บทเจ็ด: ผูกมิตร
จื่อฟางกลับเข้ามาพักผ่อนในห้องหนังสือที่แบ่งออกเป็นชั้นนอกและชั้นใน ห้องชั้นในมีเตียงนอนเล็กๆสำหรับพักผ่อนอยู่หลังฉากกั้น ช่วงนี้เขาจึงเลือกมาหมกตัวอยู่ที่นี่ ใช้เวลาอ่านตำราคัมภีร์ทั้งห้าของขงจื้อที่เป็นเนื้อหาในการสอบ อันได้แก่อี้จิงคัมภีร์ว่าด้วยเรื่องโหราศาสตร์ ซ่างซูตำราประวัติศาสตร์ ซือจิงคัมภีร์กวี หลี่จี้คัมภีร์ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมและชุนชิวบันทึกพงศาวดาร คิดดูเถิดว่าเขาทุ่มเทแค่ไหน แต่ใต้เท้าเฉินกลับบ่นเขาไม่หยุด
จื่อฟางยอมรับว่าตนเองอ่านตำราช้า เพราะตัวอักษรที่เขียนเรียงในแนวตั้ง ไม่มีเครื่องหมายวรรคตอนจนเขาไม่รู้ว่าจะแบ่งประโยคตรงไหน ใต้เท้าเฉินยังสั่งให้เขาคัดตัวหนังสือเป็นการท่องจำด้วยอีก ช่วงห้าวันที่ผ่านมา เขาจึงรู้สึกเหนื่อยยิ่งกว่าตอนเรียนในมหาวิทยาลัยด้วยซ้ำ พูดถึงโลกปัจจุบันนี่ก็เป็นเวลาเกือบสองเดือนแล้วที่เขาเข้ามาในโลกนี้ ยังมีจุดหนึ่งที่จื่อฟางข้องใจ ตอนนี้เขากลายเป็นเสิ่นจิ้งเฟย แล้วร่างของเขาจะเป็นอย่างไร หรือแค่นอนหลับไม่มีวันฟื้นอยู่ในห้องเช่าเล็กๆนั่นแต่ป่านนี้พ่อกับแม่ของเขาคงรับรู้แล้วกระมัง
จื่อฟางถอนหายใจระหว่างนั่งลงบนเตียงพลางเพ่งมองฝามือขาวละเอียดที่บัดนี้มีรอยแดงอย่างหงุดหงิดใจ เสิ่นจิ้งเฟยบอบบางเกินไปแล้ว เห็นทีเขาต้องออกกำลังกายบ้าง
“คุณชายเจ้าอยู่ด้านในหรือไม่”เสียงของเสิ่นมู่หยางดังมาจากนอกห้อง
“อยู่ขอรับ”จางต้าตอบ เสิ่นมู่หยางจึงเดินเข้าไปในห้องหนังสือ พบว่าบุตรชายออกมาจากหลังฉากกั้นพอดี
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”เสิ่นมู่หยางเอ่ยถาม จ้องมองมือที่เป็นรอยแดงของเสิ่นจิ้งเฟยก็ถอนหายใจออกมา ใต้เท้าเฉินยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน เมื่อครั้งที่เขาอายุได้สิบขวบก็ถูกตีเช่นกัน ยังจำได้ว่าถูกบิดาหัวเราะใส่ไม่หยุด
“ข้าไม่เป็นอะไรหรอก ท่านพ่อไม่ต้องกังวล”จื่อฟางทำตัวไม่ถูก เสิ่นมู่หยางเลี้ยงดูบุตรชายเช่นนี้เอง เสิ่นจิ้งเฟยถึงได้ไม่รู้จักโตเสียที แค่เป็นแผลเพียงเล็กน้อยก็มาโอ๋แล้ว ครอบครัวของจื่อฟางไม่เคยทำเช่นนี้ ด้วยฐานะทางบ้านที่ไม่ค่อยดี พ่อกับแม่จึงมีปากเสียงกันบ่อยครั้ง ทำงานหามรุ่งหามค่ำทุกวัน เขายังต้องดิ้นรนหาเงินส่งตัวเองเรียนเพื่อแบ่งเบาภาระทางบ้านด้วยการวาดรูปขายในเว็บทำงานพาร์ทไทม์อีกทาง ครอบครัวของเขาจึงไม่ค่อยได้อยู่กันพร้อมหน้ากันนัก เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้วก็อดสะท้อนใจไม่ได้ ในระหว่างที่เขาอยู่ในโลกโบราณมีชีวิตอย่างสุขสบาย พ่อกับแม่ของเขาก็คงลำบากอยู่เช่นเดิม
“เจ้าแน่ใจนะ ไยสีหน้าเจ้าดูไม่ค่อยดี”เสิ่นมู่หยางกวาดตามองบุตรชายตรงหน้าอย่างไม่วางใจ เสิ่นจิ้งเฟยดูเหม่อลอยไม่เป็นตัวเอง หรือคิดจะถอดใจเรื่องเรียนหนังสือแล้ว
“ข้าแค่รู้สึกเหนื่อยเท่านั้น”จื่อฟางยิ้มเพื่อให้เสิ่นมู่หยางสบายใจ
“เฟยเอ๋อร์ เรื่องรับราชการข้าไม่ได้บังคับเจ้า”เสิ่นมู่หยางเอ่ย เขารู้ดีว่าบุตรชายเป็นเช่นไร… ถึงไม่อยากยอมรับแต่หากไม่ใช้เส้นสายเสิ่นจิ้งเฟยคงไม่มีทางสอบเป็นบัณฑิตได้แน่ เมื่อสองปีก่อนเจ้าเด็กนี่เคยไปสอบแต่ก็ไม่ผ่านเพราะมัวแต่เที่ยวเล่นไม่สนการเรียน ผิดกับไป๋ผูอวี้ที่สอบเพียงครั้งเดียวก็สอบได้หลิ่นเชิง ซิ่วไฉอันดับหนึ่งแล้ว จะว่าไปเขาก็รู้สึกเสียดาย เขาเชื่อว่าคนหนุ่มอย่างไป๋ผูอวี้ยังไปได้อีกไกล แต่เจ้าตัวไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับราชสำนักจึงไม่ได้ไปสอบระดับสูงกว่านั้น เสิ่นมู่หยางไม่เคยเข้าใจสกุลไป๋ เหตุใดถึงไม่คิดหาความรุ่งเรื่องก้าวหน้าให้ตนเอง
“ข้าจะพยายาม”ได้ยินบุตรชายตอบด้วยน้ำเสียงแข็งขัน เสิ่นมู่หยางก็อยากพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็เปลี่ยนมาตบบ่าเสิ่นจิ้งเฟยสองสามทีแทน
“เจ้าพักผ่อนเถอะ”เสิ่นมู่หยางหมุนกายออกจากห้อง เดิมทีเขาคิดว่าเสิ่นจิ้งเฟยคงทนเรียนกับใต้เท้าเฉินได้แค่ไม่กี่วันเท่านั้นแต่เขาคิดผิด หรือเสิ่นจิ้งเฟยเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างที่พูดจริง ๆ เขายกยิ้มระหว่างที่เดินข้ามลานบ้านกลับไปยังเรือนของตน เห็นท่าทางตั้งใจของบุตรชายแล้วก็อยากหาทางช่วยเหลือแต่ก็ต้องทำอย่างระมัดระวัง แค่บอกแนวทางข้อสอบของปีนี้คงไม่เป็นอะไรกระมัง ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับว่าบุตรชายว่าจะทำได้หรือไม่
หลังจากที่เสิ่นมู่หยางออกไปจากห้องแล้ว จื่อฟางก็ถอนหายใจ เหลือบมองตำราหลายเล่มที่ต้องอ่านแล้วก็ปวดหัวทันที ตอนนี้เขาอยากวาดภาพมากกว่า นึกถึงคำบรรยายของเสิ่นจิ้งเฟยที่บอกว่าเขามีใบหน้างดงามเหมือนมารดาแล้วก็คันไม้คันมืออยากจับพู่กัน ถึงเขาจะไม่เคยเห็นนางแต่ก็พอนึกภาพออก คงเหมือนเสิ่นจิ้งเฟยในร่างหญิง เขานั่งลงหลังโต๊ะเขียนหนังสือ เรียกจางต้ามาช่วยฝนหมึก ส่วนแม่สีใช้สกัดจากธรรมชาติ
“ข้าน้อยตามอารมณ์คุณชายไม่ทันจริง ๆ”บ่าวรับใช้คนสนิทบ่นพึมพำระหว่างที่ฝนหมึกแท่งสีดำในจานหินไปด้วย จื่อฟางเพียงไหวไหล่ ใช้มือลูบผ้าไหมสำหรับวาดภาพก่อนหลับตานึกถึงใบหน้าสง่างามของเสิ่นจิ้งเฟย เขารู้สัดส่วนใบหน้าของเด็กหนุ่มผู้นี้ดี คิ้วเข้ม ดวงตาดอกท้อเปี่ยมเสน่ห์ จมูกได้รูป ริมฝีปากบางรับกับโครงหน้าเรียว เส้นผมสีดำมันวาว ผิวขาวเนียนละเอียด จื่อฟางยกแขนตวัดพู่กันลงบนผืนผ้าไหมช้าๆด้วยท่วงท่าชำนาญ วาดภาพคงเป็นเรื่องเดียวที่เขาทำได้ดีและสามารถโอ้อวดได้เต็มปาก
จางต้ามองคุณชายวาดภาพเงียบๆ ระยะหลังมานี้เขาคุ้นชินกับการเห็นคุณชายเสิ่นจับพู่กันมากกว่ากู่เจิงแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นคุณชายวาดคน เดิมทีจางต้าคิดว่าคุณชายวาดภาพตัวเอง แต่เมื่อพินิจดีๆใบหน้านั้นมีเค้าโครงอ่อนโยนของหญิงสาว เขาพลันกระจ่างแจ้ง ที่แท้คุณชายของเขากำลังวาดภาพมารดาผู้ล่วงลับ จางต้ายังจำวันที่เสิ่นฮูหยินจากไปได้ชัดเจน จวนสกุลเสิ่นเงียบงันถนัดตา ยามนั้นคุณชายอายุได้เพียงสามขวบ เสิ่นจิ้งเฟยเหมือนก้อนสำลีขาววิ่งร้องไห้โฮมาถามเขาว่าท่านแม่ไปที่ใดแล้ว เสิ่นฮูหยินดีกับเขามาก
จางต้าจึงเอ่ยตอบไปว่านางอยู่บนสวรรค์ ผ่านไปหลายปีเมื่อคุณชายรู้ความก็สั่งลงแส้โบยจางต้าที่พูดปด หลังจากนั้นคุณชายเสิ่นก็ไม่พูดถึงมารดาอีกเลย จนกระทั่งวันเกิดเมื่อปีกลายของคุณชาย จางต้าจำได้ว่าคุณชายยืนเหม่อมองท้องฟ้าท่าทางโดดเดี่ยว ใบหน้าอมทุกข์รำพึงกับเขาว่า
‘หากข้าหน้าตาอัปลักษณ์ ท่านพ่อจะยังทำดีกับข้าอยู่หรือไม่ หากข้าบรรเลงกู่เจิงไม่ได้แล้วข้าจะมีสิ่งใดให้พูดถึงอีก’
จางต้าถอนหายใจเมื่อนึกถึงเรื่องเก่า คิดไปว่าคุณชายของเขาเป็นคนน่าสงสารคนหนึ่ง
จื่อฟางใช้พู่กันแต่งแต้มจนกลายเป็นภาพหญิงงามราวบุปผาที่บานสะพรั่ง ใช้เวลาอยู่หนึ่งชั่วยาม ถึงแล้วเสร็จ จางต้าคิดไม่ถึงว่าคุณชายจะวาดเสิ่นฮูหยินได้เหมือนถึงเพียงนี้
เขาเอ่ยชม “คุณชายฝีมือยอดเยี่ยมจริงๆ”
จื่อฟางยิ้มพอใจ ไม่มีคนชื่นชมผลงานของเขามานานแล้ว เขามองภาพหญิงงามตรงหน้าแต่นางก็เป็นเพียงภาพวาด เขานึกถึงสำนวนที่เคยได้ยินก็คิดเขียนลงไปสักท่อน ระหว่างที่จับพู่กันอยู่นั้นแขนของเขาก็พลันไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาส่งผลให้พู่กันในมือร่วง
“…”จื่อฟางใช้มืออีกข้างบีบนวดแขนเบาๆ สงสัยจะจับพู่กันมากไป เขาหยิบพู่กันมาเขียนอีกครั้งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
จางต้ามองคุณชายเสิ่นอย่างเป็นห่วง “คุณชายพักก่อนดีหรือไม่”เขากลั้นใจเอ่ยออกไป ก่อนหน้านี้เขาเคยเห็นคุณชายมีอาการคล้ายๆกันมาก่อน ตอนนั้นคุณชายกำลังดีดกู่เจิงแต่ก็หยุดเล่นกลางคันเสียอย่างนั้น จะว่าไปเขาก็ไม่ได้เห็นคุณชายบรรเลงกู่เจิงมาหลายเดือนแล้ว จางต้ารู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา
แต่จื่อฟางไม่รับรู้ความคิดเหล่านั้น เขาคัดตัวอักษรจนเสร็จ วางพู่กันลงก่อนพินิจมองผลงานของตนเองด้วยสายตาพอใจ
“เหมือนท่านแม่หรือไม่”เขาหันไปถามจางต้าที่อยู่ด้านข้าง รู้สึกว่าตัวเองวาดสวยเกินจริงไปหน่อย
“เหมือนมากเลยขอรับ”จางต้าเอ่ยตอบด้วยจิตใจไม่อยู่สุข จื่อฟางจับสังเกตโทนเสียงเป็นกังวลของอีกฝ่ายได้จึงขมวดคิ้วมอง
“เจ้าเป็นอะไร”
“…”จางต้าเม้มปาก ไม่กล้าเอ่ยออกมาด้วยเกรงว่าคุณชายจะหงุดหงิดที่เขากังวลเกินเหตุ
“พูดมา”จื่อฟางทำเสียงเข้ม
“ข้าแค่มีความคิดว่าควรตามท่านหมอกู้มาตรวจร่างกายท่านดู...”เขาเอ่ยอยากระมัดระวัง
“ตามทำไม ข้าไม่ได้ป่วย”จื่อฟางรู้สึกรำคาญใจอยู่บ้างที่คนรอบตัวคอยโอ๋จนเกินเหตุแบบนี้ เขาก็แค่นั่งวาดรูปนานจนมือไม้อ่อนเท่านั้นเอง
“ข้าน้อยเพียงเป็นห่วงคุณชาย กลัวท่านจะเหนื่อยล้าเกินไป…”จางต้าอธิบายไม่ถูก จึงอ้อมแอ้มตอบไป จื่อฟางมองบ่าวรับใช้ด้วยสายตาไม่เข้าใจ
“ข้าไม่ได้เป็นอะไรเสียหน่อย”เขาถอนหายใจเบาๆ ก็แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น แถมเวลานี้เสิ่นมู่หยางอยู่ในจวนด้วย ตามหมอมาเกรงว่าจะทำให้แตกตื่นไปเปล่าๆ
“เจ้าว่าท่านพ่อจะชอบหรือไม่”จื่อฟางถามด้วยรอยยิ้มนึกสนุก เขารู้ว่าเสิ่นมู่หยางรักมารดาของเสิ่นจิ้งเฟยมาก สมัยนี้ไม่มีรูปถ่ายหากเสิ่นมู่หยางได้เห็นภาพเหมือนผืนนี้จะทำสีหน้าเช่นไร
“นายท่านจะต้องชอบมากแน่ขอรับ”จางต้าตอบด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นเมื่อรู้ว่าคุณชายตั้งใจวาดภาพมารดาให้นายท่านเสิ่น
“ว่าแต่หยางชวียังไม่มาอีกหรือ”จื่อฟางเอ่ยถามระหว่างที่ยืนยืดเส้นยืดสาย ตั้งแต่เช้าจนตอนนี้ผู้ติดตามก็หายหน้าหายตาไปเลย ปกติหากเขาเรียนกับใต้เท้าเฉินเสร็จหยางชวีจะโผล่มายืนหน้านิ่วคิ้วขมวดใส่เขาเสมอ
“ข้าน้อยว่าเจ้านั่นต้องแอบออกไปเที่ยวเตร่แน่นอน”จางต้าตอบด้วยน้ำเสียงอิจฉาเล็กน้อย ช่วงนี้คุณชายอยู่ในจวนตลอดเขาจึงรู้สึกเบื่ออยู่บ้าง จื่อฟางหัวเราะ หยางชวีน่ะหรือจะออกไปเที่ยวเตร่ ซ้ำยังทิ้งหน้าที่ไปอีก เขาคิดว่าอีกฝ่ายคงมีเรื่องส่วนตัวให้จัดการและคงบอกกล่าวเสิ่นมู่หยางที่เป็นเจ้านายตัวจริงไว้แล้ว
เวลาอาหารเย็นที่โต๊ะอาหารมีเพียงเขาและเสิ่นมู่หยางเท่านั้น ใต้เท้าเฉินทานอาหารทุกมื้อในเรือนรับรองของตน ซึ่งเขาเห็นว่าดีมาก หากมีคนแก่อารมณ์ร้ายมาร่วมโต๊ะด้วยเขาคงไม่เจริญอาหารแน่ จื่อฟางกวาดตามองอาหารบนโต๊ะก็รู้สึกเบื่อ เขานึกถึงอาหารสมัยปัจจุบันแล้วก็น้ำลายสอ เสิ่นมู่หยางเห็นบุตรชายกินน้อยกว่าทุกทีก็เอ่ยถาม
“เจ้าไม่อร่อยหรือ”วันนี้ล้วนมีแต่ของโปรดของเจ้าเด็กนี่ทั้งนั้น
“ข้าแค่ไม่ค่อยหิวเท่านั้น”จื่อฟางรีบตอบ กินอีกสองสามคำก็วางตะเกียบลง รอให้เสิ่นมู่หยางทานเสร็จเร็วๆ หลังมื้ออาหารผ่านพ้นไป จื่อฟางก็ให้จางต้านำม้วนภาพเข้ามา
“ข้ามีของจะให้ท่าน”เขาส่งม้วนภาพให้เสิ่นมู่หยางที่มีสีหน้าประหลาดใจ เจ้าตัวรับไปดูเงียบๆ ในใจสงสัยว่าเสิ่นจิ้งเฟยคิดเล่นอะไรอีก แต่เมื่อเขาคลี่ม้วนภาพ ก็ได้แต่จ้องมองอย่างตกตะลึงและคาดไม่ถึง
“นี่…”เขาจ้องมองภาพวาดตรงหน้าด้วยหัวใจเต้นระรัว หญิงงามในภาพวาดคล้ายกับจ้องมองมาที่เขา เสิ่นมู่หยางกวาดตามองบทกวีท่อนหนึ่งด้วยจิตใจกระเพื่อมไหว
พบหรือไม่พบล้วนไม่สำคัญ ที่สำคัญคือคิดถึงมากเท่าใด
เสิ่นมู่หยางพูดไม่ออกอยู่นาน ‘คิดถึงมากเท่าใด’ ภาพของโหยวหลันพรั่งพรูเข้ามาในห้วงความคิด ทุกท่วงท่ากิริยาเขาล้วนจำได้ดี แต่นางจากไปนานแล้ว
“เจ้าวาดเองหรือ”เขาเงยหน้ามองบุตรชายด้วยความรู้สึกที่ผสมปนเปอยู่ในอก เสิ่นจิ้งเฟยเพียงพยักหน้าเงียบๆ สีหน้าที่อ่านไม่ออกทำให้เขารู้สึกหนักอึ้งอยู่ในอก เจ้าเด็กนี่…รู้ความกว่าแต่ก่อน
“อยู่ๆข้าก็คิดถึงท่านแม่ขึ้นมา”จื่อฟางเอ่ยเรียบ ๆ เมื่อเห็นเสิ่นมู่หยางเหม่อมองภาพวาดในมือ ไม่ว่าจะออกมาแบบไหนเสิ่นมู่หยางจะมีหญิงอื่นจริงหรือไม่ เขาทำใจไว้แล้ว หากเสิ่นมู่หยางมีหญิงอื่นจริง เขาคงทำอะไรไม่ได้ ภรรยาเอกก็จากไปนานแล้ว ชีวิตคนก็ต้องเดินต่อไป ขอแค่…เสิ่นมู่หยางไม่ลืมมารดาของเสิ่นจิ้งเฟยก็พอ
“เจ้าวาดนางออกมาได้คล้ายมาก…”เสิ่นมู่หยางพึมพำเบาๆ สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ม้วนภาพวาด หยางชวีเคยมารายงานเขาแล้วว่าพักนี้เสิ่นจิ้งเฟยชอบวาดภาพเป็นพิเศษ แต่เขาไม่คิดว่าบุตรชายจะมีฝีมือยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้
“ข้าไม่รบกวนท่านแล้ว”จื่อฟางรู้สึกว่าได้เวลากลับ ตอนนี้บิดาของเสิ่นจิ้งเฟยดูไม่เป็นตัวเอง บางทีเขาอาจจะอยากใช้เวลาอยู่คนเดียว เสิ่นมู่หยางมองบุตรชายก่อนตัดสินใจพูดออกมาเสียงหนักแน่น
“เฟยเอ๋อร์...ไม่มีผู้ใดแทนที่มารดาเจ้าได้”
“ท่านหมายถึงตำแหน่งภรรยาเอกน่ะเหรอ”จื่อฟางปากไวเอ่ยกลับไป เสนาบดีเสิ่นเหมือนอยากพูดอีกสองสามประโยคแต่ก็นั่งเงียบ จื่อฟางถอนหายใจก่อนออกมาจากห้องเงียบๆ เดินมาถึงลานบ้านในเรือนของตนก็หยุดยืนมองท้องฟ้ามืดครึ้มเบื้องบน แสงดาวกระจ่างเต็มฟากฟ้า สายลมเอื่อยเฉื่อยพัดต้องใบหน้าบางเบา เขาใจลอยคิดสงสัยว่าเสิ่นจิ้งเฟยตัวจริงคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้
จางต้ายืนมองคุณชายอยู่เงียบๆ ร่างสูงของเสิ่นจิ้งเฟยดูโดดเดี่ยวเหมือนเมื่อคืนวันเกิดเมื่อปีกลายไม่มีผิด เขารู้สึกหมองเศร้าตามผู้เป็นนายไปด้วย คิดอยากเอ่ยปลอบสักคำสองคำ แต่ก็มีสายลมแรงพัดเข้ามาพร้อมกับร่างหนึ่งปรากฏให้เห็น
“คุณชายเสิ่น”เป็นหยางชวีนั่นเอง จื่อฟางหลุดออกมาจากห้วงความคิด หันไปมองเจ้าคนที่หายไปทั้งวัน
“มีเรื่องใด”เขามองมือขาวเนียนของเสิ่นจิ้งเฟยแล้วก็นึกได้ว่าลืมหยิบพัดมาด้วย มิน่าถึงได้รู้สึกมือว่างชอบกล
“ซูเหลียนฮวาฝากสิ่งนี้มาให้ท่าน”หยางชวีส่งกล่องหนังไปให้คุณชายเสิ่นที่มีสีหน้าแปลกประหลาด คิดอยู่ในใจว่าตนเข้ามาถูกเวลาหรือไม่
“อ้อ”จื่อฟางรับมาเงียบๆ กล่องนั้นไม่หนักไม่เบาดูจากลักษณะแล้วของที่อยู่ด้านในน่าจะเป็นพัด เขาเดินเข้าไปในเรือนของตนโดยไม่ถามอะไรอีก ใต้ชายคามีโคมไฟสีแดงแขวนไว้แล้ว สาวใช้พอเห็นเขาก็ตั้งใจจะเข้ามาปรนนิบัติ แต่เขาโบกมือไล่ หยางชวีหันมองจางต้าด้วยสายตาสงสัย วันนี้คุณชายดูจะเงียบผิดปกติ
“คุณชายเป็นอะไรอีก”
“เรื่องของนายท่านใหญ่…เกรงว่าคุณชายจะคิดมาก”จางต้ากระซิบกระซาบกับเขาเสียงเบา หยางชวีพลันเข้าใจ สีหน้ายังคงเดิม เรื่องของเจ้านายเขาไม่อยากยุ่งเกี่ยวแม้ว่าจะรู้สึกเห็นใจคุณชาย เขาได้แต่ถอดถอนหายใจ
จื่อฟางเข้ามาในห้อง ไม่มีอารมณ์ให้ใครเข้ามาปรนนิบัติ จึงใช้เวลาอาบน้ำชำระร่างกายอยู่พักใหญ่ เรื่องเสิ่นมู่หยางเขาไม่ได้เศร้าแค่นึกถึงความรู้สึกที่แท้จริงของเสิ่นจิ้งเฟยเท่านั้น เด็กเอาแต่ใจอย่างเจ้านั่นคงไม่พอใจอยู่แล้วกระมัง หลังจากอาบน้ำจนรู้สึกสดชื่นแล้วเขาก็ออกมานั่งหน้าโต๊ะแต่งตัว มองเงาสะท้อนในคันฉ่อง รอยฟกช้ำบนหน้าจางลงแล้ว ยาของไป๋ผูอวี้ดีจริงๆ พูดถึงไป๋ผูอวี้ ถึงจะบอกว่าใช้กลยุทธอ่อยอะไรนั่น แต่ก็ไม่แน่ว่าจะได้ผล ตัวเขาในยุคปัจจุบันก็ยังไร้คู่มาจนป่านนี้เลย! อา...พูดแล้วก็เจ็บกระดองใจ
จื่อฟางหยิบกล่องหนังที่ซูเหลียนฮวามอบให้มาพินิจดู ของในนี้ปลอดภัยรึไม่ แต่หยางชวีเป็นคนนำมาให้คงไม่มีอันตราย เขาเปิดกล่องดูก็พบว่าเป็นพัดไม้หอมแกะลวดลายอย่างประณีต มีดอกบ๊วยแห้งและจดหมายแนบมาด้วย เขาเปิดจดหมายอ่าน ซูเหลียนฮวาคล้ายคนเขียนหนังสือไม่คล่อง เขาใช้เวลาอยู่พักใหญ่กว่าจะอ่านจบ
‘ถึงคุณชายเสิ่น ขออภัยที่ลายมือของข้าอ่านยาก ที่ข้าเขียนจดหมายถึงคุณชายเป็นเพราะอยากขอบคุณที่ท่านมอบปิ่นหยกให้ข้า ข้าจะเก็บไว้อย่างดี ตัวข้าไม่มีอะไรตอบแทนมีเพียงพัดไม้หอมจากร้านขึ้นชื่อในหลานโจว หวังว่าคุณชายเสิ่นจะถูกใจ …หยางชวีห้ามไม่ให้ข้ามาหาท่าน น่าเสียดายนักที่ไม่สามารถมอบให้คุณชายได้ด้วยตนเอง’
ระหว่างที่อ่านเขาก็ได้แต่นึกสีหน้าของนางไปด้วย ซูเหลียนฮวา….เขารู้สึกว่านางชอบปั่นหัวผู้คนเล่น นางคงเคยได้ยินว่าเสิ่นจิ้งเฟยเป็นพวกชอบสะสมพัดหลายชนิด พัดที่เสิ่นจิ้งเฟยสะสมล้วนแต่เป็นของแพงที่ชาวบ้านธรรมดาคงยากที่จะครอบครอง เสิ่นจิ้งเฟยสะสมไว้หลายหีบ เขาเคยคิดเปิดดูแต่ก็ล้มเลิกความตั้งใจไป จื่อฟางจำได้ว่ามีเสื้อคลุมสีเนื้อเข้าคู่กับพัดไม้หอมอันนี้อยู่ตัวหนึ่ง เขาวางพัดลงในกล่อง ก่อนเข้านอนก็ใช้เวลาอ่านตำราเช่นเคย
~•~
ไป๋ผูอวี้มาเยือนจวนสกุลเสิ่นเป็นครั้งที่สองแต่คราวนี้ต่างจากครั้งก่อน เสนาบดีเสิ่นต้อนรับเขาด้วยท่าทางไม่ค่อยเต็มใจนัก เรื่องที่ใต้เท้าเฉินให้เขามาช่วยแนะแนวทางการสอบให้คุณชายเสิ่นคงทำให้ขุนนางใหญ่ไม่พอใจ เขาไม่แปลกใจเท่าไหร่นัก ผู้ใดยินดีให้บุตรพ่อค้าธรรมดามาสอนหนังสือบุตรชายขุนนางเล่า? แต่เรื่องที่ทำให้ไป๋ผูอวี้นึกฉงนก็คือเสิ่นจิ้งเฟ เขาไม่คิดว่าคุณชายที่แสนไม่เอาไหนจะทนเรียนกับคนอย่างใต้เท้าเฉินได้นาน แต่ดูเหมือนเขาจะมองพลาด
หากเป็นเมื่อสองเดือนก่อนใต้เท้าเฉินมาคุยกับเขาด้วยเรื่องนี้บุรุษหนุ่มคงปฏิเสธไปทันทีโดยไม่เสียเวลาไตร่ตรองใดๆทั้งสิ้น แต่วันนี้คุณชายเสิ่นผู้ไม่เอาไหนเปลี่ยนไปแล้ว ถึงแม้จะดูโง่งมมากกว่าแต่ก่อน แต่ก็เปลี่ยนไปจริง ๆ
“คุณชายไป๋เชิญทางนี้เจ้าค่ะ”สาวใช้เดินนำทางไปยังสวนที่ตกแต่งอย่างสวยงาม ข้ารับใช้ที่ติดตามเขามาวันนี้คือกุ้ยตาน เว่ยหลงยังคงพักรักษาตัว ถึงแม้อาการจะทุเลาลงแล้วแต่เขายังไม่วางใจให้มารับใช้ อีกประการเพราะวันนี้มาที่จวนสกุลเสิ่น
“จวนสกุลเสิ่นใหญ่โตจริงๆ”ไป๋ผูอวี้เอ่ยชม เขาเพิ่งได้มีโอกาสเดินชม ถึงแม้จวนสกุลเสิ่นจะใหญ่แต่ไป๋ผูอวี้กลับสัมผัสได้เพียงความเงียบเหงาเท่านั้น มิน่าเล่าเสิ่นจิ้งเฟยถึงอยู่ไม่ติดจวน กุ้ยตานเดินตามเขามาอย่างสงบเสงี่ยม บ่าวคนนี้ไม่ค่อยพูดจานัก แต่ทำงานฉับไว เขาเรียกใช้บ่อย กุ้ยตานรู้ใจเขาพอสมควร สาวใช้นำทางมาถึงศาลาขนาดใหญ่ มีต้นหลิวให้ร่มเงา ใกล้กันมีสระน้ำเล็กๆน้ำสีใสจนมองเห็นฝูงปลาแหวกว่าย ไป๋ผูอวี้ชอบบรรยากาศเช่นนี้ เขาจึงอารมณ์ดีผิดกับคนที่อยู่ในศาลา
ใต้เท้าเฉินกำลัง‘สั่งสอน’เสิ่นจิ้งเฟยเสียงดังอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือตัวเตี้ย เสิ่นจิ้งเฟยมีสีหน้าอ่อนเพลียคล้ายไม่ได้ฟังสิ่งที่ใต้เท้าเฉินพูด แต่เมื่อคุณชายเสิ่นมองเห็นเขาก็ส่งยิ้มหวานมาให้ ไป๋ผูอวี้ชะงักเล็กน้อย คุณชายเสิ่นทำตัวประหลาดอีกแล้ว ที่จวนสกุลไป๋ก็ทีหนึ่ง แม้จะสงสัยแต่ใบหน้าของเขาก็ยังไม่ปรากฏอารมณ์เช่นเดิม
“เจ้ามาแล้ว”ใต้เท้าเฉินมีใบหน้าแดงก่ำคล้ายกำลังโมโห
“ใต้เท้าเฉิน เสียงของท่านดังนัก ข้าคงไม่ต้องห่วงสุขภาพของท่านแล้วกระมัง”ไป๋ผูอวี้เอ่ยหยอกล้อ เฉินฉางเซียงได้ยินก็หัวเราะฮ่าๆ
“เจ้าก็พูดไป เจ้าเด็กแซ่เสิ่นมีแต่ทำให้ข้าอายุสั้นกว่าเดิม”ใต้เท้าเฉินถอนหายใจ ปรายตามองเสิ่นจิ้งเฟยที่ทำหน้าอ่อนระโหยโรยแรง หึ เจ้าเด็กนี่ปั่นประสาทเขาได้ดีนัก หน้าตาก็เหมือนคนนอนน้อย ไม่รู้ว่าเอาเวลาก่อนนอนไปใช้ทำอะไร ความรู้ไม่กระเตื้องเลยสักนิด
“ท่านกล่าวเกินจริงไปแล้ว ข้าแย่ถึงเพียงนั้นเลยหรือ”จื่อฟางเอ่ยแสร้งตีหน้าเศร้าหมอง เสิ่นจิ้งเฟยเวลาทำหน้าแบบนี้ดูแล้วน่าเวทนาเห็นใจมาก เขากลั้นอาการหาวนอนอย่างสุดความสามารถ เมื่อคืนหลังจากที่อ่านตำราเรียน เขาบังเอิญค้นเจอนิยายรักอีโรติกที่เสิ่นจิ้งเฟยเอาซ่อนไว้ในตู้ลิ้นชักได้พอดี แต่เพราะอ่านช้าจื่อฟางจึงใช้เวลาอ่านเสียเกือบค่อนคืน
“เจ้าสอนเขาไปเดี๋ยวก็รู้”ใต้เท้าเฉินกล่าวกับไป๋ผูอวี้ เขาจัดเวลาเรียนให้จื่อฟางไม่มากไม่น้อยเกินไป เรียนกับใต้เท้าเฉินสามวัน เรียนกับไป๋ผูอวี้สองวัน ส่วนอีกสองวันคือวันพักผ่อนของเขา จื่อฟางเห็นอีกฝ่ายมองมาที่ตนก็ฉีกยิ้มให้อีกครั้ง แต่ท่อนไม้ก็คือท่อนไม้ เขาจึงมองไปที่ข้ารับใช้ที่ติดตามไป๋ผูอวี้แทนพบว่าคือกุ้ยตาน บ่าวที่เขาเคยเห็นหน้ามาก่อน
จื่อฟางรอให้ใต้เท้าเฉินออกไปก่อน เมื่อได้จังหวะจึงเอ่ยถาม “เว่ยหลงยังไม่หายดีหรือ”
“เขาดีขึ้นแล้ว แต่ข้ายังอยากให้เขาพัก”ไป๋ผูอวี้ตอบ ยกชายชุดคลุมยาวนั่งลงข้างๆเขา ชายหนุ่มยังคงมีกลิ่นชาอ่อนๆติดมา เขาสวมชุดสีเทาเรียบง่ายเช่นเคย จื่อฟางหันไปสั่งจางต้าให้นำน้ำชาร้อนๆและของว่างมาใหม่ เพราะเขากินขนมไปหมดแล้ว
“อ้อ…ข้าควรไปเยี่ยมเขาสักครั้ง”เขาเองก็เหมือนเป็นต้นเหตุจึงรู้สึกไม่ค่อยดี แม้ว่าเว่ยหลงจะเหม็นขี้หน้าเขามากกว่าเดิมก็ตาม
“ท่านไม่ต้องเป็นห่วงหรอก อีกอย่างเขาคงไม่ชอบ”ไป๋ผูอวี้ตอบตามตรง จนจื่อฟางอ้าปากอยากจะพูดแต่ก็นึกไม่ออก เจ้านี่พูดอ้อมๆบ้างก็ได้เถอะ! เขาจึงได้แต่ทำหน้ายับย่น ไม่นานนักจางต้าก็นำชากับของว่างมาวางที่โต๊ะอีกตัว จื่อฟางรินน้ำชาให้ผู้มาเยือน แค่ได้กลิ่นชาก็เอียนแทบแย่แล้ว เขาอยากดื่มน้ำอัดลมเหลือเกิน
“ท่านเคยเรียนที่สำนักมาก่อน….”ไป๋ผูอวี้เกริ่น
“ข้าลืมไปหมดแล้ว”จื่อฟางเอ่ยขัด อย่างน้อยๆจะได้ไม่ต้องถูกซักถามจนตอบไม่ได้ ไป๋ผูอวี้ร้องอืมคำหนึ่ง
“ข้าอยากทราบว่าท่านเรียนสิ่งใดมาบ้าง”บุรุษหนุ่มถาม ด้านนอกมีข่าวลือว่าคุณชายเสิ่นไม่เอาไหน แต่เขาไม่คิดเช่นนั้น เขามีฝีมือดีดกู่เจิงเป็นเลิศ แม้ว่าไป๋ผูอวี้จะไม่เคยได้สดับฟัง
‘เรียนสิ่งใดมาบ้างน่ะหรือ แล้วท่านจะแปลกใจเชียวล่ะ!’จางต้านั่งฝนหมึกให้คุณชายเสิ่นลอบถอนหายใจเบาๆ
“ก็เรื่องทั่วๆไป”จื่อฟางตอบสั้นๆ “แต่ที่เจ้ายอมมาสอนข้า ทำเอาข้าแปลกใจจริงๆ”เขาเปลี่ยนเรื่อง จงใจใช้คำว่าเจ้าเพื่อความสนิทสนม ไป๋ผูอวี้ขมวดคิ้วน้อย ๆให้กับคำเรียกขานที่เปลี่ยนไป
“ข้าแค่มาช่วยชี้แนะเท่านั้น”
“แต่ข้าก็ปลื้มใจมาก”จื่อฟางเอ่ยหยั่งเชิง จากหางตามองเห็นจางต้าทำหน้าพิกลๆแต่ไป๋ผูอวี้ยังคงทำหน้าตายเช่นเคย
“ปลื้มใจ? เช่นนั้นท่านควรตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ให้สมกับที่พ่อท่านคาดหวัง”ชายหนุ่มถือโอกาสสั่งสอน เห็นเสิ่นจิ้งเฟยพยักหน้า แต่มิรู้ว่าเข้าใจสิ่งที่เขาพูดหรือไม่
“เหตุใดท่านถึงอยากเรียนขึ้นมา…”ไป๋ผูอวี้ถามสิ่งที่สงสัย ไม่น่าแปลกหรือที่เสิ่นจิ้งเฟยขยันอยากเรียน
“ต้องมีเหตุผลด้วยมากมายด้วยรึ ข้าแค่อยากหาความรู้ใส่ตัวเท่านั้น”คำตอบนี้จื่อฟางคิดไว้แล้วจึงกล่าวอย่างลื่นไหล
“สอบระดับอำเภอไม่ยากแต่ก็ไม่ง่าย ข้าแค่อยากให้ท่านตั้งใจ อย่าเห็นเป็นเรื่องล้อเล่น”