของยมแม้แต่น้อย

      “ดื่มน้ำก่อน ไม่ต้องกลัวน้านะ น้าไม่ทำร้ายเอ็งหรอก”

       นางยิ้มอ่อนโยน จนยมต้องรับน้ำมาดื่มอย่างเสียไม่ได้ หากแต่ท่าทียังคงระแวงหญิงตรงหน้าอยู่ เวลานี้เป็นไปได้เด็กหนุ่มไม่อยากไว้ใจผู้ใดเลย

      “น้าชื่อพะยอม..” หญิงแปลกหน้าแนะนำตัวขึ้น “น้ากับผัวน้ามีอาชีพเร่ร่อนขายของ พอดีผัวน้าไปส่งสินค้าประเดี๋ยวก็มา แล้วเอ็งเล่า...เป็นใครกันรึ?”

      “คือ...”ยมยื่นกระบอกน้ำคืนให้หญิงสาว “ฉันชื่อยม อาศัยอยู่กับลุงท้ายวัดห่างไกลจากที่นี่ แต่เมื่อครู่มีโจรบุกขึ้นเรือน ลุงของฉันถูกฆ่า แต่ฉันหนีมาได้ ยังไม่รู้จะไปไหนเลยจ้ะ”

       เด็กหนุ่มบอกความจริงเพียงความส่วนกับหญิงแปลกหน้า ไม่กล้าบอกว่าตนกำลังจะถูกไอ้โจรชั่วขืนใจแล้วแทงพวกมันเพื่อป้องกันตัว แต่เกรงพูดไปอาจไม่มีใครเชื่อ

      ในเมื่อยมเป็นชาย...อีกทั้งมีใบหน้าอัปลักษณ์เสียด้วย

      “คุณพระคุณเจ้า...ฟาดเคราะห์ไปนะลูกนะ” น้าพะยอมลูบต้นแขนปลอบโยนเด็กหนุ่ม “ถ้าคืนนี้เอ็งไม่มีที่ไป นอนพักบนหลังเกวียนของน้าเอาแรงก่อนก็ได้”

     “แต่ว่า...”

    “ไม่ต้องห่วงน้าหรอก เดี๋ยวน้าต้องรอผัวน้ากลับมาอยู่แล้ว วันพรุ่งค่อยว่ากันก็ได้ลูก”

    หญิงแปลกหน้าร่างอวบลุกให้เด็กหนุ่มล้มตัวนอน ยมเองแม้อยากจะปฏิเสธ แต่ตอนนี้ร่างกายมันสั่งให้ดวงตาที่อ่อนล้าปิดลง จนเด็กหนุ่มหลับสนิทไปในที่สุด ทำให้ยมไม่ได้สังเกตใบหน้าที่ใจดีของน้าพะยอมแปรเปลี่ยนเป็นแสยะยิ้ม!

      หนีโจรมาเจอโจรโดยไม่รู้ตัวแล้ว...ไอ้เด็กโง่!

พาคุณเขมมาทักทายแล้วน้าคุณผู้โช้มมมมม เห็นมั้ยว่าคุณเขมเค้ารักน้องขนาดจะขอแต่งงาน ดูวววววว




​**คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจนะคะ หน้าตาไม่สนขอเพียงได้ทำ สมัยนี้มันก็ยังมีจริงๆ

กำลังจะถึงจุดพลิกผันที่แท้ทรูของเรื่องแล้วเด้อออออออ

​**สปอยยย ใครทีมคุณโดม ตอนหน้าเตรียมป้ายไฟมาเลยนะค้าา55555

ออฟไลน์ คุณซี

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 205
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่12--
«ตอบ #19 เมื่อ23-01-2018 21:39:31 »

ฮอลลลลลล คุณพี่จะล่อลวงน้องไปตั้งแต่สิบสองไม่ได๊ กลับมาช่วยน้องเร๊ววว ไม่งั้นจะยกน้องให้คุณโดมแล้วนะ!

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่12--
« ตอบ #19 เมื่อ: 23-01-2018 21:39:31 »





ออฟไลน์ Amazing princess

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่15--
«ตอบ #20 เมื่อ24-01-2018 14:26:29 »

 เรือนร้าว15
ตอน ชายคนนั้น
ร่างสูงโปร่งในเครื่องแบบกรมตำรวจก้าวลงมาจากรถยนต์สีดำมะเมื่อมคันงาม ในมือถือดอกไลเซนทัสสีขาวหนึ่งดอกติดมาด้วย ส่วนอีกมือถือห่อผลไม้เมืองเหนือพะรุงพะรัง คุณโดมมองเรือนของคุณพระวินิตราชศักดิ์ที่ไม่ต่างจากเมื่อสามปีก่อนเท่าใดนัก หากแต่เดี๋ยวนี้บ่าวไพร่ในเรือนบางตาลงไปมาก คงเป็นเพราะคุณพระเมตตาให้หลายชีวิตในเรือนได้ออกไปตั้งต้นชีวิตใหม่

      สามปีแล้วที่ไม่ได้มา...

      ป่านนี้...เด็กน้อยคงเติบใหญ่ขึ้นแล้วสินะ

     “คุณอาวินิตอยู่ไหม?” ร้อยโทหนุ่มถามทาสที่เดินผ่านมาหน้าเรือน

     “คุณพระอยู่บนเรือนกับคุณหญิงขอรับ” ทาสชายคนนั้นตอบ ก่อนทำท่าจะเข้ามาช่วยถือห่อผมไม้ห่อใหญ่“ให้บ่าวช่วยถือนะขอรับ”

    “ไม่เป็นไรหรอก เจ้าขึ้นไปเรียนคุณอาบนเรือนก็พอว่าบุตรของพระยามนตรีมาขอพบ”

  เมื่อทาสคนนั้นเดินขึ้นเรือนไปล่วงหน้า ชายหนุ่มร่างสง่าก็มองหาคนที่อยากจะพบ คุณโดมมั่นใจว่าหากได้พบอีกครั้งจะต้องจำได้แน่นอน

     เด็กน้อยที่มีดวงตาหวานแต่เศร้าสร้อย ขณะเดียวกันก็แฝงด้วยการรอคอยใครสักคนอย่างมีความสุข

     ยม...

     “ว่าอย่างไรพ่อโดม? จากบ้านจากเรือนไปทำงานเชียงใหม่เสียนาน ถูกคุณพ่อบ่นคิดถึงบ้างหรือไม่เล่า?” คุณพระวินิตราชศักดิ์ทักร้อยตรีหนุ่มอย่างอัธยาศัย โดยมีคุณเขลางค์นั่งบีบนวดผู้เป็นสามีให้คลายเมื่อยอยู่ข้างๆ

     “ก็มีบ้างขอรับคุณอา ที่เชียงใหม่ชอบมีคนร้ายชุกชุมให้ปราบไม่เว้นแต่ละวัน บางทีกว่าจะตามจับได้คนหนึ่งก็ต้องใช้เวลาเกือบปี”

        “แล้วนี่นึกอย่างไรถึงลงมายังพระนครเล่า?” คุณพระถามต่อ

       “หลานเพิ่งได้เลื่อนยศเป็นร้อยตำรวจโทขอรับ นี่ก็เพิ่งมารับตำแหน่งไปเมื่อวานนี้เอง”

      “ฮ่าๆ พระยามนตรีคงภูมิใจน่าดูทีเดียว”

      คุณพระเจรจาพาทีกับแขกผู้มาเยือนอยู่เสียนาน จึงทำให้ทราบว่าตลอดเวลาที่ปฏิบัติปราบโจรที่เชียงใหม่นั้นหาใช่เรื่องง่าย บางรายนั้นต้องตามล่าอยู่เป็นปีกว่าจะนำกำลังจับกุมได้ ไม่น่าแปลกใจเลยว่าเหตุใดบุตรชายพระยามนตรีผู้นี้จึงได้เลื่อนขั้นตั้งแต่อายุยังน้อยนัก อีกไม่นานอาจได้เป็นถึงพันตรีเลยกระมัง

      “อาเห็นพ่อโดมคล้ายมองหาอะไร? มีอะไรหรือเปล่า?”

      ประมุขแห่งเรือนสังเกตว่าสายตาของแขกผู้มาเยือนคล้ายจะมองหาอะไรบางอย่าง...แต่เหมือนจะไม่พบเสียที

      “พอดีหลานมีของมาฝากยมด้วยขอรับ...” ร้อยโทหนุ่มมองดอกไลเซนทัสในมือ “คุณอาพอจะทราบ...”

     “ไอ้ยมมันหนีจากเรือนไปแล้ว” คุณหญิงวินิตราชศักดิ์ที่เงียบอยู่นานเอ่ยขัดขึ้น จนคุณพระต้องหันมามองปราม

      “ไม่เอาน่าแม่เขลางค์...”

     “ขออภัยเจ้าค่ะ น้องเพียงไม่ใคร่อยากได้ยินชื่อนี้นัก” คุณเขลางค์แสร้งทำเสียงเศร้าสำนึก

      หากแต่เธออยากจะพูดด้วยซ้ำว่าคนที่ชื่อยม...มันได้ตายไปจากโลกนี้แล้วต่างหาก!

      “คืออย่างนี้พ่อโดม...” คุณพระถอนใจเฮือกยาว ก่อนจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นบนเรือนให้ฟัง “แม่เขลางค์เขาจับได้ว่าไอ้ยมกับไอ้เข้มมันขึ้นไปขโมยของบนเรือนพ่อเขม มันสองคนจึงหลบหนีความผิดน่ะ ทุกวันนี้อาเองก็ยังแคลงใจ เพราะนิสัยอย่างไอ้เข้มยังพอว่า แต่ไอ้ยมนี่สิ มันดูซื่อๆมาตั้งแต่เด็ก จนไม่อาจจะเชื่อได้เลยจริงๆ”

    “ขึ้นชื่อว่าเป็นบ่าวเป็นไพร่ อย่างไรก็ไว้ใจไม่ได้หรอกเจ้าค่ะคุณพี่” คุณเขลางค์พูดขึ้นด้วยอารมณ์หงุดหงิด

    “ฉันว่ายามที่ฉันพูดถึงยมทีไร...ดูแม่เขลางค์จะไม่ค่อยพอใจเท่าใดนะ”

    “คุณพี่!! คุณพี่คิดว่าน้องกล่าวเท็จรึเจ้าคะ!?”

     คุณเขลางค์แสร้งตัดพ้อน้อยอกน้อยใจ ก่อนจะก้าวเดินลงจากเรือนฉับไวโดยมีอีเฟื้องตามลงไปด้วย ทางด้านคุณพระเองก็ได้แต่ส่ายศีรษะไปมาเมื่อเจอกับอารมณ์ประเดี๋ยวดีประเดี๋ยวร้ายของเอกภริยา

     “พ่อโดม อาต้องขอโทษแทนคุณหญิงด้วยนะ”

     “ไม่เป็นกระไรขอรับ” ร้อยโทหนุ่มตอบรับคุณพระ “นี่ก็ใกล้เวลาโพล้เพล้เข้าเต็มที หลานว่าจะลากลับเชียงใหม่เสียเลย”

       คุณพระเดินมาส่งแขกหน้าเรือนจนกระทั่งร้อยโทดนัยก้าวขึ้นรถยนต์คันเก่ง ร่างสูงวางดอกไลเซนทัสไว้ข้างเบาะคนขับ คุณโดมกราบลาคุณพระวินิตราชศักดิ์เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะออกรถเพื่อกลับเชียงใหม่ ดวงตาสีนิลตามแบบฝรั่งมองดอกไลเซนทัสที่เป็นหม้าย พลางครุ่นคิดว่า...

       ยมจะขโมยของๆคนรักไปทำไมกัน?

      ขณะที่มือใหญ่บังคับพวงมาลัยไปด้านหน้า ทางนี้เป็นทางที่ไม่ค่อยมีบ้านเรือนปลูก ผู้คนก็ไม่ค่อยสัญจรกันไปมาอาจเป็นเพราะยามนี้โพล้เพล้แล้วก็เป็นได้ หากแต่อยู่ๆก็มีชาวบ้านประมาณสองสามคนมาโบกรถ สีหน้าของพวกเขาคล้ายมาขอความช่วยเหลือ คุณโดมจึงลดกระจกลงเพื่อพูดคุยด้วยหากมีเหตุร้ายแรงจะได้ช่วยเหลือได้ทัน

      “พ่อหนุ่มๆ พ่อหนุ่มช่วยที”

     “มีอะไรเกิดขึ้นหรือครับป้า?” ร้อยโทหนุ่มถามเมื่อเห็นว่าหญิงชาวบ้านวัยทองมีสีหน้าร้อนรนนัก

     “ที่ท้ายตลาดนู่น...” ชาวบ้านอีกคนชี้นิ้วบอกกลายๆบอกทางข้างหน้า “ลุงเห็นเด็กหน้าตามีแผลเหวอะคนหนึ่งถูกจับมัดนอนไว้เหมือนทาส พอดีลุงเห็นว่าพ่อหนุ่มเป็นตำรวจ ช่วยเด็กคนนั้นทีเถอะ ลุงสงสารมัน”



        ยมค่อยๆปรือตาขึ้นมาก็พบว่าตนยังนอนอยู่บนเกวียนเล่มเก่าที่อาศัยเป็นที่หลับนอนเมื่อคืน หากแต่เมื่อกลอกตามองรอบด้าน ตรงนี้ไม่มีใครผ่านมา หากแต่มีเสียงโหวกเหวกโวยวายพูดเจรจาซื้อขาย ไหนจะมีผู้คนที่เดินกันดูวุ่นวายมาแต่ไกล

       แต่ช่างน่าเสียดายที่ไม่มีใครเดินผ่านมาตรงนี้สักคน

      เด็กน้อยยันกายลุกขึ้นนั่งด้วยสับสนไปหมด หากแต่เมื่อยามที่ขยับก็จะล้มทุกครา...ทำให้ยมรู้ทันทีว่าถูกมัดมือมัดเท้าไว้!!

      เท่าที่จำความได้ เมื่อคืนตนมาพบกับหญิงสาวท่าทางใจดีคนหนึ่งในดงป่าร้าง นางเอาน้ำให้ตนดื่มแล้วให้หลับบนหลังเกวียน

         แล้วมาที่นี่ได้อย่างไร?

       “ตื่นแล้วเหรอ?”

       ยมหันไปตามเสียงเรียก ก็พบว่าน้าพะยอม...คนที่ช่วยตนไว้เมื่อคืนเดินเข้ามาหาตนช้าๆ ใบหน้าที่อ่อนโยนเมื่อคืนแปรเปลี่ยนเป็นแสยะยิ้ม นางเข้ามาจิกเส้นผมอย่างแรงจนร่างเล็กต้องขยับขึ้นนั่ง ใบหน้าเด็กหนุ่มแหงนมองฟ้า

       “เสียดาย...หน้าผีๆอย่างเอ็งคงขายเป็นได้แค่ทาส หึๆ” หญิงสาวกลั้วหัวเราะ

      “น้าพะยอม...ทำไม...” แววตาเด็กหนุ่มสั่นระริก สับสนไปเสียทุกอย่าง เหตุใดท่าทีของหญิงใจดีถึงเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้

       เพี๊ยะ!!

      ร่างของยมล้มลงบนเกวียนตามแรงตบ แม้จะแสบหน้าเพียงใดก็ร้องไม่ออก ทำได้เพียงอ้าปากค้างเมื่อเห็นอากัปกิริยาของหญิงใจดีคนนั้นเปลี่ยนไปราวกับคนละคน

     “เงียบปากไป ข้าไม่อยากทำสินค้าแรงนัก”

      สินค้า...อย่างนั้นรึ!?

      “อีพะยอม...ข้าซื้อแตงกวามาให้แล้ว” ชายร่างใหญ่แปลกหน้ายื่นกระบุงแตงกวาใบเล็กวางไว้ท้ายเกวียน “อีกสักพักคนของเศรษฐีกล่ำจะมารับตัวไอ้เด็กนี่ไปนะ”

      “เศรษฐีกล่ำรึพี่เพ้ง...” พะยอมถามสามี “ที่เขาร่ำลือว่าชอบทรมานทาสถึงตายน่ะนะ?”

     “เออ...ข้ารับอัฐมาแล้ว นี่ไง”

         พะยอมรับถุงอัฐมาเปิดดู แววตาละโมบประกายเมื่อเห็นว่าข้างในคงมีอัฐไม่ต่ำกว่าสิบช่างแน่กระมัง

    “ไอ้เศรษฐีกล่ำนี่มันใจป้ำแท้ ขนาดพี่บอกว่ามันหน้าผีก็ยังเอา”

    “ก็เดี๋ยวนี้มันไม่ค่อยมีใครขายตัวเป็นทาสแล้วนี่โว้ย เอ็งดูมันให้ดีแล้วกัน อย่าให้ไอ้เด็กนี่มันหนีไปก่อนล่ะ”

      “แล้วพี่จะไปไหน?”

     “พอดีข้าเห็นเด็กที่ไหนไม่รู้ น่าจะหลงกับแม่มัน อายุไม่น่าเกินสิบขวบ คงขายได้ราคางามกว่านี้แน่” เพ้งตาเป็นประกายเมื่อนึกถึงอัฐกองโต อากัปกิริยาของเมียมันก็ไม่ต่างกันนัก

      “อย่างนั้นรีบไปเลยพี่ หลอกมาให้ได้นะ อย่าให้หลุดมือเชียว”

      พอพ้นร่างของเพ้ง พะยอมก็ชี้หน้าขู่เด็กหนุ่มที่ไม่มีทางสู้อย่างดุดัน ไม่เหลือเค้าความอ่อนโยนเหมือนตอนนั้นแม้แต่น้อย

      “อย่าคิดจะหนีเชียวนะมึง!”

      ผิดคาด...แทนที่เด็กหนุ่มจะรู้สึกกลัว ตอนนี้ยมกลับมองหน้าหญิงใจชั่วอย่างไม่กลัวเกรง

      ไม่น่าเลย...ทั้งที่จะไม่ไหวใจใคร แต่กลับถูกเปลือกน้ำใจของคนชั่วหลอกเอาเสียได้

      “ยัง...ยังจะมามองข้าแบบนั้นอีก!” พะยอมง้างมือหมายจะตบแผลบนหน้าให้หายคันมือ

      “ที่น้าพะยอมบอกว่ามีอาชีพเร่ร่อนขายของ...คือความศักดิ์ศรีของมนุษย์ด้วยกันเองอย่างนั้นรึ?”

       “ปากดีรึมึง!?”

      เพี๊ยะ!!!

    พะยอมตบหน้ายมเต็มแรงจนหน้าหัน ร่างเล็กนอนคะมำกระแทกกับพื้นเกวียน เท่านั้นยังไม่พอ...หญิงสาวคว้าแตงกวาในกระบุงมายัดใส่ปากเด็กหนุ่มที่ไม่ทันระวังตัว ก่อนจะจิกกระชากเส้นผมให้แหงนมองตน

     “เดี๋ยวพอมึงไปอยู่กับเศรษฐีกล่ำ มึงจะปากดีไม่ออก!” หญิงชั่วกระซิบเสียงเข้ม มุมปากแสยะจนยมนึกกลัว

      “เอ้านั่น!!แล้วเอ็งเป็นใครวะ? มามองข้าทำไม?”

      พะยอมถามเหวี่ยงๆเมื่อเห็นว่ามีชายหนุ่มหน้าตาสะอาดมองตนกำลังตบสั่งสอนสินค้าอยู่นานแล้ว ชายคนนั้นเดินเข้ามาใกล้ ยมขมวดคิ้วเข้ากับกันด้วยรู้สึกเหมือนเคยเห็นคนๆนี้มาก่อน

      “พี่สาวใจเย็นๆ คือ...ฉันกำลังอยากได้คนมาดูแลบ้าน”

     “แล้วไง?”

     “ฉันสนใจเด็กคนนี้ ขายให้ได้ไหมเล่า?”

    “วุ้ย! ขายไม่ได้โว้ย แต่ถ้าเอ็งอยากจะได้ รอผัวข้าไปหลอกเด็กมาก่อน ไปๆๆ”

    พะยอมโบกมือไล่ หากแต่เพราะไม่ทันระวังชายหนุ่มคนนั้นก็เข้ามาจับตัวร่างของพะยอมไว้ ก่อนจะใส่กุญแจมือป้องกันไม่ให้หนี

      “นี่...อะไรกัน เอ็งเป็นใครกันแน่วะ!?”

     “ผมเป็นตำรวจ ทางเราออกหมายจับสองผัวเมียลอบค้าทาสอย่างพวกคุณมานานแล้ว โดนข้อหาหนักแน่คราวนี้!!”

     “ปล่อย...ปล่อย!! เข้าใจผิดแล้ว เด็กนั่นมันเป็นเด็กรับใช้ ข้าจะทำยังไงกับมันก็ได้”

    “ไว้ไปแก้ตัวกับทางการพร้อมไอ้เพ้งสามีของคุณก็แล้วกัน”

   “ไม่!!” พะยอมดิ้นโวยวายเมื่อได้ยินชื่อสามี ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าตัวเพ้งเองคงไม่วายถูกจับเช่นเดียวกัน ใคร...ใครที่คาบข่าวไปบอกตำรวจ!!

     “เรียบร้อยดีนะวายุ”

    “เรียบร้อยครับพี่โดม ตอนนี้ขจรพาตัวไอ้เพ้งส่งทางการแล้ว เดี๋ยวผมจะพาเมียของมันตามไป ขอบคุณพี่มากๆนะที่ส่งข่าวมาบอกพวกผมสองคน”

      พอวายุพาตัวผู้ต้องหาออกไป คุณโดมจึงรีบเข้ามาดูอาการของร่างเล็กที่ถูกมัดให้นอนบนเกวียน ก่อนจะแก้มัดให้เด็กหนุ่มเป็นอิสระ

      “เป็นอย่างไรบ้าง? ผมจะพาไปส่งบ้านนะ บ้านอยู่ไหนล่ะ?”

    ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา เมื่อแก้มัดเสร็จร้อยโทหนุ่มก็ประคองร่างเล็กให้ลุกขึ้นนั่ง คุณโดมดึงแตงกวาที่เป็นต้นเหตุที่เด็กหนุ่มพูดไม่ได้ออกมา หากแต่เมื่อได้มองพิจารณาแววตาของคนตรงหน้าจริงจังแล้ว

      ดวงตาเศร้าปนหวานคู่นั้น...

     ดวงตาเศร้า...ที่เหมือนรอคอยใครบางคน...

     แม้จะผ่านไปสามปีแล้วก็ตาม แต่ดวงตาคู่นี้กลับอยู่ในความทรงจำของคุณโดมแทบจะตลอดเวลา

     “ยม...ยมใช่ไหม??”

     ร่างน้อยชะงักเมื่อได้ยินคนตรงหน้าเรียกชื่อของตน ดวงตาหวานล้ำมองร้อยโทหนุ่มตรงหน้า ด้วยรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตายิ่งกว่านายตำรวจคนเมื่อครู่เสียอีก     

      “ยมจำฉันไม่ได้รึ?” เจ้าของดวงตาสีนิลขี้เล่นยังคงจับจ้องเด็กน้อยไม่วางตา “โดม...ลูกชายของพระยามนตรีอย่างไรเล่า”

       คุณโดม...

      จำได้แล้ว...คนที่มอบดอกไลเซนทัสให้ก่อนจะจากไปเชียงใหม่เมื่อสามปีก่อนคนนั้น

     คนที่ช่วยยมไม่ให้ถูกเถ้าแก่ตัณหากลับปู้ยี้ปู้ยำ

     คนที่ช่วยไม่ให้ยมหกล้มที่งานวัดภูเขาทอง

     “คุณโดม ช่วยบ่าวด้วย ฮึก!!!”

     ร่างน้อยผวาเข้ากอดร้อยโทหนุ่ม ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยแผลปลดปล่อยน้ำตาที่อัดอั้นความโหดร้ายที่ได้รับอย่างแสนสาหัส มือใหญ่ก็คอยลูบแผ่นหลังปลอบโยน คุณโดมสัมผัสได้ถึงหยาดน้ำตาที่แทรกซึมเนื้อผ้าจนเปียกชื้น

       ยมคงตกใจและเสียขวัญเป็นอย่างมาก

“ลุงเห็นเด็กหน้าตามีแผลเหวอะคนหนึ่งถูกจับมัดนอนไว้เหมือนทาส พอดีลุงเห็นว่าพ่อหนุ่มเป็นตำรวจ ช่วยเด็กคนนั้นทีเถอะ ลุงสงสารมัน”

          “ยม...”

         พลันร้อยโทหนุ่มก็นึกถึงคำที่ชาวบ้านกลุ่มนั้นบอก คุณโดมผละร่างเด็กหนุ่มเพื่อพิจารณาใบหน้าของยมถี่ถ้วนอีกครั้ง ใบหน้าหวานไม่ต่างจากเมื่อก่อนนั้น มีรอยแผลเหวอะหวะอยู่ที่แก้มซีกซ้ายเกือบถึงดวงตา!!

      “ยม ทำไมหน้ายมเป็นเช่นนี้ บอกฉันมาใครทำ!!!?”

      วินาทีนั้นคุณโดมเดือดดาลกับรอยแผลที่เห็น คนที่ทำร้ายยมนั้นจิตใจช่างโหดเหี้ยมราวไม่ใช่มนุษย์

      “...” เด็กน้อยได้แต่ส่ายหน้าไม่ยอมตอบ ริมฝีปากแดงกัดเม้มไม่ปริแม้คำเดียว  เจ้าของดวงตาสีนิลถอนใจดังเฮือกก่อนจะระงับอารมณ์โกรธ ร่างสูงโอบอุ้มคนตัวเล็กออกเดินไปยังรถยนต์ที่จอดอยู่ไม่ห่างจากท้ายตลาดเท่าใดนัก

     “คะ...คุณโดม...”

    “ขอโทษนะที่เสียงดัง ฉันลืมไปว่ายมอ่อนแรงเหลือเกิน”

    ยมยอมให้คุณโดมอุ้มมาแต่โดยดี ไม่ขัดขืนแต่อย่างใด...ครั้นเมื่อเดินมาถึงรถ คุณโดมก็เปิดประตูหลังช้อนร่างเล็กให้ค่อยๆนอนราบกับเบาะนิ่ม มือใหญ่ลูบศีรษะเด็กน้อยอย่างอบอุ่น

      “ฉันจะพายมไปส่งที่เรือนคุณอา”

     “อย่า! อย่าพาบ่าวกลับไปนะขอรับ” ร่างน้อยผวาเกาะแขนคุณโดม “บ่าวกลับไปที่นั่นไม่ได้”

      คุณโดมมองเด็กน้อยที่ใบหน้ายังมีคราบน้ำตาปนเปื้อน เมื่อนึกถึงเรื่องของยมที่คุณพระเล่าให้ฟัง...คุณโดมก็พยักหน้ารับรู้อย่างเข้าใจ

     “ถ้าเช่นนั้นฉันจะพายมกลับเชียงใหม่ด้วยกัน หวังว่ายมคงไม่ขัดข้องอะไร”

    “แล้วแต่คุณโดมจะกรุณาบ่าวขอรับ...” ดวงตาน้อยหรี่ลงเพื่อปกปิดแววเศร้า “บ่าวไร้บ้าน เรือนที่บ่าวอาศัยบ่าวก็ไม่อาจกลับไปได้แล้ว บ่าวไร้ที่พึ่ง ไร้ญาติขาดมิตรเหลือเกิน”

     “โธ่ยม...” คุณโดมยื่นมือเช็ดน้ำตาเปียกปอนแก้มสองข้าง แม้ในใจจะมีคำถามมากมายเหลือเกิน แต่อย่างมากก็ทำได้เพียงเช็ดน้ำตานี่เอง

     “หลับตาลงเถิดนะเด็กดี” ริมฝีปากหนายื่นไปจุมพิตหน้าผากมน มืออุ่นด้านขวาเอื้อมมาปิดเปลือกตาน้อยให้ค่อยๆหลับใหล

    “จะไม่มีฝันร้ายสำหรับเธออีก”

   ร้อยโทหนุ่มเดินไปเปิดประตูรถด้านหน้า หยิบดอกไลเซนทัสสีขาวบริสุทธิ์วางไว้บนแผ่นอกด้านซ้ายของเด็กหนุ่มที่ตอนนี้เข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้ว

    แด่มิตรภาพ...

    ฉันจะช่วยเหลือมิตรภาพคนนี้ให้หลุดพ้นจากฝันร้ายเอง



 ดวงตาหวานฉ่ำปรือน้อยๆกลอกมองรอบๆ ยมยังคงนอนอยู่บนเบาะด้านหลังรถยนต์ของคุณโดม ทีแรกยมนึกว่าตนคงกลัวจนเก็บไปฝัน แต่ครั้นเมื่อร่างเล็กค่อยๆยันกายขึ้น ก็พบว่ามีดอกไม้สีขาวคุ้นตาตกลงมาที่หน้าตัก

      ดอกไลเซนทัส!

      แสดงว่าคุณโดมลงมาช่วยยมจริงๆหรือนี่?

      ยมรอดจากพวกคนเลวได้แล้วอย่างนั้นหรือ!?

      “คุณโดม...”

     “อ้าวยม...ตื่นแล้วรึ?” คุณโดมถามขึ้นพลางเคี้ยวก้อนข้าวเหนียวตุ้ยๆ เด็กน้อยยันกายลุกขึ้นมองร่างสูงแล้วอดที่จะอมยิ้มไม่ได้   

 “ถึงเชียงใหม่แล้วหรือขอรับ?” เด็กน้อยเอ่ยถามเสียงงัวเงีย ขยี้ตาเบาๆ 

 “ยังไม่ถึงหรอกยม” มือใหญ่ยื่นมาลูบเส้นผมคนตัวเล็ก “ฉันแค่พักรถเสียหน่อยน่ะ วันพรุ่งไม่เกินเย็นก็น่าจะถึงเชียงใหม่แล้วล่ะ”   

 “ขอรับ...”   

  โครก...   

 “หึๆๆ” ร่างสูงในเครื่องแบบร้อยโทกลั้วหัวเราะเมื่อได้ยินเสียงโครกครากมาจากเด็กน้อย คุณโดมยื่นห่อข้าวเหนียวกับหมูเค็มตากแห้งที่นำติดตัวมาตั้งแต่เดินทางออกจากบ้านส่งให้ นั่นทำให้ยมยิ่งหน้าแดงด้วยความอายเสียงท้องร้องของตัวเองเข้าไปอีก     

 “หิวล่ะสิ...เอ้านี่ กินไปก่อนนะ”     

“ขอบพระคุณขอรับ" เด็กน้อยยกมือไหว้ก่อนจะรับข้าวเหนียวมาปั้นเข้าปาก กลิ่นหอมจากข้าวเหนียวยิ่งเรียกน้ำย่อยจากเด็กน้อยเป็นอย่างดี เพราะไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เช้าแล้ว     

 “ไม่ต้องรีบกินนะยม” คุณโดมมองร่างน้อยที่เคี้ยวข้าวตุ้ยๆด้วยความหิว ไม่รู้หรอกนะว่าคนตัวเล็กตรงหน้าผ่านทุกข์อะไรมาบ้าง...แต่คงจะสาหัสและอิดโรยจนน่าเวทนา     

 เด็กที่ไม่เคยร้องไห้ต่อหน้าผู้ใด...กลับแสดงความอ่อนแอต่อหน้าเขา   

 “กินเยอะๆนะ  ผอมเหลือเกินเด็กน้อย” คุณโดมวางห่อหมูเค็มตากแห้งกับกระติกน้ำส่วนของตนไว้ข้างๆคนตัวเล็ก ตาก็พิจารณาร่างกายผ่ายผอมราวจนเนื้อหนังแทบจะติดกระดูกอยู่แล้ว     

 “แต่นี่ของคุณโดมนะขอรับ”   

  “ไม่เป็นไรหรอกน่า ฉันจะเอนหลังเสียหน่อย ขับรถมาค่อนคืนฉันก็เมื่อยนะ”     

 เสียงนุ่มทุ้มพูดติดตลก ก่อนจะปรับเบาะเอนตัวลงนอนแล้วเอามือก่ายหน้าผาก ยมเคี้ยวหมูเค็มตากแห้งพลางมองไปรอบๆ ตรงนี้ไม่ค่อยมีบ้านคนนักเพราะตรงนี้อยู่ติดกับชายป่า หากแต่แสงไต้ของแต่ละบ้านที่น้อยนิดนั้นพอจะเผื่อแผ่ความสว่างมาถึงรถยนต์ของคุณโดมได้บ้าง

     “ยมรู้ไหม...” เสียงนุ่มทุ้มกล่าวขึ้นแม้ดวงตาจะปิดเพื่อพักสายตา “ปกติเวลาที่ฉันปฏิบัติงานอยู่เชียงใหม่ ฉันไม่เคยได้นั่งพักเอนหลังเช่นนี้หรอก”

       เด็กน้อยยกกระติกน้ำขึ้นจิบสองสามอึก ก่อนจะเอ่ยถามบ้าง “คุณโดมทำงานหนักหรือขอรับ?”

    “ใช่ คนร้ายที่นั่นเยอะจนนำกำลังจับแทบไม่หวัดไม่ไหว ไหนจะต้องวางแผนตระเวนพื้นที่ใกล้เคียงไม่ได้หยุดพัก” ร้อยโทหนุ่มหมาดๆพร่ำบ่น

    “ดังนั้นการที่ฉันได้ลงมาพระนครเป็นครั้งแรกในรอบสามปี มันเหมือนเป็นการพักผ่อนไปในตัวเชียวล่ะ แม้จะลงมาเพราะเรื่องงานก็เถอะ”

     อยู่ๆใบหน้าคมคายฉบับฝรั่งก็ลืมตาขึ้น แล้วหันมามองยมที่ยังคงเคี้ยวหมูเค็มเต็มปากก่อนจะกลืนลงท้อง

     “ยม...”

    “ขอรับ...”

    “ยมจะไม่บอกฉันจริงๆหรือ? ว่าใครทำร้ายยมถึงขนาดนี้”

     ใบหน้าที่มีแววตาเศร้าประดับสลดลงอย่างเห็นได้ชัด ริมฝีปากแดงเม้มเข้าหากันแน่น แม้แต่คุณโดมยังสังเกตได้ว่าเด็กน้อยคงผ่านความจริงอันโหดร้ายมาสาหัสเอาการ

      จนไม่อยากจะพูดมันออกมาให้ช้ำใจอีก

     ช่างน่าสงสาร...จับใจ

    “เอาเถิด...อย่าคิดมาก ฉันไม่เซ้าซี้ยมแล้ว” ร่างสูงปรับเอนเบาะกลับขึ้นมานั่งเหมือนเดิม “อิ่มหรือยัง? ฉันจะได้เก็บกวาด”

     “อิ่มแล้วขอรับ”

    หลังจากร่างสูงกับยมช่วยกันเก็บกวาดเศษขยะเสร็จในเวลาไม่นานนัก ขณะที่กายเล็กกำลังก้มตัวลงนอน เสียงนุ่มทุ้มก็ปรามไว้เสียก่อน

     “อย่าเพิ่งนอนสิยม เพิ่งกินอิ่มเดี๋ยวก็จุกกันพอดี”

    เมื่อถูกดุ...ร่างน้อยจึงจำต้องลุกขึ้นเปลี่ยนมานั่งพิงกับเบาะรถแทน แต่แล้วดวงตาน้อยๆก็ต้องมองร้อยโทหนุ่มอย่างแปลกใจที่อยู่ๆร่างสูงก็ลุกจากเบาะข้างหน้าอ้อมมาเปิดประตูหลังฝั่งที่ว่างอยู่

      “คุณโดมจะนอนตรงนี้หรือขอรับ?” ยมถามอย่างแปลกใจ “ถ้าเช่นนั้นบ่าวไปนอนด้านหน้านะขอรับ”

     “ไม่ต้องหรอกยม” คุณโดมขยับเข้ามาใกล้คนตัวเล็ก “ฉันขอยืมตักยมนอนก็แล้วกัน”

      ยังไม่ทันที่ยมจะเอ่ยปากยอมอย่างสมัครใจ ร่างสูงก็เอนศีรษะหนุนตักคนตัวเล็กที่ตอนนี้ได้แต่นั่งตัวเกร็งไม่กล้าดิ้น เพราะใบหน้าหล่อคมคายเอาแต่จ้องตนไม่วางตา

     แม้คุณโดมจะมีคำถามมากมายอยากถามเหลือเกิน...แต่ก็ต้องนึกถึงความรู้สึกของยมเสียก่อน

      ไว้ถึงเวลา...ค่อยถามก็แล้วกัน

      “ฉันเหนื่อย...แต่ถ้ายมเมื่อยก็บอกฉันนะ ไม่ต้องเกรงใจ”

      พูดเพียงแค่นั้น เปลือกตาของร้อยโทหนุ่มก็ปิดสนิททันทีโดยไม่รอให้ยมได้พูดอะไร เด็กน้อยเองก็ได้แต่มองร่างสูงที่นอนหลับเป็นตายด้วยความสงสารเช่นเดียวกัน เป็นตำรวจที่ต้องดูแลทุกข์สุขประชาชน คงจะเหนื่อยมากสินะ

    มือเล็กลูบเส้นผมสะอาดของคุณโดมแผ่วเบา พลางมองใบหน้าคมคายที่หลับสนิทท่าทีไม่ต่างจากเด็กเล็กยามหนุนตักมารดา ยมไม่เคยได้รับสัมผัสแบบนั้นหรอก...แต่เด็กน้อยก็พอจะรับรู้ได้ว่ามันช่างอบอุ่นและเปี่ยมไปด้วยความรักจนน่าอิจฉานัก

      ก็เพียงเด็กกำพร้า...ที่ทั้งชีวิตมีเพียงคนในหัวใจเท่านั้น

     คนที่เคยให้ยมหนุนตักยามง่วงเหงาหาวนอนขณะชมจันทร์ เป็นสัมผัสที่อบอุ่นที่สุดในชีวิตแล้ว

      ค่ำนี้ดวงดาวสุกสกาว...ราวกับเอาใจช่วยยมนัก

     อย่างน้อยครั้งนี้บาปกรรมที่ยมรับนั้นก็พัดผ่านไปอย่างรวดเร็ว...เด็กน้อยหวนนึกถึงลุงเบิ้มผู้มีบุญคุณให้ที่หลบซ่อนแก่ยม ลุงเบิ้มเป็นคนดี...ไม่สมควรมาตายเพราะถูกโจรฆ่าเช่นนี้เลย พี่เพลิงกับพี่มั่นคงจะเสียใจมาก

     ‘ยมขอให้ดวงวิญญาณของลุงเบิ้มไปสู่ภพภูมิที่ดี อย่าได้พบเจอกับสิ่งเลวร้ายเหมือนที่ได้ประสบอีกเลย’



**ไหนใครอยู่เรือนพระรอง แสดงตัวหน่อยยย คุณโดมมาแล้วววว

**เค้าเจอกันแล้ว แสดงตัวหน่อยเร้ววววว ทีมเขมยม ทีมโดมยม55555






ออฟไลน์ fahsai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 815
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่15--
«ตอบ #21 เมื่อ24-01-2018 15:01:42 »

มีทีมตบคุณหญิงมั้ยคะ 555

ออฟไลน์ Kei

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่15--
«ตอบ #22 เมื่อ24-01-2018 17:36:41 »

รำคาญคุณหญิงชอบกล ติดตามนะ

ออฟไลน์ naruxiah

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 913
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่15--
«ตอบ #23 เมื่อ24-01-2018 20:52:18 »

โชคดีมาเจอคุณโดม น้องยมชีวิตรันทด ไปอยู่เชียงใหม่แล้วจะเจอคนที่เฝ้ารอยังไงหล่ะเนี่ย

ออฟไลน์ Amazing princess

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่16--(50%)
«ตอบ #24 เมื่อ24-01-2018 21:21:27 »

​เรือนร้าว16
ตอน ขนมเกลือ(ครึ่งแรก)
     พิธีศพคืนแรกของลุงเบิ้มถูกจัดขึ้นอย่างเงียบๆ เพราะลุงเบิ้มไม่ได้มีญาติที่ไหนนอกจากมั่นที่เป็นญาติห่างๆ รวมถึงเจ้าอาวาสที่มาเป็นทั้งเจ้าภาพและนำสวดอภิธรรมพร้อมทั้งพระเณรรูปอื่น โดยมีเด็กวัดนับสิบชีวิตคอยมาแวะเวียนดูแลงานเป็นระยะ พิธีนี้จึงกำหนดให้มีการสวดเพียงสามวันแล้วเผาทันที

      “ฮึก ฮือ...” มั่นวักขันเงินใบเล็กรดน้ำศพของชายชราที่ตนเคารพรัก แม้ว่าลุงเบิ้มจะเป็นเพียงญาติห่างๆ แต่ก็เป็นผู้ใหญ่ที่มั่นพึ่งพาได้เสมอจนมั่นผูกพันราวกับเป็นพ่ออีกคน ไม่คิดเลยว่าจะมาจากกันโดยไม่ทันตั้งตัวอย่างนี้

     “ไม่เป็นไรนะไอ้มั่น เดี๋ยวข้าพาไปนั่ง”

      เพลิงประคองร่างเล็กกว่าขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ไม้ในศาลา มั่นพิงใบหน้าลงบนอกแกร่งของเพื่อนรักอย่างอ่อนแรง

      “ฮึก ไม่คิดเลยว่า...ขนาดสัปเหร่อที่อาศัยท้ายวัด แทบจะไม่มีของมีค่าให้ปล้น ไอ้พวกโจรใจบาป ฮึก...มันยังจะทำชั่วๆอย่างนี้ได้” มั่นกล่าวระบายแค้นปนสะอื้น เพลิงได้แต่โอบเพื่อนรักแล้วลูบแขนปลอบโยน

     “ทำใจเถอะนะไอ้มั่น ถึงอย่างไร ไอ้โจรพวกนั้นก็ตายตกไปตามกัน ชดใช้ความผิดที่มันทำลุงเบิ้มต้องตาย”

      หลังจากทำใจให้สงบลงได้บ้าง มั่นก็ค่อยๆยันตัวออกจากอ้อมแขนของเพลิง แล้วทำท่าจะลุกไปยังกลุ่มหญิงชาวบ้านที่กำลังตำหมากเพื่อใช้นำไปใส่ปากของศพลุงเบิ้มต่างเงินปากผี

      “เอ็งจะไปไหนไอ้มั่น?”

     “ลุงเบิ้มชอบเคี้ยวหมากมาก...” มั่นตอบเพื่อนรักเสียงสั่น “ลุงเบิ้มเป็นที่พึ่งให้ข้าได้ในยามยาก ข้ายังไม่เคยทำอะไรให้ลุงเลย ข้า...ข้าอยากทำอะไรตอบแทนบุญคุณบ้าง”

      เมื่อมั่นเดินออกไปแล้ว เพลิงก็ไปช่วยเด็กวัดคนอื่นๆนิมนต์เจ้าอาวาสกับบรรดาภิกษุสามเณรเข้ามาในศาลาเพื่อสวดอภิธรรมศพคืนแรกต่อไป

      ศพของลุงเบิ้มถูกพบยามสาย เป็นจังหวะเดียวกับที่ตนกับมั่นตั้งใจนำหนังสือเงาะป่ามาคืนยม แต่ปรากฏว่ามีเพียงศพของคนแปลกหน้าสองคนซึ่งน่าจะเป็นโจรมาปล้นชิงทรัพย์ เพราะในย่ามของโจรคนหนึ่งมีพระเครื่องเก่าแก่ของลุงเบิ้มอยู่สองสามองค์ และข้างๆโจรที่นอนตายอยู่นอกเรือนซึ่งเป็นคนเดียวกับเจ้าของย่ามใบนั้นมีมีดทำครัวที่เปื้อนเลือดวางอยู่ ดูก็รู้ว่าน่าจะเกิดจากการป้องกันตัวของเหยื่อ

     และเหยื่อคนนั้น...ก็คือยม!

   ยมคงกลัวความผิดที่ป้องกันตัวเกินกว่าเหตุ จึงได้หนีหายสาบสูญไปจนยากที่จะตามติด ครั้นอยากจะให้ทางการช่วยสืบหา...ก็เกรงว่าเรื่องที่ยมยังมีชีวิตอยู่อาจรู้ไปถึงคุณเขลางค์เข้าสักวัน

     แต่เรื่องที่กลัวมากที่สุดก็คือ...

      ‘แล้วคุณเขมกลับมา...ข้าจะบอกอย่างไร?’

      จะทำอย่างไรดี!?



        “ยม...ยม...”

       เสียงนุ่มทุ้มเรียกคนตัวเล็กที่ขดตัวนอนสบาย มือใหญ่เกลี่ยเส้นผมที่ประใบหน้าที่มีรอยแผลเบาๆด้วยความสงสาร แต่แล้วก็ต้องหยุดการกระทำเมื่อเด็กน้อยค่อยๆปรือตาขึ้นมา

         “ตื่นแล้วรึ?”

       “อื้อ!” ยมขยี้ตาเบาๆเพราะแสงแดดจากนอกรถลอดเข้ามาแยงดวงตา เด็กน้อยกลอกตามองรอบๆก็พบว่าศีรษะทุยของตนกำลังหนุนบนตักแกร่งของชายหนุ่ม

        “คุณโดม...” ร่างเล็กทะลึ่งลุกขึ้นมานั่งพรวด “เมื่อคืนคุณโดมเป็นฝ่ายนอนตักบ่าวมิใช่หรือขอรับ? แล้ว...”

      ยมกำลังจะถามต่อว่าแล้วทำไมจนถึงสลับมานอนตักคุณโดมเสียได้ แต่ร้อยโทหนุ่มก็ชิงพูดตัดบทว่า

      “พอดีฉันตื่นขึ้นมาเจอยมนั่งหลับน่ะ กลัวยมจะเมื่อยฝ่ายเดียว ฉันก็เลยให้ยมนอนตักฉันคืนบ้าง” คุณโดมตอบคำถามพลางยักคิ้วกวน ส่วนเด็กน้อยได้แต่ก้มหน้าก้มตาทำอะไรไม่ถูก

     “นี่ก็สายมากแล้ว อาจจะถึงตัวเมืองเชียงใหม่เกือบเย็นๆ” ร่างสูงขยับตัวลงจากด้านหลัง เพื่อไปประจำตำแหน่งคนขับ “มานั่งข้างหน้าด้วยกันสิยม”

       เด็กน้อยเปลี่ยนมานั่งเบาะข้างคนขับอย่างว่าง่าย เด็กน้อยนั่งงุนงงอยู่กับวิธีคาดเข็มขัดนิรภัยอยู่นานโดยมีคุณโดมคอยจ้อง จนคนตัวเล็กคาดเข็มขัดนิรภัยให้ตัวเองสำเร็จ

       “ตอนนี้เราอยู่กันที่ลำปางนะ...เดี๋ยวพอพ้นลำปางก็ถึงเชียงใหม่แล้วล่ะ”

      คุณโดมพูดขึ้น ดวงตาสีนิลแบบฝรั่งก็มองเด็กน้อยที่มองบรรยากาศรอบๆ จากหมู่บ้านแถวชายป่าสู่เขตเมืองที่เต็มไปด้วยบ้านเรือนของผู้คน ถนนหนทางเริ่มมีความเจริญมากขึ้นทำให้รถยนต์ของคุณโดมขับง่ายไม่ติดขัดเหมือนตอนที่อยู่ในป่า คุณโดมมองเด็กน้อยที่ยังคงนั่งซึมไม่ค่อยพูดไม่จาตลอดทาง ร่างสูงจึงแวะเวียนซื้อของกินมากมายตามข้างทางกับบรรดาพ่อค้าแม่ค้าอย่างเป็นกันเองแทบจะตลอดทาง ด้วยหวังจะให้ยมได้ลืมความทุกข์ที่มีเสียบ้าง

      “คุณโดมขอรับ...” เด็กน้อยหมายจะเตือนให้คุณโดมหยุดซื้อของกินเสียที เพราะตอนนี้ไม่ว่าทั้งของคาวหวาน ร้อยโทหนุ่มฝากไว้ที่ตนจนแทบจะไม่มีที่วางอยู่แล้ว

      “รอเดี๋ยวนะยม” คุณโดมลดกระจกถามแม่ค้าที่นั่งขายขนมมากมายในหาบเร่ “ขนมในหาบมีอะไรบ้างครับ?”

     “มีเข้าหนมเปี่ยง เข้าหนมซะละอ่อน กับเข้าหนมเกลือเจ้า เปิ้นเพิ่งยะฮ้อนๆจากบ้านเลยเน้อ” แม่ค้าตอบคุณโดมเป็นภาษาเหนือ แต่คนที่ทำหน้างุนงงกลับเป็นยมเสียเอง

    “เหมาหมดเลยครับ”

     “ได้กะเจ้า”

     แม่ค้าหยิบขนมในหาบเร่ห่อใบตองใหญ่จนหมดด้วยความดีใจที่ขายหมดภายในครั้งเดียว คุณโดมยื่นอัฐส่งให้แม่ค้าก่อนจะรับห่อขนมมาฝากยมไว้เช่นเคย

    “บ่าวว่า คุณโดมซื้อมากไปรึเปล่าขอรับ?”

   “ปกติฉันก็ทานเยอะอย่างนี้แหละ” คุณโดมยื่นมือไปหยิบห่อขนมมาเคี้ยวตุ้ยๆอย่างไม่ใส่ใจ “ยมคิดว่าฉันใช้อัฐฟุ่มเฟือยไปเหรอ?”

     “ปะ...เปล่านะขอรับ” เด็กน้อยตอบน้ำเสียงแผ่วเบา “บ่าวเพียงจะบอกว่าที่ซื้อมายังไม่ทันจะทานหมดเลย บ่าวเกรงว่าถ้าของเหลือมันน่าเสียดาย”

    “หึๆ ฉันก็ไม่ได้ซื้อเยอะอย่างนี้บ่อยๆหรอกนะ” มือใหญ่ลูบเส้นผมคนตัวเล็กอย่างเอ็นดู “ฉันว่าฉันจอดขวางทางซะแล้ว รีบกลับเชียงใหม่กันดีกว่า”

      ระหว่างที่เดินทาง คุณโดมก็ชวนยมกินของที่ซื้อมาแทบจะตลอดทาง หากแต่เป็นร้อยโทหนุ่มเสียเองที่ทานมากกว่า อีกทั้งยังหลอกใช้ให้ยมคอยป้อนให้อ้างว่ามือไม่ว่างอีกต่างหาก แต่ถึงกระนั้นคุณโดมก็คอยเหลือบมองเด็กน้อยที่ดูเหมือนจะชอบทานขนมเกลือที่ซื้อมาเหลือเกิน

      “ยมรู้ไหม...” คุณโดมพูดขึ้นขณะที่เด็กน้อยกำลังกัดขนมสีขาวนวลเข้าปาก “ว่าขนมเกลือที่ยมทานอยู่มีเรื่องเล่าตลกๆด้วยนะ”

     “อย่างไรหรือขอรับ?” คิ้วโก่งขมวดเข้าหากันด้วยความฉงน

    “ฉันได้ยินชาวเหนือชอบคุยกันปากต่อปาก ว่าถ้ามีหนุ่มใดมาเกี้ยวสาวแล้วสาวคนนั้นไม่ชอบ ก็ให้เอาขนมเกลือไปมอบให้ชายคนนั้น...”

      “เพราะอะไรกันหรือขอรับ?” ยมเอ่ยถามต่อด้วยความใคร่รู้

      “ก็เพราะว่าขนมเกลือมันทำมาจากแป้งล้วน แล้วหากกินมากๆเข้าก็จะปวดท้อง พอชายคนนั้นจุกแล้วก็จะพูดไม่ออก จนต้องกลับบ้านกลับเรือนไปรักษาอย่างไรล่ะ”

     เมื่อได้ฟังเรื่องเล่าของขนมเกลือจนจบ ยมก็ทำหน้าเจื่อนๆลงไปนิดๆเพราะทานขนมเกลือไปประมาณสองสามชิ้นได้ จึงตัดสินใจยื่นขนมเกลือสีนวลไปจ่อที่ปากของคนเล่าเรื่องแทน

     “บ่าวว่าบ่าวไม่กินแล้วดีกว่า บ่าวไม่อยากปวดท้อง”

     “เอ้า! แล้วเอามาให้ฉันทานเนี่ยนะ?”

     “คุณโดมตัวใหญ่ ทานแค่นี้ไม่ปวดท้องง่ายๆหรอกขอรับ”

     ร้อยโทหนุ่มหัวเราะน้อยๆ แต่ก็ยอมงับขนมจากมือคนตัวเล็กแต่โดยดี ไม่คิดเลยว่าแค่เรื่องเล่าปากต่อปากจากชาวบ้านจะทำให้ยมเชื่อได้ถึงขนาดนี้ เท่านั้นยังไม่พอ...ยังเผื่อแผ่แป้งจากขนมเกลือมาแบ่งปันเขาอีก!

     แต่เอาเถอะ...เพราะตอนนี้ยมดูมีความสุขขึ้นกว่าก่อนหน้านั้น เขาก็ดีใจมากแล้วล่ะนะ

        คุณโดมขับรถมาถึงเชียงใหม่ยามเย็นตามที่คาดการณ์ไว้  ร่างสูงขับเคลื่อนยานพาหนะสีขาวทรงสี่เหลี่ยมกลับมายังเรือนปั้นหยาขนาดเล็กกะทัดรัดที่ค่อนข้างเก่าแก่ด้วยมีอายุมากกว่าสิบปี สีขาวที่ถูกทาโดยรอบเริ่มหมองดำ หลังคาบ้านตกแต่งด้วยกระเบื้องสีเขียวแก่ รั้วสีน้ำตาลปักบริเวณรอบเรือนรับกับพันธุ์ไม้เขียวขจี ยมจ้องบ้านหลังนั้นไม่วางตา นอกจากเรือนของพระยามนตรีที่จำได้ว่าเคยไปครั้งหนึ่งแล้ว ก็มีเรือนหลังน้อยนี่แหละที่แปลกที่สุดเท่าที่เคยพบเห็น

       “นี่บ้านของฉันเอง เจ้าของเดิมเขาขายทิ้งราคาถูก...” คุณโดมพูดคุยกับยมขณะไขกุญแจเข้าบ้าน “แต่ฉันไม่ค่อยอยู่หรอกนะ บ้านก็เลยรกอย่างที่เห็นนี่แหละ”

      ไม่ผิดเพี้ยนไปจากที่ร่างสูงกล่าวสักนิด ตั้งแต่เข้ามายมก็สังเกตเห็นว่าสวนหญ้ารอบๆเรือนปั้นหนารกไปด้วยเศษใบไม้แห้งที่ร่วงสุมมากมายหลายกอง คุณโดมคงจะกวาดไว้ลวกๆแต่ไม่ได้กำจัดสินะ

     “เข้ามาสิ”

     เด็กน้อยถือของกินที่คุณโดมซื้อมาตามเข้าไปในตัวบ้านพะรุงพะรัง คุณโดมพายมเดินสำรวจเรื่อยๆ ด้านในมีห้องพักมากถึงสี่ห้อง ห้องแรกที่เห็นคือห้องเก็บของเก่าที่สะสมจนแออัดไปหมด ห้องต่อมาเป็นห้องประกอบอาหาร แต่มันค่อนข้างสกปรกเพราะถูกทิ้งร้างมานาน คุณโดมบอกว่าตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ก็เข้าครัวครัวแทบจะนับครั้งได้คือตอนที่เข้ามาต้มไข่ต้มทานกับข้าวคลุกเกลือเท่านั้น นอกนั้นคือนิยมซื้อจากตลาดไม่ก็ทานร่วมกับเพื่อนร่วมงานที่กรมเสียมากกว่า

      “ไม่ต้องหัวเราะฉันเลยนะยม...” คุณโดมทำหน้าดุเมื่อเห็นยมอมยิ้มน้อยๆ

    “เปล่านะขอรับ” เด็กน้อยหน้าเจื่อนลง ก่อนจะวางห่อของกินวางไว้บนโต๊ะไม้ที่ดูสะอาดที่สุดในห้องทำครัว “บ่าวเพียงคิดว่าทำไมคุณโดมถึงไม่ค่อยมีเวลาทานอาหารดีๆก็เท่านั้น”

     “ตำรวจก็อย่างนี้แหละ เวลาทานยังไม่ค่อยจะมี นับประสาอะไรกับลงมือทำเล่า”

     ร้อยโทหนุ่มพายมเดินมาอีกห้องหนึ่งซึ่งอยู่เกือบในสุดของบ้าน มือใหญ่ไขกุญแจเข้าด้านในก่อนจะให้ยมเดินตามเข้ามา

       “นี่ห้องนอนเดิมของเจ้าของเรือนคนก่อน ฉันยกห้องนี้ให้ยมก็แล้วกัน อย่างไรห้องนี้ก็ไม่ได้ถูกใช้อยู่แล้ว”

      แม้ห้องจะมีสภาพเก่า แต่ก็ยังไม่ถึงกับทรุดโทรมนัก ด้านในมีเพียงเตียงวางติดกับบานหน้าต่าง ใกล้ๆมีโต๊ะขนาดเล็กไว้เขียนหนังสือ และยังมีตู้ใหญ่ที่ทำจากไม้สักไว้สำหรับเก็บเสื้อผ้าหรือของใช้จุกจิก

       “คุณโดมไม่ได้นอนห้องนี้หรือขอรับ?” ยมถามด้วยความสงสัย เพราะหากร้อยโทหนุ่มยกห้องนี้ให้ แล้วเจ้าของเรือนนอนที่ใดกัน

       “ฉันนอนอยู่อีกห้องน่ะ” คุณโดมตอบ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องพูดคุย “ไว้ตอนเย็น ฉันจะพาไปซื้อเสื้อผ้ากับของใช้ให้ยมนะ ส่วนหมอนมุ้งมีอยู่ในตู้เสื้อผ้า ยมจัดการเองได้ใช่ไหม?”

      “ขอรับ...” ร่างน้อยนั่งหมอบกราบผู้มีพระคุณรวดเร็วจนคุณโดมไม่ทันห้าม “บ่าวขอบพระคุณคุณโดมนักขอรับที่ให้ที่ซุกหัวนอนแก่บ่าว บ่าวจะตั้งใจทำงานบ้านรับใช้ตอบแทนขอรับ”

      “ไม่เอาน่ายม...ลุกขึ้นเลย” ร้อยโทหนุ่มประคองคนตัวเล็กขึ้นมาพูดคุยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ที่นี่หาใช่เรือนของคุณอาวินิต ต่อไปยมไม่ใช่ทาส แต่เป็นน้องชายคนหนึ่งของฉัน เข้าใจไหม?”

      เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าจริงจัง ยมจึงจำต้องรับคำร้อยโทหนุ่มที่มองตนไม่วางตา

      “จ้ะ...”

     “ยม...” คุณโดมทิ้งตัวนั่งบนเตียงนุ่ม “ถ้าฉันอยากจะถามอะไรสักอย่างจากยมจะได้ไหม?”

    “จ๊ะ? คุณโดม” เด็กน้อยยังคงเรียกคุณโดมอย่างนี้เช่นเดิม ด้วยไม่กล้าตีเสมอบุตรชายของพระยามนตรีผู้มีพระคุณกับตน

      “ก่อนจะฉันจะเจอยม ฉันได้ไปพบคุณอาวินิตมา” ร่างสูงเริ่มถามคำถามเสียงเครียด “ท่านบอกฉันว่ายมไปขโมยของๆคุณเขมแล้วถูกคุณเขลางค์จับได้ ฉันอยากรู้ด้วยตัวเองว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่”

      เมื่อคุณโดมถามคำถาม ภายในห้องก็มีแต่ความเงียบกริบ คุณโดมมองร่างน้อยที่นั่งคุกเข่าลงบนพื้นห้องเพื่อรอคำตอบ

       “ข้า...ยม ขอสาบานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย” ยมประนมมือเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ น้ำเสียงสั่นเครือเมื่อต้องได้ยินความจริงอันโหดร้ายอีก “ต่อให้ตัวต้องตาย ยมก็ไม่มีทางทรยศต่อพี่เขม”

  ดวงตาหวานล้ำมองผู้มีพระคุณเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ร่างสูงประคองคนตัวเล็กให้ขึ้นมานั่นเสมอตนด้วยความสงสารจากใจ

       รู้ทั้งรู้อยู่แล้วล่ะ...ว่าเขมเป็นคนที่ยมรัก เผลอๆคงรักมากกว่าชีวิตเสียอีก

      “ฉันรู้ ฉันเองก็ไม่เชื่อเหมือนกันว่ายมจะทำ” ใบหน้าคมคายมองเด็กน้อยที่มีแววตาซึมเศร้า “แล้วยมพอจะบอกฉันได้ไหม ว่าเหตุใดถึงออกจากเรือนคุณอามาเช่นนี้?”

        “ยม...”

       แม้จะอยากพูด...แต่ก็ไม่อาจพูดออกไปได้

       ถึงอย่างไรคนที่ทำร้ายตนก็คือมารดาของคุณเขม ถ้าหากเรื่องนี้ทราบถึงทางการ หาใช่เพียงคุณพระวินิตราชศักดิ์จะเสียชื่อในแวดวงสังคม แต่คุณเขมเล่า...

       เมื่อคุณเขมกลับมาจากอังกฤษ คุณเขมจะต้องมีชีวิตในการรับราชกาลที่ยาวไกล

      จะเป็นที่รู้จักในวงสังคมไม่ต่างจากคุณพระ

       จะได้ทำตามความฝันอย่างที่ตั้งใจ

        และจะมีอนาคตที่รุ่งเรืองและได้ทดแทนคุณบิดามารดาอย่างที่บุตรคนหนึ่งได้กระทำ

       ให้เรื่องในอดีต...ตายไปกับตัวนี่แล คงจะดีที่สุด!

        “ยมขอไม่พูดถึงมันอีกได้ไหม” เด็กน้อยก้มหน้าพูด ไม่ยอมสบตากับร้อยโทหนุ่มเพื่อหลบซ่อนแววเศร้า

       “เอาเถอะ” คุณโดมประคองใบหน้าของยมให้สบสายตา ก่อนจะกล่าวกับเด็กน้อยด้วยน้ำเสียงนุ่มแต่แฝงด้วยความจริงจัง   

      “ไม่ว่ายมจะผ่านอะไรมา ฉันขอให้ยมเริ่มต้นชีวิตใหม่เสียที่นี่ ฉันจะไม่ถามเรื่องที่ผ่านมาของยมอีก”



------------------------------------------------------------------50%----------------------------------------------------------------

**ไรท์เพิ่งลงนิยายในนี้ครั้งแรกเพิ่งรู้ว่าลงตอนนึงได้ไม่เกิน20000คำ แต่งงมากเลยค่ะ ตอนนี้ก็ไม่ถึง20000แต่ทำไมอัพไม่ได้ก็ไม่รู้55555 ครึ่งหลังเดี๋ยวมาต่อพรุ่งนี้นะค้าา

ออฟไลน์ snpmrth

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
สนุกมากเลยค่ะ แต่ชีวิตหนูยมน่าสงสารมากค่ะ อยากให้น้องได้เจอความสุขบ้าง  :hao5:
เป็นกำลังใจให้คนแต่งนะคะ♡

ออฟไลน์ Amazing princess

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
เรือนร้าว16(ครึ่งหลัง)
ตอน ขนมเกลือ
คุณโดมพายมออกมาซื้อเสื้อผ้าและของใช้ที่ตลาดใจกลางเมืองเชียงใหม่ แม้เด็กน้อยจะเกรงใจบอกให้ออกมาวันพรุ่งแทนก็ได้ แต่อย่างไรคุณโดมก็บอกว่าขับรถมาไม่ไกลจากเรือนนัก ยมจึงถูกคุณโดมพามาซื้อข้าวของที่ตลาดแห่งนี้จนได้

        ตลาดกลางคืนเมืองเหนือคึกคักไม่ต่างไปจากในพระนครเท่าใด ผู้คนชายหญิงเดินผ่านกันจนละลายตา เสียงบรรดาพ่อค้าแม่ค้าพากันแข่งขันขายของเซ็งแซ่เป็นภาษาเหนือจนยมแทบจะฟังไม่ค่อยออกนัก พอคุณโดมซื้อเสื้อผ้าให้ยมได้ประมาณสองสามชุด ทั้งสองก็มาหยุดอยู่ที่ร้านค้าซึ่งมีผ้าหลากสีมากมายเรียงรายพับไว้

       “ผ้านี้สีดูเรียบๆ เหมาะกับยมดีนะ” มือใหญ่ยื่นผ้าสีนวลที่พับไว้ส่งให้เด็กน้อยพินิจดู

       “จ้ะ สวยดีจ้ะคุณโดม” ยมหัดพูดอย่างที่คุณโดมต้องการให้ชิน เพราะตั้งแต่ออกจากเรือน ยามที่ตนเผลอแทนหรือพูดเหมือนคราที่ยังเป็นทาสทีไร ก็ถูกร้อยโทหนุ่มเอ็ดเสียตลอด

       “ผืนละเท่าไหร่ครับ?”

       “ผืนละสองชั่งกะเจ้า”

      เมื่อได้ยินราคาที่ค่อนข้างสูงก็ทำเอายมแทบจะอ้าปากห้าม แต่ไม่ทัน คุณโดมยังเลือกผ้าที่มีสีอ่อนๆอีกสี่ห้าผืนให้ยมแล้วส่งถุงอัฐให้แม่ค้า

       “ไม่แพงไปหรอก ฉันแค่อยากให้ยมนุ่งผ้าดีๆบ้างก็เท่านั้น”

      เมื่อรับห่อผ้าเสร็จสรรพ คุณโดมก็พายมไปซื้อของจำส่วนตัวอีกเล็กน้อย ก่อนจะพากันผ่านร้านของสดกับขนมนานาชนิดสีสันน่ารับประทานและแปลกตา

        “ปกติแล้วคุณโดมเคยซื้อของสดมาทำกับข้าวไว้บ้างไหมจ๊ะ?” ยมเอ่ยถามขณะที่กำลังเดินผ่านแผงของสด

      “ไม่ค่อยหรอก ปกติฉันจะตุนไว้แค่ข้าวสารและไข่ไก่เสียมากกว่า”

      “หากไม่เป็นการรบกวนจนเกินไป ยมขอให้คุณโดมซื้อจำพวกผักกับเนื้อเพิ่มนิดหน่อยได้ไหมจ๊ะ?”

      “ยมจะทำกับข้าวให้ฉันทานรึ?” ใบหน้าคมเข้มเลิกคิ้ว

      “จ้ะ คุณโดมทานแต่ข้าวกับไข่ไก่ คงจะเบื่อแย่”

   “หึๆ ฉันชินเสียแล้วล่ะ” ร้อยโทหนุ่มหัวเราะน้อยๆ แต่ก็ยอมซื้อของสดตามที่ยมต้องการ ส่วนมากจะซื้อผักสดกับผักดองเสียมากกว่าเนื้อเพราะเนื้อสัตว์จำพวกหมูไก่ปลาค่อนมีราคาสูงนัก

    “ยมจะซื้อของกินอะไรเพิ่มเติมไหม? ผ่านตรงร้านขนมพอดี นั่นไง ขนมเกลือ” คุณโดมชี้ไปยังกองขนมสีเหลืองนวลคุ้นตา เด็กน้อยรีบส่ายหน้ารัว

    “ไม่เอาจ้ะคุณโดม ไม่เอาแล้ว!”

    “ฮ่าๆๆๆ” ริมฝีปากหนาเผยอหัวเราะเมื่อเห็นว่ายมทำหน้าเหมือนตอนที่เขาเล่าเรื่องของขนมเกลือบนรถให้ฟัง “ฉันเย้าเล่นน่า แล้วอย่างอื่นล่ะ?”

     คุณโดมถามเด็กน้อยที่ถือห่อของสดในมือพะรุงพะรัง เมื่อเห็นว่ายมส่ายหน้าเพราะเห็นว่าของที่ซื้อมาตั้งแต่ตอนสายยังพอเหลืออยู่  จึงพาเด็กน้อยกลับเรือนปั้นหยาที่ไม่อยู่ไกลจากตลาดนัก ขณะที่ยมกำลังวางของสดในครัว ร่างสูงก็มาอากัปกิริยาเด็กน้อยอย่างเอ็นดูก่อนจะพูดขึ้นมา

     “ไว้ฉันจะพายมไปซื้อเสื้อผ้าอีกนะ”

     “ไม่ต้องแล้วจ้ะ แค่นี้ก็เพียงพอสำหรับยมแล้ว” เด็กน้อยหันมายิ้มให้ร้อยโทหนุ่ม “ขอบพระคุณคุณโดมมากนะจ๊ะ”

    “ขอบพระคุณอะไรกัน ไม่เอายม ต่อไปนี้ให้พูดขอบคุณแทน ฉันไม่ใช่เจ้าชีวิตยมนะ”

    เด็กน้อยก้มหน้างุดก่อนพยักหน้ารับน้อยๆ “ขอบคุณจ้ะ คุณโดม ยมว่าเดี๋ยวยมจัดของว่างให้ทานก่อนดีกว่า เดี๋ยวจะกินไม่ได้นะจ๊ะ”

     ร่างเล็กเอื้อมมือไปชั้นที่มีจานอยู่ไม่กี่ใบหมายจะมาจัดของคาวหวาน แต่เอื้อมสุดก็แล้วเขย่งก็แล้วอยู่นานสองนานก็ไม่ถึงเสียที ร้อยโทหนุ่มยิ้มกว้าง ส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนจะเดินไปหยุดที่ด้านหลังของเจ้ายมตัวน้อย

     “หยิบไม่ถึงก็ไม่ต้องหยิบนะ...” เสียงนุ่มทุ้มแซ็วหยอกล้อ มือใหญ่เอื้อมหยิบจานทั้งสองใบอย่างง่ายดาย เด็กน้อยทำหน้าบู้บี้หันมาสบตาใบหน้าหล่อแบบลูกครึ่งตะวันตกเข้าพอดี

      ‘ทำไมมันเหมือนกับตอนนั้นเลยนะ...?’

“ทำแบบนี้นะยม...” เมื่อเห็นว่าตอนปิดทองคงตัวเล็กยังทำแผ่นสีทองร่วงลงพื้น มือใหญ่จึงจับมือเล็กคลี่แผ่นปิดทอง แล้วใช้นิ้วโป้งช่วยกดทับจนมันไม่ร่วงลงมาได้อีก

       “ขอบคุณจ้ะ” ยมหันมาสบตาเข้ากับคุณเขมพอดี  พบว่าตอนนี้ร่างเล็กอยู่ในอ้อมกอดของคนตัวสูง ใบหน้าหวานแดงก่ำพร้อมบางสิ่งในอกที่เต้นรัวคล้ายกลอง เมื่อเห็นท่าไม่ดีเด็กหนุ่มจึงค่อยๆมุดออกจากวงแขนแกร่ง นั่นทำให้คุณเขมหัวเราะน้อยๆกับการกระทำน่ารักของเด็กน้อย

      คิดถึง...

      ยมคิดถึงพี่เขมเหลือเกิน...

        “ยม...” เสียงนุ่มทุ้มสะกิดเรียกเมื่ออยู่ๆยมก็เหม่อเงียบไป “ยม!”

        “จะ...จ๊ะ คุณโดม?” ยมเรียกสติกลับคืนมาทันที พอยามที่คิดถึงคนที่อยู่แสนไกลทีไร เป็นต้องเหม่อลอยอยู่ร่ำไป

         “ฉันเทของกินใส่จานแล้ว มาทานด้วยกันสิ”

        คุณโดมวางจานที่ใส่ทั้งข้าวหอม ปลาดุกย่าง น้ำพริกหนุ่ม จิ้นส้มหมูหรือที่คนภาคกลางเรียกแหนม พอรับทานของคาวเสร็จแล้วยังมีขนมเกลือและขนมแปลกชนิดอีกสองอย่างที่ยมไม่เคยลิ้มลอง จานหนึ่งเป็นขนมสีดำหนืดๆมีมะพร้าวขูดโรย ส่วนอีกจานเป็นขนมสีเขียวคล้ายๆขนมชั้นของภาคกลางหากแต่มีถั่วเขียวบดโรยต่างมะพร้าวขูดน่ารับประทาน

       “ขนมสีดำๆน่ะ เขาเรียกขนมเปี่ยง ภาษากลางคือขนมลิ้นหมา” คุณโดมอธิบายเด็กน้อยที่สนอกสนใจกับขนมตรงหน้า “ส่วนอีกจาน เขาเรียกขนมซะละอ่อน หรือขนมถาด ที่พระนครฉันก็เคยเห็นเขาทำเร่ขายกันนะ”

         “อร่อยจ้ะ” เด็กน้อยหยิบขนมลิ้นหมาขึ้นชิม “เหมือนกำลังทานข้าวเหนียวกับถั่วดำก็ไม่ปาน”

         “อร่อยก็ทานเยอะๆนะ จะได้แข็งแรง”

         “ไม่น่าเชื่อเลยนะจ๊ะ ว่าคุณโดมจะมีความรู้เรื่องขนมด้วย” ยมรีบกลืนขนมลงคอแล้วรีบถามด้วยความใสซื่อ นึกว่าร้อยโทหนุ่มตรงหน้าจะเอาแต่ทำคดี จนไม่สนใจเรื่องรอบด้านอื่นเสียอีก

     “ฉันไปทำคดีที่ลำปางบ่อยรองจากเชียงใหม่ ผ่านตลาดไหนก็ชอบซื้อขนมเป็นประจำ จนฉันสนิทกับแม่ค้าบางคนไปแล้วล่ะ”

    คุณโดมยกมุมปากยิ้มๆแล้วหยิบขนมถาดเข้าปาก ยมทานไปไม่ทันไรก็เริ่มอิ่มแปล้ ในขณะที่ร้อยโทหนุ่มยังคงหยิบขนมทั้งสามทานอย่างเอร็ดอร่อย

     “อิ่มแล้วหรือยม? ฉันเห็นยมทานไปไม่กี่ชิ้นเอง”

     “อิ่มแล้วจ้ะ ยมว่าจะไปเก็บเสื้อผ้าข้าวของเข้าตู้เสียหน่อย”

     “อย่างนั้นก็ไปพักเถอะ ถ้าอยากอาบน้ำก็ไปหลังบ้านได้เลย ฉันตักน้ำไว้ตั้งแต่ก่อนไปพระนครแล้ว” คุณโดมบอกพลางยังคงทานขนมตรงหน้าที่ใกล้จะหมด ยมพยักหน้ารับรู้ร่างสูงก่อนจะแอบยิ้มขำ

       คุณโดมทานเก่งจังเลย มิน่าถึงได้ตัวโตนัก

      “ฉันรู้นะว่ายมนินทาฉันอยู่”

      “เปล่านะจ๊ะ ไปแล้วจ้ะไปแล้ว”

    ด้านหลังเรือนปั้นหยาหลังน่ารักเป็นลำคลองกว้างใหญ่ หากแต่ช่วงเวลามืดค่ำไม่ค่อยมีเรือแจวผ่านสัญจรเท่าใดนัก เด็กน้อยนุ่งผ้าขาวม้าถือขันเดินมาเปิดฝาโอ่งใบใหญ่เพื่ออาบน้ำชำระร่างกายที่ไม่ได้อาบน้ำมาสองวันเต็ม แสงจันทร์จากฟากฟ้าสะท้อนเงาในน้ำเป็นวงหน้าสวยงาม หากแต่มีรอยบาปตีตราบนหน้าบดบังความงามไปครึ่งหนึ่ง เด็กน้อยปล่อยให้น้ำตาหลั่งรินในโชคชะตาที่แล้วมาของตน

       ขอให้เวรกรรมระหว่างยมกับคุณเขลางค์จบกันที่ชาตินี้

      ชาติหน้าฉันใด อย่าได้มาผูกพยาบาท ตามล้างตามผลาญตนอย่างไม่มีวันเลิกราอีกเลย

      ยมอาบน้ำชำระร่างกายอยู่เป็นเวลานานจึงจะเสร็จ เรือนร่างแม้จะไม่ขาวมากนัก แต่ก็ไม่ค่อนไปทางคล้ำเต็มไปด้วยหยาดน้ำที่ตักอาบ เด็กน้อยกำลังจะเปิดประตูเพื่อเช็ดเท้าบนผ้าขี้ริ้วให้แห้ง

     “คะ...คุณโดม...” ยมเรียกน้ำเสียงตะกุกตะกัก เมื่อเห็นว่าร่างสูงที่ตอนนี้นุ่งผ้าขาวม้า เปลือยท่อนบนเผยกล้ามเนื้อแข็งแรงสมกับเป็นนายตำรวจหนุ่มกำลังเดินตรงมายังประตูหลังบ้านพอดี

     “อาบน้ำนานเหมือนกันนะเนี่ย ว่าจะไปตามอยู่พอดี” คุณโดมยิ้มทะเล้น

     “เอ่อ...คือ...”

    “หึๆ ไปแต่งตัวเถอะ ฉันเองก็เหนียวตัวไม่ต่างจากยม อยากอาบน้ำจะแย่”

    ร่างสูงเดินสวนคนตัวเล็กเพื่อออกไปอาบน้ำบ้าง แต่ก็ยังไม่วายหันมาถามยมที่ตอนนี้ยืนหน้าแดงด้วยความอายที่ร่างกายของยมแข็งแรงสู้ร้อยโทหนุ่มได้ไม่ถึงเศษเสี้ยว

    “แน่ใจนะว่าอาบสะอาดแน่แล้ว อยากจะอาบกับฉันอีกรอบก็ไม่ว่านะ”

   “มะ...ไม่เอาจ้ะ ยมขอไปแต่งตัวก่อนนะจ๊ะ”

    เด็กน้อยเดินจ้ำอ้าวจะเดินกลับห้อง แต่เพราะยังไม่ทันเช็ดเท้าให้แห้งสนิททำให้ร่างเล็กคล้ายจะลื่นล้มคะมำลงไปกับพื้นอีกครั้ง

     “ดีนะที่รับทัน ฉันช่วยยมเป็นครั้งที่สามแล้วนะ”

     คุณโดม...ช่วยยมไม่ให้ล้มลงกับพื้นอีกแล้วรึ?

   “คุณโดม ปล่อยยมก่อนจ้ะ”

     เด็กน้อยดิ้นเมื่อร่างเล็กสัมผัสถูกกับแผงอกแกร่งเปลือยเปล่า หากอ้อมแขนแข็งแรงยังไม่ยอมปล่อยคนตัวเล็กโดยง่าย จังหวะนั้นเอง สายตาของทั้งสองก็เผลอสบกันโดยไม่ได้ตั้งใจ

     ตึกตัก...ตึกตัก

    เสียงหัวใจเต้นระรัวคล้ายรัวกลองของใครคนใดคนหนึ่งเต้นไม่เป็นส่ำ ริมฝีปากทั้งสองชิดใกล้เกือบสนิท ใบหน้าคมเข้มทำท่าจะโน้มลงมา บรรยากาศชวนเผลอไผลนั้นทำเอายมเกือบจะหลับตาพริ้มรับสัมผัส

   “สัญญากับยมนะ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด พี่เขมจะมียมเพียงคนเดียว”

“พี่ให้สัญญา คนดี”

     พลัน...คำมั่นสัญญาที่ให้ต่อกันกับคนรักที่ห่างไกลก็วนเวียนขึ้นมาในหัว เสียงความทรงจำก้องกังวานราวกับย้ำเตือน ร่างน้อยจึงเบือนหน้าหลบสัมผัสจากชายคนนั้นแล้วมุดตัวออกมาทันที แล้วเหมือนฝ่ายเริ่มที่เพิ่งจะรู้ตัวว่าเกือบทำผิดมหันต์ต่อเด็กหนุ่มก็ได้แต่มองยมอย่างสำนึกผิด

          “ยม...คือว่า...ขอโทษนะ”

         “ไม่เป็นกระไรหรอกจ้ะ มันเป็นอุบัติเหตุ ยมซุ่มซ่ามเอง” ยมส่งยิ้มน้อยๆให้ราวกับเหตุการณ์เมื่อสักครู่ไม่เคยเกิดขึ้น “ยมหนาวแล้วล่ะ ขอเข้าไปแต่งตัวก่อนนะจ๊ะ”

        ครานี้เด็กน้อยเดินช้าๆเพื่อไม่ให้ลื่นล้มเป็นหนที่สองอีก คุณโดมมองตามไปจนกระทั่งยมหายเข้าห้องนอนของตัวเอง ยมอาจทำเหมือนเรื่องเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้นก็จริง หากแต่ร้อยโทหนุ่มกลับตราตรึงดวงตางดงามที่ได้มองชัดเจนกว่าครั้งไหน

        เสียงที่เต้นระรัวที่มาจากใครสักคน...เสียงนั้นดังมาจากด้านในแผ่นอกด้านซ้ายของเขาเองนั่นแหละ



 “สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่ปกปักรักษาเรือนแห่งนี้ หากบาปกรรมของลูกจบสิ้นลงแต่เพียงเท่านี้แล้ว ได้โปรดปกป้องคุ้มครองลูกจากอันตรายด้วยเถิด”

         ร่างน้อยที่ตอนนี้ผลัดเปลี่ยนเสื้อนอนเป็นที่เรียบร้อยก้มกราบสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนหมอนนุ่ม ก่อนจะระลึกถึงคุณพระศรีรัตนตรัยแล้วก้มกราบอีกสามครั้งจึงค่อยล้มตัวลงนอน นี่เป็นครั้งแรกที่ยมได้นอนฟูกที่นุ่มไม่ต่างจากหมอนเหมือนที่ผู้มีฐานะใช้นอนกัน ร่างเล็กพลิกไปมานอนไม่หลับ อาจจะเป็นเพราะแปลกที่ หรือไม่คุ้นกับฟูกแบบนี้กระมัง

       แต่ที่สำคัญ...

      “พี่เขม...” ดวงตาหวานล้ำมองพระจันทร์ที่เหมือนจะยิ้มปลอบใจให้ “หวังว่าพี่เขม จะระลึกถึงสัญญาของเราได้นะจ๊ะ”

      คำมั่นสัญญาในครานั้น...ทำให้ยมระลึกถึงพี่เสมอมา

      ยมคิดถึงพี่เหลือเกิน...อยากอ่านหนังสือให้พี่ฟังอีกสักครั้ง

      อยากจะกลับไปหาดวงใจของตน

      แต่กลับไปไม่ได้...

     “พักนี้เราร้องไห้บ่อยจัง” มือน้อยปาดน้ำตาที่เริ่มหลั่งรินอีกหน ริมฝีปากยกยิ้มน้อยๆบอกกลายๆให้เข้มแข็ง “ยมยังระลึกความรักของเราเสมอเลย เราต้องเชื่อใจพี่เขมสิ”

      ยมค่อยๆข่มตาให้เข้าสู่นิทราโดยมีดวงจันทร์ขับกล่อม จนกระทั่งคนตัวเล็กเอนกายหลับสบายราวกับไม่ทุกข์ร้อนสิ่งใดอีก

      แม้ใจหนึ่งสุดจะหวั่นกลัว...ว่าคนรักที่ห่างไกล อาจลืมเลือนความสัมพันธ์ และคำมั่นสัญญา!



**เป็นกำลังใจให้หนูด้วยนะค้าาา ย้ำอีกครั้งว่าเพิ่งเคยแต่งครั้งแรกอาจจะผิดพลาดไปบ้าง ติชมได้เลยค่า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-01-2018 15:21:35 โดย Amazing princess »

ออฟไลน์ คุณซี

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 205
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ยมมมมม ฟ้องพี่โดมไปสิ่!! แง้ขุ่นพระกลับมาช้า เราย้ายเรือไปหาพี่โดมแล้ว!

ออฟไลน์ Kei

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
สงสารยม :hao5:

ออฟไลน์ Amazing princess

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
เรือนร้าว17(ครึ่งแรก)
ตอน ถวิล
     คุณโดมออกมาเดินเล่นภายในสวนตั้งแต่เช้ามืด แม้ยามปกติจะชอบวิ่งรอบๆตามบ้านเรือนอื่นถัดไปมากกว่า แต่เพราะรู้ว่าเด็กน้อยยังไม่ตื่นก็ห่วงความปลอดภัยมากกว่า จึงทำได้เพียงเดินเล่นสลับกับกระโดดชกลมเพื่อบริหารร่างกายให้แข็งแรง หวังให้ร่างกายขับเหงื่อออกจากร่างกาย รวมถึงภาพเหตุการณ์เมื่อคืนที่ยังไม่อาจสลัดออกไปจากหัวได้เลย

         เกือบทำผิดมหันต์กับยมแล้วไหมล่ะ...

        ร้อยโทหนุ่มออกแรงชกลมแรงขึ้นเพื่อสะบัดภาพในหัวออกมากขึ้น หยาดเหงื่อชุ่มทั้งใบหน้าคมคายและตามเสื้อผ้าลำลองอยู่บ้านสบายๆ จนเมื่อรู้สึกว่ากล้ามเนื้อเริ่มเมื่อยล้าจึงหยุดนั่งเพื่อไม่ฝืนร่างกายต่อจนมากไป

        “แฮ่ก...แฮ่ก...”

       ริมฝีปากหนาสูดปากหายใจเบาๆผ่อนคลาย ใบหน้าที่หยาดไปด้วยเหงื่อจากการออกกำลังหงายขึ้นมองฟ้า ดวงตาสีนิลแบบฝรั่งปิดลงน้อยๆไม่ให้หยาดเหงื่อเข้า กายขาวค่อนไปทางคล้ำด้วยปฏิบัติงานรับใช้แผ่นดินตรากตรำกระเพื่อมขึ้นลงจากการหอบ เมื่อพอหายเหนื่อยแล้วจึงยันกายลุกขึ้นเดิน แล้ววักน้ำจากตุ่มใบเล็กที่ตั้งอยู่หน้าบ้านชำระเหงื่อไคลก่อนจะเปิดประตูเข้าบ้าน

     แกร่ก...แกร่ก

     กลิ่นหอมโชยมาจากในห้องทำครัวที่ปกติร่างสูงแทบไม่เคยย่างกรายเข้าไปช่วงเช้า เพราะส่วนมากคุณโดมมักอาศัยหิ้วท้องไปยังที่ทำงานหรือไม่ก็อาจเป็นข้าวเหนียวกับน้ำพริกในตลาด นานครั้งที่จะเข้าไปต้มไข่ไก่ที่ซื้อมาตุนไว้กับข้าวที่หุงค้างคืนประทังหิว หากแต่วันนี้ห้องทำครัวดูสะอาดสะอ้านกว่าเมื่อวาน คุณโดมแอบมองคนตัวเล็กกำลังเจียวกระเทียมส่งกลิ่นหอมจากกระทะอย่างคล่องแคล่ว ใกล้ๆนั้นมีเนื้อสัตว์กับผักอย่างอื่นที่ซื้อมาเมื่อคืนวางเคียงไว้ด้วยกัน

       “ยม...”

      “คุณโดม...” ยมหันมายิ้มให้กับร่างสูงที่พิงหลังมองอยู่ไม่ไกล “รอสักครู่นะจ๊ะ ยมกำลังทำสำรับเช้าอยู่ วันนี้คุณโดมไม่รีบออกไปทำงานใช่ไหม?”

      “ยังหรอก กว่าจะออกไปก็ตอนสายๆนู่นน่ะ” คุณโดมเดินเข้ามาใกล้คนตัวเล็ก “ทำอะไรบ้างเนี่ยหื้ม?”

      “ยมกำลังทำข้าวต้มหมูจ้ะ แล้วก็ว่าจะทำไชโป๊ผัดไว้ทานเคียงกับไข่เจียว อ้อ แล้วก็มีหมูฝอยอีกอย่างด้วยจ้ะ”

       “แค่กลิ่นกระเทียมเจียวก็น่าทานแล้ว” คุณโดมยื่นจมูกดมกลิ่น “อยากทานแล้วสิ”

      “คุณโดมไปอาบน้ำก่อนเถอะจ้ะ ออกมาอีกทีสำรับคงจะเสร็จ”

      “เหม็นเหงื่อฉันรึยม?” คุณโดมแกล้งถามยิ้มๆ เมื่อเห็นว่ายมขยับตัวไม่เข้าใกล้

      “จ้ะ เหม็น” เด็กน้อยตอบไปตามตรง ร่างสูงหัวเราะน้อยๆ เขายื่นมือไปลูบศีรษะคนตัวเล็กอย่างเอ็นดูก่อนที่จะเดินออกจากครัวเพื่อไปอาบน้ำชำระร่างกายตามที่เด็กน้อยบอกจริงๆ

       ร่างสูงตักน้ำชโลมกายชะล้างเหงื่อไคลอย่างสบายใจ ช่วงเช้ามืดเรือสัญจรยังไม่ค่อยสัญจรมากมาย เพราะปกติแล้วจะเริ่มทยอยออกมาค้าขายเมื่อช่วงที่พระอาทิตย์ขึ้นตรงหัวเสียมากกว่า ร้อยโทหนุ่มมองฟ้าไกลที่ยามนี้เริ่มเข้าใกล้สู่เช้าวันใหม่เต็มที

      เหตุการณ์เมื่อคืน...จะไม่มีทางเกิดขึ้นอีก

     คุณโดมตั้งใจบอกกับตัวเอง พร้อมๆกับตักน้ำชโลมกายเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อหยุดคิดถึงเหตุการณ์นั้น ร่างสูงเช็ดตัวเล็กน้อยแล้วเดินกลับมาแต่งกายเครื่องแบบร้อยตำรวจโทซึ่งมีป้ายชื่อกำกับไว้เป็นความน่าภาคภูมิใจ

     ร.ต.ท.ดนัย  มนตรีพาณิชย์

    ถึงอย่างนั้นก็เถอะ...พระยามนตรีผู้เป็นบิดาดูจะยังเฉยชากับตำแหน่งใหม่ที่เพิ่งได้รับอยู่ดี เพราะตอนที่กลับพระนคร เขาก็ถูกบิดาบ่นอยู่เสมอเกี่ยวกับยศตำแหน่งว่าได้รับช้า...ทั้งที่มีบิดาเป็นถึงพระยา

‘ถ้าเจ้าได้เป็นทหารอาสาไปร่วมรบที่ยุโรปตั้งแต่แรก ป่านนี้เจ้าคงได้เลื่อนยศสูงกว่านี้ ดูซิ! นี่กว่าจะได้เลื่อนยศเป็นร้อยโท ก็ต้องตรากตรำเสี่ยงชีวิตลุยจับโจรที่มันพร้อมจะฆ่าเจ้าได้ทุกเมื่อ’

      ก็จริงอยู่...เพราะมีครั้งหนึ่งที่คุณโดมถูกชักชวนให้ไปเป็นทหารอาสาในสงครามครั้งที่ผ่านมา ด้วยมีระดับเป็นถึงนักเรียนอังกฤษและมีบิดาเป็นยศถึงพระยา แต่สุดท้าย...คุณโดมเลือกที่จะไปทำคดีที่เชียงใหม่แทน ช่วงนั้นเชียงใหม่มีการปล้นฆ่าชิงทรัพย์เกิดขึ้นบ่อยครั้ง แม้คราแรกท่านพระยาจะมิใคร่พอใจนัก หากแต่ไม่อาจขัดความตั้งใจของบุตรชายคนโตได้ ประกอบกับช่วงนั้นท่านพระยาต้องจัดการฝากฝังคุณดอม...น้องชายต่างมารดาของคุณโดมให้เข้ารับราชการหลังเรียนจบอีกด้วย ทำให้ได้เพียงแค่พร่ำบ่นสาปส่งก่อนคุณโดมจะเดินทางก็เพียงเท่านั้น

     ครั้นเมื่อร้อยโทหนุ่มแต่งกายเต็มยศเป็นที่เรียบร้อย ก็เดินกลับมายังห้องทำครัวซึ่งมีทั้งข้าวต้มหมูร้อนๆ เคียงผัดไชโป๊ ไข่เจียว แล้วก็หมูฝอยตั้งเต็มโต๊ะ เพียงเท่านั้นก็ทำให้น้ำย่อยของคุณโดมทำงานด้วยความหิว

      “ทานได้เลยใช่ไหมเนี่ย?” คุณโดมถามเด็กน้อยยิ้มๆ พอยมหันมาตอบเป็นเชิงบอกว่าทานได้ ร่างสูงจึงนั่งลงบนเก้ากี้ไม้ แล้วหยิบช้อนเพื่อเตรียมตักข้าวต้มหมูที่ส่งกลิ่นหอมน่าทานเข้าปาก

     “ไม่มานั่งทานกับฉันหรือยม?” ร้อยโทหนุ่มเอ่ยถามอีกครั้งเมื่อเห็นยมกำลังหันหลังทำอะไรบางอย่างอยู่ใกล้ๆเตาประกอบอาหาร

     “พอดีเห็นว่าในนี้มีปิ่นโตเก็บไว้อยู่ ยมก็เลยจะแบ่งกับข้าวไว้ให้คุณโดมไปทานที่ทำงานน่ะจ้ะ”

     “อ้อ...” คุณโดมพยักหน้ารับรู้ เพราะเคยซื้อปิ่นโตเก็บไว้เมื่อนานมาแล้วจริงๆ แต่ก็ถูกเก็บไว้ในครัวไม่เคยนำมาใช้เสียที ก็ดีเหมือนกัน เขาเองก็เริ่มเบื่อๆกับชีวิตที่ต้องไปซื้อกับข้าวข้างนอกทานเต็มทีแล้ว

     “เมื่อคืนหลับสบายดีไหมยม? แปลกที่หรือไม่?”

     พอเห็นยมจัดแจงปิ่นโตเสร็จแล้วกลับมานั่งร่วมโต๊ะด้วย คุณโดมก็ชวนยมพูดคุยเพื่อไม่ให้มื้อเช้าเงียบเหงาจนเกินไป

     “นิดหน่อยจ้ะ ยมไม่เคยนอนฟูกมาก่อน ต้องนอนดิ้นไปมาอยู่นานกว่าจะหลับลง”

     ดวงตาสีนิลแบบฝรั่งมองเด็กน้อยด้วยความสงสารชั่วครู่ แล้วจึงเปลี่ยนเรื่องไปเรื่อยๆ เพื่อให้คนตัวเล็กทานข้าวอย่างมีความสุขจนกับข้าวพร่องไปไม่น้อย

     “ฉันอิ่มแล้วล่ะ ยมออกไปส่งฉันทีสิ”

      ร่างสูงในเครื่องแบบร้อยตำรวจโทก็เดินไปที่รถยนต์ที่จอดหน้าเรือนปั้นหยาโดยมียมเดินตามมาส่ง ในมือถือปิ่นโตติดออกมาด้วย

     “ข้าวกลางวันจ้ะคุณโดม”

     “ขอบใจมากนะยม” คุณโดมรับปิ่นโตจากเด็กหนุ่ม แล้วกำชับก่อนจะก้าวขึ้นรถ“อยู่เรือนคนเดียวน่ะ ลงกลอนไว้ให้ดีนะ อยู่คนเดียวได้ใช่ไหม?”

      “จ้ะ ยมอยู่ได้ ยมจะลงกลอนหลังจากคุณโดมออกไปแล้วนะจ๊ะ”

      “ดีมาก อย่างนั้นฉันไปก่อนนะ” คุณโดมเปิดประตูรถ ก้าวขึ้นไปนั่งแต่ยังไม่ปิดประตู “อ้อ...ขอบใจที่ทำปิ่นโตให้ฉันไปทานมื้อกลางวันด้วยนะยม”

      พอยานพาหนะสีดำออกเคลื่อน เด็กน้อยมองตามไปสักพักจนรถยนต์ของคุณโดมหายไป ขณะที่ยมกำลังจะเข้าบ้านและลงกลอนตามที่คุณโดมกำชับ ก็ต้องขมวดคิ้วอย่างงุนงงเมื่ออยู่ๆมีหญิงวัยประมาณห้าสิบท่าทางใจดีคนหนึ่งจูงเด็กชายตัวน้อยเดินต้อยๆ แล้วทำท่าเหมือนจะเรียกตน

     “เดี๋ยวก่อนจ้ะ”

     กลัว...

     ไม่อยากไว้ใจใครเลย

  “ไม่ต้องกลัวป้าอย่างนั้นหรอกลูก ป้าไม่ได้จะมาทำร้ายเสียหน่อย” แกยิ้มอย่างเป็นมิตรเมื่อเห็นสีหน้าหวาดระแวงของยม สำเนียงภาษากลางชัดถ้อยชัดคำยามเจรจา “ป้าชื่อแจ่ว พอดีเพิ่งย้ายมาจากสุโขทัยเมื่อวานนี้พร้อมลูกหลาน ก็เลยอยากรู้จักคนบ้านใกล้เรือนเคียงไว้น่ะลูก”

     “จะ...จ้ะ...” คนตัวเล็กพยักหน้ารับรู้ แต่กระนั้นในใจลึกๆก็ยังคงหวาดกลัวอยู่ดี ยมไม่อยากหลงเชื่อหน้ากากสองหน้าจากที่เคยถูกหลอกมาแล้วอีก

    “พี่ชายกลัวย่าหนูขมทามมาย?” เด็กชายวัยสี่ขวบที่หญิงชราจูงมาด้วยทำแก้มพองลม แขนป้อมๆเท้าสะเอวจ้องคนตรงหน้าตาแป๋ว “ย่าของหนูใจดีที่สุดในโลก ทำไมพี่ชายทำหน้าอย่างน้าน?”

     แววตาน่ารักของเด็กชายตัวเล็กที่จ้องยมอย่างไม่ถูกชะตาด้วย...กลับไม่ได้ทำให้ยมรู้สึกแย่ ตรงกันข้าม ยมกลับเอ็นดูหนูน้อยคนนี้ตั้งแต่แรกเห็นเลยต่างหาก

    และความน่ารักของหนูขม ทำให้ความระแวงของยมเริ่มลดลงได้บ้าง

     “หนูขม อย่าไปว่าพี่อย่างนั้นสิลูก” ป้าแจ่วหันมาปรามหลานชาย “อย่าไปถือสาหลานป้าเลยนะ พ่อชื่ออะไรกันเล่า? แล้วอยู่เรือนหลังนี้คนเดียวรึ?”

    “ฉันชื่อยมจ้ะ” ยมตอบ ปรับน้ำเสียงพูดปกติ เพราะดูไปดูมาแล้ว...ย่าหลานคู่นี้ไม่น่ามีพิษภัยอะไรจะมาหลอกตนหรอกกระมัง “ฉันอยู่ที่นี่กับพี่ชาย พี่ชายฉันเพิ่งออกไปทำงานเมื่อครู่นี้เอง”

    “อย่างนั้นหรือพ่อ” ป้าแจ่วเอ่ยรับรู้ ก่อนจะยื่นผลไม้แปลกตาที่ติดมือมาตั้งแต่ออกจากเรือนยื่นให้ยม “พอดีก่อนมาถึง ลูกชายของป้าซื้อลูกตาวจากชาวสวนมาเยอะ เลยเอามาแบ่งให้เพื่อนบ้านได้ทานบ้างน่ะ”

     “ขอบใจนะจ๊ะป้า” สองมือไหว้ขอบคุณแล้วรับของจากหญิงชรามา

     “ย่าแจ่ว หนูขมหิวแล้ว กลับได้ยาง?” เด็กน้อยกระตุกมือยายแจ่วถามเสียงยานคาง มือเล็กอีกข้างลูบท้องป้อยๆน่าเอ็นดู ยมมองภาพตรงหน้าที่หลานกำลังอ้อนผู้เป็นยายแล้วยิ้มตาม

    “ก่อนออกมาก็กินไปแล้วนี่หนูขม หิวอีกแล้วรึ?” ป้าแจ่วหันไปถามกับเจ้าหลานตัวน้อย ก่อนจะเงยหน้าบอกลายม “ป้าว่าป้ากลับเรือนก่อนก็แล้วกัน”

    “เดี๋ยวก่อนสิจ๊ะ...”

      ยมกลับเข้าไปเก็บลูกตาวด้านในห้องทำครัว ตักหมูฝอยใส่ห่อใบตองที่แบ่งเก็บไว้ทานมื้อกลางวันแล้วเดินกลับมาหาย่าหลานทั้งสองคนที่ยังคงยืนรอที่เดิม

    “หนูขมใช่ไหม...” ทวนชื่อเด็กน้อยเพื่อความแน่ใจ แล้วยื่นห่อหมูฝอยส่งให้หนูขม“ถ้าหิวก็กินหมูฝอยของพี่ไปก่อนก็ได้ พี่ทำเองเลยนะ”

    “พี่ทำเองหรือจ๊ะ?!” หนูขมทำตาโต เพราะหมูฝอยทอดกรอบในห่อใบตองช่างน่ากินยิ่ง ลืมไปเสียสนิทว่าก่อนหน้านั้นแทบจะจ้องเขาเขม็ง ตั้งแง่ไม่ถูกชะตากับพี่ชายคนนี้อยู่แล้ว

    “ไหว้ขอบคุณพี่เขาสิลูก เขาให้ของเรานะหนูขม แล้วก็ขอโทษที่พูดจาไม่ดีใส่พี่เสียเลย อ้อ เรียกพี่เขาว่าพี่ยมด้วยนะลูก” ป้าแจ่วสอนหลานชาย หนูขมยกมือไหว้พี่ชายตรงหน้าก่อนจะรับห่อหมูฝอยนั้นมา

    ถึงใบหน้าพี่ชายจะมีรอยแผลดูน่ากลัว แต่ก็ใจดีเหมือนกันนะ...ให้ของกินหนูขมด้วย

    “หนูขมขอบคุณพี่ยมจ้ะ แล้วก็ขอโทษที่หนูพูดไม่ดีใส่พี่ยมด้วย”

    “ไม่เป็นกระไรหรอกนะ” ยมนั่งยอง ก่อนจะยื่นมือไปลูบเส้นผมสะอาดของเด็กชายอย่างนึกเอ็นดู “หนูขมเป็นเด็กดีเชื่อฟังผู้ใหญ่ ใครๆก็รักหนูขมนะ”

   “พี่ยมใจดีที่สุดเล้ย!” เด็กน้อยยิ้มแป้นไร้เดียงสา เรียกเสียงหัวเราะจากผู้เป็นย่ากับพี่ชายข้างบ้านได้เป็นอย่างดี 

    “แล้วบ้านป้าแจ่วอยู่ไหนกันจ๊ะ?”  ครานี้ยมเงยหน้าถามหญิงชราอย่างใคร่รู้

    “ถัดจากเรือนของพ่อไปอีกสี่หลัง จะมีเรือนหลังเก่าติดกับแปลงสวนครัว ป้าอยู่กับลูกชายกับสะใภ้ แล้วก็หนูขมนี่แหละ แต่วันนี้ลูกชายป้าไปหางานทำกับเมียมันจึงไม่ได้มาด้วย”

     “อ้อ..” ยมพยักหน้ารับรู้ ป้าแจ่วบอกลายมแล้วจะพาเจ้าตัวยุ่งกลับบ้าน แต่แล้วหนูขมกลับไม่ยอมเดินตาม อีกทั้งยังมองยมตาแป๋วแหววน่ารักอีกด้วย

       “หนูขมจะมาเล่นกับพี่ยมนะ  หนูขมชอบพี่ยมจ้ะ”

      คำพูดน่ารักไร้เดียงสาทำให้ยมได้แต่อมยิ้มตาม เด็กอะไรหนอ...น่ารักน่าชัง ยมไม่เคยถูกชะตาเด็กคนไหน เท่ากับหลานของป้าแจ่วคนนี้ได้เลยจริงๆ



   “คุณโดมครับ ไปทานขนมจีนน้ำเงี้ยวหน้าร้านขายของชำกันดีไหม? ไม่ไกลจากที่กรมเท่าใดนัก” เพื่อนตำรวจยศร้อยตรีถามคุณโดมหลังประชุมเกี่ยวกับคดีสำคัญ

      “ขอบคุณที่ชวนนะครับ แต่เห็นทีคงจะไม่ได้ เพราะวันนี้ผมเอาปิ่นโตมาครับคุณกล้า”

      “วันนี้มาแปลกนะครับ ทุกทีไม่เคยเห็นคุณโดมพกปิ่นโต” ร้อยตำรวจตรีกล้าหาญหัวเราะเล็กน้อยอย่างไม่ใส่ใจอะไร  “ไม่เป็นกระไรครับ เดี๋ยวผมไปทานกับแม่วาดเมียของผมก็ได้”

      ร่างสูงเดินลงบันไดมาพร้อมกับร้อยโทกล้าหาญ ก็พบว่าหญิงสาวหน้าตาแช่มช้อยมายืนยิ้มแฉ่งมารอผู้เป็นสามีอยู่แล้ว

      “รอนานไหมแม่วาด?”

     “ไม่นานหรอกค่ะ” แม่วาดเข้ามาคล้องแขนผู้เป็นสามี “แล้วพี่โดมไปด้วยไหมคะ?”

     “พี่ไม่ไปครับน้องวาด พอดีพี่พกปิ่นโตมาแล้ว ไว้โอกาสหน้านะครับ”

     ร้อยโทหนุ่มเอ่ยลาภรรยาของเพื่อนตำรวจอย่างสุภาพ ปกติแล้วคุณโดมไม่ได้ไปรับประทานอาหารกลางวันกับคุณกล้าหาญซึ่งถูกส่งมาประจำการจากพระนครด้วยกันบ่อยนัก บางครั้งก็นั่งทานกับตำรวจคนอื่นในโรงอาหารของกรมตำรวจภูธรเชียงใหม่ นานครั้งที่จะทานตัวคนเดียวก็มีบ้าง หนักสุดคือมีคดีเร่งด่วนเข้ามาจนไม่ได้ทานอะไรเลยก็มี

      ภายในห้องทำงานหนึ่งห้องประกอบไปด้วยโต๊ะไม้ขนาดใหญ่ประมาณสองสามโต๊ะ แต่ละโต๊ะกองสุมไปด้วยเอกสารเขียนสำนวนคดีมากมาย เนื่องจากยามนี้เป็นเวลาพักเที่ยงจึงทำให้ไม่มีใครอยู่สักคน คุณโดมทิ้งตัวบนเก้าอี้อย่างเมื่อยล้า ก่อนจะหยิบปิ่นโตที่ยมเป็นคนจัดมาให้ออกมา ในนั้นมีกับข้าวที่แบ่งมาจากเมื่อเช้า หากแต่เปลี่ยนจากข้าวต้มเป็นข้าวหอมมะลิที่ยมแบ่งเผื่อไว้เพื่อสะดวกต่อการพกมายังที่ทำงาน คุณโดมตักไชโป๊เคียงไข่เจียวเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ พลางอมยิ้มที่รสชาติไม่ต่างจากเมื่อเช้านักแม้กับข้าวจะชืดไปบ้างแล้วก็ตาม

     “ป่านนี้ยมทำอะไรอยู่กันนะ?”

     ร้อยโทหนุ่มพึมพำก่อนจะตักข้าวสวยเคียงไข่เจียวเข้าปาก เด็กน้อยที่อยู่เรือนปั้นหยาเพียงลำพังอาจจะเหงาแย่ รีบทานข้าวแล้วสรุปสำนวนคดีให้เสร็จเร็วๆดีกว่า จะได้ไม่ต้องกลับค่ำมืดให้ยมอยู่คนเดียวนานๆ

---------------------------------------------------------------50%--------------------------------------------------------------------



     

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด