★★ เอื้อมดาว ★★ | อัพรัวๆ 14ตอน | อัพตอนที่ 16 : 100% [04/02/18]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ★★ เอื้อมดาว ★★ | อัพรัวๆ 14ตอน | อัพตอนที่ 16 : 100% [04/02/18]  (อ่าน 17793 ครั้ง)

ออฟไลน์ Foxoxo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 19
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
************************




ขอฝากน้องเอื้อมไว้ในอ้อมอกอ้อมใจทุกคนด้วยนะคะ



If i told i was perfect i'd be lying
If there's something i'm not doing, girl i'm trying
I know I’m no angel, but I’m not so bad

สารบัญ


Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-02-2018 11:54:01 โดย Foxoxo »

ออฟไลน์ Foxoxo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 19
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
บทนำ "คุณจะดื้อหรือเปล่า"


มันเป็นวันรับปริญญาของพี่อ้าย พี่ชายสุดที่รักของผม เป็นวันที่ทั้งร้อนและอบอ้าว จนคนที่สุขภาพไม่ดีเป็นทุนเดิมอย่างผมหน้าซีดเซียว



“เอื้อมครับ ...หายใจลำบากอีกแล้วใช่ไหม” พี่อ้ายถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล และพอเห็นผมไม่มีแรงแม้แต่จะอ้าปากตอบ เจ้าตัวก็รีบอุ้มผมขึ้นโดยไม่อายสายตาประชาชีไปหาที่นั่งพัก



“พี่บอกเอื้อมแล้วนะครับว่าไม่ต้องมาเจอคนเยอะๆ แดดแรงๆ ถ้าเป็นลมหรือไม่สบายขึ้นมาอีกจะทำยังไง” พี่อ้ายดุ หากแต่ก็ไม่กล้าใช้น้ำเสียงรุนแรงกับผม



มันเป็นแบบนี้ประจำ ที่พี่อ้ายมักจะห่วงผมจนเกินเหตุอยู่ตลอด แถมยังชอบให้เหตุผลแปลกๆ ว่าการที่แม่มีผมขึ้นมา มันเป็นการไปปลุกวิญญาณความเป็นพ่อในตัวเขา ดังนั้นพี่อ้ายจึงเป็นคนดูแลประคบประหงมผมมา แย่งหน้าที่พ่อตัวจริง จนโดนคุณพ่อค้อนใส่อยู่เป็นประจำ



“ก็เอื้อมอยากมาอยู่ในวันสำคัญของพี่อ้ายนี่” ผมเถียง



“พี่ก็บอกเอื้อมแล้วนี่ครับว่าจะกลับไปถ่ายรูปกับเราที่บ้าน” พี่อ้ายพูดพลางรับผ้าเย็นจากพ่อที่รีบวิ่งไปซื้อ เพราะกลัวพี่อ้ายแย่งความดีความชอบมาเช็ดหน้าเช็ดตาให้ผม



“บรรยากาศมันไม่เหมือนกันสักหน่อย” ผมบ่นงึมงำ ก่อนจะมองเลยไปทางด้านหลังพี่ชาย ที่มีทั้งรุ่นน้อง เพื่อนๆ และสาวๆ มายืนรอถ่ายรูปกันเป็นกลุ่มใหญ่ ก็แอบรู้สึกผิดนิดๆ ที่มาทำให้งานกร่อย “พี่อ้ายไปถ่ายรูปเถอะ เอื้อมดีขึ้นแล้ว เดี๋ยวจะนั่งรอพี่อยู่ตรงนี้ล่ะ”



“ใช่ แกไปสิ ลูกฉัน ฉันดูแลเอง” พ่อรีบพูดแทรกขึ้นมา จนพี่อ้ายหันไปมองด้วยสายตาระอา



“ก็ได้ครับ” พี่อ้ายยอมพยักหน้าในที่สุด แต่ยังไม่วายหันมากำชับ “ถ้ารู้สึกไม่สบายตรงไหน ให้บอกพี่ทันทีเข้าใจไหมครับ”



“โอ๊ย แกไปสักทีเถอะน่า ฉันก็อยู่ตรงนี้แกจะกลัวอะไร” พ่อรีบสำทับ จนพี่อ้ายยอมผละไปจริงๆ



“พ่อก็ไปด้วยกันสิครับ” ผมพูดกับคนที่ออกปากไล่ แต่แววตาก็ปิดความภูมิใจในตัวพี่อ้ายไว้ไม่มิด แต่อาจจะเพราะผมพูดน้ำเสียงจริงจังไปหน่อย



พ่อเลยหันกลับมามองผมด้วยสีหน้าช็อกสุดๆ “น้องเอื้อมไม่อยากให้พ่ออยู่ด้วยหรือลูก”



คำถามที่ทำเอาผมต้องหลุดถอนหายใจ ....ไปบอกใคร ใครเขาจะเชื่อไหมเนี่ยว่าเป็นท่านนายพล “ไม่ใช่แบบนั้นครับ แค่คิดว่าพ่ออาจจะอยากมีรูปถ่ายคู่กับพี่อ้ายในวันสำคัญแบบนี้”





“ฮึ.. พ่อมาเพราะน้องเอื้อมอยากมาหรอก” พ่อสะบัดหน้าส่งเสียงขึ้นจมูก ท่าทางที่ทำเอาหัวเราะออกมา



“ไปเถอะครับ เอื้อมอยู่ได้” ผมย้ำอีกครั้ง ตามด้วยให้โอกาสพ่อเล่นตัวต่ออีกหน่อย ก่อนที่ท้ายสุดคนปากแข็งก็ยอมเดินเข้าไปหาพี่อ้าย



ส่วนผมนั่งรอไปสักพัก ก็รู้สึกหิวน้ำ มองไปทางพี่อ้ายก็เห็นว่ากำลังโดนรุมล้อม พอดีกับที่นึกขึนได้ว่าตอนเดินเข้ามามีเซเว่นอยู่ไม่ไกลนัก เลยลุกขึ้นเดินออกไป



ระหว่างทางก็เต็มไปด้วยคนที่ต่างมีรอยยิ้มบนใบหน้า ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะต่างก็เป็นวันดีของคนสำคัญกันทั้งนั้น



“อยากไปอยู่กับเราเหรอ”



“เมี้ยวว~ “



คำถามและการตอบรับที่ค่อนจะแปลกประหลาดดังขึ้นระหว่างที่ผมกำลังเดินผ่านตึก ที่น่าจะเป็นของคณะสถาปัตย์



“คุณจะดื้อหรือเปล่า” เสียงทุ้มที่ฟังดูเหมือนลังเลใจ ดึงดูดความสนใจของผมจนอดใจไม่ไหว ต้องแอบย่องไปตามต้นทางของเสียง ซึ่งปรากฏภาพแผ่นหลังกว้างของผู้ชายคนหนึ่งที่สะพายกล้องไว้กับไหล่ กำลังนั่งคุยกับลูกแมวตัวผอมอยู่ตรงมุมตึก



“เมี้ยววว~” ลูกแมวร้องพร้อมกับเอาหัวไปถูๆ ต้นขาอีกฝ่าย



“คุณรับปากก่อนสิว่าจะไม่ดื้อ” คนตัวโตพูดต่อ โดยไม่รู้ว่าคนที่กำลังแอบถ้ำมองอย่างผมกำลังหลุดยิ้ม กับการคุยเป็นตุเป็นตะของอีกฝ่าย



“เมี้ยวว~” ทางฝ่ายลูกแมวก็ขานรับประหนึ่งสื่อสารกันเข้าใจ



“ห้ามกัดโมเราด้วยนะ”



“เมี้ยวว~”



“โอเคดีล..” เสียงทุ้มพูดอย่างพอใจ ก่อนจะอุ้มลูกแมวไว้กับอกด้วยมือเดียว แล้วยืนขึ้นเต็มความสูง



สูงชะมัด ...พอๆ กับพี่อ้ายเลยมั้งเนี่ย ผมมองอีกฝ่ายอย่างสนใจ จนลืมไปว่าตัวเองต้องรีบหลบและทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ มองจนคนตัวสูงหันหน้ากลับมา



และวินาทีนั้น ผมก็รู้สึกเหมือนโดนฟาดอย่างแรงด้วยอะไรสักอย่าง ที่ทำให้รู้สึกตัวชา และใจเต้นจนแทบไม่เป็นจังหวะ อาการป่วยที่ผมไม่คุ้นเคยกับมัน และเพิ่งมารู้ทีหลัง

ว่ามันคือการตกหลุมรัก...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-01-2018 00:00:29 โดย Foxoxo »

ออฟไลน์ Foxoxo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 19
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ตอนที่หนึ่ง "เราหนัก"



สองปีต่อมา..



“เอื้อมครับ ไม่เปลี่ยนใจไปอเมริกากับพี่อ้ายจริงๆ หรือ”





ผมหันไปมองพี่อ้ายช่วยผมลากกระเป๋าใบโตเข้ามาในหอพักนักศึกษาของมหาวิทยาลัย พร้อมกับถามคำถามเดิมๆ ที่ถามผมมาตลอดทั้งเดือนนี้





“ไม่ครับ...” ผมพูดอย่างหนักแน่น จนพี่อ้ายทำหน้างอเหมือนเด็กเกเรโดนขัดใจ “พี่อ้ายครับ พี่อ้ายสัญญากับเอื้อมแล้วนะ ว่าถ้าผลการผ่าตัดหัวใจของเอื้อมออกมาดี พี่จะยอมให้เอื้อมเรียนมหาลัยที่ไทย” ผมมองพี่ชายอย่างอ้อนวอน





“เฮ้อออ..” พี่อ้ายถอนหายใจอย่างจนปัญญา “นี่สินะ ที่เรียกว่าเราเลี้ยงลูกได้แต่ตัว”





“ไม่ใช่สักหน่อย~” ผมเข้าไปกอดเอวคนพูด เอาหน้าซุกกับอกแล้วถูไปถูมาอย่างออดอ้อน “ตั้งแต่พักฟื้นมาเป็นปี ร่างกายเอื้อมก็แข็งแรงขึ้นเยอะ ถ้าเราไปอยู่อเมริกากันทั้งสองคน แล้วพ่อจะอยู่กับใครล่ะ” ผมรีบยกเหตุผลที่พอฟังขึ้นมาพูด





“งั้นพี่อ้ายเรียนต่อเฉพาะทางที่ไทยดีไหมครับ จะได้อยู่ดูแลเอื้อม ตอนแรกที่จะไปอเมริกาก็เพราะอยากพาเอื้อมไปรักษาที่นู่นเท่านั้นเอง”





“ไม่ดีครับ” ผมดึงแก้มคนดื้อ “การมีชื่อบนอเมริกันบอร์ดมันเท่ห์จะตาย”





“แต่พี่อ้ายไม่อยากเท่ ...อยากอยู่กับเอื้อมมากกว่า” พี่อ้ายทำหน้าหนักใจ เหมือนคนไม่อยากไปจริงๆ ทั้งที่ผมน่ะรู้ทัน ว่าพี่อ้ายแค่ต้องการให้ผมบอกว่าจะไปด้วยต่างหาก..





“ต้องไปครับ ทางนู้นก็จัดการเรื่องไว้เสร็จหมดแล้ว จะไม่ไปได้ยังไง” ผมพูดเสียงดุขึ้นมาหน่อย





ฮึ่ยยย! พี่อ้ายยื่นมือมาดึงแก้มผมกลับ แล้วพูดอย่างหมั่นเขี้ยว “อย่าให้รู้นะครับ ว่าไล่ให้พี่อ้ายไปเพราะมีวาระซ่อนเร้นอะไร ไม่งั้นจะกลับมาจัดการทั้งเอื้อมแล้วก็ไอ้วาระซ่อนเร้นนั่นให้ราบคาบเลยคอยดูเถอะ”





แค่กๆ ! ...ผมแสร้งกระแอมกระไอ แล้วเอาหน้าซุกกับอกพี่อ้ายเป็นการหลบเลี่ยงสายตา ส่วนในใจก็ท่อง พุทโธ ธัมโม สังโฆไม่หยุด นี่พี่อ้ายหรือริวจิตสัมผัสอะ ..เซ้นส์จะแรงไปไหน




ตกค่ำ...



กว่าจะอ้อนให้พี่อ้ายกลับไปได้ก็เล่นเอาหมดแรง ผมเดินไปทิ้งตัวลงบนที่นอน ที่เพิ่งปูผ้าปูกลิ่นหอมฉุยลงไป ตาก็มองสำรวจห้องขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ของหอพักมหาลัย ที่ต้องอ้อนวอนพี่อ้ายอยู่เป็นเดือนๆ ถึงจะได้มาอยู่ โดยอ้างเหตุผลว่าจะได้รู้จักเพื่อนๆ เพราะผมเรียนช้ากว่าคนอื่นไปหนึ่งปี เนื่องจากต้องพักฟื้นหลังผ่าตัด ทำให้เพื่อนมัธยมที่เคยเรียนมาด้วยกัน ต่างก็ขึ้นปีสองกันไปหมดแล้ว





ส่วนเหตุผลแท้จริง หรือวาระซ่อนเร้นที่พี่อ้ายพูดถึงนั่นก็คือ ..





ติ๊ง!

 

หมงเท่งหมงเท่งหมงเท่งหมง:

ตัวเร้กกกกก มึงอยู่หอไหนนนน



                                         มนุษย์ดาวอังคาร:

                                         หอแปด



หมงเท่งหมงเท่งหมงเท่งหมง:

เอาแหล่วๆๆ มาวันแรกก้อใช้แต้มบุนเรยนะคะ



                                         มนุษย์ดาวอังคาร:

                                         พี่อ้ายคิดว่ามึงเป็นตุ้ดแล้วอะ

                                         เมื่อไหร่จะเลิกพิมแบบนี้



หมงเท่งหมงเท่งหมงเท่งหมง:

แหมมม อรรถรสสส~

แค่นี้ทัมเปงรับไม่ด้าย

 

                                      มนุษย์ดาวอังคาร:

                                      ขอสาระ!



หมงเท่งหมงเท่งหมงเท่งหมง:

**Picture***



หมงเท่งหมงเท่งหมงเท่งหมง:

เงียบเลยๆ เจอผุ้ชายเข้าไปเงียบเลย

กูจะฟ้องพี่มึง



                                     มนุษย์ดาวอังคาร:

                                     เอามาจากไหน

                                     ในเฟสกับไอจีไม่เห็นมีเลย



หมงเท่งหมงเท่งหมงเท่งหมง:

ว้ายยยยแพ้~



                                        มนุษย์ดาวอังคาร:

                                        ……



หมงเท่งหมงเท่งหมงเท่งหมง:

555555

รูปในกรุ้ปคณะกู

วันนี้เค้าไปเลี้ยงรับน้องกัน

กูกำลังจะออกไป เลยมาชวนมึงเนี่ย

ไปมั้ยคร้าาตัวเร้กกกก



                                        มนุษย์ดาวอังคาร:

                                        คนนอกไปได้เหรอ



หมงเท่งหมงเท่งหมงเท่งหมง:

ได้ดิ ไอ้หมากกับปันก็ไปเนี่ย

เร็วๆ อย่าเล่นตัว

เพราะผู้ชายรอไม่ได้

 

 

 
ครึ่งชั่วโมงต่อมาผมก็มานั่งสงบเสงี่ยมอยู่ในร้าน He mere ร้านที่หมงบอกว่าเพราะเจ้าของร้านชื่อเฮียหมี ร้านเลยออกมาเป็นชื่อนี้…




แต่เอาเถอะมันไม่ใช่ประเด็น เรื่องสำคัญตอนนี้คือการที่ผมโคตรจะทำตัวแปลกแยกในร้านเหล้าที่เด็กถาปัตย์พากันกระดกเหล้าต่างน้ำ เพราะคำสั่งพี่อ้ายที่ข่มขู่ไอ้หมงมา




ถึงจะเข้าใจก็เถอะ ว่าเพราะร่างกายผมมันดื่มไม่ได้ แต่ไอ้แก้วยาคูลท์ปั่นในมือนี่มันคืออะไร!





อายโว้ยย… ผมยกมือขึ้นปิดหน้าอย่างกระอักกระอ่วน ท่ามกลางบรรยากาศเดดแอร์ของคนในโต๊ะ





“เพื่อนกูมันร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง แดกเหล้าไม่ได้ พวกมึงจะมองทำห่าอะไร” หมงช่วยพูดคลี่คลายสถานการณ์ แต่ทำไมมึงต้องกลั้นขำ…





“น่าๆ ตัวเล็ก …เงยหน้าขึ้นมาได้ละ มึงไม่ดูคุณดาวอังคารของมึงเหรอ เดินมานู่นแล้ว” หมากก้มลงมากระซิบข้างหู ส่วนปันก็ยืนมือมาลูบหัวผมอย่างเอ็นดู





และเพราะคำพูดของหมากผมเลยทำใจกล้าเงยหน้าขึ้น แกล้งทำเมินสายตาล้อเลียนปนเอ็นดูของคนในโต๊ะ แล้วมองไปยังร่างสูงของคนที่เดินลงมาจากชั้นสอง




“โคตรหล่อ..” หมากก้มลงมากระซิบ





“โคตรคูล” หมงหันมาพูดสำทับ





“อยากเปงเมีย” ทั้งสองคนแกล้งพูดพร้อมกัน จนปันที่นั่งใกล้พอจะได้ยินก็หันมาหัวเราะกับสองคนนั้นไปด้วย





“เอ้าๆ จ้องไม่หยุดเลยโว้ย …พี่อ้ายจะต้องหลั่งน้ำตาถ้ามาเห็นภาพนี้”





“หมงมึงก็อย่าไปกวนมัน เอื้อมก็รักของเอื้อมเข้าใจบ้างไหม”





ผมมุมปากกระตุกกับการเข้าขากันเกินจริงของเพื่อนตัวเอง “กูไปห้องน้ำนะ! ” ผมหันไปกระแทกเสียงใส่





“ให้กูไปเป็นเพื่อนไหม” ปันถาม ส่วนอีกสองคนหัวเราะคิกคักอย่างถูกใจที่ผมสู้ไม่ได้





“ไม่เป็นไร กูไปแป๊บเดียว” ผมยิ้มให้ปันแล้วค้อนใส่อีกสองตัวข้างๆ ก่อนจะลุกขึ้น




ผมเดินไปเรื่อยๆ โดยแทบจะมองไม่เห็นบรรยากาศรอบๆ เพราะระหว่างทางคนเยอะมากและตัวผมโดนบีบอยู่ตรงกลาง ทำให้ค่อนข้างเดินลำบาก ได้แต่ภาวนาว่าคงไม่มีคนเมาเดินมากระแทกหรือล้มทับ





พลั่ก! ...โอเค แต้มบุญผมอาจจะหมดไปกับการได้อยู่หอแปดแล้ว ร่างผมเซลงไปตามแรงโน้มถ่วงทันทีที่โดนคนเมาไซส์น้องๆ หมีแพนด้า หงายหลังลงมาทับ



ผมหลับตาแน่น




ความคิดเดียวที่แวบเข้ามาในหัวคือ ตายแน่ๆ ตายแน่ๆ ....ถ้าพี่อ้ายรู้เรื่อง ผมตายแน่ๆ





หมับ! อยู่ๆ เอวผมโดนคว้าไว้โดยใครสักคนจากด้านข้าง แล้วลงไปนั่งจุ้มปุ้กอยู่บนตักของคนที่เข้ามาช่วย ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้น เพราะสัมผัสได้ว่าบนโต๊ะแทบจะไม่มีเสียงพูดคุยกัน





ดวงตาคมที่แสนคุ้นเคย เพราะผมมักจะมองมันผ่านรูปภาพอยู่เป็นประจำ เป็นสิ่งแรกที่ผมเห็น...ผมไล่สายตาลงมาเรื่อยๆ ค่อยๆ รวบรวมสติที่หลุดหายไปให้กลับคืนมา





มาร์! คนที่ผมนั่งทับอยู่คือพี่มาร์



ทันใดนั้นในหัวผมก็ปรากฏทางเลือกขึ้นเพียงสองทาง คือหนึ่งแกล้งตาย


และสอง



...ก็คือแกล้งตายอีกนั่นแหละ





“ห่า กูคิดว่ากำลังนั่งอยู่ในซีรีส์เกาหลี” เสียงติดตลกของใครสักคนดังมาเข้าหู แต่ผมไม่สามารถจะหันกลับไปมองได้ เพราะเอวยังถูกมือของใครบางคนโอบไว้อยู่




“คุณ” เสียงทุ้มเรียกผมเสียงเบา




“หือ..” ผมตอบกลับไปอย่างเหม่อๆ




“ลุกขึ้นก่อนได้มั้ย ...เราหนัก”



พรึ่บ! ผมสะดุ้งตัวขึ้นทันทีที่ฟังจบ อายจนอยากจะมุดหน้าลงไปเงียบๆ กับโต๊ะ แต่ก็ทำไม่ได้ “ขอโทษครับ เอื้อมขอโทษ คุณหนักมากหรือเปล่า” ผมรีบละล่ำละลักถาม




“ล้อเล่นหรอก ตัวคุณแค่นี้เอง” พี่มาร์สองนิ้วเข้ามาประกบกัน แล้วเหลือช่องว่างเล็กๆ ไว้




“สัดมาร์ มึงอย่าแกล้งน้อง เห็นตัวเล็กๆ นี่ไม่ได้เลย ความทาสแมวกำเริบ” พี่กัน ที่ผมรู้จักเพราะเพื่อนสนิทของพี่มาร์พูดขึ้น ก่อนจะหันมามองผม




“น้องอยู่ถาปัตย์เหรอ ทำไมตอนรับน้องไม่เห็นเลยอะ น่ารักแยงตาขนาดนี้พี่พลาดไปได้ไงอะ อั๊ยยยยย”




“กัน...มึงหุบปากได้ไหม”




“แค่นี้ต้องเกรี้ยวกราดเหรอ ทำไมไม่อ่อนโยน” ผมหลุดยิ้ม เพราะคิดว่าท่าทางของพี่กันมันมีความคล้ายกับหมงอยู่มาก




“คุณยิ้มทำไม เข้าข้างกันเหรอ” พี่มาร์ตวัดสายตามาทางผม




“เอื้อมเปล่าเข้าข้าง ...แค่คิดว่าพี่เค้านิสัยเหมือนเพื่อนคนนึงเลยยิ้มออกมา”




“ตัวเล็ก!” ยังไม่ทันจะได้คุยอะไรต่อ หมงก็วิ่งลุกรี้ลุกรนเข้ามาหา ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างโล่งใจตอนเห็นหน้าผม





“มึงจะบ้าเหรอ หายมานานขนาดนี้ แถมยังไม่รับโทรศัพท์พี่อ้ายอีก กูเกือบโดนพี่มึงมาลากคอไปกระทืบแล้วเนี่ย”




“พี่อ้ายโทรมาเหรอ” ผมทำหน้างงก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู




โอ้ shit สิบมิสคอล ... ผมเงยหน้าขึ้นมองหมง พูดด้วยเสียงสั่นๆ “กูปิดเสียงไว้อะ”




“โอ้ยตัวเล็ก ถ้ามึงจะบื้อขนาดนี้นะ” หมงยื่นมือมาผลักหัวผมเบาๆ “งั้นกลับกันตอนนี้เลย ไอ้หมากเมาเป็นหมาแล้ว เดี๋ยวกูไปส่งมันที่หอห้าก่อน แล้วค่อยวนไปส่งมึงที่หอแปด”




“หมงนี่เพื่อนมึงเหรอ” พี่มาร์ที่นั่งเงียบมาได้สักพักถามขึ้น จนหมงที่เพิ่งรู้ตัวว่ามีคนอื่นนั่งอยู่ด้วยหันไปมอง แล้วกลับมาเบิกตากว้างพร้อมกับยิ้มล้อเลียนใส่ผม




“ไม่ได้เลยย คิดว่าหายไปไหน ...มาหาผุ้ชายนี่เอง” เพื่อนตัวแสบก้มลงมากระซิบ ก่อนจะหันไปตอบพี่มาร์




“ใช่พี่ เพื่อนผมเอง ...นี่ก็ว่าจะมารับมันไปส่งที่หอแปด”




“คุณอยู่หอแปดเหรอ” พี่มาร์ถามผมบ้าง




“ครับ” ผมพยักหน้า




“เราก็อยู่หอแปดเหมือนกัน” พี่มาร์พูดอีก




“ครับ” ผมก็พยักหน้าอีก




“งั้นหมง มึงกลับไปได้ละ” คราวนี้พี่เค้าเปลี่ยนเป็นหันไปพูดกับหมงที่พยักหน้ารับ แล้วหันมายิ้มกรุ้มกริ่มใส่ผม ปากก็พึมพำว่า ร้ายกาจๆ อะไรของมันสักอย่าง ก่อนจะเดินออกไป




พอเห็นเพื่อนเดินไปผมก็เตรียมจะตามไปด้วย แต่โดนคนตัวสูงยื่นมือมารั้งไว้ “คุณจะไปไหน”




“กลับหอไงครับ” ผมถามทำหน้างงใส่




“คุณนี่โง่จัง”




“.....”




“แต่ก็น่ารักดี เหมือนคุณชื่นที่ห้องเรา J” ถ้าเป็นปกติผมคงจะยิ้มอย่างดีใจไปแล้ว แต่มันติดที่ผมดันรู้ว่าคุณชื่นที่พูดถึง คือเจ้าลูกแมวตัวสีขาว ที่พี่เขาเก็บไปเลี้ยงเมื่อสองปีก่อน




โดนบอกว่าเหมือนยัยแมวอ้วนแสนดื้อตัวนั้น อยากจะดีใจก็ยิ้มไม่ออกจริงๆ !


ออฟไลน์ Foxoxo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 19
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ตอนที่สอง "ไม่เคยจูบแน่ๆ"

สุดท้ายผมก็มานั่งอยู่บนรถพี่มาร์แบบงงๆ หันไปมองพี่กันที่เมาหลับไปแล้วทางด้านหลัง

ก่อนจะเหลือบสายตาไปมองพี่มาร์ที่นั่งอยู่ด้านข้างตรงที่คนขับ อยู่ๆ ในหัวก็มีความคิดบางอย่างแวบเข้ามา





มันเป็นหนังสือที่ผมเคยอ่านเมื่อไม่นานมานี้ ‘จงกำหนดจิตและมองไปที่คนที่เราแอบชอบ แล้วคิดสิ่งเราอยากให้เขาทำ ถ้าเขาทำตามที่เราคิด หมายความว่าเขานั่นแหละคือเนื้อคู่คุณ’ เอาวะ!





ผมค่อยๆ หันไปมองพี่มาร์ แล้วตั้งสมาธิจริงจังซะยิ่งกว่าตอนจะสอบเข้ามหาลัย จงหัน.. จงหัน... จงหัน...






แปะ! …อยู่ๆ ก็มีอะไรบางอย่างวางลงบนมือ จนผมต้องละสายตาจากพี่มาร์ก้มลงมองอะไรบางอย่างที่ว่า






...ลูกอมรสโยเกิร์ต?






“ให้เอื้อมเหรอ” ผมหันไปถามพี่มาร์ที่ยังคงมองตรงไปที่ถนนโดยไม่ได้มองกลับมา





“ก็คุณมองเรา” คำตอบที่โคตรจะไม่ตรงคำถาม





“เอื้อมมองคุณ ...แล้วคุณให้ลูกอมเอื้อมทำไม” แทนที่หันกลับมา อดกลายเป็นเนื้อคู่กันเลยเนี่ย ฮือๆ





“ก็ตอนคุณชื่นมองเรา เราก็เอาขนมให้นี่” พี่มาร์ตอบเสียงซื่อ แต่ผมแทบจะหลั่งน้ำตา นี่พี่เขายังไม่เลิกเอาผมไปเปรียบเทียบกับยัยแมวอ้วนนั่นอีกเหรอ





“ใครคือคุณชื่น” ผมแกล้งถาม แต่จุดประสงค์คืออยากพี่เขารู้สักทีว่านั่นมันคือแมวนะ





“คุณชื่นคือเพื่อนเรา” โอเค ผมควรจะเลิกหวัง




เป็นแมวก็แมววะ เอาที่สบายใจเลย...





“คุณพกลูกอมไว้กับตัวเหรอ” ผมถอดใจและเปลี่ยนไปถามเรื่องอื่นแทน





“ใช่ ...พกไว้ตลอดด้วย ทำไมล่ะ” พี่มาร์ถามเสียงเหมือนเด็กเกเร





“เปล่าครับ แค่คิดว่าแปลกดี”





“คุณน่ะไม่รู้อะไร” พี่มาร์พูดก่อนจะเว้นวรรคไปนิดนึง รอจนรถจอดตรงไฟแดง แล้วหันหน้ากลับมามอง “เวลาจูบกันแล้วมีรสชาติลูกอมอยู่ในปากน่ะ อร่อยอย่างกับอะไร :)





ผมรู้สึกได้ว่าหน้าผมร้อนจี๋ทันทีที่พี่เขาพูดจบ ไม่ต้องเดาก็รู้เลยว่ามันคงจะโคตรแดง ... ให้ตายเถอะ อย่ามาพูดเรื่องแบบนี้ด้วยหน้ายิ้มๆ แบบนั้นได้ไหม!





“ดูหน้าคุณดิ ...ยังไม่เคยจูบกับใครแน่ๆ” พี่มาร์ยิ้มเหมือนถูกอกถูกใจมาก





“ก็ใครจะไปช่ำชองแบบคุณล่ะ” ผมค้อนใส่ ดูแววตาล้อๆ นั่น ก็แทบจะลืมไปว่าเป็นคนที่ตัวเองชอบ อยากจะยื่นมือไปตะกุยหน้าหล่อๆ นั่นชะมัด





“คุณห้ามโกรธเรา เพราะคุณรับลูกอมเราไปแล้ว” พี่มาร์เลิกคิ้วใส่ลูกอมเจ้าปัญหาในมือ พอดีกับที่สัญญาณไฟเปลี่ยน อีกฝ่ายเลยต้องหันไปตั้งใจขับรถ ส่วนผมก็หันกลับมานั่งสงบจิตสงบใจ แล้วแอบกลั้นยิ้มอยู่คนเดียวเงียบๆ ...




ยอมรับก็ได้ว่าดีใจ ที่ได้คุยกันเยอะขนาดนี้ ...





กลับมาถึงหอ ..พี่มาร์ก็ลงไปปลุกพี่กันที่นอนหลับเป็นตายอยู่ด้านหลัง แต่พอตื่นขึ้นมา ก็ยังมีความสามารถเดินโซซัดโซเซกลับห้องตัวเองไปได้





สามคน หนึ่งเมา สองปกติ เดินเข้าลิฟต์ตัวเดียวกัน พี่กันออกไปตอนชั้นสอง ส่วนผมกับพี่มาร์อยู่ชั้นเดียวกัน คือชั้นสี่





“ไม่เห็นรู้เลยว่าคุณอยู่ชั้นเดียวกับเรา” พี่มาร์ถาม





“ก็เอื้อมเพิ่งย้ายเข้ามาวันนี้”





“เหรอ” พี่มาร์เลิกคิ้ว “อยู่ห้องไหนล่ะ”





“ห้องริมสุดของชั้นครับ”





พี่มาร์ทำหน้าคิดนิดหน่อย ก่อนจะก้มลงมองผมแล้วยิ้มแปลกๆ “คุณไม่กลัวผีเหรอ”





“ทำไมครับ” ผมมองคนถามอย่างไม่ไว้ใจ





“คนก่อนที่เคยอยู่น่ะ แขวนพระเต็มตัว”





“เค้าอาจจะชอบเพราะเครื่องก็ได้” ผมพูดเหมือนไม่คิดอะไร แต่ความจริงผีน่ะ เป็นสิ่งที่ผมกลัวเป็นที่สองรองลงมาจากพี่อ้ายตอนโกรธเลย





“หึหึ..ก็อาจจะใช่” พี่มาร์หัวเราะ ก่อนจะหยุดเดินเมื่อถึงห้องของตัวเอง “ถ้ากลัวก็มาเคาะห้องเรา”





“คุณจะมาอยู่เป็นเพื่อนเอื้อมเหรอ” ผมมองอย่างซาบซึ้ง





“เปล่า... เราจะเอาพระให้”





“หึหึ..” พี่มาร์หัวเราะถูกใจเมื่อผมอ้าปากค้างกับคำตอบกวนประสาทของตัวเอง ก่อนจะเอื้อมมือมายีหัวผมจนยุ่งเหยิง “เราเข้าห้องละ ฝันดีนะคุณ”





แกร่ก! ประตูห้องตรงหน้าปิดไป พร้อมกับผมที่ยังยืนอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าอึ้งๆ ค่อยๆ ใช้สองมือขึ้นจับหัวตัวเองที่ตรงตำแหน่งที่โดนใครบางคนสัมผัส ...





ฮือออ... บัดซบ! ทำไมเราหยุดยิ้มไม่ได้





ผมหันไปเตะกำแพงด้านข้างแก้เขิน พลางเดินยิ้มเหมือนคนเสียสติเข้าไปในห้องตัวเอง




บ่ายวันถัดมา..





ผมนั่งฟุบอยู่ที่โต๊ะ ตรงลานหน้าคณะอย่างหมดสภาพ โดยข้างๆ มีหมงกับปัน ที่มาชวนไปกินข้าวเที่ยงนั่งมองอย่างเวทนา





“เห็นสภาพแบบนี้แล้วกูคิดดีไม่ได้เลย ...ว่าไหมคะปันปัน” หมงยื่นปากกาไปจ่อปากถาม แต่ก็ได้รับรอยยิ้มขำเป็นคำตอบ จนเจ้าตัวทำหน้าเซ็ง ที่ลูกคู่อย่างหมากไม่อยู่ด้วยกัน





“เมื่อคืนนอกดึกเหรอตัวเล็ก” ปันถามพลางลูบหัวผมอย่างเป็นห่วง





“อือ... เกือบเช้าอะ” ผมตอบเสียงยานคาง





“ไหน ขยายซิ..” หมงทำหน้าอยากรู้อยากเห็น จนผมต้องคว้ายางลบที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ ปาใส่อย่างหมั่นไส้





“คิดแต่เรื่องไม่ดีมึงอะ” ผมว่า





“ก็แหมม..มาวันแรกก็ขึ้นรถไปกลับผู้ชายแล้ว จะคิดดีได้ไงคะคูมกิตติ”





“มึงช่วยพูดภาษาปกติได้ปะ” ผมเหลือกตาใส่





“เนี่ยทำเป็นมาโมโหกลบเกลื่อน ต้องมีลับลมคมในอะ ...จะบอกดีๆ หรือจะบอกพี่อ้ายคะ”





ผมยืดตัวขึ้นกำลังจะอ้าปากด่ากลับ แต่ดันมีเสียงชวนขนลุกของใครบางคนแทรกมา พร้อมกับคว้าตัวผมเข้าไปกอดแบบเต็มไม้เต็มมือ “น้องเอื้อม ลู้กกกกกกกกก….”





“พี่ทศ? ” ผมแงะตัวออก พร้อมกับเอ่ยชื่อคนที่ทำหน้าตึงทันทีที่ผมเรียก





“ทซซี่ลูก ไม่ใช่ทศเฉยๆ” อีกฝ่ายยื่นมือมาดึงแก้มผม





“ครับๆ พี่ทซซี่” ผมยิ้มแหย พลางเอามือกุ้มแก้มที่โดนดึงจนแดงเป็นปื้น





“แล้วสองคนนี่ใครจ๊ะ หล่อปะหล้ำปะเหลือ” พี่ทศจีบปากจีบคอพูดพลางมองไปที่หมงกับปันแล้วยิ้มกริ่ม





“เพื่อนเอื้อมเองครับ ..คนทางซ้ายชื่อหมง เรียนถาปัตย์ ทางขวาชื่อปัน เรียนทันตะครับ” ผมแนะนำ





“งานดี ...อยากโดนหมอฟัน” พี่ทศกระแซะเข้าไปใกล้ปัน จนอีกฝ่ายส่งสายตาขอความช่วยเหลือมาทางผม กับหมงที่นั่งหัวเราะกรั่กๆ อย่างถูกใจ





“พี่ทซซี่มาหาเอื้อมมีอะไรเปล่าครับ” ผมถามเข้าเรื่องเพราะสงสารเพื่อน พี่ทศก็นะ...ถ้าเลือกหมง ผมจะไม่ขัดใจเลย!





“อุ๊ยเกือบลืม...” อีกฝ่ายรีบปรับท่าทางเป็นงานเป็นการ “พี่จะมาชวนน้องเอื้อมเป็นตัวแทนคณะไปประกวดเดือนน่ะลูก”





“ไปหาคนอื่นเถอะครับ เอื้อมไม่ถนัดทำอะไรแบบนี้อะ” ผมรีบปฏิเสธ กลัวตัวเองจะไปทำคณะขายหน้า





“ใช่พี่ หาคนอื่นเถอะ เอาตัวเล็กไปมันจะไปสู้ใครเค้าได้ ...ตัวก็แค่นี้ แถมน่ารักก็เท่านั้น จะไปสู้พวกหล่อๆ ได้ไง” หมงช่วยพูด





“น้องน่ะไม่รู้อะไร” พี่ทศตีไหล่หมงเบาๆ “แบบน้องเอื้อมเนี่ย ผู้หญิงเห็นก็เอ็นดู ผู้ชายเห็นก็อยากได้ ...ถ้าลงประกวดนะ รางวัลป็อปปูลาร์จะหนีไปไหน...เผลอๆ อาจจะได้เป็นเดือนมหาลัยด้วยซ้ำ” พี่ทศพูดขายฝัน จนแทบจะเห็นออร่าพนักงานขายตรงระดับเพชรออกจากตัว





“เอื้อมทำไมได้จริงๆ พี่ ...อีกอย่างร่างกายเอื้อมไม่ค่อยแข็งแรงด้วยอะ อยู่ซ้อมไม่ไหวหรอก”





“ไม่เหนื่อยขนาดนั้นหรอกลูก ...ปีนี้เราเน้นแบบชิลๆ ธรรมชาติๆ อาทิตย์หน้าก็จะไปทำกิจกรรมกันที่หัวหิน ให้พวกรุ่นพี่เค้าตามเก็บภาพบรรยากาศ และก็อัดคลิปแนะนำตัว”





“พวกรุ่นพี่ตามเก็บภาพกันเองเหรอครับ” อยู่ดีๆ ปันก็ถามแทรกขึ้นมา





“ใช่ ก็มาร์ที่อยู่ถาปัตย์ไง ...พวกเราน่าจะรู้จักนะ ปีนี้เค้ารับหน้าที่ เพราะเป็นประธานชมรมถ่ายภาพ ...พวกดาวคณะดีอกดีใจกันใหญ่ เพราะปกติเจ้าตัวเป็นคนหล่อประเภทไม่ค่อยออกสื่ออะ”





“งั้นก็ดีใจด้วยพี่ ...พี่ได้คนลงประกวดเดือนแล้วแหละ” หมงใช้ศอกถองตัวผมแบบล้อๆ จนพี่ทศหันมามองแบบมีเลศนัย





“อุ้ย ...มีซัมติงกับน้องเอื้อมเหรอลูก”





“ปะ เปล่าครับ..” ผมตอบตะกุกตะกักแล้วรีบสะบัดแขนหมงออกไปจากตัว





“จ้า เปล่าก็เปล่า... แต่ตกลงเราลงสมัครเดือนให้พี่นะคะ” พี่ทศว่าพลางยิ้มให้ผมอย่างเอ็นดู ส่วนผมก็ค่อยพยักหน้าช้าๆ ท่ามกลางรอยยิ้มรู้ทันของคนรอบตัว



เอาก็เอา ...ลองดูสักตั้งละกัน


ออฟไลน์ Foxoxo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 19
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: - เอื้อมดาว - | อัพรัว 14 ตอน
«ตอบ #4 เมื่อ27-01-2018 00:27:58 »

ตอนที่สาม "ไม่ใช่เรื่องของคุณ"

วันนี้ผมตื่นแต่เช้า เพราะต้องมาส่งพี่อ้ายที่สนามบิน





“ต้องโทรหาพี่อ้ายทุกวันเข้าใจไหมครับ” พี่อ้ายกำชับเสียงเคร่งอยู่หน้าเคาน์เตอร์เช็กอินที่เจ้าตัวไม่ยอมเดินเข้าไปสักที






“เข้าใจแล้วครับ เอื้อมจะโทรไปทุกวัน พี่อ้ายก็หาเวลารับให้ได้แล้วกัน” ผมบุ้ยปากใส่ ...ใครๆ ก็รู้ว่าหมอน่ะงานยุ่งขนาดไหน ถึงเวลาจริงๆ จะได้คุยกันทุกวันหรือเปล่าก็ยังไม่รู้






“อย่างน้อยถ้าเห็นสายเรา พี่ก็จะได้รู้ว่าสบายดีไงครับ” พี่อ้ายดึงผมเข้าไปกอด ...อยากจะร้องไห้ขึ้นมาหน่อยๆ ยังไม่เคยห่างกันขนาดนี้เลย





“อื้อ ...รู้แล้ว” ผมพูดเสียงอู้อี้อยู่กับอกอีกฝ่าย “อยากให้พี่มาดูตอนเอื้อมประกวด”





“ฮึ่ย! ….ไม่ต้องมาพูดเลย พี่อ้ายบอกไม่ให้ประกวดก็ดื้อใส่” พี่อ้ายดึงแก้ม





“ก็พี่อ้ายไม่มีเหตุผลอะ” ผมช้อนตาขึ้นมอง





“เหตุผลคือพี่อ้ายหวงไงครับ …น่ารักกับพี่คนเดียวก็พอ ทำไมต้องไปเที่ยวประกวดโชว์ความน่ารักให้คนอื่นดู” พี่อ้ายรัดตัวผมแน่นกว่าเดิม จนต้องร้องโอดโอยออกมา





“ไม่โมโหนะครับนะ” ผมยิ้มอ้อน





“รู้ว่าพี่อ้ายแพ้เวลาเราอ้อนก็เอาใหญ่เลยนะ” พี่อ้ายส่งสายตาคาดโทษ “อีกสองวันจะไปหัวหินใช่ไหม”





“ครับ” ผมพยักหน้า





“พี่ฝากไอ้ฟาร์ไว้แล้ว ถ้าไม่สบายหรือมีอะไรก็รีบไปบอกมัน เข้าใจไหมครับ”





“ครับผม” ผมยกมือขึ้นตะเบ้ะ





“แล้วก็อย่าไปสนิทกับใครง่ายๆ อย่างพวกเดือนด้วยกันที่มาประกวดอะ ไอ้ตัวหล่อๆ นี่ยิ่งเชื่อใจไม่ได้ …โว้ย! พูดแล้วหวงว่ะ ใครมาเกาะแกะก็บอกไปเลยว่าพี่อ้ายจะกลับมากระทืบมัน” พี่อ้ายบ่นพร้อมกับขยี้ผมตัวเองอย่างหัวเสีย





“พี่อ้ายอะคิดมาก เอื้อมก็หน้าตาดีแค่ในสายตาพี่อ้ายคนเดียวนั่นล่ะ คนอื่นเค้าไม่มาคิดอกุศลกับเอื้อมหรอก” ผมหัวเราะ ตลกกับอาการหวงเกินเหตุ แต่อีกมุมก็ค่อนข้างชิน เพราะพี่อ้ายมักหวงผมกับพวกผู้ชาย มากกว่าผู้หญิงมาแต่ไหนแต่ไร ไอ้ประเภทถ้าพี่อ้ายมองว่าน่ารัก คนอื่นมันจะไม่มองได้ไง นี่ผมได้ฟังมาตั้งแต่ประถม





พี่อ้ายมองผมอย่างเหนื่อยใจ กำลังจะอ้าปากบ่นต่อ แต่พอดีกับพ่อที่เพิ่งคุยโทรศัพท์เสร็จ หันมาสั่งให้เจ้าตัวเดินไปเช็กอิน ผมเลยรอดตัวไปหวุดหวิด





“พี่อ้ายไปนะ ดูแลตัวเองดีๆ รักเอื้อมนะครับ” พี่อ้ายกอดผม ก่อนจะหันไปมองพ่อ ที่ยืนเก็บสีหน้าดีใจไว้ไม่มิด เพราะจะไม่มีคนมาแย่งความรักไปอีกนาน





“ไปนะพ่อ ดูแลตัวเองด้วย แก่แล้วกระดูกกระเดี้ยวมันก็ไม่ได้แข็งแรงเหมือนเมื่อก่อน”





“ไอ้ลูกเวร ระดับนี้เตะปี้บยังดังโว้ย ...ไปได้แล้วไป ชิ้วๆ ๆ ๆ” พ่อพูดเสียงขุ่น ก่อนที่ทั้งสองคนจะหัวเราะออกมาพร้อมกัน ...เฮ้อ ขี้เก๊กกันไปก็เท่านั้น





ผมโบกมือ มองพี่อ้ายเดินเข้าไปในเกท รอจนอีกฝ่ายหายลับตาไป ถึงค่อยออกจากสนามบิน แล้วให้พ่อไปส่งที่มหาลัย




วันนี้เป็นวันอาทิตย์ ปกติจะไม่มีเรียน แต่วันนี้เป็นวันไม่ปกติ เพราะทางกองประกวดนัดให้ดาวเดือนไปรวมตัวกัน





ผมเดินเข้าไปในหอประชุมกลางของมหาลัยซึ่งเป็นสถานที่นัดเจอวันนี้ ดูเหมือนคนจะยังมากันไม่มากนัก เพราะผมมาก่อนเวลานัดประมาณห้านาที





“อ้าว น้องเอื้อม ...ไปส่งพี่อ้ายมาแล้วเหรอ” พี่ฟาร์ รุ่นน้องคนสนิทของพี่อ้าย ที่รับฝากฝังผมเอาไว้ เป็นคนแรกที่เอ่ยทักตอนผมเดินเข้ามาข้างใน





“ครับ นี่ก็เพิ่งกลับมาจากสนามบิน”





“ไม่ต้องห่วงนะ พี่จะทำหน้าที่ ที่พี่อ้ายฝากฝังมาอย่างดี ใครมาเกาะแกะเรา พี่จะจดชื่อลงบัญชีหนังหมา รอให้ท่านหัวหน้ากลับมากระทืบมัน” พี่ฟาร์ทำสีหน้ามาดมั่น จนผมได้แต่ส่งยิ้มแห้งกลับไป ไม่กล้าขัดความตั้งใจ





“เอื้อมขอตัวไปนั่งรวมกับคนอื่นก่อนนะครับ” ผมบอก ก่อนจะเดินไปนั่งต่อแถวคู่กับดาวคณะตัวเองที่รออยู่ก่อนแล้ว





“สวัสดีค่ะน้องๆ วันนี้ก็เป็นครั้งแรกเนอะ ที่เรามารวมตัวกัน หลังจากก่อนหน้านี้ปล่อยให้แต่ละคณะฝึกฝนแบบแยกกัน” พี่ผู้หญิงที่ห้อยป้ายชื่อว่าพี่ขวัญพูดกับพวกเราด้วยหน้าตายิ้มแย้ม





“ก็อย่างที่น้องๆ รู้กันนะคะ ว่าอีกสองวันเราจะไปหัวหินกัน” พวกดาวเดือนส่งเสียงดีใจกันทันทีที่ฟังจบ ชวนให้บรรยากาศดูสนุกสนาน





“วันนี้พี่เลยจะให้ น้องๆ ดาวเดือนแต่ละคณะมาจับหมายเลขกัน รวมถึงก็ลองซ้อมเดินแบบรวม แล้วก็แจ้งรายละเอียดการโชว์รวมให้น้องๆ ได้ทราบ ....ถือว่าเป็นการทำงานหนัก ก่อนจะได้ไปพักผ่อนเนอะ”





“เอาเป็นว่า ถ้าเข้าใจแล้ว ให้ดาวเดือนแต่ละคณะส่งตัวแทนออกมาจับหมายเลขได้เลย”





“เอื้อมออกไปจับเนอะ ดูจะดวงดีกว่าเรา” อิมตัวแทนที่ลงประกวดดาวคณะหันมาบอก





“ได้เลย แค่จับหมายเลขเอง สบายมาก ...อิมชอบเลขไหนบอกเราได้เลย รับรองไม่มีพลาด” ผมหันไปอวด จนอิมหลุดหัวเราะ





พอดีกับที่พวกพี่ๆ ประกาศชื่อคณะ ผมเลยรีบลุกออกไป “คณะอักษรจ้า ออกมาได้เลย”





“อ้าวน้องเอื้อม ตัวเล็กตัวน้อยของพี่” พี่ข้าวที่ทำหน้าที่ถือกล่องหมายเลขทักผมอย่างเอ็นดู “จับได้เลยลูก”





ผมยื่นมือลงไปในกล่อง จับแผ่นกระดาษขึ้นมาคลี่ดู แล้วหันไปแจ้งรุ่นพี่ที่เตรียมจดบันทึก “หมายเลข 13 ครับ” ผมทำหน้าซึม เพราะเคยดูในซีรีส์ฝรั่ง พวกเลข 13 นี่ไม่ใช่เลขดีเลยสักนิด





แชะ! เสียงชัตเตอร์ดังขึ้นทางด้านข้าง พร้อมกับเสียงกรี้ดที่เล็ดลอดออกมาแผ่วๆ จากฝั่งดาว “คุณทำหน้าตลก” ตัวการแอบถ่ายส่งเสียงล้อเลียน ซึ่งก็ไม่ใช่ใคร





...พี่มาร์ สาเหตุที่ทำให้ผมตกเป็นเหยื่อการขายตรงของพี่ทศนั่นไง





หลังจากที่กลับหอพร้อมกันวันนั้น ก็ไม่เจอกันอีกเลย ...พอไปส่องในไอจี ถึงรู้ว่าอีกฝ่ายกลับไปนอนที่คอนโด ซึ่งมียัยคุณชื่นแมวอ้วนสิ่งสถิตอยู่





ฟังจากที่หมงเล่า ดูเหมือนว่าพี่มาร์จะกลับมานอนที่หอ เฉพาะช่วงที่มีงานต้องปั่น เพราะมันสะดวกจะออกไปส่งมากกว่า





“ห้ามถ่ายเอื้อมตอนทำหน้าตลก” ผมทำหน้าดุใส่





“อ๋อ พี่ลืมบอกน้องไป” พี่ขวัญใช้ไมค์พูดแทรกขึ้นมา





“พี่มาร์คนนี้กับพี่เอกที่ยืนอยู่ตรงโน้น จะเป็นคนตามเก็บภาพพวกเราระหว่างทำกิจกรรม ส่วนทางกองจะมีหน้าที่เลือกรูป เอาไปลงในเฟสบุค ซึ่งยอดไลค์ต่างๆ จะถือเป็นคะแนนส่วนนึงของการตัดสินนะจ๊ะ”





“รู้ยังว่าเราทำงาน ...ขู่เป็นคุณชื่นเลย” พี่มาร์เลิกคิ้วใส่อย่างคนเหนือกว่า





“เอื้อมดุกว่าคุณชื่นนั่นเยอะ” ผมย่นจมูก





“หึหึ ...ไว้เราจะบอกคุณชื่นให้” พี่มาร์หัวเราะ ส่วนผมที่รู้สึกว่าเริ่มสู้ไม่ไหวก็เดินหน้ามุ่ยกลับไปนั่งข้างๆอิม





“เป็นอะไรเอื้อม ...เดี๋ยวยิ้มเดี๋ยวหน้าบึ้ง” อิมถามอย่างสงสัยเมื่อเห็นผมที่เดินหน้ามุ่ยกลับมานั่งกลั้นยิ้มอยู่คนเดียว





“เปล่า ...แค่คิดถึงเรื่องดีๆ ขึ้นมาอะ” ผมบอกปัดยิ้มๆ แล้วทำทีเป็นตั้งใจฟังพี่ขวัญแจกแจงรายละเอียดเรื่องการโชว์รวม ทั้งที่สายตาแอบเหลือบมองคนที่รับหน้าที่เป็นช่างภาพ ซึ่งดูเหมือนจะโยนงานให้พี่เอกทำอยู่คนเดียว ส่วนตัวเองไปนั่งว่างงานอยู่ด้านข้าง





ก่อนจะลุกขึ้นจับกล้องอีกทีตอนพี่ขวัญเรียกให้ดาวเดือนไป ยืนเรียงแถวกันตามหมายเลขตรงด้านหลังเวที





“รอบแรกพี่จะให้พวกน้องๆ ลองเดินกันเองก่อน จะได้ดูว่าใครมีอะไรต้องปรับแก้ตรงไหนนะ เดี๋ยวพอดนตรีขึ้น ก็เดินออกมาตามหมายเลขได้เลย รอบแรกเราจะเดินกันเป็นคู่ก่อนนะคะ” พี่ขวัญอธิบาย





แล้วดนตรีก็เริ่มขึ้น โดยมีดาวเดือนคณะวิศวะ เป็นคู่แรกที่ออกไปประเดิม



หลังจากนั้นความวุ่นวายก็บังเกิด...





“นานะ เดินให้มันตรงจังหวะเพลงหน่อยลูก”





“ไทม์ ให้มั่นใจกว่านี้หน่อย”





“กิ่ง เดินเร็วไปไหนค้า อยู่ดุริยางค์แต่เดินคร่อมจังหวะนี่พี่เครียดแล้วเด้อ”





“ดีมากคราม ดีมาก ...ทุกคนดูไว้นี่คือการเดินแบบที่พี่ต้องการนะคะ”





ฟังทั้งคำบ่นคำชมที่แต่ละคนได้รับผมก็ตื่นเต้นจนมือชื้นเหงื่อ ...รู้สึกอยากหนีกลับหอมันตอนนี้เลย





แชะ! มันมาอีกแล้ว เสียงชัดเตอร์ปั่นประสาท…





ผมหันไปมองคนถ่ายอย่างขุ่นเคือง แต่เบ้าตาดันแดงเหมือนคนที่พร้อมจะร้องไห้อยู่รอมร่อ เห็นพี่มาร์กำลังยิ้มถูกอกถูกใจที่แกล้งผมได้สำเร็จ



ยังไม่ทันจะได้พูดอะไร ก็ดันถึงคิวที่ต้องเดินขึ้นไป





“น้องเอื้อม มั่นใจขึ้นอีกนิดค่ะ ...ผ่อนคลายลูกผ่อนคลาย” พี่ขวัญพูดปลอบ และอาจจะเพราะด้วยเสียงที่อ่อนกว่า ที่คนอื่นโดนเล็กน้อย ผมเลยเริ่มใจชื่นขึ้นมาหน่อย เริ่มเดินแบบมั่นใจขึ้นอีกนิด






“ดีขึ้นแล้วจ้า กลับไปฝึกต่ออีกหน่อยนะคะ” พี่ขวัญบอกตามหลัง หลังจากผมเดินลงจากเวที





“ตื่นเต้นเหรอ” เสียงทุ้มน่าฟังของคนข้างๆ ที่เหมือนจะชื่อครามถามขึ้น






“อื้อ มากอะ ...เราไม่เคยทำอะไรแบบนี้เลย” ผมตอบไปตามตรง พร้อมกับทำท่าทางหมดอาลัยตายอยาก จนครามยิ้มเอ็นดู




....ผมมองรอยยิ้มนั่นจนเหม่อ คนอะไรยิ้มแล้วดูดีชะมัด หน้านิ่งว่าหล่อมากแล้ว แต่พอยิ้มออกมา ประมาณว่าออร่าความหล่อแบบผู้ดีๆ มันก็พุ่งออกมาเลย



“ไม่เข้าใจตรงไหนก็ถามได้” ครามบอก





“เราไม่เข้าใจทั้งหมดเลยอะ แค่เดินมันมีเรื่องต้องเข้าใจด้วยเหรอ” ผมถามงงๆ





“ก็มีนะ” ครามยิ้ม มองผมแล้วหยุดคิดไปนิดนึงก่อนจะพูดต่อ “แต่อย่างเอื้อม เราว่าเดินให้เป็นตัวเองที่สุดก็ดีแล้วล่ะ”





“หมายถึงเดินแบบเด๋อๆ งงๆ อะนะ” ผมย่นคิ้ว นึกไม่ออกว่าตัวเองจะดูดีได้ยังไงด้วยการเดินแบบนั้น





“ฮึๆ ก็ไม่ได้ดูเด๋อนะ ไม่มีใครคิดแบบนั้นหรอก เชื่อเรา” ครามหัวเราะ





“อย่ามัวแต่คุย ...เค้าเรียกรวมแล้ว” พี่มาร์ที่สะพายกล้องไว้กับไหล่ เดินเข้ามาบอก





“โทษครับพี่มาร์ พอดีคุยเพลิน” ครามหันไปบอก ดูเหมือนจะรู้จักกันมาก่อน แต่ผมก็ไม่ค่อยแปลกใจหรอก ก็อยู่คณะเดียวกันนี่





“กูเป็นลูกคนเดียว” พี่มาร์ตอบกลับ ดูท่าทางจะอารมณ์ไม่ค่อยดี ส่วนครามก็ชะงักไปนิดหน่อย ก่อนจะยิ้มออกมาเหมือนรู้อะไร แล้วยักไหล่เดินออกไป





“อารมณ์ไม่ดีเหรอครับ” ผมถามอย่างแปลกใจ





“ไม่ใช่เรื่องของคุณ” พี่มาร์พูดเสียงเย็น มองผมด้วยสายตาไม่พอใจ ก่อนจะเดินกลับไปนั่งรวมกับพี่ๆ คนอื่น





ส่วนผมก็โดนคำพูดอีกฝ่ายจู่โจมจนสะอึก... ยอมเดินกลับไปนั่งรวมกับเพื่อนๆ แบบหงอยๆ





ฟังพี่ขวัญนัดแนะเวลาซ้อมรวมไปได้สักพัก ก็แอบชำเลืองสายตามองไปทางพี่มาร์ ก็เห็นว่าอีกฝ่ายยืนคุยกับพี่นับ แฟนเก่า ที่ผมรู้จากเพื่อนมาว่า ทั้งสองคนเลิกกันไปได้หลายเดือนแล้ว ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด





ดูเหมือนนี่จะเป็นสาเหตุ ที่ทำให้พี่มาร์อารมณ์เสีย จนพูดกับผมแล้วก็ครามแบบนั้น...





“เอื้อมเป็นอะไร ทำไมตาแดงๆ ...ยังไม่หายตื่นเต้นอีกเหรอ” อิมสะกิดถามอย่างเป็นห่วง





“อื้อ ...พอดีเราเพิ่งมานึกดีใจที่ตัวเองเดินขึ้นไปบนเวทีได้อะ” ผมยกมือขยี้ตาแล้วส่งยิ้มแหยๆ กลับไป





“โอ๊ย..บ๊องจริงๆ” อิมหัวเราะ “แล้วนี่จะนั่งอีกนานไหม พี่เค้าอนุญาตให้กลับแล้ว”





ผมหันไปมองรอบๆ ก็เห็นว่าจริงอย่างที่อิมว่า เลยลุกขึ้นแล้วแยกย้ายตามคนอื่นออกไปข้างนอก ...ส่วนพี่มาร์ ดูเหมือนจะออกไปพร้อมกับพี่นับเหมือนกัน

********
ไรท์ทอล์ค​ : ไม่ทราบว่าวัยทองหรือลมหึงกำเริบคะ

ออฟไลน์ Foxoxo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 19
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: - เอื้อมดาว - | อัพรัว 14 ตอน
«ตอบ #5 เมื่อ27-01-2018 00:36:40 »

ตอนที่สี่ "ก็ยังดี ที่เรียกชื่อเรา


สองวันผ่านไปก็ถึงวันที่ต้องเดินทางไปหัวหิน ทุกคนนัดแนะกันไว้ว่าจะออกจากกรุงเทพตอนเจ็ดโมงเช้า พอถึงเวลานัดผมก็เดินลากกระเป๋ามาตรงจุดรวมตัว





สองวันมานี้ความสัมพันธ์ผมกับพี่มาร์ก็ไม่ได้มีอะไรคืบหน้าหรือเปลี่ยนแปลง เพราะต่างคนก็ต่างยุ่งกับเรื่องของตัวเอง ผมยุ่งกับการซ้อม ส่วนพี่มาร์ก็ยุ่งกับการตามเก็บภาพ และทำตัวติดกับพี่นับ จนหลายๆ คนเริ่มตั้งข้อสังเกตว่าทั้งสองคนอาจจะกลับมาคบกัน





“ช่วยถือ” ครามเดินมาคว้ากระเป๋าออกไปจากมือ ส่วนผมก็หันไปยิ้มขอบคุณ ไม่ได้ปฏิเสธอะไร ...เราสนิทกันขึ้นกว่าเดิมมาก





ผมค้นพบว่าครามเป็นคนใจดี และชอบดูแล คล้ายๆ กับคนรอบตัวผม อย่างปันหรือพี่อ้าย แม้นิสัยจะดูเข้าถึงยากกว่าในบางมุม แต่ก็ทำให้ผมสนิทใจที่จะอยู่ด้วยมากกว่าคนอื่น





“เมารถหรือเปล่า” ครามถามระหว่างรอพี่เข็คชื่อ





“ไม่แน่ใจเหมือนกัน ...เราไม่เคยนั่งรถทัวร์มาก่อนเลย” เมื่อก่อนตอนเพื่อนไปค่ายกันผมก็ไม่เคยได้ไป เพราะร่างกายไม่แข็งแรง พี่อ้ายเลยไม่อนุญาต





“ยังไงก็กินยาไว้ก่อน เดี๋ยวตอนขึ้นรถจะไปขอจากพี่ให้”





“อื้อ ขอบใจนะ” ผมยิ้มตาหยี รู้สึกโล่งใจขึ้นเยอะที่คราวนี้มีครามไปด้วย





ระหว่างยืนรอผมก็มองไปรอบๆ เห็นพี่มาร์กับพี่นับเดินมาร์ด้วยกัน แม้สีหน้าพี่มาร์จะดูไม่ดีนักแต่ก็ถือกระเป๋าพี่นับกับของตัวเองไว้ด้วยกัน เราเผลอสบตากันแวบนึง ก่อนที่ต่างคนจะต่างทำเป็นไม่สนใจแล้วมองไปทางอื่น





“เอาล่ะค่ะน้องๆ ในเมื่อมากันครบแล้วก็ขึ้นรถแล้วออกเดินทางกันได้เลย” พี่ขวัญประกาศ ตามมาด้วยเสียงเฮเบาๆ จากทุกคน ที่พากันเดินขึ้นรถด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม





“นี่ยา กินแล้วจะง่วงหน่อยนะ” ครามส่งยากับน้ำมาให้ตอนที่ขึ้นมานั่งกันบนรถเรียบร้อยแล้ว





ผมรับยามากินอย่างว่าง่าย มองไปทางเก้าอี้ด้านหน้าที่เยื้องๆ กันก็เห็นพี่มาร์กำลังมองมาทางนี้ แต่เพราะคิดว่าอีกฝ่ายอาจจะกำลังมองคนอื่น ผมเลยพยายามไม่หันไป กินยาเสร็จก็รับเสื้อคลุมจากครามมาห่มตัวเอง แล้วหลับตาไป




ฟ้าคราม's


ผมมองคนตัวเล็กที่หลับไปเพราะฤทธิ์ยา เอื้อมเป็นคนที่น่ามองโดยธรรมชาติ แม้เจ้าตัวจะไม่รู้ความจริงข้อนี้เลยก็ตาม



ใบหน้าที่ทุกอย่างประณีตลงตัว เหมือนภาพวาดภาพหนึ่ง ดวงตากลมโต แต่หางตากลับยกขึ้นนิดๆ เหมือนลูกแมวจอมหยิ่ง ไฝเม็ดเล็กๆ บนใบหน้าที่ช่วยเพิ่มความเป็นหนึ่งเดียว แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่รวมกัน ก็ยังไม่น่ารักเท่านิสัยของเจ้าตัว





ผมไม่รู้ว่าเอื้อมเติบโตมาในครอบครัวแบบไหน แต่ผมบอกได้เลยว่าคงเติบโตมาในแบบของคนที่เป็นที่รัก เพราะไม่อย่างนั้นคงไม่เป็นคนที่มีบรรยากาศอบอุ่น และมีพลังบวกในตัวได้ขนาดนี้





รถแล่นออกจากกรุงเทพมาได้สักพัก เอื้อมเองก็หลับไปทันทีหลังจากกินยา มองไปรอบๆ ก็มีอยู่แค่ไม่กี่คนที่ยังตื่นอยู่





หนึ่งในนั้นก็คือคนที่กำลังมองมาทางนี้ด้วยสายตาขุ่นมัว





ก็ไม่รู้หรอก ...ว่าระหว่างสองคนนี้เป็นยังไง แต่ผมรู้ว่าสายตาของเอื้อมมักจะไปตกอยู่ที่คนคนนั้นแบบไม่รู้ตัวอยู่เสมอ





ส่วนพี่มาร์ก็มีบ่อยครั้งที่มองมาที่ผม ด้วยสายตาไม่เป็นมิตร แต่ตราบใดที่พี่นับยังนั่งอยู่ข้างๆ เขา ผมก็ไม่จำเป็นต้องสนใจ





รถค่อยๆ ชะลอความเร็วละจอดลงตรงปั๊มน้ำมัน เพื่อเปิดโอกาสให้ไปเข้าห้องน้ำ หรือหาของกินรองท้อง หันไปมองเอื้อมที่เหมือนกำลังหลับลึก ผมก็เลือกที่จะปลุกด้วยเสียงเบา เพราะไม่อยากให้ตกใจ





“เอื้อม ..รถแวะปั๊ม จะลงไปเข้าห้องน้ำไหม” ดูเหมือนเจ้าตัวจะขี้เซาพอตัว เพราะดูออกว่าได้ยินแต่เลือกจะตอบงึมงำๆ ทั้งๆ ที่ไม่ลืมตา





“ครามลงไปเลย เราขอนอนต่อนะ” คนตัวเล็กตอบเสียงอู้อี้ ก่อนจะเอาหน้าซุกกับเสื้อคลุมแล้วหลับต่อ





ผมหัวเราะเบาๆ อย่างเอ็นดู ก่อนจะเลือกลงไปคนเดียว ตั้งใจว่าจะไปซื้อขนมมาตุนไว้ให้ใครบางคนกินตอนตื่น





ลงไปได้ครู่หนึ่ง ผมขึ้นมาบนรถก่อนคนอื่น เพราะลงไปซื้อขนมแค่เพียงอย่างเดียว





แต่ดูเหมือนจะมีใครบางคน ที่ยังไม่ได้ลงจากรถไปด้วยซ้ำ...





พี่มาร์นั่งอยู่ข้างเอื้อม ในมือถือเสื้อคลุมตัวเดิมของผมที่เอื้อมเคยใช้ห่ม ส่วนบนตัวเอื้อมก็เปลี่ยนเป็นเสื้อยีนของอีกฝ่าย





“มึงไปนั่งที่กูแล้วกัน” พี่มาร์พูดเสียงเรียบ





“ทำไมครับ” ผมถามกลับนิ่งพอกัน





“มึงกำลังล้ำเส้นกูอยู่นะคราม”





เอื้อม's


ผมปรือตาขึ้น เพราะได้ยินเสียงคนกำลังคุยกันอยู่ใกล้ๆ รู้สึกเหมือนกึ่งหลับกึ่งตื่น ก่อนจะรู้ว่าเป็นความฝันเพราะคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เป็นพี่มาร์ไม่ใช่คราม





“พี่มาร์” ผมพึมพำชื่อคนข้างๆ แล้วยิ้มออกมาทั้งที่ตากำลังปิดลงอีกครั้ง





“ก็ยังดี ที่เรียกชื่อเรา” เสียงทุ้มต่ำกระซิบใกล้ๆ หู ...ทำไมมันฟังดูเหมือนจริงจัง?



_________________





ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งเพราะเสียงพี่ขวัญ “น้องๆคะ ใกล้ถึงแล้วนะ”





“ถ้าง่วงก็นอนต่อ เดี๋ยวเราปลุกเอง” คนข้างๆ ว่า พลางยื่นมือมาจัดเสื้อคลุมบนตัวผม





“คุณมานั่งตรงนี้ได้ไง” ผมถามพี่มาร์เสียงหลง





แสดงว่าก่อนหน้านี้ไม่ได้ฝันไปงั้นสิ... ผมคิดพลางดึงเสื้อคลุมขึ้นมาปิดหน้าจนโผล่ออกมาแค่ลูกตา รู้สึกแก้มร้อนๆ ทั้งที่ไม่รู้ว่ามีตรงไหนต้องอาย





“แล้วทำไมเราจะมานั่งไม่ได้” พี่มาร์เลิกคิ้ว





“เอื้อมก็คิดว่าคุณต้องนั่งกับแฟนคุณสิ”





“ประชดเก่ง” พี่มาร์ยิ้ม





“ใครประชดคุณ” ผมถลึงตาใส่ ยังไม่ยอมเอาหน้าออกมาจากเสื้อ





กลับเป็นพี่มาร์ที่ยื่นมือมาดึงลงให้ “เดี๋ยวก็หายใจไม่ออก”





พอไม่มีอะไรมาปกปิดสีหน้าตัวเอง ผมก็เลือกจะเบือนหน้าหนี ทำทีเป็นมองไปนอกหน้าต่าง





“คุณไม่คุยกับเรามาสองวันแล้ว”





“ก็คุณเป็นคนไม่คุยกับเอื้อมเอง” ผมหันกลับไปตอบ มองหน้าอีกฝ่ายที่กำลังจับจ้องอยู่ ก็หลุดพูดสิ่งที่คิดไปเสียงค่อย “แล้ววันก่อนคุณก็โมโหใส่เอื้อม”





พี่มาร์เงียบไปตอนที่ฟังจบ ส่วนผมที่รู้ตัวว่าพูดอะไรออกไป ก็รีบฟุบหน้าลงกับเข่าไม่กล้าเงยขึ้นสบตา ในใจมีแต่คำว่าแย่แล้วๆ ดังก้องซ้ำๆ





“คุณน้อยใจเราเหรอ” เสียงพี่มาร์อยู่ใกล้มากจนผมสะดุ้ง แต่พอเงยหน้าขึ้น ดันกลายเป็นว่าระยะห่างของเราลดลงกว่าเดิม





“ขอโทษครับ คราวหลังจะไม่ทำอีก หายโกรธนะ”





“คุณแม่ง นิสัยว่ะ” ขี้โกง! โคตรขี้โกงเลย …มาพูดแบบนี้ได้ไง





“เวลาเขินคุณจะพูดไม่เพราะสินะ” พี่มาร์พยักหน้าสรุปกับตัวเอง แต่ผมก็พยายามทำเมินไม่ตอบโต้กลับ กลัวใจตัวเองจะเป็นไปมากกว่านี้



ท่องเอาไว้ เค้ากลับไปคบกับแฟนแล้ว…





ประมาณเที่ยง รถก็มาถึงรีสอร์ต ทุกคนก็พากันทยอยเดินลงไปรับกระเป๋าด้านล่าง





“จับคู่พักกันห้องละสามคนนะคะ แยกฝั่งกัน ห้องพักผู้หญิงอยู่ทางซ้าย ส่วนผู้ชายอยู่ทางขวาค่ะ ใครจับกลุ่มได้แล้วก็เดินมารับกุญแจห้องได้เลยค่ะ”





“เอื้อม มาทางนี้” ครามเดินมาสะกิดผม ข้างตัวเป็นเดือนคณะบริหาร ชื่อไทม์





“โทษทีคราม แต่เอื้อมต้องมานอนห้องพี่” พี่ฟาร์เดินถือกุญเข้ามาแทรก ผมเกือบจะลืมพี่เขาไปแล้วจริงๆ นะ





“ทำไมครับ” ครามทำหน้าสงสัย





“พี่ชายเอื้อมเค้าฝากพี่มาน่ะ” พี่ฟาร์ตอบ พลางแย่งกระเป๋าผมไปวางไว้ข้างตัว





“เอาไงเอื้อม” ครามถาม





“เราคงต้องนอนกับพี่ฟาร์อะ ขอบใจที่มาชวนนะ” ผมยิ้ม ครามเลยพยักหน้ารับแล้วหันไปชวนคนอื่นเข้ากลุ่มแทน





นอกจากผมกับพี่ฟาร์ ก็มีพี่เอก ตากล้องอีกคนของกองที่ต้องนอนห้องเดียวกัน หลังจากเก็บของเสร็จ พี่ขวัญก็ให้เวลาทุกคนชั่วโมงนึงสำหรับรีเล็กซ์ ก่อนจะเริ่มทำการอัดคลิปแนะนำตัว





ผมเดินออกมานอกห้อง ตั้งใจจะไปเดินเล่นริมหาด เพราะไม่ใช่ช่วงไฮซีซั่น ทำให้บรรยากาศรีสอร์ตค่อนข้างเงียบสงบ สามารถได้ยินเสียงคลื่นและเสียงลมได้อย่างชัดเจน





“มาร์ไม่ให้เกียรตินับ” เสียงคนยืนคุยกันอยู่ตรงสวนบริเวณที่ผมต้องเดินผ่าน พอเห็นว่าเป็นใคร ผมก็ได้แต่หยุดชะงัก





“ยังไง”





“มาร์ไปนั่งกับคนอื่น มันทำให้นับเสียหน้า”





“นับคิดมากไปหรือเปล่า” พี่มาร์ถามเสียงเรียบ




“ไม่เรียกว่าคิดมากหรอก มาร์ทำให้คนอื่นมองนับเป็นตัวตลกอะ” พี่นับว่าอย่างไม่พอใจ




“คนอื่นจะมองแบบนั้นได้ไง ใครก็รู้ว่าเราเลิกกันแล้ว”





“ไม่มีใครรู้หรอก ทุกคนเค้าคิดว่าเรากลับมาคบกันแล้วทั้งนั้น!” พี่นับขึ้นเสียง





“แต่มันไม่ใช่ความจริง นับก็รู้”





“ทำไมอะมาร์ มาร์ก็น่าจะรู้ไม่ใช่เหรอว่านับกลับมาทำไม” พี่นับคว้าแขนพี่มาร์ พลางถามเสียงสั่น





“เราไม่รู้หรอก” พี่มาร์ปลดมืออีกฝ่ายออก “นับเป็นคนบอกเราว่ากายมันซ้อมนับ อยากให้เราช่วยอยู่กับนับในช่วงนี้ กายมันจะได้ตัดใจแล้วไม่เข้าหานับอีก …เราช่วยนับเพราะนับเป็นเพื่อนเรา และเราก็เห็นแก่คุณลุงคุณป้า ถ้ามันทำให้นับเข้าใจผิด เราก็คงต้องขอโทษ”





“มาร์มีคนอื่นแล้วเหรอ…” พี่นับถามเสียงแผ่ว





“เปล่าหรอก” พี่มาร์ตอบ และพี่นับก็ดูมีสีหน้าโล่งใจ ก่อนจะเปลี่ยนไปในประโยคถัดมา “แค่มีคนที่เราอยากจะแคร์”





“เอื้อม มาหยุดอยู่ทำไมตรงนี้” พี่ฟาร์เดินมาแตะไหล่ ผมที่กำลังใช้สมาธิกับการแอบฟังเลยสะดุ้งเฮือก



และโดนจับได้…





“อ้าวไอ้มาร์ นับ พวกมึงก็อยู่ด้วยเหรอ” พี่ฟาร์ทัก “มีไรกันเปล่าวะ ดูเครียดๆ”





พี่มาร์ไม่ตอบอะไร นอกจากทิ้งพี่นับไว้แล้วเดินตรงมาทางนี้





“เฮ้ยไอ้มาร์ มึงจะพาน้องเอื้อมไปไหน! ”





เสียงพี่ฟาร์ตะโกนตามหลังมาแว่วๆ เพราะตอนนี้ผมกำลังโดนพี่มาร์ ‘หิ้ว’ ไปที่หาด





“คุณ …ปล่อยเอื้อมก่อน รองเท้าเอื้อมหลุดไปนู่นแล้ว” ผมพูดอู้อี้อยู่กับไหล่ของร่างสูง ปล่อยให้พี่มาร์เดินมาไกลจนพอใจ แล้วยอมปล่อยผมลงโดยให้ผมยืนอยู่บนเท้าของเจ้าตัว





“เดี๋ยวก็เจ็บเท้าหรอก” ผมว่า พยายามจะลงไปยืนบนผืนทรายแต่ก็โดนรั้งไว้





“คุณแอบฟังเรา” พี่มาร์มองผมอย่างคาดโทษ





“ก็คุณเล่นมายืนคุยกันตรงทางผ่าน ใครเดินไปก็ต้องได้ยินทั้งนั้น” ผมเถียง แต่ไม่กล้าสบสายตา เพราะรู้ดีว่าตัวเองก็ตั้งใจแอบฟังนั่นแหละ





“งั้นก็รู้แล้วว่าเราไม่ได้คบกับนับ?” พี่มาร์เลิกคิ้ว





“อื้อ รู้แล้ว” ผมตอบเสียงค่อย





“อืม... ดีแล้ว งั้นกลับกัน” พี่มาร์ยิ้ม แต่ผมกลับทำหน้าเหรอหรา





“คุณจะคุยแค่นี้ ไม่เห็นจำเป็นต้องหิ้วเอื้อมมาถึงนี่เลย” ผมบ่นงึมงำ





“ตอนคุณตกใจมันตลกดี” พี่มาร์หัวเราะ ค่อยๆ พาผมเดินไปทีละก้าว ถึงรองเท้าที่ทำหลุดไว้ แล้วถึงปล่อยให้ผมลงเดินด้วยตัวเอง




จากนั้นก็เดินกลับไปที่รีสอร์ตด้วยกัน…




******
ไรท์ทอล์ค : คืนนี้อีกยาวไกล มีคนอ่านอยู่ไหม


ออฟไลน์ Foxoxo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 19
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: - เอื้อมดาว - | อัพรัว 14 ตอน
«ตอบ #6 เมื่อ27-01-2018 00:41:48 »

ตอนที่ห้า "โมโหก็ข่วนเราเลยดิเจ้าแมว"

กลับมาถึงรีสอร์ต บางส่วนก็ทำการอัดวิดีโอแนะนำตัวไปแล้ว



ผมเดินตามพี่มาร์เข้าไปหาพี่ๆ ที่กำลังเตรียมตัวถ่ายคนต่อไปกันอยู่





“อ้าวมาร์... เรากำลังจะให้คนไปตามอยู่พอดี” พี่ขวัญที่ยืนเช็กภาพอยู่กับพี่เอกหันมาทัก





“อืม ถ่ายไปถึงไหนแล้ว”





“เสร็จไปสามคน” พี่ขวัญบอก แล้วมองเลยมาทางผม “น้องเอื้อมมาแล้วก็ดีเลย คนต่อไปเป็นเราแล้วกัน”





อยู่ๆ ต้องมาถ่ายแบบไม่ทันตั้งตัว ผมเลยทำหน้าเหลอหลาอยู่บ้าง แต่สุดท้ายก็พยักหน้ารับอย่างจำยอม





“เดี๋ยวกูถ่ายต่อเอง” พี่มาร์หันไปบอกพี่เอก





“เออดี กูก็ว่าจะไปห้องน้ำ” พี่เอกพยักหน้า ส่งกล้องให้พี่มาร์ แล้วรีบแยกตัวออกไป





“ถ่ายตามที่คุยกันไว้ใช่ไหม” พี่มาร์ถามพี่ขวัญ





“ใช่ ตามนั้นแหละ มาร์เดินไปรับคำถามจากข้าวนะ เดี๋ยวเราบรีฟน้องก่อน” พี่มาร์พยักหน้าแล้วเดินออกไป ส่วนพี่ขวัญก็หันมายิ้มให้ผม





“ก็อย่างที่รู้เนอะ เดี๋ยวจะเป็นการอัดคลิปแนะนำตัว แต่ว่าพี่อยากให้มันออกมาดูเป็นกันเอง แล้วก็มีความน่าติดตาม พวกพี่เลยตกลงจัดชุดคำถามเอาไว้เท่ากับจำนวนน้องๆ ซึ่งแต่ละคนจะได้คำถามที่ไม่เหมือนกันในบางข้อ เพื่อให้มันไม่ซ้ำซาก และคนสามารถไล่ดูทุกคลิปได้โดยไม่เบื่อ ...โดยการถ่ายเนี่ย เราจะทำให้มันดูเหมือนการชวนคุยผ่านกล้อง คนที่จะมาถามคำถามก็คือพวกพี่ๆ ในกองนี่ล่ะ อย่างของเอื้อม มาร์ก็จะเป็นคนถาม”





“อ่าครับ” ผมพยักหน้าแสดงว่าเข้าใจ ตื่นเต้นเล็กๆ ที่พี่มาร์จะเป็นคนถาม





“สงสัยตรงไหนไหม”





“ไม่ครับ”





“โอเคงั้นเริ่มเลย มาร์มาพอดี” พี่ขวัญยิ้ม ตบไหล่ผม แล้วเดินออกจากฉากไป





พี่มาร์ยกกล้องขึ้น กดอัดแล้วหันมาทางผม “เริ่มแล้วนะ”





“หา? ...คุณไม่เห็นนับก่อนเลย” ผมทำหน้าเหวอ





“คลิปมันออกอากาศ คุณต้องเรียกเราว่าพี่นะ” พี่มาร์ยกมือขึ้นจุ้ปาก เห็นพี่ๆ หลายๆ คนหลุดหัวเราะ บรรยากาศผ่อนคลายลง ผมก็ค่อยๆหายเกร็งจากอาการตื่นกล้อง





“เราจะถามแล้วนะ คุณพร้อมยัง”





“อื้อ” ผมพยักหน้า





“แนะนำตัวหน่อย”





“สวัสดีครับ ชื่อเอื้อม อักษรา วิรุฬห์ธนกิจ”





“บอกคณะด้วยสิ” พี่มาร์เตือน ผมเลยได้แต่ยิ้มอายๆ กับความมึนของตัวเอง





“อักษรศาสตร์ครับ”





“ถ้าให้เปรียบเทียบตัวเองเป็นสัตว์ คุณว่าคุณจะเป็นตัวอะไร” อ่านคำถามจบ สายตาพี่มาร์ก็แฝงไปด้วยแววขบขัน คงมีความสุขที่คิดว่าผมไม่รู้ล่ะสิ ว่ายัยคุณชื่นเป็นแมวน่ะ!





“หมีโคอาล่ามั้ง เพราะชอบนอนเหมือนกัน” เห็นพี่มาร์แอบทำหน้าผิดหวัง



ก็ใครจะไปยอมตอบให้เจ้าตัวได้ใจล่ะ..





“วิสกี้หรือไวน์”





“ไม่เลือกทั้งสองครับ เอื้อมไม่ดื่มแอลกอฮอล์”





“รักครั้งแรกเมื่อไหร่”





ผมหลุดยิ้ม ใครเป็นคนคิดคำถามเนี่ย มันจะพอดีไปไหม “เมื่อสองปีที่แล้วครับ” 





“คำถามเกือบสุดท้าย” พี่มาร์พูด เสียงติดจะแข็งทื่ออยู่บ้าง คิ้วก็ขมวดเข้าหากันตั้งแต่ฟังคำตอบล่าสุดไป





“คิดว่ารักกับชอบต่างกันยังไง”



ผมเงยหน้าขึ้นสบตาคนถาม ....พูดตรงๆมันเป็นคำถามที่ง่ายมาก เพราะผมก็เคยคิดถึงเรื่องนี้อยู่บ่อยครั้ง  โดยเฉพาะถ้าให้ตอบต่อหน้าคนคนนี้



พอคิดได้ ผมก็ยิ้ม ....ยิ้มให้กล้อง ยิ้มให้คนหลังกล้อง และถ้าคำตอบนี้ มันเข้าไปถึงหัวใจใครบางคนได้บ้าง ก็คงจะดี...





“ก่อนหน้านี้... เอื้อมเคยอ่านหนังสือเล่มนึง ที่ค่อนข้างจะตรงใจ มันบอกว่า การที่เราชอบใครสักคน นั่นหมายความว่า คนคนนั้นต้องมีหลายอย่าง หรือบางอย่างที่ ‘ถูกใจ’ เรา แต่การที่เรารักใครสักคน นั่นหมายความว่า ในขณะเดียวกัน ที่เราชอบสิ่งที่เราถูกใจในตัวเค้า เราก็พร้อม ที่จะเข้าใจในข้อเสียของเค้าด้วยเหมือนกัน “





ผมเอียงหน้าหยุดคิดไปครู่นึง ก่อนจะพูดต่อ “ดังนั้น ถ้าจะให้สรุปสั้นๆ สำหรับเอื้อมก็คงเป็น ความชอบนั่นคือการถูกใจในข้อดี ส่วนความรักคือการยินดีในข้อเสีย”



"งั้นถ้าคุณรักใครสักคน?"



"เอื้อมก็พร้อมที่จะเข้าใจ และเรียนรู้ที่จะยินดีในข้อเสียของเค้า ...ถ้าเอื้อมรักแล้ว ไม่ว่าข้อดีหรือข้อเสีย เอื้อมก็จะรักทั้งหมด"





ติ้ด! เสียงพี่มาร์กดหยุดอัดคลิปหลังจากผมพูดจบ หากแต่สายตาของเจ้าตัว ยังคงจับจ้องมาที่ผมอย่างไม่วางตา



และผมก็ส่งยิ้มตอบกลับแววตานั้น ...



“ดีมากเลยเอื้อม โดยเฉพาะคำตอบสุดท้าย พี่ฟังแล้วอยากจะโยนมงลงหัวเราเลยอะ” พี่ขวัญเดินเข้ามาพูดด้วยสีหน้าปลื้มปริ่ม พร้อมกับพี่ข้าวที่พยักหน้ารัวๆ อยู่ข้างๆ





ผมยิ้มรับเขินๆ “คนต่อไปเป็นใครครับ ให้เอื้อมตามให้ไหม”





“ไม่ต้องจ้า เจ้าตัวมายืนรอตั้งแต่ก่อนเอื้อมจะตอบคำถามสุดท้ายแล้ว” พี่ขวัญพยักหน้าไปทางคราม ที่ยืนกอดอกรออยู่ทางด้านข้าง ผมเลยหันตามไปทักทายด้วยรอยยิ้ม





“ครามเข้าใจที่พี่บรีฟเราเมื่อกี๊แล้วนะ” พี่ขวัญหันไปถาม





“ครับ ...แต่ผมขอให้พี่เอกเป็นคนถ่ายได้ไหม”





“อ้าวทำไมล่ะ” พี่ขวัญทำหน้างง รวมถึงผมที่ยืนอยู่ก็พลอยงงไปด้วย หรือจะเพราะเรื่องเมื่อวันก่อน





“ดีเหมือนกันขวัญ เราจะได้เอาไฟล์ที่ถ่ายเสร็จแล้วไปเช็กแล้วก็ตัดต่อ” พี่มาร์พูดแทรกขึ้น ระหว่างที่พี่ขวัญกำลังทำหน้ากระอักกระอ่วน 





“อืม ...ตามนั้นก็ได้” พี่ขวัญรีบรับคำ หันไปสั่งพี่เอกให้เข้ามารับหน้าที่ต่อ



ส่วนพี่มาร์ก็รับไฟล์คลิปใส่กระเป๋า แล้วเดินเข้ามาหาผม





“ไปกับเราหน่อย”





“ยังไม่รู้ว่าพี่ๆ จะให้ทำอะไรอีกหรือเปล่า” ผมตอบ





“ไม่มีหรอก จบแค่นี้ ...คุณไปกับเรานะ เราไม่อยากนั่งทำงานคนเดียว”





“คุณอย่ามาใช้น้ำเสียงแบบนี้ได้ไหม” ผมย่นจมูกใส่ ลืมบรรยากาศสีชมพูที่เพิ่งมโนอยู่ในหัวไปสนิท ....คนตัวโตๆ มาทำเสียงอ้อนมันไม่ได้ดูน่ารักหรอก ไม่น่ารักเลยสักนิด



ผมไม่ได้แอบไขว้นิ้วนะ!





“ถ้าคุณใจอ่อน พูดแบบไหนก็ได้ทั้งนั้น”





“ฮึ่ย! คุณมาไม้ไหนอีกเนี่ย” ผมพูดแล้วรีบเดินห่างออกมาก่อน





“คุณจะเดินไปไหน” เสียงพี่มาร์ถามไล่หลัง





“คุณจะไปทำงานไม่ใช่เหรอ ก็ตามมาสิ!” หันไปกระฟัดกระเฟียดใส่ซะเลย





“นอกจากพูดไม่เพราะแล้ว ตอนเขินคุณจะแกล้งทำหงุดหงิดด้วยสินะ”





“คุณไม่ต้องพูดทุกอย่างที่รู้ได้มั้ย” ผมถลึงตา





“โกรธก็ข่วนหน้าเราเลยสิเจ้าแมว”





“พี่มาร์! ”





“ไม่แกล้งแล้วก็ได้” ผมเงียบไม่ยอมหันไปต่อปากต่อคำด้วย ก้มหน้าก้มตาเดินตรงไปข้างหน้าอย่างเดียว



“คุณ”



“คุณ”



“คุณ”





“อะไรเล่า ไหนบอกจะไม่แกล้งเอื้อมแล้วไง” ผมหรี่ตาใส่





“ก็คุณเดินผิดทางอยู่”





“……..”



เกิดบรรยากาศเดดแอร์ชั่วขณะ ผมรีบหันไปมองรอบๆ ก็เห็นว่าจริงอย่างที่พี่มาร์ว่า นี่ผมเดินวนออกมาริมหาดได้ไงเนี่ย หันไปมองพี่มาร์...





เห็นรอยยิ้มเริ่มจะถูกจุดขึ้นบนริมฝีปากอีกฝ่าย ผมก็รีบยื่นมือไปปิดไว้ “คุณอย่าล้อเอื้อมนะ ....ห้ามล้อเด็ดขาด”





"ฮึๆ.." เสียงหัวเราะหลุดออกมาบางเบา ก่อนที่มือใหญ่กว่าจะมาแงะมือผมออกจากปากเจ้าตัว แล้วมองผมด้วยแววตาขบขันปนเอ็นดู







“ไม่หัวเราะก็ได้ " ร่างสูงกลั้นยิ้ม ก่อนจะหมุนตัวเดินไปอีกทาง แล้วหันมากระดิกนิ้วเรียกผม "ตามเรามาดิ เจ้าแมวเอ๋อ" เห็นท่าทางที่เปลี่ยนไปกระทันหัน ผมที่เรียบเรียงความคิดไม่ทัน ก็เดินตามไปแบบงงๆ



แล้วเพิ่งมานึกได้อีกห้านาทีหลังว่าเผลอทำตัวเป็นแมวเชื่องๆ ไปแล้วตั้งครั้งนึง!



______________



ในห้อง …พี่มาร์นั่งทำงานอยู่ตรงโต้ะด้านข้าง ผมนอนฟุบอยู่บนเตียง ตะแคงหน้าแนบหมอนจับจ้องแผ่นหลังกว้าง มองไปมองมาจนรู้สึกง่วง ก็ผล็อยหลับไป…







“เอื้อม...ตื่นได้แล้ว” เสียงใครบางคนดังเข้ามาในความฝันกึ่งหลับกึ่งตื่น





“พี่มาร์?” ผมถามเสียงแผ่ว แล้วหันหน้าหนีไปซุกกับหมอนอย่างงัวเงีย





“ถ้านอนเยอะกว่านี้คุณจะปวดหัวนะ” คำพูดที่มาพร้อมกับการลูบหัวเบาๆ





“งืออ ขอนอนต่ออีกนิดนึงนะ” ผมครางงึมงำ





“ถ้าคุณยังนอนต่อ เราจะไม่เกรงใจแล้วนะ”





ฟังไม่รู้เรื่องหรอกว่าพี่มาร์พูดอะไร แต่ตีความเอาเองว่าคงจะอนุญาตให้นอนต่อได้แล้ว “อือ” ผมพยักหน้าแล้วยิ้มรับ ทั้งๆ ที่หลับตา .... ก่อนจะหลับไปจริงๆอีกครั้งหนึ่ง





ร่างสูงถอนหายใจกับความไม่รู้จักระวังตัวของใครบางคน มองแก้มขาวๆ กับปากแดงๆ ที่แนบอยู่บนหมอน ไหนจะเสียงงัวเงียที่ฟังยังไงก็โคตรจะอ้อนนั่นอีก …เป็นใครก็คงยากจะห้ามใจ





ยิ่งมอง…ใบหน้าคมก็ยิ่งก้มลงต่ำ เข้าไปใกล้จนลมหายใจสัมผัสกัน หากแต่ริมฝีปากของคนที่มีโอกาสจะทำอย่างอื่น เพียงแค่แตะอย่างแผ่วเบาลงบนแก้มนุ่มแล้วเลือกที่จะผละออก




ใครคนนั้นที่ว่าแอบอมยิ้มอย่างพอใจ พลางยอมรับกับตัวเองเงียบๆ ว่าเขาก็มีวัน

...ที่อยากถนอมใครบางคนไว้เหมือนกัน


ออฟไลน์ Foxoxo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 19
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: - เอื้อมดาว - | อัพรัว 14 ตอน
«ตอบ #7 เมื่อ27-01-2018 00:59:09 »

ตอนที่หก "คุณ...อย่าร้อง"



Rrrrrrr Rrrr Rrr เสียงโทรศัพท์ที่วางไว้ข้างหมอนปลุกผมให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ผมใช้มือปัดป่ายจนเจอ แล้วกดรับทั้งๆที่ยังตื่นไม่เต็มตา

 



‘ฮัลโหล’

 



‘เอื้อมครับ นอนอยู่หรือ ...ทำไมเสียงงัวเงียอย่างนี้’ น้ำเสียงอบอุ่นที่แสนคุ้นเคยของพี่อ้ายดังมาจากปลายสาย

 



‘พี่อ้าย...เอื้อมคิดถึงจังเลย’ ผมพูดอ้อนด้วยเสียงเอื่อยๆ ตาก็ยังลืมไม่เต็มที่ รู้สึกอยากนอนต่ออีกหน่อย

 



‘นิสัยขี้เซาแล้วชอบอ้อนเนี่ย อย่าไปทำให้ใครเห็นนะครับ’

 



ผมยิ้มเมื่อนึกถึงหน้าดุๆของพี่ชาย ตอนกำลังพูดประโยคนี้ ‘เอื้อมก็อ้อนแค่พี่อ้ายคนเดียวหรอก’

 



ได้ยินเสียงพี่อ้ายหัวเราะน้อยๆ อย่างชอบใจ ‘แล้วเป็นไงบ้างครับ ถึงหัวหินนานหรือยัง’

 



‘ถึงตั้งแต่เที่ยงแล้วครับ ทะเลสวยมาก ...อยากให้พี่อ้ายมาด้วยกัน’

 



‘ครับ …ไว้พี่กลับไปแล้วเราค่อยไปด้วยกันนะ’

 



‘อื้อ’ ผมตอบ ความง่วงงุนค่อยๆหายไป ‘พี่อ้ายไปยังไงบ้าง งานยุ่งมากหรือเปล่า’

 



‘ก็ยุ่งมาก เพิ่งได้พักตอนโทรหาเรานี่ล่ะ’

 



‘ดูแลตัวเองด้วยนะครับ เอื้อมเป็นห่วง’ ผมรู้สึกกังวลเพราะความเป็นคนติดงานของอีกฝ่าย

 



‘รู้แล้วครับ ไม่ต้องห่วง ...พี่อ้ายเป็นหมอ ไม่ปล่อยให้ตัวเองป่วยหรอก’

 



‘อื้อ... ถ้าเอื้อมรู้ว่าป่วยล่ะน่าดู’ ผมขู่

 



‘ครับๆ’ พี่อ้ายหัวเราะ ‘กลับจากหัวหินคราวนี้ เอื้อมแวะเข้าไปหาท่านยายที่วังหน่อยนะครับ ป้าสมานบอกว่าท่านตรัสถึง’

 



พี่อ้ายพูดถึงท่านยายบัว หรือหม่อมเจ้าหญิงนิลปัทม์ ยายแท้ๆของเราสองคน

 



หากนับย้อนกันไป แม่ผมเคยดำรงยศเป็นหม่อมเจ้า เนื่องจากสืบฐานันดรจากท่านตา ก่อนจะลาออกกลายเป็นสามัญชน เพราะแต่งงานกับพ่อ ท่ามกลางท่ามกลางความเข้าใจกันดีของสองครอบครัว ไม่ได้มีการกีดกันความรักเกิดขึ้นแบบในละครแต่อย่างใด

 



‘ครับ ...เอื้อมก็ตั้งใจจะเข้าไปอยู่พอดี ตั้งแต่เข้ามหาลัยก็ไม่ได้ไปกราบท่านเลย” ผมบอก ใจหวนคิดถึงขนมไทยในวังที่แสนอร่อย~

 



‘ดีมากครับ ..เด็กดี’ พี่อ้ายชม ‘พี่ต้องวางแล้วนะครับ เอื้อมต้องดูแลตัวเองดีๆ ห้ามเผลอไปกินกุ้งเด็ดขาดเข้าใจไหมครับ’

 



พี่อ้ายสั่ง เพราะรู้ว่าผมมีอาการแพ้กุ้งอย่างรุนแรง แถมตอนเด็กๆเคยกินเผลอกินเข้าไปครั้งนึง เรียกได้ว่าเกือบเอาชีวิตไม่รอด..

 



ผมรีบรับคำอย่างว่าง่าย รอจนพี่อ้ายวางสาย ก็ค่อยๆลุกขึ้นนั่ง บิดขี้เกียจน้อยๆพลางมองไปรอบห้อง

 



...เหมือนพี่มาร์จะออกไปข้างนอกแล้ว? ผมคิด แล้วลุกขึ้นพับผ้าห่มเตรียมตัวจะออกไปบ้าง

 



แกร่ก! เสียงหมุนลูกบิดประตูดังขึ้น

 



“พี่นับ?” ผมเอ่ยชื่อคนที่เดินเข้ามาหลังจากประตูเปิด อีกฝ่ายหันมามองผมอย่างแปลกใจ ก่อนจะแย้มยิ้มออกมา

 



“น้องเอื้อมใช่ไหม” อีกฝ่ายถาม

 



“ครับ” ผมพยักหน้าแล้วเงียบไป เพราะไม่รู้จะคุยอะไร

 



แล้วก็เป็นพี่นับที่พูดต่อ “ขอโทษนะ ที่วันนี้พี่กับมาร์ไปยืนทะเลาะกันจนขวางทางเดินเรา”

 



“ไม่เป็นไรครับ”

 



พี่นับยังคงยิ้มน้อยๆ ดูไม่ถือสา กับการถามคำตอบคำของผม “เราดูสนิทกับมาร์นะ”

 



“เหรอครับ ...เพิ่งได้ยินจากพี่นับเป็นคนแรกนี่ล่ะ” ผมเอียงหน้าถาม

 



“อืมใช่ ...พี่รู้จักกับมาร์ตั้งแต่เด็กๆ ดูออกอยู่แล้วล่ะว่ามาร์สนิทหรือไม่สนิทกับใคร”

 



“งั้นผมก็คงต้องเชื่อล่ะครับ” ผมยิ้ม ก่อนถามกลับบ้าง “นี่พี่นับมาหาพี่มาร์เหรอครับ”

 



“หือ... เปล่าหรอก” พี่นับส่ายหัว แล้วชีี้ไปที่กระเป๋าพี่มาร์ที่วางอยู่ไม่ไกล “พี่เข้ามาเอาของให้มาร์น่ะ เจ้าตัวกำลังยุ่งเลยวานให้มาเอาให้”

 



ผมนิ่งไปนิด ...ก่อนจะพยักหน้าเข้าใจ “อ๋อครับ ...งั้นผมขอตัวก่อนดีกว่า ไม่รู้ว่าข้างนอกเค้าทำกิจกรรมกันไปถึงไหนแล้ว”

 



“อืม...ดูเหมือนจะกำลังกินข้าวกันอยู่นะ รีบไปหน่อยน่าจะดี” พี่นับพูดอย่างใจดี แล้วโบกมือให้น้อยๆตอนที่ผมเดินออกไป

 




ผมเดินออกมาข้างนอก พยายามจัดการกับความรู้สึกที่กำลังเกิดขึ้นของตัวเอง รู้ดีว่าความรู้สึกของผมไม่ว่าจะดีหรือร้าย ก็ไม่ใช่ความรับผิดชอบของใคร

 



“เหม่ออะไร”

 



น้ำเสียงน่าฟัง พร้อมกับมือที่แตะลงบนบ่าทำผมสะดุ้ง

 



“คราม ...เราตกใจหมดเลย” ผมลูบอกตัวเอง พลางยู่หน้าใส่คนที่กำลังหัวเราะอย่างชอบใจ

 



“เดินเหม่อเอง แต่เราเป็นคนผิดไปอีก”

 



“ถ้าครามไม่ขำ เราก็จะบอกว่าเราผิดนั่นล่ะ” ผมเถียง

 



“ครับๆ ตกลงเหม่ออะไร” ครามยกมือยอมแพ้

 



“เปล่านี่” ผมบอกปัด แล้วเปลี่ยนเรื่อง “นี่กำลังจะไปไหนอะ”

 



ครามมองอย่างรู้ทัน แต่ก็ยอมเล่นตามน้ำ ไม่แฉผมออกมา “ไปกินข้าวไง ...ที่เดินมาทางนี้ไม่ได้กำลังไปเหมือนกันเหรอ”

 



“หา..” ผมทำหน้างง มองไปรอบๆ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเดินมาถึงตรงไหน

 



และเหมือนครามจะอ่านความคิดผมออกอีกครั้ง “บ๊องจริง ...ตามมานี่มา” ครามดีดหน้าผากเบาๆ แล้วดึงชายเสื้อให้เดินตามไป

 



ในห้องอาหาร ผมนั่งโต๊ะเดียวกับคราม แล้วก็เดือนคณะอื่นอีกสามคน “เอากุ้งไหม เดี๋ยวแกะให้” ครามถาม

 



“ครามกินเลย เราแพ้กุ้งอะ”

 



“อ้าว งั้นเหรอ แล้วอาหารทะเลอย่างอื่นแพ้ไหม”

 



“ไม่ๆ ...แพ้แค่กุ้ง” ผมส่ายหน้ายิ้มๆ

 



“พวกมึงเข้าไปดูคลิปกันหรือยัง” ไทม์เดือนคณะบริหารชวนคุย

 



“เออดูแล้ว ...คลิปเอื้อมกับไอ้ครามกระแสดีสัดๆ” ฌอนตอบ ก่อนจะหันมามองผมกับคราม

 



“คลิปอะไรอะ” ผมทำหน้างง ยังตามเพื่อนไม่ทัน

 



“คลิปแนะนำตัวไง พวกพี่เค้าอัพลงในเพจแล้วนะ” ไทม์ช่วยไขข้อสงสัย

 



“อ๋อ เรายังไม่ได้ดูเลยอะ” ผมยิ้มแห้ง เพราะมัวแต่นอนเลยไม่รู้อะไรกับคนอื่นเค้า

 



“ไปดูดิ เค้าอัพลงแล้ว คลิปเอื้อมกระแสดีมากอะ”

 



“อืม เดี๋ยวกินข้าวเสร็จค่อยดูละกัน” ผมตอบ ไม่ได้สนใจเท่าไหร่ กระแสดียังไงก็คงสู้ครามไม่ได้อยู่ดี




ติ๊ง! เสียงจากโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะ ดึงความสนใจให้ผมหยิบมาเปิดดู

 

เป็นอะไรไหนบอกหมงซิ(4)

 

หมงเท่งหมงเท่งหมงเท่งหมง:

พวกมึง

เพื่อนเราไปหัวหิน

คิดว่าได้ไม่ได้

 



หมากเปรียญ:

ได้อะไรอะเพื่อนหมง

คิดดีไม่ได้แร้วตอนนี้

 



หมงเท่งหมงเท่งหมงเท่งหมง:

อุกอุกอุก

 



                                        มนุษย์ดาวอังคาร:

                                        กวนตีน



หมงเท่งหมงเท่งหมงเท่งหมง:

ตั้วเร้กพูดไม่เพราะฟ้องพี่อ้ายนะคร้า



 

                                            มนุษย์ดาวอังคาร:

                                            **สติ๊กเกอร์หมีบราวน์ไฟลุก**

 



หมงเท่งหมงเท่งหมงเท่งหมง:

คลิปแนะนำตัวนี่ไม่ได้เรย

ร้ายกาจๆ

ส่งลิงค์ให้พี่อ้ายดีไหมน้าาา



                                      มนุษดาวอังคาร:

                                      ยังไม่ได้ดูเลย



หมากเปรียญ:

ไม่อยากจพูดค่ะคุณกิตติ

ทวิตกับเฟสบุ๊ค ลุกเป็นไฟแล้ว

 



ปัณนพ:

ไปดูสิตัวเล็ก

 



                                      มนุษย์ดาวอังคาร:

                                      อืมๆ เดี๋ยวดู

 

ผมตอบแล้วกดออกจากแชท เพราะคนอื่นๆเริ่มพากันแยกย้ายกลับห้อง





ตั้งแต่ตื่นมาจนถึงตอนนี้ผมยังไม่เห็นแม้แต่เงาพี่มาร์ เหมือนอยู่ๆอีีกฝ่ายก็หายไปซะเฉยๆ

 



“พี่ฟาร์ครับ” ผมเดินไปสะกิดคนที่กำลังยืนคุยกับพนักงานรีสอร์ต เพราะจะขอกุญแจห้อง

 



“อ้าวน้องเอื้อม ...ตื่นมาตอนไหนเนี่ย พี่กำลังจะสั่งอาหารไปให้เราที่ห้องอยู่พอดี”

 



“พี่ฟาร์รู้ได้ไงครับ ว่าผมนอนอยู่” ผมถามอย่างแปลกใจ

 



“ไอ้มาร์มันฝากพี่ไว้น่ะ”

 



คำตอบพี่ฟาร์ทำเอาผมขมวดคิ้วเข้าหากันหนักกว่าเดิม “แล้วพี่มาร์ไปไหนเหรอครับ”

 



“อ๋อ ...มันไปโรงพยาบาลน่ะ”

 



“โรงพยาบาล!” ผมทวนคำตอบพี่ฟาร์เสียงตื่น “ไปทำไมครับ เป็นอะไร”

 



“ใจเย็นๆ ...มันไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่หัวแตกนิดหน่อย” พี่ฟาร์รีบพูดปลอบเมื่อเห็นท่าทางตกใจของผม

 



หัวแตกนี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ตรงไหน ...”เกิดอะไรขึ้นครับ”

 



“มันลงไปช่วยเด็กจมน้ำที่หาด เลยโดนไม้หรืออะไรสักอย่างกระแทกหัวน่ะ”

 



ผมนิ่งไปเมื่อได้ฟังคำตอบ ...โมโหตัวเองที่นอนจนไม่รู้เรื่องอะไร โมโหอีกคนที่นึกถึงเรื่องกินข้าวของผมได้ แต่ไม่นึกถึงเรื่องจะบอกกันสักคำว่าตัวเองเจ็บตัว

 



“มันน่าจะใกล้กลับมาแล้วนะ ออกไปตั้งแต่สองชั่วโมงที่แล้ว” พี่ฟาร์บอกเมื่อเห็นผมเงียบไป

 



“เหรอครับ ...งั้นเอื้อมขอไปรอข้างหน้าได้ไหม ...ยังมีกิจกรรมอะไรที่ต้องทำหรือเปล่า”

 



“ไม่มีแล้วล่ะ เริ่มอีกทีก็พรุ่งนี้เลย ...แต่พี่ว่าเอื้อมไปรอมันที่ห้องก็ได้นะ ไอ้มาร์มันนอนห้องเดี่ยว ไม่รบกวนใครหรอก ...ข้างนอกลมทะเลมันแรง” พี่ฟาร์แนะ

 



“ก็ได้ครับ” ผมพยักหน้าอย่างว่าง่ายแล้วยิ้มขอบคุณ

 



“แล้วอีกอย่าง” พี่ฟาร์ปรับสีหน้าให้ดูเคร่งขรึมจริงจังขึ้นอีกหน่อย “พี่ปล่อยเราไปนั่งรอมันก็ถือว่าขัดคำสั่งพี่อ้ายจนเสี่ยงโดนกระทืบแล้ว ดังนั้นห้ามปล่อยให้มันเอาเปรียบ เข้าใจไหม”

 



“เอาเปรียบยังไงครับ” ผมทำหน้างง และนั่นทำให้พี่ฟาร์ทำหน้าคิดหนัก

 



“ตายๆ ...กูตายแน่ๆ” พี่ฟาร์บ่นพึมพำเสียงแผ่ว

 



“มีอะไรหรือเปล่าครับ”

 



“เฮ้อออ ...ไม่มีอะไร เราไปเถอะ” พี่ฟาร์ถอนหายใจคล้ายปลงตก แล้วโบกมือไล่ เห็นท่าทางเหมือนอยากจะพูดคุยกับตัวเองของอีกฝ่าย ผมเลยยอมผละออกมา

 

โดยไม่ได้ยินประโยคสุดท้ายที่ลอยหายไปตามลม “ขอให้มึงจริงจังแบบที่พูดเถอะไอ้มาร์ ไม่งั้นกูคงโดนพี่อ้ายกระทืบตายฟรี”

 



ในห้อง



ผมถือหนังสือเข้ามานั่งอ่านบนโต๊ะที่พี่มาร์เคยนั่งทำงานระหว่างรอ จนผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมงก็ได้ยินเสียงคนเปิดประตูเข้ามา

 



พี่มาร์ชะงักไปเมื่อเห็นว่าผมนั่งรออยู่  ผมลุกขึ้นยืนแล้วรีบเดินเข้าไปใกล้ มองสำรวจหน้าผากอีกฝ่ายที่มีผ้าก็อชพันอยู่ มองไปมองมาตาก็เริ่มแดงก่ำ

 



คนบ้า น่าตีจริงๆเลย!

 



“คุณ... อย่าร้อง” เสียงทุ้มที่แฝงแววเหนื่อยล้าพูด พร้อมกับยื่นมือมาบีบแก้มผมเบาๆ

 



“ถ้าเอื้อมร้องแล้วคุณจะทำไม” ผมพูดเสียงตวัด

 



“เราก็จะรู้สึกผิด”





แค่จบประโยคเท่านั้นแหละ ...ร้องแม่งเลย

 



ผมเม้มปากกลั้นเสียงสะอื้นๆ แต่น้ำตาก็ไหลเปาะๆ อย่างกลั้นไม่อยู่และก็ไม่คิดจะกลั้น ...




พี่มาร์ยืนนิ่งมองผม หากแต่แววตาดูลนลานเหมือนคนทำอะไรไม่ถูก

 



...ส่วนผม ด้วยความเป็นห่วงที่มีมากกว่า เลยยื่นมือไปจับมืออีกฝ่ายให้เดินไปนั่งบนเตียง เดินไปทั้งๆที่ยังร้องไห้มันนั่นแหละ

 

เสร็จแล้วก็หยิบถุงยาขึ้นมาดู แต่อ่านยังไงก็อ่านไม่เห็น ...

 



“คุณเรายอมแล้ว คุณอย่าร้อง” พี่มาร์คว้ามือผมไปจับแล้วลูบเบาๆ

 



“เอื้อม ฮึก.. ตกใจ..หมดเลย”

 



“ขอโทษครับ ขอโทษ ...คุณหยุดร้องนะ เดี๋ยวปวดหัว” พี่มาร์ลูบหัวลูบหางผมไปเรื่อยจนผมสงบลง

 



“เอื้อมจะโทรสั่งรูมเซอร์วิสมาให้” ผมพูดหลังจากหยุดสะอื้นได้ แล้วผละออกจากพี่มาร์เดินไปกดโทรศัพท์ที่หัวเตียง

 



“คุณหายโกรธแล้วเหรอ” พี่มาร์ถามหลังจากผมวางสายพนักงาน

 



“ยัง แต่คุณป่วยอยู่ เอื้อมไม่อยากงี่เง่าจนกวนคุณ”

 



พี่มาร์ยกยิ้มหลังฟังคำตอบ “คืนนี้คุณนอนเป็นเพื่อนเราหน่อย”

 



“ไม่ ...เรื่องอะไรล่ะ” ผมย่นจมูกใส่

 



“หมอบอกว่าคืนนี้เราอาจจะไข้ขึ้น”

 



ผมหรี่ตามองท่าทางเจ้าเล่ห์ของคนเจ็บ “คุณก็ให้เพื่อนคุณมานอนเป็นเพื่อนดิ”

 



“โอ๊ย!” พี่มาร์ยกมือขึ้นจับแผล ผมเลยรีบถลาเข้าไปดู

 



“คุณเจ็บเหรอ ...” ผมถามพลางยื่นมือไปลูบเบาๆบนบริเวณที่ปิดแผลไว้ พี่มาร์ไม่ตอบแต่ค่อยๆเอนหัวลงมาซบบนไหล่ผม

 



“คุณอยู่เป็นเพื่อนเรานะ...”

 



"........"



ผมเบือนหน้าหนี พยายามเม้มปากกลั้นยิ้มจนปวดแก้ม ...แพ้อีกแล้ว ใจไม่แข็งเลยเอื้อม




*******
ไรท์ทอล์ค : ตอนที่เหลือเจอกันพรุ่งนี้เช้านะคะ คืนนี้ไม่ไหวแล้วให้อภัยเราด้วย yy

ออฟไลน์ เจ้าชายหมูตอน

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 44
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: - เอื้อมดาว - | อัพรัว 14 ตอน [27/01/2018]
«ตอบ #8 เมื่อ27-01-2018 01:48:25 »

 :hao6: เป็นนิยายที่ดีมาก ภาษาสวย
ตัวพระเอกก็ดี นายเอกก็น่ารัก บรรยายบรรยากาศจนคนอ่านยิ้มแบบว่าคนสกิดนึกว่าบ้า
ชอบแนวนี้ครับ หวังว่านักเขียนจไม่โยนพวกเราลงหมอมาม่านะครับ ขอให้ความรักทั่งสองราบรื่นด้วยเถ่อะสาธุ  :3123:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: - เอื้อมดาว - | อัพรัว 14 ตอน [27/01/2018]
«ตอบ #9 เมื่อ27-01-2018 02:38:08 »

สนุกดีค่ะ ลากอ่านยาวเลย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: - เอื้อมดาว - | อัพรัว 14 ตอน [27/01/2018]
« ตอบ #9 เมื่อ: 27-01-2018 02:38:08 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ catka12

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 578
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-0
Re: - เอื้อมดาว - | อัพรัว 14 ตอน [27/01/2018]
«ตอบ #10 เมื่อ27-01-2018 03:20:33 »

 :hao7: โอ๊ย....ตายอย่างสงบ .... น่ารักมากกกก  :ling1: อ่านแล้ว แดดิ้นมากกก  :ling1: พึ่งได้เข้ามาอ่านวันนี้ค่ะ...  แต่ต่อจากนี้จะเข้ามารออ่านทุกวัน สามเวลา ก่อนทานข้าวเลนค่ะ...  :ling1: ชอบบบบบบบท :hao7:  o13

ออฟไลน์ DZiik

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
Re: - เอื้อมดาว - | อัพรัว 14 ตอน [27/01/2018]
«ตอบ #11 เมื่อ27-01-2018 10:35:09 »

ไม่ชอบนับเลยอ่ะ  :ling1:

ออฟไลน์ ป้ากิ่งkingkarn

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 308
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
Re: - เอื้อมดาว - | อัพรัว 14 ตอน [27/01/2018]
«ตอบ #12 เมื่อ27-01-2018 10:45:39 »

 :pig2:
+1+เป็ดให้ทุกตอนเพื่อขอบคุณการอัฟรัวๆนะคะ
รออ่านต่อจ้า  :pig4:

ออฟไลน์ Foxoxo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 19
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ตอนที่เจ็ด "Damn it!"



ผมเพิ่งรู้ว่าการรับมือคนป่วยเป็นเรื่องที่ยากขนาดนี้ ...ไม่ใช่ทางร่างกาย

 



แต่เป็นหัวใจ...

 





“คุณไม่ไปไม่ได้เหรอ” คนป่วยบนเตียงที่ไม่รู้ว่าป่วยจริงหรือป่วยแกล้ง พูดพลางคว้ามือผมไว้

 




“ไม่ได้ ...เอื้อมบอกเพื่อนไว้แล้ว คุณอย่างอแงดิ” ผมมุ่ยหน้าใส่

 




วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เราทำกิจกรรมเสร็จ เลยนัดไปฉลองกันที่ริมหาด ก่อนเดินทางกลับ

 




...คนอื่นๆเค้าไปรวมตัวกันหมดแล้ว จะเหลือก็แค่ผมที่แว้บเข้ามาดูคนป่วย แล้วก็โดนงอแงใส่ ไปไหนไม่ได้จนถึงตอนนี้

 




“เหอะ กิจกรรมของพวกเด็กๆ”

 




แล้วคนที่ทำหน้าเป็นเด็กโดนขัดใจนี่ไม่เด็กหรือไง ผมอมยิ้ม ...”เด็กที่ไหนเค้ากินเหล้ากันล่ะคุณ”

 




“เด็กไม่ดีไง”

 




“จำได้ว่าเจอคุณครั้งก่อนก็ในร้านเหล้านะ”

 




“เราโตแล้วไง”

 




“ครับๆ ยังไงก็ได้” ผมยอมแพ้ “ปล่อยมือเอื้อมได้แล้ว ต้องไปแล้วเนี่ย”

 




“อือ ไปกัน” พี่มาร์ปล่อยมือแล้วลุกขึ้นจากเตียง

 




“ห้ะ ...คุณจะไปไหน”

 




พี่มาร์ยกยิ้ม เข้ามายีหัวผมเบาๆ ก่อนเดินผ่านออกไป “ตามไปคุมแมว”

 




“.....”

 




เดินมาถึงริมหาด คนอื่นๆก็นั่งแยกกันเป็นกลุ่มๆ ผมที่เดินตามพี่มาร์ต้อยๆมาถึง ต่างคนก็ต่างโดนเพื่อนตัวเองเรียกให้ไปนั่งด้วยกัน

 




“คุณไปนั่งกับเพื่อนดิ เอื้อมก็จะไปนั่งกับเพื่อนเหมือนกัน” ผมหันไปบอก พี่มาร์ไม่ตอบอะไร แต่จูงมือผมให้เดินไปด้วยกัน

 




“คุณไม่ได้ยินที่เอื้อมบอกหรือไง” ผมกระซิบ คนอื่นหันมามองกันหมดแล้ว..

 




“เงียบน่ะแมว เราไม่สบายอยู่นะ”

 




“.......”

 




“ยังไงๆ สองคนนี้” พี่ขวัญเป็นคนแรกที่หันมาทัก พร้อมกับพี่ๆคนอื่นๆที่พากันขยับหาที่ว่างให้เราสองคนนั่ง

 




“มานั่งด้วยกันไม่เกรงใจคู่จิ้นเลยยย” พี่ข้าวพูดด้วยสายตาล้อเลียน

 




ส่วนเรื่องคู่จิ้นที่ว่า ก็หมายถึงเรื่องผมกับคราม ที่อยู่ดีๆก็มีแฮชแท็กคู่กันแบบงงๆ ในเฟสกับทวิตเตอร์ พอลองเข้าไปส่องดูก็ถึงกับอึ้งกับความเล่นใหญ่ของแต่ละคน

 




สาเหตุหลักๆก็มาจากคลิปแนะนำตัวของครามที่พูดถึงผม กับพวกภาพต่างๆที่ทางกองเอาไปลง ...ซึ่งก็ดันมีซะเยอะ เพราะตอนทำกิจกรรมส่วนมากก็อยู่ด้วยกัน

 




พอผมเอาเรื่องนี้ไปบอกกับเจ้าตัว ก็ได้รับยิ้มน้อยๆเป็นคำตอบ พร้อมกับบอกว่าไม่ต้องคิดมาก อย่างน้อยๆเราก็สนิทกันจริงๆด้วยส่วนนึง เลยไม่ได้ลำบากใจอะไร

 




ผมฟังแล้วก็คิดว่าจริงอย่างที่ครามว่า ต่างคนเลยต่างปล่อยเบลอเรื่องนี้ไป

 




“คู่จิ้นอะไร” คนบางคนที่ตกข่าวเพราะไม่สบายถามงงๆ

 




“ก็ครามกับน้องเอื้อมไง ...คนเค้าจิ้นว่าน้องสองคนคบกัน” พี่ขวัญว่า แล้วมองพี่มาร์เหมือนคนรอดูเรื่องสนุก

 




“ละสายตาไม่ได้เลยนะ” พี่มาก้มลงมากระซิบ มองผมอย่างคาดโทษ

 




“เอื้อมยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ”

 




“เออ มึงจะขู่น้องทำไม ...เป็นแฟนเค้าเหรอ มาหวงอะ” พี่ฟาร์ถามเย้ยๆ

 




พี่มาร์ไม่ตอบแต่หันมาทางผม “เราหวงคุณได้ปะ”

 




“โคตรร้ายยยยย” พี่ขวัญว่า ก่อนที่ทุกคนจะพากันมองมาทางผมอย่างพร้อมเพรียงกัน

 




“ว่าไงเอื้อม หวงได้ไม่ได้คะ พี่เค้าถามมา”

 




ผมเม้มปาก ค้อนใส่คนที่โยนระเบิดมาให้ แล้วก้มหน้างุด ไม่กล้าสบตาใครสักคน ...

 




“โอ้ยย หน้าแดงๆ ...ความน่ารักของโลกใบนี้” เสียงโหยหวนของพี่ข้าวดังเข้ามาในหู ก่อนผมจะโดนพี่มาร์ดึงไปซบไหล่

 




“ห้ามเงยหน้าให้พวกมันดู” เสียงทุ้มกระซิบ แล้วเอามือมาปิดหน้าผมไว้

 




“เกินหน้าเกินตามาก บอกเลย”

 




“คนที่แล้วก็พูดแบบนี้” พี่ฟาร์ว่า

 




“เออใช่ คนเจ้าชู้วววว ...เอื้อมอย่าไปเชื่อนะลูก ดาวที่มันเคยสอยมาอะ เยอะกว่างานกาชาดทั้งงานรวมกันอีก”

 




“พวกเหี้ย” พี่มาร์สบถ






“คุณ...เอื้อมอึดอัด” ผมตีมือที่ปิดหน้าไว้เบาๆจนอีกฝ่ายยอมปล่อย

 




“อย่าไปฟังพวกมันมาก” พี่มาร์บีบแก้ม

 




“ฟังมากๆอะถูกแล้วเอื้อม จะได้ไม่หลงกลคนผีทะเล” พี่ข้าวลอยหน้าลอยตาใส่พี่มาร์

 




“ขนาดนั้นเลยเหรอครับ” ผมถาม

 




“หู้ยยยยย ไม่อยากจะเหลา ...เอกมึงจัดดิ้” พี่ข้าวสะกิดเพื่อนที่เหมือนจะเตรียมพร้อมรอรับมุกอยู่ก่อนแล้ว

 




“คฑากรมหาลัย หลีด ดาวคณะ เจอมันทีนี่ ...มาร์อย่างงู้น พี่มาร์อย่างงี้ น้องมาร์อย่างงั้น เอื้อมไม่เชื่อก็ลองดูคอนแท็คในไลน์มันดิ”

 




ผมฟังไปด้วย ตาเหล่มองคนข้างๆ มือก็หยิบแก้วโค้กด้านหน้าขึ้นมากระดก

 




แค่กๆ! ซวยละ หยิบผิดแก้ว ...

 




“เอื้อม เรากินอะไรเข้าไปน่ะ” พี่ฟาร์ถามหน้าตาตื่น

 




“เหมือนจะเป็นเหล้าครับ” ผมตอบเสียงค่อย พลางแลบลิ้นออกมาแบบแหยะๆ ...ฮือออ รสชาติประหลาดอะ พี่มาร์ลูบหัวผมเบาๆ ก่อนจะส่งน้ำเปล่าที่วางอยู่ข้างๆมาให้

 




“เวรละ...ดื่มเข้าไปเยอะๆเลย มันจะได้เจือจาง”






“มึงจะตกใจทำไมนัก น้องแค่เผลอดื่มเหล้า” พี่เอกผลักหัวพี่ฟาร์

 




“ห่า...น้องเคยผ่าหัวใจมา”

 




“ไม่เป็นไรหรอกครับพี่ฟาร์ แค่ไม่กี่อึกเอง” ผมบอก เพราะนอกจากอาการมึนๆ ก็ไม่มีตรงไหนผิดปกติ

 




“คุณเคยผ่าหัวใจ?” พี่มาร์ถาม

 




“ช่ายยยย” ผมตอบ ก่อนจะหรี่ตามองหน้าพี่มาร์ ทำไมรู้สึกว่าหน้าอีกฝ่ายโงนเงนแปลกๆ

 




“นั่นไง ตัวเอียงละน้องเอื้อมกู”

 




ผมหันไปมองหน้าพี่ฟาร์ เอ้ะ....พี่ฟาร์ก็นั่งโงนเงนเหมือนกัน กวาดสายตาไปรอบๆทำไมไม่มีใครนั่งตัวตรงเลยอะ

 




ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าหัวมันหนักๆ เลยเอนไปซบไหล่พี่มาร์ซะเลย “คุณ...เอื้อมอยากกลับห้องแล้ว” ...ทำไมเสียงผมมันฟังดูอ้อแอ้จัง

 




“ดาเมจเว่ออออ...ขนาดเราเป็นผู้หญิงนะ” เสียงใครแล้วนะ...พี่ขวัญ หรือพี่ข้าว ผมย่นคิ้ว

 




“กูพาน้องกลับห้องก่อนนะ” อันนี้เสียงพี่มาร์ ผมจำได้...

 




“เออ ไปเถอะ ดูน้องดีๆนะมึง”






“ห้ามทำเรื่องไม่ดีไม่งาม เข้าใจไหมคนผีทะเล”

 




“แม่งน้องน่ารักเว่อ ...มึงอย่าคิดชั่วนะเว้ย”

 




“เออพวกเหี้ย สั่งกูเป็นบ๋อยเลย”

 




“คุณเป็นบ๋อยเหรอ” ผมเงยหน้าขึ้นถาม ก่อนได้ยินเสียงหัวเราะลั่นของพวกพี่ๆตามมา

 




“หึหึ ...เมาแล้วกวนเก่ง” เสียงทุ้มกระซิบ พยุงผมให้ยืนขึ้น แล้วย่อตัวลง “ขึ้นมาเด็กขี้เมา ...กลับห้องกัน”

 




เห็นแบบนั้น ผมก็เอนตัวซบลงบนแผ่นหลังกว้างอย่างว่าง่าย มือก็กอดคออีกฝ่ายไว้หลวมๆ ก่อนจะโดนช้อนตัวขึ้น

 




“คุณจะพาเอื้อมไปไหนอะ” ผมถามหลังจากรู้สึกว่าเสียงวุ่นวายรอบข้างเริ่มหายไป

 




“กลับห้องไง”

 




“ไม่ได้ไปดูดาวเหรอ” ผมถามงึมงำ พลางใช้คางถูไหล่เจ้าของแผ่นหลังที่ขี่อยู่เบาๆ

 




“คุณอยากดูเหรอ”

 




“อื้อออ....ทะเลมีดาวตก” ผมพยักหน้าหงึกหงัก






“ก็ได้ งั้นไปกัน”

 




“คุณใจดีจัง” ผมยิ้ม ซบหน้าลงแล้วหลับตา

 




รอจนรู้สึกได้ถึงลมทะเลกับผืนทรายอุ่นๆใต้เท้า ถึงลืมตาขึ้นอีกครั้ง



....พี่มาร์ย่อตัวให้ผมลงไปยืนกับพื้น ก่อนจะหันกลับมาประคองไว้

 




“ทำไมตัวเอื้อมหนักไปหมดเลย” ผมบ่น ไม่เคยคิดว่าการยืนบนพื้นมันจะยากขนาดนี้

 




“ก็คุณเมาไง...เจ้าแมว” พี่มาร์จิ้มหน้าผากผมเบาๆ

 




“ไม่ใช่แมวสักหน่อย” ผมมุ่ยหน้า

 




“ครับๆ... นั่งลงดีๆได้แล้ว”

 




ผมทรุดตัวลงนั่งตามพี่มาร์ว่า แต่เพราะรู้สึกหนักหัวหนักตัว เลยตัดสินใจนอนลงไปแทน

 




“คุณ ...ดาวเต็มฟ้าเลย” ผมพยายามยกมือขึ้นชี้ ก่อนจะตบมือลงตรงที่ว่างข้างๆ “คุณ นอนลงๆ”

 




“เมาแล้วเอาแต่ใจเลยนะ”

 




“เอื้อมเมาเหรอ”ผมช้อนตาถามคนที่นั่งอยู่

 




“อือ ...เมาแล้ว” นิ้วเรียวปัดปลายจมูกผมไปมา

 



“เอื้อมเมาแล้ว ....”ผมทวนคำพูดแล้วกระตุกชายเสื้อพี่มาร์ “คุณ”

 




“ว่าไงครับ”

 



“เอื้อมชอบคุณมากเลยนะ” ผมแกว่งชายเสื้อเบาๆ



พี่มาร์ก็ชะงักไป ...เห็นอีกฝ่ายกัดกรามเหมือนกำลังข่มกลั้นอะไรสักอย่าง ก่อนจะสบถออกมาเสียงดัง




“Damn it!”

 




รู้ตัวอีกทีก็โดนยกขึ้นมานั่งคร่อมอยู่บนตักคนตัวโต “รู้ตัวไหมว่าพูดอะไรออกมา”
 




“ไม่รู้หรอก …ก็เอื้อมเมา”

 



มาร์’s

ผมโคตรอยากจะกัดเด็กตัวบางๆ ในอ้อมกอดให้จมเขี้ยว

คนบางคนแม่งก็ไม่รู้ตัวหรอก ว่าทำให้คนอื่นต้องใช้ความอดทนขนาดไหน ในการไม่ฟัดตัวเองให้ยับอะ

 



มองคนที่ยิ้มขี้เล่นแล้วพูดออกมาง่ายๆว่าเมา ก็อดจะกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นอีกไม่ได้ กลิ่นน้ำหอม Creed GIT ดูหอมขึ้นอีกเท่าตัว เมื่ออยู่บนผิวน้อง

 




“เราต้องอดทนขนาดไหนรู้บ้างไหมเนี่ย” ผมงับปลายจมูกอย่างหมั่นเขี้ยว




คนตัวเล็กหน้ามุ่ย ก่อนจะ ...

 




จุ้บ! ปากเล็กก้มลงมาแตะปากผมแรงๆครั้งหนึ่งแล้วผละออกไป






“เอื้อมบอกให้คุณทนเหรอ” เจ้าตัวกัดปากอย่างขัดใจ

 



ให้ตายดิ..

 



ผมขยับหน้าเข้าไปใกล้จนลมหายใจสัมผัสกัน... กดจูบปลายจมูกน่าเอ็นดู ...ไล่ลงมาที่มุมปาก แล้วค่อยๆขบเม้มริมฝีปากนุ่ม สลับหนักเบาอย่างยั่วเย้า ก่อนจะผละออก กระซิบคำเตือนครั้งสุดท้ายให้ลูกแมวตัวน้อย ...

 



“เอื้อมครับ จากนี้จะมาร้องไห้ทีหลังกับพี่มาร์ก็ไม่ทันแล้วนะ”

 

 

คนตัวเล็กหน้าแดงเรื่อเหมือนคนเป็นไข้ หากแต่แววตาดูดื้อรั้น กลายเป็นแมวป่าจอมดื้อที่ก้มหน้าลงมาใช้สำเนียงบริติชกระซิบแผ่ว แล้วกัดแรงๆตรงมุมปากผมเป็นคำตอบ “Let’s Just Kiss ‘til we’re drunk (แค่จูบกันจนกว่าเราจะเมากันไปข้างนึงเถอะ)”



******
ไรท์ทอล์ค : ตอนต่อไปเจอกันตอนบ่ายสองนะคะ

ออฟไลน์ Foxoxo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 19
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ตอนที่แปด "เด็กดี"



เสียงหอบหายใจดังประสานสอดแทรกเสียงคลื่น แผ่นหลังบางที่สะท้อนแสงจันทร์ลูบไล้กับผืนทรายจนขึ้นสี ร่างด้านบนที่หยัดกายอยู่เหนือคนเมามาย ค่อยๆผละริมฝีปากตัวเองออกจากปากสีบวมช้ำอย่างอ้อยอิ่ง

 





...ลิ้นสีสดตวัดเลียมุมปาก ที่ยังหลงเหลือร่องรอยของการแลกเปลี่ยนลมหายใจระหว่างกัน แล้วยกยิ้มน้อยๆ เมื่อเด็กขี้เมาพลิิกตัวเองขึ้นมาด้านบน

 





มองไหล่บอบบางกับกระดูกไหปลาร้าคู่สวย ที่โผล่พ้นสาบเสื้อเชิ้ตตัวยาว ซึ่งห่างไกลจากสภาพเรียบร้อย

 





“อ้ะ...อย่ากัด” แก้มนุ่มซบลงบนไหล่กว้างพูดเสียงอู้อี้

 





“เด็กดี..” คนโตกว่ากระซิบ...ริมฝีปากขบกัดไปตามแนวกระดูก สร้างร่องรอยชวนคิดไว้บนผิวขาว

 





“ฮึก...”  ร่างในอ้อมกอดสะอื้นเมื่อต้องรับมือกับความรู้สึกไม่คุ้นชิน

 





เสียงสะอื้นที่ทำให้อีกคนชะงัก...

 





“เอื้อมครับ” มือใหญ่เกลี่ยแก้มชื้นเหงื่อ ผละใบหน้าตัวเองออกมาแล้วกระชับอ้อมกอดเข้าหา

 





ค่อยๆซึมซับกลิ่นกายนุ่มนิ่ม....สงบอารมณ์ที่กำลังก่อตัวขึ้น

 





“ต่อจากนี้ต้องให้อยู่ห่างแอลกอฮอลล์ ในระยะสองร้อยเมตร” เสียงทุ้มพึมพำคล้ายให้สัญญากับตัวเอง ก่อนก้มลงหอมหัวทุยๆในอ้อมกอดแรงๆ อย่างหมั่นเขี้ยว

 





หากได้ยินเพียง...

 





ฟี้ ~

 





เสียงหายใจสม่ำเสมอ กับใบหน้าเปื้อนยิ้มของลูกแมวสิ้นฤทธิ์..

 





เอื้อม’s

ผลุบ! ผมรีบมุดตัวเข้าไปในผ้าห่ม เมื่อเห็นว่าคนที่ไม่อยากเจอที่สุดในตอนนี้กำลังก้าวออกมาจากห้องน้ำ

 





“หลบเราแบบนี้ แสดงว่าจำได้ล่ะสิ” น้ำเสียงเจือรอยยิ้มพูดขึ้น ก่อนผ้าห่มจะโดนเปิดออกด้วยแรงที่เยอะกว่า

 





“งืออ…คุณมาเปิดผ้าเอื้อมทำไม!” ผมแยกเขี้ยว

 





“โมโหกลบเกลื่อนอีกละ”

 





“ฮือออออ...คุณไม่พูดถึงมันไม่ได้เหรอ” ผมงอแง แล้วหันหน้าหนีเข้าซุกหมอน

 





“ไม่ได้หรอก คุณต้องรับผิดชอบเรานะ”

 





“รับผิดชอบอะไร...ปากเอื้อมยังช้ำอยู่เลยเนี่ย” ผมยื่นหน้าบึนปากให้อีกฝ่ายดูอย่างลืมตัว

 





“ไหนครับ... น้องเอื้อมเจ็บตรงไหน” พี่มาร์ทำเสียงเล็กเสียงน้อยเหมือนพูดกับเด็ก แล้วขยับหน้าเข้ามาใกล้

 





“ตรงนี้เหรอครับ” นิ้วเย็นจัดลูบลงมา แล้วเป่าเบาๆ “เพี้ยง! ....หายนะครับ คราวหลังพี่มาร์จะทำเบาๆ”

 





ผมมองตามใบหน้าอีกฝ่าย ก่อนจะ...

 





งั่บ!

 





สู้ไม่ได้ก็กัดแก้มแม่งเลย ....วิถีลูกผู้ชาย

 





ผมงับแก้มพี่มาร์จนเป็นรอยเขี้ยว แล้วอาศัยตอนอีกฝ่ายเผลอ หยิบผ้าขนหนู วิ่งหนีหัวซุกหัวซุนเข้าห้องน้ำ

 





ก่อนได้ยินเสียงหัวเราะคล้ายชอบใจ ลอยแผ่วเข้ามาตามลม...

 





ฮึ่ย! ไม่เข็ดใช่ไหมคนบ้า

 





ผมกระฟัดกระเฟียดอยู่คนเดียว ก่อนเดินเอาผ้าขนหนูไปพาด แล้วกลับมาแปรงฟันตรงอ่างล้างหน้า

 





แต่พอเห็นตัวเองในกระจกเท่านั้นแหละ

 





พี่มาร์!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

 





________________________

 





บนรถ.. ระหว่างทางกลับ

ผมนั่งห่อตัวเป็นกุ้งอยู่ข้างคนที่ยังมีรอยเขี้ยวแดงเป็นปื้นอยู่บนแก้ม

 





..แต่ถ้าเทียบกับสารพัดร่องรอยตามลาดไหล่ผม รอยเขี้ยวแค่นี้ ไม่นับว่าเป็นอะไรได้หรอก

 





น่าจะกัดซ้ำไปอีกสักสามสี่แผล…

 







“เมื่อคืนคุณบอกว่าคุณเคยผ่าตัดหัวใจมา” อยู่ดีๆพี่มาร์ก็พูดขึ้น

 







ผมหันมองอีกฝ่ายก่อนจะพยักหน้า “ใช่ ทำไมเหรอ”

 





“ช่วงปลายปีใช่ไหม”

 







“หือออ…คุณรู้ได้ไง” ผมทำหน้าแปลกใจ

 





“เดาเอา”

 





“เดาแม่นมาก เอื้อมผ่าตัดตอนสิ้นปี …เคาท์ดาวน์บนเตียงผ่าตัดพอดีเป้ะ”







“กลัวหรือเปล่าตอนนั้น” พี่มาร์ถามพลางลูบหัว

 





“กลัวดิ…” ผมยิ้ม “กลัวว่าถ้าหลับไปแล้วไม่ตื่นขึ้นมาจะทำไง พ่อกับพี่จะเสียใจมากหรือเปล่า พวกหมงจะคิดถึงเอื้อมไหม…แล้วก็” พูดมาถึงตรงผมก็ชะงักไป

 





“แล้วก็อะไร”

 





“กลัวว่าจะไม่มีโอกาสเจอคนที่อยากเจอ..” ผมพูดเสียงค่อย..แต่ก็ดังพอที่อีกฝ่ายจะได้ยิน

 





“คุณอยากเจอใคร”

 





“Bruno mars”

 





“ห้ะ?” พี่มาร์ทำหน้าอึ้ง

 





“คุณไม่รู้จักเหรอ”

 





“ก็รู้จัก....แต่คุณบิวท์จนเราคิดว่าจะเป็นคนอื่น”

 





“โอ้ยยย คุณอะคิดเยอะ” ผมหัวเราะ แล้วทำทีเป็นหันมองไปนอกหน้าต่าง

 





“ยังไงก็ขอบคุณนะ”

 





“ขอบคุณเอื้อมเหรอ” ผมเอียงหน้า ชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง

 





“อืม...ขอบคุณที่ไม่เป็นอะไร...ขอบคุณที่เข้มแข็ง” สัมผัสจากมือคนพูด ลูบเบาๆตรงผิวแก้ม “เก่งมาก... เด็กดี”

 





“อื้อออ” ผมแสร้งรับคำหน้านิ่ง แล้วหันไปแอบอมยิ้มคนเดียว

 





แต่...

 





“เราเห็นนะ”

 







“ก็บอกว่าไม่ต้องพูดทุกอย่างที่รู้ไง!”

 

________________________

 

 

ที่สุดเราก็มาถึงกรุงเทพกันในช่วงบ่าย สภาพแต่ละคนที่ลงจากรถมาเอากระเป๋า ต่างพากันดูไม่จืด คงเพราะเมื่อคืนอยู่กันจนดึกไปหน่อย

 





“เอื้อม”

 





“ว่าไงคราม” ผมยิ้มให้คนที่เข้ามาทัก

 





“กลับยังไง ให้ไปส่งไหม”

 





“ครามพักที่บ้านไม่ใช่เหรอ”

 





“พอดีต้องแวะไปเอาของที่เพื่อนอยู่แล้วอะ”

 





“อ๋อ…ได้ งั้นรอเราเอากระเป๋าแปปนึงนะ”

 





“อืม” ครามพยักหน้า ส่วนผมก็เข้าไปต่อแถวเอากระเป๋า

 





“มาต่อแถวทำไม แมวบ๊อง”

 





ผมมองคนพูด ก็เห็นว่ากระเป๋าผมไปอยู่ในมืออีกฝ่ายเรียบร้อยแล้ว เลยยื่นไปรับมาถือต่อ

 





“คุณจะไปไหนต่อ” ผมถาม

 





“ไปหาฝาแฝดคุณ”

 





“คุณชื่นเหรอ”

 





“แหนะ…รู้ด้วย”

 





“ก็คุณกรอกหูเอื้อมอยู่ทุกวัน”

 





พี่มาร์หลุดยิ้ม ก่อนถาม “จะไปด้วยกันหรือให้เราแวะไปส่งคุณก่อน”

 







“ไม่เป็นไร เอื้อมบอกครามไว้แล้วว่าจะกลับด้วยกัน” ผมพยักหน้าไปทางคนที่ยืนรออยู่









“อืม… ถ้าบอกไว้แล้วก็ไปเถอะ” พี่มาร์พยักหน้าเข้าใจ ซึ่งผมก็ยิ้มออก…รู้สึกอบอุ่นใจกับท่าทางแบบนี้

 







“งั้นเอื้อมไปนะ” ผมบอก…เตรียมจะเดินออกมา แต่พี่มาร์ถามขึ้นก่อน

 







“ตอนเย็นเราไปรับคุณที่หอได้ไหม”

 







“จะไปไหนเหรอ”

 







“พาคุณไปรู้จักคุณชื่น”

 







“ได้ครับ งั้นตอนเย็นเจอกันนะ”

 







“อืม”

 



….ผมพยักหน้า โบกมือน้อยๆ ก่อนเดินแยกออกมา

 







“ขอโทษนะ รอนานไหม” ผมบอกเมื่อเดินมาถึง

 





“ไม่หรอก …พี่มาร์ไม่อยากให้ไปด้วยกันเหรอ” ครามถาม

 







“ก็เปล่านะ” ผมส่ายหัว

 







“แปลกดี…” ครามขมวดคิ้ว ก่อนจะหันมาช่วยผมถือกระเป๋า แต่เพราะรถจอดอยู่ไม่ไกล ผมเลยปฏิเสธ แล้วเป็นคนถือออกไปเอง

 







“ตกลงคบกับพี่มาร์เหรอ” ครามถามหลังจากขึ้นมานั่งกันบนรถเรียบร้อยแล้ว

 







“ทำไมอะ”

 







“ก็ถามดู ตัวติดกันจนคนเค้าพูดกันทั้งกองแล้ว”

 







“ก็เรื่อยๆนะ”

 







“เอื้อมดูเป็นคนมีกำแพงกับคนนอกอยู่ตลอดเลยนะ รู้ตัวปะ”

 







“ยังไงอะ” ผมทำหน้างง

 







“ก็เป็นคนไว้ตัว จำพวกสุภาพยิ้มง่ายกับทุกคน แต่ก็ไม่สนิทกับใครเป็นพิเศษ” ครามอธิบาย

 





“อ๋อ” ผมพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ “คงเป็นนิสัยของคนในครอบครัวเรามั้ง ก็โดนเลี้ยงกันมาแบบนี้ทุกคน” อย่างผมนี่เรียกว่าปกติแล้ว

แบบพี่อ้ายน่ะ ถึงเรียกว่าเข้าถึงยากของจริง

 





ครามดูเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่พอดีกับที่เสียงโทรศัพท์ผมดังขึ้น

 





คิดถึงก็โทรมาพอดี… ผมหันไปยิ้มขออนุญาตครามเล็กน้อย รอเจ้าของรถพยักหน้า ถึงกดรับ

 





‘ครับพี่อ้าย’







‘ถึงกรุงเทพหรือยังครับ’

 





ผมยิ้มกับความใส่ใจของพี่ ตอนนี้ที่นู่นก็เกือบจะตีสามแล้ว ก็ยังอุตส่าโทรมา ‘ถึงแล้วครับ นี่เอื้อมกำลังนั่งรถกลับหออยู่พอดี’

 





‘วิชัยไปรอรับหรือครับ’ พี่อ้ายถามถึงคนขับรถของที่บ้าน

 





‘เปล่าครับ เอื้อมติดรถเพื่อนมา ...พี่อ้ายล่ะครับ ทำไมยังไม่นอน’

 





‘พี่อ้ายยังอยู่โรงพยาบาลครับ มีผ่าตัดยาวเลย’

 





‘หาอะไรทานบ้างนะครับ อย่ากินแต่กาแฟ…เอื้อมห่วงพี่นะ’

 





‘ครับ พี่ต้องไปทำงานแล้ว…เอื้อมก็นอนพักนะ รักเอื้อมนะครับ’

 





‘ครับรักเหมือนกัน’

 

 

กดวางเสร็จผมถึงได้สังเกตว่ารถหยุดนิ่งมาได้สักพักแล้ว

“ขอโทษทีคราม…ถึงนานยังเนี่ย”

 





“ก็ก่อนประโยคบอกรักไม่นานหรอก”

 





ผมได้แต่ยิ้มแก้เก้อกับสายตาแฝงแววขบขัน แล้วรีบเปิดประตูรถ ลงไปเอากระเป๋า







ก็มันช่วยไม่ได้ พี่อ้ายน่ะ..ลองไม่บอกรักกลับดิ มีหวังน้อยใจหาว่าน้องไม่รักนู่นนี่นั่น เกิดอาการพี่อ้ายสิบขวบขึ้นมาทันที

 





“แล้วเพื่อนครามที่จะเอาของมาให้ล่ะ” ผมถามหลังจากถือกระเป๋ายืนอยู่หน้าทางเข้าหอเรียบร้อยแล้ว

 





“เหมือนจะไม่อยู่….เราไม่ได้โทรเช็คก่อนเลยไม่รู้”

 





“อ้าว มาเสียเที่ยวเลย” ผมเสียดายแทน

 





“ไม่เป็นไรหรอก …งั้นกลับก่อนนะ”

 





“โอเค ขับรถดีๆ”



*******
ไรท์ทอล์ค : มาค่ะ ยาวไปถึงตอนที่ 14 กัน

ออฟไลน์ Foxoxo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 19
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ตอนที่เก้า "คุณชื่นกับคนโปรด"


ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

 







“สวัสดีคุณเอื้อม เราคือคุณชื่น”

 





“เมี้ยวววว~”

 





แหนะ...มีรับมุก

 





ผมหลุดยิ้มกว้าง เมื่อเปิดประตูห้องออกมาเจอการเข้าขากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ของหนึ่งคนกับหนึ่งแมวอ้วน

 





....ใส่เสื้อสีชมพูซะด้วย







“สวัสดีคุณชื่น เราคือคุณเอื้อม” ผมยกมือขึ้นทักทาย แต่ยัยแมวอ้วนดันโดนจิ้งจกตรงผนังดึงความสนใจไปก่อน

 





“เข้ามาก่อนสิครับ” ผมรีบชวน ก่อนที่คุณชื่นซึ่งร้องแง้วๆมองตามจิ้งจกตาเป็นมัน จะกระโจนออกจากพี่มาร์

 





“ทำไมคุณดูไม่แปลกใจที่คุณชื่นเป็นแมว”

 





“เห้ย คุณชื่นเป็นแมว”

 





“อ่ะกวนเก่ง” พี่มาร์ทำเสียงหมั่นเขี้ยว

 





“คุณเรียกเอื้อมว่าแมวไปกี่ครั้ง เอื้อมก็พอเดาได้หรอก”

 





“อือฮึ” พี่มาร์ครางรับ ปล่อยคุณชื่นลงกับพื้น

 





“แล้วทำไมคุณพาคุณชื่นออกมาล่ะ” ผมถามเปลี่ยนเรื่อง

 





“มีนัดฉีดวัคซีน เลยมาแวะรับคุณไปด้วยกันเลย”

 





“อ่า..ได้ครัับ แต่ขอเอื้อมเก็บของก่อนแปปนึงนะ” ผมรับคำ แล้วรีบลุกขึ้นเก็บพวกหนังสือกับแมคบุ้คที่วางกระจัดกระจายกันอยู่

 





“คุณทำอะไรอยู่เหรอ” พี่มาร์ชะโงกหน้ามาดู

 





“รายงานครับ...ใกล้ถึงกำหนดส่งแล้วด้วย” ผมแอบงอแง







“เอาไปทำต่อที่ห้องเราสิ”

 





“หือ...คุณชื่นก็มาแล้ว เอื้อมยังต้องไปห้องคุณเหรอ” ผมชี้ไปทางตัวอ้วนที่กระโดดขึ้นไปเดินสำรวจอยู่บนชั้นหนังสือแล้วถาม

 





“ไปเถอะ”

 





“เอ้า..”

 





“อยากอยู่ด้วย”

 





“เป็นแฟนเหรอมาอยากอยู่ด้วยอะ”

 





“อยากเป็นเหรอถึงถาม”

 





โอ้ยยย ทำไมย้อนเก่งอะ... “ต่อหน้าคุณชื่นนะ ห้ามเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี” ผมยกไม่บรรทัดขึ้นขู่

 





“มีพวกแล้วเก่ง ...” ร่างสูงหัวเราะ “ขู่จนขนฟูไปหมด”

 





ฟึ่บ!....ฟึ่บ!  ตัวอ้วนที่สำรวจห้องจนทั่วเอาตัวมาถูไถขา ดึงความสนใจผมออกจากพี่มาร์ “เมี้ยววว~”

 





“ว่าไงคุณชื่น ตรวจห้องเอื้อมเสร็จแล้วเหรอ” ผมนั่งลงแล้วเกาหนียงนุ่มๆใต้คอให้

 





“กับฝาแฝดนี่ใจง่ายเลยนะคุณชื่น” พี่มาร์แกล้งทำเสียงเข้ม แต่เจ้าตัวที่กำลังเคลิ้มนี่สนใจซะที่ไหน

 





“คุณชื่นรอเอื้อมเก็บของแปปนึงนะ” ผมพูดเสียงงุ้งงิ้ง ก่อนลุกขึ้นเตรียมเก็บของต่อ เพิ่งเข้าใจวันนี้ว่าทำไมคนเรามักพูดกับสัตว์เลี้ยงด้วยเสียงสอง

 





“แง้วววววววว” ก้อนกลมๆร้องเสียงขุ่นเหมือนไม่เข้าใจที่พูด ก่อนวิ่งมาดักด้านหน้า แล้วแถมท้ายด้วยการทิ้งตัวลงนอนทับบนฝ่าเท้า

 





งืออ จะเดินก็ไม่กล้าเดินเลยทีนี้ ....

 





ผมหันไปมองพี่มาร์ อ้าปากพูดแบบไร้เสียง เมย์เดย์ เมย์เดย์! ….

 





ฝ่ายคนที่อ่านปากออกยิ้มขำ ก่อนส่งเสียงเรียก “คุณชื่นมานี่เร็วครับ”

 





ไม่มีปฎิกริยาตอบรับจากก้อนอ้วนที่ท่านเรียก... เมื่อคุณชื่นยังคงนอนแน่นิ่งบนเท้าผม

 





แต่เหมือนผมจะรีบดูถูกความสามารถในการเลี้ยงแมวของพี่มาร์ไปหน่อย เพราะในที่สุดเจ้าตัวก็ทำสำเร็จ

 





ด้วยการ...

 





ไม้บรรทัดอันที่ผมเคยยกมาขู่ กำลังแกว่งไกวดึงความสนใจคุณชื่น จนเจ้าตัววิ่งเร็วจี๋เข้าไปตะปบ

 



แกว่งทางซ้าย...

 



แกว่งทางขวา...

 



ซ้าย...ขวา...ซ้าย...ขวา

 





เป้าะ! เสียงดีดนิ้วดังขึ้น

 





“เอื้อมครับ ...ไปเก็บของต่อได้แล้ว จะเข้ามาแย่งคุณชื่นตะปบหรือไง” พี่มาร์ส่ายหัวมองผมยิ้มๆ ก่อนยกนิ้วขึ้นสั่ง ชี้ให้ไปเก็บของ

 





เวรละ ...ผมดันมองจนเคลิ้มไปด้วยจริงๆ

 





“แฮะๆ..” ผมเกาแก้มแก้เก้อ แล้วรีบเดินกลับไปตั้งหน้าตั้งตาเก็บของใส่กระเป๋า

.

.

.

 



เก็บของเสร็จพี่มาร์ก็แย่งกระเป๋าไปสะพาย แล้วส่งคุณชื่นให้ผมอุ้มลงมาถึงล่างหอ

 





“นัดหมอไว้ที่ไหนเหรอครับ” ผมถามหลังจากเอาคุณชื่นใส่ในตะกร้าพกพาแล้ว

 





“โรงพยาบาลมหาลัยนี่แหละ ไม่นานก็น่าจะเสร็จ....คุณกินอะไรมายัง”

 





“ยังครับ....ก็ไม่คิดว่าคุณจะมาเร็ว”

 





“งั้นเดี๋ยวค่อยแวะซื้อก่อนกลับนะ” พี่มาร์บอก

 





“ได้ครับ” ผมรับคำ

 





ขับรถมาไม่นาน ก็ถึงโรงพยาบาลสัตว์ของมหาลัย ผมเป็นฝ่ายลงจากรถ ถือคุณชื่นเดินต่องแต่งเข้าไปในโรงพยาบาลก่อน ส่วนพี่มาร์ขับออกไปหาที่จอด

.

.

.

.





“กลัวเหรอคุณชื่น” ผมถามเมื่อเห็นตัวอ้วนดูเกร็งและเงียบไป ตั้งแต่เข้ามาในโรงพยาบาล

 





“ไม่ต้องกลัวนะ ตอนเด็กๆเอื้อมก็ฉีดยาบ่อยเหมือนกัน...” ผมพูดไปเรื่อย พลางเปิดตะกร้าเอาก้อนขาวขึ้นมาอุ้ม

 

ซุกใหญ่เลย...สงสัยกลัวจริง

 





“งั้นเอางี้ดีไหม....พอฉีดเสร็จออกมาเอื้อมจะซื้อขนมมารอเป็นรางวัล”

 





พูดจบก็มีคนพูดแทรกขึ้น “น้องกลัวเหรอครับ”







ผมแหงนหน้ามองคนถาม...ผู้ชายในชุดกาวน์ กับรอยยิ้มใจดีที่ประดับอยู่บนใบหน้า  “ครับ” ผมพยักหน้าตอบ

 





“ไหนคนเก่ง กินขนมไหมครับ” คนที่น่าจะเป็นหมอยิ้ม ก่อนล้วงขนมซองยาวๆจากกระเป๋ามาแกะแล้วยื่นให้คุณชื่น

 





“คุณเป็นหมอเหรอครับ” ผมถาม ยังไม่ยอมให้คุณชื่นกินขนมจากมืออีกฝ่าย ทั้งที่เจ้าก้อนในอ้อมกอดทำจมูกฟุดฟิดๆอย่างสนใจ

 





“เปล่าครับ พี่ยังเป็นนักศึกษาอยู่” เขาบอกก่อนยื่นบัตรประจำตัวมาให้ดู เหมือนจะเป็นนักศึกษาคณะสัตวแพทย์

 





..พอเห็นว่าไว้ใจได้ผมเลยยอมปล่อยให้คุณชื่นกินขนม

 





“พี่พีทนะครับ”

 





“เอื้อมครับ” ผมตอบกลับตามมารยาท

 





“น้องเอื้อมเรียนที่นี่เหรอครับ ปีไหนแล้ว”

 





“เมี้ยวววว~” คุณชื่นที่กินขนมจนเปรม เลียมือดึงความสนใจผมมาที่เจ้าตัว

 





“ว่าไงครับ หายกลัวแล้วเหรอ” ผมเกาคางเอาใจ

 





“เมี้ยววว~” แหนะ ...แสนรู้

 





“คุณ” พี่มาร์มาถึงพอดี

 





“ครับ หาที่จอดยากเหรอ...ไปนานจัง”

 





“อืม ตอนกลับคุณไม่ต้องเดินไปหรอก เดี๋ยวเราขับมารับด้านหน้าดีกว่า” พี่มาร์ขยี้หัวผม ก่อนเลื่อนมือลงไปที่หัวคุณชื่นเป็นรายต่อไป

 





“แล้วนี่ใคร”

 





“ชื่อพี่พีทครับ เรียนอยู่คณะนี้” ผมแนะนำ

 





“อ๋อ สวัสดีครับ” พี่มาร์หันไปทัก

 





“สวัสดีครับ” พี่พีทยิ้มแห้ง ก่อนพูดต่อ “งั้นผมขอตัวก่อนดีกว่า เดี๋ยวสักพักอาจารย์ก็น่าจะเรียกน้องแล้วล่ะครับ”

 





“ครับ ขอบคุณนะครับ” เราสองคนพยักหน้าพร้อมกัน รอจนอีกฝ่ายออกไป พี่มาร์ถึงหันมาบีบจมูกผม

 





“ฮื้ออ..บีบจมูกเอื้อมทำไม” ผมสะบัดหนี

 





“หมั่นเขี้ยว”

 





“เอ้า!”

 





“น้องคุณชื่น คุณหมอเรียกแล้วนะคะ” เสียงพยาบาลประกาศเรียก ถือเป็นสัญญาณหมดยก

 





ผมก้มมองก้อนนิ่มบนตัก

 





น้องคุณชื่น? 

 





…….งืออออน่ารักแบบงงๆ

 





“คุณพาคุณชื่นเข้าไปนะ เอื้อมจะไปดูขนมแมวตรงนู้น สัญญากับคุณชื่นไว้อะ” ผมชี้ไปตรงชั้นขนม ที่วางขายอย่างอลังการอยู่ไม่ไกล

 





“อืม แต่ห้ามซื้อมาแอบไว้กินเองนะ....เข้าใจไหม” พี่มาร์กำชับสีหน้าจริงจัง

 





“รู้แล้วน่า” ผมเข่นเขี้ยว

 

.

.

.

.





กว่าจะเสร็จเรื่องคุณชื่นแล้วกลับมาถึงห้องพี่มาร์ก็เกือบๆสองทุ่ม

 





มาถึงพี่มาร์ก็เอาข้าวที่ซื้อมา เข้าไปใส่จานในครัว ส่วนผมก็พาคุณชื่นเข้ามาปล่อยในห้องนั่งเล่น

 





ยัยอ้วนเองพอออกมาได้ ก็สะบัดตูด วิ่งเร็วจี๋ไปที่กระบะทราย สงสัยตอนอยู่บนรถเมื่อกี้จะกินขนมเพลินไปหน่อย

 





จะอยู่แอบดูแมวเข้าห้องน้ำก็ใช่เรื่อง ผมเลยเดินกลับเข้าไปหาพี่มาร์ในครัว เห็นเจ้าตัวกำลังยกจานออกมาข้างนอกพอดี

 





“ห้องคุณไม่เห็นรกเลยอะแปลกจัง ปกติพวกเด็กถาปัตย์ห้องจะรกๆไม่ใช่เหรอ เห็นปัณเคยบ่นบ่อยๆว่าห้องหมงรกอย่างกับโกดังเก็บของ” ผมชวนคุย

 

 





พี่มาร์ยิ้มขำ “ห้องเราก็รกอยู่ในสตูนู่นอะ” ร่างสูงพยักหน้าไปทางห้องที่มีประตูเลื่อนปิดไว้

 





ผมส่งเสียง ‘อ๋อ’ ออกมาคำหนึ่งแล้วเดินตามพี่มาร์ไปนั่งที่โต๊ะ

 





“คุณจะทำรายงานให้เสร็จวันนี้เลยหรือเปล่า” พี่มาร์ถาม

 





“ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้เสร็จครับ”

 





“งั้นคุณก็ทำไป เดี๋ยวเราไปเอางานในสตูมานั่งทำเป็นเพื่อน”

 





“ใจดีจังเลยยย” ผมยิ้มกว้าง

 





กินไปคุยเล่นกันไปจนอิ่ม พี่มาร์ก็เข้าไปในสตู ขนพวกอุปกรณ์ออกมานั่งทำงานบนพื้นห้องรับแขก





ผมเองก็เปิดคอม นั่งทำรายงานอยู่บนโต๊ะเล็กหน้าโซฟา

โดยมีคุณชื่นนอนหงายท้องเป็นเพื่อนอยู่ไม่ไกล

.
.
.

 





“เอื้อม..” พี่มาร์เรียก หลังจากต่างคนต่างทำงาน จนห้องตกอยู่ในความเงียบมาได้พักใหญ่

 





“ครับ” ผมหันไปมอง

 





“คุณหยิบพลาสเตอร์ตรงลิ้นชักหน้าทีวีมาให้เราหน่อย”

 





“โอเคครับ” ผมลุกขึ้นเดินไปหน้าทีวี “ชั้นไหนอะ”

 





“สอง..นับจากด้านบน”

 

เปิดตามที่พี่มาร์ว่าก็เห็นซองพลาสเตอร์เรียงกันเป็นตับ ผมเลยหยิบออกมาซองนึงแล้วเดินกลับไปหา

 





“แปะให้หน่อย มือเราเลอะกาว” พี่มาร์ยื่นนิ้วที่มีรอยบาดของคัตเตอร์เข้ามาหาโดยไม่ได้หันมามอง เพราะสายตายังจดจ่ออยู่กับโมเดลด้านหน้า

 





“ระวังหน่อยสิครับ” ผมบ่นพึมพำ มือก็แกะพลาสเตอร์ออกจากซอง แล้วแปะลงบนนิ้วอีกฝ่ายอย่างเบามือ







“ครับแมว”

 





“งั้นเอื้อมกลับไปทำงานต่อนะ คุณมีอะไรให้ช่วยอีกไหม” พี่มาร์ส่ายหน้า ผมจึงเดินกลับไปนั่งที่ตัวเอง

 





เพราะต้องรับไฟล์ของเพื่อนที่ส่งมาทางเฟสบุ้ค ผมเลยเปิดหน้าเว็บล็อกอินเข้าไป ก่อนจะต้องตกใจกับจำนวนขอคำเป็นเพื่อน ผู้ติดตาม และการแจ้งเตือน

 

ประเภท..

 



‘ใจจะวาย ได้เพิ่มรูปภาพที่มีคุณ’

 

‘สมศรี ฆ่าหมีด้วยมือเปล่า กล่าวถึงคุณในความคิดเห็น’

 

‘MU CUTEBOY ได้เพิ่มรูปภาพที่มีคุณ’

 

‘ขอเลือดกรุ้ปวาย ได้กล่าวถึงคุณในความคิดเห็น’

 

‘MU OFFICIAL ได้เพิ่มรูปภาพที่มีคุณ’

 

ผมเลือกกดเข้าไปดูอันบนสุด ที่บอกว่ามีการแท็กรูปถึง  ภาพที่โชว์ขึ้นมา คือรูปผมกับครามที่ยืนอยู่ด้วยกันหน้าหอวันนี้ ตอนครามมาส่ง

 

 

ใจจะวาย

**รูปภาพ**

แวะไปส่งน้องหลังกลับจากหัวหิน /ฉันยังเหลืออะไรให้ชงอีก

 

สมศรี ฆ่าหมีด้วยมือเปล่า

ไปเลยค่ะกัปตัน นุกางใบเรือรอแร้ววว #ครามเอื้อม

 

อยากนอนหงายกลายเป็นผัก

 ฟังสิ... นั่นเสียงเรือฉัน #ครามเอื้อม

 

อาจานน ไว้ชีวิตข้าเถอะ

ชั้ลถึงกับฟื้นจากกองชีทขึ้นมาสูบโมเม้น ฮรึก #ครามเอื้อม

 

นักกู้ซากเรือในตำนาน

ถามว่าอยู่หอเหลอคะ ก้อไม่ แค่อยากไปส่งน้อง แค่เห็นหลังคาหอก้อชื่นใจ

 

ลูกชิ้นในชามนั้น ชั้นขอมันได้ไหม

แต่พวกในกองเค้าเม้ากัน ว่าน้องเอื้อมซัมติงอยู่กับพี่มาร์ถาปัตย์นาเหวยยยย #ต่อเรือผี

 

สมอน เก่งงาน

ฮือออ มีเพื่อนร่วมเรือผีแล้ว เอื้อมมาร์คือเรียลบอกเลย

วันนี้ นี่ยืนซื้อลูกชิ้นปิ้งอยู่หน้าหอ เห็นพี่มาร์มารับน้อง เดินคุยไป อุ้มแมวไปงุ้งงิ้งๆ นาทีนี้ถ้าเป็นเรือผีก็ต้องเป็น ฟลายอิ้ง ดัชท์แมน

 

 

ธิดา เหรียญทอง

แวะมาซัพพอร์ตเม้นบน นี่คือคนที่ยืนสั่งชาเย็นอยู่ข้างๆร้านลูกชิ้น พูดเลยว่าโคตรแฟนกัน ถ้าบอกว่าไม่ใช่ ต่อให้อมวิหารพาเทนอลมาพูดก็ไม่เชื่อ

 

ONLYNUBBBB

เรื่องพี่มาร์ดับฝันไปได้เลยจ้าา พี่เขายังคบกับพี่นับอยู่นะ พวกมโนก็ช่วยมโนให้ถูกที่ถูกเวลา เราเป็นแฟนคลับพี่นับ ถามกับเจ้าตัวมาเองเลย



ผมนิ่งไปเมื่ออ่านมาถึงคอมเม้นล่าสุด ในหัวก็นึกไปถึงวันที่พี่นับเข้ามาในห้องแล้วบอกว่าพี่มาร์ขอให้มาเอาของ ทั้งๆที่พี่ฟาร์บอกว่าพี่มาร์ออกไปโรงพยาบาลได้หลายชั่วโมงแล้ว



พี่นับจะโกหกไปเพื่ออะไร..



*******
ไรท์ทอล์ค : แปะรูปที่พี่มาร์แอบอัพในไอจี

สถานการณ์ตอนเดินตามหลังน้องเอื้อมที่ล่างหอวันนี้
 

ออฟไลน์ Foxoxo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 19
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ตอนที่สิบ "มาร์แต่งตัวอยู่"



“เกิดอะไรขึ้น” พี่มาร์ถามเจ้าของใบหน้าเปื้อนน้ำตา ที่ผ่านการร้องไห้อย่างหนักมาเป็นเวลานาน

 





ย้อนไปเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว..

 





ระหว่างที่ผมกำลังนั่งอ่านคอมเม้นและคิดถึงเรื่องพี่นับอยู่ เสียงโทรศัพท์พี่มาร์ก็ดังขึ้น

 





“คุณรับให้เราหน่อย” พี่มาร์บอกเพราะมือถือวางอยู่ใกล้ผมมากว่า

 





‘นับ’ เห็นชื่อที่โชว์ขึ้นมา ผมหันไปบอกพี่มาร์ ”คุณครับ…พี่นับเป็นคนโทรมา”

 





“อืม คุณรับได้เลย” พี่มาร์ตอบอย่างไม่ค่อยใส่ใจนัก

 





‘ฮัลโหล ครับ..’ ผมกดรับ

 





‘มาร์...มาร์ลงมารับนับหน่อยได้ไหม นับรออยู่หน้าคอนโด’ ปลายสายพูดเสียงเครือ และเหมือนจะไม่ได้เอะใจว่าคนที่กดรับไม่ใช่พี่มาร์

 





‘พี่นับครับ นี่เอื้อมเอง’ ผมรีบบอก

 





ปลายสายเงียบไปนิด ‘พี่ขอคุยกับมาร์หน่อย’

 





“คุณ..พี่นับจะคุยด้วย” พี่มาร์ยกมือที่เลอะกาวขึ้นโชว์ ก่อนจะเอาหูมาแนบกับโทรศัพท์โดยที่ผมเป็นฝ่ายถือไว้

 





คุยกันจบก็สรุปได้ว่าพี่มาร์ต้องลงไปรับพี่นับขึ้นมาบนห้อง และเหตุการณ์ก็เดินมาถึงตอนนี้..

 





“กายมาดักรอนับหน้าคอนโด”

 





“แล้วทำไมถึงเป็นแบบนี้”พี่มาร์มองไปตามเนื้อตัวพี่นับ ที่หลงเหลือรอยช้ำเอาไว้ โดยเฉพาะบริเวณแขนที่ดูหนักหนาที่สุด

 





“ก็เหมือนเดิม อยากจะมาขอคืนดี ....แต่พอนับไม่เอาด้วยเลยทะเลาะกัน แล้วก็เป็นแบบที่มาร์เห็นนี่แหละ” พี่นับพูด แววตามีร่องรอยของการฝืนทน

 





“คุณลุงคุณป้ารู้หรือยัง” พี่มาร์ถาม น่าจะหมายถึงคุณพ่อคุณแม่ของพี่นับ

 





“นับไม่กล้าบอกหรอก เพราะท่านก็เข้าใจว่าทุกวันนี้มาร์ตามดูแลนับอยู่”

 





พี่มาร์มองพี่นับด้วยสีหน้าไม่หือไม่อือ พูดเสียงเรียบ “ไปบอกเถอะ เราเองก็ไม่สะดวกจะทำตัวติดนับอย่างที่พวกท่านเข้าใจ ...อีกอย่าง

นับก็มีคอนโดอยู่หลายที่ ควรจะย้ายไปอยู่คอนโดที่กายมันไม่รู้จักนะ”

 





“นับรู้” พี่นับฝืนยิ้ม “แต่คืนนี้นับขอค้างที่นี่ก่อนได้ไหม... นับไม่กล้ากลับไปที่คอนโดตอนนี้”

 





พี่มาร์มองมาทางผม “ได้สิ คืนนี้เราจะกลับไปนอนหอพอดี”

 





“มาร์อยู่เป็นเพื่อนนับไม่ได้เหรอ” พี่นับพูด ก่อนปรายตามาทางผม “หรือว่ามาร์ต้องไปส่งน้องเอื้อม ...ให้น้องค้างที่นี่ก็ได้นะ”

 





“เอื้อมคงค้างไม่ได้หรอกครับ พอดีพรุ่งนี้ต้องไปหาคุณยายแต่เช้า” ผมพูดขึ้นหลังจากนั่งเงียบมาตลอด

 





“เราก็ไม่ได้บอกว่าจะค้างสักหน่อย” พี่มาร์บีบแก้มผมน้อยๆ ก่อนตอบพี่นับ

 





“เราคงค้างกับนับสองคนไม่ได้ ถ้านับกลัวก็โทรตามกิ่งให้มานอนด้วยแล้วกัน”

 





“อืม..”นิ้วเรียวสวยกำเข้ากันแน่น “นับเข้าใจแล้ว”

 





“งั้นเดี๋ยวเราไปหายาแก้ฟกช้ำมาให้” พี่มาร์บอกแล้วลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องนอน

 





“น้องเอื้อมมาทำอะไรที่ห้องมาร์เหรอ” พี่นับถามทำลายความเงียบ

 





“พอดีพี่มาร์ชวนให้พาคุณชื่นไปฉีดวัคซีนน่ะครับ” ผมมองไปทางก้อนขาวๆที่ยังนอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราว “เสร็จจากโรงพยาบาล ก็แวะมาทำรายงานต่อที่นี่”

 





พี่นับยิ้มน้อยๆ แล้วพยักหน้า “พี่แปลกใจเลยนะ เพราะปกตินอกจากพี่กับคุณอาทั้งสองคน..” พี่นับเว้นช่วงไปนิด “...หมายถึงพ่อแม่ของมาร์น่ะ นอกจากเราสามคนมาร์ก็ไม่เคยพาใครมาที่ห้อง”

 





“พี่นับรู้จักกับพี่มาร์ตั้งแต่ตอนไหนเหรอครับ”

 





“ตั้งแต่มอต้นแล้วล่ะ” พี่นับยิ้ม “เคยอยู่บ้านติดกัน หลายครั้งที่พ่อแม่พี่ไปต่างประเทศ คุณอากับคุณน้าก็เป็นคนรับฝากพี่ไว้ ท่านยังพูดบ่อยๆว่าอยากมีลูกสาวแบบพี่”

 





คล้ายอยู่ดีๆ คำถามที่ติดอยู่ในใจเมื่อชั่วโมงก่อนก็ได้รับการไขข้อสงสัย..

 





มองพี่นับที่กำลังใช้สายตาอ่านยากมองผมอยู่ก่อน ก็ส่งยิ้มกลับไป “ฟังดูอบอุ่นดีนะครับ เสียดายที่เอื้อมไม่เคยมีเพื่อนสมัยเด็ก”

 





พี่นับถอนสายตากลับไป “เห็นบอกว่าพรุ่งนี้ต้องไปหาคุณยาย ...ครอบครัวน้องเอื้อมทำอาชีพอะไรเหรอ”

 





“รับราชการครับ” ผมตอบ ไม่ได้ลงรายละเอียดอะไรเพิ่มเติม

 





“งั้นเหรอ..ก็ดีนะรับราชการ มีอะไรก็เบิกได้”

 





“ครับ” ผมพยักหน้า ไม่ได้แย้งอะไร พอดีกับที่พี่มาร์เดินถือหลอดยาออกมา

 





“คุยอะไรกัน” เสียงทุ้มถาม ส่งหลอดยาให้พี่นับแล้วกลับมานั่งข้างผม

 





“ก็คุยเล่นกับน้องเรื่อยเปื่อยน่ะ” พี่นับเป็นคนตอบ

พี่มาร์ส่งเสียงรับรู้ ก่อนก้มมองนาฬิกา “ดึกแล้ว เราคงต้องพาน้องกลับ...นับจะโทรหากิ่งหรือเปล่า”

 





“คงไม่แล้วล่ะ ไม่อยากกวน”

 





“อืม...นับนอนในห้องนอนแขกได้เลยนะ แม่บ้านเพิ่งเข้ามาทำความสะอาดไป” พี่มาร์บอก

 





รอยยิ้มสวยชะงักไป แต่ก็พยักหน้ารับได้โดยไม่ติดขัด “ขอบใจนะมาร์”

 





“ไม่เป็นไร” พี่มาร์ตอบพลางสะกิดผมให้ไปเก็บของ แล้วก็พากันออกมาหลังจากนั้นไม่นานนัก

.

.
.
.






“คุณไม่เห็นบอกว่าจะกลับมานอนหอ...” ผมถามระหว่างนั่งรถกลับ สายตาก็มองไปทางคุณชื่นที่กลับมาอยู่ในตะกร้าอีกครั้ง “แล้วนี่จะเอาคุณชื่นไปไว้ไหน”

 





“เราคงกลับไปนอนที่บ้าน”

 





“อ้าว...”

 





“ก็ไม่อยากให้เด็กบางคนไม่สบายใจ ถ้าเรานอนคอนโด”







“เด็กที่ไหน” ผมเบือนหน้าหนี

 





“เด็กหน้าแมวมั้ง” พี่มาร์หัวเราะ

 





“เมี้ยววว~”

 





“เห็นไหม คุณชื่นยังเห็นด้วยกับเราเลย”

 





ผมหันไปค้อนใส่เจ้าตัวดี ...รับมุกกันดีจังเลยนะ

 





แต่ก็..

 





“ขอบคุณนะครับ”

 





“เรื่องอะไร” พี่มาร์เลิกคิ้ว

 





“ที่คุณใส่ใจความรู้สึกเอื้อม” ผมพูดเสียงค่อย

 





“ว่าไงนะ ...เราไม่ได้ยิน”

 





“คุณได้ยิน แต่คุณแกล้งอะ” ผมย่นจมูกใส่

 





“หึหึ ...ทำหน้าแบบนี้อยากโดนเราฟัดอีกหรือไง”

 





ผมหน้าขึ้นสีกับคำพูดแฝงความหมายของคนช่างแกล้ง..





“พอเลย...เอื้อมไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้” ผมยกมือห้าม ก่อนกอดอกแล้วแกล้งปิดตาหนีเสียงหัวเราะถูกอกถูกใจ

 

 

.

.

.

กลับมาถึงหอ..



“ขับรถดีๆนะครับ ...ถึงแล้วช่วยไลน์มาบอกเอื้อมหน่อย” ผมบอกคนที่ลงมาส่งถึงประตู

 





“ครับแมว ...ฝันดีนะ” พี่มาร์ยีหัวผมเบาๆ

 





“อื้อ...ฝันดีครับ”



ต่อค่ะ



.
.
.
.

 

เช้า...

 





“ตัวเล็ก นี่มึงพัฒนาถึงขั้นไปห้องผู้ชายมาแล้วเหรอ” หมงทำตาโต หันไปสะกิดหมากแล้วกระซิบกระซาบกันสองคนอย่างมีเลศนัย

 





ไม่น่าเล่าให้ฟังเลยจริงๆ...







ผมกัดฟัน พยายามข่มอารมณ์ตัวเองไม่ให้ลุกขึ้นไปกัดหูสองคนตรงหน้า

 





“อย่างนี้พี่นับก็เข้าใจผิดเรื่องบ้านตัวเล็กไปไกลโขเลยสิ” ปันถามขึ้น

 





“เออ ไอ้นี่ก็ดันไปบอกเขาแค่นั้น ..ไม่บอกด้วยล่ะว่าพ่อรับราชการทหารเป็น ผบ.กองทัพ” หมากยื่นมือมาผลักหัว







“ต้องบอกด้วยเหรอ ...เค้าอยากเข้าใจยังไง ก็ให้เข้าใจไปแบบนั้นเถอะ”

 





“ก็จริงของตัวเล็กนะ แค่เรื่องที่บ้าน อยากเข้าใจยังไงก็ไม่เป็นไร” ปันเห็นด้วยกับผมเหมือนทุกที

 





“ก็จริง...เรื่องที่ควรพูดถึง น่าจะเป็นเรื่องอื่นมากกว่า”หมงยิ้มเจ้าเล่ห์

 





“กูว่าพี่อ้ายกลับมาคราวนี้คงกลายเป็นระเบิดลูกย่อมๆอะ น้องน้อยโดนใครก็ไม่รู้ขโมยไปแล้ว” หมากหัวเราะชอบใจ

 





“เพ้อเจ้ออะ...พี่อ้ายไม่ใช่คนไม่มีเหตุผลเหอะ”

 





“โตจนตัวเท่าแมวแล้วยังไม่รู้อีก ...พี่อ้ายเค้าก็ใจดีแค่กับมึงอะ”

 





“มันจะรู้เหรอหมง ขนาดขึ้นเสียงกับมันสักครั้ง พี่อ้ายยังไม่เคยทำอะ”

 





“หึหึ​ ...กลับมาที่พี่มาร์เถอะ ตกลงตอนนี้ยังไงกันล่ะตัวเล็ก”

 





“ไม่รู้เหมือนกันนะ คือก็ไม่ได้ตกลงอะไรกัน แต่คิดว่าพี่เค้าก็น่าจะรู้สึกดีกับกูอยู่บ้าง” ผมตอบปัน

 





“ความรู้สึกเหมือนจะโดนพรากลูกไปจากอกนี่มันอะไรกัน” หมงหันไปซบไหล่หมาก

 





เกลียดเพื่อนตัวเองนี่จะผิดไหม..





เล่นใหญ่เกินเบอร์ไปมาก

 





“แต่พี่นับนี่ก็ออกตัวแรงอยู่นะ” หมากส่งโทรศัพท์นี่นั่งกดยุกยิกๆอยู่ได้สักพักมาให้

 





“มีแท็กด้วยน่ะ..” ปันพูดเมื่อเห็นรูปบนหน้าจอ

 





มันเป็นรูปพี่นับที่น่าจะถ่ายในคอนโดพี่มาร์ พร้อมกับแคปชั่น ‘ขอบคุณที่ดูแลนะคะ’ @mmars___

 





“ดูคอมเม้นดิ …เพื่อนพี่เค้าก็เชียร์กันเต็มที่เลยนะ” หมากบอก

 





“ขี้เกียจดูอะ เอาคืนไป” ผมส่งโทรศัพท์คืนให้

 





“โห่ เซ็งเลย”

 





“มึงยุยงได้โคตรกากอะ” หมงเบ้ปาก

 





“ใช่ซี้… กูมันกาก” หมากขึ้นเสียงสูง

 





“ไปแสดงละครกันข้างนอกนะ” ผมชี้ไปที่ประตูทางออกคาเฟ่ที่พวกเรานั่งกันอยู่

 





“ใจร้ายยย~”

 





“ไม่อ่อนโยนนน~”

 





ปันผลักหัวตัวดราม่าทั้งสองไปด้านข้างอย่างรำคาญ ก่อนชวนผมคุยเรื่องอื่น “นี่จะไปหาท่านยายยังไง...วิชัยมารับเหรอ”

 





“เปล่าหรอก เห็นท่านยายบอกว่าจะส่งรถมารับอะ”

 





“คิดถึงขนมไทยที่วังยายมึงอะตัวเล็ก” หมงกระพริบตาปริบๆ

 





“เดี๋ยวตอนกลับจะให้คนแวะเอาเข้าไปให้ที่บ้านแล้วกัน”

 





“ฮืออ ตัวเล็กผู้จิตใจดีของเพื่อนหมง”

 





“เออๆ รู้แล้วๆ ปล่อยได้ยัง” ผมพูดพลางพยายามสะบัดแขนที่โดนหมงโผเข้ามาเกาะ

 





“คุณเอื้อมครับ”

 





ผมหันไปมองตามเสียงเรียก ก่อนทุกคนจะพากันยกมือไหว้คนของท่านยาย “สวัสดีครับลุงฉัตร”

 





“ฝ่าบาทรับสั่งให้ผมมารับครับ”

 





ผมยิ้มแล้วพยักหน้ารับ “ทราบแล้วครับ รอเอื้อมเก็บของครู่นึง”

.
.
.
.





วังของท่านยายเป็นสถานที่ที่แค่มองดูก็สัมผัสได้ถึงความประณีต บริเวณกว้างขวาง แต่แฝงความรู้สึกของความเป็นบ้านเอาไว้ในทุกตำแหน่ง



บ้าน… คำที่ท่านยายใช้เรียกสถานที่นี้

 





“สวัสดีครับป้าสายบัว” ผมยกมือไหว้คนเก่าคนแก่ของวัง

 





“สวัสดีค่ะคุณเอื้อม” ป้าสายบัวรับไหว้ พูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ฝ่าบาทประทับอยู่ที่สระริมสวนค่ะ”

 





“ท่านไปทำอะไรที่สระครับ”

 





“ทอดเนตรพวกเด็กๆเก็บบัวน่ะค่ะ ตรัสว่าจะเอามาทำเมี่ยงกลีบบัวให้คุณทาน”

 





ผมยิ้มกับความใส่ใจของท่านยาย “งั้นเอื้อมขอตัวไปหาท่านก่อนนะครับ”

 





“เชิญค่ะ เดี๋ยวป้าจะเตรียมน้ำไปให้นะคะ”

 





“ขอบคุณครับ” ผมผงกหัวขอบคุณ ก่อนปลีกตัวเดินไปทางหลังวัง ที่เป็นส่วนของสวนมะม่วงเล็กๆ รอบสระบัว

 





“ล้างให้สะอาด ใช้เตรียมเป็นเครื่องว่างรอคุณเอื้อม” เสียงท่านยายแว่วมาตามลม ก่อนใบหน้าเปี่ยมเมตตาของผู้หญิงที่แฝงกลิ่นอายความสง่า จะปรากฎสู่สายตา

 





“ท่านยาย” ผมส่งเสียงเรียก ก่อนเข้าไปในศาลาแล้วก้มกราบลงบนตัก

 





“คนดีของยาย” สัมผัสแผ่วเบาลูบลงบนศรีษะพร้อมกับรอยยิ้ม

 





ผมใช้หน้าถูไถกับฝ่ามือที่แสนอบอุ่น “น้องเอื้อมคิดถึงท่านยายจังเลยค่ะ”

 





ท่านยายหัวเราะเสียงเบา “ดูทำเข้า เรื่องประจบล่ะไม่มีใครเกิน”

 





“เอื้อมยอมรับค่ะ ต่อให้เป็นพี่อ้ายก็สู้เอื้อมไม่ได้”

 





“คนนั้นจะให้พูดอย่างไร..ก็คงสู้เราไม่ได้จริงๆ” ท่านยายพยักหน้าเห็นด้วย

 





ผมยิ้มกว้าง มองแดดที่เริ่มเคลื่อนเข้ามาในศาลา “เข้าไปข้างในกันดีกว่าค่ะ แดดเริ่มมาแล้ว”

 





พูดจบผมก็พยุงท่านยายลุกขึ้นตามความเคยชิน ทั้งที่ร่างกายท่านยังแข็งแรงกว่าใครหลายคน ขนาดที่ว่าปัจจุบันยังสามารถออกงานการกุศลได้อยู่บ่อยครั้ง

 





“น้ำมะตูมค่ะ” ป้าสายบัวนำน้ำมาวางให้หลังกลับเข้ามาในห้องกลางของวัง

 





“ขอบคุณครับ” ผมยกแก้วขึ้นดื่ม

 





ชื่นใจเหมือนทุกครั้ง..

 





“สายบัว ไปดูในครัวหน่อยสิ เตรียมเครื่องว่างไปถึงไหนแล้ว” ท่านยายพูด

 





“เพคะ”

 





“เรียนมหาลัยเป็นอย่างไรบ้าง“ ท่านยายหันมาถามหลังป้าสายบัวออกไป

 





“ดีค่ะ ได้รู้จักเพื่อนใหม่หลายคน”

 





น้ำเสียงกับแววตาที่เต็มไปด้วยความปรานีมองตรงมายังผม “ก่อนหน้าสุขภาพหลานไม่แข็งแรง หลายอย่างที่อยากทำก็ต้องพลาดไป

ตอนนี้กลับมาปกติ ก็ใช้ชีวิตให้มีความสุขนะ”

 





“ค่ะ เอื้อมจะทำตามที่ท่านยายบอก” ผมพยักหน้าอย่างว่าง่าย

 





“วันนี้ก็มาแล้ว ถ้าอย่างไรตอนเย็น ช่วยไปงานการกุศลของมูลนิธิแทนยายหน่อย”

 





“มูลนิธิอะไรคะ”

 





“มูลนิธิคุ้มครองเด็ก” ท่านยายตอบ ก่อนอธิบายเพิ่ม “เป็นงานเลี้ยงเพื่อระดมทุนจากผู้สนับสนุน…ทางประธานส่งบัตรเชิญมา ยายเองก็ตั้งใจจะบริจาค เลยอยากให้หลานไปเป็นตัวแทน”

 





ฟังจบผมก็ตกลงอย่างไม่อิดออด “ได้ค่ะ เอื้อมจะไปแทนเอง”

 





“ถ้าอย่างนั้น ยายจะให้สายบัวบอกเด็กให้เตรียมเสื้อผ้าไว้”







“ค่ะ คืนนี้เอื้อมจะค้างที่นี่นะ”

 





“ได้สิ..ให้ฉัตรเป็นคนขับรถไปแล้วกัน” ท่านยายพูด ส่วนผมก็ผมพยักหน้าแล้วยิ้มรับ

 





ถึงเวลาบ่าย..

 



ผมวางหนังสือที่อ่านให้ท่านยายฟังลง หลังท่านงีบพักผ่อน

ก่อนลงมาด้านล่าง หยิบโทรศัพท์ที่วางไว้ขึ้นมาดู

 





บนจอปรากฎการแจ้งเตือนสายไม่ได้รับ จากเบอร์ของพี่มาร์เมื่อชั่วโมงก่อน ผมเลยกดโทรกลับไป

 





รอสายนานพอสมควร ก็มีคนกดรับ..

 





“น้องเอื้อมเหรอจ้ะ นี่พี่นับนะ” ปลายสายซึ่งไม่ใช่เจ้าของเครื่องพูด

 





ดูเหมือนผมกับอีกฝ่ายจะมีดวงการคุยโทรศัพท์กันอยู่พอสมควร จะโทรหาพี่มาร์ ก็ได้คุยกับอีกฝ่ายนึงแทนครั้งแล้วครั้งเล่า

 





ผมถอนหายใจน้อยๆ “ครับพี่นับ เอื้อมรบกวนขอสายพี่มาร์หน่อย”

 





“มาร์แต่งตัวอยู่จ้ะ ตอนนี้คงไม่สะดวกคุย ” เสียงหวานเจือรอยยิ้มตอบกลับมา

 





“เหรอครับ” ผมเงียบไป “ถ้างั้นไม่เป็นไร เอื้อมแค่เห็นว่าก่อนหน้านี้พี่มาร์โทรมาเลยโทรกลับ ไม่ได้มีธุระอะไร”

 





“โอเคจ้ะ….งั้นไว้พี่จะบอกมาร์ให้นะ ว่าน้องเอื้อมโทรกลับมาแล้ว”

 





“ครับ”

 





ผมกดวางสาย …ก่อนค่อยๆดับความไม่สบายใจที่ก่อตัวขึ้นอย่างที่พี่อ้ายเคยบอก



โตแล้ว ...ต้องรู้จักจัดการกับอารมณ์ของตัวเอง




ออฟไลน์ Foxoxo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 19
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
พิเศษ 25 Facts About เอื้อม




1. จริงๆเอื้อมเกือบมีชื่อว่าเอย แต่เพราะพี่อ้ายเป่ายิ้งฉุบชนะพ่อ เลยได้ชื่อนี้

 



2. ชื่อจริงว่า อักษรา แม่เป็นคนตั้งให้

 



3. แม่เสียชีวิตตอนเอื้อมอายุสี่ขวบ

 



4. ตอนเด็กๆเคยเลี้ยงกระต่ายสีขาวชื่อนักรบ ติดนักรบมากจนพี่อ้ายน้อยใจเอานักรบไปให้คุณลุง



พอเอื้อมงอแง พี่อ้ายก็บอกว่าคุณลุงมีเวทมนต์เปลี่ยนสีนักรบได้ ให้รอจนนักรบเปลี่ยนเป็นสีเทาแล้วจะเอามาคืนให้



แต่เอื้อมไปหาคุณลุงกี่ครั้งนักรบก็ยังเป็นสีขาว จนตอนนี้นักรบตายไปแล้ว… ก่อนตายก็ยังเป็นสีขาวเหมือนเดิม

 



5. ตอนปอสามเคยโดนรองเท้ากัดจนร้องไห้ หลังจากนั้นพอได้รองเท้าใหม่ก็จะกัดรองเท้าแล้วขู่มัน “ถ้ากัดเรา เราจะกัดคืน”

ปล. เลิกกัดไปตอนเทอมสอง เพราะพี่อ้ายจับได้

 



6. เอื้อมเรียน ISB(International School Bangkok) ตั้งแต่อนุบาลจนจบมอหก รู้จักกับหมง ปัน หมาก ตั้งแต่ตอนนั้น

 



7. เอื้อมเป็นคนขี้เซามาก ถ้าโดนปลุกตอนนอนไม่เต็มอิ่มจะหงุดหงิดงอแงไปทั้งวัน

 



8. เคยชนะการแข่งเปียโนของสยามกลการ

 



9. มีตุ้กตาเน่าที่ต้องกอดทุกคืนชื่อแม่ทัพ

 



10. เอื้อมเลือดกรุ้ป A

 



11.  เอื้อมไม่ชอบให้ใครมากอดหรือแตะตัวตอนนอน แต่ตัวเองกลับชอบไปซุกคนอื่น ประมาณว่าตัวเองทำได้คนเดียว

 



12. วิชาที่ถนัดคือคณิตกับภาษาอังกฤษ

 



13. เอื้อมสนิทกับคนค่อนข้างยาก

 



14. เอื้อมมีเงินเก็บส่วนตัวที่เก็บมาตั้งแต่อนุบาล ตอนนี้เงินส่วนนั้นใช้อุปการะค่าเล่าเรียนของน้องสองคน ที่รู้จักจากบ้านเด็กกำพร้าเพราะไปเลี้ยงอาหารวันเกิด

 



15. ท่านยายเคยซื้อรถให้เป็นของขวัญ แต่ไม่เคยขับเพราะไม่มีใบขับขี่ และสอบไม่ได้จนกว่าจะได้รับคำรับรองจากแพทย์

 



16. เอื้อมเรียกรถคันนั้นว่าคุณกุนซือ

 



17. เอื้อมชอบกินผักสีเขียวทุกชนิด

 



18. เคยสอบ TOEIC ได้เต็ม

 



19. เอื้อมแพ้กุ้งรุนแรงมาก เคยเผลอกินน้ำต้มยำกุ้ง ผลคือต้องนอนโรงพยาบาลยาวไปสองอาทิตย์

 



20. เอื้อมเป็นคนใจเย็นแต่เด็ก เพราะพี่อ้ายบอกว่าเด็กใจร้อนหัวใจจะระเบิดตาย เอื้อมไม่อยากตายเลยเป็นคนใจเย็นตั้งแต่ตอนนั้นจนกลายมาเป็นนิสัยติดตัว

 



21. เอื้อมชอบอ่านหนังสือและเป็นคนอ่านหนังสือค่อนข้างเร็ว เคยนับเล่นๆประมาณชั่วโมงละหนึ่งร้อยหน้า

 



22. ซื้อเสื้อผ้าและของใช้เองน้อยมาก เพราะรู้ตัวอีกทีพี่อ้ายก็ซื้อนู่นซื้อนี่มาให้ จนปัจจุบันบางชิ้นก็ยังไม่เคยใช้

 



23. เอื้อมร้องเพลงเพี้ยน

 



24. เคยชื่อว่าซานตาคลอสมีจริงจนอายุ 10 ขวบ ที่เห็นพี่อ้ายกับพ่อหัวเราะคิกคักติดไฟฉายที่หัว แอบย่องเอาของขวัญมาวางหน้าต้นคริสต์มาส

 



25.  สิ่งที่ชอบที่สุดคือ ตอนที่ฝนตกแล้วได้อยู่ในห้องมืดๆ เปิดแอร์เย็นๆ นอนซุกผ้าห่มดูซีรีย์เรื่องโปรด



******
ไรท์ทอล์ค : มาทำความรู้จักน้องกันค่ะ

ออฟไลน์ Foxoxo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 19
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ตอนที่สิบเอ็ด "พี่มาร์ขอรางวัลได้ไหม"


“ทราบกันดีว่าท่านหญิงนิลปัทม์มีหลานชายหัวแก้วหัวแหวนอยู่สองคน แน่นอนว่าคุณอคิราห์นั้นเป็นที่รู้จักกันดี แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้สัมภาษณ์คุณอักษรา ออกงานครั้งแรกเป็นอย่างไรบ้างคะ”

 





“ก็ตื่นเต้นเล็กน้อยครับ เพราะปกติผมไม่ค่อยชินกับคนเยอะๆเท่าไหร่” ผมตอบบรรดาสื่อที่มารอสัมภาษณ์เหล่าบรรดาแขกที่มาร่วมงาน

 





“หลานชายหัวแก้วหัวแหวนมาแทนขนาดนี้ หมายความว่าท่านหญิงประสงค์จะสนับสนุนมูลนิธิอย่างเป็นทางการใช่ไหมคะ”

 





“ครับ อย่างที่ทราบกันว่าท่านให้การสนับสนุนการกุศลเป็นปกติ แต่สำหรับมูลนิธิคุ้มครองเด็กนี้ ท่านให้ความสนใจเป็นพิเศษน่ะครับ”

 





“อย่างนี้ก็จะร่วมกับทางธนพัฒน์ธาดาใช่ไหมคะ” ธนพัฒน์ธาดา.. นามสกุลพี่มาร์นี่นา ผมชะงักไปนิด “ก็ครับ ถ้าทางนั้นสนับสนุนมูลนิธิเหมือนกัน”

 





เพิ่งรู้ว่าบ้านพี่มาร์ก็สนใจทางมูลนิธินี้ด้วย บางที..

 





“นู่นไงมากันแล้ว” เสียงนักข่าวคนนึงในกลุ่มพูดขึ้น

 





อย่างที่คิดไว้…

 

 





ผมหันไปตามสายตาของนักข่าว…

 





ผู้ชายร่างสูงในชุดสูท Armani สีเข้ม เดินเข้ามาในงานด้วยท่วงท่าที่สามารถตรึงความสนใจของทุกคนเอาไว้ ใบหน้าคมเป็นเอกลักษณ์ กับแววตาคมกริบที่แตกต่างจากยามปกติ ฉายชัดโดดเด่นล่อลวงผู้คน ทรงผมที่ผ่านการเซตคล้ายไม่ตั้งใจ ทว่ากลับทวีความดูดีจนน่าโมโห

 





เราสบตากันโดยไม่ตั้งใจ ....ใบหน้าพี่มาร์เผยร่องรอยความแปลกใจ ก่อนที่มุมปากจะยกขึ้นคล้ายยิ้ม ดวงตาทีเรียบนิ่งก็เปลี่ยนเป็นยิ้มตาม

 





“ยังไงขอสัมภาษณ์ร่วมกันได้ไหมคะ” ทางนักข่าวหันกลับมาถามผม

 





ผมยิ้ม “ได้ครับ ถ้าทางนั้นไม่ติดขัดอะไร”

 





“ใครติดขัดอะไรหรือครับ”เสียงทุ้มต่ำเจือรอยยิ้มถาม ก่อนกลิ่นวูดดี้อันเป็นเอกลักษณ์ของ Bleu De Chanel จะเข้ามาประชิดตัว

 





“พอดีทางเราอยากจะขอสัมภาษณ์คุณอักษรา ร่วมกับทางธนพัฒน์ธาดาน่ะค่ะ”

 





“อักษรา.. เหมือนจะเคยได้ยินชื่อมาก่อนนะคะ” ผู้หญิงวัยกลางคนหน้าตาหมดจด ที่น่าจะเป็นคุณแม่ของพี่มาร์มองผมอย่างใช้ความคิด

 





“เป็นรุ่นน้องของมาร์ที่มหาลัยน่ะค่ะ คุณอาอาจจะเคยได้ยินมาร์พูดถึง” เสียงหวานของพี่นับที่เข้ามาในงานพร้อมกันกระซิบบอกเสียงเบา

 





แต่ทางนักข่าวที่ไม่ได้ยินเสียงนั้นก็หันมาแนะนำผม “คุณอักษราเป็นหลานชายคนเล็กของท่านหญิงนิลปัทม์ค่ะ”

 





“จริงด้วย …เคยได้ยินจากท่านหญิง ตรัสว่ามีหลานชายสองคน แต่คนเล็กสุขภาพไม่ใคร่ดี” ท่านพูดกับตัวเอง แล้วหันไปบอกพี่มาร์ “งั้นลูกสัมภาษณ์คู่กับน้องไปแล้วกันนะ เดี๋ยวแม่กับนับจะเข้าไปในงานก่อน”

 





“ให้นับอยู่กับมาร์ดีไหมคะ”

 





“เข้าไปกับอาเถอะ ตรงนี้ให้มาร์จัดการไป” คุณแม่พี่มาร์พูดแบบนั้น พี่นับเลยยอมตามเข้าไปอย่างขัดไม่ได้

 





“งั้นเราขออนุญาตสัมภาษณ์ต่อนะคะ”

 





“ครับ” ตอบพร้อมกัน

 

.

.
.
.

 

หลังจากสัมภาษณ์เสร็จเราก็เดินเข้ามาในงานด้วยกัน คนข้างๆส่งสายตาดุแกมบังคับ ให้ผมเดินตามเข้าไปหาคุณแม่ของเจ้าตัวกับพี่นับ ที่ปลีกตัวจากกลุ่มแขกหลังจากเห็นเราเดินเข้ามา

 





“แม่ครับ ผมแนะนำอีกที …นี่เอื้อมครับ” พี่มาร์แนะนำผมกับคนเป็นผู้ใหญ่

 





ท่านมองผมก่อนยิ้มใจดี “ชื่อน่ารักสมกับตัวจริงๆ …เรียกอาว่าอาอันก็ได้นะลูก”

 





“สวัสดีครับคุณอา” ผมยกมือไหว้ รู้สึกผ่อนคลายกับแววตาปรานีของท่าน

 





“ทำไมน้องเอื้อมถึงโกหกพี่ล่ะคะ” พี่นับถามด้วยสีหน้าผิดหวัง

 





“โกหกอะไรครับ” ผมถาม คุณอาเองก็มองผมกับพี่นับอย่างข้องใจ

 





“คราวก่อนที่พี่ถามว่าบ้านน้องเอื้อมทำอาชีพอะไร ทำไมเราถึงบอกพี่ว่ารับราชการล่ะ… ตั้งใจทำให้พี่เข้าใจผิดเหรอ”

 





แม้จะไม่แสดงออกทางสีหน้า แต่ในใจผมแอบถอนหายใจไปแล้วนับสิบครั้ง… “เปล่าครับ คุณพ่อผมรับราชการจริงๆ …เป็นทหารน่ะครับ”

 





“ท่าน ผบ.ไงนับ คุณพ่อหนูเองก็รู้จักท่านนะ...” คุณอาตอบแทนผม

 





“เหรอคะ” พี่นับเสียงอ่อนลงไปนิด “งั้นนับอาจจะจำไม่ได้ ปกติคุณพ่อจะพูดถึงแต่คนในวงการธุรกิจน่ะค่ะ”

 





คุณอาพยักหน้าเห็นด้วย “ก็จริง …นับน่าจะคุ้นกับเครือวิรุฬห์ธนกิจมากกว่า”

 





“ใช่ค่ะ” พี่นับปรายตามาทางผม

 





“ก็นั่นแหละ..ตระกูลทางฝั่งพ่อเอื้อมเขา” คุณอามองมาทางผมเป็นเชิงถามไถ่ให้แน่ใจ

 





“ครับ” ผมพยักหน้ารับ “แต่คนที่บริหารอยู่คือคุณปู่ พ่อผมเองไม่ได้สนใจทางนี้ คนที่จะมารับช่วงต่ออาจจะเป็นพี่ชายผมน่ะครับ”

 





“คุณอคิราห์ใช่ไหม” คุณอาถาม

 





“ครับ”

 





“อย่างนั้นก็คงเป็นโชคดีของเครือวิรุฬห์ อาเคยเจอพี่ชายเราอยู่สองสามครั้ง” คุณอายิ้มคล้ายทอดถอนใจ พูดประโยคสุดท้ายออกมาเสียงเบา “พยัคฆ์ไม่มีทางออกลูกเป็นสุนัขจริงๆนั่นแหละ”

 





“เดี๋ยวนะคะ …นี่เรากำลังพูดถึงเครือวิรุฬห์เดียวกันหรือเปล่าคะคุณอา”

 





“ถ้าพูดถึงเจ้าของเครือโรงพยาบาลวิรุฬห์ ที่ติดท้อปไฟว์โผทรัพย์สินของ Forbes ไทยแลนด์ ก็ใช่จ้ะ”

 





พี่นับเงียบไปพร้อมกับสีหน้าสับสน ก่อนจะปรับให้เป็นปกติในเวลาไม่นาน “น้องเอื้อมก็น่าจะบอกพี่แต่แรก ...มารู้ทีหลังแบบนี้พี่แอบตกใจนะ”

 





“ขอโทษครับ ปกติคนสนิทก็จะรู้อยู่แล้วเลยไม่ค่อยได้พูดให้ใครฟัง” ผมผงกหัวให้อีกฝ่าย

 





“ไม่เป็นไรจ้ะ ...พี่ก็พูดแกล้งเราไปงั้น” อีกฝ่ายยิ้มหวาน พอดีกับที่คุณอาเจอคนรู้จักเข้ามาทัก เราเลยจบบทสนทนาเรื่องนี้ไป

 

.
.
.

 





“ไปเดินเล่นที่สวนกัน” พี่มาร์เอ่ยปากชวน เพราะเลยช่วงสำคัญของงานมาพอสมควร ไม่มีอะไรสำคัญๆต้องทำแล้ว

 





โรงแรมที่เป็นสถานที่จัดงานเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนของมูลนิธิ มีบริเวณด้านข้างเป็นสวนน้ำพุ ที่พนักงานบอกว่าทุกๆหนึ่งชั่วโมง น้ำพุทั่วสวนจะพุ่งออกมาพร้อมกัน เป็นทริคเล็กๆน้อยๆที่เอาไว้ใช้เรียกแขก

 





“วันนี้คุณโทรหาเอื้อมทำไมเหรอ”

 





“เราจะบอกว่าต้องพานับมางานนี้ด้วย” พี่มาร์จูงมือผมเดินไปตามแนวน้ำพุ

 





“หืม” ผมแกล้งยื่นหน้าเข้าไปใกล้แล้วยิ้มล้อ “ทำไมเป็นคนดีจังเลยครับ~”

 





“เราเป็นคนดีของแฝดคุณชื่นคนเดียว...ขอรางวัลเราด้วย” นิ้วเรียวจิ้มหน้าผากแล้วพูดหน้าตายขอรางวัล

 





“ง่ะ” ผมยกมือกุมหน้าผาก มองค้อนใส่คุณคนดีไปหนึ่งครั้ง

 





พี่มาร์ยิ้มถูกใจ เลื่อนมืออุ่นมาโยกหัวผมไปมา “เราควรได้รางวัล เพราะเราต้องการกำลังใจ”

 





“กำลังใจเรื่องอะไรครับ”

 





“คว้าของสูง”

 





ผมกระพริบตาปริบๆ ทำความเข้าใจประโยคข้างบน “คนอย่างคุณยังมีของที่ต้องพยายามคว้าอีกเหรอ”

 





‘ก็นั่งอยู่นี่แล้วหนึ่งคน’  คิดในใจแต่ไม่ได้พูดออกไปให้ลูกแมวตกใจเล่น

 





พี่มาร์ไม่ตอบ ...แต่ก้มมองนาฬิกาก่อนเงยหน้าส่งยิ้มเจ้าเล่ห์

 



แล้วเสียงทุ้มก็เริ่มนับ..

 



5

 



4

 



3

 



2

 



หนึ่ง ...

 





ฟุ่บ! ฟุ่บ!  ฟุ่บ!  น้ำพุรอบตัวพร้อมใจกันพุ่งขึ้น จนผมสะดุ้งเพราะไม่ทันตั้งตัว

 





ผมมองบรรยากาศรอบๆที่เต็มไปด้วยม่านน้ำอย่างตื่นตาตื่นใจ นี่เราเดินมาถึงใจกลางน้ำพุตอนไหน...

 





หันไปมองคนด้านหลัง ก็สัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆที่ก้มลงมาอยู่ในระดับเดียวกัน มองใบหน้าที่ใกล้กันขนาดนี้ ผมก็เผลอกัดปากอย่างประหม่า

 





“เอื้อมครับ”

 





“ฮื่อ..” ผมตอบเสียงอู้อี้ในลำคอ

 





“พี่มาร์ขอรางวัลได้ไหม”

 





หน้าผมร้อนจัดเหมือนจะระเบิด ...ทำไงดี พอไม่ได้เมาผมก็เป็นแค่ลูกแมวอนุบาลดีๆนี่เอง ผมหดคอหนี แลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปากแห้งผากของตัวเอง

 





และในทันที...ผมก็แทบจะได้ยินเสียงอะไรบางอย่างจากตัวพี่มาร์ที่มันแตกหักออกจากกัน

 





จากนั้นไม่กี่สิ่งที่ผมจำได้ก็มีเพียง..







...รสชาติลูกอมรสโยเกิร์ตที่ทั้งหวานทั้งร้อน จนแทบหลอมละลายลิ้นไม่ประสีประสาของผมเอาไว้

 





...เสียงน่าอายของตัวเอง

 





และสุดท้าย ...การพ่ายแพ้อย่างหมดรูป จนได้แต่ร้องไห้งอแงอยู่กับอกที่ได้ยินเสียงหัวใจเต้นแรงจนผมกังวลว่ามันจะหลุดออกมา

 

 

 

หลังจากนั้น...

 





“ถ้าคุณไม่เงยหน้าขึ้นมา เราจะกลับเข้าไปในงานไม่ได้นะ” ใครบางคนพูดกลั้วหัวเราะ ก่อนจะแอบหากำไรจากการหอมผมนุ่มอย่างเอ็นดู

 





“ฮือออ...ปากเอื้อม”  เสียงลูกแมวโอดครวญแง้วๆ ก่อนจะตะกุยสูทราคาแพงอย่างเอาเป็นเอาตาย

 





“ไหนครับปากเป็นยังไง  เงยหน้าให้พี่มาร์ดูก่อน” คนที่เริ่มจะชำนาญกับการหลอกเด็กเข้าทุกวันพูดเสียงนุ่ม

 





ทั้งขู่ทั้งปลอบจนสุดท้ายลูกแมวที่ตายังแดงก่ำเพราะความงอแง ก็ยอมผละหน้าออกจากอกขึ้นมาสบตากัน

 





“ไหนครับ ...ก็ปกติดี”

 



‘น่าจูบเหมือนเดิม’  ละไว้ในใจ

 





“จริงเหรอ แต่เอื้อมรู้สึกว่ามันเจ็บๆ มันไม่แดงเหรอ” ถามอย่างมีความหวัง

 





‘แดงดิ น่าฟัดด้วย’  ….“ไม่แดงครับ ปกติดี”

 

 





“คุณไม่โกหกเอื้อมนะ”

 

 





“อืม ..ไม่โกหกๆ เข้าไปในงานกันนะ”

 





ทำหน้าชั่งใจเล็กน้อย มองพี่มาร์ที่ดูท่าทางจริงจัง ก็ยอมพยักหน้าในที่สุด “อืม ไปก็ได้”





******
ไรท์ทอล์ค : #ทีมดีดปากพี่มาร์

ออฟไลน์ catka12

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 578
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-0
 :hao7: ตีสองของเรา...บ่ายสองของคุณ...มาส่งน้องเข้าห้องได้แล้วววว  :hao7: เรารอแอบดูอยู่ค่ะ  :hao7:  :hao6:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Foxoxo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 19
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ตอนที่สิบสอง "คิดถึงจะตายแล้ว"



หลังจากกลับมาจากวังท่านยายชีวิตผมก็วนเวียนเข้าสู่ปกติ เรียน ซ้อมประกวด และล่าสุด ...หาความสามารถพิเศษเพื่อเอาไปแสดง

 





“เล่นเปียโนไงตัวเล็ก” ปันเสนอความคิดขึ้นมาก่อน

 





“ก็ดีนะ” ผมเห็นด้วย “แต่ต้องร้องเพลงด้วยไหมอะ”

 





“โนววววว!  มึงห้ามร้องเพลงเด็กขาด” หมงรีบเบรคผมหน้าตาตื่น

 





ผมถลึงตาใส่ “รู้แล้วว่าร้องเพี้ยน ไม่ต้องทำท่าทางจริงจังขนาดนี้ได้ปะ”

 





หมงไม่ตอบแต่หันไปหัวเราะถูกใจกับหมากที่แกล้งผมได้ 

 





“ตกลงเล่นเปียโนนะ”

 





ผมมองปันที่ดูเป็นการเป็นงานที่สุดอย่างซาบซึ้ง… ขอบคุณพระเจ้าที่ต่อให้ส่งสองคนนี้มา ก็ยังส่งปันมาเพื่อปลอบใจผม

 





“อืม เล่นเปียโนก็ได้ …ไม่ได้จับมานานแล้วเหมือนกัน คงต้องฝึกหน่อยอะ”

 





ปันพยักหน้าเห็นด้วย “เป็นอันว่าจบเรื่องนี้”

 





“งั้นไปหาไรกินกัน กูอยากกินอาหารญี่ปุ่น” หมากพูด

 





“ขอผ่านนะ ว่าจะไปดูพี่มาร์หน่อย” ผมบอกเพื่อน

 





ทั้งสามคนพากันทำหน้าล้อเลียนทันที

 





“เหม็นความรักว่ะ”

 





“เออ เพื่อนกันมันก็วัดกันที่ตรงนี้แหละ”

 





“จะไปหาพี่เค้าที่ไหน”แน่นอนว่าคนที่ถามคือปัน

 





“ที่สตูของถาปัตย์อะ” ผมตอบ

 





เราไม่เจอกันมาอาทิตย์นึงเต็มๆ เพราะพี่มาร์มีโปรเจ็คต้องทำ และผมก็ยุ่งอยู่กับรายงานและการประกวด

 





“ให้กูพาไปเปล่า” หมงถาม

 





“ไม่เป็นไร ไปหาไรกินกันเหอะ” ผมตอบ หลังจากตกลงกันได้ทุกคนก็แยกย้ายกัน...

 





“หึหึหึหึหึ..” เสียงหัวเราะที่ฟังดูชั่วร้าย ดังมาจากปากหมงระหว่างทั้งสามพากันเดินไปที่รถ

 





“มึงขำอะไรวะ” หมากถามเพื่อน ปันเองก็มองอย่างสงสัย

 





“กูว่าพี่มาร์คงไม่ดีใจเท่าไหร่ที่ตัวเล็กมันจะไปหา หึหึ..”





อีกสองคนเงียบไปเพื่อทำความเข้าใจ ก่อนที่เสียงหัวเราะชั่วร้ายสามเสียงจะดังขึ้นพร้อมกัน…

.
.
.
.

 



ผมแวะเซเว่นใกล้คณะสถาปัตย์ ซื้อข้าว น้ำดื่ม และพวกของกินเล่น ตั้งใจจะเอาไปให้พี่มาร์และพวกพี่ๆคนอื่นๆที่ทำงานกันอยู่ในสตูกิน เพราะครั้งล่าสุดที่คุยกัน อีกฝ่ายบอกว่ายังไม่ได้หาอะไรทาน







เดินเข้ามาในคณะผมก็ถามหาทางไปสตูกับคนที่เดินผ่าน แม้จะรู้สึกว่าหลายสายตาพากันจับจ้องก็พยายามไม่สนใจ เดินตามทางที่คนบอกมาถึงหน้าสตูแล้วโทรหาพี่มาร์

 





‘ว่าไงครับแมว’ ปลายสายกดรับ น้ำเสียงฟังดูเหนื่อยล้า

 





‘เอื้อมอยู่หน้าสตูคณะคุณนะ’ ผมบอก





ปลายสายตัดไปทันทีที่พูดจบ ก่อนประตูสตูดิโอจะถูกเปิดออกอย่างเร่งรีบจากด้านใน

 





บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบ …มองคนที่ใบหน้ารกไปด้วยหนวดเครา กำลังจับจ้องผมด้วยแววตายุ่งยากใจ ก็ตัดสินใจถามออกมา “คุณโกรธที่เอื้อมมาหาเหรอ”

 





คล้ายรู้ตัวว่ากำลังทำให้ผมใจเสีย พี่มาร์ยกยิ้ม ถอนหายใจคล้ายปลงตก แล้วก้าวมาหา

 





ปึก! ศรีษะหนักๆซบลงบนไหล่  “จะโกรธได้ยังไง คิดถึงจะตายแล้ว”

 





ผมผ่อนคลายไหล่ที่เกร็งตัวลง เมื่อสัมผัสกลิ่นอายที่ห่างหายไปเป็นอาทิตย์ “คิดถึงเหมือนกัน” พูดสิ่งที่ใจคิดไปตามตรง

 





“เชี่ยมาร์!” ประตูเปิดออกพร้อมกับเสียงตะโกน

 





“โอ้วว shit! กูเห็นอะไรที่ไม่สมควรเห็นหรือเปล่า” พี่คนพูดเป็นผู้หญิงซึ่งสภาพยุ่งเหยิงเกินกว่าจะบรรยายได้ 

 





“มีอะไรผิง” พี่มาร์ผละออกจากไหล่ผม หันไปถามคล้ายรำคาญ

 





“ก็จะมาตามมึงไปดูงานให้ แต่เห็นแบบนี้ก็รู้สึกผิดบาปขึ้นมาทันที” คนพูดทำสายตาล้อเลียน มองผมอย่างพินิจก่อนอ้าปากคล้ายนึกได้

 





“นี่น้องเอื้อมใช่ไหม” พี่ผิงเดินเข้ามาใกล้ “ใช่จริงด้วย ...โอ้ยน่าร้ากกกกก ตัวจริงน่ารักกว่าในรูปอีก”

 





“ผิง...เก็บอาการหน่อย” เสียงทุ้มพูด ดึงตัวผมเข้าไปหลบด้านหลัง ก่อนจะโดนมือพี่ผิงที่ยื่นมาหาลูบคลำ

 





“ฮึ่ยยย รำคาญตัวหวงของ” พี่ผิงทำเสียงจิ้จ้ะ พยายามชะเง้อหน้ามองผมแล้วยิ้มหวาน

 





“แทนที่จะหวงกับกู ไปหวงกับไอ้พวกข้างในเถอะ แม่งเห่อน้องกันอย่างกับอะไร สัดป้องถึงขั้นเซฟรูปไว้ในโทรศัพท์”

 





ผมกระตุกชายเสื้อพี่มาร์อย่างถามไถ่เพราะไม่ค่อยเข้าใจที่พี่ผิงพูด

“เข้าไปข้างในแล้วห้ามยิ้มเข้าใจไหม” พี่มาร์กำชับเสียงจริงจัง







“ไม่เข้าใจ” ผมส่ายหน้า “ถ้าไม่ยิ้มมันก็ดูไม่มีมารยาทสิ”

 





“ฮืออ เด็กดีของพี่ผิง” พี่ผิงยกมือทาบอก “ยิ้มไปเถอะลูก อย่าไปเชื่อไอ้ตัวขี้หวง”

 





พี่มาร์ตวัดสายตามองคนพูดอย่างรำคาญ แล้วก้มลงกระซิบกับผม “งั้นคุณอย่าเพิ่งเข้าไป รอแปปนึงเดี๋ยวเราออกมารับ”

 





เห็นพี่มาร์เอาจริงเอาจังขนาดนี้ ผมก็ไม่อยากขัด พยักหน้ารับ มองร่างสูงที่บอกให้พี่ผิงยืนรอเป็นเพื่อนผมเดินเข้าไปในห้อง

 





...และจากนั้น  เสียงโอดครวญปนโห่ร้องกึกก้องก็พร้อมใจกันดังมาจากด้านใน ผมมองหน้าพี่ผิงด้วยคำถาม

 





“ไม่ต้องตกใจ แค่เสียงโอดครวญของฝูงหมาน่ะ” พี่ผิงหัวเราะ

 





รอไม่นานหลังจากเสียงนั้น พี่มาร์ก็เปิดประตูออกมาพาผมเข้าไปด้านใน พวกพี่ๆที่นั่งทำงานกันอยู่พากันยิ้มให้ผมอย่างใจดี แม้จะมีร่องรอยแปลกๆที่ผมไม่รู้ว่าแปลกตรงไหนอยู่ก็เถอะ

 





“เอื้อมซื้อขนมกับของกินมาให้ด้วยนะครับ ถ้าพวกพี่ๆหิวกันก็กินได้เลย” ผมยกถุงเซเว่นที่ถือมาเต็มไม้เต็มมือให้ดู

 





“แค่มองน้องเอื้อมพี่ก็มีกำลังใจแล้วครับ”

 





“อิ่มกว่ากินข้าวอีกกู”







“มึงดูออร่าที่ออกจากตัวน้องนั่นสิ พวกเราเหมือนโผล่มาจากนรกอะ”

 





“พวกเหี้ย กูบอกให้เก็บอาการ” พี่มาร์กวาดสายตามองคนพูดแล้วสบถออกมา

 





“มึงก็ต้องเข้าใจพวกกูปะ อยู่ในนี้กันมาอาทิตย์นึง น้องแม่งเป็นความสดใสเดียวที่พวกกูได้เจออะ”

 





ผมหัวเราะกับท่าทางตัดพ้อเกินจริง “มองได้ครับไม่เป็นไร เอื้อมยังอยู่ในนี้อีกพักนึง”

 





“ความจิตใจดีนี้”

 





“เหมือนลงจากสวรรค์มาโปรดสัตว์อย่างพวกเรา”

 





“ถ้ายังไงช่วยยิ้มแบบเมื่อกี้อีกทีได้ไหม พี่ถ่ายรูปไว้ไม่ทัน”

 





“โอ้ย!...”

ผมยกมือขึ้นกุมแก้มที่โดนคนคนหน้าบึ้งข้างๆดึงอย่างไม่หนักไม่เบา

 





“ไอ้คนใจบาป”

 





“มึงทำร้ายความอ่อนโยนของโลกใบนี้ได้ไง”

 





พี่มาร์ไม่สนใจจะเถียงกลับ เลือกจูงมือผมไปนั่งเงียบๆข้างๆงานที่ทำค้างอยู่แทน





“คุณชื่นไม่เห็นเคยยิ้มให้ใครมั่วซั่วเลย” พี่มาร์พูดระหว่างหันไปทำงานต่อ

 





“คุณชื่นเป็นแมวนะ”

 





“แต่คุณเป็นแฝดคุณชื่น”

 





เหตุผลแบบนี้ก็เอามาเถียงได้ด้วยเหรอ ผมมองพี่มาร์อย่างเหลือเชื่อ “ยอมก็ได้ เอื้อมเถียงยังไงก็ไม่ชนะคุณหรอก”

 





พี่มาร์ยิ้มพอใจ หันมายีหัวผมสองสามทีแล้วทำงานต่อ

 





“เอื้อมซื้อที่โกนหนวดมาให้คุณด้วยนะ” ผมหยิบออกมาจากถุง

 





“โกนให้หน่อย”

 





“ไม่เอา เดี๋ยวมันบาด” ผมรีบปฎิเสธ

 





“นะครับ...”

 





“เหมือนจบเอกการแสดงมา”

 





“เออ ถาปัตย์การละครปีนี้ บอกกีวี่เอามันไปแสดงด้วยนะ”

 





“ห้องน้ำข้างสตูกระจกมันแตก เราโกนเองไม่ได้” พี่มาร์พูดต่อ

 





“มึงดูดิ...ขนาดกระจกยังเป็นใจให้มัน” เสียงแว่วจากด้านข้างๆยังคงดังมาอย่างต่อเนื่อง

 





แต่ถ้ากระจกมันแตกจริงๆ พี่มาร์ก็คงโกนเองไม่ได้อย่างที่ว่า “ก็ได้ครับ” ผมยอมตกลง

 





“มึงว่าไหมแต้มบุญไอ้มาร์คงหมดลงแล้ววันนี้”

 





พี่มาร์ยักไหล่ จูงมือผมเดินออกไปนอกห้อง ดันผมไว้ด้านหลัง แล้วเปิดประตูโผล่หน้าไปพูดประโยคที่ผมไม่ได้ยิน

 





‘นี่ของกู อิจฉาก็เท่ากับแพ้ปะ’

 





“ไอ้ Hereeeeeeeeee”

 





รู้แค่ว่ามีเสียงสรรเสริญดังก้องออกมาถึงนอกห้อง...

.
.
.

 





ในห้องน้ำ...ผมค่อยๆปาดโฟมลงไปบนหน้าพี่มาร์ แล้วหยิบมีดโกนขึ้นมาแกะออกจากกล่อง

 





“ถ้าเจ็บหรือบาดให้บอกเอื้อมนะ”

 





“ครับผม” พี่มาร์หลับตา

 





ผมเองก็เริ่มโกนอย่างระมัดระวังไปจนเสร็จ ใช้น้ำล้างโฟมออก แล้วเอาผ้าสะอาดมาซับ

 





“เสร็จแล้วครับ ลืมตาได้” ผมบอก

 





พี่มาร์ยิ้มแล้วค่อยๆลืมตา “ขอบคุณครับน้องเอื้อม”

 





“ฮื่อ..ไม่เป็นไร” ผมตอบเสียงเบา

 





“เรื่องประกวดไปถึงไหนแล้ว” พี่มาร์ถาม

 





“อาทิตย์นี้ไม่มีซ้อมรวม เพราะพี่ขวัญให้เวลาไปจัดการเรื่องความสามารถพิเศษที่จะแสดงกัน”

 





“คุณจะทำอะไร”

 





“เล่นเปียโนครับ”

 





“งั้นก็ต้องซ้อมใช่ไหม”

 





“ครับ...คงไม่ได้นอนหอทั้งอาทิตย์ ที่ห้องเอื้อมอีกที่นึงมีแกรนด์เปียโนอยู่ น่าจะไปค้างที่นั่น”

 





“วันนี้เลยหรือเปล่า”

 





ผมพยักหน้า..

 





“งั้นเดี๋ยวเราไปส่ง”

 





“เอื้อมให้คนมารับก็ได้นะ คุณดูเหนื่อย...อย่าขับรถเลย”

 





“อย่าดื้อดิ เราอยากไปส่ง”

 





“ก็ได้ครับ” ผมยิ้ม ใครกันแน่ที่ดื้อ..

 

.
.
.





“กูควรไปทำเพจทวงคืนน้องเอื้อมปะวะ”

 





“ความสุขแม่งผ่านไปเร็วยิ่งกว่าไฟเขียวแยกแคราย”

 





“กำลังใจน้อยๆของพี่”

 





“สิ่งสวยงามหนึ่งเดียวในห้องนี้”

 





ผมคิดว่าพวกพี่ๆควรไปเปิดคณะตลก หรืออะไรสักอย่างมากกว่านั่งตัดโมอะจริงๆ “เอื้อมกลับก่อนนะครับ ไว้วันหลังจะซื้อขนมมาฝากอีก”

 





“มาแต่ตัวก็ได้จ้ะ”

 





“แค่มานั่งยิ้มเฉยๆก็พอครับ”

 





ผมยิ้มเก้อ...ขณะกำลังคิดว่าควรตบมุกไหมหรือยังไง ก็โดนพี่มาร์ดึงตัวปลิวออกจากห้องไปก่อน

 

.
.
.

เดินกันมาถึงรถพี่มาร์ ก็ปรากฎว่า... Audi R8 Coupe ยางแบนอย่างน่าอนาถ… แถมยังมีกระดาษที่เขียนด้วยลายมือหยาบๆแปะไว้

 





‘ขอโทษครับ ปล่อยลมยางผิดคัน’

 





เราสองคนทำหน้าอึ้งพอกันทันทีที่อ่านจบ.. คือแบบนี้ก็มีเหรอ

 





“เอาไงดีครับ” ผมถามความเห็นเจ้าของรถ

 





“อืม..พรุ่งนี้ค่อยให้คนเอาคันใหม่มาเปลี่ยน” พี่มาร์ตอบ “ส่วนตอนนี้ เดี๋ยวเราเอารถเพื่อนเราไปส่งคุณก่อน”

 





“เอาแบบนี้ดีกว่า..” ผมเสนอความคิดขึ้นมาบ้าง “คุณรอแปปนึง เดี๋ยวเอื้อมให้คนเอารถเอื้อมมาให้ ...คุณเอาไปใช้ก่อน ไว้คนของคุณเอารถมาเปลี่ยนเมื่อไหร่ค่อยเอารถเอื้อมไปเก็บ”

 





“แบบนั้นมันต้องรอนานกว่าให้คนของเราเอารถมาเปลี่ยนหรือเปล่า”

 





“ไม่ครับ..รถเอื้อมจอดอยู่ตรงห้างใกล้มหาลัยนี่เอง”

 





“ห้าง C ของเครือวิรุฬห์?” พี่มาร์เลิกคิ้ว

 





“ครับ...ห้องที่เอื้อมจะไปค้าง ก็อยู่ชั้นบนของโรงแรมที่เชื่อมอยู่กับห้างนี่แหละ”

 





พี่มาร์พยักหน้าเข้าใจ “งั้นก็เอาตามที่คุณบอก”



******
ไรท์ทอล์ค : เรื่องความรวยของน้องเอื้อมเนี่ย ประเด็นคือถ้าฝั่งคุณปู่ไม่ขนาดนี้

ก็แอบยากนิดนึงที่ท่านยายกับท่านตา จะยอมให้คุณแม่มาแต่งงานกับคุณพ่อ

ไหนจะต้องลาออกจากฐานันดรก็กลัวลูกสาวลำบากอะเนอะ


ออฟไลน์ Foxoxo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 19
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ตอนที่สิบสาม "ไม่เป็นไรนะครับ ไม่ต้องกลัว


อีกสามวันจะถึงวันประกวด...

 





ยิ่งเวลาใกล้เข้ามาเท่าไหร่ การซ้อมก็ยิ่งถี่และจริงจังจนทุกคนแทบไม่มีเวลาหายใจหายคอ

 





“โอเควันนี้พอแค่นี้” เสียงประกาศของพี่ขวัญ ทำให้ทุกคนที่ยืนบนเวทีพากันนั่งลงกับพื้นอย่างโล่งใจ

 





ผมเองที่ซ้อมจนเหงื่อท่วมตัว ก็รู้สึกเหมือนได้รับการปลดแอกจากความกดดัน นั่งพักให้ร่างกายคืนความเหนื่อยล้าอยู่ครู่นึง ก็ลุกขึ้นเก็บของเตรียมตัวกลับ

 





“ทำไมหน้าซีดขนาดนี้” พี่มาร์ที่กลับมารับหน้าที่ถ่ายรูปอีกครั้งหลังจากส่งโปรเจ็ค เดินเข้ามาถามและรับกระเป๋าไปถือให้

 





“ร่างกายเอื้อมมันเหนื่อยๆอะ” ผมตอบ ไม่ได้ขยายความอะไรเพิ่ม ทั้งที่จริงช่วงสองสามวันมานี้ ร่างกายผมค่อนข้างมีอาการผิดปกติ เหนื่อยง่ายกว่าเดิม หายใจได้ไม่เต็มปอด แย่ขึ้นจากวันแรกที่อาการมันน้อยจนแทบสัมผัสไม่ได้

 





สีหน้าพี่มาร์เปลี่ยนเป็นกังวล “เป็นอะไรมากหรือเปล่า รู้สึกยังไง”

 





ผมส่ายหน้า “แค่อยากพักอยากนอนน่ะครับ”







คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างกังวล “แน่ใจนะ”

 





“ครับ” ผมยิ้ม ...ทั้งที่จริงก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก

 





“งั้นรอตรงนี้ เราจะไปเอารถมารับ”

 





“อื้อ”

 

.
.
.
.





กลับมาถึงห้อง พี่มาร์ก็จัดแจงให้ผมนอนพัก ส่วนตัวเองก็รับหน้าที่ลงไปซื้อมื้อเย็นสำหรับเราสองคน

 





ระหว่างอยู่คนเดียวผมเลยถือโอกาสกดโทรหาพี่อ้าย..

 





‘ครับเอื้อม’

 





‘พี่อ้ายยุ่งอยู่หรือเปล่าครับ’

 





‘คุยได้ครับ เอื้อมมีอะไร’

 





‘เอื้อมรู้สึกว่าร่างกายมันแปลก...เอื้อมเหนื่อยง่ายกว่าเดิมมาก รู้สึกเพลียเหมือนมีไข้ บางครั้งก็หายใจได้ไม่เต็มปอด อาการมันชัดขึ้นเรื่อยๆ’ ยิ่งพูดผมก็ยิ่งกังวล ผมไม่กล้าไปหาหมอเพราะกลัวคำตอบ พี่อ้ายเหมือนเป็นคนเดียวที่จะทำให้ผมสบายใจขึ้นได้ในตอนนี้

 





พี่อ้ายเงียบไป… เป็นความเงียบที่ผมสัมผัสได้ถึงความเคร่งเครียด ‘ไม่เป็นไรนะครับ ไม่ต้องกลัว’

 





น้ำตาผมซึมทันทีที่พี่อ้ายปลอบ ไม่เคยคิดว่าอเมริกามันไกลมากจนกระทั่งตอนนี้ ‘เอื้อมกลัวมากเลย..’

 





‘ไม่ต้องกลัว ...ตอนนี้พี่อ้ายอยากให้เอื้อมโทรหาอาหมอ แล้วก็พักที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันนี้ รอพี่อ้ายกลับไปหา...โอเคไหมครับ’

 





‘พี่อ้ายกลับมาได้เหรอ...’ ผมถามเสียงแผ่ว รู้ดีว่ากำหนดการจริงๆ พี่อ้ายต้องอยู่อีกหลายปี

 





‘ได้สิครับ พี่อ้ายจะรีบกลับไปให้เร็วที่สุด แต่วันนี้เอื้อมต้องทำตามที่พี่อ้ายบอก เข้าใจไหมครับ’

 





‘เข้าใจครับ ...เอื้อมรอพี่อ้ายนะ’

 





‘ครับ พี่อ้ายรักน้องนะครับ’ พี่อ้ายบอกก่อนจะวางสายไป

 





ผมเองหลังจากใจชื้นขึ้นก็จัดการโทรหาอาหมอ หมอประจำตัวที่รักษาผมตั้งแต่เด็กตามที่พี่อ้ายบอก

 

 

อ้าย’s



แม่จากผมไปตอนอายุสิบเอ็ด แม้จะยังเด็กแต่ผมรู้ว่าความตายคืออะไร มันหมายถึงการที่เราจะไม่ได้เจอกันอีก...

 





พ่อเสียใจมากถึงขั้นเสียศูนย์ไปช่วงนึงของชีวิต แต่ทุกอย่างกลับคืนมาได้ เพราะเรายังมีน้องที่ต้องดูแล

 





พ่อผมเป็นทหาร คุณปู่เป็นนักธุรกิจ ครอบครัวเราเต็มไปด้วยผู้ชาย มันเป็นเรื่องยากที่จะเลี้ยงเด็กคนนึงให้โตขึ้นมาโดยไม่รู้สึกขาดแม่

 





แต่ผมจะทำให้ได้... ผมสัญญากับตัวเอง

 





เอื้อมในวัยสี่ขวบ ตัวเล็กซะจนดูเหมือนว่า ถ้าผมแค่แตะแรงๆน้องก็จะแตกหักหรือพังทลาย  อาหมอที่อยู่กับครอบครัวเรามานาน บอกว่าน้องเป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด

 





ตอนนั้นผมเองยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร ภาพที่จำได้คือน้องร้องไห้อย่างเจ็บปวดทุกครั้งที่ไปโรงพยาบาล และหลับลงในอ้อมกอดผมทั้งที่ใบหน้าเปื้อนคราบน้ำตาอยู่เสมอ

 





ผมเลี้ยงน้องมาด้วยตัวเอง อาบน้ำ ป้อนข้าว กล่อมนอน หลอกล่อน้องให้กินยา แม้เราเองจะมีทั้งพี่เลี้ยงและพยาบาล

 





แต่ผมอยากให้น้องเติบโตมาด้วยความรู้สึกของการมีครอบครัว... พ่อเองแม้จะงานยุ่งแค่ไหน ก็ต้องปลีกตัวออกมาหาน้องวันละครั้ง ด้วยความรู้สึกแบบเดียวกัน

 





น้องเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เป็นเด็กน่ารักสดใส แต่ภายในกลับมีโรคหัวใจที่คอยกัดกินทั้งตัวน้อง และคนที่ทำได้แค่เฝ้ามองอย่างพวกเรา

 





อาการเคร่งเครียดของพ่อและอาหมอ มันบอกบางอย่างกับผม...

 





...ความตายมันอยู่ใกล้เรามากกว่าที่คิด มันอยู่ใกล้น้องและถ้าผมไม่ระวัง มันจะพาน้องไปจากผมได้ตลอดเวลา

 





ยิ่งรู้ยิ่งเข้าใจ สิ่งที่ผมทำได้มีแค่รักน้องให้มากขึ้น ดูแลให้มากขึ้น ถ้าความตายคิดจะพาน้องจากไปเหมือนแม่ ผมก็จะสู้กับมัน

 





ตอนผมอายุสิบแปด เป็นช่วงที่กำลังสอบเข้ามหาลัย แน่นอนว่าผมเลือกคณะแพทย์ ...ตอนนั้นเอื้อมอยู่แค่ประถม สามารถไปเรียนได้ ใช้ชีวิตปกติได้ แต่ก็ขาดเรียนบ่อยกว่าใคร 

 





‘เอื้อมเรียนน้อยกว่าคนอื่น ก็แค่ขยันให้มากกว่าคนอื่นแค่นั้นเอง’

 





น้องพูดกับผม และผมก็ไม่ห้ามที่น้องจะเรียนหรือพยายาม เพราะรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ทำให้น้องภูมิใจ

 





จนผมอยู่ปีสองอาการน้องก็ไม่มีอะไรดีขึ้น หากกลับแย่ลงอย่างช้าๆ อาหมอบอกว่าเราทำได้แค่ประคับประคองอาการ รอให้มีคนบริจาคอวัยวะที่เข้ากับร่างกายน้องได้ น้องถึงจะได้รับการรักษา

 





แต่การรอคอยมันช่างยาวนานและกัดกิน… ต่อให้ครอบครัวเรามีเงินเยอะแค่ไหน ก็ไม่สามารถซื้อชีวิตและเวลาจากใครได้







ต่อค่ะ







ระหว่างนั้นผมก็ดูแลน้องมาเรื่อยๆ เลี้ยงน้องโดยให้น้องมีสิทธิเลือกในการใช้ชีวิต น้องอยากเรียนดนตรีผมก็อนุญาต น้องลงแข่งเปียโน...ผมก็สนับสนุน

 





จำได้ว่าครั้งแรกที่ลงแข่ง น้องไม่แม้แต่จะติดอันดับด้วยซ้ำ แต่เจ้าตัวกลับยิ้มกว้าง บอกว่าครั้งหน้าจะพยายามให้มากกว่านี้

 





ผมภูมิใจ ที่นอกจากน้องจะมีความพยายาม น้องก็ยังรู้จักรับมือกับความผิดหวัง

 





การเฝ้ารออย่างยาวนานของเราสิ้นสุดลงหลังจากผมจบมหาลัยได้หนึ่งปี ในที่สุดก็มีคนบริจาคอวัยวะที่เข้ากันได้กับร่างกายของน้อง...

 





ความพร้อมทุกอย่างถูกตระเตรียมไว้ น้องเข้ารับการผ่าตัด และผลก็ออกมาเป็นที่น่าพอใจ แม้จะต้องอยู่ในไอซียูนานถึงเจ็ดวัน แต่เราก็ผ่านมันมาได้

 





ระยะเวลาช่วงพักฟื้น เป็นช่วงที่ต้องใช้ความอดทนอย่างมาก เลือดที่ซึมออกมาตามรอยเย็บ เจ็บจนน้องต้องกัดฟันร้องไห้

 





การฝึกเดินก็เป็นเรื่องยากลำบาก น้องมีอาการฝันร้าย เบื่ออาหาร นอนหลับได้ยาก และบางครั้งก็ท้องผูก

 





เพราะแบบนั้น...ทุกๆวันผมจะกอดน้องเอาไว้ บอกน้องว่าน้องทำได้ที่มากแค่ไหน ชื่นชมในความพยายาม และขอบคุณทุกอย่างที่ทำให้น้องยังอยู่กับผม

 





เรามีนัดกับหมอทุกสัปดาห์ เช็คการติดเชื้อต่างๆ รวมถึงทำการสวนหัวใจ เพื่อตัดกล้ามเนื้อหัวใจไปตรวจการปฎิเสธอวัยวะ ...ผลตรวจออกมาดี และยากดภูมิคุ้มกันเป็นสิ่งที่ต้องอยู่คู่กับน้องไปตลอดชีวิต

 





อาการน้องค่อยๆดีขึ้นตามลำดับ ระยะเวลาหนึ่งปีทำให้น้องกลับมาใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงคนปกติ เหนื่อยน้อยลง และออกกำลังกายเบาๆได้ ...ความสุขค่อยๆคืบคลานเข้ามาหาเรา

 





ความสุขที่ทำให้ผมชะล่าใจ...

 

 





เอื้อม’s



หลังวางสายจากอาหมอผมก็กลับมาคิดฟุ้งซ่าน นอนน้ำตาซึมกอดแม่ทัพไว้แน่นจนพี่มาร์กลับมาจากข้างนอก

 





เห็นสภาพผมร่างสูงก็คิ้วขมวด ก้าวเร็วๆเข้ามาหา แล้วเอามือแตะหน้าผาก

“ร้องไห้ทำไมครับ ปวดหัวหรือไม่สบายตรงไหน”

 





เพราะเพิ่งโดนพี่อ้ายปลอบมาหมาดๆ อาการงอแงและความกลัวก็ยังไม่จากไปไหน เจอพี่มาร์พูดใส่แบบนี้ผมก็ยิ่งร้องไห้หนัก ค่อยๆเล่าให้ฟังทั้งเสียงสะอื้น

 





พี่มาร์กอดผมเอาไว้ “ไม่ต้องกลัวนะ พี่จะไปโรงพยาบาลด้วย” มืออุ่นลูบหางตาอย่างปลอบประโลม

 





“คุณห้ามทิ้งเอื้อมไว้ที่โรงพยาบาลคนเดียวนะ” ผมพูดอู้อี้เสียงขึ้นจมูกกับอกอีกฝ่าย

 





“อืม...ไม่ทิ้ง” อ้อมกอดกระชับแน่นขึ้น

 





“ขอบคุณนะ” ผมพูดเสียงแผ่ว ...ซุกอยู่กับพี่มาร์แบบนั้นจนหลับไป

 





หลับไปนานแค่ไหนผมเองก็ไม่แน่ใจ แต่ตื่นขึ้นมาเพราะสัมผัสนุ่มๆที่แตะลงบนหน้า..

 





เมี้ยววว~

 





หน้าก้อนๆกับตาแป๋วๆ เป็นสิ่งแรกที่ปรากฎออกมาในความเบลอของสายตาหลังตื่นนอน

 





“คุณชื่น?..”







ก้อนอ้วนเดินดุ้กดิ๊กมานอนซบลงบนแขน แล้วยืดเท้าบิดขี้เกียจจนข้างหนึ่งมาวางแปะลงบนหน้าผมแบบงงๆ

 





ไม่ได้ฝันสินะ... ผมลุกขึ้นนั่งขยี้ตาที่รู้สึกได้เลยว่าบวม ยัยอ้วนที่นอนซบแขนร้องประท้วงอย่างไม่พอใจ ลุกขึ้นส่ายก้นอาดๆเดินมานอนต่อบนตัก หลับตาอย่างถูกอกถูกใจเมื่อเกาคางให้

 





แกร่ก! เจ้าของคุณชื่นเปิดประตูเข้ามา ในมือถือแผ่น Cooling Pad

 





“ทำไมคุณชื่นมาอยู่ห้องเอื้อมอะ” ผมถาม มือรับแผ่นคูลลิ่งจากพี่มาร์มาประคบตา

 





“ให้คนมาส่งน่ะ...พามาให้กำลังใจฝาแฝด” พี่มาร์โยกหัวผมเบาๆ

 





ผมยิ้มออกมาได้  “ให้กำลังใจหรือมาหลอกให้เกาคางก็ไม่รู้”

 





พี่มาร์ก้มมองก้อนอ้วนที่เคลื้มจนได้ที่ แกล้งจกพุงแล้วเรียกเสียงดุ “คุณชื่น!”

 





“ง้าวว~” มือปุกปุยยกขึ้นปิดตาแล้วเอียงตัวหนี

 





เราสองคนหัวเราะพร้อมกัน ความตึงเครียดผมผ่อนคลายลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ

 





อ้วนเอ๊ย!

 





“เราอุ่นข้าวไว้ให้ ออกไปกินเถอะ”

 





“คุณกินแล้วเหรอ” ผมถาม

 





พี่มาร์ส่ายหน้า “รอกินพร้อมคุณ”

 





ผมยิ้มกว้างขึ้น “อืม...หิวแล้ว ไปกัน”

.
.
.
.





หลังกินข้าวเสร็จ อาหมอบอกว่างจะส่งรถมารับ แต่ผมปฎิเสธไปเพราะตั้งใจจะไปพร้อมกันกับพี่มาร์

 





“ต้องเตรียมอะไรไปไหม” พี่มาร์ถาม

 





“ไม่ต้องครับ ที่นู่นคงเตรียมไว้ให้พร้อมหมดแล้ว”

 





“อืม” พี่มาร์พยักหน้า แล้วกางแขนออกจากกัน “มานี่มา”

 





“อะไรครับ”

 





“กอดให้กำลังใจ”





‘ทั้งคนป่วยและตัวเขาเอง’



******
ไรท์ทอล์ค : ตอนนี้พี่อ้ายเยอะหน่อยนะคะ
อ่านแล้วหวังว่าทุกคนจะเข้าใจมากขึ้นว่าทำไมพี่อ้ายถึงได้รักน้อง ห่วงน้อง โอ๋น้องขนาดนี้

ออฟไลน์ Foxoxo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 19
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ตอนที่สิบสี่ "ใช่เรื่องที่พี่ชอบเอื้อมหรือเปล่า"




มาถึงโรงพยาบาล ก็มีคนมารอรับอยู่ด้านหน้า แล้วพาเราสองคนขึ้นไปชั้นบนสุด ซึ่งเป็นห้องพักประจำของผมมาตั้งแต่เด็กๆ

 





เข้ามาในห้อง...พยาบาลส่งชุดของโรงพยาบาลให้ แล้วพูดด้วยเสียงเจือรอยยิ้ม “คุณเอื้อมรอสักครู่นะคะ อาจารย์พิธานกำลังมา... ดิฉันจะออกไปเตรียมน้ำมาให้”

 





ผมรับชุดมาแล้วยิ้มตอบ “ขอบคุณครับ”

 





รอจนพยาบาลออกไปผมก็ลุกขึ้นเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำ ส่วนพี่มาร์ก็เดินไปนั่งตรงโซฟาใกล้ๆ

 





“ใส่แล้วรู้สึกคุ้นเคยยิ่งกว่าใส่ชุดนักศึกษาอีก” ผมพูดติดตลก เดินไปใกล้พี่มาร์แล้วแกล้งหมุนตัวไปรอบๆให้อีกฝ่ายดู

 





ก่อนโดนคว้าไว้หลังหมุนไปได้สามรอบถ้วน “อย่าซน”

 





“ฮื่อ...มึนหัวเลย”ผมบ่น

 





พี่มาร์ยื่นมือมาคลึงขมับให้ “ผลลัพธ์ของเด็กซน”

 

 





ผมแยกเขี้ยวใส่ พอดีกับที่เสียงเคาะประตูดังขึ้น..

 





อาหมอเดินเข้ามาพร้อมกับพยาบาลคนเดิมที่ออกไปเอาน้ำมาให้

 





“สวัสดีครับอา” ผมยกมือไหว้

 





คุณอาพยักหน้ารับ มองผมด้วยสายตาเอ็นดู และเผื่อเแผ่สายตาแห่งความสงสัยไปทางพี่มาร์ “หืม...เหมือนอาจะไม่เคยเห็นเพื่อนเราคนนี้นะ”

 





“สวัสดีครับ ผมเป็นรุ่นพี่ของน้อง...ชื่อมาร์ครับ” พี่มาร์ยกมือไหว้คุณอาอีกครั้ง

 





เห็นคุณอายิ้มตอบปกติ แต่แววตามองพี่มาร์อย่างพินิจ ผมก็รีบยิ้มอ้อน “คุณอา...พี่มาร์เป็นคนดีนะครับ”







ประโยคที่ฟังดูไม่ค่อยเข้าท่าหลุดออกจากปาก

 





“หืม...” คุณอายิ้ม มองผมอย่างรู้ทัน แต่เพราะทนลูกอ้อนไม่ไหว เลยถอนหายใจออกมา “เอาเถอะ...อาจะไม่ก้าวก่ายเรื่องนี้  อารู้ว่าเราโตแล้ว”

 





“เป็นห่วงน้องหรือ..ถึงตามมา” ประโยคนี้ท่านถามพี่มาร์

 





“ครับ” พี่มาร์พยักหน้า “เป็นห่วงมาก”

 





“ดีแล้วล่ะ” คุณอาตอบแล้วเดินมานั่งลงตรงข้ามเราสองคน

 





“เอาล่ะมาเข้าเรื่องกัน ...เล่าอาการของเราให้อาฟังหน่อย” คุณอาพูด และผมก็เริ่มเล่าอาการต่างๆของตัวเองในช่วงนี้ให้ท่านฟัง

 





คุณอาใช้สเต็ทโตสโคปฟังเสียงหัวใจ “จากที่เราเล่า อาการนี้มันมาได้จากหลายสาเหตุ อาคงต้องทำการตรวจเพิ่มเติมก่อน ถึงจะบอกอะไรที่แน่ชัดได้”

 





“ครับ” ผมพยักหน้าเข้าใจ

 





“ก่อนอื่นอาจะส่งเราไปตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจกับเอ็กซเรย์ทรวงอก หลังจากนั้นให้เรางดอาหารหกชั่วโมงเตรียมสวนหัวใจ” คุณอาบอก หันไปสั่งงานกับพยาบาล แล้วลุกขึ้นเดินมาลูบหัวผม “ไม่ต้องกังวลนะ เราจะไม่เป็นอะไร...เชื่ออาใช่ไหม”

 





ผมกอดเอวท่านหลวมๆเป็นคำตอบ







“ขอบคุณครับคุณอา”
.
.
.
.

 





คุณอาเดินออกไปแล้ว...

 





ห้องกลับมาเหลือแค่ผมและพี่มาร์อีกครั้ง

 





“เราเป็นคนดีมากเหรอ” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยกระเซ้า

 





“คุณไม่ล้อไม่ได้เหรอ” ผมทำเสียงอ้อน “เอื้อมพูดเพราะกลัวคุณอาดุคุณนะ”

 





พี่มาร์เลิกคิ้ว “อาคุณจะดุเราเรื่องอะไร”

 





“ก็เรื่อง! …” ผมขึ้นเสียงแล้วก็เงียบไปเอง







ต้องตอบว่าไงล่ะ... รู้สึกเหมือนตกลงไปในหลุมกับดักของพี่มาร์อีกแล้ว

 





“ว่าไงครับ..” นิ้วอีกฝ่ายยื่นมาเกลี่ยจมูกผมอย่างหยอกล้อ พอเห็นผมพูดไม่ออกรอยยิ้มมุมปากพี่มาร์ก็ยิ่งกดลึกขึ้น “ใช่เรื่องที่พี่ชอบเอื้อมหรือเปล่า”

 





“ฮื่ออ...เอื้อมไม่รู้” ผมก้มหน้างุด

 





“แน่ใจหรือว่าไม่รู้” น้ำเสียงคนถามแฝงแววรู้ทัน

 





ผมเม้มปากอย่างประหม่า ก่อนตอบพี่มาร์ด้วยเสียงที่แสนจะแผ่ว “ก็รู้นิดนึง”

 





“รู้แล้วคิดเหมือนกันหรือเปล่า” พี่มาร์สบตาอย่างรอคำตอบ

 





ผมปล่อยให้ความเงียบดำเนินไปครู่นึง ก่อนรวบรวมความกล้าแล้วพยักหน้าด้วยหูแดงจัด “ก็... ก็คิด”

 





จบคำเราต่างคนก็พากันหลุดอมยิ้ม และก็เป็นพยาบาลที่เดินเข้ามาช่วยระงับบรรยากาศขัดเขินที่เกิดขึ้น

 





“อาจารย์ให้ดิฉันมาพาคุณเอื้อมไปตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจค่ะ” พยาบาลบอก







“ครับ” ผมพยักหน้ารับ ความกังวลเบาบางเริ่มแทรกซึมเข้ามา ...อาจจะเป็นแบบที่พูดกัน ยิ่งมีความสุขก็ยิ่งกลัวความทุกข์อะไรทำนองนั้น

 





“รบกวนขอเวลาเราห้านาทีได้ไหม” พี่มาร์เป็นคนถามพยาบาล ซึ่งอีกฝ่ายก็ยิ้มรับและบอกว่าจะออกไปรอด้านนอก

 





รอจนประตูปิดพี่มาร์ก็ดึงผมไปนั่งบนตักแล้วกอดไว้หลวมๆ “คุณกลัวเหรอ”

 





“อือ” ผมส่งเสียงตอบในลำคอ “มันเป็นสิ่งที่เอื้อมบังคับไม่ได้อะ”

 





พี่มาร์ไม่พูดอะไร แค่กระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น แล้วล้วงปากกาน้ำเงินโง่ๆด้ามนึงออกมาจากกระเป๋ากางเกง

 





เสียงกดปากกาดังขึ้น สัมผัสลื่นๆชวนจักจี้เริ่มลากช้าๆลงบนฝ่ามือ

 





“ทำอะไร ...ขอเอื้อมดูหน่อย” ผมพยายามหันไปมอง แต่โดนส่งเสียงห้ามไว้

 





...ผ่านไปครู่นึงเมื่อสัมผัสแปลกๆผละออกไป มือซ้ายของผมก็ปรากฎแมวอ้วนหน้ายิ้มกับเด็กผู้ชายหน้าบูดนั่งอยู่ข้างกัน

 





ผมยิ้มขำเมื่อพอจะเดาได้ว่าทั้งสองเป็นใคร

 





“นี่เป็นตัวแทนของเรากับคุณชื่น”







..พี่มาร์วางมือตัวเองลงบนมือผม วาดนิ้วไปตามรูปแล้วค่อยๆอธิบาย “ถ้าคุณกลัวหรือหมอทำคุณเจ็บ เราที่ทำหน้าบูดอยู่ตรงนี้จะช่วยจัดการความเจ็บให้ หรือถ้าคุณอยากกอดใคร ก็ให้มองหน้าคุณชื่น รอจนคุณหายดี..เราจะเอาคุณชื่นตัวจริงมาให้กอด”







สัมผัสอุ่นลูบลงบนแก้ม “แบบนี้โอเคหรือเปล่า”

 





ผมซบลงบนไหล่พี่มาร์แล้วพยักหน้าถี่ๆด้วยรอยยิ้ม

"ขอบคุณนะ ขอบคุณมากๆเลย"





ดีจริงๆที่เมื่อสองปีก่อน ผมเลือกจะเดินตามเสียงคุยประหลาดๆระหว่างคนกับแมวไป..



ต่อค่ะ



.
.
.





ผลจากการตรวจบอกว่า หัวใจผมมีการเต้นในจังหวะที่ผิดปกติ แต่มันก็ยังบอกอะไรไม่ได้ จนกว่าจะทำการตัดกล้ามเนื้อหัวใจออกมาตรวจ ซึ่งการทำแบบนั้นต้องรอไปอีกหกชั่วโมง

 





“คุณอาครับ อย่างนี้เรื่องประกวดในอีกสามวันข้างหน้า...”

 





คุณอาส่ายหน้า “อาคิดว่าเราควรถอนตัว ต่อให้ผลตรวจออกมา แล้วต้องปรับยาแค่เล็กน้อยก็ไม่ควรจะเสี่ยง เพราะช่วงแรกที่ปรับยาไปอายังต้องติดตามอาการเราอย่างใกล้ชิด ซึ่งนี่คือกรณีที่เบาที่สุด”

 





ผมเงียบไปและความไม่สบายใจก่อตัวขึ้นทันที ...เราซ้อมกันมานานมาก และถ้าผมถอนตัวไปมันอาจก่อให้เกิดความวุ่นวายให้ใครหลายคน

 





“มันเป็นไปไม่ได้เลยเหรอครับ...”

 





“อาไม่อยากเสี่ยง และครอบครัวเราคงไม่มีวันยอม”

 





ผมคอตก...คุณอาพูดถูก และผมก็ไม่สามารถทำให้ทุกคนไม่สบายใจเพราะความดื้อรั้นของตัวเอง “ครับ เอื้อมเข้าใจแล้ว” ผมตอบ

 





“งั้นก็พักผ่อนนะ พรุ่งนี้ทุกคนจะมาหาเราแต่เช้า” คุณอาถอนหายใจ “จริงๆถ้าอาไม่ห้ามไว้คงจะทิ้งงานกันมาตั้งแต่วันนี้”

 





“คุณปู่กลับมาจากจีนแล้วเหรอครับ”

 





“อืม ตอนนี้คงอยู่บนเครื่อง”

 





“เหมือนเอื้อมจะทำเรื่องวุ่นวายลงไป”

 





คุณอายิ้มขัน “เรื่องดีเสียอีก ปู่เราตกลงธุรกิจเสร็จก่อนเวลาไปหนึ่งอาทิตย์หลังจากรู้ข่าว”

 





“พักผ่อนเถอะ พยาบาลจะเข้ามาเช็คเราเป็นระยะ” คุณอาดึงผ้าห่มขึ้น ปรับอุณหภูมิของแอร์ให้พอดี แล้วเดินออกจากห้องไป

 





อยู่คนเดียวไม่นาน พี่มาร์ที่ลงไปเอาเสื้อผ้าจากคนที่บ้านก็กลับเข้ามา

 





...ผมพูดถึงเรื่องประกวดให้อีกฝ่ายฟัง และพี่มาร์เห็นด้วยกับคุณอาอย่างมากที่จะไม่ให้ผมประกวด

 





“เอื้อมอยากไปบอกพี่ขวัญด้วยตัวเอง อย่างน้อยๆก็จะได้ขอโทษที่ทำให้เดือดร้อนกันแบบนี้” ผมบอกความตั้งใจของตัวเอง

 





พี่มาร์ทำหน้าไม่เห็นด้วย “โทรไปก็พอ... คุณคงไม่รู้ แต่รูปแบบการซ้อมมันเตรียมไว้ในกรณีแบบนี้อยู่แล้ว เรื่องคนถอนตัวก็ใช่ว่าไม่มีตัวอย่างให้เห็น”

 





“คุณไม่ได้พูดเพราะจะให้เอื้อมสบายใจใช่ไหม” ผมถามเพื่อความแน่ใจ

 





“อืม” พี่มาร์รับคำหนักแน่น

 





ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก การทำให้คนอื่นเดือดร้อนมันเป็นเรื่องที่ผมค่อนข้างเครียด





“งั้นเอื้อมโทรหาพี่ขวัญตอนนี้เลย คุณช่วยหยิบมือถือในกระเป๋าให้หน่อยครับ”

 





พี่มาร์ส่งมือถือมาให้ ผมกดหารายชื่อพี่ขวัญและโทรออก

 





‘น้องเอื้อม ว่าไงลูกก’ พี่ขวัญรับสายด้วยเสียงร่าเริง

 





‘พี่ขวัญยุ่งหรือเปล่าครับ สะดวกคุยไหม’ ผมถาม

 





‘พี่ออกมาเอารายงานจากนับ ก็ไม่มีอะไรสำคัญนะคุยได้”







เห็นพี่ขวัญสะดวก ผมก็บอกเรื่องทั้งหมดแล้วขอโทษอีกฝ่ายอย่างจริงจัง

 



ฝั่งพี่ขวัญเองเมื่อฟังจบก็ตกใจกับอาการของผมอยู่พอสมควร บอกว่าจะพาคนที่กองมาเยี่ยม และให้ผมทำใจให้สบายในเรื่องประกวด เพราะทุกคนได้เตรียมการสำหรับกรณีแบบนี้ไว้แล้วอย่างที่พี่มาร์ว่า





‘ขอบคุณมากนะครับพี่ขวัญ ถึงพี่จะบอกว่าไม่เดือดร้อน แต่ก็คงมีเรื่องต้องจัดการเพราะเอื้อม เอื้อมขอโทษจริงๆ’

 





‘โอ๊ยยย..คนดีของพี่ ไม่ต้องขอโทษเลย เรื่องเจ็บป่วยมันไม่มีอะไรที่เราควบคุมได้ แล้วนี่เราอยู่กับใคร มาร์รู้เรื่องนี้หรือยัง’ พี่ขวัญถาม

 





‘รู้แล้วครับ พี่มาร์ก็อยู่ด้วยกัน’

 





‘อะแฮ่ม.. เอ่อพี่ก็ไม่อยากแซวเพราะเราป่วยอยู่ แต่ก็อย่าไปหลงกลคนผีทะเลมันมากนะ ดึกๆดื่นๆนี่ไว้ใจไม่ค่อยได้หรอก’

 





ผมหัวเราะ เหล่ตามองคนที่กำลังส่งสายตาสงสัยมาให้ ‘ครับ เอื้อมจะระวัง’

 





‘ดีมากค่ะ’ พี่ขวัญพูดอย่างพอใจ ‘งั้นพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้หลังซ้อมเสร็จพี่จะชวนคนที่กองไปเยี่ยมนะ’

 





‘ครับ’ ผมรับคำด้วยรอยยิ้มก่อนกดวางสาย

 





“สบายใจแล้วใช่ไหม” พี่มาร์ถามหลังรับโทรศัพท์ไปวางบนโต๊ะ

 





“อื้ม...โชคดีที่พี่ขวัญไม่โกรธ”

 





พี่มาร์ทำหน้าคล้ายได้ยินเรื่องไร้สาระ “พวกนั้นมันเห่อคุณกันจะตาย ไม่มีทางโกรธคุณหรอก”







อีกด้านหนึ่ง..

 





“มีอะไรหรือเปล่าขวัญ ทำไมดูตกใจแปลกๆ”

 





“เปล่าหรอกนับ ...พอดีน้องเอื้อมโทรมาบอกว่าจะถอนตัวจากการประกวด” คนโดนถามตอบเพื่อน พูดต่อด้วยท่าทางเป็นกังวล







“เรื่องถอนตัวน่ะไม่เท่าไหร่หรอก เราตกใจเพราะอาการป่วยน้องมากกว่า ฟังแล้วก็อดเป็นห่วงไม่ได้”

 







“เหรอ...แบบนี้ก็แย่เลยสิ” คนพูดดูเป็นกังวลไปด้วย แต่แววตาลึกๆกลับแฝงความหมายมาด

 





ตกกลางคืนโพสหนึ่งก็ถูกโพสขึ้นเงียบๆในเพจดังของมหาลัย...

 





‘ข่าวเด็ดจากวงในจ้า ตัวแทนประกวดเดือนที่มาแรงสุดๆในปีนี้ เกิดอาการติสท์แตกถอนตัว ขณะอีกสามวันจะถึงวันประกวด ทำเอาทั้งกองพากันเดือดร้อนสุดๆ แต่ก็น้ำท่วมปากโวยอะไรไม่ได้มาก เพราะข่าวว่าเดือนคนนี้ครอบครัวเค้าใหญ่คับฟ้า คิดว่าใครกันเหรอคะพี่ตา /เอียงคอถาม’

 





Top comment





‘ใครเดาไม่ออกมาปักธงรอกับกูตรงนี้’

 





‘ตัวแทนประกวดที่บ้านไม่ธรรมดาปีนี้ นี่สืบมาเห็นว่ามีแค่ครามกับน้องเอื้อมนะ แต่เพราะบ้านน้องเอื้อมเหมือนจะคับฟ้ากว่า คำตอบสุดท้ายคือน้องเอื้อมค่ะ’

 





‘เห้ย เราชอบน้องมาก ไม่คิดว่าจะทำตัวแบบนี้อะ’

 





‘จริง...แอบผิดหวังอะ นี่เชียร์น้องมาก แต่ก็อย่างว่าแหละ ลูกคุณหนูจะเอาแต่ใจก็ไม่แปลก’

 





‘หน้าตาดีแต่ทำตัวแบบนี้ก็ไม่ไหวปะ ทำคนอื่นเดือดร้อนกันไปหมด’

 





‘ทำพี่มาร์แตกคอกับพี่นับจบก็แยกวงเลยจ้า ทำคนอื่นเดือดร้อนยังไงก็ไม่สน’

 



‘ปักความเห็นนี้ รู้อะไรมาเหลาซิๆ’

 



‘พูดเหมือนวงในมาเองจ้า ปักด้วยคน’

 



‘เห็นอยู่ด้วยกันกับพี่มาร์บ่อยมาก’



คนที่เป็นตัวจุดประเด็นเลื่อนอ่านโพส พร้อมยกยิ้มอย่างพอใจกับผลงานของรุ่นน้องคนสนิทที่เป็นแอดมินเพจ



...ก็ถือว่าคุ้มกับเงินที่เสียไป



******
ไรท์ทอล์ค : ครบแล้วค่ะ 14 ตอน + หนึ่งตอนพิเศษ
ต่อจากนี้เราจะอัพในอัตราปกตินะคะคือเว้น 1-2 วันต่อตอน
อ่านมาถึงตอนนี้แล้วเป็นยังไงกันบ้างคะ ชอบกันหรือเปล่า

ออฟไลน์ ้hahnlp

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :impress3: น่ารักมากๆๆๆ มาต่อเยอะๆนะคะ พี่มาร์กับน้องเอื้อมทำให้เราล๊อคอินมาตอบกันเลยหลังจากสมัครไว้แต่ไม่ได้เข้ามาสักที

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ตามติดเลยค่ะ ชอบมากสนุกดี

ออฟไลน์ พิศตะวัน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-3

ออฟไลน์ supermyrainbow

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 138
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ชอบน้องเอื้อมมาก น่ารัก ติดตามตอนต่อไปค่ะ :really2:

ออฟไลน์ ma-prang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 469
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
ฮือ น้องน่ารักมากเลยค่ะ คนดีของเราาาาาาาา

ใครก็ได้มาจัดการคุณนังนับทีค่ะ แก้เข้าใจผิดด้วย บังอาจมาใส่ร้ายของเราได้ไง
เกลียดดดดดดด

ออฟไลน์ hoihak

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
เธอเป็นอะไรคะ อิคุณนับ อิจฉาอะไรเขา!? เหอะะะะะ /โทษค่ะ อินเกินนน

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
เรื่องโจมตีทางโซเชียลมีเดียนี่เราว่าไม่ค่อยน่าห่วงเท่าไหร่ อีกไม่นานคนอื่นก็รู้ว่าเป็นเพราะอาการป่วยกำเริบ อาจจะมีบางคนที่ดราม่าอีกว่ามีโรคประจำตัวแล้วมาดันทุรังประกวดทำไม แทนที่จะปล่อยให้คนอื่นที่พร้อมกว่าทำหน้าที่ตัวแทนคณะในฐานะเดือนคณะแทน อันนี้ก็ว่ากันไป แล้วแต่ใครจะคิด แต่ที่สงสัยคือจุดประสงค์ของนับนี่ล่ะ ว่าต้องการอะไร จะว่าเพื่อทำให้น้องเสียชื่อเสียง มีคนเกลียด... มันก็เป็นเพราะความไม่รู้แค่เดี๋ยวเดียวไม่ใช่เหรอ ไม่นานกลุ่มผู้เข้าประกวดกับพี่ ๆ สตาฟการประกวดดาวเดือนก็จะไปเยี่ยมน้องอยู่แล้ว แสดงว่าในที่สุดทุกคนก็รู้ แล้วพวกที่มาด่านี่ก็ต้องรู้จนได้ว่าเข้าใจผิด นี่ยังงงว่าตกลงทำไปเพื่อ?
รู้สึกถึงกลิ่นอายตัวร้ายขั้นรุนแรงจากนับเลย ซึ่งเราไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ รู้ว่ามาร์ชอบคนอื่นแล้ว ก็แสดงว่าตัวไม่มีหวัง แล้วจะทำตัวร้ายกาจไปทำไม ถึงคนอื่น ๆ จะไม่ชอบเอื้อมแต่ไม่ได้แสดงว่ามาร์ต้องเลิกชอบน้องไปด้วยนี่ แทนที่จะถอยออกมาแล้วยังเหลือความเป็นเพื่อนกันอยู่ หรือที่จริงนับไม่ได้ชอบมาร์เท่าไหร่หรอก แต่หวงก้าง ไม่ก็ชอบเอาชนะ
หวังว่าจะมีคนเอะใจเรื่องคนปล่อยข่าวนะ รู้ตัวคนไม่หวังดีได้เท่าไหร่ยิ่งดี

ปล. เราว่าคนเขียนเว้นระยะระหว่างบรรทัดมากไปค่ะ ลดลงให้พอดีจะดีกว่านะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด