FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน  (อ่าน 72494 ครั้ง)

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
Episode 11 part2

        “ไม่ได้เจอกันตั้งนานเลย” กรรณยอมเป็นฝ่ายทำลายความเงียบเอง
        “ผมต้องพูดมากกว่ามั้งคำนั้น” ภูตัดพ้อ “พี่ต่างหากที่เป็นฝ่ายหลบหน้า”
        “ขอโทษนะ” กรรณไม่มีข้อแก้ตัวสำหรับเรื่องนั้น “พี่เองก็ลำบากใจเหมือนกัน”
        “ผมไม่เข้าใจเลย พี่อธิบายให้ผมฟังได้มั้ย?” เด็กหนุ่มขอร้อง เกือบจะเป็นวิงวอน “ตกลงว่าเรื่องคืนนั้น มันคืออะไร?”
        “เราไม่พูดถึงเรื่องนั้นอีกได้มั้ย?” กรรณฟุบหน้าลงกับมือตัวเองเหมือนไม่อยากรับรู้ “พี่ว่ามันจะดีที่สุดถ้าเราไม่พูดถึงมันอีกแล้วกลับไปเป็นเหมือนที่เคยเป็นมาก่อนหน้านั้น”
        “ทำไมล่ะ?” ภูไม่เข้าใจว่าทำไมมาถึงขั้นนี้แล้วอีกฝ่ายถึงยังคงต้องตั้งกำแพงเอาไว้

        เด็กหนุ่มจ้องคู่สนทนาของตนเขม็ง หวังคาดคั้นเอาคำตอบที่ต้องการให้ได้หลังจากต้องอดทนรออย่างกระวนกระวายฝ่ายเดียวมาทั้งสัปดาห์  กรรณเงยหน้าขึ้นจากฝ่ามือมามองภูแวบหนึ่งก่อนจะฟุบกลับลงไปตามเดิม ในตอนนั้นเองเสียงบานประตูสับปิดดังปังที่ลั่นมาจากชั้นสองกลายเป็นเหมือนระฆังที่ช่วยชีวิตกรรณเอาไว้ได้ทัน เพราะมันทำให้ภูสะดุ้งสุดตัวและรีบวิ่งออกจากห้องรับแขกขึ้นไปยังชั้นสองเพื่อควบคุมสถานการณ์ก่อนที่จอสจะเพ่นพ่านลงมาข้างล่าง ซึ่งก็ทันอย่างฉิวเฉียดเพราะเมื่อขึ้นไปถึงก็พบกับเจ้าตัวปัญหาที่กำลังตั้งท่าจะเดินลงบันไดมาพอดี

        “ออกมาทำไม? กลับเข้าไปเดี๋ยวนี้!” ภูพูดเสียงกระซิบพลางผลักอีกฝ่ายให้กลับเข้าไปในห้องแล้วปิดประตู
        “ปวดฉี่!!!” จอสตอบเสียงดังจนภูต้องเอามือไปปิดปากไว้
        “อดทนอีกแป้ปนึง โอเคมั้ย?” ภูต่อรอง “ลูกผู้ชาย แค่นี้ต้องทนได้”
        “ว้อยยย อะไรแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องที่จะมาขอกันได้นะ” จอสคำรามพลางแกะมือที่ปิดปากตนอยู่ออก ระบบขับถ่ายเริ่มเรียกร้องหนักขึ้นจนเขาอยู่นิ่งไม่ได้ “นายนั่นแหละ มัวทำอะไรอยู่ ขังเราไว้ในห้อง แล้วก็มัวไปคุยอะไรกับใครข้างล่างอยู่นั่นแหละ”
        “ไม่ใช่เรื่องของนาย” ภูตอบปัดไป
        “หึ… แบบนี้ชัดเลย” จอสยิ้มแบบคนที่รู้เท่าทันอีกฝ่าย “แฟนมาล่ะสิ?”
        “ก็บอกไม่ใช่เรื่องของนายไง” ภูไม่ต่อความยาวสาวความยืด “ฟังนะ นายอาจจะไม่เข้าใจ แต่ไม่เป็นไรหรอก เพราะเราก็ไม่ได้คาดหวังอะไรแบบนั้นจากนาย แค่รู้เอาไว้แค่เรื่องนี้มันสำคัญกับเรามากก็พอ เดี๋ยวเราจะรีบจัดการให้เรียบร้อย นายก็ช่วยอดทนรออีกแป้ปนึงเถอะ”
        “แฟนจริงๆด้วยสินะ…” จอสพูดออกมาเสียงแผ่ว ใบหน้ายังคงยิ้ม หากแต่ถ้าภูมีแก่ใจจะสังเกตเพียงนิดก็จะรู้ได้โดยไม่ยากว่าน้ำเสียงของอีกฝ่ายไม่ได้สดใสเท่าเมื่อครู่แล้ว “เอาเถอะ รีบๆแล้วกัน ไม่งั้นจะฉี่ใส่เตียงนี่แหละ”

        ภูพยักหน้าตกลงก่อนจะรีบกลับลงไปยังชั้นล่าง กรรณยังคงอยู่ในห้องรับแขกเหมือนเดิมและมองมาทางบันไดอย่างเป็นกังวล จนเมื่อเห็นเด็กหนุ่มกลับลงมาจึงค่อยถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

        “มีอะไรรึเปล่า? เสียงเมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?” กรรณถาม
        “ไม่มีอะไรครับ ผมเปิดประตูห้องเอาไว้ ลมมันแรงเลยพัดประตูปิดเสียงดัง” ภูปดไป
        “แต่พี่ได้ยินเหมือนใครอยู่บนนั้นเลย…” กรรณยังคงสงสัย
        “เมื่อกี้พี่พูดถึงไหนนะครับ?” ภูรีบดึงความสนใจของอีกฝ่ายออกจากชั้นสอง
        “อ่า… ก็… ที่พี่จะบอกก็คือ…” กรรณดูจะยังคาใจแต่ก็ยอมพูดต่อจากที่ค้างไว้เมื่อครู่ “พี่เข้าใจ ถ้านายไม่อยากกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อน พี่เองก็เป็นฝ่ายผิดเองที่หลบหน้านายหลังจากทำอะไรแบบนั้นลงไป”
        “ถ้าไม่อยาก ผมจะโทรหาพี่ทำไมทั้งที่พี่ไม่ยอมรับ ทั้งที่พี่บอกจะโทรกลับแต่ก็ไม่โทร” ภูระบายสิ่งที่อัดอั้นในใจออกมา“ผมจะนั่งรอจนเห็นพี่กลับมาถึงบ้านทุกวันทำไม ทั้งที่รู้ว่าพี่ตั้งใจกลับมาดึกๆเพราะไม่อยากเจอหน้าผม”
        “พี่รู้” กรรณก้มหน้านิ่ง “แล้วพี่ก็รู้ว่านายไม่ได้ต้องการแค่นั้นด้วย แต่พี่ยังไม่พร้อม”
        “ก็แสดงว่ายังพอมีหวัง” ภูพยายามมองหาความเป็นไปได้ให้กับตัวเอง
        “ก็อาจจะ… แต่ถ้าสุดท้ายแล้ว เรื่องของเรามันเป็นไปไม่ได้ ก็ขอให้รู้ไว้ว่ามันไม่ใช่ความผิดของนายนะ” กรรณพูดคล้ายกับอยากให้เด็กหนุ่มเผื่อใจเอาไว้
        “งั้นผมก็คงไม่มีทางเลือกอะไรมากแล้วล่ะ นอกจากมีความสุขกับสิ่งที่พี่พอจะให้ผมได้ในตอนนี้” ภูทำใจยอมรับข้อเสนอที่เป็นดั่งทางแยกนั้น

        โล่งใจหรือใจหาย ภูไม่อาจแน่ใจได้ เป็นความรู้สึกที่ก้ำกึ่งกันราวกับถูกหลอมรวมจนผสมผสาน ในส่วนของความโล่งใจคือการได้รับรู้ว่ากรรณคิดเช่นไรกับตน และได้รู้ว่าความรู้สึกนั้นมันตรงกับที่ตนรู้สึกกับเขา หากแต่ความใจหายก็ตามมาจนชิดแผ่นหลังในไม่กี่อึดใจหลังจากนั้น เมื่อได้ยินถ้อยคำยืนยันว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะถูกแช่แข็ง ไม่อาจเติบโตไปได้มากกว่าที่เป็น อย่างน้อยก็ในตอนนี้ อีกทั้งยังไม่มีคำอธิบายใดๆเพิ่มเติมถึงสาเหตุแห่งความไม่พร้อมที่อีกฝ่ายพูดมา แต่เด็กหนุ่มก็เลือกที่จะยืนอยู่ในสถานะแห่งความมองโลกในแง่ดี และพร่ำบอกให้ตนเองพอใจกับสิ่งที่พอจะมีได้ในขณะนี้ ส่วนที่เหลือให้เป็นเรื่องของอนาคต เพราะมันย่อมดีกว่าการต้องมานั่งทนทุกข์ทรมานอยู่ตามลำพังเหมือนเช่นตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมาอย่างแน่นอน

        ถึงแม้ว่าวันนี้ภูจะว่างทั้งวัน แต่กรรณกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น เขายังมีคิวงานรออยู่ยาวเหยียดตั้งแต่ช่วงเช้ายันบ่าย เด็กหนุ่มเดินออกไปส่งอีกฝ่ายที่หน้าประตูรั้ว และเฝ้าดูจนกระทั่งลับสายตาจึงค่อยวิ่งกลับเข้าบ้านไปยังห้องนอนของตน ข้างในนั้นจอสนอนขดตัวงอเป็นกุ้งอยู่บนเตียง สีหน้าท่าทางบ่งบอกถึงความอดทนอย่างสุดกลั้นที่กำลังจะสิ้นสุดลงในไม่ช้า เมื่อได้รับสัญญาณจากเจ้าบ้านว่าทางสะดวกแล้วเขาก็รีบกระโจนออกจากห้องนอนไปยังห้องน้ำตามทางที่ภูชี้บอกทันที ก่อนจะตามมาด้วยเสียงกดน้ำของชักโครกที่ดังขึ้นทิ้งห่างจากนั้นไปไม่กี่อึดใจ

        “เกือบปล่อยเรี่ยราดแล้วมั้ยล่ะ” จอสเดินตัวปลิวกลับมาจากห้องน้ำลงมายังชั้นล่างอย่างสบายใจ
        “ขอโทษที ให้รอนานไปหน่อย” ภูหยิบอุปกรณ์ทำแผลออกมาจากตู้ใส่อุปกรณ์ปฐมพยาบาลประจำบ้าน “ทีนี้ก็ถอดเสื้อนายออกก่อน เดี๋ยวจะดูแผลตรงข้อศอกให้”
        “โอ๊ย ไม่ต้องหรอก แค่นี้อ่ะ สบายๆ” จอสทำอวดเก่ง “เราอ่ะฟื้นตัวเร็ว แป้ปเดียวก็หายแล้ว”
        “เหรอ?” ภูทดสอบด้วยการทิ่มก้านสำลีเข้าไปกลางแผล 
        “โอ๊ย!!! ทำบ้าไรเนี่ย!! ” จอสร้องลั่นบ้าน “พวกทารุณเด็ก!!” 
        “เก่งได้ไม่นานเลยนะ” ภูหัวเราะออกมา “ถอดเสื้อมา รีบทำรีบเสร็จ ปล่อยไว้เดี๋ยวแขนเน่า”
        “เออ ก็ได้ เบาๆนะ” จอสยอมแพ้

        เสื้อแจ๊กเก็ตถูกถอดออกวางพาดไว้บนโซฟา จอสตั้งท่าจะถอดเสื้อยืดตัวในออกอีกแต่ภูร้องห้ามเอาไว้ก่อน ด้วยจำได้จากตอนทำงานร่วมกันว่ารูปร่างของอีกฝ่ายส่งผลทางใจต่อผู้คนรอบข้างได้มากแค่ไหน และมันคงไม่ส่งผลดีต่อการอยู่ตามลำพังในรูปแบบนี้เป็นแน่แท้ เด็กหนุ่มจัดท่าให้อีกฝ่ายนั่งหันหลังและหันข้อศอกที่มีแผลมาทางตน ก่อนจะใช้สำลีชุบน้ำเกลือล้างแผลทำการเช็ดเอาเศษฝุ่นหรือหินที่ติดอยู่ในแผลออกจนสะอาด จากนั้นจึงล้างด้วยน้ำเกลืออีกรอบ หากทว่าถึงแม้แผลจะดูเรียบร้อยขึ้นกว่าตอนแรกพอสมควรแล้ว แต่สภาพของมันก็ยังดูร้ายแรงจนเกินกว่าจะรักษาได้ด้วยการใส่ยาและปิดพลาสเตอร์เหมือนแผลมีดบาดทั่วไป

        “คงต้องถึงมือหมอแล้วล่ะแบบนี้” ภูบอกกับอีกฝ่ายเมื่อเห็นว่าเกินความสามารถตนจะรับมือ
        “ไม่!” จอสส่ายหน้าลูกเดียว “ไม่มีทาง ไม่ ไม่ และไม่!”
        “แผลขนาดนี้จะไม่ไปหาหมอได้ยังไง?” ภูเริ่มหงุดหงิดกับความดื้อของจอส
        “บอกแล้วไงเดี๋ยวก็หาย ไม่ต้องไปหรอกน่า” จอสไม่มองหน้าภูขณะพูด
        “อย่าบอกนะว่า…” ภูเริ่มระแคะระคายบางอย่าง
        “เปล่า ไม่ใช่แบบนั้น” จอสร้อนตัว
        “ยังไม่ทันพูดอะไรเลย” ภูเริ่มมั่นใจ
        “ไม่ว่านายจะพูดอะไรก็ไม่ใช่ทั้งนั้นแหละ” จอสรีบหยิบเสื้อมาสวมกลับคืน
        “กลัวหมอสินะ” ภูจับจุดอ่อนของจอสได้อยู่หมัด
        “พูดบ้าอะไร! ใครจะไปกลัวอะไรแบบนั้นกัน นี่จอสนะ!” จอสหันมาทำเก่งข่มใส่
        “ถ้าไม่กลัวก็ต้องไปหาหมอได้สิ ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรเลย ใช่มั้ย?” ภูท้าทายแล้วตามด้วยคำสบประมาทเพื่อกระตุ้นอีกฝ่าย “แต่พนันกันได้เลยว่าใจเสาะแบบนายน่ะไม่กล้าไปหรอก”
        “เอางี้ใช่มั้ย? ได้!” จอสรับคำท้า “งานนี้ต้องมีคนแพ้แน่ จะเดิมพันด้วยอะไรดี?”
        “ก็ว่ามา” ภูตอบรับ ใจคิดวางแผนไว้ว่าเพียงแค่จะเออออห่อหมกไปก่อนเพื่อให้อีกฝ่ายยอมไปให้หมอทำแผลให้ หากเดิมพันของอีกฝ่ายเกิดพิสดารจนเกินจะรับ ค่อยหาทางชิ่งหนีเอาทีหลัง
        “ถ้าเรายอมให้หมอทำแผลให้จนเสร็จ นายต้องทำตามที่เราขอทุกอย่าง” จอสยื่นเดิมพัน “ตกลงมั้ย?”
        “ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่” ภูออกจะแปลกใจเสียด้วยซ้ำกับเดิมพันที่ดูจะธรรมดาจนผิดปกติวิสัยของอีกฝ่าย

        เมื่อทำข้อตกลงกันจนเป็นที่เรียบร้อย ภูก็นำทางพาอีกฝ่ายมาจนถึงสถานพยาบาลเอกชนที่อยู่ใกล้สุดในละแวกบ้าน ซึ่งถ้าเป็นการเดินทางด้วยเท้าตามปกติจะใช้เวลาเพียงสิบนาที หากแต่วันนี้กว่าภูจะพาตัวจอสที่อยู่ในสภาพปากกล้าขาสั่นมาถึงได้ก็กินเวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมง ด้วยที่ว่าอีกฝ่ายเอาแต่พยายามหาเรื่องหลบเลี่ยงอยู่ตลอดทาง จนเด็กหนุ่มต้องคอยเอาเรื่องการเดิมพันมาปลุกใจเป็นระยะๆ จอสยืนมองประตูสีขาวของคลินิกที่อยู่เบื้องหน้าด้วยแววตาหวาดสะพรึง แต่เมื่อหันไปเจอใบหน้าของภูที่กำลังยิ้มเยาะอยู่อย่างขบขัน เขาก็ฮึดสู้กลั้นใจผลักเปิดและก้าวขาอันสั่นเทาเดินเข้าไปข้างในเพื่อรักษาศักดิ์ศรีของตนเองที่ดูคล้ายจะเหลือน้อยลงในทุกขณะ

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4:  :pig4:  :pig4:

ตัวโตซะเปล่า  ป๊อดหว่ะ  อิอิ

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
:pig4:  :pig4:  :pig4:

ตัวโตซะเปล่า  ป๊อดหว่ะ  อิอิ

บอกไปใครเค้าจะเชื่อ ว่าเสือจอสจะกลัวหมอ o22

ขอบคุณที่ติดตามกันมาตลอดนะครับ  o13

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ nunda

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3004
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
เป็นการคุยกันเรืีองความรู้สึกที่ตรงดีจริงๆ ^^

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
:เฮ้อ:


 :L2: :pig4: :L2:

ถอนหายใจนี่หนักใจหรือโล่งอกครับ​  :hao3:

ขอบคุณ​ที่ติดตามกันตลอดน่ะครับ​  o13

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
เป็นการคุยกันเรืีองความรู้สึกที่ตรงดีจริงๆ ^^

หลบหน้ากันมานาน​ มีโอกาสแล้วก็ต้องคุยกันให้รู้เรื่องนะ​  :hao3:

ขอบคุณ​มากครับที่ยังติดตามกันอยู๋​  :katai2-1:

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
:hao3: :hao3:

ขอบคุณ​มากนะครับที่ยังตามอ่านตลอดเลย   o13

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
Episode 12 part1

        ภูไม่เคยเห็นใครที่ใบหน้าบ่งบอกถึงความกลัวได้เท่านี้มาก่อนในชีวิต อย่างน้อยก็จนกระทั่งก่อนหน้าที่หมอจะลงความเห็นว่าแผลบนข้อศอกของจอสจำเป็นต้องเย็บเพื่อให้ปากแผลปิดเข้าหากันได้เร็วขึ้น สีหน้าของหนุ่มตัวแสบที่เคยเต็มไปด้วยความมั่นใจในตัวเองชนิดสูงลิบติดเพดาน เวลานี้กลับโดนย้อมไปด้วยความหวาดกลัวจนซีดเผือดเหมือนหมูเห็นโรงเชือด แม้จะดูแล้วน่าสงสารแต่ภูก็อดขำกับท่าทางของอีกฝ่ายไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อเห็นขาอันสั่นเทายามที่เดินตามพยาบาลไปยังห้องเย็บแผล ไม่อยากเชื่อว่าคนที่ภาพลักษณ์ภายนอกดูห้าวหาญไม่เกรงกลัวใครจะมีจุดอ่อนที่คาดไม่ถึงเช่นนี้ซุกซ่อนอยู่ ระหว่างที่พยาบาลกำลังเตรียมอุปกรณ์ จอสยังคงมีความพยายามที่จะหนีอีกหลายรอบ หากทว่าไม่เป็นผลเพราะภูรู้ทันก่อนทุกครั้ง

        “นาย จอสยอมแล้ว” จอสแทบจะยกมือไหว้ภูเมื่อแผนการหนีโดยอ้างว่าจะไปเข้าห้องน้ำโดนจับได้ “ปล่อยจอสไปเถอะ จอสทำไม่ได้จริงๆ”
        “ไหนเมื่อกี้ยังปากเก่งบอกเองว่าเรื่องนี้ต้องมีคนแพ้แน่ไง” ภูเอาคำพูดของอีกฝ่ายมาย้อน
        “ก็มีไง เราแพ้เองก็ได้” จอสยอมยกธงขาว ละทิ้งแล้วซึ่งศักดิ์ศรีที่ค้ำคอ
        “ถึงนายจะพูดแบบนั้นก็เถอะนะ แต่แผลแบบนี้ไม่เย็บไม่ได้หรอก จะปล่อยให้มันรุ่งริ่งแบบนี้ได้ไง อยากเสียแขนเหรอ?” ภูขู่ให้กลัว
        “ไม่อยาก” จอสส่ายหน้า “แต่ก็ไม่อยากโดนเย็บเหมือนกระสอบด้วย”
        “อดทนน่า” ภูดันหลังให้อีกฝ่ายเดินกลับไปที่ห้อง “อันนี้เค้าฉีดยาชาให้ก่อนเย็บ รับรองว่าเจ็บนิดเดียว เจ็บน้อยกว่าตอนรถล้มเยอะ”
        “ขอเปลี่ยนจากยาชาเป็นยาสลบแทนไปเลยได้มั้ย?” จอสยังคงต่อรองไม่เลิก
        “ฝากด้วยนะครับคุณพยาบาล” ภูส่งตัวจอสให้กับพยาบาลที่ยืนถือเข็มยาชารออยู่ก่อนที่ตนจะไปนั่งรอด้านนอกห้อง

        ภูพยายามทำหูทวนลมขณะรอ ไม่สนใจเสียงโหยหวนของจอสที่ดังออกมาจากห้องทำแผล ในหัวคิดไปถึงบทสนทนาระหว่างตนเองกับกรรณเมื่อตอนก่อนจะออกมา ถึงแม้ว่าจะบอกใจตัวเองให้ยอมรับในขอบเขตที่อีกฝ่ายมอบให้ แต่อีกฟากฝั่งแห่งความต้องการก็ยังอุทธรณ์ไม่คลายว่าตนควรได้มากกว่านั้น ในเมื่อทั้งสองคนคิดตรงกัน ทำไมจึงจะต้องหยุดอยู่เพียงแค่คำว่าพี่น้อง จูบในคืนนั้น ภูแน่ใจได้ในทุกขณะจิตว่ามันไม่ใช่การสัมผัสในรูปแบบของคนที่อยากจะหยุดอยู่แค่การเป็นพี่ชาย ไม่ว่าจะเพื่อเหตุผลใดก็ตาม เห็นได้ชัดว่ากรรณเองก็กำลังอดกลั้นข่มความรู้สึกของตนอย่างเต็มกำลังจนดูเหมือนเป็นหน้าที่ ซึ่งนั่นทำให้เด็กหนุ่มมั่นใจว่าเรื่องนี้ต้องมีอะไรตื้นลึกหนาบางมากกว่าที่ตนเห็น หากแต่ก็จนปัญญาจะค้นหาความจริงในเมื่ออีกฝ่ายยังคงเลือกจะเก็บงำทุกอย่างเอาไว้ที่ตนเองเพียงผู้เดียว

        อย่างที่กรรณได้พูดเอาไว้อีกเช่นกัน ว่ามันไม่ใช่ความผิดของภูหากเรื่องทั้งหมดจะจบลงที่ความเป็นไปไม่ได้ แน่นอนว่าหากสุดท้ายแล้วทุกอย่างลงเอยที่จุดนั้นจริง ภูเองก็ไม่อาจจะคิดได้ว่าเป็นความผิดของตน ก็เขาไม่ใช่หรือที่ยินยอมพร้อมใจกับทุกอย่าง และก็เขาอีกนั่นล่ะที่พยายามแล้วซึ่งทุกอย่างกับความสัมพันธ์ครั้งแรกนี้ เด็กหนุ่มไม่ได้คิดว่าตนเองดีเลิศเลอหรือวิเศษวิโสมาจากไหน หากแต่ว่าถ้าจะมีใครสักคนที่คู่ควรกับการได้รับความรักตอบกลับมา จากความพยายามทั้งหมดทั้งมวลเขาเองก็น่าจะจัดอยู่ในบุคคลจำพวกนั้น ความคิดนี้ทำให้ภูเกิดปริวิตกขึ้นมาในบางประเด็นที่ไม่เคยค้นหาคำตอบให้ตัวเองมาก่อน หากเวลานั้นมาถึงเขาจะเกลียดกรรณหรือไม่ หากเป็นในตอนนี้ ด้วยสภาพจิตใจของเขาในขณะนี้ ไม่มีทางเลย ไม่ว่าอีกฝ่ายจะหายหน้าไปนานแค่ไหน จะพยายามหลบหน้าอีกกี่หน เด็กหนุ่มก็พร้อมจะอ้าแขนรับเขาเสมอ แม้จะรู้ว่าจะมีแต่ความเจ็บปวดรอทิ่มแทงอยู่เบื้องหน้า เพียงเพราะความหวังยังคงเบ่งบานอยู่ในหัวใจ แต่หากวันใดที่ความหวังนั้นสิ้นสุด แล้วบรรยากาศระหว่างทั้งสองคนจะเป็นเช่นไรต่อไป   

        แน่นอนว่าต้องมีความเสียใจ ภูมั่นใจในจุดนั้น แล้วหลังจากนั้นล่ะ? เด็กหนุ่มไม่คิดว่าตนจะสามารถเป็นน้องชายที่แสนดีของกรรณอย่างที่กำลังเป็นอยู่ในตอนนี้ได้ หลังจากความรักที่มอบให้ถูกผลักไสออกไป เขาอาจจะไม่สามารถมองอีกฝ่ายในแง่ดีได้อีกด้วยซ้ำ ถ้าวันนั้นมาถึงภูคงไม่อาจทำตัวเป็นพ่อพระผู้เสียสละร่วมยินดีในวันที่กรรณพบกับใครซักคนที่สำคัญกับเขาอย่างแท้จริง เพราะเพียงแค่คิดจินตนาการก็พาลให้ปวดในอกจนเกินจะรับแล้ว

        ความคิดฟุ้งซ่านของภูถูกขัดจังหวะด้วยเสียงของประตูห้องทำแผลที่เปิดออก พยาบาลสองคนหิ้วปีกจอสที่กำลังหมดสภาพเหมือนลูกโป่งแฟ่บๆออกมาจากข้างในและวางลงบนเก้าอี้ตัวข้างๆ แผลที่ข้อศอกถูกเย็บและปิดทับด้วยผ้าพันแผลเรียบร้อยแล้ว พยาบาลกำชับให้รักษาความสะอาดของแผลก่อนจะส่งต่อให้ไปรับยาและชำระเงินที่ด้านหน้า ภูสะกิดจอสที่สภาพตอนนี้เหมือนวิญญาณยังไม่กลับเข้าร่างให้ลุกขึ้น แต่อีกฝ่ายกลับฉวยโอกาสนั้นฉวยข้อมือของเขาเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย

        “เฮ้ย!” ภูสะบัดเต็มแรงด้วยความตกใจ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่สามารถพาตัวเองให้เป็นอิสระออกมาได้
        “จอสชนะแล้ว” จอสแสยะยิ้มชั่วร้าย “เราผ่านนรกมาได้ และตอนนี้ถึงเวลาที่นายต้องทำตามสัญญา”
        “ชนะอะไร ยอมแพ้ไปเองตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ ที่เหลือต่อจากนั้นก็ไม่นับสิ” ภูไม่ยอมให้อีกฝ่ายโมเมเอาชนะ
        “อันนั้นมันก็ใช่” จอสแบ่งรับแบ่งสู้ “งั้นไม่มองว่าเป็นเรื่องการแพ้หรือชนะ เอาแค่ว่าเราอุตส่าห์อดทนจนผ่านมาได้แล้ว นายจะไม่ให้รางวัลอะไรเราเลยเหรอ?”
        “เปลี่ยนเป็นถามว่าทำไมเราต้องให้รางวัลอะไรนายจะดีกว่ามั้ย?” ภูสลัดมือจอสจนหลุดได้ในที่สุด “อันที่จริงมันเป็นเรื่องของสามัญสำนึกอยู่แล้วรึเปล่า? ที่คนเจ็บก็ต้องมาหาหมอ นายสิควรจะขอบคุณเราด้วยซ้ำนะที่พามา”
        “ขอบคุณค้าบ” จอสยกมือไหว้ทำท่ายียวน “เอาเป็นว่า เราไม่ขออะไรมากก็แล้วกัน วันนี้เดี๋ยวนายไปส่งเราที่บ้านหน่อย ถือว่าตอบแทนที่เราพานายมาส่งบ้านเมื่ออาทิตย์ก่อน”
        “เออ เอาเถอะ ยังไงก็แล้วแต่ก็แล้วกัน” ภูยอมรับปากตัดรำคาญ เพราะถึงอย่างไรวันนี้ตนก็ว่างทั้งวันอยู่แล้ว

        หลังจากเสร็จธุระเรื่องค่ารักษาพยาบาลและรับยาเรียบร้อยแล้ว ภูก็พาจอสกลับมาที่บ้านของตนเพื่อหาเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ยืมเปลี่ยนใส่ชั่วคราว เนื่องจากเสื้อผ้าชุดที่จอสใส่มานั้นทั้งสกปรกและเต็มไปด้วยรอยฉีกขาดจากอุบัติเหตุเมื่อคืน โชคดีที่รูปร่างของทั้งสองไม่ได้แตกต่างกันมากนักในเรื่องของความสูง จึงไม่ใช่เรื่องลำบากในการจะหาชุดที่พอดีตัวให้ หลังจากรื้ออยู่พักหนึ่งเด็กหนุ่มก็หยิบเสื้อยืดสีฟ้าอ่อนกับกางเกงยีนออกมาจากในตู้ จอสรับมันมาก่อนจะเบ้หน้าเหมือนเด็กที่เจอผักในชามข้าว

        “อะไรอีกล่ะ?” ภูถามหลังจากเห็นสีหน้าที่อีกฝ่ายใช้ขณะมองเสื้อผ้าที่ตนมอบให้
        “ไม่เอาสีฟ้าอ่อนอ่ะ มันไม่ใช่ตัวจอส” จอสส่งเสื้อยืดคืนให้
        “ใส่ๆไปเหอะ ถ้ามันเป็นตัวตนของนายจริงๆ ต่อให้ใส่อะไรสีแบบไหน ก็เปลี่ยนมันไม่ได้หรอก” ภูยัดใส่มือคืนให้
        “มันก็ใช่ แต่ความเป็นคนมีคาแรกเตอร์เนี่ยมันก็เป็นเรื่องที่ต้องรักษาไว้” จอสทำท่ามีหลักการ แต่เมื่อเห็นภูมองตาขวางกลับมาก็ยอมถอยกลับแต่โดยดี “โอเค ใส่ก็ใส่”

        จอสถอดแจ๊กเก็ตออกแล้วตามด้วยเสื้อตัวใน ภูรีบเบี่ยงสายตาจากร่างเปลิอยท่อนบนนั้นแล้วเฉมองไปทางอื่น แม้ใจจะไม่ได้คิดไปในทางอกุศล หากแต่การจ้องมองลอนกล้ามเนื้อหน้าท้องแผงงามนั้นก็เป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง ด้วยเหตุที่ว่ามันมักก่อให้เกิดความรู้สึกอึดอัดจนวางตัวลำบากได้ทุกที จอสยังคงรีรอไม่ยอมสวมเสื้อตัวใหม่ เขาเอาแต่จับมันทาบกับตัวแล้วนิ่วหน้าเหมือนกำลังพยายามทำใจ ถึงตอนนี้แม้จะมองแค่เพียงด้วยปลายสายตาภูเองก็ยังสังเกตเห็นถึงรอยฟกช้ำที่กระจายอยู่ทั่วตามสีข้างและแผ่นหลัง จึงได้รู้ว่าแผลที่ข้อศอกไม่ได้เป็นเพียงสิ่งเดียวที่อุบัติเหตุเมื่อคืนทิ้งไว้บนร่างของจอส จ้ำสีเขียวค่อนไปทางม่วงเหล่านั้นชวนให้ภูระลึกถึงตราประทับที่กรรณมอบให้กลางแผ่นหลังในวันที่ทั้งสองเจอกันครั้งแรก ถ้าแค่จุดนั้นจุดเดียวยังทำให้เขาเจ็บปวดจนนอนหงายไม่ได้ไปหลายวัน ด้วยจำนวนที่มากมายเช่นนั้นคงไม่ต้องบรรยายถึงความเจ็บปวดที่อีกฝ่ายกำลังแบกเอาไว้ใต้ใบหน้าระรื่นนั้นเลย

        “หือ?” จอสสังเกตเห็นถึงสายตาของภูที่ลอบมองมาทางตนได้ในที่สุด รอยยิ้มชั่วร้ายกลับมาฉาบบนใบหน้าอีกครั้งพร้อมกับร้องถามด้วยโทนเสียงกระลิ้มกระเหลี่ยราวกับกำลังแทะโลม “มองใหญ่เลยนะ… ชอบล่ะสิ…”
        “มองว่าเมื่อไหร่จะใส่เสื้อซักที” ภูหน้าแดง รีบแก้ตัวก่อนจะชี้ไปที่รอยช้ำบนชายโครง “แล้วนั่นน่ะ ไม่เจ็บหรือไง?”
        “นี่อ่ะเหรอ?” จอสก้มมองตามมือของภู “นิดหน่อยอ่ะ แต่คลำดูแล้วไม่มีอะไรหักก็คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง เดี๋ยวก็หาย”
        “แล้วเมื่อกี้ก็ไม่ให้หมอเค้าดู” ภูหนักใจกับความดื้อของจอส “งั้นมานี่ก่อนมา…”

        ภูหยิบหลอดยาแก้ฟกช้ำของกรรณที่เหลืออยู่จากครั้งก่อนและนั่งลงบนเตียงก่อนจะกวักมือเรียกให้จอสตามมานั่งข้างๆ เด็กหนุ่มตัวแสบมองอย่างไม่ไว้วางใจแต่ก็ยอมมาแต่โดยดี เมื่อแรกที่นั่งลงบนขอบเตียงนั้นจอสหันมาประจันหน้ากับภูตรงๆ ทำให้ทุกสิ่งอันที่เด็กหนุ่มพยายามหลบเลี่ยงไม่มองเมื่อครู่กลับมาปรากฏให้เห็นชัดถนัดสองตาห่างออกไปเพียงแค่ไม่กี่นิ้ว ชัดเจนว่าแม้จะมีรอยฟกช้ำเป็นตำหนิที่เพิ่มขึ้น หากแต่พลังการทำลายล้างของมันยังสูงลิบไม่ลดลงแม้แต่น้อย และยามนี้มันยังทวีกำลังขึ้นเป็นสองเท่าด้วยใบหน้าหล่อร้ายของอีกฝ่ายที่จ่อประชิดจนแทบจะรู้สึกถึงลมหายใจที่พ่นออกมาจากปลายจมูก ริมฝีปากสวยคู่นั้นแสยะยิ้มน้อยๆราวกับกำลังยั่วยุไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตามที ก่อนที่เสน่ห์อันเย้ายวนของจอสจะควบคุมทุกอย่างได้อยู่หมัด ภูรีบกระชากสติของตัวเองกลับคืนมาและผลักให้อีกฝ่ายหันหน้าไปอีกทาง

        “หันมาแบบนี้จะทายายังไง” ภูพยายามทำเสียงให้ดูเหมือนหงุดหงิดรำคาญเพื่อกลบเกลื่อน ใจนึกสงสัยว่าก่อนจะหันไปอีกฝ่ายจะทันได้เห็นใบหน้าที่กำลังเรื่อแดงของตนหรือไม่
        “ยาอะไรอ่ะ? แสบป่ะเนี่ย?” จอสเอี้ยวคอหันกลับมาดูแต่ก็โดนภูผลักหัวให้หันกลับไป
        “ถ้าอยู่เฉยๆก็ไม่แสบ ถ้าพูดมากกว่านี้น่ะแสบแน่” ภูขู่ ก่อนจะบีบยาลงปลายนิ้วและทาลงบนรอยช้ำจุดที่ดูแล้วสาหัสที่สุดก่อนเป็นจุดแรก จอสสะดุ้งเฮือกก่อนจะค่อยๆผ่อนคลายลงเมื่อภูเริ่มใช้นิ้วและฝ่ามือนวดให้ยาซึมลงผิว
        “อือ ดี ดีมากๆ…” จอสครางอย่างพึงพอใจราวกับตาแก่ “มือนายนี่เบาดีจัง เบากว่าพวกป้าพยาบาลเมื่อกี้อีก”
        “จะให้มือหนักก็ได้นะ” ภูว่าแล้วก็แกล้งออกแรงกดหนักๆเข้าไปหนึ่งที
        “อ๊อย!! พอแล้ว อย่า!!” จอสร้องไม่เป็นภาษา หยดน้ำใสๆเอ่อออกมารอบดวงตา สีหน้าบ่งบอกถึงความเจ็บปวดแบบไร้ซึ่งความเสแสร้งแกล้งทำ
        “ฝืนตัวเองไม่เหนื่อยหรือไง?” ภูถาม ขณะที่มือเบาแรงลงแต่ก็ยังไม่หยุดนวด “สะบักสะบอมขนาดนี้ ใครเห็นเค้าก็รู้ว่าต้องเจ็บมาก แสดงออกมาบ้างก็ได้”
        “ถ้าความรู้สึกที่แท้จริงของเรามันทำให้คนที่รับรู้ต้องรู้สึกแย่ การเก็บเอาไว้กับตัวมันก็คงเป็นผลดีมากกว่า” จอสตอบ รอยยิ้มที่มุมปากของเขายังคงมองเห็นได้จากมุมที่ภูนั่งอยู่ หากแต่น้ำเสียงกลับไม่มีแววแห่งความขี้เล่นแฝงอยู่เหมือนทุกครั้ง
        “ทำเป็นพูดดี” บรรยากาศที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันทำให้ภูรู้สึกแปลกๆ
        “นี่ถามอะไรหน่อยได้มั้ย?” จอสถามขึ้นมา “คนเมื่อกี้ที่มา แฟนนายเหรอ?”
        “ก็…” ภูตกใจนิดหน่อยด้วยไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะถามขึ้นมาตรงๆ “คงเรียกแบบนั้นได้ไม่เต็มปากหรอก”
        “ทำไมล่ะ?” จอสหันกลับมาหาภู “เค้าไม่ได้ชอบนายหรือไง?”
        “ก็ไม่เชิง เค้าบอกว่ายังไม่พร้อมจะเป็นมากกว่าพี่น้องในตอนนี้” ภูตอบไปตามตรง แม้ในความเป็นจริงแล้วทั้งสองจะแทบไม่รู้จักกัน แต่บางอย่างในความรู้สึกของเด็กหนุ่มบอกกับตัวเองว่าเขาสามารถพูดทุกเรื่องได้กับคนผู้นี้
        “นายก็เลยจะรอจนกว่าเค้าจะพร้อมงั้นสิ?” จอสขมวดปมสุดท้ายให้
        “อือ…” ภูพยักหน้า “ก็คงจะอย่างนั้นแหละ”
        “น่าอิจฉาเค้าจังเลยนะ ที่มีคนอย่างนายพร้อมจะรอเค้า” จอสพูด น้ำเสียงติดสำเนียงแดกดันเล็กน้อย ซึ่งก็ดูเหมือนเจ้าตัวจะรู้สึกได้ถึงมันเช่นกัน จึงรีบปรับน้ำเสียงให้กลับเป็นปกติในคำถามถัดมา “นายชอบคนแก่กว่าเหรอ?”
        “ก็ไม่ได้มีสเป๊กอะไรกำหนดเอาไว้หรอก” ภูรู้สึกอายขึ้นมานิดหน่อยเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ “จริงๆคือเราไม่เคยคบใครมาก่อนเลย”
        “อ่ะฮะ…” จอสชี้หน้าภูทำท่ากลั้นหัวเราะด้วยคิดว่าอีกฝ่ายแกล้งพูดเล่น หากแต่เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังที่จ้องกลับมาก็ต้องรีบกลืนมันลงคอไป “นี่นายพูดจริงนี่หว่า…”
        “ก็จริงอ่ะสิ” ภูพยักหน้าสำทับ
        “ทำไมล่ะ นายน่ารักจะตาย” จอสไม่อยากเชื่อ “ปกติเราไม่ค่อยชมใครหรอกนะ แต่ถ้าจะให้ชมก็คงต้องเป็นนายนี่แหละ”
        “จะไปรู้เหรอเรื่องนั้น มันไม่มีก็คือไม่มี” ภูไม่รู้จะอธิบายยังไง อีกทั้งจะให้คิดก็คิดอะไรไม่ออกในตอนนี้ ด้วยกำลังรู้สึกเขินจากคำชมของอีกฝ่ายที่พูดออกมาแบบตรงๆไม่มีอ้อมค้อม “พอแล้ว ไม่คุยเรื่องนี้แล้ว”

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
Episode 12 part2

        ภูรีบทายาให้จอสจนครบทุกจุดที่มีรอยช้ำแล้วจึงบอกให้อีกฝ่ายลุกไปเปลี่ยนเสื้อผ้าต่อจากที่ค้างไว้เมื่อครู่ จนเมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว เด็กหนุ่มก็เอาเสื้อผ้าชุดที่จอสใส่มาแต่แรกใส่ถุงให้เจ้าตัวถือกลับไปด้วย ทั้งสองเดินลงมายังชั้นล่างของบ้าน แม่ของภูกลับมาแล้วและกำลังเตรียมตัวทำงานบ้านตามกิจวัตรประจำวัน ภูบอกกับแม่ว่าจะออกไปข้างนอกก่อนจะพาจอสออกจากบ้านมาโดยพยายามไม่สนใจสายตาสงสัยใคร่รู้ของแม่ที่มองไล่หลังชนิดไม่ยอมวางตา โชคดีที่จอสเปลี่ยนชุดจนอยู่ในสภาพที่ดูปกติแล้ว หากลงมาทั้งสภาพเหมือนโดนหมาทั้งฝูงรุมฟัดอย่างที่เป็นแต่แรกเริ่มเมื่อครั้งมาถึง ไม่แคล้วแม่คงตกใจจนสติแตกเป็นแน่

        หลังจากติดอยู่บนแท็กซี่นานเกือบหนึ่งชั่วโมง ภูก็เริ่มรู้สึกว่าการยอมมาส่งจอสตามคำขอนี้เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างรุนแรง ลำพังด้วยจุดหมายปลายทางของมันเองก็นับว่าไกลจากบ้านของภูมากจนแทบจะเรียกได้ว่าคนละมุมเมืองกันอยู่แล้ว เมื่อมาผนวกเข้ากับการจราจรที่เกือบจะเป็นอัมพาต ก็ทำให้การเดินทางครั้งนี้ยาวนานเหมือนดั่งเดินเท้าข้ามไปชมพูทวีป แต่นั่นดูจะไม่เป็นปัญหาสำหรับจอสเลยแม้แต่น้อย แม้ก่อนขึ้นรถเจ้าตัวจะบ่นกระปอดกระแปดมาตลอดทางที่เดินเท้าออกมาจากซอยบ้านของภู แต่เมื่อขึ้นรถมาเจอกับความเย็นจากเครื่องปรับอากาศ เขาก็ม่อยหลับไปในเวลาไม่กี่นาที ทิ้งภูให้เผชิญกับนรกบนท้องถนนนี้กับคนขับเพียงลำพัง หลังจากเกือบสองชั่วโมงแห่งความทรมานรถก็ตรงเข้ามาในซอยเล็กๆอันเป็นถนนส่วนบุคคลซึ่งสองข้างทางรายล้อมเต็มไปด้วยต้นไม้เขียวชะอุ่ม จนกระทั่งมาจอดหยุดยังสุดทางบริเวณหน้าอาคารคอนโดมิเนียมอันเป็นจุดหมาย ภูรีบสะกิดปลุกจอสให้ตื่นขึ้นมาเพื่อยืนยันว่าคนขับมาทั้งสองมาถูกที่หรือไม่ แม้จะยังงัวเงียตื่นไม่เต็มตาแต่เด็กหนุ่มก็ยังจำนิวาสสถานอันเป็นที่ซุกหัวนอนของตัวเองได้ เขาพยักหน้าเป็นการตอบรับก่อนจะควักกระเป๋าสตางค์ออกมาจ่ายค่าโดยสาร แต่ก็พบว่าจำนวนเงินสดที่เหลือติดตัวนั้นมีไม่มากพอ ด้วยเหตุที่ว่าเมื่อช่วงเช้าใช้จ่ายค่ารักษาพยาบาลตนเองไปจนเกือบหมดแล้ว จอสหันมาส่งยิ้มเจื่อนให้กับภูที่นั่งอยู่ข้างๆ เป็นอันเข้าใจกันโดยไม่ต้องพูดอะไรมากกว่านั้น ภูถอนหายใจพร้อมกับจ่ายเงินค่าโดยสารส่วนที่เหลือจนครบ แล้วทั้งสองจึงค่อยลงจากรถ

        อากาศภายนอกค่อนข้างสดชื่นกว่าที่ภูคิด แม้โดยพิกัดทางแผนที่สถานที่แห่งนี้จะถือว่ายังอยู่ใจกลางเมือง หากแต่ด้วยพื้นที่กว้างขวางอันอุดมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ทำให้อากาศโดยรอบบริสุทธิ์ราวกับอยู่ต่างจังหวัด อีกทั้งยังมีความเงียบสงบอันเป็นผลจากถนนส่วนบุคคลที่ตัดเข้ามาลึกเกือบหนึ่งกิโลเมตรจากถนนใหญ่ทำให้เสียงผู้คนและรถราที่จอแจไม่อาจเข้ามาถึงจุดที่ทั้งสองยืนอยู่ในขณะนี้ได้ เด็กหนุ่มยืดตัวคลายกล้ามเนื้อที่ยึดตรึงจากการนั่งคุดคู้ในรถมาเป็นระยะเวลานาน ก่อนจะสูดอากาศเข้าไปเต็มปอด

        “เป็นไง ชอบมั้ย? บ้านจอสเอง” จอสถามพลางขยี้ตาพยายามปลุกตัวเองให้ตื่นเต็มที่
        “หมดนี่เลยเหรอ?” ภูถามพลางมองไปรอบๆตัว
        “บ้าเหรอ ไม่รวยขนาดนั้น” จอสชี้ไปยังข้างบนตึก “ต้องขึ้นไปอีกหน่อยนะ”

        จอสออกเดินนำพาภูเข้ามาในตัวอาคาร เดินผ่านล๊อบบี้ที่บรรดาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยดูเหมือนจะคุ้นเคยกับจอสเป็นอย่างดี เขาทักทายทุกคนอย่างเป็นกันเองก่อนจะมาหยุดที่หน้าลิฟท์และรอจนกระทั่งประตูเปิดออก เมื่อทั้งสองเข้าไปข้างในแล้ว พนักงานประจำลิฟท์ก็กดหมายเลขชั้นสี่สิบให้โดยไม่ต้องรอจอสบอก ลิฟท์พุ่งทะยานขึ้นไปด้วยความเร็วสูงจนภูเริ่มรู้สึกหูอื้อจนกระทั่งเมื่อมาถึงชั้นอันจุดหมายประตูก็เปิดออก ภูเดินตามจอสผู้เป็นเจ้าบ้านออกไปและพบว่าทั้งชั้นนี้มีห้องสำหรับพักอาศัยเพียงยูนิตเดียวซึ่งครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดของชั้น

        “เพนท์เฮาส์เลยเหรอ” ภูตาโตกับความหรูหราของสถานที่
        “ตามสบายเลยนะ” จอสเดินนำภูเข้ามาข้างใน

        ด้วยเพดานที่สูงและการตกแต่งที่เน้นความทันสมัยและเรียบง่ายทำให้พื้นที่ทั้งหมดดูกว้างขวางไม่แพ้บ้านหลังใหญ่ ภูเดินผ่านเข้าบริเวณที่เป็นห้องรับแขกไปยังประตูกระจกบานใหญ่ที่อยู่ด้านหลัง เมื่อเลื่อนเปิดมันออกสายลมแรงก็พุ่งเข้าปะทะใบหน้า เด็กหนุ่มเดินออกไปยังระเบียงข้างนอกและยืนมองทิวทัศน์ของเมืองหลวงที่กว้างสุดลูกหูลูกตา

        “ข้างบนนี่แดดแรงนะ นายไม่ร้อนเหรอ?” นั่งข้างในดีกว่ามั้ย?” จอสร้องถามจากข้างใน
        “อีกเดี๋ยวไป” ภูขอต่อเวลาดื่มด่ำกับบรรยากาศตรงนี้อีกสักพัก

        หลังจากผ่านไปสิบนาทีคำเตือนของเจ้าบ้านก็กลายเป็นจริงเมื่อแสงแดดที่ร้อนแรงเริ่มทำให้ภูรู้สึกหน้ามืด เด็กหนุ่มหลบเข้ามาข้างในและหย่อนกายนั่งพักลงที่โซฟานุ่มตัวใหญ่ในห้องรับแขก จอสเดินออกมาจากหลังเคาท์เตอร์พร้อมกับเครื่องดื่มในมือสองขวด เขาส่งมันให้ภูขวดหนึ่งก่อนจะนั่งลงข้างๆและกระดกดื่มจากอีกขวดที่เหลือ ภูลองยกขึ้นดื่มบ้าง รสเผ็ดซ่าติดลิ้นทันทีที่ของเหลวในขวดไหลเข้าปาก เป็นรสชาติที่ไม่คุ้นเคยหากแต่ก็ไม่ได้เลวร้าย ระหว่างที่ดื่มนั้นสายตาก็มองสำรวจไปรอบๆ หากแต่ก็ไม่พบวี่แววว่าจะมีใครคนอื่นอยู่ที่นี่ด้วยแม้แต่คนเดียว

        “จิงเจอร์เอล” จอสบอกชื่อของมัน “เคยกินมั้ย?”
        “ไม่เคยหรอก แปลกดี” ภูยกขึ้นดื่มอีกสองอึกก่อนจะวางขวดไว้บนโต๊ะกระจกเบื้องหน้า “พ่อแม่นายไม่อยู่เหรอ?”
        “ไม่อ่ะ” จอสตอบ
        “ไปทำงานกันทั้งคู่เลยเหรอ?” ภูถามต่อ
        “ไม่รู้อ่ะ ไม่ได้สนใจ” จอสตอบปัดๆ “พ่อเลิกกับแม่ แล้วทั้งสองคนก็ทิ้งเราไว้นี่ แม่แต่งงานใหม่ไปแล้ว ส่วนพ่อก็นานๆจะกลับมาที”
        “เอ่อ ขอโทษทีที่ถามละลาบละล้วง” ภูรู้สึกผิดที่เหมือนตนไปจี้ปมในใจของอีกฝ่าย
        “ไม่เป็นไร จอสเฉยๆ” จอสโบกมือทำเหมือนมันไม่สำคัญอะไร “จริงๆอยู่คนเดียวก็ดี สบายใจ ค่าใช้จ่ายค่ากินค่าอยู่พ่อก็ยังดูแลไม่ได้ละเลยอะไร ก็ต้องขอบคุณเค้าเรื่องนั้น”
        “ช่าย สะดวกนายเลยสิ จะพาใครมาก็ได้” ภูแกล้งตอบแบบที่คิดว่าอีกฝ่ายคงชอบเพื่อหันเหความรู้สึกออกจากเรื่องครอบครัว
        “ก็สะดวก” จอสมองมาทางภูเหมือนกำลังหยั่งเชิง “แต่ไม่กี่คนหรอกนะที่ได้ขึ้นมาที่นี่ เฉพาะคนที่พิเศษจริงๆ”

        ภูนิ่งอึ้งไปกับประโยคนั้นด้วยตระหนักว่าตนเองก็กำลังนั่งอยู่บนสถานที่ๆอีกฝ่ายพูดถึง รู้สึกได้ถึงใบหน้าที่ร้อนผ่าวขึ้นมาทุกขณะจนต้องก้มหลบด้วยกลัวอีกฝ่ายจะสังเกตุเห็น หากแต่ก็พยายามบอกกับตัวเองไม่ให้คิดอะไรฟุ้งซ่านเพราะคำว่าคนพิเศษของจอสอาจจะมีความหมายที่ไม่เหมือนกับนิยามของคนปกติทั่วไปเมื่อพิจารณาจากอุปนิสัยของเจ้าตัวแล้ว เมื่อเงยหน้ากลับขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าจอสยังคงจ้องมาทางตนอยู่ สายตาของอีกฝ่ายในยามนี้ดูราวกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง แต่ขณะที่ภูกำลังจะอ้าปากถามนั้นเขาก็ส่งเสียงชู่วพร้อมยกนิ้วขึ้นจุ๊ปากห้ามเอาไว้ ก่อนจะรีบร้อนลุกออกไปจากห้องรับแขกและกลับเข้ามาพร้อมกับหวีและยางมัดผมในมือ

        “นั่นมันคืออะไร?” ภูมองอุปกรณ์ในมือของจอสอย่างหวาดระแวงต่อเจตนา
        “หวีไง” จอสชูขึ้นให้อีกฝ่ายเห็นชัดๆ “แล้วนี่ก็ยางมัดผม”
        “แล้วนายคิดจะทำอะไรกับมันไม่ทราบ?” ภูเริ่มสังหรณ์ใจไม่ดี
        “ก็เมื่อกี้ออกไปตากลมนอกระเบียง ผมนายยุ่งหมดแล้ว เดี๋ยวเราจะช่วยจัดทรงให้ ถือว่าตอบแทนกับที่นายทายาให้เราตอนก่อนออกมาจากบ้าน” จอสกระเถิบเข้ามาใกล้ๆ
        “มะ.. ไม่เป็นไร” ภูรีบถอยหนี “เราทำเองได้ เอาหวีมาสิ”
        “ม่ายยย” จอสส่ายหน้า “my house my rule ตอนอยู่บ้านนาย เรายังทำตามที่นายขอทุกอย่างเลยนะ”
        “เออ จะทำอะไรก็ทำ” ภูขี้เกียจเถียงต่อ ตัดใจยอมให้จบเรื่องไป
        “หันหลังมาๆ” จอสรีบกระดี๊กระด๊าเข้ามา

        นับแต่วินาทีนั้นเส้นผมบนหัวของภูก็กลายเป็นของเล่นชิ้นใหม่ของจอส เด็กหนุ่มเนรมิตสารพัดทรงผมออกมาชนิดไม่เกรงใจเจ้าของศรีษะ จนกระทั่งมาจบลงที่การหวีจนเรียบและมัดหางม้าขึ้นสูงเหมือนพวกจอมยุทธในหนังจีน จอชเอาหนังยางมัดไว้ให้อยู่ทรงก่อนจะถอยออกมาดูผลงานของตนเองอย่างภาคภูมิใจ

        “เสร็จแล้ว!!” จอสประกาศ
        “ขอบคุณที่เสร็จซักที หนังหัวจะหลุดออกมาอยู่แล้ว” การถูกก่อกวนด้วยหวีและแรงมือเป็นระยะเวลานานทำให้ภูรู้สึกปวดหนึบไปทั่วศรีษะ
        “เราจะเรียกมันว่า ทรงหางกระรอก” จอสตั้งชื่อให้เสร็จสรรพ “เพราะนายน่ะผอมๆแห้งๆเหมือนกระรอก แล้วผมนี่ก็เหมือนหางฟูๆของมัน”
        “ขอบใจ จะถือว่านั่นเป็นคำชมนะ” ภูยืดตัวอีกรอบ ความเย็นของเครื่องปรับอากาศและโซฟาที่นุ่มจนแทบจะจมลงไปได้ทั้งตัวนี้ทำให้ต่อมขี้เกียจของเขาเริ่มทำงาน เด็กหนุ่มหลุดเผลอหาวออกมาอย่างคุมตัวเองไม่ได้
        “ง่วงเหรอ?” จอสถาม เมื่อภูพยักหน้าตอบจึงค่อยเสนอ “งั้นนอนเล่นไปก่อนก็ได้ ตื่นมาเดี๋ยวเราเลี้ยงข้าวชดเชยค่าแท๊กซี่ที่นายออกไปก่อน”
        “ไม่อ่ะ เรากลับเลยดีกว่า” ภูดูนาฬิกา เกือบสี่โมงเย็นแล้ว
        “กลับตอนนี้รถกำลังติดเลยนะ รอค่ำๆค่อยกลับดีกว่า” จอสพยายามโน้มน้าว

        ประโยคนั้นได้ผลกับภูอย่างชะงัดนัก ด้วยการเดินทางขามาเป็นดุจดั่งนรกบนพื้นผิวราดยางมะตอย หากจะต้องเผชิญกับอะไรแบบนั้นอีกรอบโดยทิ้งห่างกันเพียงไม่ถึงชั่วโมงก็คงหนักหนาสาหัสเกินไป เด็กหนุ่มยอมปล่อยตัวเองให้งีบหลับพักผ่อนเอาแรงบนโซฟาตัวนั้นก่อนจะมารู้สึกตัวอีกทีเมื่อได้ยินเสียงจอสเรียกปลุกให้มาทานมื้อค่ำ ภูลืมตาขึ้นอย่างสะลึมสะลือ ชั่วแวบหนึ่งจำไม่ได้ว่าตนอยู่ที่ไหนก่อนที่สติจะค่อยๆกลับมาเข้าร่าง เด็กหนุ่มหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู เวลาขณะนี้เกือบสองทุ่มแล้ว มีสายไม่ได้รับสองสายจากกรรณและแม่ และอีกสายหนึ่งจากพี่ช้าง เขารู้ทันทีว่าเมื่อครู่ตนเองคงหลับลึกมากจนไม่ได้ยินเสียงของมัน ภูกดโทรกลับหาแม่ก่อนแล้วตั้งใจว่าจะโทรหากรรณเป็นสายถัดไป หากแต่ก็พบว่าไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นเมื่อเวลานี้ทั้งสองอยู่ด้วยกันที่บ้านของภูแล้วอย่างที่เคยเป็นเช่นทุกวันก่อนหน้าที่กรรณจะหลบหน้าเขาไปถึงหนึ่งสัปดาห์เต็มๆ ภูบอกให้ทางบ้านทานอาหารกันไปก่อนเลยส่วนตนจะทานจากข้างนอกแล้วค่อยกลับไป แม่บ่นนิดหน่อยที่ไม่โทรมาบอกก่อนหน้านี้แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไร ก่อนจะวางสายกรรณเข้ามาคุยด้วยครู่หนึ่ง เพื่อบอกถึงการนัดหมายกับพี่ช้างในวันพรุ่งนี้ซึ่งน่าจะเป็นธุระของอีกหนึ่งสายที่ไม่ได้รับจากพี่ช้างอีกทั้งยังกำชับให้เด็กหนุ่มรีบกลับบ้านอย่าให้ดึกจนเกินไป

        หลังจากวางสาย ภูหันไปมองนอกระเบียง จอสนั่งอยู่ตรงนั้นกับโต๊ะอาหารขนาดเล็กสำหรับสองที่ เขาคงจัดมันตอนที่ภูยังหลับอยู่ เด็กหนุ่มเดินตามออกไปและนั่งลงยังฝั่งตรงข้าม และเมื่อมองดูบนโต๊ะก็หลุดหัวเราะออกมา

        “พิซซ่าเหรอ?” ภูขบขันกับความไม่เข้ากันอย่างรุนแรงระหว่างบรรยากาศและอาหารบนโต๊ะ
        “ง่าย เร็ว อร่อย” จอสสรุปข้อดีให้ “สั่งแป๊ปเดียวก็ได้กินแล้ว”
        “โอเค ก็ดี ไม่ได้กินนานแล้ว” ภูไม่ทำให้เจ้าภาพเสียน้ำใจ ถึงแม้พิซซ่าจะดูเป็นอาหารที่ขัดแย้งโดยสิ้นเชิงกับบรรยากาศรอบตัวในขณะนี้ ทว่าเมื่อพิจารณาจากบุคลิกของจอสแล้ว หากอาหารที่เตรียมไว้ไม่ใช่พิซซ่าสิ ถึงจะเรียกว่าแปลก
        “ว่าแต่น้องแดงลูกรักนายน่ะ อาการหนักมากมั้ย?” ภูถามถึงรถมอเตอร์ไซค์ของจอส
        “อย่าพูดถึง จะร้องไห้” จอสยกมือขึ้นปิดหน้าเหมือนอยากหนีไปให้พ้นจากความจริง “เอาเป็นว่าช่วงนี้เราคงต้องพึ่งลูกคนรองไปก่อน อย่างน้อยก็เดือนนึงน่ะ”
        “ลูกเยอะเนอะ” ภูหัวเราะหึ ก่อนจะกัดพิซซ่าเข้าปากไปอีกคำ
        “ถึงลูกจะเยอะ แต่ถ้าจะหาแม่ให้มันก็หาแค่คนเดียวนะ” จอสยิ้มกระลิ้มกระเหลี่ย
        “จ้า จ้า…” ภูลุกหนีมาที่ริมระเบียง คำพูดเมื่อครู่ของอีกฝ่ายทำให้เกิดเขินขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ

        เด็กหนุ่มทอดสายตาออกไปยังทิวทัศน์เดิมกับที่เคยมองเมื่อตอนบ่าย แสงอาทิตย์สุดท้ายได้ลาลับขอบฟ้าไปนานแล้วบัดนี้ถึงเวลาที่แสงสังเคราะห์จากเทคโนโลยีของมนุษย์บนพื้นโลกจะออกมาส่องสว่างแทนที่ ภูสูดอากาศเจือไอเย็นยามค่ำคืนเข้าปอดอย่างสดชื่น ปฏิเสธไม่ได้ว่าทิวทัศน์ระดับนี้เป็นสิ่งที่ไม่ได้มีมาให้ได้เชยชมบ่อยๆ เขาจึงเลือกที่จะกอบโกยมันเอาไว้ให้มากที่สุดเพื่อเก็บไว้ใช้เป็นดั่งโอเอซิสของชีวิตที่วุ่นวายจนแทบไม่มีเวลาพักผ่อนหาความสงบ

        ดวงตาของภูจับจ้องไปยังแสงสว่างที่เรืองรองมาจากทุกหนแห่ง ไม่ว่าจะเป็นแสงจากไฟหน้าจากรถราที่สัญจรอยู่บนท้องถนนไปในทิศทางเดียวกันด้วยความเร็วที่สม่ำเสมอ แสงจากอาคารสำนักงานที่ยังเต็มไปด้วยผู้คนที่ต้องอยู่ทำงานล่วงเวลา แสงจากบ้านเรือนที่เป็นดั่งสัญญาณของชีวิตที่กำลังดำเนินอยู่ในนั้น ทั้งหมดนี้ทำให้ภูรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นดั่งจุดสีเล็กๆบนผืนผ้าใบ เป็นหนึ่งในหลายสิ่งเหลือเกินที่กำลังเกิดขึ้นบนโลกในขณะนี้ เด็กหนุ่มพยายามคำนวณทิศทางเพื่อหาพิกัดที่ตั้งของบ้านตนเองและมองไปยังจุดนั้น ท่ามกลางแสงจากเคหะสถานมากมายที่รวมกับเป็นกลุ่ม หนึ่งในนั้นคือบ้านของเขา เพียงแค่หลับตาภูก็นึกภาพบรรยากาศในบ้านตอนนี้ออกว่ากรรณคงกำลังนั่งดูข่าวกับพ่อของตนอยู่ อาจจะกำลังเถียงกันอย่างออกรสด้วยความคิดเห็นที่ไม่ตรงกันอย่างที่มักจะเกิดขึ้นเป็นประจำ แล้วกรรณล่ะ ตอนนี้เขาจะกำลังนึกสงสัยบ้างหรือไม่ว่าเด็กหนุ่มข้างบ้านที่หายตัวไปไม่มาร่วมโต๊ะอาหารมื้อค่ำ เด็กหนุ่มคนที่เอาแต่คิดเรื่องของเขาอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก เวลานี้เด็กหนุ่มคนนั้นกำลังทำอะไรอยู่ที่ไหนกัน…

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

สุดท้าย  ใครจะเป็นพระเอกหนอ?

ออฟไลน์ nunda

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3004
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
หรือจอสจะชอบภู?

ออฟไลน์ cookie8009

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 109
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ของ ม. ไหนอ่ะครับ แถวท่าพระจันทร์?

มธ. น่าจะเรียนรังสิต หรือศิลปกร น่าจะไปทับแก้ว ไม่ใช่เหรอ

ออฟไลน์ Tiffany

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
ขอเชียร์จอนได้มั้ย ดูชัดเจนดี

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
จอสชอบภูรึป่าว

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
:pig4: :pig4: :pig4:

สุดท้าย  ใครจะเป็นพระเอกหนอ?

เดาไม่ยาก จริงๆไม่ต้องเดาเลยด้วยครับ ก็พี่กรรณนั่นแหละ แต่จอสก็เป็นตัวเอกอีกตัวหนึ่งเหมือนกัน จะมีความสำคัญในเรื่องออกจะมากกว่าพระเอกด้วยซ้ำ จากพลอตที่วางไว้ตอนอวสาน จะเป็นที่เรียกได้ว่าเป็นของจอสแบบเต็มๆเลย

ขอบคุณที่ติดตามนะครับ ตอนนี้มาได้ครึ่งทางแล้ว  :katai2-1:

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
หรือจอสจะชอบภู?

ไม่ชอบก็คงไม่มายุ่ง แต่ต้องรอดูว่าจะไปในทางไหนต่อครับ  :katai4:

ขอบคุณที่ติดตามนะครับ มาได้ครึ่งทางแล้ว  o13

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ของ ม. ไหนอ่ะครับ แถวท่าพระจันทร์?

มธ. น่าจะเรียนรังสิต หรือศิลปกร น่าจะไปทับแก้ว ไม่ใช่เหรอ

อันนี้น้อมรับเลยว่าผิดพลาดเองแต่แรกจริงๆ แต่มารู้ทีหลังก็เลยตามเลยเพราะถ้าแก้ก็ต้องไปตามแก้เรื่องอีกหลายจุดที่เชื่อมกัน ก็เลยอนุมาณเอาว่าเป็นที่ๆแต่งขึ้นแล้วกัน ไม่อิงความเป็นจริงร้อยเปอร์เซนต์เนอะ  :hao5:

ขอบคุณที่ติดตามและบอกจุดที่ผิดพลาดนะครับ  :katai2-1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
ขอเชียร์จอนได้มั้ย ดูชัดเจนดี

เชียร์ได้ รักได้ครับ เป็นตัวละครที่คนเขียนก็สนุกที่จะเขียนเหมือนกัน ลำเอียงถึงขนาดว่าปูให้ตนจบจะเป็นตอนที่ tribute ให้ตัวละครนี้เลยด้วยซ้ำ ออกแนวลูกรัก 555  :katai3:

ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะครับ มาได้ครึ่งทางแล้ว อยู่ด้วยกันไปจนจบนะ  :katai2-1:

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
จอสชอบภูรึป่าว

อาการออกซะขนาดนี้ ชอบแน่นอน แต่จะไปได้แค่ไหนก็ต้องคอยดูครับ  :katai4:

ขอบคุณที่ติดตามนะครับ ตอนนี้ครึ่งทางแล้วนะ อยู่กันไปจนจบนะครับ  :katai2-1:

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
:L2: :pig4: :L2:

ขอบคุณที่ติดตามมาแต่แรกเลยนะครับ แป๊ปๆก็มาได้ครึ่งทางแล้ว ติดตามไปจนจบด้วยกันนะ  :hao5:

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
Episode 13 part1

        “จอห์น กรีน หรือ มูราคามิ?” ภูถามโดยกำหนดตัวเลือกให้ตอบ
        “จอห์น กรีนสิ” จอสตอบแบบไม่ต้องคิด “มูราคามิเราเข้าไม่ถึง พยายามแล้วนะ แต่ไม่ใช่แนว”

        เวลาขณะนี้เกือบห้าทุ่มแล้ว และใช่ว่าภูจะไม่ได้รู้สึกตัวว่ากำลังอยู่จนดึกเกินกว่าที่วางแผนเอาไว้ในตอนแรก แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะบรรยากาศพาไปหรือเพราะความสนใจในตัวของเพื่อนใหม่ที่เพิ่งจะเริ่มเผยตัวตนที่แท้จริงออกมาจากเปลือกอันแข็งกระด้างที่เคลือบเอาไว้ภายนอกก็ตาม เด็กหนุ่มก็รู้สึกว่าคืนนี้ยังไม่ควรสิ้นสุดลง โทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงเริ่มสั่นเตือนถึงสายที่โทรเข้ามา ไม่ใช่ครั้งแรกแต่เป็นครั้งที่สามแล้ว และการตอบรับทั้งหมดที่ภูมีให้คือหยิบมันออกมาเพียงเพื่อจะดูชื่อผู้โทรก่อนจะยัดมันกลับเข้าไปในกระเป๋ากางเกงตามเดิม แม้ว่าผู้ที่โทรมาในทั้งสามครั้งจะเป็นกรรณก็ตาม

        จากบทสนทนาแบบแกนๆที่ทั้งสองมีให้กันในตอนแรกเริ่มพัฒนาจนกลายเป็นการพูดคุยอย่างถูกคอ ภูยกความดีความชอบส่วนหนึ่งให้กับเครื่องดื่มสีแปลกๆที่จอสนำมาเสิร์ฟให้ถึงระเบียง กลิ่นของแอลกอฮอล์จางๆที่ผสมปนเปอยู่ท่ามกลางรสหวานบาดลิ้น แน่นอนว่าภูไม่ใช่เด็กที่จะไร้เดียงสาขนาดที่จะไม่รู้ว่าเจ้าน้ำสีหวานในแก้วใบเล็กนี้สามารถทำให้ตนเองเมาได้ หากแต่การจิบดื่มเพียงเล็กน้อยพอให้เลือดได้สูบฉีดก็ทำให้การพูดคุยเป็นไปอย่างออกรสมากยิ่งขึ้น ภูได้รู้หลายสิ่งเกี่ยวกับตัวของเพื่อนใหม่ผู้นี้ เช่นที่ว่าแม้ภายนอกจะดูไม่ใกล้ไม่คล้าย หากแต่จริงๆแล้วจอสก็เป็นหนอนหนังสือตัวยงคนหนึ่ง เขามีชั้นหนังสือขนาดใหญ่ที่อัดแน่นไปด้วยหนังสือวรรณกรรมทั้งคลาสสิคและร่วมสมัย บนโต๊ะอ่านหนังสือในห้องเดียวกันนั้นมีแว่นสายตาวางอยู่บนหนังสือเล่มที่ยังอ่านค้างอยู่ ตอนแรกภูคิดว่าแว่นนั้นเป็นของพ่อของจอส จนกระทั่งอีกฝ่ายหยิบมันขึ้นมาสวมให้ดู พร้อมกับเผยอีกหนึ่งความลับว่าภายใต้หน้ากากเด็กแว้นตัวแสบยังมีเด็กเนิร์ดซ่อนตัวอยู่อย่างลับๆ

        เมื่อการพูดคุยถึงเรื่องรสนิยมต่างๆทั้งการอ่าน หนัง เพลง เกมส์ เริ่มมาถึงทางตัน เกมหนึ่งคำถามก็ถูกนำมาใช้เพื่อเป็นการปูทางไปสู่บทสนทนาต่อๆไป เริ่มแรกคำถามก็ยังคงเป็นเรื่องทั่วไปเช่นเรื่องสถานศึกษา เรื่องวันเกิด รสนิยมความชอบต่างๆ แต่ยิ่งเวลาผ่านไปจนล่วงเข้าวันใหม่ ก็เห็นได้ชัดว่าทั้งสองเริ่มกล้าจะรุกล้ำเข้าไปในพื้นที่ส่วนตัวของอีกฝ่ายมากขึ้นเรื่อยๆ

        “แฟนคนแรก คือใคร? แล้วก็เมื่อไหร่?” ภูถามหลังจากนั่งนึกอยู่นานว่าจะถามอะไรดี
        “ตอนม.สาม” จอสตอบ หน้าตาครุ่นคิดคล้ายกำลังพยายามขุดความทรงจำในอดีตออกมา “เป็นเพื่อนร่วมห้องเรียน”
        “อืม พวกกินเพื่อนนี่เอง” ภูพยักหน้า ก่อนที่ในวินาทีต่อมาจะนึกถึงบางอย่างที่เชื่อมโยงกันขึ้นมาได้ “เดี๋ยวนะ… แฟนคนแรกของนายเป็นเพื่อนร่วมห้อง แต่ตอนที่เราถามว่านายเรียนที่ไหน โรงเรียนที่นายตอบมามันเป็นโรงเรียนชายล้วนไม่ใช่เหรอ?”
        “อ่ะฮะ” จอสพยักหน้ารับว่าใช่ตามที่ภูพูด “แล้วยังไง?”
        “งั้นหมายความว่านายก็มีแฟนเป็น…” ภูเว้นคำท้ายสุดเอาไว้
        “ใช่ ผู้ชาย” จอสตอบหน้าตาเฉย

        ภูอ้าปากค้าง นึกสงสัยว่าทำไมตนถึงไม่เฉลียวใจมาก่อนหน้านี้แม้แต่น้อย

        “นี่ ขอโทษทีเถอะนาย ทั้งที่ตัวเองก็คบอยู่กับไอ้ลุงหน้าหล่อนั่นแท้ๆ ยังจะมีหน้ามาตกใจอีก” จอสพ่นลมออกจมูก รู้สึกเสียความมั่นใจนิดหน่อยกับท่าทีตกใจจนเกินกว่าเหตุของอีกฝ่าย
        “ขอโทษที ก็แค่ไม่คิดว่านายจะ..” ภูพยายามอธิบาย
        “แค่ไม่คิดว่าเราจะเป็นเหมือนนาย?” จอสต่อประโยคนั้นให้จบแล้วจึงค่อยเสริมต่อ “โลกนี้ยังมีเรื่องที่นายไม่รู้อีกเยอะ นายกระรอก”
        “เลิกเรียกด้วยชื่อนั้นได้มั้ยหา?” ภูรู้สึกรับไม่ได้กับชื่อเล่นใหม่ของตนที่อีกฝ่ายถือวิสาสะตั้งให้ตามทรงผม
        “ทำไมล่ะ น่ารักจะตาย” จอสขยับเข้ามาใกล้
        “ไอ้คำนี้ก็ไม่ต้องพูดด้วย…” ภูลุกหนีเช้ามาข้างในห้อง รู้สึกวางตัวไม่ถูกหลังจากการเปิดเผยตัวตนของจอสเมื่อครู่
        “เราคิดอะไร เราก็พูดแบบนั้น” จอสลุกตามมาไม่ยอมให้ภูหลุดรอดไปได้ “แต่ก็อย่างว่า นายคงไม่ชอบ เพราะนายชอบพวกขี้กั๊กมากกว่า”
        “ขี้กั๊กเหรอ?” ภูหันขวับ “นายว่าใคร?”
        “ก็ไอ้ลุงนั่นไง ไอ้ขี้กั๊ก” จอสตอบให้ “จะเป็นอะไรก็ไม่ยอมเป็น จะปล่อยก็ไม่ยอมปล่อย ไม่เรียกขี้กั๊กแล้วจะเรียกว่าอะไร?”
        “นี่นายแอบฟังทุกอย่างเลยงั้นเหรอเนี่ย?” ภูเพิ่งรู้ตัวว่าการปรับความเข้าใจกับกรรณเมื่อช่วงเช้าตกอยู่ในสายตาของจอสโดยตลอด “นี่เข้าใจคำว่าเรื่องส่วนตัวบ้างมั้ย ถามจริงๆเถอะ”
        “ก็เข้าใจ แล้วก็ยอมรับอ่ะว่าสอดรู้สอดเห็นเอง” จอสยอมรับ “แต่นายไม่รู้สึกตัวบ้างเหรอว่ายอมเค้ามากเกินไปแล้ว”

        คำถามนั้นเหมือนหมัดฮุคเข้ากลางอก ภูจนปัญญาจะหาคำตอบที่ฟังดูดีมาโต้อีกฝ่ายกลับไป ด้วยในใจเองลึกๆแล้วก็คิดและรู้สึกเช่นที่จอสพูดมาแบบไม่มีผิดเพี้ยน สำนวนไทยที่ว่าหวังน้ำบ่อหน้าเป็นเหมือนนิยามของความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคน เมื่อภูยอมทนกับความสัมพันธ์แบบครึ่งๆกลางๆที่มีเหตุผลเดียวคือคำว่าไม่พร้อม เพราะยังคาดหวังว่าสักวันกรรณจะพร้อมเป็นมากกว่านั้น ถึงจะไม่รู้ว่าวันนั้นจะมาถึงหรือไม่ก็เถอะ แต่ภูก็มั่นใจว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่คนนอกอย่างจอสจะมาตัดสินเอาเองได้ว่าอะไรเป็นอะไร

        “รู้สึกสิ แต่ทั้งหมดเราเต็มใจทำ ไม่มีใครบังคับ ขอบคุณที่เป็นห่วง” ภูตอบกลับไปในแบบที่ให้อีกฝ่ายเข้าใจว่าทั้งหมดเป็นการตัดสินใจของตนเอง
        “แล้วนายไม่คิดเหรอว่านายควรได้มากกว่านั้น?” จอสยังขยี้ไม่เลิก
       
        คิดสิ ทำไมจะไม่คิด!!! เสียงตะโกนตอบของภูดังก้องอยู่ในหัวหากแต่ไม่ได้หลุดออกจากปากไปเป็นคำพูด ทุกคำถามของจอสเป็นเหมือนการตะโกนเรียกร้องของจิตใต้สำนึกที่ภูเผชิญหน้ากับมันตามลำพังอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน หากแต่เมื่อมันมาในรูปแบบที่มีตัวตนและอารมณ์เข้ามายืนอยู่ตรงหน้า ความหนักแน่นของมันก็เพิ่มขึ้นอย่างมากจนเด็กหนุ่มอดไม่ได้ที่จะสั่นคลอนตาม ภูอยากตบปากตัวเองที่ถามเรื่องแฟนคนแรกกับจอสจนนำพาให้บทสนทนาที่เคยสนุกสนานลุกลามมาเป็นเรื่องชวนปวดหัวนี้ได้ ภูไม่เข้าใจเลยว่าเพื่อนใหม่คนนี้มีจุดประสงค์ใดซุกซ่อนอยู่ ทำไมจึงดูมีท่าทีจริงจังนักกับเรื่องความสัมพันธ์ที่เอาจริงๆแล้วก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาเลยแม้แต่น้อย

        “เราพอใจกับสิ่งที่มี โอเคมั้ย?” ภูตอบ พยายามทำสีหน้าให้แสดงออกว่าคิดตามที่พูดออกไปจริงๆ
        “แต่เราอยากให้นายได้มากกว่านั้น” จอสพูดด้วยเสียงที่อ่อนลงกว่าเมื่อครู่
        “มันไม่สำคัญหรอกว่านายอยากให้มันเป็นแบบไหน” ภูส่ายหน้าก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เกือบจะเป็นน้อยใจตัวเอง “เพราะนี่คือสิ่งที่มันเป็น มันเป็นแบบนี้ไปแล้ว”
        “สำคัญสิ เพราะเราเปลี่ยนมันได้” จอสเลื่อนปิดประตูระเบียง เมื่อปราศจากเสียงลมจากภายนอก ห้องนี้ก็เกือบจะเรียกได้ว่าเงียบสนิทราวกับสูญญากาศ “อยู่ที่ว่านายอยากจะเปลี่ยนมั้ย”
        “นายจะไปเปลี่ยนมันได้ยังไง ไปบีบคอเค้าให้ยอมทำตามเหรอ?” ภูยังคงจับเจตนาที่แฝงอยู่ของอีกฝ่ายไม่ได้
        “ก็ไม่ต้องให้มันเกี่ยวกับเค้าอีกต่อไปสิ” จอสเดินเข้ามาประชิดตัวภู ใกล้จนมากพอจะมั่นใจว่าถ้อยคำต่อจากนี้จะไม่หลุดรอดจากโสตประสาทอีกฝ่ายได้แม้แต่คำเดียว “ให้มันเป็นเรื่องของเราสองคนแทน”

        ความตกตะลึงทำให้สมองของภูต้องใช้เวลามากเกือบหนึ่งนาทีกว่าจะประมวลผลคำพูดประโยคนั้นและตีความหมายออกมาได้ เมื่อรู้แจ้งถึงสารที่อีกฝ่ายสื่อออกมาแล้วความตื่นตระหนกก็พุ่งเข้าเล่นงานจนขาทั้งสองข้างก้าวถอยพาร่างตนเองให้ออกห่างมาโดยอัตโนมัติ หากทว่าจอสก็เหมือนจะคาดการณ์เอาไว้แล้วจึงรีบขยับตามมาไม่ยอมให้ระยะห่างเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม ซ้ำยังใช้มือทั้งสองข้างจับกุมภูเอาไว้ที่ต้นแขนเพื่อไม่ให้ขยับหนีไปไหนได้อีก เด็กหนุ่มพยายามขืนตัวออกห่างแต่เรี่ยวแรงจากท่อนแขนคู่นั้นมีมากเกินกว่าจะต่อต้านได้ ยิ่งเขาพยายามฝืนอีกฝ่ายก็ยิ่งออกแรงมากขึ้นจนกระทั่งความเจ็บปวดเริ่มมาเยือน

        “เจ็บแล้ว พอเหอะ ปล่อยได้แล้ว” ภูเปลี่ยนจากการดิ้นรนมาเป็นขอร้องอีกฝ่ายแทน
        “ถ้าไม่เลิกหนีก็ไม่ปล่อย” จอสผ่อนแรงลงแต่ก็ไม่มากพอจะดิ้นหลุดได้ “ฟังคนเค้าพูดให้จบๆ จะเป็นไรมากมั้ย? กว่าจะรวบรวมความกล้ามาพูดได้มันยากนะ รู้ไว้ซะบ้าง”
        “ก็ว่ามาสิ” ภูยอมจำนนเพราะดูรูปการณ์ออกว่าขัดขืนไปก็คงจะไร้ประโยชน์
        “มานั่งก่อน” จอสคุมตัวภูมานั่งที่โซฟาชุดรับแขกก่อนจะนั่งลงขนาบประกบข้างไว้ “ถึงคนนั้นจะให้นายมากกว่าที่เป็นอยู่ไม่ได้ แต่เราให้ได้นะ”
        “เวรกรรม…” ภูอยากเขกกะโหลกตัวเองที่พลาดท่าหลวมตัวมาถึงจุดนี้จนได้

        ถึงแม้จะไม่เคยคบหาใครเป็นแฟนมาก่อน แต่ก็ใช่ว่าภูจะไม่คุ้นเคยกับการสารภาพรัก ด้วยที่ว่าเคยประสบกับตัวเองมาถึงสองครั้งสองครา ครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อครั้งยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย เมื่อเพื่อนหญิงร่วมชั้นเรียนเกิดลุกขึ้นมาสารภาพความในใจกับเขาในวันสุดท้ายของการสอบปลายภาค ซึ่งนับว่าเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดเพราะหลังจากอีกฝ่ายต้องเสียน้ำตาจากการโดนปฏิเสธไปแล้ว ทั้งสองก็ไม่เคยต้องกลับมาพบเจอหน้ากันให้ลำบากใจอีกเลย ส่วนอีกครั้งนั้นเกิดขึ้นเมื่อตอนที่เด็กหนุ่มเพิ่งก้าวขาเข้ามาเป็นนักศึกษาป้ายแดงในรั้วมหาวิทยาลัย โดยมีคู่กรณีเป็นชายหนุ่มรุ่นพี่จากต่างคณะ ซึ่งบรรยากาศโดยรวมของครั้งนี้ดูเป็นทางการน้อยกว่าครั้งแรกมาก จึงทำให้ภูไม่รู้สึกลำบากใจเท่าไหร่กับการที่ต้องบอกปัดความรู้สึกของอีกฝ่ายไป หากทว่าคนอกหักมันมีปฏิกิริยาที่รุนแรงเสมอ เพราะถึงแม้ว่าภูจะพร่ำบอกไม่รู้กี่สิบรอบในวันนั้นว่ายังคงเป็นเพื่อนกันต่อได้ แต่หลังจากนั้นทุกครั้งที่พบเจอกันโดยบังเอิญ อีกฝ่ายก็ไม่เคยมองหน้าหรือสบตากับเขาอีกเลย

        ด้วยเหตุที่ว่าการสารภาพรักทั้งสองครั้งนำพามาซึ่งการเสียมิตรภาพอันพึงจะมี จึงทำให้ภูพยายามหลีกเลี่ยงสถานการณ์เช่นนี้มาโดยตลอด หากพบวี่แววว่ากำลังจะเกิดขึ้นก็ไม่รีรอที่จะตัดไฟแต่ต้นลม แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกับทุกครั้ง ไม่ว่าจะด้วยอะไรบดบังตาเด็กหนุ่มก็ไม่เห็นเค้าลางของมันมาก่อนจนกระทั่งมันเกิดขึ้น เขามองจอสที่นั่งอยู่ข้างๆ สายตาของอีกฝ่ายที่มองมาทางตนไม่ต่างกันเลยกับสายตาของทั้งสองคนที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ มันคือความคาดหวัง ซึ่งโดยธรรมชาติแล้วเมื่อมีความคาดหวังเกิดขึ้น ความผิดหวังก็มักจะเป็นสิ่งที่ตามมาอย่างช่วยไม่ได้
   
        “ถ้าเป็นเรา เราจะไม่มีคำว่าไม่พร้อมสำหรับนายเลย ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม” จอสโฆษณาโน้มน้าวใจ “นายไม่คิดว่าแบบนี้จะดีกว่าเหรอ?”
        “ไม่” ภูตอบสั้นๆ “ไม่เอา”
        “ไม่เห็นต้องรีบปฏิเสธขนาดนั้นเลย ให้ตายสิ น่าเกลียดจริงๆ” จอสทำหน้าเซ็งสุดๆ “เอาแบบทดลองใช้ก่อนก็ได้ คบกับเราไปก่อน ถ้าคนนั้นเค้าพร้อมจะจริงจังกับนายเมื่อไหร่ ถึงตอนนั้นถ้านายยังไม่ผูกพันกับเรา นายจะไปก็ไป แต่เชื่อเถอะ ถ้าได้เริ่มกับเราแล้ว นายเลิกไม่ลงหรอก”
        “ไปเอาความมั่นใจผิดๆแบบนั้นมาจากไหนเยอะแยะ” ภูมองบน “แล้วอีกอย่าง เรื่องแบบนี้มันทดลองกันได้ที่ไหน ความรู้สึกมันไม่ใช่ของเล่นนะ ถ้าถึงตอนนั้นที่นายว่าแล้วเรายังเลือกจะไปหาเค้าเหมือนเดิมล่ะ นายจะไม่เสียใจหรือไง”
        “ก็เสียใจ แต่คงเสียใจแทนนายมากกว่า ที่พลาดของดีไปแล้ว” จอสยกหางตัวเองเต็มพิกัด
        “ยังไงก็ไม่ ขอบคุณ” ภูตั้งท่าจะลุกหนีแต่จอสดึงให้กลับลงมานั่งตามเดิม “แล้วอีกอย่างนะ เราก็เพิ่งจะเจอกัน จะให้เชื่อได้ยังไงว่านายจะมาจริงจังอะไรกับเราแบบที่นายว่ามา”
        “เรื่องนั้นก็เป็นสิ่งที่เราต้องช่วยกันค้นหาไง” จอสยังโน้มน้าวต่อ
        “ปวดหัวจี้ดเลย” ภูกุมขมับ “พูดตรงๆเลยนะ จากที่คุยกันวันนี้ เราน่าจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ อย่าให้อะไรที่มันเกินกว่านั้นมาทำลายสิ่งที่เรามีตอนนี้เลย”
        “คือยังไงก็จะเป็นแค่เพื่อน?” จอสทำหน้าเหมือนโดนขัดใจ
        “เพื่อนดีกว่านะ แฟนยังทิ้งกันได้ แต่เพื่อนไม่ทิ้งกัน” ภูเกลี้ยกล่อม
        “งั้นตอนนี้เป็นแค่เพื่อนก็ได้” จอสยอมพบกันครึ่งทาง “แต่บอกไว้เลยนะว่าเราไม่ใช่พวกยอมแพ้อะไรง่ายๆ”
        “พยายามไปเถอะ” ภูรู้ดีว่าห้ามไปก็คงไม่ฟัง “เราเองก็ไม่ใช่พวกใจอ่อนง่ายๆเหมือนกัน”
        “งั้นตอนนี้ขออย่างนึงได้มั้ย?” จอสถามเสียงอ้อน
        “อะไรอีก?” ภูวิตกกับท่าทีมีเลศนัยของอีกฝ่าย
        “ขอจูบที” จอสพูดออกมาเหมือนมันเป็นเรื่องธรรมดาอย่างเช่นขอจับมือ ซ้ำยังยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆเพื่อทำตามสิ่งที่ขอ
        “ตลกไม่เลิกนะ” ภูดันหัวอีกฝ่ายออก “เราจะกลับแล้ว พรุ่งนี้มีนัดงาน”
        “ถ้าไม่ยอมก็ไม่ต้องกลับ” จอสยืนกรานจะเอาให้ได้ “นายปฏิเสธเราแบบใจร้ายมากนะ ขอแค่จูบปลอบใจซักทีจะเป็นอะไรไป”
        “คนปกติมีใครเค้าจูบกันปลอบใจหรือไง” ภูไม่ยอมหลงคารม
        “มีสิ เพราะจูบมีหลายแบบ วันนี้เราจูบกันแบบเพื่อน” จอสทำหน้าใสซื่อ
        “มันเป็นยังไง จูบแบบเพื่อน” ภูไม่เคยได้ยินอะไรพรรค์นี้มาก่อน
        “มาใกล้ๆสิ เดี๋ยวจะรู้” จอสเชิญชวน “ไม่ต้องกลัวหรอก ไม่มีใครรู้ รับรองจอสปิดปากเงียบ”
   
        อันที่จริงแล้วภูจะลุกหนีแล้วเดินออกไปโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรก็ย่อมทำได้ หากแต่ความรู้สึกบางอย่างที่เกิดขึ้นทำให้เด็กหนุ่มไม่ต้องการจะให้ครั้งนี้ต้องลงเอยด้วยการเสียมิตรภาพเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา บางครั้งบางคราวปัญหาก็ยุติได้ด้วยการยอมโอนอ่อนผ่อนตาม ถึงแม้คำขอนั้นจะแปลกและพิสดารอยู่บ้างแต่ก็ไม่ใช่เรื่องหนักหนาสาหัส อีกทั้งจอสเองก็ไม่ใช่คนน่ารังเกียจมาจากไหน ผู้หญิงนับร้อยคนคงยอมลดอายุตัวเองลงครึ่งหนึ่งเพื่อได้จูบกับเขาสักครั้งในชีวิต อีกทั้งที่นี่ก็มีเพียงแค่เขาสองคน หากภูไม่พูดและจอสไม่ปริปากตามที่บอกจริง เรื่องนี้ก็จะเป็นความลับไปตลอด เมื่อคิดได้เช่นนั้นแล้วภูก็จึงค่อยพยักหน้าตอบตกลงไปแบบกล้าๆกลัวๆ จอสยิ้มร่าเหมือนเด็กได้ของขวัญถูกใจ เขารีบยื่นหน้าเข้ามาประชิดกับใบหน้าของภู
   
        “เดี๋ยว…” ภูร้องบอกถึงขอบเขต “แค่แบบเพื่อนเท่านั้นนะ”
   
        จอสพยักหน้า ภูปิดตาไม่กล้ามองเมื่ออีกฝ่ายยื่นใบหน้าหล่อบาดใจนั้นเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ สิ่งถัดมาที่เด็กหนุ่มรู้สึกคือริมฝีปากของตนถูกนาบประกบด้วยสัมผัสที่นุ่มและชื้น จอสพรมจูบบนริมฝีปากของภูจนทั่วก่อนจะเม้มเข้าที่ริมฝีปากล่างและดูดดุนมันเบาๆราวกับเชิญชวน มือข้างหนึ่งของจอสยกขึ้นมาช้อนเข้าที่หลังศรีษะของภูเพื่อไม่ให้หันหนีไปไหน เด็กหนุ่มรู้สึกได้ถึงไออุ่นจากช่องปากของอีกฝ่ายที่พ่นรวยรินออกมาและปลายลิ้นแข็งแรงที่เริ่มดุนดันไปทั่ว หากแต่ก็พยายามสะกดกลั้นตนเองไม่ให้เคลิ้มไปจนเผยอริมฝีปากเปิดรับมันเข้ามาเพื่อรักษาขอบเขตอันพึงจะมีเอาไว้ จอสยังคงพยายามจะนำพาจูบนี้ไปให้ถึงที่สุดอยู่อีกครู่หนึ่งก่อนจะยอมถอดใจเลิกดึงดัน  เขาถอนริมฝีปากออก หน้าผากทั้งสองยังคงพิงชิดกัน ลมหายใจถี่กระชั้นอยู่อีกพักหนึ่งก่อนจะค่อยๆผ่อนคลายลงกลับมาอยู่ในระดับปกติ
   
        “ใจแข็งกว่าที่คิดไว้อีกนะ” จอสลูบหัวภูเบาๆ
   “ก็บอกแล้ว” ภูตอบเสียงแผ่ว ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาสบตา
   
        ภูรีบเดินหนีไปยังประตูทางออกจากห้องก่อนจะพบว่ายังไงก็ต้องรอจอสเพราะประตูนี้ต้องใช้คีย์การ์ดเปิดจึงจะออกไปได้ เด็กหนุ่มเจ้าบ้านเดินตามมาในอีกไม่นานและใช้กระเป๋าสตางค์ของตนแนบเข้ากับประตูเพื่อเปิดล๊อค ภูก้าวขาจะเดินออกไปแต่จังหวะก็ช่างประจวบเหมาะกับจอสที่ทำสิ่งเดียวกันพอดี ทั้งสองชะงักทำตัวไม่ถูกหากแต่ก็เป็นจอสที่ดูเหมือนจะพาตัวเองกลับมาเข้ารูปเข้ารอยได้เร็วกว่า เขาขยับถอยและผายมือทำท่าเชิญให้ภูเดินออกไปก่อน จากนั้นจึงค่อยตามมาจนกระทั่งเข้าลิฟต์ลงมาถึงล๊อบบี้ชั้นล่าง จอสบอกกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้เรียกแท๊กซี่เข้ามาให้ก่อนจะตามออกไปยืนข้างภูที่ล่วงหน้าออกไปรอยังด้านหน้าของอาคารแล้ว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-03-2018 10:49:43 โดย lolito »

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
Episode 13 part2

        “ขอโทษทีนะ ถ้าไม่ได้เพิ่งจะรถล้มมาก็ว่าจะไปส่งนายเองอยู่” จอสทำท่าเสียดาย
        “ไม่เป็นไร แท็กซี่ก็ได้ รอจนดึกป่านนี้รถคงไม่ติดแล้วล่ะ” ภูล้อเลียนตัวเองที่ตอนแรกกะจะรอแค่ให้พ้นช่วงเวลารถติด แต่กลับติดลมอยู่ยาวจนดึกดื่นล่วงเข้าวันใหม่
        “แท็กซี่ดึกๆอันตรายนะ ถึงเป็นผู้ชายก็ใช่ว่าจะปลอดภัย” จอสขู่ให้กลัว
        “ยังไงก็ปลอดภัยกว่าอยู่กับนายแน่ล่ะ” ภูหัวเราะออกมา
        “ที่บอกว่าอยู่กับเราไม่ปลอดภัยเพราะกลัวจะอดใจไม่ไหวล่ะสิ?” จอสย้อน “ถ้าเมื่อกี้ยืดเยื้อกว่านั้นอีกนิดนึง ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างแล้วก็ไม่รู้”
        “พอเลย เพื่อนกัน จำได้ไหม” ภูย้ำเตือนถึงจุดยืน ไม่ใช่แค่เพียงกับจอสแต่ยังบอกกับตนเองด้วย
        “ก็ได้… ก็ได้… “ จอสยกมือยอมแพ้
   
        แท็กซี่วิ่งเข้ามาจอดยังจุดรับส่งด้านหน้าอาคาร ขณะที่ภูกำลังจะเดินไปขึ้นรถ จอสก็รีบเร่งฝีเท้าแซงขึ้นมาเปิดประตูให้ก่อนที่ภูจะเดินไปถึง อีกหนึ่งการกระทำที่เกินเพื่อน ภูบันทึกมันเอาไว้ในใจว่าครั้งหน้าต้องไม่เปิดโอกาสให้จอสทำอะไรแบบนี้ได้อีก ลำพังแค่จูบเมื่อครู่ก็เป็นสิ่งที่ยอมตามใจตัวเองจนปล่อยให้อีกฝ่ายเข้ามาล้ำเส้นมากเกินไปแล้ว ภูบอกกับตัวเองว่ามันเกิดขึ้นเพราะความอยากรู้ นอกจากสองจูบของกรรณ อันมีส่วนประกอบหลักในแต่ละครั้งคือความเมามายและความสับสน เด็กหนุ่มก็ไม่เคยได้ทดลองมันกับใครอีก จนกระทั่งถึงวันนี้ ภูไม่อาจบรรยายความแตกต่างของรสจูบจากทั้งสองคนได้ ไม่เชี่ยวชาญถึงเพียงนั้น หากแต่ถ้าจะให้เปรียบเทียบ จูบของกรรณให้ความรู้สึกเหมือนเหล้าที่เกาะอยู่บนก้อนน้ำแข็งก้นแก้ว หวานเมื่อแรกจิบและเหลือติดไว้แต่เพียงรสขมและความเย็นชาที่ปลายลิ้น ในขณะที่จูบของจอสมีรสชาติเหมือนเนยที่กำลังละลาย ร้อนรุ่ม หอมยั่วยวน และมีโทษแอบแฝงจึงต้องคอยหักห้ามใจไม่ให้กลืนลงคอ
   
        ระหว่างทางกลับบ้าน กรรณยังคงโทรเข้ามาอีกหลายครั้ง ภูเพียงแค่มองดูแสงสว่างจากหน้าจอกระพริบยามมีสายเรียกเข้าและรอจนกระทั่งมันดับไป หลังจากถูกอีกฝ่ายหลบหน้ามาทั้งสัปดาห์นี่คือบทลงโทษเล็กๆน้อยๆที่ภูพอจะมอบให้กรรณได้ และถ้าจะไม่มากจนเกินไป ภูก็หวังว่ามันจะทำให้กรรณพอเข้าใจได้บ้างแม้เพียงสักนิดก็ยังดีว่าการต้องเป็นฝ่ายเฝ้ารออยู่ข้างเดียวมันทรมานแค่ไหน 
   
        เมื่อจ่ายค่าโดยสารและลงมาจากรถเรียบร้อยแล้ว ภูเดินมาหยุดที่หน้าประตูรั้วพลางล้วงหากุญแจจากในกระเป๋ากางเกงเพื่อจะเข้าบ้าน ขณะนั้นเองแขนข้างหนึ่งของเขาก็ถูกกระชากอย่างแรงจากข้างหลัง และก่อนที่เด็กหนุ่มจะทันได้ส่งเสียงร้องใดๆออกมานั้น มืออีกข้างก็ยื่นมาปิดปากเอาไว้เสียก่อน

        “นี่พี่เอง อย่าร้อง มันดึกแล้วเดี๋ยวคนจะตกใจตื่นกันหมด” เสียงทุ้มๆของกรรณกระชิบมาจากด้านหลัง เมื่อภูพยักหน้าว่ารับทราบแล้วเขาจึงค่อยคลายมือที่ปิดปากอยู่ลง “มากับพี่ก่อน ขอคุยด้วยหน่อย”
        “ดึกแล้ว รอพรุ่งนี้ดีกว่าพี่ ผมอยากนอนแล้ว พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าด้วย” ภูตอบกลับไปด้วยเสียงที่เบาพอๆกัน ตาเหลือบมองเข้าไปในบ้านกลัวว่าพ่อกับแม่อาจจะยังตื่นอยู่และมาเห็นเข้า
        “ไม่ได้หรอก พี่ไม่รอแล้ว” กรรณออกแรงลากตัวภูไปทางบ้านตนเอง
   
        สำหรับภูแล้วนี่ถือเป็นผลตอบรับที่ค่อนข้างเกินความคาดหมาย ตอนแรกเด็กหนุ่มคิดว่าอย่างมากอีกฝ่ายก็คงรอจนเจอกันตอนเย็นของอีกวันแล้วค่อยถามว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมจึงไม่รับสาย แต่นี่กลับถึงขั้นมาดักรอหน้าบ้าน แล้วยังจะท่าทางกระวนกระวายใจเหมือนกำลังโกรธมากนั่นอีก เมื่อเห็นเช่นนี้แล้วภูก็อดคิดเสียดายไม่ได้จริงๆว่าน่าจะทำแบบนี้มาตั้งนานแล้ว

        เมื่อเข้ามาอยู่ในบ้าน กรรณรีบลงกลอนที่ประตูราวกับกลัวว่าเด็กหนุ่มที่ตนเพิ่งลากมาจะหลบหนีออกไป ภูยืนนิ่งทำตัวไม่ถูกได้แต่รอให้อีกฝ่ายพูดธุระที่ว่าออกมา ในขณะที่กรรณเดินวนไปมาอยู่ที่หน้าประตูเหมือนคิดอะไรไม่ออกก่อนจะตรงเข้ามาหาภูอีกครั้งและพาไปนั่งที่ชุดโซฟารับแขก

        “พี่มีอะไรกันแน่เนี่ย?” ภูยอมเป็นฝ่ายเอ่ยปากถามขึ้นมาเอง หลังจากพิจารณาดูแล้วเห็นว่าถ้าจะรอให้อีกฝ่ายพูดก่อนก็คงต้องรอต่อไปยันสว่างคาตา
        “ก็… “ กรรณก้มหน้าแล้วสูดหายใจเข้าออกลึกๆเหมือนพยายามคุมอารมณ์ “ไปไหนมา?”
        “ก็เที่ยวไง เหมือนเมื่อก่อนนั่นแหละ นานๆจะได้มีวันว่างผมก็อยากพักผ่อนตามใจบ้าง” ภูโกหกไปเพราะความจริงเป็นสิ่งที่พูดแล้วอีกฝ่ายคงเข้าใจได้ยาก
        “เที่ยวกับใครมา?” กรรณยังซักต่อ
        “ก็เพื่อนที่มหาลัยฯ จะไปกับใครได้อีกล่ะ” ภูโกหกอีกครั้ง
        “จะไม่พูดความจริงใช่มั้ย?” กรรณเงยหน้าขึ้น แววตาดูดุกร้าวขึ้นไม่ได้อ่อนโยนเหมือนทุกครั้ง
        “ก็บอกไปหมดแล้วไง ถ้ามันไม่ใช่คำตอบที่พี่อยากได้ ผมก็ไม่มีอะไรจะตอบแล้ว” ภูยังคงโกหก ด้วยถือคติว่าขึ้นหลังเสือแล้ว กลับลำกลางคันไม่ได้เด็ดขาด
        “พี่คุยกับเพื่อนนายมาหมดแล้ว ไม่มีใครรู้ว่านายไปไหนซักคน” กรรณหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา และเปิดหน้าจอแสดงหมายเลขโทรออกทั้งหมดให้ภูดู เด็กหนุ่มถึงกับตาค้างเมื่อเห็นเบอร์โทรของเพื่อนในกลุ่มตนทั้งหมดถูกโทรออกเรียงยาวเป็นตับอยู่ในนั้น “ตอนแรกพี่ไปถามสาลี่ที่บ้านเค้า เค้าจะโทรหานาย แต่พี่บอกว่านายไม่รับสาย เลยให้ลองเช็คกับเพื่อนคนอื่นๆดู เค้าเลยให้เบอร์ทุกคนมาแล้วให้พี่โทรไปเช็คเอง”
        “อะไรเนี่ย… ต้องทำขนาดนี้เลยเหรอ…” ภูเริ่มสั่นเมื่อถูกจับโกหกได้แบบดิ้นไม่หลุด
        “เอาล่ะ ทีนี้จะพูดความจริงมาได้หรือยังว่าไปไหนกับใครมา?” กรรณจ้องหน้าเด็กหนุ่ม นัยน์ตาดุที่จ้องเขม็งมานั้นทำให้ภูกลัวจนไม่กล้ามองหน้าอีกฝ่ายตรงๆ

        เริ่มต้นมันยังเป็นแค่ความกลัวที่ถูกจับได้ว่าโกหก แต่ไม่นานนักเมื่อภูหวนนึกย้อนไปยังทุกสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเขาและกรรณ ความรู้สึกน้อยใจในหลายสิ่งที่เก็บกดเอาไว้ตั้งแต่เมื่อตอนเช้าโดยไม่โต้เถียงไป ก้มหน้ายอมรับทุกอย่างตามที่อีกฝ่ายว่ามาด้วยหวังจะรีบปรับความเข้าใจกันให้เรียบร้อยเพื่อไม่ให้ความลับเรื่องจอสแตก ตอนนี้เมื่อถูกกระแทกกระทั้นทางอารมณ์ด้วยท่าทีไม่เป็นมิตรเหมือนตำรวจเค้นคอผู้ต้องหาเช่นนี้ สิ่งที่ทนกล้ำกลืนเอาไว้ก็พลันก็ล้นเอ่อขึ้นมาอีกครั้ง ส่งผลให้ความกลัวเริ่มเปลี่ยนเป็นความโกรธจนถึงจุดที่ไม่อาจเก็บเอาไว้กับตัวได้อีกต่อไป

        “พี่จะเอาอะไรกับผมอีกล่ะ?” ภูหันไปมองหน้าอีกฝ่าย แม้จะยังรู้สึกกลัวแต่ความต้องการจะเผชิญหน้ามีมากกว่า “ทีพี่ไปไหนมาไหนคนเดียว หลบหน้าผมกลับดึกๆทุกวันเมื่ออาทิตย์ก่อน ผมยังไม่ไปเค้นคอพี่เลยว่าไปไหนมา”
        “อยากรู้ก็ถามสิ พี่ตอบได้หมดนั่นแหละ!” กรรณแทบจะตะโกนตอบกลับมา “นี่อย่ามาเบี่ยงประเด็นนะ”
        “ไม่ได้เบี่ยงประเด็น ก็แค่สงสัย ว่าเรามีสิทธิ์ในตัวกันและกันแค่ไหน?” ภูพยายามคุมน้ำเสียงไม่ให้สั่น “ผมยอมพี่ทุกอย่าง พี่อยากให้ทำอะไรผมก็ทำ ยอมให้พี่มีสิทธิ์ในตัวผมเต็มที่แล้ว แต่สิ่งเดียวที่พี่มีให้ผมคือคำว่าไม่พร้อม ผมไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าไม่พร้อมคืออะไร ไม่พร้อมเรื่องอะไร?”
        “สรุปก็กลับมาเป็นเรื่องนี้อีกจนได้สินะ” กรรณถอนหายใจ นั่งลงบนโซฟา “นึกว่าเมื่อเช้าเราคุยกันรู้เรื่องแล้วซะอีก”
        “ก็ตอบมาสิ ไม่พร้อมคืออะไร?” เป็นตาของภูที่จะรุกไล่เอาคำตอบจากอีกฝ่ายบ้าง “ถ้าพี่ไม่ให้ผมรู้อะไรเลย ไม่ให้ผมได้เข้าถึงสิ่งที่พี่คิดเลย ผมก็ไม่รู้ว่าผมกำลังรออะไรอยู่” 
        “ทุกอย่างมันก็เพื่อตัวนายนะ” กรรณยังไม่ยอมตอบให้ตรงคำถาม “เพื่ออนาคตนาย”
        “ถามผมบ้างไหม ก่อนจะทำสิ่งที่บอกว่าทำเพื่อผม?” ภูถามย้อนกลับไป “ผมอายุเพิ่งยี่สิบเองนะพี่กรรณ ผมยังไม่ต้องการให้ใครมาทำเพื่อผม ผมไม่ต้องการให้พี่มาห่วงอนาคตผม เรื่องพวกนั้นผมมีพ่อแม่คอยทำให้แล้ว ตอนนี้ผมแค่อยากให้พี่ให้ในสิ่งที่ผมสมควรได้รับ ให้ในสิ่งที่ผมให้พี่ไปหมดแล้วตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกันเลย”

        กรรณก้มหน้านิ่ง ผงกหัวเบาๆเป็นสัญญาณว่ากำลังรับฟังทุกถ้อยคำ
   
        “ถ้าพี่อยากให้เราเป็นแค่พี่น้อง พี่ก็บอกมาตรงๆ ผมยอมรับได้ เสียใจแน่ล่ะ แต่ก็จะยอมรับเพราะมันเป็นเรื่องที่บังคับกันไม่ได้” ภูลุกจากโซฟา เริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะร้องไห้แต่ก็พยายามกลั้นเอาไว้ “ผมเป็นพี่น้องกับพี่ได้ แต่ไม่ใช่แบบนี้ ไม่ใช่ในแบบที่เป็นอยู่ในตอนนี้”
        “พี่ไม่เคยอยากเป็นแค่พี่น้องกับนาย ไม่เคยเลย… ” กรรณเงยหน้าขึ้นมามองภูอีกครั้ง แววตาดูสงบลงกว่าเมื่อครู่ “และอีกอย่างหนึ่งที่นายยังไม่รู้ คือก่อนหน้าที่นายจะเจอพี่ พี่มีคนที่ชอบอยู่แล้ว”
        “หมายความว่ายังไง?” ภูไม่เข้าใจกับประโยคอันแสนวกวนนั้น น้ำตาเขาไหลออกมาหนึ่งหยดแล้ว แต่ก็ใช้หลังมือปาดเอาไว้ทัน
        “ตอนเรียนม.ปลาย พี่แอบชอบรุ่นน้องคนนึง แต่เขาไม่เคยรู้ตัวว่ามีใครแอบมองเขาอยู่” กรรณหัวเราะออกมาเบาๆเหมือนขบขันตัวเอง “เขาจะรีบออกไปโรงเรียนแต่เช้า กลับมาก็ตรงดิ่งเข้าบ้าน พี่เองถึงจะคุ้นเคยกับพ่อแม่ของเขา แต่ก็ไม่เคยกล้าจะเข้าไปทำความรู้จักกับเขาโดยตรง ได้แต่ผลัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อย จนรู้ตัวอีกที ก็ต้องไปเรียนต่อแล้ว”
   
        กรรณลุกตามมาและเดินเข้าใกล้ภูทีละน้อยราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะตกใจเตลิดหนีหายไป
   
        “พี่จะพูดอะไรกันแน่…” ภูถอยหนี ทั้งสับสนและไม่มั่นใจว่าตนตีความสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมาถูกหรือไม่
        “ตั้งแต่กลับมาถึงไทย พี่ก็ตั้งใจว่าครั้งนี้จะต้องเข้าไปบอกความในใจกับเขาให้ได้” กรรณยังคงรุกคืบเข้ามามากขึ้น
        “แล้วเขาคือใครล่ะ?” ภูถามออกไป เพื่อสิ้นสุดการคาดเดาที่ไม่จบสิ้นนี้เสียที
        “เด็กทึ่มเอ๊ย…” กรรณเข้ามาประชิดและโอบเข้าที่เอวเด็กหนุ่มเอาไว้ ศรีษะก้มลงจนหน้าผากจมลงไปในเรือนผมของภู “ก็นายไง… ต้องให้พูดตรงๆใช่มั้ยถึงจะพอใจ ว่าพี่แอบชอบนายตั้งแต่ก่อนจะไปเรียนต่อแล้ว”
   
        เหมือนพลุทั้งคลังแสงระเบิดพร้อมกันอยู่ในหัว เป็นคำสารภาพที่ทำเอาภูถึงกับตาพร่าและหูอื้อไปได้ในเวลาเดียวกัน จริงอยู่ที่ก่อนหน้านี้กรรณจะเคยเผยออกมาแล้วว่าความรู้สึกที่เขามีให้กับภูนั้นไม่ต่างกับที่เด็กหนุ่มมอบให้เขา แต่รายละเอียดที่เพิ่มเข้ามาในครั้งนี้กลับทำให้ทุกอย่างดูลึกซึ้งจนไกลเกินกว่าที่ภูเคยคาดฝันเอาไว้ เมื่อเมื่อคำนวณถึงระยะเวลาทั้งหมดแล้วก็ทำให้ภูนึกอยากจะชกอีกฝ่ายเข้าที่หน้าแรงๆสักหนึ่งครั้ง เจ็ดปีเชียวนะ ตั้งเจ็ดปี!! ภูนึกในใจ ทุกสิ่งทุกอย่างมันควรจะเริ่มต้นตั้งแต่เจ็ดปีก่อนหากเจ้าตัวไม่มัวแต่อมพะนำเก็บงำเอาไว้แล้วหนีไปเรียนต่อยังต่างแดน หากทว่าแม้จะเกิดความยินดีขึ้นมาอย่างไม่คาดฝัน แต่ปัญหาที่ต้องสะสางก็ยังคงอยู่ ซึ่งภูตั้งใจแล้วว่าจะไม่ปล่อยให้มันค้างคาอีกต่อไป
   
        “ก็ถ้ามันเริ่มขึ้นตั้งนานขนาดนั้นแล้ว… พี่ยังไม่พร้อมอะไรอีกล่ะ?” ภูถาม เสียงอ่อนลงเพราะความโมโหโทโสละลายหายไปหมดแล้ว
        “พี่ช้างเขาขอเอาไว้ อย่าเพิ่งเริ่มความสัมพันธ์อะไรตอนนี้ เขาอยากให้นายโฟกัสแค่เรื่องเรียนกับงานไปก่อน เพราะแค่ทำสองอย่างนี้ไปพร้อมกันมันก็หนักมากแล้ว เขาไม่อยากให้เรื่องหัวใจมันมารบกวนจนเสียหมดทุกอย่าง” กรรณยอมคายเหตุผลออกมาในที่สุด “พี่รับปากเค้าไว้แล้วก็ต้องทำตามนั้น”
        “หมายความว่าพี่ช้างก็รู้เรื่องนี้งั้นเหรอ?” ภูตกใจนิดหน่อยเพราะที่ผ่านมาพี่ช้างไม่เคยแสดงออกว่ารู้เรื่องเหล่านี้เลยแม้แต่นิดเดียว
        “ก็รู้ล่ะ ตอนพี่พานายไปฝาก เขาก็ดูออกว่าไม่ได้เป็นแค่พี่น้อง ก็ตามประสาพวกกร้านโลก” กรรณแอบแว้งกัดรุ่นพี่นิดหน่อย “เขาก็เลยโทรหาพี่วันถัดมา แล้วก็บอกว่าถ้าจะให้เขาดูแลงานให้นาย พี่ต้องยอมให้ความร่วมมือเรื่องนี้”
        “งั้นผมไม่ทำแล้ว” ภูประกาศเด็ดเดี่ยว “ที่ผ่านมาผมยอมทำงานเพราะพี่อยากให้ทำ แต่ถ้าตอนนี้ผมทำแล้วคบพี่ไม่ได้ ผมก็ไม่ทำ พอแค่นี้แหละ”
        “ไม่เอาน่า” กรรณลูบหัวเหมือนจะเกลี้ยกล่อม “มันดีต่อตัวนายเองนะ ไม่จำเป็นต้องทำไปตลอดก็ได้ แค่พอให้มีเงินทุนเก็บไว้ แล้วถึงตอนนั้นนายอยากจะออกมาทำอะไรตามใจก็ได้แล้ว”
        “งั้นพี่ก็ต้องเป็นฝ่ายยอมผมบ้างแล้วล่ะ” ภูพลิกบทบาทกลับมาเป็นผู้ยื่นข้อเสนอเสียเอง “โยนคำว่าไม่พร้อมอะไรนั่นทิ้งไปได้เลย ผมจะทำงานนี้ต่อ ก็ต่อเมื่อเราคบกันแล้วเท่านั้น”

        กรรณมองหน้าเด็กหนุ่มที่ตนโอบกอดอยู่ เมื่อเห็นใบหน้าที่ตนเฝ้าฝันถึงมาตลอดหลายปีที่อยู่ต่างแดน ผ่านรูปถ่ายใบเดียวที่ลอบถ่ายยามที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว จนกระทั่งได้กลับมาพบอีกครั้ง เด็กหนุ่มคนนั้นยังคงอยู่ที่เดิมพร้อมกับหัวใจที่ว่างเปล่าไม่มีใครในนั้น จากนั้นโชคชะตาก็นำพาให้ทุกอย่างมาถึงจุดนี้ เช่นนี้แล้วเขาจะปฏิเสธคำขอนั้นได้อย่างไร ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงพยักหน้าตกลงด้วยความรู้สึกที่ยินยอมพร้อมใจที่สุดในชีวิต

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ก็ไม่ได้เดาผิดหรอก  ว่าใครเป็นพระเอกอ่ะ

เพียงแต่ว่า  นุ้งจอสที่โผล่เข้ามาเนี่ย  จะมีบทบาทในด้านใด

แต่ตอนนี้เท่าที่เห้นคือ "เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา" ทำให้สองคนนั้นเลิกอมพะนำ

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :katai5:

ถ้าอีพี่ยังไม่ยอมเราจะให้น้องไปดักตีหัว แล้วก็ลากเขาถ้ำไปซะ ปากแข็งจริงๆ 55
 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ Tiffany

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
คนน้องชัดเจนขนาดนี้ แล้วคนพี่จะยอมชัดเจนเหมือนน้องมั้ยน้า

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ผ่านมาตั้ง7ปีเลยนะ คบกันเถอะ

ออฟไลน์ ANIKI.

  • 兄貴
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 190
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-1
อ่อ..ก็นึกว่ากรรณจะแบบ กั๊กอย่างที่จอสพูดเสียอีก

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด