ตอนที่ 13 : ดีกว่าเยอะ
-คีรี-
“ขอโทษที่ช้า” ผมเดินเข้าไปใน sky dome bistro and bar บาร์ของโรงแรมที่อยู่บนชั้นสูงสุดพร้อมกับจอมทัพ ผ้าใบกับเพื่อนในวงนั่งอยู่ก่อนแล้ว ผมยกยิ้มขำเมื่อเห็นไอ้ตัวดีนั่งหลังตรง ท่าทางเรียบร้อยผิดปกติ
“สวัสดีครับคุณคีรี ไม่ช้าเลยครับ ทางนี้เพิ่งสัมภาษณ์เสร็จ” ผู้จัดการของบาร์ค้อมศีรษะให้ผมเป็นการทักทายด้วยสีหน้าเกรงใจและออกอาการนอบน้อมเกินพอดี
“เรียบร้อยดีไหมครับ”
“ไม่มีปัญหาเลยครับ ทางน้องๆ พร้อมเริ่มงาน ได้คุยรายละเอียดทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว”
“ครับ” ผมพยักหน้า เผลอขมวดคิ้วเมื่อเห็นสายตาของผ้าใบที่มองมาแปลกไปจากเดิม ดูเคารพผมมากขึ้น ในขณะเดียวกันผมก็รู้สึกว่ามันห่างเหินมากขึ้นกว่าเดิม
“คุณคีรีจะชมเลยไหมครับ ผมจะได้บอกให้ทางวงขึ้นเล่น”
“ครับ”
ผู้จัดการของร้านเข้าไปคุยกับพี่อาจ ก่อนทั้งวงจะขึ้นไปบนเวทีไม้ที่ยกสูงจากพื้นไม่มากนัก
“กูว่าบรรยากาศมันแปลกๆ” จอมทัพเอียงตัวมาพูดกับผม เราทั้งคู่เลือกนั่งโต๊ะที่อยู่หน้าเวที
“อืม คงเกร็งมั้ง” sky dome bistro and bar เป็นบาร์ที่ตั้งอยู่บนชั้นสูงสุดของโรงแรม หลังคาเป็นกระจกรูปโดม มองเห็นท้องฟ้าด้านบน ที่นั่งของร้านมีทั้งแบบในห้องกระจกและที่นั่งรับลมด้านนอก ลูกค้ามีทั้งชาวต่างประเทศและคนไทย แต่ผมเชื่อว่าวงของผ้าใบจะเอาอยู่ โดยเฉพาะเสียงของซอล ซอลร้องเพลงได้ดีทั้งเพลงไทยและเพลงสากล สำเนียงถือว่าดีมาก
เสียงดนตรีดังขึ้น ตามด้วยเสียงร้องของซอล ทำเอาพนักงานที่กำลังทำความสะอาดร้านหยุดมือและหันมามองเป็นตาเดียว
“ถ้าซอลไม่ผอมบางแบบนี้กูว่าสาวจีบเยอะแน่ ร้องเพลงโคตรมีเสน่ห์ กูฟังกี่ครั้งก็ชอบ”
“ผู้หญิงไม่มี แต่เห็นว่ามีผู้ชายมาจีบเยอะ”
“หะ! จริงเหรอวะ”
“เออ เรื่องจริง” ผมรู้ตอนที่โทรไปชวนม่อนมาทำงานที่โรงแรม ม่อนบอกผมว่าดีเหมือนกัน เพราะอยู่ที่ร้านชอบมีหนุ่มๆ มาเกาะแกะซอล
จอมทัพมองตรงไปยังคนที่ร้องเพลงอยู่บนเวที สายตาของเพื่อนละมุนจนผมลอบยิ้ม “ก็สมควร” คำพูดเบาๆ หลุดออกมาจากปากของจอมทัพ
-ผ้าใบ- “นั่งก่อนอย่าเพิ่งกลับ กูให้เขาจัดอาหารไว้ให้” พี่คีรีพูดกับพี่ม่อน ผมนั่งฟังเงียบๆ ไม่ออกความคิดเห็น ทุกครั้งที่สายตาพี่คีรีหันมามองโดยบังเอิญ ผมจะทำแค่ยิ้มมุมปาก ความรู้สึกมันต่างออกไปตั้งแต่วินาทีที่พี่คีรีเดินเข้ามาในร้าน ยิ่งเห็นผู้จัดการที่พวกผมเกรงใจนอบน้อมให้กับพี่คีรี ผมก็ยิ่งรู้สึกถึงความเป็นเจ้านาย ต่อไปคงต้องระวังปากตัวเองมากกว่านี้
“เป็นอะไรเรา”
“ครับ?”
“นั่งเงียบไม่พูดไม่จา ลืมเอาปากมาหรือไง”
“เปล่าครับ เชิญพี่คีรีคุยกันตามสบาย” ผมเห็นสายตาประหลาดใจที่มองมาจึงส่งยิ้มจืดๆ ไปให้ ซอลเองก็ไม่ต่างไปจากผมเท่าไหร่ มีเพียงพี่ม่อนเท่านั้นที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไร แม้แต่พี่อาจยังทำตัวเหมือนนั่งอยู่กับเจ้านาย
“ซอลมายังไง” พี่จอมทัพชวนเพื่อนผมคุย
“ผ้าใบไปรับครับ”
“เจ็บแบบนี้นั่งมอเตอร์ไซด์ไม่ดีแน่ เดี๋ยวขากลับพี่ไปส่งให้เอง”
“ไม่เป็นไรครับ ไม่เป็นไร” ซอลรีบปฏิเสธ รายนี้ขี้เกรงใจอยู่แล้ว อะไรก็ต้องไม่ไว้ก่อน
“ไหนว่าจะไม่ดื้อกับพี่”
“ผมเคยพูดที่ไหน” ซอลปฏิเสธหน้าตื่น ก่อนนึกได้รีบเบาเสียงลง “ขอโทษครับ”
“อย่าถือน้องกูเลยมันขี้เกรงใจ ซอลกลับกับจอมทัพดีแล้ว มันมีรถไม่ต้องนั่งตากแดดหน้าร้อนไปกับผ้าใบ” พี่ม่อนสนับสนุนเพื่อน
“ตกลงตามนั้น”
“เดี๋ยวสิครับ” ซอลพยายามค้านเมื่อพี่ม่อนกับพี่จอมทัพตกลงกันเองหน้าตาเฉย ผมก็ไม่รู้จะช่วยยังไงกลัวหลุดปากพูดคำไม่โสภาออกมา มันยังปรับตัวไม่ได้
สุดท้ายผมกับซอลเลยได้แต่นั่งกันเงียบๆ ฟังพี่ม่อนคุยกับเพื่อนไป มีเสียงพี่อาจแทรกขึ้นมาบ้าง ดีที่ครั้งนี้ไม่มีใครพยายามชวนพวกผมเข้าสู่การสนทนา
“จอดรถไว้ไหน” อดีตคู่ปรับผมถามขึ้นระหว่างเดินออกจากร้าน ผมเดินรั้งท้าย แต่พี่คีรีเดินช้าลงจนผมเดินทันจนได้
“ที่จอดรถมอเตอร์ไซด์ครับ”
“จะไปไหนต่อ”
“มหาลัยครับ” ผมพยายามฝึกพูดครับทุกคำ เอาน่าเดี๋ยวมันก็ชิน
“ดี พี่ไปด้วย”
“หา!” ผมหูตาเหลือกก่อนรีบปรับสีหน้าให้กลับมาสุภาพเหมือนเดิม
“ไม่ได้เอารถมาเหรอครับ”
“ใช่ มารถจอมทัพ รถพี่อยู่มหาลัย”
“งั้นเดี๋ยวผมไปส่งซอลเองก็ได้ เชิญพี่คีรีไปกับพี่จอมทัพเลยครับ”
“ไล่เหรอ”
“ผมเปล่า!” ผมลากเสียงยาว โว้ยพูดสุภาพทำไมมันยากนักวะ “หรือ..” ผมทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยม “หรือพี่คีรีจะไปกับพี่ม่อนดีครับ รถแกคันใหญ่กว่าของผม เร็วกว่าด้วย ของผมเป็นเวสป้ารุ่นเก่ามันจะช้ากว่า”
“ไม่ล่ะ พี่ขี้เกียจไปแย่งที่ม่อน นั่งคนเดียวน่าจะพอดีกว่า” ผมคันปากยิบๆ อยากฟ้องไอ้พี่ม่อนใจจะขาด ว่าเพื่อนไฮโซของพี่ม่อนหาว่าพี่ม่อนอ้วน แต่ในเมื่อตอนนี้เราต้องพึ่งพาเขา ผมก็ทำได้แค่สงบปากสงบคำ
“ตกลงจะให้ไปด้วยไหม” แล้วทำไมไม่ไปพร้อมพี่จอมทัพวะ ไปส่งซอลก่อนก็ได้มั้ง โรงแรมก็ของตัวเองมันต้องมีรถโรงแรมบริการรับส่งสิ
“ว่าไง”
“ก็ได้ครับ” ผมตอบรับอย่างดี
ผมซิ่งลูกชายสุดที่รักไปตามถนน ดีที่วันนี้คนนั่งข้างหลังไม่กอดเอวผมอีก แต่ก็นั่งใกล้มาก ใกล้จนผมต้องคอยขยับหนี
“ผ้าใบ”
“ครับ” ผมตะโกนฝ่าเสียงลม
“หิว” หิวพ่อหิวแม่พี่สิ เพิ่งกินมาหยกๆ
“จะกินอะไรครับ”
“อะไรก็ได้ให้เราเลือก” ผมมองไปข้างหน้า สายตาสอดส่ายซ้ายขวาของถนน เอาวะ ร้านนั้นคงพอไหว น่าจะสมเกียรติลูกชายเจ้าของโรงแรมหรู
“เดี๋ยวผมขี่รถไปหาที่จอดดีๆ พี่คีรีกินเสร็จแล้วโทรตามผมก็ได้”
“จะให้พี่นั่งกินคนเดียว?”
“ใครว่า” ผมทำสีหน้าให้รู้ว่า..บ้า ใครจะไปทำแบบนั้น “นั่งกินกับคนทั้งร้าน คนเดียวที่ไหนครับ”
“กวนพี่เหรอ” ผมตาเหลือก โว้ย นิสัยเก่านี่มันแก้ไม่หาย
“เปล่าครับเปล่า แต่ผมอิ่มสุดๆ เลย เมื่อกี้กินไปเยอะ”
“เห็นอยู่ กินอย่างเดียวไม่พูดไม่จา”
“ก็อาหารที่โรงแรมอร่อย”
“ผ้าใบ”
“ครับ” ตกลงจะกินไม่กินวะผมคิดในใจ ไม่เข้าไปในร้านสักที จอดมอเตอร์ไซด์อยู่ริมถนน รถผ่านหลังเรื่อยๆ มันเสียวนะโว้ย
“เป็นอะไร”
“เปล่าครับ ไม่ได้เป็น”
“ตั้งแต่ที่โรงแรมแล้ว ทำท่าทำทางแปลกๆ ไม่เหมือนเราสักนิด” โธ่จะให้เหมือนได้ไงวะ ผู้จัดการแม่งโค้งแล้วโค้งอีก แล้วพวกผมเป็นใคร ขนาดแค่ผู้จัดการเดินผ่านผม ผมยังแทบจะถอนสายบัวรับ”
“นี่ก็เหมือนกัน ปกติต้องโวยวายพี่แล้ว” อ๋อ ชอบให้โมโหก็ไม่บอก แต่ผมก็ไม่กล้าทำอยู่ดี
“คิดอะไรอยู่”
“คิดว่า..” ผมกลืนน้ำลาย “เมื่อไหร่พี่คีรีจะเข้าร้าน ผมเสียวตูดลูกชาย เดี๋ยวรถจะสอยไป” แน่สิตัวเองยืนอยู่บนฟุตบาล มีผมกับเวสป้าลูกรักที่ยังอยู่บนถนน ถึงจะจอดชิดขอบสุดๆ ก็เถอะ ผมก็ยังไม่ไว้ใจ
“ขอโทษที” ก็ยังดีที่นายจ้างคนใหม่คิดได้ แต่แทนที่จะเดินเข้าร้าน ดันใส่หมวกกันน็อคแล้วกลับขึ้นมานั่งบนรถ
“ไปเถอะ”
“อ้าวไม่หิวแล้วเหรอครับ”
“กินไปขนาดนั้นใครจะหิวลง” คนรวยนี่ผีเข้าผีออกดีจริงๆ ตกลงจะหิวหรือไม่หิววะ
“งั้นผมไปมหาลัยเลย”
“อืม”
ผมพยายามขี่ให้นิ่มนวลที่สุด ทำลูกชายเจ้าของโรงแรมหล่นจะโดนสักขนาดไหนวะ ดีไม่ดีจะอดได้งานใหม่ ผมยอมรับตรงๆ ว่าฟังข้อเสนอแล้วปฏิเสธไม่ลง ไม่ใช่สิ รีบตระครุบกันจนมือไม้สั่นมากกว่า
พวกผมไม่ต้องเล่นทุกวัน เล่นแค่วันเว้นวัน แถมเล่นแค่รอบเดียวไม่ต้องขึ้นสองรอบเหมือนที่ร้านพี่เบญ ตกแล้วก็วันละชั่วโมงครึ่ง แต่ได้เงินเกือบสองเท่าของร้านพี่เบญ แถมผู้จัดการยังบอกอีกว่าทริปที่ลูกค้าชาวต่างชาติให้วงดนตรี เดือนๆ นึงรวมแล้วได้เป็นหมื่น ทุกอย่างในชีวิตผมจะเบาขึ้น เหนื่อยน้อยลง มีเวลาเรียนมากขึ้น ทำงานสบายใจมากขึ้น และที่สำคัญ กินอาหารฟรี! อาหารโรงแรมด้วย ทุ่นไปได้อีกมื้อ แล้วอย่างนี้ใครจะกล้ากับเจ้านาย
อย่างเดียวที่ผมเอาแต่คิดคือ ทุกอย่างที่ได้มา เป็นมาตรฐานของโรงแรมอยู่แล้ว หรือเพราะว่าคนข้างหลังผมเป็นคนจัดการให้
ผมเป็นคนมีอีโก้ก็จริง แต่ไม่ได้หยิ่งจนไม่ดูตัวเอง ผมจะรับโอกาสนี้ไว้แต่จะทำให้ดีที่สุด ตั้งใจที่สุด เพื่อให้ทางร้านคุ้มค่าเงินที่จ่ายมา และเพื่อให้คนที่อยู่ข้างหลังผมรู้ว่าคิดไม่ผิดที่ช่วยพวกผมไว้
“ผ้าใบ” เสียงเรียกดังขึ้นหลังจากผมออกรถมาได้ไม่นาน ทำไมเจ้านายใหม่ถึงเอาแต่ใจขนาดนี้วะ แต่เอาเถอะผมต้องอดทน
“ครับ”
“หิว”
!!! แต่บางทีผมว่ามันก็ชักจะไม่ไหว
“หิวพ่องพี่สิ! จะเอายังไงกันแน่ เอาอะไรอีกกก”
“ฮ่าๆ “ เสียงหัวเราะงอหาย จนหมวกกันน็อคโขกหมวกกันน็อคผม
“พี่เอาแบบนี้เลยได้ไหม” ใบหน้าในหมวกกันน็อคยื่นข้ามไหล่เข้ามาใกล้
“เอาแบบที่เราเป็นอยู่นี่แหละ ไม่ต้องเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น”
“แต่มันจะไม่ดี พี่คีรีเป็นลูกเจ้าของโรงแรมที่ผมทำงานอยู่”
“ดีสิ”
“จริงเหรอ”
“จริง”
“แน่นะ”
“อืม”
ผมแทบจะเบรกลูกรักจนหัวทิ่ม รีบชะลอรถเข้าจอดข้างทาง
“หยุดทำไม”
“ตกลงจะกินหรือไม่กิน ผมให้โอกาสตัดสินใจ ถ้ากินก็จะหาร้านให้ แต่ขืนยังยึกๆ ยักๆ พ่อจะทิ้งมันไว้ตรงนี้แหละ”
“ฮ่าๆ”
“เอาไง!”
-คีรี-ผมยกนาฬิกาขึ้นดู เกือบห้าโมงเย็นแล้ว ผมก้าวขาลงจากรถถอดหมวกกันน็อคออก ผ้าใบดูงงๆ กับการกระทำของผม ผมยิ้มให้มันก่อนแขวนหมวกกันน็อคให้ที่แฮนด์รถ
“เราไปเถอะ เดี๋ยวพี่เรียกแท็กซี่กลับ เย็นนี้มีนัดทานข้าวกับพ่อที่โรงแรม”
“อ้าว แล้วรถที่มหาลัย” ผมยิ้มเจ้าเล่ห์ เด็กหัวร้อนตาเบิกกว้าง
“ตอแหลผมใช่ไหม”
“หึๆ พี่ว่าอันนี้ก็สนิทไปนะ” ผ้าใบรีบปิดปาก “รถอยู่ที่ไหน”
“โรงแรม ขาไปพี่ขับไปคนละคันกับจอมทัพ”
“แล้วทำไม..” ผ้าใบเหมือนจะถามแต่กลับหยุดไป “ช่างเถอะผมไม่อยากรู้แล้ว ขึ้นมา”
“หือ..”
“จะไปส่งให้”
“อย่าเลยเรากลับเถอะ”
“บอกให้ขึ้นมา” ผ้าใบส่งหมวกกันน็อคให้ผม ผมมองหน้ามันนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนหยิบมาสิ ก้าวขึ้นรถโดยไม่ต่อล้อต่อเถียงอีก
ผ้าใบสตาร์ทรถ เสียงบ่นเบาๆ ลอยลมมา “วันหลังบอกกันดีๆ ก็ได้ ว่าอยากให้กระโชกโฮกฮากเหมือนเดิม ถนัดจะตาย เสียเวลา”
หึๆ ผมหัวเราะขำ อย่างน้อยมันก็รู้ว่าผมมาทำไม ผ้าใบที่เป็นแบบนี้ดีกว่าเยอะ
✪✣✤✥✦TBC✤✥✦✧✪
.
Darin ♥ FANPAGE Twitter :
primdarin