ตอนที่ 12 : เดินไปเถอะ พี่จะเดินข้างหลังเอง
-ผ้าใบ-
“ฮัลโหล” ผมซุกหน้าเข้ากับผ้าห่ม คว้าโทรศัพท์ขึ้นมารับโดยไม่ได้มองหมายเลขที่แสดงขึ้นมา
“ตื่นได้แล้ว” ผมลืมตาขึ้นทันที ลดโทรศัพท์ลงดูชื่อ กูว่าแล้ว
“ไม่มีอะไรทำหรือไง”
“อารมณ์กลับมาเป็นปกติแล้วสิ ลุกได้แล้ว เร็ว”
“วันนี้ผมไม่มีเรียน” ผมบอกเสียงห้วน จะทำเหมือนเกลียดกันแบบเมื่อก่อนก็ทำไม่ลง มันเลยจุดนั้นมาแล้ว
“นัดม่อนไว้ไม่ใช่เหรอ”
“บ่ายโน้น” ผมตอบไปแล้วถึงเอะใจ “รู้ได้ยังไง”
“อยากรู้ก็ออกมา พี่รออยู่ที่ห้างให้เวลาสามสิบนาที” ปลายสายบอกชื่อห้างที่อยู่ใจกลางเมือง
“ไม่อยากรู้แล้ว” ผมทำเสียงไม่สนใจ ถึงอยากรู้ก็ไม่มีทางออกไป เพราะหนึ่งผมยังง่วง สองผมต้องระวังเรื่องงเงิน เป็นไปได้ต้องใช้เงินค่าน้ำมันรถเงินกินเงินอยู่ให้น้อยที่สุด จนกว่าจะได้งานใหม่
“เร็วๆ พี่จะรอ” ปลายสายตัดสายผม ทำเหมือนไม่ได้ยินที่ผมพูด แม่งเอ๊ย! ผมลุกขึ้นนั่งยีผมตัวเอง เอาวะไปก็ไป เห็นแก่ที่มานั่งเป็นเพื่อนเมื่อคืน
-คีรี-
เจ้าตัวดีตีหน้ายุ่งเดินเข้ามาหาผม หลังจากโทรเข้ามาถามว่าผมรออยู่ตรงไหน “ว่าไง”
“จะกินอะไร เช้านี้ยังไม่ได้กินใช่ไหม”
“ไม่ล่ะ มันแพงไป”
“พี่เลี้ยงเอง”
“ไม่ต้อง ตกลงเรียกออกมาทำไม”
“ซื้อของ”
“หะ!”
“เอาให้ชัดก็ซื้อเสื้อผ้า”
“ตามออกมาซื้อเสื้อผ้าเนี่ยนะ!” ผ้าใบมองผมด้วยสายตาฆ่าได้ฆ่าไปแล้ว ผมหัวเราะหึๆ ขำสีหน้ามัน ผ้าใบเป็นคนที่เก็บอารมณ์ไม่ค่อยอยู่ มีอะไรแสดงออกมาหมด
“ใช่”
“ไม่มีใครคบแล้วเหรอ ถึงต้องเรียกผมออกมาเดินเป็นเพื่อน หรือ..” มันทำตาโตใส่ผม “อย่าบอกว่าจะเรียกมาช่วยหิ้วของนะ ไม่ใช่คนใช้โว้ย”
“ฮ่าๆ เจ้าเด็กนี่คิดแต่ละอย่าง”
“ห่างกันแค่สองปี เด็กห่าอะไรวะ”
“เราต้องเลิกพูดไม่เพราะ”
“ฟังไม่ได้ก็อย่ามาคุย”
“พี่ฟังได้ แต่เราต้องเลิก เพราะร้านใหม่ที่วงเราจะไปเล่น ไม่สมควรหลุดคำหยาบคายออกมา”
“ร้านใหม่? ร้านใหม่อะไร”
“ร้านในโรงแรมพ่อพี่ พี่คุยให้แล้ว”
“ไม่เอา!” ผ้าใบปฏิเสธทันทีเหมือนที่ผมคิดไว้ “เรื่องงานเดี๋ยวผมหาเอง หรือถ้าจะแนะนำร้านเพื่อน ร้านญาติ ร้านคนรู้จักให้ก็ได้ก็จะเป็นพระคุณ แต่แบบบังคับให้รับเลยไม่เอา ในโรงแรมยิ่งไม่เอามันหรูไป”
“แต่ม่อนตกลงแล้ว”
“หะ!” คนคิดจะดื้อ ไปต่อไม่ถูก
“พี่โทรคุยกับม่อนม่อนตกลง พี่อาจก็ตกลง เพิ่งรู้ว่าสองคนนี้บ้านอยู่ข้างกัน”
“ไม่จริงน่า” คนพูดทำหน้าไม่เชื่อถือผม
“อยากรู้ก็โทรถามเอง จะได้มั่นใจว่าพี่ไม่ได้อำเรา” ผ้าใบหรี่ตามองผมคล้ายประเมินอยู่ว่าผมพูดจริงไหม
“อย่าดื้อเลย ไหนว่าเป็นห่วงซอล” ผมจี้จุดของผ้าใบ เด็กคนนี้ห่วงคนรอบข้างมากกว่าตัวเอง
“แบบนี้ซอลจะได้สบายใจไม่โทษตัวเองว่าเป็นคนผิด งานดีกว่า สถานที่ดีกว่า เงินดีกว่า”
“แต่...” ผมดูออกว่าผ้าใบอ่อนลงมากแล้ว
“อีกอย่างที่นี่ก็ไม่ต้องห่วงว่าจะมีคนเมามาเกะกะระรานซอล อาจจะมีจีบบ้างอันนั้นคงห้ามยาก แต่อย่างน้อยก็สุภาพกว่า” ผ้าใบกัดปากอย่างใช้ความคิด ก่อนจะถามผมด้วยเสียงไม่แน่ใจ
“แต่ร้านในโรงแรมมันหรูไป จะเหมาะกับวงพวกผมเหรอ”
“เรื่องสไตล์การร้องเพลงไม่มีปัญหาอยู่แล้ว วงเราเล่นเพลงฟังสบายๆ ถือว่าเหมาะมากด้วยซ้ำ”
“แต่..” ผ้าใบก้มลงมองตัวเอง วันนี้เจ้าตัวใส่เสื้อยืดสีเทาคอย้วย กางเกงยีนส์ขาด กับรองเท้าผ้าใบสีขาวที่ราวกับผ่านศึกสงครามมา “ผมว่าคงไม่เหมาะมั้ง”
“พี่ถึงนัดเราออกมา”
“เกี่ยวอะไร”
“เราจะซื้อเสื้อผ้าที่ต้องใช้ทำงานของนาย ร้านในโรงแรมมีหลายสไตล์ ร้านที่จะให้ไปร้องเป็นร้าน bistro and bar เน้นสบายๆ อยู่แล้ว เพียงแต่ก็คงไม่ใช่แบบที่นายใส่ไปร้องเพลงที่ร้านเก่า
ผ้าใบทำหน้าคิดหนัก สีหน้าลังเล ผมรู้สึกได้ว่าความคิดเจ้าตัวกำลังเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา สังเกตจากสีหน้าและดวงตา
“ถ้าพี่ไม่เห็นความสามารถของวงเรา พี่จะกล้าบอกให้ที่โรงแรมรับเหรอ พี่คงไม่ยอมให้เสียชื่อโรงแรมเพียงเพราะอยากจะช่วยเราแน่” สีหน้าของผ้าใบดีขึ้นมาก
“ก็ถ้าพี่ม่อนกับพี่อาจตกลง ก็ตามนั้นก็ได้ แต่เสื้อผ้ายังไม่ซื้อนะไม่มีเงิน จะหายืมเพื่อนใส่ไปก่อน ไม่ต้องกลัวว่าจะทำให้ขายหน้า”
“จะยืมทำไม ยังไงเราก็ต้องใส่ประจำ ซื้อไปเถอะ ถ้าไม่มีเงินพี่ซื้อให้เอง” สีหน้าของผ้าใบเปลี่ยนทันที ทำให้ผมรู้ว่าผมพลาดไปแล้ว ไม่ใช่ทุกคนที่จะดีใจที่ได้ของฟรี
“เอาเป็นพี่หักเงินเราสามเดือน ตกลงไหม มันเป็นหน้าตาของโรงแรม อีกอย่าง..” ผมปล่อยมุกเด็ด “พี่ไม่อยากขายหน้าเพราะเป็นคนฝากฝังวงเรา” และดูเหมือนว่ามันจะได้ผล
“ซื้อก็ซื้อแต่เอาไม่กี่ชุดนะ แค่พอใช้ก็พอ”
“ตกลง”
“ผมต้องโทรบอกซอลก่อน ซอลมันก็ไม่มีเหมือนกัน”
“ไม่ต้อง” ผ้าใบมองหน้าผมด้วยความสงสัย
“จอมทัพไปรับซอลที่หอ ป่านนี้น่าจะใกล้ถึงแล้ว”
“ได้ไง!” ผ้าใบมีสีหน้าตกใจ “ผมยังไมได้บอกซอลเรื่องที่ออกจากร้านพี่เบญเลย เดี๋ยวมันตกใจ”
“ม่อนโทรไปบอกแล้ว ไม่ต้องห่วงยังไงก็ได้งานใหม่แล้ว พี่ว่าซอลคงไม่คิดมาก”
“งั้นก็แล้วไป” พอรู้ว่าม่อนเป็นคนโทรไปบอกผ้าใบดูสบายใจขึ้น “แล้วพวกพี่ม่อนไม่มาซื้อด้วยกันเหรอ”
“ม่อนมีเสื้อผ้าที่พอใส่ได้ พี่อาจก็เหมือนกัน พี่ถามแล้วถึงรู้ว่าเราน่าจะไม่มีเพราะม่อนบอก”
“ก็ไม่มีจริงๆ นั่นแหละ”
“ทีนี้ก็กินอะไรซะ วันนี้ยังอีกยาว เดี๋ยวซอลกับจอมทัพคงมาถึง”
“ไม่เห็นซอลโทรบอกผมเลย” ผ้าใบบ่นพึมพำ ผมยิ้มขำ ผมว่าซอลคงอยากโทรแต่มีคนห้ามมากกว่า ให้สองคนนี้คุยกันไมได้ เดี๋ยวพากันดื้อ ต้องแยกแบบนี้ดีแล้ว
“ไม่” ผมมองหน้าดื้อๆ ของผ้าใบ ใครว่าจะจัดการมันได้ง่าย “ไหนว่าเราตกลงกันได้แล้ว”
“ได้แล้ว แต่ต้องไม่ใช่ร้านนี้” ผมยื้อกับผ้าใบอยู่หน้าร้านสินค้าแบรนด์เนมร้านหนึ่ง
“สินค้าเขาคุณภาพดี ซื้อแล้วใส่ไปได้อีกนาน”
“ที่ผมซื้อก็ใส่ได้นาน ตัวนี้ก็ใส่มาสองสามปีแล้ว” ผ้าใบดึงเสื้อยืดบริเวณไหล่ขึ้น ผมมองความย้วยของคอเสื้อนิ่งจนผ้าใบรู้ตัว
“มันเป็นเสื้อทรงนี้” ผ้าใบแก้ตัวเสียงเก้อ จอมทัพหัวเราะออกมาเบาๆ
“ซื้อเถอะพวกพี่ไม่ได้ให้ฟรี สัญญาว่าจะหักเงิน” จอมทัพช่วยผมพูดอีกแรง
“เสื้อผ้าแบบนี้ตัวหนึ่งหลายพัน กว่าพวกผมจะใช้เงินหมดคงหัวโต” ซอลพูดเสียงเบา น้ำเสียงเกรงใจ
“ทำไมมันถึงยากแบบนี้วะ อีแค่ซื้อเสื้อ” ผมหันไปมองจอมทัพ ปกติซื้อของให้ใครมีแต่คนรีบเอา นี่แทบจะต้องกราบไหว้กัน
“อีแค่ซื้อเสื้อที่ไหน มันตั้งซื้อเสื้อต่างหาก ของแพงด้วย ยังไงผมก็ไม่ซื้อ เอางี้..”ผ้าใบมองผมหัวจรดเท้า จนผมชักหวั่นๆ ว่าเจ้าตัวคิดอะไรอยู่ “ผมตัวเล็กกว่าไม่เท่าไหร่ มีขายต่อผมหรือเปล่า เอาตัวไม่ใช้แล้วก็ได้ น่าจะมีเยอะ ซื้อแต่ของซอลก็พอ”
ผมทนไม่ไหว ยกมือสองข้างขึ้นจับหัวมันโยกไปมา
“อย่า เดี๋ยวผมยุ่ง” ผ้าใบปัดมือผมออก ยกมือขึ้นจัดผมที่เซ็ตมา “หมดหล่อกันพอดี”
“หึๆ “
“ว่าไง เอาแบบนี้ได้ไหม” ผ้าใบยังไม่ลืมเรื่องที่พูด
“ไม่” ผมตอบคำเดียวสั้นๆ
“ผมก็ไม่ซื้อร้านพวกนี้เหมือนกัน” สี่คนยืนมองหน้ากันราวกับวัดใจ
“งั้นจะเอายังไง” ผมถามมันขึ้นมา
“ผมมีที่ซื้อ อยู่ไม่ไกลจากตรงนี้ เดินไปยังได้”
“สยาม?”
“เอาน่าตามมา ไม่ต้องเอารถไปหรอก เดินออกกำลังกายซะบ้าง” ผ้าใบออกเดินนำ ดึงซอลให้เดินไปด้วยกัน ผมกับจอมทัพได้แต่มองหน้ากัน ผมส่ายหน้าในขณะที่จอมทัพยิ้มขำ
ผมมองไปรอบๆ พูดตามตรงคือไม่เคยมาที่นี่แม้แต่ครั้งเดียว มันคือแหล่งรวมเสื้อผ้าขายส่งขนาดใหญ่ที่มีผู้คนเดินลากกระเป๋าใบใหญ่กันขวักไขว่
“เห็นมะ มีเยอะแยะ อยากได้แบบไหนมีหมด” ไอ้ตัวดีทำเสียงอวด
“ขอยืมแค่คนละสามพัน รับรองยิ่งกว่าพอ เหลือถอนด้วย” ผมยังยืนนิ่งไม่ตอบ
“ซื้อใส่ไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน” จอมทัพมองหน้าผมเหมือนจะบอกว่าเอาน่า มึงไม่มีทางชนะเด็กนี่หรอก
“ตามใจ”
“เยี่ยม” ผ้าใบยิ้มกว้าง คล้องแขนกับซอลออกเดินนำ ผมหันไปมองจอมทัพที่ยืนอยู่ข้างๆ
“มึงแน่ใจนะว่าไม่ใช่” ดูท่ามันกระหนุงกระหนิงกันแล้วผมชักไม่แน่ใจ
“กูก็ว่าเหมือน แต่กูคิดว่าซอลเป็นเด็กพูดโกหกไม่เป็น ดังนั้นกูฟันธงว่าไม่ใช่”
“ก็จริงของมึง” ผมไม่สนิทกับซอลมากนัก แต่เด็กคนนี้บุคลิกชัดเจน ดูเป็นเด็กดี ขี้เกรงใจ
“ไปเถอะ” จอมทัพเรียกผม เมื่อทั้งสองคนเริ่มเดินห่างออกไป
ผมทึ่งกับการเดินซื้อของๆ คนคู่นี้มาก ผมกับจอมทัพเดินตามจนขาเกือบลาก ทำไมมันไม่ซื้อๆ ไปเลยวะ เจอถูกใจแล้วก็ยังเดินไปดูร้านอื่นเพื่อเปรียบเทียบราคา ดูว่ามีถูกใจหลายตัวไหม จะได้ซื้อในราคาส่ง ร้านไหนชอบไม่ถึงสามตัวมันก็ไม่ซื้อบอกว่าได้ราคาปลีกแพง แพงอะไรของมันวะตัวหนึ่งไม่ถึงห้าร้อย
“แบบไหนดี” จู่ๆ มันก็หันมาถามผม
“ชอบแบบไหนก็เลือกไป”
“แต่ผมไม่รู้นี่ ไม่เคยเข้าโรงแรมหรูๆ สักที ไม่รู้ว่าเขาใส่อะไรกัน เมื่อกี้เลือกกางเกงมันก็ง่ายหน่อย แต่พวกเสื้อผมไม่มั่นใจ” ผมมองผ้าใบด้วยสายตาทึ่ง เรื่องไหนที่มันมั่นใจมันจะเถียงผมหัวชนฝา แต่เรื่องไหนที่ไม่มั่นใจไม่รู้มันก็บอกออกมาตรงๆ ไม่มีอาย ไม่มีอีโก้
“ร้านเป็น bistro and bar ไม่จำเป็นต้องทางการ ถ้าชอบใส่เสื้อยืดก็หาแจ็คเก็ตใส่ทับ ซื้อไปหลายๆ แบบ หรือถ้าไม่ชอบใส่แจ็คเก็ต จะซื้อเป็นเสื้อเชิ้ตก็ได้ เอาแบบไม่เป็นทางการหรือแบบฮาวายก็ได้ทั้งคู่ ไม่ก็พวกเสื้อยืดแขนยาว สเวตเตอร์ตัวบาง” ผมพูดไปเรื่อยๆ
“เลือกให้เถอะ แค่ฟังก็ปวดหัวแล้ว”
“หึๆ ได้ เดี๋ยวพี่ช่วยเลือกให้”
“ค่อยยังชั่ว” สีหน้าของผ้าใบโล่งอก คล้ายกับยกเรื่องน่าปวดหัวออกไปได้ หลังจากนั้นทั้งผ้าใบกับซอลก็เดินตามผมกับจอมทัพต้อยๆ
พรุ่งนี้เราไปพบผู้จัดการร้านตอนบ่ายสองพี่นัดไว้ให้แล้ว” หลังจากซื้อของเสร็จ จอมทัพชวนนั่งร้านกาแฟเพื่อหาน้ำดื่มและพักขา
“ต้องทำอะไรบ้างครับ” ซอลเป็นคนถามขึ้นมา
“ไม่มีอะไร แค่เข้าไปคุยรายละเอียดเรื่องงาน พวกเวลาทำงาน ค่าตอบแทน เรื่องกฎต่างๆ “
“กูว่าต้องเล่นให้ดูด้วย” ผ้าใบออกความคิดเห็น “เดี๋ยวนัดพวกพี่ม่อนมาซ้อมที่ห้องกูกัน ต้องหาเพลงที่เหมาะกับร้าน เล่นให้เป๊ะ เดี๋ยวเขาไม่จ้าง ”
“อืม” ผมไม่อยากบอกว่าเล่นไม่เล่นทางร้านก็ต้องจ้างวงของผ้าใบ แต่ถ้าพูดไปเดี๋ยวเด็กหัวร้อนจะรู้สึกไม่ดี ผมว่าผ้าใบคงไม่ชอบใช้เส้นเท่าไหร่
“งั้นกลับกันเลยดีกว่า เดี๋ยวกูโทรนัดพี่ม่อนมาหาที่ห้อง มึงไหวหรือเปล่าซอล”
“ไหว เราไมได้เป็นอะไรสักหน่อย” ซอลชะงักเมื่อเห็นสายตาดุๆ ของเพื่อนผม “ก็มันดีขึ้นแล้ว” เสียงแก้ตัวอ่อย
“ดีขึ้นแล้วก็ต้องระวัง”
“ครับ” ผมยกยิ้มขำ ผมว่าเพื่อนผมชักเหมือนพ่อของซอลเข้าไปทุกวัน แต่ก็เข้าใจได้ไม่ยาก ซอลดูตัวเล็ก น่าทะนุถนอม และที่ผ่านมาก็มีเหตุการณ์ให้จอมทัพต้องช่วยเหลือซอลมาตลอด
“ขอบคุณมาก” ผมหันไปตามเสียง ผ้าใบมองผมอยู่ก่อนแล้ว “ขอบคุณทั้งเรื่องที่ช่วยหางานให้กับที่ให้ยืมเงิน”
“ไม่เป็นไร”
“เป็นสิ มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ”
“อย่าคิดมาก พี่ช่วยได้พี่ก็ช่วย”
“ทำไมถึงช่วย” ผ้าใบมองผมด้วยสายตาค้นคว้า เหมือนเจ้าตัวพยายามคิดหาคำตอบแล้วแต่ไม่เจอ
“แล้วทำไมเราถึงช่วยพี่”
“ไม่ได้อยากช่วย มันดันเห็น”
“หึๆ พี่กับจอมทัพก็ดันเห็นเหมือนกัน ใช่ไหมมึง”
“ใช่” จอมทัพพยักหน้า
“ขอบคุณนะครับ” ซอลเงยหน้าขึ้นยิ้มอ่อนให้เพื่อนผม
“ไม่มีปัญหา” ผมมองสายตาจอมทัพที่มองซอล มันมีทั้งความเอ็นดูและอ่อนโยน เพื่อนผมไม่ใช่คนแข็งกระด้าง แต่ก็ไม่ใช่คนอ่อนโยนขนาดนี้แน่
“ถ้าอย่างนั้นพวกผมกลับก่อน ซอลมึงซ้อนมอเตอร์ไซด์กูไปนะ”
“โอเค”
“เดี๋ยวพี่ขับไปส่งให้” จอมทัพรีบค้าน
“ไม่เป็นไรครับ ผมไปกับผ้าใบเลยสะดวกกว่าเยอะ ยังไงก็ต้องไปห้องผ้าใบอยู่แล้ว”
“กินข้าวก่อนแล้วค่อยไป” ผมเอ่ยปากชวน เดาว่าน่าจะหิวกันแล้ว
“เดี๋ยวผมซื้ออะไรไปกินที่ห้องดีกว่า อยากรีบกลับไปซ้อมเร็วๆ” ผ้าใบปฏิเสธ ผมเกือบค้าน ถ้าผ้าใบไม่พูดประโยคต่อไปเสียก่อน”
“ผมรับรองว่าจะซ้อมอย่างหนัก จะไม่ทำให้คนฝากต้องผิดหวัง ไม่ทำให้เสียชื่อแน่ จะทำให้ดีเลย”
“แน่นอนอยู่แล้ว” รอยยิ้มของผ้าใบสดใสขึ้นกว่าเมื่อวานมาก รอยยิ้มกวนๆ แบบที่เคยเห็นเป็นประจำ
“แต่ว่าใส่ต่างหูได้ไหม ผมไม่อยากถอด” ผ้าใบยกมือขึ้นจับต่างหูข้างเดียวของตัวเอง
“ได้สิ”
“ค่อยยังชั่ว งั้นพวกผมไปเลยนะ ขอบคุณมาก”
“เดินกลับไปด้วยกันสิ รถจอดอยู่ห้างโน้น จะทิ้งกันเลยเหรอ”
“เออจริง ฮ่าๆ” ผมยิ้มตามเสียงหัวเราะของผ้าใบ ชอบที่จะได้เห็นมันสดใสแบบนี้
“เพิ่งรู้ว่ามึงอ่อนโยนเป็น” เสียงกระซิบเบาๆ มาจากด้านหลัง ขณะกำลังเดินกลับไปเอารถ ผมไม่ตอบจอมทัพทันที สายตามองสองเพื่อนซี้ที่เดินกอดไหล่กันอยู่ข้างหน้า
“กูสงสาร ถึงจะกวนแต่ก็เป็นเด็กดี อยากช่วยเท่าที่จะช่วยได้”
“กูก็คิดเหมือนมึง” จอมทัพมองแผ่นหลังของซอล สายตาเพื่อนผมอ่อนแสงลงทันที เราทั้งคู่เดินตามไปช้าๆ ปล่อยให้เพื่อนซี้คุยกัน หัวเราะกัน โดยไม่รบกวน ผมอยากเห็นมันมีความสุขแบบนี้มากกว่าท่าทางหมดแรงที่เห็นเมื่อวาน เดินไปเถอะผมจะเดินตามข้างหลังเอง
✪✣✤✥✦TBC✤✥✦✧✪
.
Darin ♥ FANPAGE Twitter :
primdarin