FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน  (อ่าน 72525 ครั้ง)

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
อร๊ายย เขิน >///<

ตอนหน้ามีเขินหนักกว่านี้แน่นอน  :hao6:

ขอบคุณนะครับที่ติดตามกันมาตลอดเลย  o13

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
Episode 15 part1

        หลังจากอาหารมื้อค่ำเสร็จสิ้น เมื่อช่วยแม่ของภูเก็บล้างจานชามจนหมดแล้วกรรณก็ขอตัวกลับบ้านโดยใช้ข้ออ้างว่ายังมีงานที่ต้องรีบจัดการให้เสร็จก่อนถึงกำหนดส่งในวันพรุ่งนี้ พ่อของภูถึงแม้จะออกอาการเซ็งที่ขาดเพื่อนเชียร์ฟุตบอลในวันนี้แต่ก็ไม่ได้รั้งตัวกรรณเอาไว้ ด้วยเข้าใจว่าเรื่องภาระหน้าที่ต้องมาก่อน ระหว่างที่ชายหนุ่มกำลังจะออกจากบ้านไปนั้น ภูผู้ซึ่งตอนนี้ไฟราคะลุกโชนเต็มที่จากการโดนปลุกเร้ามาตลอดช่วงเวลามื้อค่ำก็พยายามสังเกตท่าทางของอีกฝ่ายพร้อมกับส่งสัญญาณบุ้ยใบ้ว่าจะให้ตนตามกลับไปด้วยหรือไม่ หากแต่กรรณก็ยังตีหน้าตายทำไม่รู้ไม่ชี้จนเด็กหนุ่มทนไม่ไหวเดินกระแทกเท้าหนีขึ้นห้องนอนของตนเองไปด้วยความโมโห ทว่ายังไม่ทันจะปิดประตูห้องเสียงสัญญาณเตือนข้อความเข้าก็ดังขึ้นจากโทรศัพท์มือถือ ภูหยิบมันออกมาดูและพบว่าเป็นเบอร์ของกรรณที่ส่งเข้ามา เด็กหนุ่มรีบกดอ่านเนื้อหาข้างในทันที

        โมโหอะไร? 

        เป็นข้อความสั้นๆ ที่ส่อเจตนาได้อย่างชัดเจนว่าเกมไขสือยังไม่จบลงและได้ย้ายสังเวียนมาเป็นในโทรศัพท์มือถือแล้ว ครั้งนี้ภูไม่ยอมตกเป็นเหยื่อฝ่ายเดียวอีกต่อไป เด็กหนุ่มรีบพิมพ์ข้อความตอบและส่งกลับคืนไปให้กรรณ

        เปล่าครับ ง่วงแล้ว

        ข้อความตอบกลับจากกรรณส่งกลับมาในเวลาไม่ถึงนาที ภูล้มตัวลงนอนบนเตียงและเปิดอ่าน

        ง่วงหรือว่า….

        ภูเดินหน้าเกมฝั่งของตนต่อ

        ง่วงครับ นอนก่อนนะ

        ครั้งนี้ไม่มีข้อความตอบกลับมาจากกรรณ ทว่าเพียงไม่ถึงห้านาทีหลังจากนั้นภูก็ได้ยินเสียงบางอย่างกระทบเข้ากับหน้าต่างห้องนอน เด็กหนุ่มปั้นสีหน้าให้ดูงัวเงียก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงและเดินไปยังที่มาของเสียง อีกฝั่งของระเบียงนั้นกรรณยืนชะโงกหน้าออกมาอยู่เมื่อเห็นภูเดินมาแล้วเขาก็รีบส่งสัญญาณให้เปิดหน้าต่าง ภูแกล้งทำเป็นอิดออดก่อนจะเปิดแบบเสียไม่ได้

        “มีอะไรครับพี่ ผมง่วง จะนอนแล้ว” ภูหาวประกอบเพื่อความสมจริง

        “ยังไม่สี่ทุ่มเลย รีบนอนจัง” กรรณดูลุกลี้ลุกลนจนเห็นได้ชัด ซึ่งนั่นทำให้ภูรู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายหลงกลเข้าเต็มๆ

        “ก็ง่วง วันนี้ออกไปข้างนอกตั้งแต่เช้า ร้อนด้วย เหนื่อยด้วย” ภูยังเล่นต่อ เป็นการเอาคืนจากที่โดนกรรณแกล้งตอนอยู่ข้างล่าง “พี่ก็ทำงานเถอะครับ เจอกันพรุ่งนี้นะ”

        “ไม่เอา ไม่อยากทำงาน วันนี้ทำงานทั้งวันแล้ว อยากทำอย่างอื่นมากกว่า” ชายหนุ่มอ้อนเป็นลูกแมว ภูเกือบหลุดขำออกมาด้วยไม่เคยเห็นอีกฝ่ายเป็นแบบนี้มาก่อน

        “งั้นพี่อยากทำอะไรก็ทำเลยครับ ผมจะนอนแล้ว” ภูทำท่าจะปิดหน้าต่าง

        “อยากนอนก็มานอนห้องพี่นี่มาเร็วๆ เตียงนุ่ม มีแอร์ เทคแคร์ดี” กรรณเชิญชวน

        “ไม่เอาอ่ะ ห้องรก” ภูยังเล่นตัว ทั้งที่ใจอยากจะกระโจนออกนอกหน้าต่างไปเดี๋ยวนั้นแล้ว

        “วันนี้เก็บจนเรียบร้อยแล้วครับ ก็รู้ว่าจะมีคนมา” กรรณบอกก่อนจะทำทีว่าจะข้ามมายังฝั่งของภู “หรือถ้าไม่อยากมา จะให้ไปหาเองก็ได้นะ”

        “ไม่ต้องเลย รออยู่นั่นแหละ” ภูเลิกแกล้งกรรณ “ขอล๊อคห้องแป๊ปนึงครับ แม่จะได้คิดว่านอนแล้ว”

        ภูเดินไปกดล๊อคประตูห้องนอนจากข้างในก่อนจะกลับมาที่หน้าต่างและปีนออกไปยังระเบียงด้านนอก กรรณคอยประคองจับเอาไว้ตลอดเวลาขณะที่ภูข้ามมายังระเบียงฝั่งของตน จนกระทั่งเท้าของเด็กหนุ่มลงมาแตะยังพื้นทางเดินเบื้องล่างมือของอีกฝ่ายจึงค่อยปล่อยออกและเปลี่ยนเป็นจูงมือภูพาเข้าไปในตัวบ้านแทน ระหว่างที่สองเท้าก้าวเดินตามอีกฝ่ายนั้นภายในหัวของภูยังคงคิดฟุ้งซ่านไม่หยุดถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่กี่อึดใจต่อจากนี้ มันจะดำเนินไปได้อย่างราบรื่นหรือไม่? ในเรื่องความยินยอมพร้อมใจนั้นเด็กหนุ่มมีให้เต็มร้อย หากทว่าก็ยังอดกังวลไม่ได้ในอีกหลายๆเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องความเจ็บที่กรรณเกริ่นเอาไว้เมื่อคืนวาน

        ประตูห้องนอนของกรรณถูกเปิดออก ภูรู้สึกเหมือนเห็นภาพยนตร์ที่กำลังจะเล่นต่อจากฉากที่ถูกหยุดค้างเอาไว้ บรรยากาศภายในห้องยังคงเหมือนเดิมเพียงแค่เป็นระเบียบเรียบร้อยขึ้นตามที่กรรณได้กล่าวอ้างเอาไว้ เด็กหนุ่มตั้งท่าจะเดินไปนั่งลงที่ขอบเตียงเหมือนที่ทำเมื่อวานแต่ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่รอให้เขาทำเช่นนั้น ทันทีที่บานประตูปิดลงกรรณก็ไม่ยอมให้เวลาเสียไปโดยเปล่าประโยชน์แม้แต่เพียงอีกวินาทีเดียว กรรณหันกลับมาและใช้สองมือเกาะกุมเข้าที่เอวของเด็กหนุ่มก่อนจะดันร่างของอีกฝ่ายจนหลังชิดกับบานประตู ภูรู้สึกได้ถึงลมหายใจร้อนผ่าวที่รินรดอยู่ข้างใบหูขณะที่กรรณเริ่มซุกไซร้ใบหน้าลงข้างศรีษะของเขา ปลายจมูกโด่งสวยนั้นสูดดมกลิ่นอายจากเรือนผมไล่มาจนถึงแก้มและจบลงที่ริมฝีปาก ภูลิ้มรสกลิ่นหอมสะอาดของมินท์ที่ถูกถ่ายทอดจากปากของกรรณผ่านทางลิ้นอันอ่อนนุ่มของอีกฝ่ายที่เข้าแทรกผ่านริมฝีปากมาเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นของเขา กลิ่นหอมสดชื่นนั้นทำให้เด็กหนุ่มเกิดนึกขึ้นได้ว่าตนยังไม่ได้จัดการอะไรเกี่ยวกับสุขอนามัยของตัวเองเลยนับตั้งแต่กลับถึงบ้าน และความคิดนั้นก็ทำให้เขาเกิดหมดความมั่นใจขึ้นมาอย่างกะทันหัน ภูใช้สองมือดันที่อกของกรรณส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายหยุดปฏิบัติการลิ้นสว่านที่กำลังดำเนินอยู่

        “มีอะไร? ไม่โอเคเหรอ?” กรรณถามหลังจากถอนริมฝีปากออกมาอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก
       
        “คือ ผมยังไม่ได้อาบน้ำ ไม่ได้แปรงฟันเลย” ภูบอกอย่างอายๆ “ขอเวลาสิบนาทีได้มั้ยครับ?”

        “ไม่เป็นไร เรื่องแค่นี้เอง” กรรณตั้งท่าจะเข้ามาจูบต่อ แต่ภูก็ยังผลักศรีษะของอีกฝ่ายไว้

        “ไม่เอาอ่ะ วันนี้อยู่ข้างนอกทั้งวัน เหงื่อออกหมักหมมจนเน่าหมดแล้ว” ภูส่ายหน้าเพราะรู้สึกไม่โอเคกับตัวเอง

        “เน่าเหรอ?” กรรณถาม ก่อนจะใช้สองมือดันเลิกเสื้อของเด็กหนุ่มขึ้นแล้วย่อตัวลงจูบเข้าที่หน้าท้องเบาๆ “ก็ไม่เห็นจะเน่าตรงไหนเลย… “

        “เหม็นเหงื่อจะตาย” ภูตอบเสียงสั่น สัมผัสรัญจวนใจที่ประทับลงบนผิวเนื้อนั้นมากเกินกว่าจะสะกดกลั้นความรู้สึกไหว

        “เหม็นเหงื่อด้วยเหรอ?” กรรณเลิกเสื้อของภูขึ้นสูงกว่าเดิมก่อนจะรวบแขนทั้งสองข้างของอีกฝ่ายให้ชูขึ้นและดึงถอดมันออกไป จากนั้นจึงแนบริมฝีปากเข้าที่สีข้างของเด็กหนุ่มก่อนจะใช้ปลายลิ้นไล้ลากขึ้นไปจนถึงซอกหลืบใต้วงแขน “พี่ว่าออกจะหอมด้วยซ้ำไป”

        ภูหลับตาปี๋ ร่างกายยามนี้ร้อนผ่าวไปทุกส่วนราวกับโดนเพลิงสุมเผา ยิ่งเมื่อกรรณใช้ปลายลิ้นชื้นแฉะนั้นลากไล้หยอกล้อวนเวียนอยู่ที่ปลายอกก่อนจะเม้มปากดูดดุนดึงจนส่วนยอดบนสุดผลุบหายเข้าไปในปาก เด็กหนุ่มดิ้นเร่าส่งเสียงครางหลุดรอดออกมาอย่างอดรนทนไม่ได้ ไม่คาดคิดมาก่อนว่าร่างกายของตนเองจะไวต่อสัมผัสถึงเพียงนี้ เส้นขนทั่วทุกส่วนของร่างกายพร้อมใจกันลุกชัน ขาทั้งสองสั่นจนหมดกำลังจะประคองตัวให้ยืนตรงได้ กรรณเหมือนรู้เท่าทันต่อความรู้สึกของอีกฝ่าย เขาหยุดการโลมเลียเอาไว้เพียงชั่วคราวก่อนจะใช้สองแขนแข็งแรงคู่นั้นสอดอุ้มยกร่างอันอ่อนระทวยของเด็กหนุ่มและพาไปยังเตียงนอน

        ทันทีที่ร่างถูกปล่อยวางลงบนเตียง ผ้าปูที่นอนก็ซึมซับหยดเหงื่อที่ผุดขึ้นมาทั่วแผ่นหลังของเด็กหนุ่มเอาไว้ กรรณเริ่มสานต่อสิ่งที่ค้างคาไว้เมื่อครู่ เขาเคลื่อนตัวต่ำลงไปกว่าเดิมจากอกลงสู่หน้าท้องและก้าวล่วงล้ำไปยังจุดที่ยังไม่เคยมีใครไปถึงมาก่อน ชายหนุ่มใช้สองมือปลดกระดุมกางเกงยีนของภูซึ่งเป็นดั่งปราการสุดท้ายที่คั่นขวางเอาไว้จนหลุดออกหมดทุกเม็ดแล้วจึงดึงถอดมันออกโดยมีเด็กหนุ่มเจ้าของกางเกงคอยยกสะโพกอำนวยความสะดวกให้ กรรณโยนกางเกงยีนที่ถอดมากับมือทิ้งไปที่ปลายเตียง เวลานี้ทั้งร่างของภูเหลือเพียงกางเกงบ๊อกเซอร์เพียงตัวเดียวที่เป็นอาภรณ์ปกปิดเอาไว้อยู่ ซึ่งกรรณก็ไม่ปล่อยให้มันอยู่รอดลอยนวลไปได้นานกว่านั้น เขายื่นมือไปจับขอบเอวของมันและค่อยๆดึงถอดลงจนในที่สุดก็หลุดออกมาจากปลายเท้าทั้งสองข้างของผู้สวม

        “ปิดไฟให้ห้องมืดกว่านี้ได้ไหมครับ?” ภูขอร้อง ร่างกายบิดเอี้ยวหลบสายตาที่จับจ้องมา แม้ว่าจะกำลังตกอยู่ในห้วงอารมณ์แห่งความปรารถนาอย่างลึกล้ำ ทว่าความเขินอายจากการต้องเผยร่างเปลือยเปล่าต่อหน้าผู้อื่นเป็นครั้งแรกในชีวิตกลับมีอิทธิพลต่อจิตใจได้มากกว่า

        “พี่อยากเห็นนาย” กรรณไม่ยอมทำตามคำขอของภู เขาก้มลงและกระซิบที่ข้างหูของเด็กหนุ่มที่กำลังนอนตัวสั่นเทิ้มอยู่เบื้องล่างด้วยสำเนียงที่เกือบจะเป็นการอ้อนวอน “หันมาตรงๆสิครับ”

        ภูพ่ายแพ้เสมอกับทุกคำขอของกรรณ ไม่เว้นแม้แต่ครั้งนี้ เด็กหนุ่มค่อยๆกลั้นใจคลายร่างกายที่ขดคู้จนกลับมาอยู่ในท่านอนหงายตามเดิม ใบหน้ายังคงแดงก่ำจากเลือดที่สูบฉีดอย่างรุนแรงราวกับกระแสน้ำบ้าคลั่งในฤดูน้ำหลาก มือทั้งสองยังพยายามเอื้อมไปปิดจุดอันเป็นสิ่งพึงสงวนไว้ใต้ร่มผ้าหากแต่ก็ถูกกรรณจับยกหลบออกไปให้พ้นทาง จนในที่สุดทุกส่วนในร่างกายของภูก็ปรากฎสู่สายตาของชายผู้ที่จับจ้องอยู่จากเบื้องบน กรรณทอดสายตามองดูภาพตรงหน้าแล้วยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจก่อนจะก้มจูบลงบนผิวอ่อนนุ่มบริเวณต้นขาด้านในของภู เด็กหนุ่มสะท้านเฮือกใหญ่ กายเกร็งไปทั้งร่างราวกับถูกไฟช๊อตเมื่อปลายลิ้นลากไล้เข้าไปถึงยังซอกหลืบที่ลึกลับที่สุดในร่างกาย สะโพกเผลอยกลอยขึ้นจนไม่ติดเตียง

        “พี่กรรณ อย่า ไม่เอาตรงนั้น” ภูร้องห้ามเสียงแหบพร่า

        ดวงตาคมคู่นั้นของกรรณเหลือบมองขึ้นมา คิ้วเข้มที่เรียงตัวสวยเหนือดวงตาเลิกขึ้นเล็กน้อยราวกับสงสัย หากแต่ก็ไม่ใด้ใส่ใจมากพอจะหยุด สองมือจับรั้งต้นขาที่พยายามกระถดถอยหนีของภูเอาไว้แน่นพร้อมกับผลักยกมันขึ้น เด็กหนุ่มลืมตาขึ้นมองสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับตน ด้วยกำลังหน้ามืดตามัวกับรสสัมผัสที่อีกฝ่ายปรนเปรอให้ เขาจึงไม่ทันได้สังเกตว่ากรรณถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกไปจนหมดตั้งแต่เมื่อไหร่  ร่างเปลือยเปล่าของกรรณโน้มตัวลงคร่อมทับภูเอาไว้ บางสิ่งที่ใหญ่โตและกำลังแข็งขันเบียดเข้ากับร่องกายช่วงล่างของเด็กหนุ่มซึ่งเปียกลื่นไปด้วยน้ำลาย บ่าของเขาถูไถกับเข่าของภูขณะที่ร่างโยกขยับจัดท่าทางให้เข้าที่ และวินาทีนั้นเองที่ภูรู้ตัวว่าทุกอย่างได้มาถึงจุดที่ไม่อาจหวนกลับ มันเกิดขึ้น ภูรู้ทันทีเมื่อสัมผัสได้ถึงการรุกล้ำเข้าไปที่เกิดขึ้นอย่างช้าๆ เนิบนาบ และนุ่มนวล แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่อาจหลีกหนีความเจ็บปวดได้ เด็กหนุ่มนิ่วหน้า ส่งเสียงร้องโอดครวญออกมา ถึงขั้นร้องขอให้อีกฝ่ายหยุด หากทว่าสายเกินไปที่จะถอยเมื่อทุกสิ่งได้ดำเนินไปจนสุดทางของมันแล้ว เสียงของกรรณที่คอยกระซิบปลอบโยนและพร่ำบอกรักอยู่ข้างหูกลั้วด้วยเสียงลมหายใจหอบกระเส่าช่วยให้ความรู้สึกโดยรวมดีขึ้น เวลานี้เด็กหนุ่มรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังเคลื่อนไหวอยู่ในร่างกายของตน จากเชื่องช้าค่อยๆเร่งขึ้นเรื่อยๆ ภูปล่อยให้กรรณทำทุกอย่างตามที่ต้องการจนกระทั่งมันจบลงที่ใบหน้าอันบิดเบี้ยว ร่างกายที่เกร็งกระตุก และเสียงครางที่ขาดห้วงของกรรณ ทั้งหมดปรากฎอยู่ตรงหน้าของเขา และเป็นดั่งเชื้อประทุให้ดอกไม้ไฟของเด็กหนุ่มระเบิดแสงสว่างไสวตามไปในระยะเวลาหลังจากนั้นเพียงไม่นาน

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
Episode 15 part2

        ภูยังอยู่ในอ้อมแขนของกรรณตอนที่ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เด็กหนุ่มไม่อาจทราบได้ว่าตนหลับไปนานแค่ไหน เนื่องจากบรรยากาศภายในห้องมืดเกินกว่าจะมองเห็นเข็มนาฬิกาบนผนังอีกทั้งโทรศัพท์มือถือก็อยู่ในกระเป๋ากางเกงยีนที่กรรณโยนทิ้งไปไว้ปลายเตียง แต่สังเกตจากท้องฟ้าภายนอกที่ยังคงมืดสนิทก็บ่งบอกได้ว่าวันใหม่ยังคงมาไม่ถึง ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศทำให้ภูรู้สึกหนาวถึงแม้จะมีร่างอุ่นๆของกรรณกอดนาบประกบชิดอยู่ ซ้ำยังเริ่มรู้สึกอายกับการต้องเปลือยกาย เขาค่อยๆขยับตัวยกแขนของชายหนุ่มที่กกกอดตนอยู่ออกอย่างช้าๆ ตั้งใจว่าจะลุกไปหยิบเสื้อกับกางเกงบ๊อกเซอร์มาสวมโดยไม่ทำให้อีกฝ่ายตื่น แต่ทว่าเมื่อลงจากเตียงและขาทั้งสองข้างกลับมายันพื้นรับน้ำหนักตัวทั้งหมดอีกครั้ง ความเจ็บปวดก็พุ่งทะยานจากจุดเกิดเหตุขึ้นสู่สมองทันที แม้จะพยายามสะกดกลั้นแล้วแต่เสียงร้องโอดโอยก็หลุดออกมาจากปากจนได้

        “ภู… “ กรรณรู้สึกตัวตื่นขึ้นหลังจากได้ยินเสียงแห่งความเจ็บปวดนั้น “เป็นอะไรมากไหม? “
       
        “เจ็บสุดๆ เดินไม่ได้แล้ว” ภูนิ่วหน้า ร่างขดคู้อยู่ที่ขอบเตียง “พวกทำร้ายร่างกายเด็ก”

        “ก็เตือนไว้แล้ว ถึงได้ไม่ทำตั้งแต่เมื่อวาน” กรรณสงสารใจจะขาดด้วยรู้อยู่เต็มอกว่าความเจ็บปวดนี้เกิดจากฝีมือของตน “ขอโทษนะ พี่ไม่น่าทำลงไปเลย”

        “ผมก็ยอมให้พี่ทำเอง” ภูไม่ยอมให้อีกฝ่ายต้องรู้สึกผิด เด็กหนุ่มพยายามฝืนยิ้ม “ถึงจะเจ็บแต่ก็แฮปปี้นะ”

        “แฮปปี้เหรอ?” กรรณไม่ค่อยเชื่อ

        “ช่าย… แฮปปี้สุดๆ” ภูลากเสียงยาว “จริงอยู่ว่าอาจจะเดินยากนั่งลำบากไปอีกหลายวัน แต่ก็ถือว่าคุ้ม”

        “ทำเป็นพูดดี มานี่มา… “ กรรณขยับเข้ามาโอบภูให้กลับลงไปนอนบนเตียงตามเดิม “แล้วเมื่อกี้จะแอบหนีไปไหน?”

        “ไปหยิบเสื้อผ้ามาใส่สิ หนาวอ่ะ อายด้วย” ภูพยายามขยับตัวปรับท่านอนให้กระทบกระเทือนจุดที่บาดเจ็บน้อยที่สุด

        “หนาวก็ไม่บอก” กรรณเอื้อมมือไปคว้ารีโมทเครื่องปรับอากาศที่วางไว้หัวเตียง ก่อนจะกดปรับเพิ่มอุณหภูมิให้อุ่นขึ้นจากที่เป็นอยู่ “แบบนี้โอเคกว่าไหม?”

        ภูพยักหน้า กรรณก้มลงจูบเบาๆที่แก้มของเด็กหนุ่มอีกครั้งก่อนจะเอนตัวลงนอนตาม ภูค่อยๆขยับตัวกระเถิบขึ้นไปจนศรีษะตะแคงหนุนอยู่บนต้นแขนของอีกฝ่าย กรรณตอบรับด้วยการยกมือขึ้นมาและลูบศรีษะของภูเบาๆ เด็กหนุ่มหลับตานิ่ง จมูกสูดกลิ่นอายจากร่างกายของชายที่ตนรักในขณะที่มือก็ไม่อยู่สุขเที่ยวลูบคลำไปตามแผงอกและลำตัวของอีกฝ่ายก่อนจะย่ามใจเอื้อมต่ำลึกลงไปจนในที่สุดก็สัมผัสเข้ากับสิ่งที่เพิ่งทำให้ตนบาดเจ็บมาหมาดๆ

        “ไปยุ่งกับมัน เดี๋ยวก็เจ็บตัวอีกรอบหรอก” กรรณขู่

        “อย่าแม้แต่จะคิด ตอนนี้ปิดบริการแล้ว” ภูปล่อยมือออกและเลื่อนขึ้นมาวางบนแผงอกของกรรณ เด็กหนุ่มสัมผัสได้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจที่อยู่ข้างใต้นั้น “ผมถามอะไรหน่อยได้ไหม?”

        “ว่ามาสิ” กรรณยินดีตอบทุกคำถาม

        “พี่บอกว่าชอบผมตั้งแต่ก่อนไปเรียนต่อ ถ้างั้นเจ็ดปีที่ผ่านมา พี่เคยคบใครมาบ้างหรือเปล่า?” ภูอยากรู้ แม้จะตระหนักอยู่ลึกๆว่าคำตอบที่ได้อาจจะไม่ใช่คำตอบเดียวกับที่คาดหวังเอาไว้

        “อยากได้คำตอบแบบสร้างภาพเอาใจแฟน หรือคำตอบแบบตามความจริงล่ะ?” กรรณเสนอตัวเลือกให้

        “เอาความจริงสิ ไอ้แบบสร้างภาพอ่ะจินตนาการเอาเองก็ได้ไม่ต้องถามหรอก” ภูเลือกตัวเลือกที่สอง

        “ถ้าเอาตามจริง ก็มีบ้าง แต่ไม่ได้คบจริงจังอะไร ส่วนมากก็เป็นแค่คู่นอนกันเฉยๆ” กรรณตอบตามตรงอย่างที่เด็กหนุ่มร้องขอ “อยู่คนเดียวมันก็มีเหงาบ้าง ก็ต้องหาทางระบาย”

        “นอกใจกันนี่” ภูทำตาเขียวปั้ด “ไหนบอกว่าชอบผม แต่ไปนอนกับคนอื่นเนี่ยนะ?”

        “ก็คนที่ชอบตอนนั้นเค้ายังไม่รู้ด้วยซ้ำมั้งว่าพี่มีตัวตน” กรรณยีผมเด็กหนุ่มแรงๆอย่างหมั่นเขี้ยว “ถ้ารู้ว่ากลับมาแล้วจะสมหวังแบบนี้ ก็ไม่ไปยุ่งกับใครหรอก จะอดทนนับวันเฝ้ารอกลับมาจัดหนักทีเดียวเลย”

        “พวกลุงหื่นกาม” ภูเขินจนหน้าแดง รีบเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นก่อนที่บทสนทนาจะพาวนเข้าเรื่องที่ชวนให้เตลิดเปิดเปิงมากกว่านี้ “แล้วหลังจากนี้ เราจะเป็นยังไงกันต่อครับ?”

        “นายหมายถึงอะไร?” กรรณไม่มั่นใจในเจตนาของคำถามนั้น

        “ก็เรื่องของเราสองคน” ภูพูดให้ชัดเจนขึ้น “หลังจากนี้มันจะเป็นยังไงต่อ?”

        ท่ามกลางความยินดีอันมากมายที่เกิดขึ้นในช่วงไม่ถึงสี่สิบแปดชั่วโมงที่ผ่านมานั้น เรื่องนี้เป็นสิ่งเดียวที่ยังคงติดค้างอยู่ในใจของภู ที่ผ่านมาเด็กหนุ่มทุ่มเทความพยายามและความสนใจทั้งหมดไปกับการไขว่คว้าความสัมพันธ์ จนกระทั่งบรรลุเป้าหมายแล้วเขาจึงกลับพบว่าตนเองกำลังลอยเคว้งคว้างอยู่หลังเส้นชัย ไม่รู้ว่าจะนำพาความรักครั้งแรกของตนไปในทิศทางไหนดี อีกทั้งยังมีปัจจัยด้านหน้าที่การงานที่เข้ามาทำให้ทุกอย่างเพิ่มความซับซ้อนขึ้นไปกว่าเดิมอีก

        “เราก็คบกัน ดูแลกันไปแบบนี้ล่ะมั้ง” กรรณตอบ น้ำเสียงบ่งบอกว่าเขาก็ยังไม่อาจนึกภาพวันข้างหน้าออกมาได้อย่างชัดเจนเช่นกัน

        “แล้วพี่โอเคไหม? กับเรื่องที่ว่าทุกอย่างระหว่างเราต้องเป็นความลับ” ภูถามความรู้สึกของอีกฝ่าย
       
        “โอเคสิ เพื่อนาย จะให้พี่ทำอะไรก็ได้” กรรณตอบอย่างไม่ลังเล “จะเปิดเผยหรือปิดบังก็ไม่สำคัญหรอก ขอแค่ให้เราสองคนยังเป็นคนสำคัญของกันและกันก็พอ”

        “พี่เป็นคนสำคัญของผมเสมอ” ภูพูดจากใจจริง

        “ให้มันจริงเถอะ” กรรณมีความสุขจนตัวลอยจากการที่ได้ยินคำพูดประโยคนั้นจากปากของภู “นายก็เป็นคนสำคัญที่สุดของพี่เหมือนกัน”

        “แล้วก็ยังมีอีกเรื่องที่ผมกังวล” ภูจ้องหน้ากรรณ

        “อะไรเหรอครับ?” กรรณตกใจเล็กน้อยกับท่าทีของภูที่ดูเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาอย่างกะทันหัน 

        “พรุ่งนี้ผมจะนั่งเรียนยังไง? ตั้งสามวิชาเลยนะ” เด็กหนุ่มพูดเสียงอ่อย

        “นั่งไม่ไหวก็ไม่ต้องไป อยู่ด้วยกันนี่แหละ” กรรณดึงภูเข้ามากอดแนบกับตัวเองแน่น “บางทีมันอาจจะเหมือนเวลาเมาเหล้าก็ได้นะ ต้องถอนถึงจะหายเมา นี่ก็ต้องโดนอีกสักทีสองที อาจจะหายเจ็บ”

        “พอเลย บ้ากาม อนาคตของชาติต้องได้รับการศึกษานะ” ภูเขินจนอยากขยับหนีแต่อาการเจ็บแปลบที่บั้นท้ายก็คอยรั้งเอาไว้จนไม่กล้ากระดิกตัวจนสุดท้ายก็หลับไปทั้งอย่างนั้น

        ภูถูกปลุกจนตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเวลาย่างเข้ารุ่งสาง ฟ้ากำลังจะสว่างในอีกไม่ช้ากรรณจึงรีบปลุกเด็กหนุ่มเพื่อจะได้กลับไปยังบ้านตัวเองได้ทันก่อนที่พ่อและแม่จะตื่น ทว่าไม่กี่นาทีหลังจากนั้นทั้งสองก็พบว่าทุกอย่างที่วางแผนเอาไว้อาจเป็นไปได้ยากกว่าที่คิด เมื่อสภาพสังขารของภูในตอนนี้ไม่มีศักยภาพเพียงพอที่จะปีนระเบียงข้ามฟากกลับไปยังฝั่งห้องนอนตัวเองโดยสวัสดิภาพได้อย่างแน่นอน หลังจากระดมสมองหาทางแก้ปัญหากันอยู่ครู่ใหญ่ ผลก็ลงเอยที่ว่ากรรณจะเป็นฝ่ายปีนข้ามไปยังห้องนอนของภู ปลดล๊อคประตูห้อง และหยิบเสื้อผ้าชุดใหม่กลับมาให้อีกฝ่ายที่รออยู่ฝั่งนี้ เพื่อที่จะได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนกลับเข้าบ้านตัวเอง ทำเป็นเหมือนว่าเด็กหนุ่มได้ตื่นตั้งแต่เช้าและออกไปข้างนอกตั้งแต่ก่อนที่ผู้ปกครองทั้งสองจะตื่น

        ในห้องอาบน้ำ ภูยืนโน้มตัวเข้าหากำแพง แขนทั้งสองข้างยันกับผนังสีขาวปล่อยให้สายน้ำจากฝักบัวไหลรดผ่านร่างกายไปเรื่อยๆ น้ำอุ่นทำให้อาการเจ็บปวดที่เป็นอยู่ไม่เลวร้ายลงไปกว่าเดิมแต่ก็ไม่ได้ทุเลาลงมากพอจะทำการล้างทำความสะอาดได้สะดวกเหมือนในเวลาปกติ เด็กหนุ่มเม้มกัดริมฝีปากตัวเองแน่นขณะที่ความเจ็บแสบแล่นขึ้นมาตามแนวสันหลังทุกครั้งที่ขยับตัว ใจนึกกังวลว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าที่ร่างกายจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ วันนี้เขาอาจจะโดดเรียนได้ แต่งานที่รออยู่ในวันถัดไปคงสายเกินไปแล้วที่จะขอยกเลิก จริงอยู่ที่ก่อนตัดสินใจยอมให้อีกฝ่ายทำการพรากผู้เยาว์นั้นภูก็ได้ทำการค้นหาข้อมูลและเตรียมใจรับถึงผลที่จะตามมาเช่นนี้เอาไว้แล้ว แต่นั่นเทียบไม่ได้เลยกับความเป็นจริงที่กำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ มันไม่ใช่เพียงแค่ทำให้ลำบากกายอย่างเดียว แต่ยังส่งผลให้เข็ดขยาดจนไม่อยากจะต้องพบพานกับมันอีกในครั้งถัดๆไปด้วย
   
        เสียงล๊อคที่ลูกบิดประตูถูกไขจนดีดออกทำเอาภูสะดุ้งสุดตัว เมื่อหันไปมองตามเสียงก็พบว่ากรรณถือวิสาสะในฐานะเจ้าของบ้านใช้กุญแจไขเข้ามาข้างใน แน่นอนว่าด้วยสภาพร่างกายเช่นนี้เด็กหนุ่มจึงหมดหนทางในการจะปกป้องร่างเปลือยตนเองจากสายตาของอีกฝ่ายด้วยการรีบวิ่งไปหยิบผ้าเช็ดตัวมานุ่ง ตอนนี้เท่าที่พอจะทำได้จึงเหลือเพียงแค่หยิบอะไรก็ตามที่คว้าถึงและเขวี้ยงใส่เพื่อไล่ให้อีกฝ่ายล้มเลิกความพยายามที่จะบุกรุกเข้ามา
   
        “ออกไปเลยนะ!!” ภูโยนขวดแชมพูใส่ มันตรงเป้าแต่อีกฝ่ายก็รับเอาไว้ได้ทันก่อนเกิดการปะทะ 

        “จะอายอะไร ก็เห็นกันมาทั้งคืนแล้ว” กรรณวางขวดแชมพูลงที่อ่างล้างหน้า ก่อนจะปลดผ้าเช็ดตัวที่นุ่งอยู่ออกและเดินโทงๆตรงเข้ามาหาเด็กหนุ่มที่อยู่ใต้ฝักบัว

        “เมื่อคืนก็ส่วนเมื่อคืนสิ นี่มันเวลาส่วนตัวป่ะ?” ภูเถียงคอเป็นเอ็น สิ่งที่กรรณพูดมามันก็จริงอยู่ แต่ทว่าเมื่อคืนนั้นยังมีกำหนัดเป็นตัวช่วยบดบังความอายเอาไว้ได้บ้าง ไม่เหมือนในตอนนี้ที่ไฟราคะมอดดับสนิทลงแล้ว ความกระดากอายจึงเริ่มหวนกลับมาสู่มโนสำนึก

        “ขยับตัวยังไม่ค่อยถนัดแบบนั้นจะล้างตัวให้สะอาดได้ยังไง ให้พี่ช่วยดีกว่ามาเร็วๆ” กรรณไม่รอการยินยอมจากอีกฝ่าย รีบเข้ามาแบ่งพื้นที่ใต้ฝักบัวและเทครีมอาบน้ำใส่มือทันที

        แม้จะยังอายอยู่แต่ภูก็จนปัญญาจะดิ้นรนหนี ได้แต่ปล่อยเลยตามเลยให้อีกฝ่ายได้ทำตามใจชอบ กรรณชะโลมครีมอาบน้ำลงทั่วร่างกายและแผ่นหลังของเด็กหนุ่มก่อนจะค่อยๆลูบไล้ไล่ลงมาเรื่อยๆจนกระทั่งมาสุดที่เนินบั้นท้าย เขาหยุดเหมือนชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะสอดปลายนิ้วเข้าไปในร่องหลืบ ซึ่งปฏิกิริยาตอบรับจากภูก็เกิดขึ้นแทบจะฉับพลันทันที เด็กหนุ่มสะดุ้งและดีดตัวหนี ใบหน้าเหยเกด้วยความแสบ

        “ทนหน่อย ถ้าไม่ล้างให้สะอาดเกิดติดเชื้อขึ้นมาจะยิ่งหายยากกว่านี้นะ” กรรณพยายามกล่อมให้ภูยอมอดทน

        “ไม่เอา แสบมาก แสบไฟลุกเลย” ภูส่ายหัวอย่างเดียว

        “อดทนสิ มันก็เหมือนเวลาเราล้างแผลทำแผลนั่นแหละ เพิ่งโดนตอนแรกมันก็แสบมากแบบนี้ ทนอีกนิดก็ชาจนไม่แสบแล้ว” ชายหนุ่มดึงแขนอีกฝ่ายให้กลับเข้ามาในฝักบัว “ถ้าไม่ให้พี่ทำ เดี๋ยวถ้าอาการหนักมากจนต้องไปถึงมือหมอ มันจะทั้งแสบทั้งอายเลยนะงานนี้”

        ภูคิดใคร่ครวญตามคำพูดของอีกฝ่ายและก็จึงหมดข้อโต้แย้ง เพราะถ้ามันจะต้องลงเอยด้วยการต้องทนแสบในทั้งสองทางเลือก การแสบโดยฝีมือของคนใกล้ชิดก็ดูจะเป็นเรื่องที่ชวนอึดอัดใจน้อยกว่าฝีมือคนแปลกหน้าเป็นอย่างมาก เด็กหนุ่มยอมกลับเข้าไปใต้ฝักบัวที่ซึ่งกรรณรออยู่พร้อมกับครีมอาบน้ำในมือที่ถูกขยี้จนเป็นฟองเรียบร้อยแล้ว ภูกัดฟันกรอดพยายามอดทนต่อความทรมานในขณะที่ชายหนุ่มเริ่มปฏิบัติการชำระล้างต่อจากที่ค้างไว้เมื่อครู่ เสียงครางหลุดรอดจากริมฝีปากมาเป็นระยะๆจนกระทั่งเมื่อรู้ตัวอีกทีเขาก็พบว่าสิ่งที่กรรณพูดเมื่อครู่นี้เป็นความจริง เพราะในขณะนี้แม้ความเจ็บปวดจากอาการบาดเจ็บจะยังคงมีอยู่และรู้สึกได้ในทุกครั้งที่มือของชายหนุ่มเผลอออกแรงมากเกินไป แต่ความแสบที่แสนจะสาหัสสากรรจ์เมื่อครู่ได้มลายหายไปจนไม่เหลือวี่แววแล้ว กรรณดึงฝักบัวลงมาและรองน้ำใส่ฝ่ามือมาลูบล้างเอาฟองสบู่ตามร่างกายภูออกไปจนหมด เด็กหนุ่มถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อได้รู้ว่ากระบวนการอันแสนจะทรมานกายได้สิ้นสุดลงแล้ว อีกทั้งเมื่อร่างกายสะอาดขึ้นก็ยังส่งผลให้เขารู้สึกสบายตัวมากกว่าเมื่อครู่นี้เป็นกองเลยทีเดียว แต่เมื่อภูหมุนตัวหันกลับไปตั้งใจจะขอบคุณอีกฝ่ายสำหรับความช่วยเหลือนั้น เขาก็พบว่าเวลานี้กรรณคงไม่ได้ต้องการแค่คำขอบคุณเสียแล้ว

        “เอ่อ… ทำไมมัน… “ ภูชี้ไปที่จุดยุทธศาสตร์ใต้สะดือของอีกฝ่าย ที่ตอนนี้กำลังออกอาการตื่นเต้นคึกคักขึ้นมาอีกรอบ

        “มันช่วยไม่ได้นี่นา… ทั้งเห็น ทั้งได้ลูบได้จับ แล้วยังเสียงครางแปลกๆที่นายทำอีก… ” กรรณยกมือขึ้นเกาหัวแก้เขิน “แต่ไม่เป็นไรหรอก พี่จัดการเองได้ นายไปแต่งตัวเถอะ”

        “แน่ใจนะ?” ภูอดรู้สึกไม่ได้ว่าตนต้องมีส่วนรับผิดชอบกับเรื่องนี้

        “จริงๆมันก็มีบางอย่างที่นายพอช่วยได้อยู่โดยไม่ต้องไปรบกวนแผลเก่า” กรรณยิ้มเขินพร้อมกับยื่นมือไปลูบริมฝีปากของเด็กหนุ่มเพื่อบอกใบ้เป็นนัยยะ “อยู่ที่ว่านายจะมีจิตเอื้ออาทรมากพอจะช่วยหรือเปล่า…”

        กว่าที่ทั้งสองจะได้ออกจากห้องน้ำก็เกือบครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น กรรณเดินตัวเบาหวิว ผิวปากอย่างสบายอารมณ์นำหน้าออกมาโดยมีภูซึ่งตอนนี้นอกจากจะเจ็บระบมช่วงล่างแล้วก็ยังมีอาการเมื่อยขากรรไกรเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งอย่างเดินตามออกมาติดๆ หลังจากนั้นเด็กหนุ่มก็ยังต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่น่าอับอายอีกรอบเมื่อถูกกรรณจับทายาขี้ผึ้งแก้อักเสบ ก่อนจะแต่งตัวด้วยชุดใหม่ที่อีกฝ่ายปีนข้ามไปเอามาให้เมื่อช่วงเช้ามืด จากนั้นจึงประคองพากันเดินกลับไปส่งยังหน้าประตูรั้วบ้านตัวเอง แม่คงตื่นนอนแล้ว ภูรู้ได้จากแสงของหลอดไฟหน้าบ้านที่ถูกปิดดับลง เด็กหนุ่มหันไปมองหน้าคนรักของตนคล้ายจะขอกำลังใจพร้อมกับสูดอากาศเข้าปอดลึกๆ นับจากนี้เป็นหน้าที่ของเขาเพียงคนเดียวแล้วที่จะต้องอดทนต่อความเจ็บปวดและเดินเข้าบ้านไปให้ดูเป็นปกติมากที่สุดเพื่อไม่ให้แม่เกิดความสงสัย



To be continued...

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
น่ารัก  ละมุน

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

เรียบร้อยโรงเรียนจีน

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3

ออฟไลน์ Tiffany

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
เค้าเข้าหอกันแล้ว ดีจัง

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5

ออฟไลน์ nunda

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3004
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
โอยๆๆๆๆ มันดีมาก ฟินมาก ดีต่อใจที่สุด
เห็นเขารักกัน อิคนอ่านก็สุขใจ ^^

ปล. เอาจอสไปเก็บ ไม่ต้องให้มีบทแล้ว!!!

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
น่ารัก  ละมุน

ตอนนี้ใช้เวลาเขียนนานมาก เพราะไม่ถนัดการเขียนฉากแนวนี้ แล้วก็พยายามจะให้มันออกมาสละสลวยที่สุดครับ



:mc4: :katai2-1: :mc4:

 :L1: :pig4: :L1:

ขอบคุณนะครับที่ติดตามกันมาตลอดเลย  o13



:pig4: :pig4: :pig4:

เรียบร้อยโรงเรียนจีน

จัดการซะให้มันรู้แล้วรู้รอดไป  :hao6:



:hao7: :hao7:

ขอบคุณนะครับที่ยังติดตามกันเสมอเลย  o13



เค้าเข้าหอกันแล้ว ดีจัง

เข้าสู่ช่วงชีวิตคู่  :hao3:



อ้ากกกกกก

เจ็บแทนน้องภูเหรอครับ  :hao6:



โอยๆๆๆๆ มันดีมาก ฟินมาก ดีต่อใจที่สุด
เห็นเขารักกัน อิคนอ่านก็สุขใจ ^^

ปล. เอาจอสไปเก็บ ไม่ต้องให้มีบทแล้ว!!!

เดี๋ยวน้องจอสก็โผล่มา ให้เวลาคู่รักเค้าหวานกันไปก่อน เดี๋ยวค่อยมาทวงแอร์ไทม์คืนทีหลัง  :hao7:




ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
Episode 16 part1


        ภูเปิดประตูเดินจ้ำอ้าวออกมาจากหอประชุมใหญ่ในตึกสำนักงานของสถานีโทรทัศน์ที่ซึ่งวันนี้ถูกจัดเพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับงานแถลงข่าวเปิดตัวนักแสดงรุ่นใหม่ที่เพิ่งเซ็นสัญญาเข้าสังกัดกับทางช่อง เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วสำหรับข้อที่ว่าการต้องเผชิญหน้ากับผู้คนจำนวนมากนั้นทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกอึดอัดอยู่เสมอ แต่ครั้งนี้มันยังมีปัจจัยอื่นอีกที่ทำให้เขาทนอยู่ด้านหลังเวทีของหอประชุมนั้นเพื่อรอให้ถึงเวลาแถลงข่าวตามที่ทีมงานสั่งมาไม่ได้ ปัจจัยที่ว่านั่นมีรูปร่างสูงพอๆกับเขาและมีรอยสักจอห์น เลนน่อนเด่นสะดุดตาอยู่ที่ท้องแขน

        “จะหนีไปไหน กระรอก!!” จอสพุ่งออกมาจากประตูหอประชุมไล่กวดตามภูมาติดๆ

        “จะตามมาทำไมเนี่ย?” ภูยังจ้ำเท้าหนีไม่หยุด

        “ก็ยังคุยกันไม่รู้เรื่องเลย นายนั่นแหละหนีทำไม?” จอสเอื้อมแขนมาจะคว้าตัวภูแต่เด็กหนุ่มเร่งฝีเท้าหนีได้ทัน

        เด็กหนุ่มเร่งสับขาเร็วขึ้นอีกจนเกือบจะกลายเป็นการวิ่ง เขาพาตัวเองลัดเลาะไปตามทางเดินของตึกที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะไปสิ้นสุดตรงไหน จนกระทั่งมาจนมุมหมดทางไปต่อเมื่อมาถึงประตูบริเวณสุดทางเดินที่ถูกล๊อคเอาไว้ จอสเดินย่างสามขุมเข้ามาอย่างใจเย็นเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายหนีไปไหนไม่รอดแล้ว

        “จนมุมแล้วกระรอกน้อย” จอสแสยะยิ้มชั่วร้ายอันเป็นเอกลักษณ์ประจำตัว

        “บ้าเอ๊ย…” ภูสบถออกมาอย่างหงุดหงิดที่สุดท้ายแล้วก็หนีไม่พ้น

        นับตั้งแต่วันที่ตกลงคบหากับกรรณอย่างเป็นทางการจนถึงวันนี้ เวลาก็ผ่านมาร่วมหนึ่งเดือนแล้ว ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น ทั้งเรื่องการเซ็นสัญญาเข้าสังกัด ทั้งเรื่องการสอบที่ผ่านไปได้ด้วยดี และเรื่องความสัมพันธ์กับกรรณที่ต้องเป็นไปแบบลับๆ ซึ่งสาลี่ก็รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะไม่บอกเรื่องนี้กับใครแม้แต่เพื่อนสนิทอย่างตฤณและนฤดล จะมีก็เพียงแค่เรื่องเดียวที่ยังแก้ปัญหาไม่ตกก็คือการที่จอสยังคงคอยมาป้วนเปี้ยนวนเวียนอยู่รอบตัวภูไม่ยอมเลิกรา เด็กหนุ่มแก้ปัญหาด้วยการตัดอีกฝ่ายออกจากสารบบชีวิต ไม่ยอมพบเจอ ไม่ยอมรับสาย แม้กระทั่งเมื่อจอสมาหาถึงบ้านก็ยังให้แม่โกหกไปว่าตนไม่อยู่

        “เราบอกนายแล้วไงว่านายหลบหน้าเราไปตลอดไม่ได้หรอก” จอสเดินเข้ามาชิดจนปลายเท้าของทั้งสองชนกัน “นายอาจจะไม่รับสายเราได้ หลบหน้าเราได้ แต่ยังไงวันนี้เราก็ต้องเจอกัน ซึ่งก็นะ… ถ้านายรับสายเราแต่แรก นายก็จะรู้เรื่องนี้ไปตั้งนานแล้ว”

        “เออ มันคือความซวยของเราเอง เราไม่โทษใครหรอก” ภูไม่คาดคิดจริงๆว่าจอสจะเป็นหนึ่งในกลุ่มนักแสดงใหม่ของช่องด้วย

        “แล้วนายจะบอกได้หรือยังว่าหลบหน้าเราทำไม?” จอสยื่นหน้าเข้ามาถามคล้ายกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะได้ยินไม่ชัด

        “ใครหลบหน้านาย?” ภูยังไม่ยอมรับ

        “ก็นายนั่นแหละ!” จอสฟาดมือลงบนประตูด้านหลังโครมใหญ่จนเกิดเสียงดังก้องไปทั่วทั้งทางเดิน

        “โอเค ถ้าจะมาใช้อารมณ์แบบนี้ งั้นเรามาพูดกันตรงๆให้จบไปเลยดีกว่า” ภูตัดสินใจบอกความจริง เพราะเห็นแล้วว่าถ้าปล่อยให้ยืดเยื้อต่อไปอาจจะยุ่งยากยิ่งกว่านี้ “ตอนนี้เรามีแฟนแล้ว และเราก็ไม่สะดวกใจจะคบกับนาย เพราะเราสองคนก็รู้กันดีว่านายไม่ได้มีเป้าหมายจะหยุดแค่การเป็นเพื่อน”

        “มีแฟนแล้วเหรอ?” จอสทวนคำพูดของภู “ใคร? มันเป็นใคร?”

        “ก็คนนั้นนั่นแหละ ที่นายเห็นที่บ้าน” ภูบอกไปตามตรง

        “ไอ้ลุงนั่นอ่ะนะ!!?” จอสทำหน้าเหมือนไม่อยากเชื่อ “นี่จอสโดนลุงแย่งแฟนเหรอเนี่ย?”

        “ก่อนอื่นเลยคือข้อแรก เค้าอายุยังไม่ถึงสามสิบ ยังไม่แก่ถึงขั้นที่นายจะเรียกว่าลุง” ภูแก้ตัวแทนกรรณ “และข้อที่สอง นายใช้คำว่าโดนแย่งแฟนไม่ได้ เพราะเรายังไม่ได้เป็นอะไรกันทั้งนั้น”

        “แต่นายยอมให้เราจูบไปแล้ว” จอสทำหน้าผิดหวัง “ให้ตายสิ ใจร้ายชะมัดยาดเลย เรื่องวันนั้นทำให้เราคิดจริงจังกับนายมากเลยรู้บ้างไหม?”

        “ไหนว่าจูบแบบเพื่อน?” ภูรู้สึกงงกับการกระทำและคำพูดที่ขัดแย้งกันของอีกฝ่าย

        “มันมีที่ไหนล่ะจูบแบบเพื่อน นายก็เชื่อไปได้” จอสยอมคายความจริงออกมาในที่สุด

        “เออ ผิดเองก็ได้วะ” ภูปวดหัวเต็มที

        “ไม่สนล่ะ นายจะมาทำให้เราอกหักแบบนี้ไม่ได้” จอสไม่ยอมท่าเดียว “เราถือว่านายก็ผิดที่ให้ความหวังเราแล้วทิ้ง นายต้องชดเชยด้วยการเป็นแฟนเราตอนที่ไม่ได้อยู่กับคนนั้น เพราะถึงยังไงเราก็ต้องเจอกันบ่อยๆเวลามาเข้าเรียนแอคติ้งอยู่แล้ว”

        “แล้วทำไมเราจะต้องหาเหาใส่หัวแบบนั้นด้วยไม่ทราบหา?” ภูรับไม่ได้กับเงื่อนไขสุดงี่เง่าแห่งปีของจอส

        “ก็เพราะว่าบ้านเรามีกล้องวงจรปิดไง” จอสตอบแบบให้อีกฝ่ายไปคิดต่อเอาเอง

        “บ้านนายมีกล้อง…” ภูพยายามหาจุดเชื่อมโยงของประโยคนี้กับเรื่องทั้งหมด ก่อนที่คำตอบจะลอยมาเข้าหน้าอย่างจัง
        “หมายความว่า… เรื่องเมื่อวันนั้น… “

        “อ่ะฮะ… ถูกบันทึกภาพไว้เรียบร้อย“ จอสยิ้มแบบผู้ชนะ “จอสดูมันซ้ำก่อนนอนทุกคืนเลยรู้เปล่า?”

        “เล่นสกปรก… “ ภูหน้าซีด ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก

        “ถ้านายไม่อยากให้แฟนนายเห็นฉากชวนจิกหมอนระหว่างเราสองคนในคืนนั้น ก็ยอมตกลงซะ” จอสกดดันต่อ “เพราะถ้าเค้าเห็น ก็ไม่รู้นะว่าจะเป็นยังไงต่อไป”

        “ทำแบบนี้ไปมันก็ไม่ได้ช่วยอะไรหรอกนะ สิ่งที่ได้จากการบังคับคนอื่นน่ะ นายจะมีความสุขกับมันได้จริงๆเหรอ?”ภูพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ พูดด้วยเหตุผลให้อีกฝ่ายลองคิดตาม “ที่เราหลบหน้านาย เราขอโทษก็แล้วกัน ตอนนั้นเราก็แค่คิดว่ามันคงจะดีกับทุกฝ่าย เราขอโทษที่ไม่ได้คิดถึงความรู้สึกนาย เอาเป็นว่ากลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมเถอะ”

        เสียงโทรศัพท์มือถือของทั้งคู่ดังขึ้นแทบจะพร้อมกัน เด็กหนุ่มทั้งสองพักการเจรจาเอาไว้ชั่วคราวก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูว่าใครโทรเข้ามา สำหรับของภูสายเรียกเข้านั้นมาจากพี่ช้าง เมื่อประกอบกับเวลาขณะนี้ที่เหลืออีกไม่กี่นาทีงานแถลงข่าวก็จะเริ่มแล้ว จึงเดาได้ไม่ยากเลยว่าบรรดาทีมงานคงกำลังค้นหาตัวทั้งสองคนที่หายไปกันให้ควั่กจนกระทั่งเดือดร้อนถึงผู้จัดการส่วนตัวของแต่ละคนต้องช่วยติดตามและเรียกตัวกลับไป เด็กหนุ่มกดรับสายและฟังเสียงแหลมๆของพี่ช้างที่เอ็ดตะโรบ่นจนหูชาถึงความเป็นคนไม่รู้จักเวล่ำเวลา พร้อมกับสั่งทิ้งท้ายว่าให้รีบกลับไปด่วนอย่าให้ต้องโทรตามอีกรอบ

        “จอส เราว่าไว้คุยกันต่อทีหลังแล้วกันนะ เค้าโทรตามแล้ว” ภูบอกกับจอสที่เพิ่งจะวางสายจากผู้จัดการของเขาเช่นกัน

        “เดินไปคุยไปก็ได้ ยังไงก็ต้องให้รู้เรื่อง ไม่งั้นเดี๋ยวนายก็หนีไปอีก” จอสเข้ามากอดคอภู

        ด้วยท่าทางการเดินนี้มองเผินๆเด็กหนุ่มทั้งสองก็อาจจะเหมือนเพื่อนที่สนิทกันมากกำลังเดินไปด้วยกัน แต่ความเป็นจริงใครจะรู้ว่าแท้จริงแล้วมันคือการคุมตัวนักโทษไม่ให้หนี ภูยังขืนไม่ยอมขยับจนกระทั่งจอสต้องใช้แรงจากแขนข้างที่โอบคออยู่ดันให้ตามมา

        “เมื่อกี้นายบอกว่ายังไงนะ? ให้เรากลับไปเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมเหรอ?” จอสถามถึงสิ่งสุดท้ายที่ภูพูดก่อนจะถูกขัดจังหวะด้วยโทรศัพท์จากผู้จัดการ

        “ใช่ นายไม่คิดว่ามันจะดีกว่าการต้องมาบังคับให้เราเป็นแฟนนายหรือไง? อย่างน้อยถ้าเป็นเรื่องนี้ สิ่งที่นายจะได้จากเรามันก็ยังมีความจริงใจอยู่บ้าง ไม่ใช่การแสดงทั้งหมด และถ้าจะให้บอกตรงๆ เราเองไม่ใช่คนที่แสดงละครเก่งนักหรอกนะ นายคงไม่แฮปปี้หรอก” ภูชักแม่น้ำทั้งห้า

        จอสทำหน้าเหมือนกำลังครุ่นคิดตัดสินใจ เสี้ยววินาทีหนึ่งสีหน้านั้นคล้ายว่าจะเห็นด้วยและตกลงแต่แล้วก็เกิดเปลี่ยนใจด้วยเหตุผลทางความรู้สึกบางอย่างที่ยังรบกวนจิตใจอยู่จนไม่อาจยอมรับเรื่องนี้ได้ง่ายๆ

        “ไม่เอา” จอสปฏิเสธ

        “หูย นี่ถอยจนไม่รู้จะถอยยังไงแล้วนะ” ภูโอดครวญขอความเห็นใจ

        “ไม่เอาอ่ะ ยังไม่เอาตอนนี้” จอสพูดต่อจากเมื่อครู่ “ถ้าเรายอมตกลง ก็เท่ากับเราอกหัก คนแบบจอสไม่ยอมอกหักแน่ๆ เพราะงั้นนายต้องยอมเราไปก่อนช่วงนี้”

        “แล้วต้องยอมไปจนถึงเมื่อไหร่ล่ะ?” ภูถามหาขอบเขตที่สิ้นสุด

        “ก็จนกว่าเราจะรู้สึกว่าโอเค เบื่อนายแล้ว ถึงตอนนั้นเราจะบอกเลิกนายเอง” จอสมองหน้าภู “นายไม่มีทางเลือกหรอกนอกจากทนไป ถือซะว่าเป็นการลงโทษข้อหาที่ชอบมาให้ความหวังคนอื่นก็แล้วกัน”

        “สรุปว่านี่คือช่วงขอเวลาทำใจ?” ภูเข้าใจได้แบบนี้

        “หุบปากน่า” จอสหันหน้าหนี “ใครจะยอมให้เกียรติประวัติเรื่องที่ไม่เคยอกหักต้องมามีรอยด่างพร้อยเพราะไอ้กระรอกซื่อบื้อแบบนายกันล่ะ”

        ภูรู้สึกโล่งใจ เป็นความโล่งใจแบบโง่ๆ โล่งใจในขณะที่ในความเป็นจริงแล้วสถานการณ์ยังไม่มีอะไรที่เรียกได้ว่าน่าวางใจได้แม้แต่น้อย แต่เด็กหนุ่มก็เลือกที่จะเชื่อในสัญชาติญาณของตัวเอง เชื่อในความรู้สึกที่จับได้จากอาการและคำพูดของอีกฝ่ายว่าจอสจะไม่มีทางทำอะไรรุนแรงอย่างที่ขู่เอาไว้ลงไปอย่างแน่นอน ทั้งหมดที่ภูต้องทำในตอนนี้ก็เพียงแค่ยอมโอนอ่อนทำตามความต้องการของอีกฝ่ายไปจนกว่าเขาจะพอใจ

        ทั้งสองแยกออกจากกันเมื่อเดินกลับมาใกล้ถึงด้านหน้าหอประชุม งานแถลงข่าวจะเริ่มในอีกสิบนาทีข้างหน้า จอสโดนผู้จัดการของเขาลากไปเตรียมความพร้อมในขั้นสุดท้าย ในขณะที่ภูก็โดนพี่ช้างดึงหูมายังจุดสแตนบายพร้อมกับบ่นกรอกหูมาตลอดทาง เมื่อมาถึงทีมงานก็เข้ามาซักซ้อมเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องทำและต้องพูดขณะแถลงข่าวจนเมื่อเสร็จเรียบร้อย ในตอนนั้นกรรณที่เพิ่งจะเสร็จจากงานของตัวเองก็เข้ามาถึงบริเวณงานพอดี ภูรีบชูแขนขึ้นโบกเรียกให้อีกฝ่ายที่กำลังเหลียวซ้ายแลขวามองหาตนอยู่สังเกตเห็น กรรณรีบเดินตรงเข้ามาหาทันที

        “มาช้าจัง นึกว่าจะไม่มาแล้ว” ภูบ่น ใจนึกอยากเข้าไปกอดอีกฝ่ายแต่ก็ไม่อาจทำได้ในขณะนี้

        “เสร็จงานปุ๊บก็รีบดิ่งซ้อนท้ายพี่วินมาเลย กลัวไม่ทัน” กรรณยังหอบแฮ่กหายใจไม่ทันอยู่จากการที่ต้องเดินทางอย่างรีบเร่งมาตลอดทาง “แต่ถึงยังไงก็ต้องมา ไม่มาไม่ได้ วันสำคัญของแฟน”

        “เดี๋ยวคนอื่นได้ยินหรอก” ภูระแวง ด้วยทั่วทั้งบริเวณหลังเวทีเต็มไปด้วยทีมงานทั้งของทางช่องเองและของนักแสดงแต่ละคนที่ต้องเข้าร่วมงานแถลงข่าวในวันนี้ “ขี้เกียจโดนพี่ช้างบ่นแล้วนะ เมื่อกี้ก็บ่นตลอดเลย วีนเก่งจริงๆ”

        “ป้าแกก็ตื่นเต้น เด็กดันกำลังจะขึ้นแท่น ก็เลยเจ้ากี้เจ้าการแบบนี้แหละ” กรรณเห็นสีหน้ากระเง้ากระงอดของเด็กหนุ่มแล้วก็แทบจะอดใจรอให้ถึงเวลาที่ได้กลับไปอยู่ด้วยกันสองต่อสองไม่ไหว “อีกเดี๋ยวก็จะได้เวลาแล้ว ไปเตรียมตัวเถอะ เดี๋ยวพี่จะไปรอหน้างานหาจุดเหมาะๆสำหรับถ่ายรูป”

        กรรณยกมือขึ้นลูบหัวภูเบาๆอย่างเอ็นดูก่อนจะเดินออกไป เด็กหนุ่มมองตามจนคล้อยหลังแล้วจึงค่อยหันกลับเพื่อจะไปยังจุดที่ทีมงานนัดหมายเอาไว้ ในตอนนั้นเองก็เจอเข้ากับสายตาของจอสที่มองมาอย่างไม่สบอารมณ์ เพียงเท่านั้นไม่ต้องบอกก็พอจะคาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายคงเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้แบบเต็มสองตาไปแล้ว จอสกวักมือเรียกให้ภูเข้าไปหา ซึ่งเด็กหนุ่มก็ไม่มีทางเลือกนอกจากจะยอมทำตามอย่างว่าง่าย

        “มีอะไร ยังไม่รีบไปอีก เค้าจะเริ่มกันแล้ว” ภูชี้ไปยังด้านหน้างาน

        “รักกันซะเหลือเกินนะ” จอสเหม็นกลิ่นความรัก ทนไม่ได้กับภาพบาดตาบาดใจ “เดี๋ยวตอนออกไปข้างหน้าน่ะ มาอยู่ข้างๆเรา ห้ามหลบไปที่อื่น”

        “เออ ก็ได้” ภูรับปากตัดรำคาญ

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
Episode 16 part2


        งานแถลงข่าวเริ่มขึ้นตามเวลาที่กำหนดเอาไว้ บรรยากาศด้านนอกเต็มไปด้วยสื่อมวลชนสายบันเทิงทั้งจากเว็บไซต์ข่าวและหนังสือพิมพ์ อีกทั้งยังมีบรรดากลุ่มแฟนคลับและครอบครัวของเหล่านักแสดงใหม่คนอื่นๆที่มาร่วมงานเปิดตัวในวันนี้ด้วยอีก ภูออกไปนั่งยังจุดที่ถูกจัดเอาไว้ให้ด้วยความอึดอัดใจที่อัดแน่นอยู่ในอกจนเกินจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ เพราะเพียงแค่ต้องออกมาพบเจอสายตาผู้คนแปลกหน้านับร้อยคู่ก็ทำให้เขารู้สึกประหม่าจนแทบทำอะไรไม่ถูกแล้ว นี่ยังมีความน่ารำคาญจากจอสที่คอยตามประกบไม่ห่างและเจ้ากี้เจ้าการสั่งให้ตนต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ตามต้องการอีก เดิมทีเมื่อออกมาในตอนแรกเด็กหนุ่มก็ยังแอบโล่งใจว่าที่นั่งของจอสถูกจัดเอาไว้ห่างจากของตน แต่ความสบายใจก็คงอยู่ได้ไม่นานเมื่อทันทีที่จอสเห็นภูนั่งลงตรงไหน เขาก็รีบเข้ามาจัดการยึดที่นั่งข้างๆโดยไม่สนใจคำทักท้วงจากผู้เป็นเจ้าของเดิม   

        “ไปนั่งตรงที่ๆเค้าจัดไว้ให้สิ!” ภูใช้ศอกกระทุ้งเตือน ตาเหลือบมองไปทางเด็กสาวที่กำลังมองมาด้วยท่าทางขอให้ช่วย

        “ไม่เอา จะนั่งตรงนี้” จอสทำมึนใส่ไม่ยอมลุก จนในที่สุดเด็กสาวผู้ซึ่งถูกแย่งที่ก็จำใจต้องไปนั่งตรงที่ของจอสแทน

        ภูบอกตัวเองให้หันเหความสนใจไปหาสิ่งที่จะทำให้ตนรู้สึกดีขึ้น เด็กหนุ่มกวาดสายตามองไปท่ามกลางผู้คนมากมายเบื้องหน้าจนในที่สุดก็พบกับกรรณที่ยืนปะปนอยู่กับกลุ่มช่างภาพสื่อมวลชนคนอื่นๆ รอยยิ้มที่อีกฝ่ายส่งมาเมื่อสายตาทั้งสองสบเข้าหากันนั้นทำให้ภูรู้สึกดีขึ้นได้แทบจะทันที และเมื่อมองไปยังอีกจุดหนึ่งทางด้านหลังเส้นที่แบ่งเอาไว้เป็นโซนที่นั่งสำหรับกลุ่มแฟนคลับและครอบครัว ภูก็ยังเห็นพ่อกับแม่และสาลี่รวมไปถึงเพื่อนคนอื่นๆในกลุ่ม อีกทั้งยังมีสองสาวพิมกับส้มที่พาแฟนคลับอีกกลุ่มใหญ่มาให้กำลังใจในวันนี้ แม้จะยังรู้สึกประหม่าและหวาดระแวงกับพฤติกรรมซุบซิบชี้มาทางตนที่สาลี่ทำกับเพื่อนคนอื่นๆ อีกทั้งยังเขินกับเสียงเชียร์และตะโกนเรียกจากกลุ่มแฟนคลับ แต่มันก็ทำให้ใจชื้นขึ้นกับการที่ไม่ต้องพบเจอเรื่องทั้งหมดนี้ตามลำพัง เมื่อหันกลับไปทางกรรณอีกครั้ง ตากล้องหนุ่มส่งสัญญาณมืออันเป็นที่รู้กันว่าให้ภูยกมือทักทายกล้อง เด็กหนุ่มตอบสนองต่อสัญญาณนั้นอย่างคุ้นเคย จริงอยู่ที่ถึงแม้ว่าเรื่องการแสดงออกต่อหน้ากล้องจะเป็นสิ่งที่ไม่ถนัดสำหรับภู แต่หากบุคคลที่อยู่หลังเลนส์นั้นเป็นกรรณ ทุกอย่างก็กลับกลายเป็นง่ายดายได้อย่างไม่น่าเชื่อ

        พิธีกรผู้ดำเนินรายการทำหน้าที่ตามสคริปต์ที่วางเอาไว้อย่างไหลลื่น จนกระทั่งมาถึงช่วงแห่งการแนะนำตัวนักแสดงใหม่ทั้งสิบสองคนแบบทีละคน ภูเฝ้ามองเก็บรายละเอียดสิ่งที่คนก่อนหน้าของตนทำเพื่อเอามาปรับใช้ยามถึงคิวของตัวเองจะได้ไม่เผลอทำอะไรผิดพลาดให้ขายหน้า จนกระทั่งพิธีกรประกาศชื่อของเขาพร้อมกับแสงไฟที่สาดเข้ามาเพื่อเน้นจุดความสนใจ เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืนและทำตามสคริปต์ที่ซ้อมมาตลอดทั้งสัปดาห์กับพี่ช้าง นั่นคือการแสดงออกถึงความเป็นมิตรและสดใสแบบเกินขอบเขตที่มนุษย์ธรรมดาพึงมี  ความอายถ้าละทิ้งไปไม่ได้ก็ต้องควบคุมจนมันอยู่ในระดับที่พอเหมาะ อย่าให้มันครอบงำจนสติหลุด ซึ่งเมื่อทำได้ก็กลับกลายเป็นว่าอาการเขินอายเหล่านั้นมันได้กลายเป็นเสน่ห์เอกลักษณ์เฉพาะตัวของเขาไปโดยไม่รู้ตัว เมื่อมองไปทางกรรณ ตากล้องหนุ่มก็รัวกดชัตเตอร์เพื่อเก็บภาพพร้อมกับส่งสัญญาณมือด้วยการยกนิ้วโป้ง อันมีความหมายว่าทำได้ดีมากซึ่งนั่นก็ทำให้ภูสบายใจขึ้นกว่าตอนเริ่มหลายเท่าเลยทีเดียว

        หลังจากหมดช่วงเวลาสำหรับตัวเอง เด็กหนุ่มก็รีบนั่งลงกลับไปประจำที่เดิมขณะที่พิธีกรประกาศชื่อคนต่อไป ทันทีที่หย่อนก้นแตะลงบนพื้นเก้าอี้จอสก็เอี้ยวตัวหันมาหาภูและใช้มือจับปอยผมของเขาที่ปรกอยู่ข้างใบหน้าขึ้นมาทัดไว้หลังใบหูก่อนจะหยิกแก้มเบาๆก่อนจากมา ภาพนั้นก่อให้เกิดเสียงกรี้ดกร้าดดังสนั่นลั่นมาจากทางโซนของเหล่าบรรดาแฟนคลับ พิธีกรสาวก็ช่างเป็นงานไม่ปล่อยให้โมเมนต์อันแสนจะมีค่านั้นผ่านไปโดยเสียเปล่ารีบพูดแซวเด็กหนุ่มทั้งสองทันที จอสแสร้งทำเป็นเขินก่อนจะชี้นิ้วไปทางกลุ่มแฟนคลับสาววายที่กำลังแสดงออกอย่างชัดเจนว่าหยิบไม้พายเดินขึ้นเรือพร้อมออกทะเลแล้ว ในขณะที่ภูมีบางสิ่งที่ต้องห่วงมากกว่านั้น เด็กหนุ่มรีบมองไปทางกรรณและพบว่าอีกฝ่ายก็กำลังมองมาทางตนเช่นกันด้วยสายตาที่บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าไม่พอใจกับภาพที่เห็น

        หลังจากจบงานและเสร็จสิ้นการให้สัมภาษณ์กับบรรดาสื่อมวลชนที่รออยู่แล้ว ภูรีบกลับเข้าไปด้านหลังเวที กรรณซึ่งรออยู่ที่นั่นตั้งแต่ก่อนหน้าที่เด็กหนุ่มจะไปถึงก็รีบเข้ามาฉวยคว้าแขนลากอีกฝ่ายไปสะสางสิ่งที่ค้างคาใจอยู่ทันที

        “เมื่อกี้นั่นอะไร?” กรรณถาม แม้จะไม่พอใจแต่ก็ยังอยากให้ภูได้อธิบายตัวเองก่อน

        “ไม่รู้ เค้าทำของเค้าเอง ผมไม่เกี่ยวนะ” ภูแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่มีส่วนรู้เห็นและเป็นแค่ผู้ถูกกระทำ

        “ไอ้นั่นมันเด็กแว้นที่มาส่งบ้านวันนั้นไม่ใช่หรือไง?” กรรณจำได้แม่น

        “ก็ใช่ ผมก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าเค้าก็เซ็นเข้าสังกัดช่องด้วย” ภูพยายามแกะมือของกรรณที่จับกุมตนเอาไว้ออก “พี่ปล่อยเถอะ คนเริ่มมองกันแล้ว”

        “มีอะไรกันสองคนนี้ มาจับมือถือแขนทำอะไรกันตรงนี้ บอกแล้วไงว่าอย่าประเจิดประเจ้อ” พี่ช้างรีบเข้ามาแยกเมื่อเห็นท่าไม่ดี

        “พี่ไม่เห็นเหรอบนเวที ว่าภูโดนไอ้เด็กจอสนั่นทำอะไร?” กรรณฟ้อง

        “จอส วาโย? เจ้าหนุ่มลูกครึ่งนั่นน่ะเหรอ?” พี่ช้างจำได้ “พี่ก็นึกว่าที่เห็นนั่นเธอกับจอสเตี๊ยมกันไว้แล้วซะอีก”

        “เปล่าครับ เค้าทำของเค้าเอง” ภูส่ายหน้าปฏิเสธ

        “งั้นนายจอสอะไรนี่ก็จัดว่ารู้งานใช้ได้เลย” พี่ช้างดูมีท่าทีพอใจ “เป็นแบบนี้ก็ดี ง่ายไปอีกหนึ่งเปลาะ”

        “ไหงงั้นอ่ะ?” ภูไม่เข้าใจว่าทำไมผู้จัดการของตนจึงดูไม่เดือดร้อนกันเรื่องนี้เลย “ที่พี่ไม่ให้ผมเปิดเผยเรื่องแฟนก็เพราะกลัวเสียภาพลักษณ์ แล้วอันนี้มันไม่เข้าข่ายทำให้เสียภาพลักษณ์เหมือนกันเหรอครับ?”

        “ไม่เสียหรอก ถ้ามันอยู่ในระดับแค่คู่จิ้น” พี่ช้างอธิบายให้ภูเข้าใจ “ดาราหน้าใหม่ๆเกิดขึ้นทุกวัน ถ้าไม่มีกระแสอะไรมาดันมาหนุนก็รุ่งยาก ถ้าเธอมีกระแสการเป็นคู่จิ้นวาย ก็จะได้แฟนคลับของทางจอสเพิ่มมาอีก กระแสทั้งสองคนก็จะหนุนไปด้วยกัน ช่องก็อาจจะป้อนงานคู่ให้ มีผลงานแจ้งเกิดได้เร็วกว่าคนอื่นๆ”

        “ผมว่าไม่จำเป็น” กรรณไม่เห็นด้วย “ที่ผ่านมาภูก็เด่นได้ด้วยตัวเค้าเองมาตลอด ไม่เห็นต้องไปหวังพึ่งไอ้เด็กนั่นเลย”

        “อย่าเอาเรื่องส่วนตัวมาเกี่ยวกับเรื่องงานนะกรรณ นี่แหละ เพราะคิดไว้แล้วว่าต้องเป็นอย่างงี้พี่ถึงไม่อยากให้เธอสองคนเริ่มคบกันในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อแบบนี้” พี่ช้างเอ็ด “แยกแยะด้วย พี่ไม่ได้บอกว่าน้องต้องไปคบอะไรกับนายจอสนั่นจริงๆ ก็แค่การแสดงในอีกรูปแบบหนึ่งเท่านั้นเอง แล้วอีกหน่อยพอติดลมบนก็ไม่ต้องมาทำอะไรแบบนี้แล้ว ลับหลังกล้องน้องมันก็เป็นของเธอเหมือนเดิม”

        “แต่…” กรรณพยายามหาข้อโต้แย้งแต่ก็จนปัญญา

        “ว่าไงล่ะภู เอาตามที่พี่พูดไหม? เดี๋ยวพี่จะไปคุยกับทางผู้จัดการของเด็กนั่นไว้เลย จะได้เดินหน้าไปพร้อมๆกัน” พี่ช้างหันมาถามภู

        ภูสับสนไปหมด ไม่รู้ว่าตนควรจะตัดสินใจอย่างไรดี ตามองสลับไปมาระหว่างพี่ช้างที่กำลังจ้องหน้าตนรอคำตอบกับกรรณที่ยืนหัวเสียอยู่ ก่อนจะตัดสินใจว่าจะให้ความรู้สึกของคนสำคัญของตนเป็นปัจจัยแรกของการตัดสินใจในทุกเรื่อง

        “พี่กรรณ พี่ว่าไง?” ภูถามกรรณ “ถ้าพี่ไม่โอเค ผมก็ไม่ทำนะ”

        “จะบ้าตาย เบื่อจริงๆพวกคู่รัก พอมีแฟนแล้วคิดตัดสินใจอะไรเองไม่ได้เลย” พี่ช้างกุมขมับ “กรรณ คิดดีๆแล้วกันนะ จะทำเพื่อตัวเองหรือทำเพื่อน้อง เธอพาน้องมาฝากพี่ ก็ควรจะเคารพการตัดสินใจของพี่ด้วย”

        กรรณเองก็ดูสับสนไม่แพ้ภู สงครามขนาดย่อมในจิตใจกำลังสู้รบปรบมือกันอย่างดุเดือดระหว่างสองฝ่ายอันได้แก่ความถูกต้องและความต้องการ ช่วงแรกนั้นความต้องการดูเหมือนจะมีกำลังมากกว่าจากอารมณ์หึงหวง แต่ด้วยวุฒิภาวะที่เติบโตมาตามวัยวุฒิ ในที่สุดเหตุผลก็เริ่มตีตื้นขึ้นมาได้และส่งผลให้ความถูกต้องเป็นผู้กำชัยชนะในที่สุด

        “เอาเลยครับ” กรรณกลั้นใจตอบออกไป “ถ้าพี่คิดว่ามันจะดีกับภู ผมก็ไม่ขัดแล้ว”

        “พี่แน่ใจนะ?” ภูรู้สึกเป็นกังวลเพราะสีหน้าอีกฝ่ายไม่ได้แสดงออกว่ายินดีแม้แต่น้อย

        “แน่ใจสิ” กรรณพยายามปรับสีหน้าให้ดีขึ้นเพื่อให้เด็กหนุ่มคนรักคลายใจ “ก็อย่างที่เราคุยกันวันนั้นไง ทุกอย่างจะเป็นยังไงก็ไม่สำคัญ แค่สุดท้ายแล้วเราเป็นคนสำคัญที่สุดของกันและกันก็พอ”

        “เออ ก็เท่านั้นแหละย่ะ” พี่ช้างถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกที่เรื่องยุ่งยากนี้หาจุดจบลงได้เสียที

        พี่ช้างรับหน้าที่ประสานงานกับทางฝั่งของจอสเพื่อจะวางแผนในการปั่นกระแสให้เด็กหนุ่มทั้งสอง ในขณะที่ภูเมื่อเสร็จจากงานแล้วก็ยังต้องไปร่วมงานฉลองที่กลุ่มแฟนคลับจัดให้ เมื่อถามกรรณว่าเขาจะไปด้วยหรือไม่ อีกฝ่ายตอบมาเพียงว่าขอดูก่อนโดยอ้างว่ายังมีงานต้องจัดการอีกนิดหน่อย หากเสร็จทันก็จะตามไป ซึ่งนั่นทำให้ภูยิ่งเป็นกังวลว่าอีกฝ่ายอาจกำลังคิดมากเรื่องข้อตกลงที่เพิ่งทำไปและตนก็ยังไม่มีโอกาสได้ปรับความเข้าใจแบบเป็นส่วนตัวเลย

        ในงานเลี้ยงบรรยากาศเป็นไปอย่างสนุกสนาน เว้นก็แต่เพียงเด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้าของงานที่ตอนนี้ร่างกายหนักอึ้งไปด้วยความกลัดกลุ้มใจ เขาพยายามทำตัวให้ร่าเริงยิ้มแย้มทักทายเหล่าแฟนคลับและคุยกับกลุ่มเพื่อนเพื่อไมให้งานกร่อย จนเมื่อสบจังหวะมีโอกาส ภูก็หลบออกมานอกงานเพื่อโทรหากรรณ ทว่าไม่ว่าจะพยายามกี่ครั้งอีกฝ่ายก็ไม่ยอมรับสาย เด็กหนุ่มทนฟังเสียงรอสายดังจนกระทั่งมันตัดเข้าระบบฝากข้อความซ้ำไปซ้ำมา อารมณ์เริ่มหงุดหงิดจิตใจวุ่นวายเต็มไปด้วยความคิดฟุ้งซ่าน ในตอนนั้นเองสาลี่ที่ดูเหมือนจะสังเกตเห็นความผิดปกติของเพื่อนซี้จึงแอบตามออกมาดูก็จึงค่อยปรากฎตัวขึ้นและเข้ามาถามไถ่ถึงสถานการณ์ปัจจุบันที่อีกฝ่ายกำลังเผชิญ

        “แก มีอะไรรึเปล่าวะ?” เธอนั่งลงข้างๆภูที่กำโทรศัพท์เอาไว้แน่น สีหน้าเหมือนพร้อมจะร้องไห้ได้ทุกเวลา

        “ชั้นว่า ชั้นตัดสินใจผิดไปอีกแล้วว่ะ” ภูตอบเสียงเหนื่อยอ่อน “ชั้นทำให้พี่กรรณเค้าไม่สบายใจ”

        ภูเล่าเรื่องทุกอย่างให้สาลี่ฟังอย่างละเอียด ทั้งเรื่องของจอส เรื่องของข้อตกลงที่ทำในวันนี้ และท่าทีตอบสนองที่กรรณมีต่อเรื่องทั้งหมด สาลี่ฟังอย่างตั้งใจจนกระทั่งอีกฝ่ายพูดจบจึงค่อยแสดงความคิดเห็น

        “คิดมากน่ะ มันก็แค่เรื่องงาน อีกอย่างนะ พี่เค้าก็โตแล้ว ไม่ใช่เด็กๆ ต้องเข้าใจเหตุผลสิ” สาลี่แตะบ่าของภู “ชั้นก็ไม่รู้นะว่าอะไรเป็นอะไร หลังๆก็ไม่ค่อยมีเวลาได้คุยกับแกเลย แต่ก็ไม่อยากให้แกคิดมากไป ทั้งที่ความจริงมันอาจจะไม่เป็นแบบที่แกคิดก็ได้”

        “แต่เค้าไม่รับสายเลยนะ” ภูกดโทรอีกรอบ แต่ผลก็ออกมาเหมือนเดิม

        “เค้าอาจจะกำลังยุ่งอยู่ก็ได้” สาลี่พยายามบอกให้ภูมองในแง่ดี “เค้าก็บอกแล้วนี่ว่าจะตามมา แกก็ทำใจให้สบายแล้วไปรอข้างในเถอะ พวกน้องๆเค้ามาเพื่อยินดีกับแกนะเว้ย ชั้นก็ด้วย วันนี้มันวันของแก แกควรจะทำตัวให้มีความสุข”

        “สุขไม่ออกแล้วแบบนี้” ภูถอนหายใจ พยายามสั่งตัวเองไม่ให้ร้องไห้

        “ชั้นว่าอีกแป๊ปนึงแกก็สุขได้แล้วล่ะ” สาลี่มองไปทางถนนด้านหน้าร้านอาหารอันเป็นสถานที่จัดงานแล้วจึงชี้ให้ภูมองตามตนไป

        ที่ริมถนนนั้น แท็กซี่คันหนึ่งเพิ่งขับออกไปหลังจากจอดส่งกรรณลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อเห็นภูที่กำลังนั่งจับเจ่าอยู่ด้านหน้าร้านชายหนุ่มก็รีบโบกมือทักทายและเดินเข้าไปหา สาลี่รีบหลบฉากออกมาปล่อยให้คู่รักได้มีเวลาส่วนตัวเพื่อปรับความเข้าใจกัน

        “ทำไมมานั่งตรงนี้ล่ะ?” กรรณถาม

        “รอพี่ไง” ภูตอบ “โทรหาเท่าไหร่พี่ก็ไม่ยอมรับสาย”

        “ขอโทษที ลืมโทรศัพท์ไว้ที่บ้านก่อนออกมา” กรรณล้วงกระเป๋ากางเกงให้ภูดูเพื่อยืนยันว่าเป็นดังที่พูดจริงๆ “รีบกลับไปเอาไฟล์รูปส่งให้ลูกค้า แล้วก็เอาโทรศัพท์ไปชาร์จแบตฯ พออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จตอนออกมาก็ลืม มานึกได้ตอนนั่งรถมาครึ่งทางแล้ว ก็เลยตามเลย”
 
        “ผมนึกว่าพี่โกรธ นึกว่าพี่…” เสียงของภูขาดห้วง เมื่อได้ยินคำอธิบาย ความโล่งใจก็ทำให้เขาปลดปล่อยความเครียดทั้งหมดที่อดกลั้นเอาไว้ออกมา น้ำตาหยดใหญ่ๆไหลอาบแก้ม เด็กหนุ่มร้องไห้สะอึกสะอื้นเหมือนเด็กๆ แม้จะรู้สึกว่ากำลังทำตัวน่าอายแต่ก็ไม่อาจอดกลั้นไว้ได้อีกต่อไปแล้ว “ผมนึกว่าพี่โกรธเรื่องที่ผมไปตกลงกับพี่ช้าง นึกว่าจะไม่อยากคุยกันแล้ว”

        “คิดอะไรแบบนั้น พี่บอกแล้วไงว่าพี่โอเค” กรรณนั่งลงข้างๆและใช้มือปาดน้ำตาออกจากแก้มของภู “พี่โอเคกับทุกอย่างตั้งแต่นายหันมาถามพี่ก่อนจะตัดสินใจแล้ว เพราะมันทำให้พี่รู้ว่านายแคร์ความรู้สึกพี่มากแค่ไหน”

        “กลับบ้านเลยได้ไหม?” ภูสูดน้ำมูกและเช็ดคราบน้ำตาที่ยังเกรอะกรังออกจากหน้า “ตาผมแดงบวมไปหมด ไม่อยากเข้าไปเจอหน้าใครแล้ว”

        “อีกเดี๋ยวก็น่าจะได้เวลาเลิกแล้ว อดทนอยู่ต่อให้จบจะดีกว่านะ ทุกคนเค้ามาเพื่อนายกันทั้งนั้น แล้วไหนจะเพื่อนๆอีก พักหลังก็ไม่ค่อยได้มีเวลาเจอกันเลยไม่ใช่เหรอ วันนี้มารวมตัวกันได้ก็ใช้เวลาด้วยกันให้เต็มที่สิ” กรรณยกมือขึ้นลูบหัวเด็กหนุ่ม แต่ก็ไม่ลืมจะมองรอบตัวอย่างระแวดระวังเพื่อปกป้องภาพลักษณ์ของภูไม่ให้เสียหาย

        “รออีกแป้ปนึงค่อยกลับเข้าไปนะ ขอพักให้ตาหายแดงก่อน” ภูขอเวลานอกเพิ่มก่อนจะต้องกลับเข้าไปทำหน้าที่บุคคลสาธารณะต่อจนจบงาน

        เมื่อความกังวลที่หนักอกอยู่ได้ถูกคลี่คลายออกไปแล้ว การกลับเข้าไปทำตัวร่าเริงมีความสุขกับบรรดาแฟนคลับข้างในอีกครั้งก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป  จนกระทั่งงานเลี้ยงมาถึงจุดสิ้นสุด ภูยืนส่งบรรดากลุ่มแฟนคลับทุกคนจนหมดถึงคนสุดท้ายแล้วจึงค่อยกลับเข้าไปหากรรณและสาลี่ที่ยังรออยู่ด้านในร้านกับเพื่อนคนอื่นๆ ภูค่อนข้างโล่งใจที่พบว่ากรรณเข้ากับกลุ่มเพื่อนของตนได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยราวกับเป็นคนวัยเดียวกัน จากตอนแรกที่คิดกังวลว่าอีกฝ่ายอาจจะต้องมานั่งเบื่อ แต่กลับกลายเป็นว่าตนเสียอีกที่กลายเป็นคนที่พูดน้อยที่สุดในวง เด็กหนุ่มใช้เวลากับเพื่อนทุกคนอย่างไม่รีบร้อน พยายามเก็บเกี่ยวความสุขและความสบายใจที่มีในตอนนี้ให้ได้มากที่สุด เพราะรู้ดีว่านับจากนี้ไปภาระหน้าที่และความรับผิดชอบต่อตารางชีวิตอันแน่นขนัดของตนจะพรากสิ่งเหล่านี้ออกไปอย่างไร้หนทางฉุดรั้ง 

        เป็นเวลาเกือบตีสองกว่าที่ทุกคนจะแยกย้ายกันกลับบ้าน สาลี่เสนอตัวจะขับรถไปส่งทั้งภูและกรรณที่บ้าน ภูผล็อยหลับไประหว่างการเดินทางด้วยความอ่อนเพลียจากสิ่งที่ต้องเผชิญมาทั้งวัน กรรณมองเด็กหนุ่มคนรักของตนที่หลับตาพริ้มอยู่ข้างๆบนเบาะหลังของรถ ริมฝีปากที่เผยออ้าออกเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัวยามหลับไหลทำให้ใบหน้านั้นยิ่งทวีความน่าเอ็นดูจนเกินจะหักห้ามใจเอาไว้อยู่ อีกทั้งด้วยความที่สาลี่เองก็รู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขาทั้งสองอยู่แล้ว จึงคิดว่าไม่น่าจะเสียหายอะไรหากจะฉวยโอกาสนี้ก้มลงไปหอมแก้มภูสักฟอด จนกระทั่งได้ทำลงไปตามต้องการแล้วจึงสังเกตเห็นว่าเด็กสาวผู้รับหน้าที่สารถีคนขับกำลังลอบมองมาผ่านทางกระจกมองหลังของรถ เมื่อถูกจับได้แบบคาตาเช่นนี้กรรณก็ไม่มีอะไรที่จะทำได้มากไปกว่าการแค่นหัวเราะออกมาแก้เขิน

        “ไม่เป็นไรหรอกพี่ น่ารักดี” สาลี่อดหน้าแดงกับภาพที่เห็นไม่ได้ “ภูมันน่ารักเนอะ เวลาหลับยิ่งเหมือนเด็กเลย”

        “ใช่ น่ารักมาก” กรรณไม่มีข้อโต้แย้งสำหรับเรื่องนี้ “ถึงจะเป็นคนชักนำให้เค้ามาทำงานเอง พี่ก็ยังอดกลัวไม่ได้ว่าสักวันชีวิตในวงการจะทำให้เค้าต้องเสียความน่ารักไป”

        “ไม่หรอกค่ะพี่ หนูเชื่อว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนคนแบบไอ้ภูได้หรอก” สาลี่ยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงตัวตนของเพื่อนสนิทที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยนับตั้งแต่วันที่รู้จักกันมา “ภูมันโตมาแบบไข่ในหิน ก็เลยออกจะเด๋อๆด๋าๆไม่ค่อยประสีประสาอะไรเท่าไหร่ บางทีการได้เข้ามาอยู่ตรงนี้ มันก็อาจจะช่วยให้ภูมันโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ซึ่งหนูว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องที่แย่หรอกนะ”

        “สนิทกันมาแต่เด็กแบบนี้ ไม่ตกใจเหรอพอรู้ว่าเค้าไม่ได้เป็นเหมือนผู้ชายทั่วไป” กรรณถาม

        “ตอนแรกที่รู้ก็ตกใจนิดหน่อย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอกค่ะ จะชอบผู้ชายหรือผู้หญิง ยังไงไอ้ภูก็คือไอ้ภูคนเดิม” สาลี่ตอบตามความรู้สึกที่มี “ก็ดีจะได้หายสงสัยไปอีกเรื่อง เพราะเมื่อก่อนก็เคยมานั่งคิดว่าทำไมมันไม่มีแฟนสักที เวลาหนูมีแฟนมันก็ชอบน้อยใจ บ่นว่าเหงาที่หนูไม่มีเวลาให้มัน”

        “พอมาตอนนี้ก็กลายเป็นภูไม่มีเวลาให้ลี่แทน” กรรณนึกขำกับชีวิตที่จู่ๆก็กลับตาลปัตรของเพื่อนทั้งสอง

        “ก็ดีแล้วล่ะ ตัวติดกับมันมากก็ขายไม่ออกกันพอดี” สาลี่ทำเป็นโล่งใจทั้งที่ในความเป็นจริงเธอเองก็รู้สึกเหงาเหมือนกันที่เพื่อนซี้ต้องห่างหายออกไปจากชีวิต

        “ก็พูดไป เราเองก็ไม่ใช่ว่าจะขี้เหร่ เดี๋ยวก็เจอคนดีๆเองแหละ” กรรณให้ความหวัง

        “ผู้ชายดีๆหนีไปเป็นเกย์หมดแล้ว ดูอย่างพี่กับไอ้ภูสิ” สาลี่ถอนหายใจ “แต่หนูก็ดีใจนะ ที่ความรักครั้งแรกของภูมันสมหวัง ดีใจที่คนๆนั้นที่มันรออยู่เป็นพี่”

        “พี่ก็ดีใจ” กรรณยิ้มน้อยๆขณะมองไปยังภูซึ่งหลับสนิทจนคออ่อนปล่อยให้ศรีษะเอนมาพิงไหล่ของตนแล้ว

        “ดูแลเพื่อนหนูดีๆนะพี่ รักมันมากๆ” สาลี่หันมาบอกกับกรรณ ความรู้สึกบางอย่างเต็มตื้นอยู่ในอก “เพราะนั่นคือสิ่งเดียวที่คนดีๆแบบมันสมควรได้”

        ถึงแม้สาลี่จะไม่ออกปาก แต่เจตนาของกรรณก็ไม่ได้แตกต่างจากนั้นแม้แต่น้อย ยิ่งเมื่อได้เห็นว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาภูแคร์ความรู้สึกของตนมากเพียงใด ความตั้งใจที่จะตอบสนองกลับไปด้วยสิ่งเดียวกันก็ยิ่งมากขึ้นตาม เพราะอนาคตล้วนแล้วแต่ไม่แน่นอน ไม่มีใครรู้ว่าสิ่งใดจะผ่านเข้ามาในวันข้างหน้า และสิ่งที่มีจะสิ้นสุดลงตรงไหน เขาทั้งสองอาจจะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตลอดไป หรือถ้าหากทุกสิ่งจะต้องเหลือเพียงแค่ความทรงจำ เขาก็อยากจะให้มันเป็นความทรงจำที่สว่างไสวที่สุดในหัวใจของเด็กหนุ่มทุกครั้งที่ระลึกถึง ด้วยเหตุนี้กรรณพยักหน้ารับคำฝากฝังนั้นด้วยความเต็มใจเป็นอย่างยิ่ง


To be continued...

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ทำไมมีความรู้สึกว่าจะมีการซดมาม่าเกิดขึ้นตามมาหว่า?

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
ทำไมได้กลิ่นมาม่าซะ

 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
จอสมันร้าย เอาแต่ใจ แล้วยิ่งสร้างกระแสคู่จิ้นให้ก็ยิ่งเข้าทางจอสเลยสิ สักวันภูจะต้องทะเลาะกับพี่กรรณแน่ๆ ไม่อยากให้มาม่าเลย

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
:man1:

 :L1: :pig4: :L1:

ขอบคุณที่ติดตามกันมาตลอดเลยนะครับ




:pig4: :pig4: :pig4:

ทำไมมีความรู้สึกว่าจะมีการซดมาม่าเกิดขึ้นตามมาหว่า?

ขอดราม่านิดนึง เนื้อเรื่องใกล้เข้าช่วงท้ายแล้วครับ  :hao5: :hao5:



ทำไมได้กลิ่นมาม่าซะ

 :L2: :pig4:

ผู้เขียนกำลังต้มมาม่าเสิร์ฟให้ครับ เรื่องใกล้เข้าช่วงท้ายแล้ว จะได้มีอะไรให้ติดตาม  :hao5: :hao5:



จอสมันร้าย เอาแต่ใจ แล้วยิ่งสร้างกระแสคู่จิ้นให้ก็ยิ่งเข้าทางจอสเลยสิ สักวันภูจะต้องทะเลาะกับพี่กรรณแน่ๆ ไม่อยากให้มาม่าเลย

ตัวร้ายที่รักเธอ แต่จริงๆอยากบอกว่าอย่าเกลียดจอส จอสน่าสงสาร เดี๋ยวอีกไม่กี่ตอนก็จะได้เข้าใจจอสแล้วครับ  :hao5:



ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
Episode 17 part1

        เสียงกรี้ดที่ดังกระหึ่มทะลุประตูออกมาจากศูนย์การค้าชื่อดังสาขาใหญ่ใจกลางกรุงเทพ บ่งบอกถึงความฟินสุดขั้วหัวใจของบรรดาแฟนคลับและสาววายที่มาร่วมงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์บำรุงผิวยี่ห้อดัง โดยมีต้นเหตุมาจากฉากแสดงความรักใคร่ของพรีเซนเตอร์ทั้งสองบนเวที อันเป็นละครโรงเล็กที่จอสบรรจงแสดงสนองความต้องการของแฟนคลับอย่างสุดฝีมือชนิดที่ว่าภูอดไม่ได้ที่จะเขินและเคลิ้มตามไปจริงๆ สายตาของพี่ช้างยังคงเฉียบแหลมเหมือนเช่นทุกครั้งสมกับที่คร่ำหวอดในวงการมานาน เมื่อแผนการปั่นกระแสสร้างคู่จิ้นบังเกิดผลสำเร็จอย่างงดงามหลังจากเริ่มต้นกระบวนการตามแผนที่วางไว้ไปได้เพียงไม่ถึงสามเดือน แม้ผลของมันจะยังไม่บรรลุถึงขั้นที่ว่าทำให้เด็กหนุ่มทั้งสองได้มีผลงานการแสดงแบบเป็นเรื่องเป็นราวกับทางช่อง เพราะติดที่ว่ายังต้องผ่านระบบการเป็นนักแสดงฝึกหัดให้ได้ก่อน แต่ก็ชดเชยได้ด้วยงานพรีเซนเตอร์ และงานอีเวนท์ต่างๆที่ไหลเข้ามาจนคิวงานของทั้งคู่เต็มแน่นยาวเหยียดไปจนถึงปลายปี

        งานพรีเซนเตอร์ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวยี่ห้อดังจากต่างประเทศในครั้งนี้จัดเป็นงานประเภทที่พี่ช้างต้องเขียนดอกจันกำกับเอาไว้ท้ายตารางนัดว่าสำคัญมาก เนื่องด้วยเหตุที่ว่านอกจากชิ้นงานที่สำเร็จออกมาจะใช้ในประเทศไทยแล้ว ก็ยังถูกนำไปใช้ในสื่อประชาสัมพันธ์ต่างๆทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียด้วย จึงนับเป็นก้าวสำคัญของภูในการสร้างฐานแฟนคลับในต่างประเทศเพื่อเปิดโอกาสในการรับงานระดับสากลต่อไป ซึ่งก่อนหน้าจะมาถึงงานเปิดตัวในวันนี้นั้น ในส่วนของการถ่ายทำทั้งภาพยนตร์โฆษณาและภาพนิ่งสำหรับป้ายโฆษณาและบิลบอร์ดได้เสร็จสิ้นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยในส่วนของภาพนิ่งนั้นถือเป็นการหวนกลับมาทำงานร่วมกันอีกครั้งระหว่างภูและกรรณหลังจากต่างฝ่ายต่างแยกย้ายไปตามสายงานของตนอยู่นาน ซึ่งแน่นอนว่าการทำงานร่วมกันของคู่รักแบบลับๆในครั้งนี้นอกจากจะทำให้ภูสามารถทำงานได้อย่างราบรื่นและเปี่ยมไปด้วยความสุขแล้ว มันก็ทำให้จอสผู้ซึ่งโดยปกติไม่เคยหวั่นกับการอยู่หน้ากล้องถึงกับสะดุดจนเสียเส้นไปเลยเช่นกัน เพราะถึงแม้ว่าโดยปกติกรรณจะเป็นคนที่จริงจังในการทำงานอยู่แล้ว แต่ทว่าในวันนั้นเหมือนมีองค์พระเจ้าเสือประทับลงร่าง ช่างภาพหนุ่มทวีความดุดันและเข้มงวดของบรรยากาศในการทำงานขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว แต่ก็เฉพาะในส่วนที่มีจอสร่วมด้วยเท่านั้น ซึ่งภูก็พอเข้าใจในเหตุผลที่อีกฝ่ายเก็บกดความไม่พอใจมานานจึงปล่อยให้กรรณทำการทรมานจอสจนสาแก่ใจ เพราะฉะนั้นในวันนี้ เมื่อรู้ว่ากรรณกำลังคอยเก็บภาพของภูอยู่ในงานด้วย จอสจึงจงใจแสดงฉากชวนจิ้นกับภูแบบเล่นใหญ่ใส่ไม่ยั้งจัดหนักกว่าทุกครั้งที่ผ่านมาเพื่อเป็นการเอาคืนอย่างกลายๆ

        “ภูเนี่ย เป็นพวกปัญหาเยอะครับ แต่ยกเว้นผิวเอาไว้เรื่องนึง เพราะเนียนมากกก” จอสใช้ประโยคจากโฆษณามาโยงเข้ากับสถานการณ์บนเวที ก่อนจะยื่นมือไปจับแก้มของภูและลูบเหมือนกำลังเกาคางให้แมว

        ภูหน้าแดงก่ำด้วยความอาย และนั่นยิ่งเรียกเสียงกรี้ดจากผู้ชมได้ดังมากขึ้น เด็กหนุ่มไม่อาจทำความเข้าใจกับตนเองได้ว่าทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าทั้งหมดที่เห็นเป็นแค่การแสดง แต่แล้วทำไมจึงเกิดความหวั่นไหวแบบแปลกๆนี้ขึ้นมาได้ เขาเคยลองปรึกษาเรื่องนี้กับสาลี่ดูอย่างจริงจังเพื่อหาเหตุผลที่จะหาตัวเองให้พ้นจากความรู้สึกผิดว่ากำลังวอกแวกเอาใจออกห่างกรรณ และก็ได้ข้อสรุปว่าทั้งหมดนี้น่าจะเป็นแขนงหนึ่งของอาการอุปาทานหมู่ เมื่อชีวิตประจำวันต้องตกอยู่ในสถานการณ์จำลองที่สร้างขึ้นอย่างสมจริงประกอบกับแรงยุยงสนับสนุนจากผู้คน บางครั้งก็ไม่แปลกที่ผู้แสดงจะถูกสะกดจิตจนเชื่อในเรื่องนั้นไปด้วยอย่างห้ามไม่ได้

        ด้วยความที่รู้จักนิสัยของเด็กในการดูแลของตนดีว่าเป็นพวกไร้พรสวรรค์ด้านการแสดง ดังนั้นพี่ช้างจึงมอบบทบาทให้จอสเป็นผู้กระทำการด้านเอนเตอร์เทนทั้งหมด ในขณะที่หน้าที่หลักของภูคือห้ามขัดขืนหรือแสดงออกว่าไม่พอใจ ทำได้เพียงออกอาการเขินอายอย่างเดียว อีกทั้งเด็กหนุ่มยังต้องรับหน้าที่เป็นผู้นำเสนออะไรก็ตามที่เป็นทางการกว่าเช่นการให้สัมภาษณ์หรือการพูดถึงคอนเซปต์งาน สินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่เป็นพรีเซนเตอร์ โดยพิจารณาจากความถนัดในการท่องจำและนำเสนอของเขา ซึ่งภูก็ยินดีที่มันออกมาเป็นเช่นนั้น เพราะถึงแม้ว่าในใจจะไม่เคยมีสักกระผีกความคิดที่อยากจะเป็นคู่จิ้นอะไรอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้ แต่ก็เหมือนเป็นโชคดีในความโชคร้ายที่เขายังสามารถอาศัยประโยชน์จากมันได้โดยการใช้เป็นข้ออ้างอธิบายให้กรรณเข้าใจในเรื่องของพฤติกรรมเสมือนเป็นคู่รักที่จอสกระทำกับตนในทุกเวลาที่อยู่ร่วมกัน

        ท่ามกลางความกังวลมากมายหลายเรื่องที่ภูต้องแบกรับเอาไว้ในชีวิตการทำงาน มีเพียงเรื่องเดียวที่หนักหนาที่สุด นั่นคือความรู้สึกของกรรณที่มีต่อเรื่องทั้งหมดตอนนี้ ถึงแม้ปากของชายหนุ่มจะบอกว่าโอเคกับทุกอย่างและเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องงาน แต่การกระทำนั้นขัดแย้งออกไปโดยสิ้นเชิง บ่อยครั้งที่กรรณออกอาการไม่พอใจอย่างชัดเจนจนลามมามึนตึงใส่ภูด้วย ซึ่งเด็กหนุ่มก็ไม่อาจโทษอีกฝ่ายได้สำหรับการแสดงออกเช่นนั้น เพราะเข้าใจดีถึงความรู้สึกหึงหวงว่ามันมีอานุภาพต่อจิตใจได้มากเพียงไหน ในเมื่อไม่อาจจะหลีกเลี่ยงความใกล้ชิดในส่วนที่เป็นเรื่องงานได้ ภูจึงตัดสินใจจะลดทอนความสนิทสนมในชีวิตส่วนตัวกับจอสลงให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อให้กรรณสบายใจ

        “วันนี้เสร็จแล้วไปไหนต่อกันดี?” จอสกระแซะเข้ามาถามภูหลังจากที่ทั้งคู่ลงจากเวทีและเข้ามาถึงยังห้องพักส่วนตัวที่เจ้าของงานจัดไว้เตรียมไว้ให้ “ให้นายเลือกเลย นายอยากไปไหน เราพาไปได้หมด”

        “ต่างคนต่างไป บ้านใครบ้านมัน” ภูให้คำตอบแบบชัดเจน

        “ทำตัวใจดีบ้างคงไม่ถึงกับตายหรอกมั้ง” จอสเบ้หน้าใส่

        “จะให้ใจดีกับพวกชอบแบล๊คเมล์น่ะเหรอ?” ภูถามย้อนกลับไป “อย่าให้มันเยอะนักเลย ทุกวันนี้เราก็ทำตามข้อตกลงทุกอย่างแล้วนี่ แถมยังมีเรื่องคู่จิ้นบ้าบออะไรนี่มาเพิ่มอีก เท่านี้ก็น่าจะพอใจนายได้แล้วมั้ง?”

        จอสนิ่งอึ้งไปโดยฉับพลัน ใบหน้านั้นดูสลดลงคล้ายกำลังรู้สึกผิดก่อนที่เขาจะใช้ทิฏฐิสลัดมันออกไปได้ในไม่กี่วินาทีต่อมา

        “ยังไม่พอใจหรอก มันต้องมากกว่านี้อีก” จอสไม่ยอมลดราวาศอก “วันนี้เดี๋ยวไปด้วยกันต่อ จอสอยากดูหนัง”

        “ไม่ว่าง ไม่เห็นหรือไงว่ามีคนมารอรับแล้ว” ภูหมายถึงกรรณ

        “ไม่ใช่เรื่องที่เราต้องแคร์ อย่าลืมว่านายไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะมาต่อรองหรือขัดขืนได้นะ” จอสขู่

        คำขู่นั้นได้ผลชะงัด ภูนิ่งอึ้งไปเมื่อนึกได้ว่าจอสยังคงมีไพ่ตายที่รอการใช้อยู่ในมือ  ถึงแม้ในส่วนลึกของความรู้สึกเด็กหนุ่มจะเชื่อมั่นในตัวตนเบื้องลึกของอีกฝ่ายที่เคยได้สัมผัสว่าท้ายที่สุดแล้วจอสจะไม่ทำอะไรที่เลวร้ายถึงขั้นนั้นลงไป แต่สัญชาติญาณการระวังภัยก็ยังส่งสัญญาณเตือนอย่างต่อเนื่องว่าเด็กหนุ่มจอมแปรปรวนผู้เอาแน่เอานอนไม่ได้คนนี้ไม่อาจไว้วางใจได้ และนั่นเองที่ทำให้เขาต้องตกอยู่ในสถานะที่เป็นรองอย่างหมดทางเลือก

        “แล้วเราจะบอกกับเค้ายังไง? นี่เค้าก็มารออยู่ข้างนอกแล้ว เข้าใจกันหน่อยไม่ได้เหรอ?” ภูขอความเห็นใจ

        “ไม่รู้ ไม่สน” จอสส่ายหน้าลูกเดียว “ไปบอกเค้าสิว่าทางช่องเรียกตัวด่วน ให้เค้ากลับไปรอที่บ้านก่อน”

        “อืม” ภูพยักหน้าแบบจำยอม เพราะรู้ดีว่าถึงอย่างไรมาบอกเอาตอนนี้กรรณก็ต้องเกิดความสงสัย และอาจจะไม่พอใจเป็นแน่ “รอแป้ปนึงแล้วกัน ขอออกไปคุยกับพี่เค้าก่อน”

        “เดี๋ยว…” จอสรั้งเอาไว้

        “มีอะไรอีก?” ภูหยุดแต่ไม่ได้หันกลับมา

        “ทีนี้รู้บ้างแล้วใช่ไหม? ว่าเวลาโดนคนทำตัวใจร้ายใส่มันรู้สึกยังไง?”

        หากมันจะมีความรู้สึกบางอย่างที่เกือบจะเรียกได้ว่าความน้อยเนื้อต่ำใจซึ่งเคลือบแฝงอยู่ภายใต้ประโยคที่ฟังคล้ายคำเยาะเย้ยนั้น ภูก็ไม่อาจสัมผัสถึงมันได้ในยามที่อารมณ์กำลังคุกรุ่นเช่นนี้ เด็กหนุ่มเพียงแค่พยักหน้ายอมรับความพ่ายแพ้แล้วจึงเดินออกไปหากรรณที่รออยู่ด้านนอก เมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังนั่งรออยู่ ณ จุดนัดพบพลางชะเง้อคอมองหาตนอยู่เป็นระยะๆ ใจของภูก็ยิ่งรู้สึกผิดกับสิ่งที่กำลังจะทำลงไปต่อจากนี้

        “พี่กรรณ…” ภูเรียกพร้อมกับสะกิดเข้าที่ไหล่ของอีกฝ่ายที่ยังมัวชะเง้อมองไปยังอีกทางจนไม่เห็นว่าคนที่ตนรออยู่ได้มาหยุดยืนอยู่ข้างๆแล้ว

        “มาเงียบๆ พี่กำลังมองหาอยู่เลย” กรรณรีบลุกขึ้นและมองหากระเป๋าเป้กระจำตัวของภูเพื่อจะช่วยถือเหมือนทุกครั้งก่อนจะพบว่าอีกฝ่ายไม่ได้นำมันออกมาด้วย “ยังไม่เสร็จเหรอ?”

        “งานที่นี่เสร็จแล้ว แต่วันนี้คงไม่ได้ไปตามที่นัดกันไว้แล้วล่ะ” ภูรู้สึกเหมือนกำลังอมก้อนสนิมเหล็กเอาไว้ในปาก มันขมและบาดลิ้นจนทำให้การพูดออกมาแต่ละคำนั้นแสนจะลำบากยากเย็น “พอดีทางช่องเรียกตัวด่วน ให้เข้าไปวันนี้เลย”

        “อ้าว…” กรรณตอบสนองด้วยความประหลาดใจ ก่อนที่มันจะค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นความผิดหวังในอึดใจต่อมา “ทำไมฉุกละหุกจังล่ะ?”

        “ไม่รู้เหมือนกันครับ คงเรื่องงานล่ะมั้ง” ภูก้มหน้าหลบไม่กล้าสบสายตาที่สะท้อนความผิดหวังออกมาคู่นั้น

        “งั้นก็ช่วยไม่ได้สินะ… ยังไงงานก็ต้องมาก่อน” กรรณถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “ไหนๆวันนี้พี่ก็ว่างแล้ว จะให้ไปเป็นเพื่อนด้วยไหมล่ะ?”

        “ไม่เป็นไร พี่กลับไปพักเถอะ ผมก็ไม่รู้ว่าจะเสร็จกี่โมงเหมือนกัน” ภูรีบบอกปัดความปรารถนาดีของอีกฝ่ายที่ถึงแม้อยากจะรับไว้เพียงใดก็ไม่อาจรับได้นั้น

        “ครับ งั้นเสร็จแล้วก็รีบกลับแล้วกัน” กรรณจะยกมือขึ้นลูบศรีษะของภู แต่ก็ชะงักหยุดเอาไว้เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเวลานี้พวกเขาไม่ได้อยู่กันเพียงลำพัง “พี่รออยู่ที่บ้านนะ”

        “กลับดีๆนะครับ” ภูบอกกับอีกฝ่ายก่อนจะหันกลับออกมา

        หลังจากออกเดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว ความอาวรณ์ก็ดึงให้ภูเหลียวหลังกลับมามองยังที่ๆกรรณอยู่เมื่อครู่อีกครั้งและพบว่าอีกฝ่ายได้หันหลังเดินจากไปแล้ว เด็กหนุ่มจ้องมองร่างสูงนั้นเดินจากไปจนลับตา เพียงแค่มองจากด้านหลังเขาก็ยังสัมผัสได้ถึงความห่อเหี่ยวทางอารมณ์ที่กรรณกำลังประสบอยู่ บางทีหากได้กอดกันสักครั้งก่อนจากก็น่าจะทำให้ความรู้สึกของอีกฝ่ายโดยรวมดีขึ้นได้บ้าง แต่ทั้งหมดที่สามารถทำได้ในเวลานี้กลับมีเพียงแค่คำพูดลาสั้นๆห้วนๆ ภูนึกขอโทษแฟนหนุ่มของตนและตั้งใจว่าจะชดเชยให้อีกฝ่ายอย่างเต็มที่ในโอกาสหน้าก่อนจะกลับเข้าไปหาจอสที่รอคำตอบอยู่ด้านในห้องพัก

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
Episode 17 part2

        “ว่าไง? เรียบร้อยไหม?” จอสถามทันทีที่เห็นภูโผล่พ้นประตูห้องเข้ามา

        “อืม…” ภูพยักหน้า ไม่มีอารมณ์อยากจะพูดอะไรทั้งสิ้น

        “งั้นก็เก็บของอะไรให้เสร็จ จะได้รีบไปกันได้แล้ว” จอสลุกขึ้นและบิดตัวไปมาเพื่อยืดเส้นยืดสาย

        ภูไม่พูดอะไร ได้แต่ทำตามที่อีกฝ่ายบอก จอสออกไปคุยกับทีมงานที่ด้านนอกระหว่างรอให้เด็กหนุ่มเปลี่ยนชุดและเก็บข้าวของส่วนตัวเข้ากระเป๋า จากนั้นจึงโทรหาพี่ช้างเพื่อรายงานว่าทุกอย่างเสร็จสิ้นไปด้วยดี เมื่อได้ยินจากปากของเด็กหนุ่มว่าไม่มีปัญหาน้ำเสียงของคู่สนทนาที่อยู่ปลายสายก็ฟังดูโล่งใจขึ้น เนื่องจากตอนแรกพี่ช้างเป็นกังวลมากที่ต้องปล่อยให้ภูมาเองโดยไม่สามารถมาควบคุมดูแลทุกอย่างในงานได้เนื่องจากติดภารกิจส่วนตัวที่เข้ามาอย่างกะทันหัน เมื่อพูดธุระจบภูจึงกดวางสายและเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าเป้เป็นอันเสร็จสิ้นทุกกระบวนการสำหรับงานนี้

        ภูทิ้งร่างอันหนักอึ้งไปด้วยความเครียดและความเหนื่อยล้านั่งลงบนเก้าอี้ ตั้งใจจะขอเวลาพักและผ่อนคลายความรู้สึกของตัวเองสักครู่ก่อนจะต้องออกไปรับบทเป็นของเล่นสร้างความบันเทิงให้กับจอสต่อ เมื่อมีโอกาสได้อยู่คนเดียวลำพัง ความรู้สึกบางอย่างที่อดกลั้นเอาไว้ตั้งแต่เมื่อครู่ก็เริ่มเอ่อท้นขึ้นมาจุกในอก ภาพใบหน้าผิดหวังของกรรณย้อนกลับเข้ามาในความทรงจำอีกครั้ง ภูรู้ดีว่าอีกฝ่ายเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อให้วันนี้มาถึง ด้วยช่วงเวลาเกือบสามเดือนที่ผ่านมานอกจากวันที่ได้ทำงานด้วยกันแล้วทั้งสองก็แทบไม่มีเวลาที่จะได้อยู่กันแบบเป็นส่วนตัวเลย ภูมักจะกลับถึงบ้านดึกและเหนื่อยเพลียจนไม่มีเรี่ยวแรงจะทำอะไรนอกจากปีนขึ้นบนเตียงนอนและปล่อยให้ตัวเองหลับเหมือนตาย ส่วนกรรณเมื่อเห็นอีกฝ่ายเป็นเช่นนั้นก็ไม่กล้าที่จะรบกวนเวลาพักผ่อนที่มีอยู่น้อยนิด จนกระทั่งวันนี้ที่ตารางงานของภูจบลงแค่ช่วงบ่าย กรรณจึงใช้เวลาทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมาจัดการเคลียร์งานทุกอย่างเพื่อทำตัวให้ว่างตรงกัน แต่แล้วทุกอย่างก็กลับกลายมาเป็นแบบนี้ เพียงแค่คิดว่าตนเป็นสาเหตุแห่งความผิดหวังที่อีกฝ่ายกำลังประสบนั้นก็ยิ่งทำให้ภูรู้สึกผิดจนตัวชา อดโทษตัวเองไม่ได้ว่าทั้งที่เป็นฝ่ายบีบบังคับให้กรรณยอมแหกกฎของพี่ช้างมาคบหากันอย่างจริงจังแท้ๆ แต่ตนกลับตอบแทนความทุ่มเทของอีกฝ่ายด้วยคำโกหกเช่นนี้  หากเป็นในสภาวะอารมณ์ปกติ เรื่องเพียงเท่านี้คงไม่อาจจะทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกอะไรได้มากไปกว่าหงุดหงิดหรือซึมเศร้า แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งที่ความเสียใจและความกดดันมาหลอมรวมเข้าด้วยกันบนร่างกายที่เหนื่อยล้า น้ำตาก็เริ่มไหลออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ ภูรีบเช็ดมันออกด้วยไม่อยากให้ใครเข้ามาเห็นโดยเฉพาะจอส แต่ก็สายไปแล้วเพราะเมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ตรงบานประตูห้องพักที่บัดนี้เปิดแง้มอยู่นั้นมีใบหน้าของเจ้าตัวแสบจอมแบล๊คเมล์ส่องเข้ามาลอบมองทุกอย่างอยู่

        “มองอะไร?” ภูใช้หลังมือปาดน้ำตาตัวเองออก แต่ไม่ทันไรหยดใหม่ก็เอ่อท้นไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย

        “เก็บของเสร็จก็ออกมาได้แล้ว จะได้รีบๆไป” จอสสั่งแต่น้ำเสียงกลับดูอ่อนลงจากเมื่อครู่ก่อนออกไป

        ภูพยายามดึงตัวเองออกจากอาการจิตตกจนกระทั่งรู้สึกว่าสภาพอารมณ์ตัวเองเริ่มเข้าสู่เสถียรสภาพจึงค่อยตามอีกฝ่ายออกไปข้างนอก เด็กหนุ่มพร่ำบอกกับใจตัวเองให้คิดถือเอาว่าทุกสิ่งต่อจากนี้เป็นเพียงงานอันแสนยากเย็นอีกหนึ่งชิ้นที่ต้องผ่านไปให้ได้ เมื่อทั้งสองลงมาถึงอาคารจอดรถ ยานยนต์สองล้อคันงามจอดรออยู่ตรงนั้น แม้จะผ่านอุบัติเหตุจนพังยับมารอบหนึ่งแล้ว แต่ด้วยการซ่อมบำรุงอย่างดีทำให้สภาพของมันในตอนนี้เหมือนใหม่แกะกล่องไม่มีร่องรอยความเสียหายใดๆหลงเหลือแม้แต่น้อย จอสส่งหมวกกันน๊อคที่มีอยู่เพียงใบเดียวให้กับภูก่อนที่ตนเองจะขึ้นไปสตาร์ทรถ

        “แล้วนายไม่ใส่ล่ะ?” ภูยื่นมันส่งคืนให้

        “นายใส่ไปเหอะ กลัวตายไม่ใช่หรือไง?” จอสดันมันกลับไป “แล้วอีกอย่าง เราไม่อยากจะต้องบิดแค่หกสิบเป็นจักรยานคุณปู่ไปตลอดทาง น่าเบื่อ”

        “ตามใจ โดนจับเสียค่าปรับเองก็แล้วกัน” ภูไม่ขัดกับอะไรก็ตามที่จะเสริมความปลอดภัยให้ตนเอง

        เมื่อภูขึ้นมาซ้อนบนเบาะท้ายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จอสก็บิดคันเร่งขับออกไปทันที ในช่วงแรกที่ความเร็วในการขับขี่ยังถูกจำกัดเอาไว้ด้วยถนนที่คับแคบขณะออกจากอาคารจอดรถทุกอย่างก็ยังดูเหมือนจะไม่มีอะไรต้องเป็นกังวล แต่เมื่อทะลุออมาถึงถนนใหญ่นรกที่ภูเคยประสบมาแล้วหนหนึ่งก็ย้อนกลับเข้ามาเยี่ยมเยียนอีกครั้ง แม้จะมีหมวกกันน๊อคมาเป็นอุปกรณ์นิรภัยแต่ก็ดูเหมือนความเสี่ยงอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินจะไม่ได้ลดทอนลงแม้แต่น้อย ฝีมือการซิ่งแบบนรกแตกของจอสยังคงเส้นคงวาได้มาตรฐานไม่เปลี่ยนแปลงจากครั้งก่อน ด้วยอุปนิสัยการขับขี่เช่นนี้ทำให้ภูอดทึ่งกับความดวงดีของอีกฝ่ายไม่ได้ที่บาดเจ็บเพียงเล็กน้อยจากอุบัติเหตุล่าสุดที่ผ่านมา

        จอสพาภูขับขี่ฉวัดเฉวียนไปตามถนนหนทางอันซับซ้อน เขาหลีกเลี่ยงเส้นทางหลักที่อาจเสี่ยงต่อการโดนตำรวจเรียกจับข้อหาไม่สวมใส่หมวกกันน๊อค ในช่วงแรกของการเดินทางนั้นด้วยเส้นทางที่ไม่คุ้นเคยเด็กหนุ่มจึงยังไม่อาจรู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะพาตนไปที่ไหน อีกทั้งยังไม่คิดจะถามเพราะถึงรู้ไปก็ใช่ว่าจะมีสิทธิปฏิเสธ แต่เมื่อมาถึงจุดหนึ่งที่ตึกรามบ้านช่องซึ่งเรียงรายอยู่สองข้างทางเริ่มดูคุ้นตามากขึ้นทุกที ภูก็เริ่มคาดเดาได้ถึงจุดหมายปลายทางทว่าก็ยังไม่อาจฟันธงลงไปได้อย่างแน่ชัด จนกระทั่งเมื่อจอสหักเลี้ยวเข้ามาในซอยเอื้ออัมพรนั่นเองภูจึงได้คำตอบสุดท้าย

        “ลงไปได้แล้ว ถึงแล้ว” จอสหันมาสั่งหลังจากจอดรถเทียบเข้าที่หน้าประตูรั้วบ้านของภู

        “คืออะไร?” ภูไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายจึงพาตนมาส่งบ้าน

        “ก็บ้านนายไง ถึงแล้ว ลงไปได้แล้ว” จอสทำหน้าเหมือนรำคาญเต็มที “เอาหมวกคืนมาด้วย”

        “โอเค… ตามนั้นเลย ไม่มีปัญหา” ภูรีบโดดลงจากรถก่อนทีอีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจ “แล้วไม่ไปดูหนังแล้วหรือไง?”

        “ไม่ไปแล้ว รำคาญพวกขี้แย” จอสรับหมวกกันน๊อคคืนจากภูและสวมกลับเข้าที่ศรีษะตัวเอง “แล้วก็จำไว้ล่ะ ทีหลังอย่ามาทำตัวใจร้ายอีก ถ้าร้ายมาเราก็ร้ายกลับ แฟร์ๆ”

        จอสพูดทิ้งท้ายเอาไว้เพียงเท่านั้นก่อนจะตีโค้งหันรถกลับแล้วจึงบิดคันเร่งพุ่งทะยานออกไป ภูยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อนไปไหน แม้จะโล่งอกที่สถานการณ์อันน่าอึดอัดใจจบลงเร็วกว่าที่คิด ทว่าอีกใจหนึ่งก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดเมื่อสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่แฝงอยู่ในท่าทีไม่แยแสของอีกฝ่าย แต่เด็กหนุ่มก็พยายามบอกกับตนเองว่านั่นเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เพราะไม่ว่าใครจะเป็นคนผิดเรื่องนี้ก็ต้องจบ

        ภูเปิดกระเป๋าและหยิบกุญแจบ้านออกมาเพื่อจะไขประตูรั้วเข้าไปข้างใน ตอนนั้นเองที่แท็กซี่คันหนึ่งวิ่งเข้ามาในซอยและจอดลงที่หน้าบ้านของกรรณก่อนที่ชายหนุ่มเจ้าของบ้านจะเปิดประตูลงมาจากรถพร้อมกับข้าวของพะรุงพะรังเต็มสองมือ กรรณคงจะแวะซื้อของที่ไหนสักที่หลังจากทั้งคู่แยกกันที่ศูนย์การค้า เมื่อเห็นดังนั้นภูจึงรีบเดินเข้าไปหาและแบ่งถุงเหล่านั้นมาช่วยถือ

        “อ้าว ไหนว่าที่ช่องเรียกตัว?” กรรณสงสัย

        “ไม่มีอะไรแล้วล่ะครับ แค่เรื่องผิดพลาดนิดหน่อย” ภูแก้ตัวก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อเบนความสนใจ “แล้วพี่ไปไหนมา ทำไมกลับมาถึงบ้านหลังผมอีก?”

        “ซื้อของใช้เข้าบ้านน่ะ แล้วก็ซื้อพวกของสดมา กะว่าจะทำอะไรกินคืนนี้” กรรณชูถุงในมือขึ้นให้ดู “พอดีโดนเด็กเท เดทล่ม เลยหาอะไรทำแก้เหงา”

        “ขอโทษ…” ภูเสียงอ่อย

        “พูดเล่นน่ะ ถึงยังไงตอนนี้นายก็ว่างแล้วนี่” กรรณยิ้มออกมา “เหนื่อยไหม? ถ้าไม่เหนื่อยมาช่วยพี่จัดของไหมล่ะ?”

        ภูพยักหน้าก่อนจะเดินตามหลังอีกฝ่ายเข้าไปในบ้าน ทั้งสองช่วยกันจัดวางข้าวของที่ซื้อมาเข้าตู้จนหมดเรียบร้อย จากนั้นกรรณก็เริ่มลงมือเตรียมทำมื้อค่ำ หลังจากไปรบกวนฝากท้องที่บ้านของภูมาเป็นระยะเวลาเกือบจะหนึ่งปีแล้ว วันนี้จะเป็นครั้งแรกที่เขาได้มีโอกาสเป็นเจ้าภาพเปิดบ้านให้เด็กหนุ่มมาเป็นแขกประจำโต๊ะอาหารบ้าง เมนูที่ชายหนุ่มโชว์ฝีมือการเข้าครัวนั้นเป็นเพียงอาหารง่ายๆ ไม่ได้หรูหราพิสดารมากมาย แต่ก็เป็นดั่งภาพสะท้อนให้ภูได้เห็นถึงรูปแบบการใช้ชีวิตของอีกฝ่ายยามที่อยู่ต่างแดนเพียงลำพัง

        “มาแล้วครับ มาแล้ว” กรรณเสิร์ฟจานอาหารที่ทำเสร็จแล้วลงบนโต๊ะ

        “แอบใส่ยาพิษลงไปรึเปล่าเนี่ย?” ภูแกล้งพูดแซว

        “ไม่มีหรอกยาพิษ มีแต่ความรัก” กรรณนั่งลงยังฝั่งตรงกันข้าม ก่อนจะตักข้าวใส่จานส่งให้ภู “กินเลยสิ ตั้งแต่ก่อนไปงานก็ยังไม่ได้กินข้าวเลยไม่ใช่หรือไง?”

        “ครับ หิวจะตายแล้ว” ภูรับจานมา พยายามขับไล่เศษเสี้ยวสุดท้ายของความรู้สึกแย่ๆที่ตกค้างมาจากเรื่องเมื่อช่วงเย็นให้ออกไปจนหมด เพื่อจะได้มีความสุขกับช่วงเวลาอันแสนจะหายากนี้ได้อย่างเต็มที่

        อาหารล้วนแล้วแต่ไร้ที่ติ ภูเจริญอาหารเสียจนต้องขอเติมข้าวทำเอากรรณปลื้มใจจนยิ้มแก้มแทบปริ หลังจากเสร็จสิ้นอาหารมื้อหลักก็ยังเหลือไอศครีมอีกหนึ่งถังใหญ่เป็นของหวานรอให้ภูจัดการขณะที่ชายหนุ่มเจ้าบ้านลุกออกจากโต๊ะอาหารไปเก็บล้างจานชาม เด็กหนุ่มตักไอศกรีมเข้าปากทีละช้อนขณะที่สองตาก็จับจ้องมองดูแผ่นหลังของกรรณที่กำลังง่วนกับงานเก็บล้างอยู่ที่อ่างล้างจาน ในตอนนั้นเองเสียงเรียกเข้าก็ดังขึ้นจากโทรศัพท์มือถือของกรรณ ชายหนุ่มรีบล้างฟองสบู่ออกจากมือแล้วเช็ดให้แห้งก่อนจะเดินไปหยิบมันขึ้นมารับสาย เป็นสายจากร้านอาหารที่โทรเข้ามาด้วยความเข้าใจผิดว่ากรรณยังคงมีโต๊ะที่จองไว้สำหรับสองที่ในคืนนี้ เขาจึงชี้แจงกับทางร้านว่าได้ทำการยกเลิกไปตั้งแต่เมื่อช่วงเย็นก่อนจะวางสายเมื่อได้รับการยืนยันว่าเป็นความผิดพลาดจากทางพนักงานที่รับเรื่องเอง

        “พี่จองโต๊ะไว้ด้วยเหรอ?” ภูถามหลังจากแอบฟังบทสนทนาเมื่อครู่จนจบ

        “ร้านที่นายเห็นจากงานที่พี่ไปถ่ายแล้วบอกว่าชอบไง” กรรณตอบขณะกลับไปล้างจานต่อ “ปกติเค้าไม่ได้รับจองล่วงหน้า แต่พี่ขอให้คนรู้จักช่วยติดต่อให้เป็นกรณีพิเศษ”

        “แล้วผมก็ทำให้พี่จองโต๊ะเก้อ…” ความรู้สึกผิดหวนกลับมาเกาะกุมจิตใจของภูอีกครั้ง เด็กหนุ่มจะไม่รู้สึกแย่ถึงเพียงนี้เลยหากนัดในวันนี้ล่มลงด้วยเหตุผลทางด้านการงานจริงๆ ไม่ใช่เรื่องโกหกที่ปั้นแต่งขึ้นเพราะกลัวความลับสกปรกที่ปกปิดไว้จะถูกเปิดโปงเช่นนี้ “ขอโทษจริงๆครับ ทั้งที่พี่รอวันนี้มาตั้งนานแท้ๆ”

        “บอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร” กรรณหันมายิ้มให้ ซึ่งนั่นทำให้อีกฝ่ายยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าทวี

        เพียงคำพูดของกรรณที่บอกว่าไม่เป็นไรนั้นไม่อาจทำให้ความรู้สึกผิดที่เกาะแน่นอยู่ในจิตใจของภูจางหายไปได้ เด็กหนุ่มรู้ดีว่าครั้งนี้ตนต้องทำบางสิ่งบางอย่างที่มากกว่าแค่คำขอโทษ ไม่ใช่แค่เพื่อให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น แต่ยังเพื่อเป็นการชดเชยความรู้สึกที่เสียไปให้กับอีกฝ่ายด้วย เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาจึงพยายามรวบรวมความกล้า บอกกับตัวเองให้ลืมความกระดากอายไปชั่วครู่ขณะที่ลุกจากเก้าอี้และเดินไปหยุดข้างหลังของกรรณ จากนั้นจึงสอดแขนเข้าโอบกอดอีกฝ่ายจากทางด้านหลัง

        “อารมณ์ไหนเนี่ย?” กรรณตกใจนิดหน่อยเพราะโดยปกติแล้วภูไม่เคยเป็นฝ่ายรุกเข้าหาก่อนเช่นนี้

        “อยากกอดแฟนมั่งมันแปลกนักเหรอ?” ภูเขินจนหน้าแดง ไม่คุ้นชินกับการทำตัวอ้อนอย่างเปิดเผยเช่นนี้

        “ไม่แปลกหรอก… ก็แค่… ” กรรณพูดได้เท่านั้นก็ต้องสะดุดกลางคันเมื่อรู้สึกว่ามือของเด็กหนุ่มเริ่มสอดเข้ามาใต้ชายเสื้อ “เดี๋ยวสิ… ยังล้างจานไม่เสร็จเลยนะ”

        “ก็ล้างไปสิครับ” ภูทำเป็นไม่สนใจ ใบหน้านั้นซุกฝังจมูกลงบนแผ่นหลังกว้างสูดกลิ่นอายอันชวนถวิลหาจากร่างกายของกรรณ ในขณะที่มือก็ซุกซนลูบคลำเกาะก่ายไปตามผิวเนื้อใต้ร่มผ้า เริ่มจากหน้าท้องไล้โลมสูงขึ้นไปจนถึงแผงอกที่ยามนี้หัวใจซึ่งอยู่ด้านในกำลังเต้นแรงราวกับจะระเบิดออกมา “หัวใจพี่เต้นแรงจัง…”

        “ก็ทำกันซะขนาดนี้…” กรรณพยายามคุมมือไม่ให้สั่นจนเผลอปล่อยจานที่ถืออยู่หล่นลงไปแตก เขารีบวางมันลงและล้างมือก่อนจะหันกลับมาประจันหน้ากับเด็กหนุ่มเจ้าของมือซุกซนที่อยู่ข้างหลัง “ไปคึกอะไรมา? จะเอาอย่างนี้ใช่ไหม?”

        ถ้าเป็นในเวลาปกติภูคงตอบรับเพียงแค่พยักหน้าตกลงและปล่อยให้ทุกอย่างหลังจากนั้นอยู่ในการควบคุมของกรรณ แต่ครั้งนี้ด้วยความตั้งใจที่ต้องการให้ทุกอย่างแตกต่างออกไปเด็กหนุ่มจึงยกสองมือขึ้นโน้มใบหน้าของอีกฝ่ายที่กำลังรอคำตอบอยู่ลงมาและประกบริมฝีปากเข้ากับตน ในวินาทีก่อนที่ริมฝีปากจะถูกประกบปิดนั้นกรรณพยายามจะพูดบางอย่างแต่ก็กลับกลืนมันลงคอไปและเปลี่ยนมาสื่อสารตอบสนองภูด้วยภาษากายแทน

        กรรณลากไล้ริมฝีปากอย่างเนิบช้าเสียดสีไปมาอย่างแผ่วเบาสร้างสัมผัสอันยวนใจ เป็นสัมผัสแบบที่ทำให้ภูรู้สึกทั้งโหยหาและรุ่มร้อนไปในเวลาเดียวกัน แต่สิ่งที่เด็กหนุ่มต้องการในเวลานี้ไม่ใช่ความเชื่องช้าจากการเป็นฝ่ายถูกจูบเพียงผู้เดียว เขาต้องการที่จะมอบจูบกลับไปให้ชายผู้เป็นที่รักด้วย ภูหยุดพฤติกรรมวนเวียนเหมือนล้อเล่นบนริมฝีปากของตนด้วยการกดประทับเข้าไปแบบแนบแน่นก่อนจะสอดปลายลิ้นเข้าไปแตะกับปลายลิ้นของอีกฝ่าย ก่อนจะสอดแทรกเข้าไปเกี่ยวกระหวัดรัดแน่นเข้าด้วยกันยังส่วนลึกสุด พร้อมกันกับที่มือบอบบางนั้นสอดล้วงผ่านขอบกางเกงยีนที่กรรณสวมอยู่เข้าไปลูบคลึงบางสิ่งที่กำลังตื่นตัวอยู่ด้านใน ชายหนุ่มครางออกมาอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ มือแข็งแรงคู่นั้นเผลอกำขยุ้มเส้นผมของเด็กหนุ่มอย่างแรงจนเกือบจะเป็นกระชาก เป็นครั้งแรกที่ภูเห็นกรรณมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรุนแรงเช่นนี้ เพราะโดยปกติแล้วมักจะเป็นหน้าที่ของกรรณที่จะเป็นฝ่ายทำให้ภูพึงพอใจอยู่เสมอ นี่อาจเป็นครั้งแรกก็ว่าได้ที่เด็กหนุ่มพลิกบทบาทขึ้นมาเป็นฝ่ายปรนเปรอมอบความสุขให้กับอีกฝ่าย แม้จะเป็นไปอย่างกล้าๆกลัวๆเพราะด้อยประสบการณ์ แต่นั่นก็มากพอจะทำให้กรรณตื่นตัวจนร่างกายช่วงล่างปวดไปหมด

        กรรณหยุดการจูบและใช้นิ้วหัวแม่มือลากไปตามริมฝีปากบางสวยคู่นั้น ภูหอบหายใจเบาๆ ตาจ้องมองกลับมา ชายหนุ่มพินิจดูดวงหน้าหล่อเหลาทว่าแฝงไปด้วยความไร้เดียงสาของภูและรู้ตัวดีว่าหลงใหลสิ่งที่ตนเห็นอยู่จนเกินจะเอื้อนเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้ ยิ่งเมื่อได้รู้ว่าในดวงตาอันแวววาวไปด้วยประกายแห่งความรักของเด็กหนุ่มผู้นี้นั้นสะท้อนเพียงแค่เงาของเขาเพียงผู้เดียว หัวใจก็ยิ่งพองโตไปด้วยความสุขอันล้นปรี่ กรรณโน้มคอก้มศรีษะลงไปจูบที่ริมฝีปากของภูอีกครั้งก่อนจะถอนริมฝีปากออกและประทับมันลงไปอีกครั้งที่บนเนื้อแก้มเนียนใสนั้นแล้วจึงไล่ลงมาที่ลำคอระหง ชายหนุ่มประทับพรมจูบไปทั่วราวกับจะตีตราแสดงออกซึ่งความเป็นเจ้าของร่างกายนี้ ในขณะที่ภูได้แต่อ่อนระทวยอยู่ในอ้อมแขนของอีกฝ่ายราวกับต้องมนต์สะกด ดวงตาของเด็กหนุ่มหรี่ปรือลงด้วยอาการเคลิบเคลิ้มจากแรงปรารถนา ลมหายใจอุ่นชื้นของกรรณทิ้งร่องรอยเอาไว้ในทุกจุดที่ริมฝีปากของเขาเคลื่อนผ่านไปและสื่อสัมผัสอันยั่วเย้าจนทุกปลายประสาทของภูแทบจะลุกเป็นไฟขึ้นมา จากเดิมที่ตั้งใจจะทำเรื่องทั้งหมดนี้เพื่อชดเชยให้กับอีกฝ่าย มาถึงตอนนี้กลับปฏิเสธไม่ได้แล้วว่าเด็กหนุ่มกำลังเตลิดเปิดเปิงไปกับความหอมหวานอันเย้ายวนจนแทบลืมจุดประสงค์ในเริ่มแรกไปจนสิ้น

        “พี่กรรณ… ไปข้างบนไหม?” ภูกระซิบถามเสียงสั่น “ผมอยากให้พี่ทำแบบคืนนั้น…”

        “แน่ใจเหรอ?” กรรณรู้ดีว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร

        นับตั้งแต่คืนแรกที่ทั้งสองมีความสัมพันธ์ทางกายกัน อาการเจ็บปวดตกค้างที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นเรื้อรังเกือบหนึ่งสัปดาห์ทำให้ภูเกิดความรู้สึกเข็ดหลาบจนไม่คิดที่จะทำมันอีกเป็นครั้งที่สอง ถึงแม้กรรณจะรวบรวมความกล้าเอ่ยปากขอหลังจากเห็นว่าร่างกายของเด็กหนุ่มฟื้นตัวกลับสู่สภาพสมบูรณ์แล้วแต่ภูก็พยายามบ่ายเบี่ยงและต่อรองด้วยการทำมันในรูปแบบอื่นเพื่อเป็นการทดแทน ซึ่งเขาก็ยอมโอนอ่อนตามนั้นไม่ดึงดันด้วยไม่อยากจะฝืนความรู้สึกคนที่ตนรักในเรื่องแบบนี้

        “ถึงอาจจะไม่เท่าครั้งแรก แต่มันก็ยังเจ็บอยู่ดีนะ นายแน่ใจแล้วเหรอ?” กรรณถามย้ำอีกครั้ง

        “ผมอยากให้พี่ทำ…” ภูพยักหน้า แม้ความเจ็บในครั้งก่อนจะยังฝังอยู่ในความทรงจำ แต่ก็ตั้งมั่นว่าจะยอมอดทนเพื่อชดเชยให้กับกรรณสำหรับทุกสิ่งที่ตนได้ทำลงไปแม้อีกฝ่ายจะยังไม่ล่วงรู้ถึงมันก็ตามที “แต่วันนี้ไม่เปิดไฟแล้วนะ”

        “ครับ จะปิดให้มืดสนิทเลย” กรรณจูบเข้าที่หน้าผากของภู  เพราะรู้ดีว่าเด็กหนุ่มตัดสินใจโดยใช้ความรู้สึกของเขาเป็นที่ตั้ง

        ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องนี้ แต่กับทุกอย่างที่ผ่านมา ภูยกให้ความรู้สึกของกรรณเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดเสมอในทุกครั้งของการตัดสินใจทำอะไรลงไปสักอย่าง นั่นทำให้หัวใจของชายหนุ่มพองโตไปด้วยความตื้นตัน

        “พี่มีความสุขจัง” กรรณกระซิบบอกที่ข้างหูของภู

        “พี่ก็แค่หื่น” ภูแกล้งพูดเพื่อกลบเกลื่อนความเขิน

        “ไม่จริง” กรรณส่ายหัว “พี่กำลังมีความสุขมาก”

        กรรณจ้องตาของภูขณะพูด และเพียงเท่านั้นเด็กหนุ่มก็สัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ 


To be continued...

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

โถๆๆๆๆๆๆๆๆ  น่าสงสารนุ้งจอสจังเลย

รักเขาเลยไม่อยากให้เขาเสียใจ  เลยต้องเลิกล้มแผนการร้าย

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
อิจฉาสองคนนี้จริงๆ :heaven

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
:pig4: :pig4: :pig4:

โถๆๆๆๆๆๆๆๆ  น่าสงสารนุ้งจอสจังเลย

รักเขาเลยไม่อยากให้เขาเสียใจ  เลยต้องเลิกล้มแผนการร้าย

อย่าคิดว่าน้องจะพอแค่นี้นะ ยังมีฤทธิ์อีกเยอะ  :hao3:



:L1: :pig4: :L1:

 :z1:

ขอบพระคุณที่ติดตามกันมาตลอดเลยนะครับ  o13



อิจฉาสองคนนี้จริงๆ :heaven

คนเขียนเขียนเองยังอิจฉาเลยครับ  :ling1:



ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
Episode 18 part1

        หลังจากให้เสร็จสิ้นการทำบทสัมภาษณ์กับนิตยสารบันเทิงหัวหนึ่งที่ติดต่อเข้ามา ภูรีบออกจากสำนักงานของพี่ช้างและตรงดิ่งไปยังมหาวิทยาลัยเพื่อเข้าเรียนให้มันช่วงบ่าย นับเป็นโชคดีที่เรื่องเมื่อคืนไม่ได้ส่งผลทำให้เด็กหนุ่มถึงกับเสียสมรรถภาพทางการเดินเหมือนครั้งแรก ไม่ว่าจะเป็นเพราะร่างกายเริ่มปรับตัวได้หรือเพราะของเหลวเย็นๆ ลื่นๆ ที่กรรณนำมาใช้เป็นตัวช่วยในครั้งนี้ ผลที่ออกมาก็คือมันไม่เลวร้ายเท่ากับครั้งแรก แน่นอนว่าความเจ็บยังมีอยู่แต่ก็เป็นในระดับที่สามารถแสร้งทำตัวเป็นปกติได้ ตราบใดที่ไม่ได้ถูกกระทบกระแทกบริเวณนั้นแรงๆ ก็ไม่มีปัญหา

        ระหว่างการเดินทางไปมหาวิทยาลัย เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นพร้อมกับเบอร์ของกรรณที่โทรเข้ามา เด็กหนุ่มดูเวลาในขณะนี้แล้วก็คาดเดาเอาว่าอีกฝ่ายคงจะเพิ่งตื่น

        “ตื่นแล้วเหรอครับ?” ภูทักทายด้วยคำถาม

        “แอบหนีกลับไปไม่ปลุกพี่เลยนะ” เสียงบ่นกระปอดกระแปดของกรรณดังมาจากปลายสาย “ดูสิพี่หลับยาวเลย ไปสายแล้วเนี่ย”

        “ก็เห็นกำลังหลับสบายเลยไม่อยากปลุก เมื่อคืนเสียแรงไปเยอะนี่” ภูพูดไปก็เกิดเขินขึ้นมาเองเมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อคืน “แล้วนี่ออกมาจากบ้านแล้วเหรอครับ?”

        “ใช่ กำลังจะไปสตูดิโอ ลูกค้าโทรเร่งยิกๆ แล้ว” กรรณตอบแล้วจึงถามต่อ “ว่าแต่นายเถอะ วันนี้ไม่เป็นอะไรมากใช่ไหม?”

        “อะไรเหรอครับ?” ภูไม่รู้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงเรื่องอะไร

        “ก็เรื่องนั้นน่ะ…” กรรณเองก็ดูเขินอายเกินกว่าจะพูดตรงๆ “ไม่เจ็บอะไรมากใช่ไหมคราวนี้?”

        “อ้อ…” ภูหน้าแดงก่ำเมื่อนึกขึ้นมา “ก็นิดหน่อย แต่ไม่ได้สาหัสแบบคราวก่อนแล้ว เดินไหว วิ่งไหว”

        “แล้วมัน… โอเคหรือเปล่า?” กรรณถามต่อให้ลึกลงไปอีก

        “จะให้มารีวิวอะไรตอนนี้ล่ะ” ภูกระดากปากไม่กล้าตอบ

        “ก็อยากได้ฟีดแบ๊คจากผู้ใช้งานจริง” กรรณยังตื้อจะเอาคำตอบ

        “ไม่รู้สิ… ก็โอเคมั้ง มันก็ดี” ภูตอบขณะที่ตาก็เหลือบมองไปยังโชเฟอร์แท็กซี่ ระแวงในใจว่าคนอื่นจะรู้ไหมว่าตนกำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่

        “ถ้างั้น… วันนี้มันจะมีโอกาสเกิดขึ้นอีกไหมล่ะ?” กรรณยิงคำถามสุดท้าย

        “ไม่รู้… ต้องพิจารณาจากหลายๆ อย่าง” ภูตอบแบบเปิดทางหนีให้ตัวเองเอาไว้ก่อน

        “รู้หน่อยสิ… “กรรณส่งเสียงอ้อน

        “ไม่รู้ ยังไม่อยากตัดสินใจ จะไปเข้าเรียนแล้วครับ แค่นี้นะ” ภูรีบตัดบทก่อนจะพ่ายแพ้ต่อลูกอ้อน “ไว้กลับไปถึงบ้านค่อยว่ากันนะ”

        “โอเค ก็ได้” กรรณยอมให้การศึกษามาก่อน “งั้นพี่จัดห้องรอเลยแล้วกัน”

        “ระวังจัดเก้อเหมือนจองโต๊ะนะ” ภูขู่ให้ระแวงก่อนจะรีบกดวางสายไม่เปิดโอกาสให้กรรณตอบโต้

        ภูเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าและนั่งอมยิ้มอยู่กับตัวเองคนเดียว การพูดคุยออดอ้อนเย้าแหย่กันแบบนี้คงเกิดขึ้นไม่ได้หากทั้งสองยังอยู่ในความสัมพันธ์อันแสนคลุมเครือเหมือนเมื่อก่อน ภูไม่เคยรู้ว่าชายหนุ่มที่มีบุคลิกภายนอกเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้วแบบกรรณจะยังคงมีมุมขี้อ้อนเหมือนเด็ก นับตั้งแต่เริ่มคบกันเป็นคู่รักอย่างเป็นทางการ มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ภูเพิ่งได้รู้เกี่ยวกับแฟนหนุ่มของตน อย่างเช่นนิสัยขี้หึงที่เมื่อก่อนภูคิดว่าตนเองเป็นอยู่ฝ่ายเดียว แต่มาตอนนี้ก็กลับพบว่ากรรณนั้นอาการหนักกว่าตนหลายเท่า ซึ่งนั่นก็ทำให้เด็กหนุ่มยิ่งเข้าใจว่าที่ผ่านมาอีกฝ่ายต้องเก็บกดความรู้สึกของตัวเองเอาไว้มากแค่ไหน

        เด็กหนุ่มยังรู้สึกได้ถึงสัมผัสบาดผิวจากคมฟันของกรรณที่ขบกัดฝากรักลงที่ต้นคอด้านหลัง มันเป็นผลต่อเนื่องมาจากการที่เขาเป็นฝ่ายเริ่มต้นปลุกเร้าอารมณ์อีกฝ่ายจนเตลิดเปิดเปิง เมื่อทุกอย่างกำลังจะไปถึงจุดสูงสุดกรรณก็เหมือนจะควบคุมตัวเองเอาไว้ไม่อยู่และฝากรอยแผลนี้ไว้บนร่างกายของภู โชคยังดีที่สามารถปิดซ่อนร่องรอยเอาไว้ได้เบื้องหลังเส้นผมที่ยาวปรกต้นคอ แต่นั่นก็ต้องแลกกับการที่เด็กหนุ่มจะไม่สามารถรวบผมขึ้นได้เลยทั้งวันแม้อากาศจะร้อนอบอ้าวจนเหงื่อชุ่มร่างแค่ไหน ภูใช้ปลายนิ้วลูบไล้เบาๆ ไปตามแนวของรอยแผล ความรู้สึกเจ็บปนวาบหวิวยิ่งย้ำเตือนให้หวนนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนพร้อมกันกับหัวใจที่เต้นรัวขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้

        ภูหยุดความคิดทั้งหมดของตนเอาไว้ก่อนจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นพวกใจแตกมากไปกว่านี้ รถกำลังจะวิ่งไปถึงยังจุดหมายปลายทางในอีกไม่ช้า อีกทั้งในคาบเรียนที่กำลังจะเริ่มก็ยังมีการนำเสนอหน้าชั้นรออยู่ เด็กหนุ่มพยายามรวบรวมสมาธิและหยิบเอาโพยที่จดสรุปเอาไว้ออกมาท่องทบทวนเป็นครั้งสุดท้าย จนเมื่อลงจากรถก็พบสาลี่และเพื่อนคนอื่นๆ ที่อยู่ร่วมกลุ่มทำงานด้วยกันกำลังยืนรออย่างกระวนกระวายอยู่ด้านหน้าตึก ทันทีที่เห็นภูมาถึงทั้งหมดก็กรูเข้ามาพาตัวขึ้นไปยังห้องบรรยายทันที

        “มาช้าจังเลย อีกนิดเดียวก็จะเปลี่ยนตัวให้ไอ้ดลออกไปพรีเซนต์แทนแล้วนะ” สาลี่บ่นขณะอยู่ในลิฟต์

        “เออ ก็เปลี่ยนไปเลยสิทีหลังน่ะ” ภูได้โอกาส “ชีวิตชั้นยุ่งจะตายแล้ว ขอเป็นปลิงบ้างก็ดีนะ ค่างานจ่ายให้เต็มที่ขอแค่มีชื่อในกลุ่มก็พอ”

        “ไม่ได้ คนอื่นเค้าทำงานกัน มึงไม่ได้ทำด้วยก็ต้องยอมเป็นคนออกไปขึ้นเขียงหน้าห้อง” นฤดลไม่ยอม “อีกอย่าง พวกงานพรีเซนต์ งานนำเสนอ งานออกหน้าออกตานี่ถนัดอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง พ่อดาราดาวรุ่ง”

        “งานกระทืบปากคนก็ถนัดนะ อยากดูโชว์เคสไหม?” ภูย้อนกลับไป

        “พอได้แล้ว ชั้นหนวกหู” สาลี่รีบหยุดทั้งสองก่อนจะมีการวางมวยกันในลิฟต์โดยสาร

        ถึงแม้จะไม่มีเวลาในการเตรียมตัวมากมายนัก แต่ก็ต้องขอบคุณพรสวรรค์ในการท่องจำและนำเสนอของภูที่ทำให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดี หลังเลิกคลาสเรียนสาลี่เสนอความคิดว่าทุกคนควรไปกินบุฟเฟต์เนื้อย่างเป็นการฉลองที่งานกลุ่มผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ภูถึงแม้จะรู้ตัวว่าเป็นพวกกินเท่าแมวดมไม่คุ้มค่าราคาต่อหัว แต่ก็ยอมตกลงไปด้วยเพราะอยากจะใช้เวลากับเพื่อนให้มากที่สุดก่อนที่จะต้องวุ่นกับงานไปอีกนานกว่าจะได้มีวันเวลาว่างเช่นนี้อีกครั้ง แต่เมื่อออกมายังด้านหน้ามหาวิทยาลัยเพื่อรอให้สาลี่วนรถจากจุดที่จอดเอาไว้ออกมารับ เด็กหนุ่มก็พบว่าแผนการที่วางไว้อาจเป็นไปได้ยากสำหรับตนเสียแล้วในตอนนี้ เมื่อเห็นรถจักรยานยนต์คันยักษ์สีแดงสะดุดตาจอดอยู่ข้างทางเท้าโดยมีใบสั่งแปะคาเอาไว้อยู่เหมือนยันต์หน้ารถ

        “เวรแล้วไง…” ภูรีบเหลียวมองรอบตัวอย่างหวาดระแวงด้วยรู้ดีว่าเจ้าของรถย่อมอยู่ไม่ไกลเป็นแน่

        “หาใครวะภู?” ตฤณถามเมื่อเห็นเพื่อนเหลียวมองล่อกแล่กไปมา

        “เปล่าๆ …” ภูขี้เกียจอธิบาย “ไอ้ลี่ไปจอดรถไหนวะ? ทำไมป่านนี้ยังไม่ออกมาอีก?”

        “เดี๋ยวก็มา ใจเย็นดิ หิวมากรึไงมึงน่ะ” ตฤณหันกลับไปชะเง้อหาวี่แววรถของสาลี่ต่อที่ริมถนน

        “เปล่า แต่ถ้าไม่รีบไปตอนนี้ กูว่าอีกเดี๋ยวกูจะไม่ได้ไปกินแน่นอน” ภูรู้ชะตากรรมตัวเองดี

        “จะไปกินอะไรเหรอ?” เสียงของจอสดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง

        เมื่อหันไปยังต้นเสียง จอสยืนอยู่ข้างๆ รถจักรยานยนต์คู่ใจของตน ในมือมีใบสั่งที่ถูกขยำจนเป็นก้อน เพียงเท่านั้นภูก็รู้ทันทีว่าเวลาแห่งความสุขได้หมดลงแล้ว แต่ถึงกระนั้นเด็กหนุ่มก็ยังไม่ถอดใจที่จะไขว่คว้าอิสรภาพให้กับตนเอง เขารีบหันไปหาตฤณและหยิบสมุดจดออกมาทำท่าเคร่งเครียด

        “มึง กูว่าเสร็จไม่ทันแน่เลยวันนี้ ต้องไปอีกหลายที่เลยเนี่ย…” ภูพูดกับตฤณพลางขยิบตาส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายรับลูก

        “อ่า…” ตฤณมองไปทางจอสก่อนจะมองกลับมาทางภู ก่อนจะตัดสินใจเล่นตามน้ำไปถึงแม้จะยังไม่รู้ว่าเพื่อนของตนทำไปเพื่ออะไรก็ตาม “เออ ก็ต้องให้เสร็จอ่ะมึง ไม่มีเวลาแล้วด้วย”

        “งั้นรีบไปเหอะมึง แท็กซี่เลย ไม่รอไอ้ลี่แล้ว” ภูตั้งท่าจะโบกแท็กซี่

        “ลืมไปแล้วเหรอว่าครูเค้าคอมเมนท์การแสดงของนายว่ายังไง?” จอสมองตาขวางเหมือนจะส่งสัญญาณเตือน “การแสดงน่ะถ้ามันไม่เนียน มันดูออกนะ”

        “โอเค… กูขอตัวแป๊ปนะ” ภูบอกกับตฤณก่อนจะเดินไปหาจอส เด็กหนุ่มตัดสินใจเลิกใช้ลูกเล่นที่รังแต่จะทำให้ตัวเองเสียหน้ามากขึ้นแล้วต่อรองกับอีกฝ่ายแบบตรงๆ “มานี่ มาคุยกันหน่อย”

        เด็กหนุ่มลากตัวคู่จิ้นตัวแสบของตนออกมาให้ห่างจากตฤณจนพ้นระยะการได้ยินแล้วจึงค่อยเริ่มการเจรจา

        “มาทำไม? งานการไม่มีหรือไงวันนี้?” ภูถามหาจุดประสงค์ในการมาของจอส

        “มี ทำเสร็จแล้ว อยากไปหาอะไรกิน” จอสตอบ “เมื่อกี้พวกนายจะไปกินอะไรกัน เราไปด้วยได้ไหม?”

        “นั่นเพื่อนเรา ไม่ใช่เพื่อนนาย” ภูพยายามพูดให้อีกฝ่ายเข้าใจ “นายไปก็ไม่สนุกหรอก มีแต่พวกแปลกๆ”

        “ไม่เป็นไร เราเข้ากับคนง่าย” จอสยังดึงดัน

        “เราไม่สะดวกใจที่จะให้นายมาสุงสิงกับเพื่อนเรา ขอโทษนะ” ภูพูดออกไปตรงๆ และเตรียมใจแล้วที่จะรับผลที่ตามมาจากคำพูดนั้น “เราขัดใจนายเสร็จแล้ว เรารู้ว่านายต้องไม่พอใจ ทีนี้นายจะบังคับให้เราทำอะไรก็ว่ามา”

        “มองเราเลวร้ายขนาดนั้นเลยเหรอ?” จอสถามกลับมาด้วยน้ำเสียงที่เกือบจะทำให้ผู้ฟังเจ็บปวดตามไปด้วย “ไม่เป็นไร นายไปกับเพื่อนเถอะ เราไม่กวนนายแล้ว”

        “มาไม้ไหนอีกล่ะ?” ภูงงกับท่าทีของอีกฝ่าย “ก็นายเองไม่ใช่เหรอที่ทำให้เราต้องรู้สึกว่านายเป็นคนแบบนี้”

        “ช่างมันเถอะ” จอสส่ายหน้า ความรู้สึกบางอย่างที่ฉายอยู่บนใบหน้านั้นทำให้ภูรู้สึกผิดทั้งที่ไม่ควรแม้แต่น้อย “เราก็แค่เหงา เดี๋ยวก็หาย”

        คำพูดของจอสดึงบางอย่างที่ภูเกือบจะหลงลืมไปแล้วออกมาจากส่วนลึกของความทรงจำ เมื่อวันที่เด็กหนุ่มไปเยือนยังบ้านของอีกฝ่ายเป็นครั้งแรกและสัมผัสได้ถึงความเงียบเหงาอันเย็นเยียบซึ่งโอบล้อมอยู่ในบรรยากาศ ห้องอันโอ่โถงกว้างใหญ่แต่ไร้ซึ่งกลิ่นอายของครอบครัว จริงอยู่ที่ภูอาจจะคุ้นเคยกับความเงียบและไม่มีปัญหากับการอยู่คนเดียวด้วยนิสัยที่ชอบเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง แต่นั่นก็เป็นเพราะเด็กหนุ่มรู้ดีว่าเมื่อออกมาครั้งใดก็ยังมีพ่อและแม่รออยู่ข้างนอกหลังบานประตูนั้นเสมอ เพราะอย่างนั้นภูจึงจินตนาการไม่ออกเลยว่ามันจะเป็นอย่างไรกับการที่ต้องถูกทอดทิ้งให้อยู่คนเดียวตามลำพังโดยไม่มีใครให้พูดคุยด้วย ต้องข่มตาให้หลับไปอย่างโดดเดี่ยวและตื่นมาพบเพียงความเดียวดายในวันรุ่งขึ้น จนกระทั่งได้เห็นความรู้สึกที่ปรากฎอยู่บนใบหน้าของจอสเมื่อครู่เขาจึงได้เข้าใจและรู้ในทันทีว่ามันคงเหงาและทรมานมาก และเมื่อได้รู้เช่นนั้นแล้วเด็กหนุ่มก็ไม่อาจทำตัวให้ใจดำพอจะปล่อยอีกฝ่ายกลับไปทั้งอย่างนี้ได้

        “เดี๋ยว…” ภูเรียกให้จอสหยุดรอก่อน

        “อะไรอีกล่ะ? ก็จะไปแล้วนี่ไง ไม่กวนแล้ว” จอสทำเสียงหงุดหงิดรำคาญ

        “เราให้นายไปกับเพื่อนเราไม่ได้” ภูตัดสินใจแล้ว “แต่เดี๋ยวเราจะไปกับนายเองก็แล้วกัน”

        “ไม่ต้องหรอก ไปอยู่กับเพื่อนนายเหอะ” จอสปัดมือไล่

        “ให้เราไปกับนายเถอะ” ภูยืนกราน แต่ก็ไม่ลืมที่จะหาเหตุผลมาประกอบเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายมองว่าตนมีใจให้ “ถือว่าเป็นการขอโทษที่เราพูดไม่ดีเมื่อกี้”

        “ก็ตามใจ อย่ามาหาว่าจอสบังคับนายทีหลังก็แล้วกัน” จอสทำเหมือนไม่สนใจแต่เด็กหนุ่มมองออกถึงร่องรอยแห่งความยินดีที่ปกปิดเอาไว้ใต้ใบหน้ามึนตึงนั้น

        “ขอเราไปบอกเพื่อนก่อน” ภูบอกกับจอสก่อนจะกลับมายังกลุ่มเพื่อนที่รออยู่

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
        เด็กหนุ่มใช้ข้ออ้างเรื่องงานมาเป็นเหตุผลอธิบายกับเพื่อนคนอื่นๆ ว่าทำไมจึงต้องขอตัวกลับไปก่อนอย่างกะทันหัน ซึ่งทุกคนก็ดูจะเข้าใจและไม่ติดใจสงสัยอะไร จะมีก็แต่เพียงสาลี่ที่รู้เรื่องทั้งหมดและค่อนข้างมั่นใจในจุดนี้ว่าเพื่อนซี้ของตนไม่ได้ไปทำงานต่ออย่างที่บอกแน่นอน เด็กสาวมองไปยังจอสที่ยืนเอนตัวพิงรถจักรยานยนต์ของตนอยู่ด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ สัญชาติญาณของเธอบอกว่าการไปข้องเกี่ยวกับคนผู้นี้อาจนำเรื่องยุ่งยากมาสู่ชีวิตของภูได้

        “ไอ้ภู นี่มันยังไงกันแน่?” สาลี่ดึงภูออกมาคุยตามลำพัง “แกไม่ได้ไปทำงานต่อแน่ ชั้นรู้ แกจะไปไหน?”

        “มีธุระต้องไปทำนิดหน่อยว่ะ” ภูปิดบังความจริงเอาไว้

        “นอกจากเรื่องงานแล้ว แกมีธุระอะไรกับอีตาจอสนั่นด้วยเหรอ?” สาลี่หันไปมองทางจอส “ทำอะไรของแกเนี่ย? แล้วพี่กรรณล่ะ? ก็รู้อยู่นี่ว่าพี่เค้าไม่ชอบให้แกมาสุงสิงกับคู่จิ้นแกนอกจอ”

        “ไม่ใช่อย่างที่แกคิดนะเว้ย” ภูพยายามแก้ไขความเข้าใจผิดของสาลี่ที่กำลังคิดว่าเขานอกใจแฟนตัวเอง “มันอธิบายยาก แต่ไม่มีอะไรแบบที่แกคิดจริงๆ”

        “ให้มันจริงเถอะ” สาลี่เชื่อไม่ลง

        “ถ้าชั้นทำอะไรแบบนั้นจริง ชั้นก็ไม่มาทำให้แกเห็นหรอกไอ้ลี่” ภูยืนยันความบริสุทธิ์ใจของตัวเอง “เดี๋ยวชั้นจะอธิบายให้แกฟังทีหลัง อย่าบอกพี่กรรณนะ”

        “ก็ถ้าแกมีเหตุผลที่ดีพอน่ะนะ” สาลี่ไม่รับปากเต็มร้อย

        ภูไม่มีเวลามากพอจะอธิบายเรื่องทั้งหมดในตอนนี้ สิ่งเดียวที่พอจะทำได้คือพยักหน้าส่งสายตาขอความเห็นใจจากเพื่อนให้ช่วยเหยียบเรื่องนี้เอาไว้ก่อน ซึ่งสาลี่ก็รับปากแบบเสียไม่ได้โดยมีข้อแม้ว่าภูจะต้องมาชี้แจงตัวเองให้ชัดเจนในภายหลัง เด็กหนุ่มยืนส่งจนกระทั่งเพื่อนทุกคนขึ้นรถของสาลี่ออกเดินทางไปกันแล้วจึงค่อยกลับมาหาจอสซึ่งติดเครื่องรถจักรยานยนต์รออยู่ เมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินมาเขาก็ส่งหมวกกันน๊อคให้ ขณะที่ภูกำลังยื่นมือไปรับมานั้นจอสก็ดึงหมวกกลับก่อนจะจัดการสวมมันให้อีกฝ่ายด้วยตัวเอง จังหวะที่หมวกกันน๊อคกำลังจะครอบลงบนศรีษะนั้นพลันหูของภูก็แว่วได้ยินเสียงชัตเตอร์ดังขึ้นเสียก่อน เมื่อหันไปมองตามเสียงก็พบกับส้มผู้ซึ่งเป็นหนึ่งในหัวหน้ากลุ่มแฟนคลับยุคบุกเบิกของตนกำลังยืนเล็งกล้องโทรศัพท์มือถือมายังเด็กหนุ่มทั้งสอง และยังไม่ทันที่ภูจะได้ร้องห้ามเธอก็กดถ่ายมันเข้าไปอีกหนึ่งครั้ง

        “กระทืบไลค์ งานนี้กระทืบไลค์กันเพจแตกแน่ๆ” ส้มชื่นชมผลงานชิ้นโบว์แดงของตนอย่างภาคภูมิใจ

        “ดะ… เดี๋ยว… “ภูทำอะไรไม่ถูก “น้องส้ม อย่าโพสรูปนั้นลงเพจนะ”

        “ทำไมอ่ะพี่ น่ารักจะตาย” ส้มไม่เข้าใจว่าทำไมถึงอวดภาพนี้กับคนอื่นๆ ไม่ได้ “พี่ดูสิ ไม่น่าเกลียดหรอก หนูถ่ายได้มุมพอดีเป๊ะเลย”

        “คือ มัน… “ภูพยายามนึกหาสักเหตุผลที่ฟังขึ้น

        เด็กหนุ่มจนปัญญาจะหาเหตุผลมาหยุดยั้ง แต่ยิ่งได้เห็นรูปก็ยิ่งกังวล ด้วยอารมณ์ของภาพที่ออกมานั้นไม่ต่างอะไรกับภาพพรีเวดดิ้งของคู่รักนักบิดเลยทีเดียว หากมันถูกโพสต์ลงไปกรรณที่คอยเฝ้าดูอยู่ทางเพจจะต้องมีปฏิกิริยาตอบกลับมาอย่างแน่นอน เนื่องจากอีกฝ่ายก็รู้ว่าวันนี้ตารางงานของภูไม่มีจอสมาเอี่ยวด้วย ลำพังการได้รู้ว่าทั้งสองมาพบกันเป็นการส่วนตัวนอกเวลางานก็น่าจะทำให้กรรณไม่พอใจได้มากแล้ว ซ้ำยังมีรูปถ่ายฉากรักแบบนี้มาเสริมอารมณ์เป็นเชื้อเพลิงอย่างดีอีก หากปล่อยให้รูปนี้หลุดไปสู่สายตาของกรรณได้เห็นทีไฟหึงหวงที่ภูต้องเผชิญคงรุนแรงไม่น้อยไปกว่าไฟนรกเป็นแน่แท้ ขณะที่ภูมัวแต่ยืนเป็นใบ้ทำอะไรไม่ถูกอยู่นั้น จอสที่สังเกตเห็นความกระวนกระวายใจของอีกฝ่ายก็จึงตัดสินใจยื่นมือเข้ามาแทรกแซง

        “พี่ไม่ให้โพสครับ” จอสบอกกับส้ม “รูปจากงานไม่มีปัญหา แต่รูปแอบถ่ายแบบนี้ พี่ไม่โอเคครับ”

        “หูยยย” ส้มทำหน้าเซ็งก่อนจะหันมาขอให้ภูช่วย “พี่ภูอ่ะ พูดให้หนูหน่อยดิ”

        “ลบเถอะครับ ขืนโพสไปพี่ภูเค้าก็จะไม่สบายใจนะ” จอสเกลี้ยกล่อม ก่อนจะใช้สิ่งล่อใจมาโน้มน้าว “ถ้าลบรูปนั้นทิ้ง เดี๋ยวมาถ่ายคู่พี่เลย จัดให้ชุดใหญ่ ถึงพริกถึงขิง”

        “แน่นะ?” ส้มดูสนอกสนใจข้อเสนอนั้น

        “แน่นอน ลบรูปก่อนเลย” จอสยืนยันให้อีกฝ่ายมั่นใจ

        ถึงแม้จะเสียดายกับรูปเด็ดที่ตนสวมบทปาปาราสซี่แอบถ่ายมา แต่เด็กสาวก็คิดว่าคงเป็นผลดีกว่าถ้าเลือกสิ่งจะรักษาสัมพันธ์อันดีกับเหล่าบุคคลที่ตนชื่นชอบเอาไว้ เธอจึงกดลบรูปในโทรศัพท์และยื่นให้จอสดู เขารับมันมาและโยนส่งต่อให้ภูรับบทเป็นตากล้องจำเป็นในขณะที่จอสพาส้มโพสสารพัดท่าติดเรตซึ่งถอดแบบมาจากปกนิยายอีโรติก จนรูปที่ได้ออกมานั้นถูกภูลงความเห็นว่าเยาวชนอายุต่ำกว่าสิบแปดควรมีผู้ปกครองแนะนำขณะดู เด็กหนุ่มพยายามกลั้นหัวเราะจนปวดหัวในขณะที่เล็งหามุมเหมาะเจาะในการถ่ายแต่ละภาพ จนกระทั่งเมื่อได้รูปเยอะจนเป็นที่พอใจส้มก็ขอโทรศัพท์คืนก่อนจะเดินตัวลอยกลับเข้าไปในมหาวิทยาลัยอย่างมีความสุข

        “ตัวหนักไม่ใช่เล่นเลยนะนั่น ปวดแขนเลย” จอสสะบัดแขนไปมาเพื่อไล่ความปวดเมื่อยหลังจากอุตริอุ้มเด็กสาวโพสท่าเมื่อครู่

        “ขอบใจนะที่ช่วย” ภูขอบคุณจอสสำหรับความช่วยเหลือเมื่อครู่

        “อย่ามาสำคัญตัว ที่ไม่อยากให้โพสเพราะรูปนั้นเราไม่หล่อหรอก” จอสยังปากแข็งไม่ยอมรับ

        “คนมันไม่หล่อ ถ่ายไงมันก็ไม่หล่อหรอก” ภูแกล้งพูดแหย่กลับไป แต่ในใจเด็กหนุ่มรู้เจตนาดีว่าอีกฝ่ายทำไปเพื่อตน

        “พูดมาก จะไปด้วยก็ขึ้นรถมาได้แล้ว” จอสเร่งให้ภูขึ้นมานั่งซ้อนท้าย

        “ได้ข่าวว่ารถโดนใบสั่งนี่” ภูพูดพลางกระโดดขึ้นซ้อนเบาะหลัง

        “ถามสิว่าแคร์ไหม?” รอยยิ้มชั่วร้ายกลับมาปรากฏบนใบหน้าจอสอีกครั้ง และนั่นทำให้ภูทั้งโล่งใจและเป็นกังวลในเวลาเดียวกัน

        ภูลืมถามเสียสนิทว่าจอสจะพาตนไปที่ไหน แต่เมื่อขึ้นรถมาแล้วเด็กหนุ่มก็ปล่อยเลยตามเลย ด้วยตั้งใจจะทำตามใจอีกฝ่ายสักวันเพื่อตอบแทนที่อุตส่าห์ช่วยให้หลุดจากสถานการณ์อันสุ้มเสี่ยงต่อความสัมพันธ์เมื่อครู่

        ภูคาดเดาว่าจอสน่าจะกำลังพาตนไปที่บ้าน เมื่อสังเกตจากเส้นทางที่ดูคลับคล้ายคลับคราว่าเคยเดินทางผ่านมาแล้วเมื่อหลายเดือนก่อน แต่หลังจากออกเดินทางไปได้เพียงครู่เดียวสายฝนก็เริ่มเทลงมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แรกเริ่มทั้งสองยังคิดว่าคงพอจะฝ่าไปได้แต่เมื่อมันเริ่มเทหนักขึ้นจนมองไม่เห็นทาง จอสก็จำต้องเลี้ยวรถเข้าจอดหลบฝนที่ใต้สะพาน ภูกระโดดลงจากรถและเหลียวมองไปรอบๆ อย่างหวาดระแวงด้วยบรรยากาศที่ค่อนข้างมืดและไร้ซึ่งผู้คนสัญจร มีเพียงแสงไฟสีส้มจากเสาไฟฟ้าริมทางเท่านั้นที่ส่องเข้ามาพอให้มองเห็นรอบตัวได้

        “อีกนิดเดียวเอง ข้ามสะพานไปอีกนิดก็ถึงแล้วแท้ๆ มาตกอะไรตอนนี้ก็ไม่รู้” จอสถอดแจ๊กเก็ตออกสะบัดน้ำ

        “ตกลงว่านี่จะไปบ้านนายเหรอ?” ภูถามเพื่อความมั่นใจขณะถอดหมวกกันน๊อคออกและวางไว้บนเบาะรถ

        “ก็ใช่สิ แล้วจะให้ไปที่ไหนล่ะ?” จอสสะบัดศรีษะจนละอองน้ำกระเซ็นไปทั่ว “ก็นายเคยบอกเองนี่ว่าไม่ชอบไปไหนที่คนเยอะๆ ไม่ชอบความวุ่นวาย”

        “เราเคยไปบอกนายตอนไหน?” ภูสงสัย ถึงแม้มันจะจริงตามนั้นแต่เด็กหนุ่มก็จำไม่ได้ว่าเคยพูดเรื่องพวกนี้กับอีกฝ่าย

        “ก็ตอนเราทั้งคู่ไปให้สัมภาษณ์รายการวิทยุเมื่อเดือนก่อน นายพูดเอง” จอสอ้างอิงถึงเมื่อครั้งที่ทั้งสองไปเป็นแขกรับเชิญให้กับรายการวิทยุเพื่อพูดคุยและแจกรางวัลในนามสินค้าที่เป็นพรีเซนเตอร์

        “อ๋อ…” ภูนึกออกทันที “ไม่คิดว่านายจะจำได้นะเนี่ย”

        “ข้อดีของการเป็นคนไม่มีเพื่อน” จอสพูดเหมือนมันเป็นเรื่องน่าอวด “เวลามีใครสักคนเกิดสำคัญกับเราขึ้นมา เราก็จะจำทุกอย่างของเค้าได้โดยไม่มีเรื่องของคนอื่นมาบดบัง”

        “บางทีนายอาจจะให้ความสำคัญผิดคนก็ได้นะ” ภูไม่อยากจะทำให้อีกฝ่ายหวังในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

        “นั่นไม่ใช่เรื่องที่คนอื่นจะมาตัดสินได้หรอกนะ” จอสหันมาหาภู แววตาบ่งบอกถึงอารมณ์ที่ขุ่นเคืองขึ้นมา “นายเองก็เหมือนกันไม่ใช่หรือไง? ที่วันนั้นไม่ว่าเราจะพูดยังไง นายก็เลือกเค้าอยู่ดี”

        “แต่มันไม่เหมือนกัน…” ภูจนปัญญาจะอธิบาย

        เส้นผมที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝนทำให้เกิดความอับชื้นไปทั่วบริเวณต้นคอ เด็กหนุ่มทนความรำคาญจากอาการคันยุบยิบที่เกิดขึ้นไม่ไหวจึงรวบผมของตนขึ้นและมัดด้วยยางเส้นเล็กที่มีติดกระเป๋าเสื้อนักศึกษาอยู่ตลอดเวลาโดยลืมไปเสียสนิทว่ามีบางสิ่งที่ต้องปกปิดจากสายตาผู้อื่นอยู่ แน่นอนว่าสายตาอันว่องไวของจอสจับสังเกตเห็นสิ่งนั้นได้แทบจะทันที และตรงปรี่เข้ามาก่อนที่ภูจะทันรู้ตัวว่าได้เผลอเปิดเผยความลับที่ตนสู้อุตส่าห์ปกปิดมาทั้งวันไปแล้วด้วยซ้ำ

        “ไอ้นี่อะไร?” จอสจับเข้าที่ต้นคอของอีกฝ่าย “รอยอะไร? ใครเป็นคนทำ?”

        “ไม่ใช่เรื่องของนาย” ภูหน้าแดงก่ำรีบปัดมือของจอสออก ทั้งตกใจและอับอายไปพร้อมๆ กัน

        “ทำกันไปแล้วสิท่า…” น้ำเสียงของจอสแสดงออกว่าไม่พอใจอย่างไม่คิดจะปกปิดแม้แต่น้อย “ชอบอะไรป่าเถื่อนแบบนี้ก็ไม่บอก เห็นวันนั้นเล่นตัว ที่แท้ก็เพราะเข้าหาผิดวิธีนี่เอง”

        “เงียบไปเลยนะ!!” ภูเหลืออดกับการโดนดูถูกซึ่งหน้าแบบนี้ น้ำเสียงที่หลุดออกไปจากปากนั้นกร้าวแข็งจนตัวเองก็ยังตกใจ

        “โอ้โห...” จอสตกตะลึง “ตกใจหมดเลย นี่ขึ้นเสียงด้วยเหรอ?”

        “ขอโทษ…” ภูอยากกัดลิ้นตัวเองที่จนถึงขนาดนี้ก็ยังยอมขอโทษอีกฝ่ายอยู่ได้ “แต่นายก็ไม่ควรพูดแบบนั้นออกมา”

        “เพราะอะไร? มันแทงใจดำเหรอ?” จอสยังไม่เลิกท่าทีชวนทะเลาะ “ยอมให้เค้าทำซะขนาดนี้แล้ว ยังจะมีอะไรต้องอายอีกล่ะ?”

        “พอได้แล้ว…” ภูส่ายหน้า พยายามอดกลั้นไม่ให้หลุดเหมือนเมื่อครู่

        “ไม่พอ!” จอสไม่สนใจคำขอนั้น “ก็ดี รู้แบบนี้จะได้เอาใจถูก วันนี้ก็คงอยากสิท่าถึงได้ยอมกระดิกหางตามมา ไอ้ลุงนั่นมันไม่ว่างทำให้ใช่ไหม? เดี๋ยวรอฝนหยุดก่อนกลับไปถึงจะจัดให้แบบหนักๆ เลย จะเอากี่แผลก็ว่ามา”

        เด็กหนุ่มกำหมัดแน่น โกรธจนตัวสั่นจากการที่เจตนาดีของตนโดนดูถูกแต่ก็พยายามอดกลั้นอย่างเต็มที่ ทว่าอีกฝ่ายก็ยังคงไม่ยอมหยุดการหยามหมิ่นด้วยถ้อยคำที่รุนแรง ความอดทนจึงค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ เหมือนเชือกป่านที่โดนไฟลนจนไหม้บางลงในทุกขณะก่อนจะขาดสะบั้นเมื่อมาถึงจุดที่ไม่อายทานทนได้อีกต่อไป ภูบันดาลโทสะเหวี่ยงกำปั้นซัดเข้าไปยังใบหน้าของจอสด้วยก่อนที่จะรู้ตัวในวินาทีต่อมาว่ามันพลาดเป้าและเป็นตัวของเขาเองที่กำลังจะเสียหลักล้มลงไปหน้าฟาดพื้นเสียเอง ทว่าจอสก็ฉวยรับร่างของภูเอาไว้ได้ก่อนที่จะล้มและจับผลักเข้าไปกระแทกกับเสาคอนกรีตของสะพาน แขนทั้งสองข้างตรึงไหล่บอบบางนั้นเอาไว้แน่นจนเด็กหนุ่มไม่สามารถดิ้นหลุดไปไหนได้

        “เป็นแค่กระรอก คิดจะสู้เหรอ?” จอสยื่นหน้าเข้ามาใกล้ “จำเอาไว้นะว่าเริ่มก่อนเอง กล้าทำก็ต้องกล้ารับผลของมันด้วยล่ะ”

        ภูมองดูใบหน้าของจอสที่เคลื่อนใกล้เข้ามาเรื่อยๆ รู้อย่างแน่ชัดว่าสิ่งใดกำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ เด็กหนุ่มพยายามขัดขืนด้วยการเบี่ยงศรีษะหลบแต่อีกฝ่ายก็ใช้มือแข็งแรงข้างหนึ่งยกขึ้นมาจับกุมเอาไว้ไม่ให้ขยับไปไหน เมื่อหมดจนหนทางจะช่วยเหลือตัวเองได้ภูจึงตัดสินใจอ้าปากร้องขอความช่วยเหลือจากใครสักคนที่อาจจะอยู่ใกล้ๆ แต่ยังไม่ทันที่เสียงจะได้หลุดออกไปจากลำคอ ริมฝีปากก็ถูกประกบพันธนาการเอาไว้เสียก่อน จอสกดริมฝีปากบดจูบอย่างรุนแรงไม่หลงเหลือความนุ่มนวลอย่างที่เคยได้ทำเมื่อครั้งก่อน มือข้างที่จับกุมศรีษะของภูไว้ขยำจิกเส้นผมแน่น ปลายลิ้นพยายามชอนไชเข้ามาแต่ไม่สำเร็จเมื่อเด็กหนุ่มไม่ยอมเปิดรับเขาจึงเปลี่ยนเป้าหมายลงมายังริมฝีปากล่างก่อนจะใช้ฟันขบกัดเข้าไปอย่างแรง

        ความเจ็บปวดฉุดร่างของภูให้สะดุ้งเฮือก ก่อนจะตามมาด้วยรสคาวของเลือด ยิ่งพยายามดิ้นรนจอสก็ยิ่งออกแรงมากขึ้น และในจังหวะที่เด็กหนุ่มเผลอคลายการป้องกันตัวนั้น จอสก็ฉวยโอกาสสอดลิ้นเข้าไปได้สำเร็จ เสี้ยววินาทีนั้นเด็กหนุ่มรู้ตัวดีว่าหากกัดเจ้าสิ่งบุกรุกนี้เสีย ความเจ็บปวดก็อาจะทำให้อีกฝ่ายชะงักและเปิดโอกาสให้ตนหนีได้ ทว่าบางอารมณ์ที่ซุกซ่อนอยู่ในส่วนลึกกลับไม่ต้องการให้เขาทำเช่นนั้น หัวใจของภูเต้นแรงขึ้นมาในทุกขณะที่ปลายลิ้นของทั้งสองเกี่ยวกระหวัดรัดตัวเข้าหากัน มือที่เคยพยายามผลักร่างของอีกฝ่ายออกยามนี้กลับปล่อยวางนิ่งอยู่ข้างลำตัว เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนสติกำลังจะหลุดลอยออกจากร่าง แต่แล้วภาพใบหน้าของกรรณและเสียงของอีกฝ่ายที่พูดผ่านทางโทรศัพท์ว่ารอให้ตนกลับไปหาก็เหมือนจะเข้ามาฉุดดึงให้ภูกลับมาเป็นตัวของตัวเองได้อีกครั้ง เขารวบรวมเรี่ยวแรงที่มีทั้งหมดและผลักอีกฝ่ายออกไปก่อนจะเหวี่ยงหมัดชกเข้าไปที่โหนกแก้มเต็มแรง

        ร่างของจอสเซถลาจนเกือบลงไปกองกับพื้นแต่เขาก็ยังประคองตัวเอาไว้ได้ ภูไม่ยอมเสียโอกาสในการหนี เด็กหนุ่มวิ่งฝ่าสายฝนออกไปจากตรงนั้นด้วยความเร็วสุดฝีเท้า จากนั้นจึงหลบเร้นกายเข้าไปยังซอกเล็กๆ ระหว่างคันของรถเมล์ที่จอดเรียงแถวกันอยู่เพื่อหลบซ่อนตัว เสียงเครื่องยนต์ของรถจักรยานยนต์ดังไล่หลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ก่อนที่ภูจะเห็นจอสขับผ่านไปโดยเหลียวซ้ายแลขวามองหาตนอยู่ไปตลอดทาง เมื่อมั่นใจว่าอีกฝ่ายหาตนไม่เจอแน่แล้วภูก็จึงทรุดลงนั่งกับพื้น รู้ดีว่าเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่และทุกสิ่งที่ใส่ไว้ในกระเป๋าคงเปียกชุ่มไปด้วยน้ำหมดแล้ว หากแต่ในยามนี้เด็กหนุ่มก็ไม่มีกระจิตกระใจจะทำอะไรสักอย่างเพื่อหยุดยั้งความเสียหายนั้นไม่ให้ลุกลาม เขาได้แต่นั่งนิ่งตากฝนอยู่เช่นนั้น ทุกข้อนิ้วของกำปั้นยังคงปวดหนึบจากการถูกใช้เพื่อชกต่อยเป็นครั้งแรกในชีวิต ในขณะที่มืออีกข้างยกขึ้นแตะไปยังบาดแผลที่จอสฝากเอาไว้บนริมฝีปากล่าง จากนั้นก็รอจนกว่าหัวใจที่เต้นแรงราวกับบ้าคลั่งนั้นจะสงบลง



To be continued...

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ไบโพลาร์แน่ ๆ อีนุ้งจอสเนี่ย

หาเรื่องได้ตลอดเว

ส่วนนุ้งภู ต่อไปก็ไม่ต้องแคร์ไม่ต้องสงสารอีนุ้งจอสมันแล้วนะ  หมั่นไส้มัน

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
โอ้ยยยยย ไม่ต้องยุ่งกับจอสแล้วภู ตัดได้ก็ตัดไปเลย ไม่ก็ไปบอกพี่กรรณตรงๆไปเลย จะได้ให้พี่กรรณมาจัดการให้ หรือจะปรึกษาเพื่อน บอกสาลี่ไปก็ได้ บางทีปัญหาบางอย่างมันคิดแก้เองคนเดียวไม่ได้อ่ะ อาจจะต้องให้คนอื่นช่วยคิดช่วยแก้บ้าง

ออฟไลน์ Margarita

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ที่ภูรู้สึกใช่สงสารแน่นะ?
แต่คือสงสารแล้วตัดทางรอดตัวเองนอนนิ่งมันไม่ใช่นะเห้ยยย
ถ้าไม่คิดถึงกรรณจะเป็นยังไงเนี่ย
คือมันไม่โอตั้งแต่ปิดบังแล้วก็ขี้สงสารจนยอมตามเขาไปละ
นี่คือกลัวว่าจะไม่ใช่สงสารอะ ไปหวั่นไหวงี้
ถ้ามากกว่าสงสารจะสงสารกรรณและโมโหภูมาก
เกลียดคนไม่มั่นคง

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด