ตอนที่ 10 : หวั่นไหว (จอมทัพ&ซอล)
-ซอล-
“ว่าไง! จะเอายังไงก็ว่ามา” “รอประกันสักครู่ครับ ผมโทรตามแล้ว”
“ประกันชั้นสามจะซ่อมได้แค่ไหนวะ” เสียงโหวกเหวกโวยวายเอาเรื่อง พูดไม่หยุดจนผมปวดหัว ได้แต่มองกระป๋องสีด้วยความสงสาร เจ็บมากหรือเปล่าก็ไม่รู้
ผมขับตามหลังรถกระบะ ทิ้งระยะห่างพอสมควรแต่อาจน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนด รถคันหน้าขับมาด้วยความเร็วสม่ำเสมอ แต่จู่ๆ ก็ลดความเร็วกะทันหันเหมือนต้องการเลี้ยวซ้าย ผมเบรกแล้วแต่ไม่ทันจึงชนเข้ากับท้ายรถ โชคดีที่ไม่มีใครบาดเจ็บ
“จะจ่ายค่าทำขวัญเท่าไหร่ ค่าหมอด้วย ช้ำในตายขึ้นมาจะทำยังไง ”
“ถ้ายังไงไปโรงพยาบาลก่อนไหมครับ ไปตรวจก่อน”
“คิดจะหนีเหรอ ไม่ได้ห้ามไปไหนทั้งนั้น!” ผมถอนใจออกมาเบาๆ ผมพูดเพราะความเป็นห่วงไมได้คิดเป็นอื่นเลย
“สามหมื่นจ่ายมา”
“ครับ!”
“ค่าทำขวัญสามหมื่น”
“เรื่องค่าใช้จ่ายรอประกันมาก่อนค่อยตกลงกัน ผมไม่หนีไปไหนอยู่แล้วครับ
“ไม่ได้ ฉันจะรีบไป คนค้าขาย ไม่เรียกค่าเสียเวลาด้วยก็บุญหัวแล้ว”
“ผมไม่มีหรอกครับสามหมื่น”
“อะไรวะ คิดจะไม่จ่ายเหรอ” คนขับเป็นผู้ชายท่าทางเลือดร้อนตะคอกผมเสียงดัง คนที่อยู่แถวนั้นยืนมองแต่ไม่มีใครอยากเข้ามายุ่ง
“ผมขอโทรศัพท์สักครู่ครับ” ผมกดโทรศัพท์หาผ้าใบสามครั้งติดกัน จนมั่นใจว่าเพื่อนไม่รับสายแน่ จึงโทรหาพี่ม่อนเป็นคนต่อไป พี่ม่อนรับสายแต่ยังอยู่ที่บ้าน ซึ่งห่างจากจุดที่ผมอยู่มาก สายตาผมไล่ไปตามรายชื่อก่อนจะสะดุดเข้ากับชื่อๆ หนึ่ง สมองผมคิดกลับไปกลับมา อย่าดีกว่าผมไม่ควรรบกวน
“ว่ายังไง จะเอายังไง” เสียงคุกคามและการสาวเท้าเข้าหา ทำให้มือของผมกดเบอร์โทรออกทันที
“ฮัลโหล” เสียงปลายสายตอบรับ
“ไม่จ่ายมึงโดนแน่!” ผมเดินห่างออกมาสองสามก้าว ไม่กล้าเดินไปไกลมากกลัวอีกฝ่ายคิดว่าหนี
“ซอล”
“ซอล!อยู่ไหม”
“อยู่ครับ พี่จอมทัพอยู่มหาลัยหรือเปล่าครับ”
“อยู่”
“เรียนอยู่หรือครับ” ผมได้ยินเสียงเหมือนอาจารย์กำลังพูดดังแทรกเข้ามา จึงลังเลใจว่าจะขอความช่วยเหลือดีไหม
“เกิดอะไรขึ้นซอล เมื่อกี้พี่ได้ยินเสียงผู้ชาย”
“กระป๋องสีชนท้ายรถคันหน้าครับ ผมเบรกไม่ทัน กำลังรอประกัน แต่..”
“อยู่ตรงไหนบอกพี่มา พี่กำลังออกไป” ผมยังพูดไม่จบ ปลายสายก็แทรกขึ้นก่อน
“ไม่ไกลครับ ตรงสามแยกหน้าร้านโพธิ์แดงครับ แถว...”
“พี่รู้จัก รออยู่ตรงนั้น”
“ครับ ขอบคุณครับ”
“ซอล”“พี่จอมทัพ” ผมมองคนที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาด้วยความดีใจปนโล่งอก เวลาผ่านไปไม่ถึงสิบห้านาทีแต่เหมือนนานแสนนานสำหรับผม ยิ่งไม่เห็นแม้แต่เงาของประกันผมยิ่งใจไม่ดี
“ประกันยังไม่มาเลยครับ” ผมรีบบอก
“ถ้าอย่างนั้นก็รอ พี่รอเป็นเพื่อนเอง”
“ครับ”
“มาก็ดี จ่ายๆ มาจะได้จบ” เสียงกระโชกโฮกฮากดังขึ้น หลังจากวนเวียนมากดดันผมเป็นระยะ พี่จอมทัพหันไปมองด้วยสายตาดุดัน
“ถ้าน้องผมผิดเราจ่ายแน่ แต่คุณต้องรอประกัน”
“ถ่วงเวลาเหรอวะ ถ้าไม่รับผิดชอบสวยแน่ แล้วไอ้ประกันเหี้ยพวกนี้มันจะยอมจ่ายอะไร”
“ถ้าคุณคิดว่าประกันไม่ยุติธรรม งั้นคุณก็เรียกตำรวจมาช่วยดู จะโทรแจ้งเองหรือจะให้ผมแจ้ง”
“ขู่เหรอวะ กูถูกชนท้ายยังไงกูก็ถูก”
“แต่ที่คุณคุกคามและข่มขู่น้องผมผิดแน่ จะรอประกันดีๆ หรือจะให้ต่างคนต่างแจ้งความ”
ผมมองแผ่นหลังกว้าง รู้สึกปลอดภัย ความกลัวและความกังวลค่อยๆ หายไป ผมสะดุ้งเมื่อโทรศัพท์ในมือดังขึ้น ผมรีบยกขึ้นดูถึงเห็นว่าผ้าใบโทรมา
“เดี๋ยวเราโทรกลับ” ผมพูดสั้นๆ ก่อนวางสาย โชคดีที่ประกันมาถึงพอดี ถึงอย่างนั้นก็ยังเสียเวลาอยู่นานกว่าจะจบเรื่อง เพราะฝ่ายนั้นไม่ยอมท่าเดียว จะเรียกร้องค่าเสียหายเกินจริงให้ได้ ดีที่พวกผมไม่ต้องต่อรองเอง
ผมพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ เมื่อทุกอย่างจบลง รถกระบะกระชากตัวออกไปอย่างรวดเร็ว เห็นวิธีขับรถแล้วผมไม่สงสัยเลยว่าทำไมถึงเบรกกระทันหัน
“ซอล” มือใหญ่วางลงบนบ่าผม ผมเงยหน้าขึ้นยิ้มให้เนือยๆ
“ขอบคุณมากครับ”
“ไม่เป็นไร เราเจ็บหรือเปล่า”
“ไม่ครับ”
“แน่ใจนะ”
“ครับ แต่กระป๋องสี..” ผมหันไปมองกระป๋องสีแล้วอยากร้องไห้
“อย่าทำหน้าแบบนั้น ส่งไปซ่อมเดี๋ยวกระป๋องสีก็เหมือนใหม่”
“ของผมประกันชั้นสามเขาไม่ซ่อมรถให้ครับ ผมไม่แน่ใจว่าเดือนนี้จะมีเงินพอจ่ายหรือเปล่า” ผมพูดด้วยความกังวล เดือนนี้ผมเหลือเงินน้อยมาก หลังจากจ่ายค่าแบตเตอรี่กับค่าเหล้าไปแล้ว แค่บริหารให้พอใช้จ่ายถึงสิ้นเดือนยังลำบาก
“ไม่มีปัญหา เดี๋ยวขับไปที่อู่ของบ้านพี่”
“ไม่เอาครับ” ผมรีบปฏิเสธ “ผมไม่ได้พูดเพื่อให้พี่จอมทัพจัดการให้นะครับ เมื่อกี้ผมแค่อธิบาย”
“พี่รู้”
“เดี๋ยวผมพากระป๋องสีไปจอดที่หอก่อน เอาไว้ผมมีเงินแล้วค่อยจัดการ”
“เอางั้นก็ได้” ผมโล่งอกที่อีกคนยอมง่ายๆ “รถยังพอขับได้เดี๋ยวพี่ขับให้”
“ไม่เป็นไรครับ ผมขับเองได้ พี่จอมทัพกลับไปเรียนเถอะครับ แค่นี้ผมก็เกรงใจจะแย่แล้ว” พี่จอมทัพมองหน้าซีดๆ ของผมนิ่ง เหมือนต้องการดูให้แน่ใจว่าไหวจริงไหม
“พี่ขับเอง เราขับไม่ไหวแน่ ไปเถอะ” มือใหญ่ยื่นมาแตะที่ข้อศอก พาผมเดินไปขึ้นรถฝั่งข้างคนขับ โน้มตัวเข้ามาคาดเข็มขัดให้ก่อนปิดประตู ผมมองตามร่างสูงที่เดินอ้อมไปขึ้นรถ สงสัยว่าทำไมถึงใจดีกับผมขนาดนี้
“เลี้ยวซ้ายข้างหน้าครับ” ผมชี้มือให้ดู แต่รถกลับตรงไปเรื่อยๆ ผมหันไปมองตาโต
“พี่จอมทัพเลยแล้วครับ”
“พากระป๋องสีไปเสริมสวยกัน”
“อะไรนะครับ!”
“กระป๋องสีต้องไม่ชอบใจแน่ที่หน้าเป็นแผล พี่จะพากระป๋องสีไปเสริมสวย” ผมเผลอยิ้มเมื่อได้ยินคำพูดน่ารักของอีกฝ่าย
“กระป๋องสีรอผมได้ครับ”
“ซอลรู้ได้ยังไง ผู้หญิงรักความสวยความงาม”
“แต่กระป๋องสีเป็นผู้ชายนะครับ” ผมหัวเราะออกมาเบาๆ พี่จอมทัพทำหน้าเหรอหราก่อนจะหันมายิ้มให้ผม
“พี่หน้าแตกอยู่ใช่ไหม”
“ฮ่าๆ ไม่หรอกครับ” น่ารักและอบอุ่นมากต่างหาก ผมได้แต่คิด ใครจะกล้าพูดออกไป
“ไม่เป็นไร ผ้าใบไม่ต้องเป็นห่วง....ได้ แล้วเจอกัน” ผมโทรหาผ้าใบเพื่อเล่าเหตุการณ์ให้เพื่อนฟัง ผ้าใบขอโทษขอโพยผมใหญ่ บอกว่าขี่มอเตอร์ไซด์อยู่จึงไม่รู้ว่ามีสายเข้า เห็นอีกทีก็ผ่านไปนานแล้ว
“เรียบร้อยแล้ว นี่ใบนัดรับรถ” พี่จอมทัพยื่นเอกสารให้ผม แต่พอผมจะเอื้อมมือไปรับกลับดึงหนี
“อ้าว!” ผมทำหน้างง มือยื่นค้าง
“พี่ให้ดูเฉยๆ เดี๋ยววันรับมาด้วยกัน”
“ให้ผมมาเองก็ได้ครับ”
“ไม่” คำเดียวจริงๆ ผมได้แต่มองตาปริบๆ
“กลับกันเถอะ เดี๋ยวคนที่ร้านจะขับไปส่งที่มหาลัย” ผมมัวแต่ตกใจจนลืมคิดถึงเรื่องนี้ไปเลย
“พี่จอมทัพมายังไงเหรอครับ”
“นั่งมอเตอร์ไซด์มา พี่กลัวช้าถ้าไปเอารถ”
“ผมทำให้ลำบากเลย เราไม่ได้สนิทกันมากมายแต่ผมยังกล้าโทรไปรบกวน” ผมรู้สึกผิดที่ทำให้อีกฝ่ายยุ่งยาก
“ดีแล้วที่ซอลโทรหาพี่ อย่าคิดมาก”
“แต่.”
“ยิ้มหน่อย”
“ครับ?”
“พี่บอกว่ายิ้มหน่อย” ผมไม่ได้ยิ้มตามที่บอกแต่ยิ้มตามรอยยิ้มของอีกฝ่าย
“ดีมาก” ผมลอบมองใบหน้าคมสันของพี่จอมทัพ จู่ๆ หัวใจก็เต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ ผมตกใจตัวเองจนเผลอทำตาโต
“ทำไมทำหน้าอย่างนั้น ตกใจอะไร” พี่จอมทัพหัวเราะเมื่อเห็นสีหน้าของผม
“เปล่าครับ เปล่า” ผมรีบก้มหน้าหนี ใจยิ่งเต้นแรงเข้าไปใหญ่ เมื่อกี้ผมคิดอะไรอยู่ บ้าไปแล้วซอล
เจ็บ! ผมยกมือแตะอก จู่ๆ ก็รู้สึกเจ็บขึ้นมา
“เป็นอะไรหรือเปล่า” สายตาที่มองมาเป็นห่วงเมื่อเห็นอาการของผม
“ไม่เป็นอะไรครับ ผมคงยืนผิดท่า” ผมยืดตัวขึ้นให้หลังตรง
“พี่ว่าไปโรงพยาบาลให้หมอเช็คดูหน่อยเถอะ”
“แต่ผมว่าไม่เป็นอะไรครับ”
“ซอล” ผมไม่เคยโดนน้ำเสียงดุแบบนี้มาก่อน ไม่ใช่ดุแค่เสียง หน้าที่เคยยิ้มเสมอก็ดุด้วย
“ก็ได้ครับ” คนใจดีพอดุขึ้นมาก็เล่นเอาผมหงอ ได้แต่เดินตามไปต้อยๆ
ผมทำหน้าจ๋อยเมื่อถูกหันมามอง ไม่ได้เปิดเสื้อตัวเองดูนี่จะรู้ได้ยังไงว่ามันช้ำ ผมเถียงเบาๆ อยู่ในใจ หมอบอกว่าน่าจะมาจากกากระชากของเข็มขัดนิรภัย โชคดีที่ไม่หักหรือแตก ซึ่งผมคิดว่าเป็นไปได้สูง ตอนกระป๋องสีชน ผมรู้สึกเหมือนถูกเหวี่ยงและกระชากกลับอย่างแรง
“ดื้อ” จู่ๆ ร่างสูงก็หันมาดุผม ให้มาก็มา ดื้อตรงไหน
“ผมไม่ได้ดื้อนะครับ” ผมประท้วงเสียงเบา
“งั้นทำไมถึงไม่บอกพี่ว่าเจ็บ”
“ก็ผมไม่รู้สึกเจ็บนี่ครับ อาจจะชาหรือมัวตกใจ กลัวคนนั้นด้วย” ผมทำหน้าหงอย สีหน้าดุๆ อ่อนลงทันที
“เดี๋ยวพี่ไปส่งที่หอ”
“ผมต้องไปร้องเพลง”
“จะไปได้ยังไง เราไม่สบาย”
“ผมเป็นนักร้องนำ ในวงไม่มีคนร้องแทนได้ ถ้าผมไม่ไปจะลำบากกัน”
“หาวงอื่นมาเล่นแทนชั่วคราวไม่ได้เหรอ เกิดไม่สบาย มีธุระจำเป็นจะทำยังไง”
“ถ้ามีธุระก็หาวงมาช่วยเล่นแทนให้ได้ครับ แต่นี่มันเหลือไม่ถึงครึ่งวัน ไม่น่าจะหาทัน”
“เดี๋ยวพี่คุยกับผ้าใบเอง ยังไงเราก็ต้องพัก”
“แต่..”
“ซอล!”
“ผมลองคุยดูก็ได้ครับ ถ้าหาไม่ได้ยังไงผมนอนพักเอาแรงสักหน่อย กินยาแล้วคงไหว อย่างน้อยก็ร้องวันนี้ก่อน พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน”
“โทรตอนนี้เลย”
“ครับๆ” ผมต้องโทรหาผ้าใบทันท เพราะรู้ว่าคงอิดออดอีกไม่ได้
“เดี๋ยวสิครับ!” โทรศัพท์ในมือถูกแย่งเมื่อผ้าใบรับสาย ผมได้แต่ยืนฟังคนตัวสูงคุยราวกับเป็นเรื่องของตัวเอง ตัดสินใจแทนผมเสร็จสรรพ สุดท้ายผมต้องหยุดงานโดยไม่ได้พูดอะไรกับเขาสักคำ
ผมอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนตัวเก่า ก่อนล้มตัวลงนอน ฤทธิ์ยาทำให้เริ่มง่วง นึกขอบคุณที่ถูกบังคับให้กลับห้อง ไม่อย่างนั้นป่านนี้ผมคงนั่งคอพับคออ่อนเจ็บหน้าอกอยู่ที่ไหนสักแห่ง
เสียงเคาะประตูห้องดังเบาๆ ผมคิดว่าเป็นผ้าใบ เพราะบอกไว้ว่าจะแวะมาดูผม แต่คนที่ยืนอยู่นอกประตูกลับเป็นร่างสูงที่เพิ่งมาส่งผมที่หน้าหอเมื่อครู่
“พี่จอมทัพ”
“นอนแล้วเหรอ” ผมรีบก้มดูชุดนอนตัวเอง หน้าขึ้นสีแดงเรื่องด้วยความอาย เสื้อนอนผมเก่าจนบางจุดขาดเป็นรู กางเกงย้วย แต่เพราะคิดว่าเป็นผ้าใบจึงไม่ระวัง
“พี่เอาของกินมาให้ เผื่อเราลงไปไม่ไหว”
“ขอบคุณมากครับ” ผมยกมือไหว้
“มีอะไรก็โทรหาได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ เข้าใจไหม”
“ครับ” ผมครับไว้ก่อน โทรไม่โทรก็อีกเรื่อง รู้แล้วว่าคนๆ นี้เถียงไปก็เท่านั้น “พี่จอมทัพรู้ได้ยังไงครับว่าผมอยู่ห้องนี้”
“ถามคุณป้าที่อยู่ข้างล่าง”
“อ๋อ” ผมเดาว่าเป็นเจ้าของหอ ทำไมถึงยอมบอกง่ายๆ แต่อย่างว่าท่าทางดูดีแบบนี้ไม่เหมือนโจรสักนิด
“พักผ่อนเยอะๆ อย่าลืมกินยา” น้ำเสียงที่อ่อนลงมาพร้อมกับมือที่วางลงบนศีรษะ หัวใจผมรู้สึกอุ่น พอๆ กับหน้าที่ร้อนขึ้น
“ครับ”
“ไม่ได้โกรธผ้าใบใช่ไหม”
“โกรธผ้าใบ? โกรธทำไมครับ” ผมงงที่เรื่องนี้ถูกถามขึ้นแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
“เห็นเราทำหน้าคิดมาก พี่ว่าผ้าใบคงไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์จริงๆ อย่างที่บอก ไม่ใช่ว่าเราไม่สำคัญ แฟนไม่ว่างไม่เห็นเป็นไรพี่ชายดูแลแทนได้”
“ผมไม่ใช่แฟนผ้าใบ!”
“อ้าวไม่ใช่เหรอ”
“ไม่ใช่ครับ”
“อ้าวโทษที เห็นเราหงอยๆ พี่นึกว่าโกรธแฟน พี่ไปล่ะเราจะได้พัก” มือใหญ่ตบลงบนบ่าผม ก่อนซุกมือลงในกระเป๋า หมุนตัวเดินจากไป
ผมได้แต่มองตามแผ่นหลังกว้าง ผมไม่ได้คิดมากเรื่องคนอื่นเลยเรื่องเดียวที่คิดคือ ทำไมพี่ถึงดีกับผมแบบนี้ครับ แต่ตอนนี้ผมได้คำตอบแล้ว “พี่ชาย”
✪✣✤✥✦TBC✤✥✦✧✪
.
Darin ♥ FANPAGE Twitter :
primdarin