FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน  (อ่าน 72513 ครั้ง)

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
:pig4: :pig4: :pig4:

ไบโพลาร์แน่ ๆ อีนุ้งจอสเนี่ย

หาเรื่องได้ตลอดเว

ส่วนนุ้งภู ต่อไปก็ไม่ต้องแคร์ไม่ต้องสงสารอีนุ้งจอสมันแล้วนะ  หมั่นไส้มัน

จอสยังหาเรื่องได้อีกเยอะครับ อยู่ที่น้องภูเราจะเข็ดหรือยัง  :hao5:



โอ้ยยยยย ไม่ต้องยุ่งกับจอสแล้วภู ตัดได้ก็ตัดไปเลย ไม่ก็ไปบอกพี่กรรณตรงๆไปเลย จะได้ให้พี่กรรณมาจัดการให้ หรือจะปรึกษาเพื่อน บอกสาลี่ไปก็ได้ บางทีปัญหาบางอย่างมันคิดแก้เองคนเดียวไม่ได้อ่ะ อาจจะต้องให้คนอื่นช่วยคิดช่วยแก้บ้าง

เดี๋ยวต้องรอดูครับว่าน้องภูจะเอายังไงกับเรื่องนี้ จอสจะลอยนวลไปได้นานแค่ไหน  :katai1:



ที่ภูรู้สึกใช่สงสารแน่นะ?
แต่คือสงสารแล้วตัดทางรอดตัวเองนอนนิ่งมันไม่ใช่นะเห้ยยย
ถ้าไม่คิดถึงกรรณจะเป็นยังไงเนี่ย
คือมันไม่โอตั้งแต่ปิดบังแล้วก็ขี้สงสารจนยอมตามเขาไปละ
นี่คือกลัวว่าจะไม่ใช่สงสารอะ ไปหวั่นไหวงี้
ถ้ามากกว่าสงสารจะสงสารกรรณและโมโหภูมาก
เกลียดคนไม่มั่นคง

เดี๋ยวตอนหน้ารู้แล้ว ว่าอะไรเป็นอะไรในส่วนของภูครับ  ใกล้จบแล้วทุกอย่างจะคลี่คลายแล้ว :hao5:



:3125:


 :3123: :pig4: :3123:

อย่าเพิ่งโกรธๆ ขอบคุณที่ติดตามกันมาตลอดนะครับ  o13



ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
Episode 19

        ภูหยิบธนบัตรที่ยังคงเปียกชื้นอยู่จากในกระเป๋ากางเกงส่งให้กับคนขับรถจักรยานยนต์รับจ้าง ฝนหยุดตกไปนานแล้วแต่ร่างกายของเด็กหนุ่มก็ยังคงไม่แห้งสนิทดี เขาควานหากุญแจบ้านจากในกระเป๋าเป้ก่อนจะไขเข้าไปข้างใน ไฟในบ้านปิดมืดสนิททำให้รู้ได้ว่าพ่อกับแม่คงเข้านอนไปแล้ว ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดีเพราะภูก็ไม่อยากจะให้ทั้งสองต้องมาเห็นตนในสภาพแบบนี้เช่นกัน เขาเดินขึ้นบันไดอย่างเงียบเชียบไปยังห้องนอนของตน แสงไฟในห้องสว่างขึ้นเมื่อคลำมือผ่านความมืดไปกดเปิดสวิทช์ที่ข้างประตู โทรศัพท์มือถือเปียกน้ำที่บัดนี้ไม่มีค่าอะไรมากไปกว่าก้อนอิฐก้อนหนึ่งถูกหยิบออกมาจากกระเป๋าเป้แล้ววางเอาไว้บนโต๊ะอ่านหนังสือก่อนที่เด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้าของจะทรุดตัวนั่งลงบนขอบเตียง

        ริมฝีปากล่างยังคงเจ็บ แม้แผลที่ได้รับจะเพียงแค่เล็กน้อยแต่มันกลับสร้างความเสียหายทางจิตใจให้กับภูได้อย่างเหลือคณานับ ความโกรธเกลียดเอ่อล้นขึ้นมาจนเกินจะสะกดกลั้นเอาไว้อยู่ แต่เป้าหมายของมันกลับไม่ใช่ผู้ที่ฝากรอยแผลนี้เอาไว้แม้แต่น้อย ไม่เกี่ยวกับจอส แต่เป็นตัวของเขาเอง เด็กหนุ่มเกลียดและชิงชังตนเองที่นอกจากจะไม่โกรธกับการล่วงละเมิดทางเพศที่จอสกระทำต่อตนแล้ว ยังทำตัวเหมือนพวกใจง่ายเกิดอารมณ์เคลิบเคลิ้มตามไปกับสัมผัสอันไม่ถูกไม่ควรเหล่านั้นอีก ภูตัวสั่นขึ้นมาเมื่อนึกถึงความจริงที่ว่าตนอาจจะเป็นจริงเหมือนอย่างที่จอสกล่าวหา เขาอาจจะชื่นชอบความรุนแรงและการถูกบีบบังคับ ยิ่งเมื่อนึกประกอบกับการที่เซ็กส์ครั้งที่สองกับกรรณที่คุมสติตัวเองไม่อยู่นั้นทำให้เขาเกิดความรู้สึกพึงพอใจได้มากกว่าครั้งแรกจนถึงขั้นเก็บมานั่งนึกถึงแล้วใจเต้นอยู่คนเดียวบนรถแท๊กซี่ ก็ยิ่งทำให้ข้อกล่าวหานั้นดูมีน้ำหนักมากขึ้นเป็นเท่าตัว

        เด็กหนุ่มผลุดลุกขึ้นจากเตียงและเดินไปยังหน้าต่าง ตามองออกไปยังห้องนอนของกรรณที่อยู่เยื้องไปฝั่งตรงกันข้าม ไฟในห้องที่ปิดมืดประกอบกับเวลาขณะนี้ที่เกือบจะเที่ยงคืนแล้วทำให้ภูคิดว่าอีกฝ่ายคงรอตนกลับมาไม่ไหวและเข้านอนไปเป็นที่เรียบร้อย แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้นภูก็ยังเปิดหน้าต่างห้องนอนของตนเองและปีนข้ามไปยังระเบียงฝั่งของกรรณ ใช่ว่าไม่รู้ว่าการรบกวนคนที่กำลังหลับเป็นเรื่องเสียมารยาท แต่เขาไม่อาจทนอยู่กับตัวเองเพียงลำพังได้ ไม่ใช่ในคืนนี้ ภูหยุดยืนที่หน้าประตูทางเข้าบ้านบนระเบียงชั้นสองแล้วเคาะเรียกไปสองสามครั้ง สายลมที่พัดโชยมาถ้าเป็นในเวลาปกติก็อาจจะช่วยผ่อนคลายความร้อนได้ดี แต่ในสภาพที่ร่างกายสูญเสียอุณหภูมิจากการตากฝนและปล่อยให้ตัวเองเปียกอยู่เป็นเวลานาน สายลมนั้นก็กลับกลายเป็นเหมือนมีดน้ำแข็งที่บาดผิว ภูหนาวจนฟันกรามเริ่มสั่นกระทบกัน เขาตัดสินใจเคาะประตูอีกครั้งโดยออกแรงมากกว่าเดิมหลังจากที่รออยู่ครู่หนึ่งแต่ก็ไม่มีการตอบรับจากภายใน

        แม้จะพยายามเคาะสักกี่ครั้ง หรือกระทั่งส่งเสียงเรียกก็แล้ว ทุกอย่างก็ยังนิ่งสนิท เมฆหมอกแห่งความคิดมากเริ่มก่อตัวขึ้นบนหัวของภูอย่างช้าๆ ส่งผลให้ความคิดฟุ้งซ่านสารพัดรูปแบบปรากฏขึ้นมาในหัวราวกับฉายภาพหนัง เด็กหนุ่มพยายามตัดสิ่งที่เป็นไปได้ยากและไม่อยากให้เป็นที่สุดเช่นอีกฝ่ายอาจกำลังบาดเจ็บสาหัส นอนตาย หรือโดนโจรขโมยจับมัดเอาไว้ในบ้านออกไปก่อน คงเหลือไว้แต่สิ่งที่พอจับต้องได้เมื่อประเมินจากสภาพการณ์ทั้งหมดที่เป็นในขณะนี้เช่นกรรณอาจจะหลับสนิทเพราะเหนื่อยจากงานมาทั้งวัน หรือถ้าจะให้ดูโลกสวยน้อยลงกว่านั้นอีกนิดก็คือชายหนุ่มอาจจะได้ยินตั้งแต่ภูเคาะประตูครั้งแรก แต่ทำเมินเฉยไม่รับรู้เพราะกำลังโกรธที่อีกฝ่ายหายหน้าไปไม่ยอมกลับบ้านมาเจอกันตามนัด ซ้ำยังไม่อาจติดต่อได้ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นภูก็ไม่มีสิ่งใดจะแก้ตัวกับกรรณ ทำได้เพียงก้มหน้ายอมรับความผิดที่ตนทำลงไป

        เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ภูไม่อาจทราบได้ เขาเพียงแต่นั่งแน่นิ่งหลังพิงกับระแนงไม้ขอบระเบียงทางเดินคาดหวังอย่างลมๆ แล้งๆ ว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้ากรรณจะเปิดประตูออกมารับเหมือนเช่นทุกครั้ง ร่างกายที่เหนื่อยล้าและประสาทที่ตึงเครียดเริ่มเรียกร้องหาการพักผ่อน เด็กหนุ่มเริ่มรู้สึกถึงเปลือกตาของตนที่หนักอึ้งขึ้นในทุกขณะหากทว่าก็ยังพยายามจะฝืนตัวเองให้ตื่นอยู่ได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในช่วงจังหวะที่การตื่นแหละการผล็อยหลับไปเกิดขึ้นสลับกันไปมานั้น เสียงประตูรั้วบ้านที่เปิดออกก็ปลุกให้สติของเด็กหนุ่มกลับมาตื่นตัวได้อีกครั้ง ภูรีบหันไปมองตามเสียงและพบว่ากรรณกำลังล๊อคประตูรั้วกลับคืนหลังจากเข้ามาข้างใน เมื่อเห็นเด็กหนุ่มที่กำลังยันตัวลุกขึ้นยืนอยู่บนระเบียงชั้นสองเขาก็รีบจ้ำเท้าเข้าบ้านเพื่อเดินขึ้นมาหาอย่างรีบร้อน ไฟระเบียงเปิดสว่างขึ้นพร้อมๆ กับที่บานประตูตรงหน้าของภูเปิดออก

        “นึกว่าพี่นอนแล้ว…” ภูบอกกับกรรณที่เพิ่งเปิดประตูออกมายังระเบียงที่ตนยืนอยู่

        “ไปไหนมา?” กรรณถาม น้ำเสียงมีทั้งความโกรธและโล่งใจปะปนอยู่พอๆ กัน “พี่ตามหาทั่วไปหมด โทรศัพท์ก็ติดต่อไม่ได้ ปิดเครื่องทำไม?”

        “ไม่ได้ปิดเครื่อง มันโดนฝนเลยพัง” ภูอธิบาย

        “แล้วไปไหนมา? วันนี้เรียนเสร็จก็ไม่ได้ไปต่อกับเพื่อนนี่ สาลี่บอกพี่มาแล้วว่านายขอตัวกลับก่อน” กรรณถามอีกครั้ง

        “ธุระนิดหน่อยครับ” ภูไม่กล้าพูดความจริง ขณะที่ในใจก็นึกโล่งอกที่สาลี่ยอมทำตามคำขอคือปิดเรื่องที่ตนไปกับจอสไว้ไม่ให้กรรณรู้ “ขอโทษครับที่ทำให้เป็นห่วง”

        “นี่ถ้ากลับมาไม่เจออยู่ตรงนี้ พี่จะไปบอกพ่อกับแม่นายให้แจ้งตำรวจแล้วนะรู้ไหม?” กรรณถอนหายใจออกมา เป็นการถอนหายใจที่ภูไม่รู้ความหมายของมันแน่ชัดว่าเกิดขึ้นเพราะโล่งใจหรือเหนื่อยใจ

        “จะไม่ทำอีกแล้ว มันสุดวิสัยจริงๆ ผมตากฝนแล้วโทรศัพท์มันเสียก็เลยติดต่อใครไม่ได้เลย” ภูพยายามอธิบายตนเองในส่วนที่พอจะทำได้ ไม่รู้ว่าเพราะความกลัวที่ถูกดุหรือกังวลจากความผิดที่ปกปิดไว้ จึงทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกมึนหัวขึ้นมาทีละน้อย พื้นไม้ของระเบียงที่ยืนอยู่ก็คล้ายจะสูงต่ำไม่เท่ากันจนโคลงเคลงไปหมด

        “ภู?” กรรณสังเกตเห็นความผิดปกติของเด็กหนุ่ม “เป็นอะไร? ทำไมหน้าแดงแบบนั้น?”

        “แดงเหรอ?” ภูไม่รู้ตัว “ไม่รู้สิ แต่มึนหัวมากเลยครับ…”

        พูดได้เพียงเท่านั้นอาการหน้ามืดก็โถมเข้าซัดใส่เด็กหนุ่มจนเซวูบเกือบจะล้ม กรรณถลาเข้าไปรับเอาไว้ได้ทันก่อนจะพบความจริงที่ว่าร่างกายของภูในขณะนี้นั้นร้อนเหมือนถูกไฟสุมอยู่ เมื่อคิดแล้วว่าการปล่อยให้อีกฝ่ายตากลมอยู่ข้างนอกนานขึ้นกว่านี้ย่อมไม่เป็นผลดีอย่างแน่นอน กรรณจึงประคองพาแฟนหนุ่มรุ่นน้องของตนเข้ามาในบ้าน แต่เมื่อการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นเป็นไปอย่างทุลักทุเล เขาจึงตัดสินใจตัดปัญหาด้วยการอุ้มยกร่างของอีกฝ่ายไว้บนสองแขนก่อนจะพามาวางให้นอนลงบนเตียง

        “ตัวร้อนจี๋เลย” ชายหนุ่มใช้หลังมือแนบที่หน้าผากและตามคอของภู “ตากฝนกลับมาแล้วยังมาตากลมอยู่นอกบ้านอีก อยู่ที่ระเบียงมานานเท่าไหร่แล้วเนี่ย?”

        “ไม่รู้ ตอนแรกเรียกอยู่ตั้งนาน คิดว่าพี่โกรธไม่ยอมเปิดประตูรับ ก็เลยนั่งรอให้หายโกรธ” ภูสารภาพ

        “เด็กทึ่มเอ๊ย… มีอย่างที่ไหนนั่งรอให้คนอื่นเค้าหายโกรธ” แม้จะหัวเสียอยู่แต่กรรณก็อดขำกับความเป็นคนไม่รู้ประสาของภูไม่ได้ “แล้วพี่จะไปโกรธนายเรื่องอะไร? ทำไมถึงคิดว่าพี่โกรธไม่ยอมเปิดประตูให้?”

        “ก็วันนี้ผมบอกว่าเลิกเรียนแล้วจะรีบกลับมาหานี่นา…” ภูตอบ น้ำเสียงเริ่มอ้อแอ้จนฟังลำบากขึ้น “แล้วผมก็ผิดสัญญาอีกแล้ว ผมไม่เคยรักษาสัญญาที่ให้ไว้ได้เลย”

        “เรื่องแค่นี้เอง… พี่ไม่ได้โกรธหรอกนะ ที่โมโหก็เพราะเป็นห่วงที่ติดต่อไม่ได้เท่านั้นเอง” กรรณยกมือขึ้นลูบหัวปลอบโยนเด็กหนุ่มที่กำลังทรมานทั้งจากพิษไข้และความรู้สึกผิด “ถ้าพี่โทรหานายได้เหมือนทุกครั้ง แน่ใจแล้วว่าไม่ได้เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับนาย นายจะเถลไถลไปไหนต่อก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก พี่เข้าใจ นายยังเด็ก ก่อนหน้าเราจะมาคบกันนายก็มีชีวิตส่วนตัวของนาย และถึงจะคบกันแล้วมันก็ยังต้องมีอยู่ต่อไป”

        สิ่งที่ได้ยินนั้นทำให้ภูรู้สึกหวานอมขมกลืน ทั้งมีความสุขและรู้สึกผิดควบคู่กันไป กรรณยื่นมือมาแกะกระดุมถอดเสื้อนักศึกษาของภูออก ก่อนจะตามด้วยกางเกง เด็กหนุ่มปิดตาไม่กล้ามองสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น จากนั้นก็ต้องละอายแก่ใจอีกรอบเมื่อพบว่าตัวเองกำลังเข้าใจบางอย่างผิดหลังจากกรรณลุกเดินหายออกไปจากห้องอยู่พักใหญ่ก่อนจะกลับมาพร้อมกับอ่างใส่น้ำอุ่นและผ้าขนหนูหนึ่งผืน ชายหนุ่มบรรจงใช้ผ้าชุบน้ำหมาดเช็ดทำความสะอาดและลดอุณหภูมิบนผิวกายของเด็กหนุ่ม แม้ภูจะพยายามปัดป้องแต่สุดท้ายทุกส่วนก็ถูกเช็ดจนทั่วไม่เว้นแม้กระทั่งเส้นผมและปลายเท้า จนเมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วกรรณจึงเอาเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้สวม ก่อนจะนั่งคุมกำกับให้คนป่วยกินยาที่เตรียมมาให้

        “กินยาเสร็จแล้วก็นอนพักได้แล้ว เรื่องงานถ้าพรุ่งนี้ยังไม่ดีขึ้นก็ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวพี่จะติดต่อให้พี่ช้างไปคุยกับทางลูกค้าให้ว่าเลื่อนถ่ายได้ไหม” กรรณบอกให้อีกฝ่ายไม่ต้องกังวลเพื่อจะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่

        “พี่กรรณ…” ภูดึงชายเสื้ออีกฝ่ายไว้ขณะที่กรรณกำลังลุกออกไป “ไปไหนครับ?”

        “ว่าจะทำงานต่ออีกหน่อย เมื่อหัวค่ำออกไปตามหานายเลยยังมีงานที่ทำไม่เสร็จอีกนิดนึง” กรรณตอบ

        “อย่าเพิ่งทำได้ไหม?” ภูรู้ดีว่าทำอีกฝ่ายเสียเวลามามากแล้ว แต่ก็ยังอยากจะขอเป็นคนเห็นแก่ตัวต่ออีกสักนิดเพื่อกอบกู้สภาพจิตใจของตนเอง “นอนด้วยกันก่อน รอผมหลับค่อยไปนะครับ”

        กรรณไม่ตอบรับว่าอย่างไร เขาเพียงแต่เดินอ้อมมาขึ้นเตียงยังอีกฝั่งหนึ่งก่อนจะสอดตัวเข้าใต้ผ้าห่มผืนเดียวกับที่คลุมตัวภูไว้แล้วคล้องลำแขนโอบกอดประกบร่างเด็กหนุ่มเอาไว้จนแนบชิด ภูรู้สึกได้ถึงปลายจมูกของอีกฝ่ายที่ไล้ดอมดมอยู่บนเรือนผมของตน ความอบอุ่นและสัมผัสที่ได้รับนั้นช่างสุดแสนจะรื่นรมย์จนทำให้ความทรมานจากพิษไข้สร่างซาลงไปแทบจะในทันที เด็กหนุ่มรู้ดีว่าตนกำลังมีความสุข เพราะความสุขมักสำแดงตัวตนของมันได้อย่างชัดเจนโดยไม่ทิ้งความกังขา และในตอนนั้นเองที่ความรู้แจ้งในบางสิ่งบางอย่างได้ส่องสว่างขึ้นในจิตใจที่กำลังสับสนของเขา แม้จะต้องใช้เวลานานเหลือเกินแต่ภูก็เข้าใจในที่สุดว่าความรู้สึกที่ตนมีให้จอสนั้นมันเป็นเพียงความตื่นเต้นเพียงชั่วขณะ ภูไม่ได้หลงรักจอสหากแต่หลงรักความอันตรายในตัวของเขา ซึ่งเป็นเหมือนแสงสีที่วูบวาบเข้ามาในชีวิตสีขาวอันแสนจะปลอดภัยของตน มันอาจทำให้สนุกสนานจนกระทั่งจิตใจสั่นไหวแต่ยังห่างไกลเกินกว่าจะเรียกว่าความสุข ไม่ต่างกับเครื่องเล่นในสวนสนุกที่อาจจะดูน่าตื่นตาตื่นใจแต่ในความเป็นจริงไม่มีใครสามารถนั่งรถไฟเหาะไปได้ทั้งชีวิต สุดท้ายแล้วเราก็ต้องกลับออกมาเพื่อค้นหาใครสักคนที่มอบความรู้สึกเหมือนเป็นบ้านอันปลอดภัยให้เราได้

        การเป็นไข้ไม่ใช่เรื่องสนุกเลยสำหรับภู ถึงแม้ว่าสุขภาพโดยรวมของเด็กหนุ่มจะไม่ได้ถูกจัดอยู่ในจำพวกขี้โรคหรือร่างกายอ่อนแอ แต่หากพลาดท่าเกิดป่วยขึ้นมาในครั้งใดก็มักจะออกอาการหนักกว่าชาวบ้านชาวช่องเขาเสมอ ภูใช้เวลาสามวันหลังจากนั้นไปกับการนอนซมอยู่บนเตียงเพื่อพักฟื้นท่ามกลางความวุ่นวายของพี่ช้างที่ต้องประสานงานกับบรรดาลูกค้าที่มีคิวงานในสามวันนั้น ซึ่งบางงานก็สามารถเลื่อนคิวได้ แต่บางงานที่เลื่อนไม่ได้อย่างเช่นอีเวนท์ก็เดือดร้อนถึงพี่ช้างต้องวิ่งหาใครสักคนเพื่อส่งไปเป็นตัวแทนภู เด็กหนุ่มออกจะแปลกใจอยู่เล็กน้อยเมื่อได้ยินจากปากของผู้จัดการส่วนตัวของตนว่าจอสยอมวิ่งรอกตั้งแต่เช้าจรดค่ำเพื่อเป็นตัวแทนของภูให้ในงานที่ไม่ตรงกับคิวของเขา แต่เมื่อมาคิดดูแล้วก็ไม่น่าแปลกใจเพราะถึงแม้จะเป็นคนเอาแต่ใจและคาดเดาอะไรได้ยากแต่สิ่งหนึ่งที่ภูรู้ดีเกี่ยวกับเพื่อนร่วมงานของตนคนนี้ก็คือเขามีความรับผิดชอบกับสิ่งที่ได้ทำลงไปเสมอ

        หน้าที่การดูแลคนป่วยส่วนใหญ่ตกอยู่กับแม่ของภู ในขณะที่กรรณเมื่อเสร็จจากงานก็จะรีบดิ่งกลับมารับช่วงต่อทันที ความกระตือรือร้นที่จะดูแลเอาใจใส่ของกรรณที่แสดงออกมานั้นมีมากจนออกจะเกินขอบเขตของคำว่าพี่น้องในสายตาคนทั่วไป ทั้งการขึ้นมานั่งเฝ้าอยู่บนห้องตลอดเวลา ป้อนอาหารให้แบบถึงปาก เช็ดตัวดูแลความสะอาดของร่างกาย แต่ถึงกระนั้นกรรณก็ไม่มีทีท่าว่าจะพยายามปิดบังเลยแม้แต่น้อย ยังคงทำเหมือนเป็นเรื่องปกติ จนภูต้องเป็นฝ่ายกังวลขึ้นมาเสียเองว่าพ่อแม่อาจจะผิดสังเกตกับเรื่องนี้

        “พี่ไม่คิดว่าตัวเองเล่นใหญ่ไปนิดนึงเหรอ? ผมกลัวพ่อกับแม่จะสงสัยเอานะ” ภูซึ่งเสียงยังแหบพร่าถามกรรณขึ้นมาหลังจากเพิ่งโดนจับป้อนข้าวต้มเสร็จไปหมาดๆ “

        “ไม่สงสัยหรอก” กรรณส่งถ้วยยาให้แล้วตามด้วยแก้วน้ำดื่ม “เพราะไม่มีอะไรให้ต้องสงสัยแล้ว”

        “หือ…?” ภูชะงัก “หมายความว่ายังไงครับ? ไอ้ประโยคหลังน่ะ…”

        “เค้ารู้กันทั่วแล้ว” กรรณนั่งลงบนพื้นข้างเตียง เฝ้าดูให้เด็กหนุ่มกินยาจนหมด

        “รู้ได้ไง!” ภูโพล่งออกมาด้วยความตกใจ แต่ด้วยความระคายคอจึงทำให้เกิดอาการไอตามมาอีกชุดใหญ่จนกรรณต้องเข้าไปลูบหลัง

        “คุณลุงกับคุณป้าท่านระแคะระคายมาตั้งนานแล้วแต่ยังไม่แน่ใจ จนมาถามพี่ตรงๆ เมื่อตอนที่พี่อุ้มนายกลับมาบ้านตอนเช้าวันที่เป็นไข้ พี่ก็ไม่รู้จะปิดบังทำไม เพราะท่านก็บอกเองว่าท่านเข้าใจและรับได้ขอให้พูดกันตามตรง” กรรณบอก

        “แล้วไม่มีใครคิดจะบอกผมเลยเหรอว่ารู้แล้ว?” ภูไม่เข้าใจว่าทุกคนตีหน้าตายทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้อย่างไร

        “ก็เห็นป่วยอยู่ เดี๋ยวพอนายหายดี ท่านก็คงจะหาโอกาสคุยเรื่องนี้ด้วยเองนั่นแหละ” กรรณยักไหล่เหมือนว่าช่วยอะไรไม่ได้ “แล้วอีกอย่างก็คือถึงจะรู้ว่าคบกัน แต่คุณลุงกับคุณป้าท่านก็ยังไม่รู้หรอกนะว่าเรา… แบบว่า… ได้เสียกันแล้ว”

        “ห้ามให้รู้นะ!!!” ภูรีบสั่งห้ามเด็ดขาด

        “ไม่บอกหรอก บอกไปคุณลุงก็เล่นงานพี่ตายเลยสิ” กรรณยิ้มแหยๆ ยังเข็ดขยาดกับท่าทีดุดันที่พ่อของภูใช้ขณะพูดคุย “ขนาดแค่รู้ว่าคบกันมานานแล้ว คุณลุงยังบอกเลยว่าพลาดท่าเปิดประตูบ้านให้พี่เข้ามาขโมยลูกไปจากอกเค้าแท้ๆ”

        “แล้ว… ก็คือพ่อกับแม่ไม่ได้ว่าหรือห้ามอะไรใช่ไหมครับ?” ภูถามเพื่อความมั่นใจ

        “ใช่ ไม่ได้ห้าม แต่ต้องดูแลกันดีๆ อย่าพากันไปเสีย แล้วก็ต้องให้อยู่ในสายตาพวกท่านตลอด” กรรณบอกโดยไม่ลืมจะยกเครดิตความดีให้กับตนเอง “อาจเพราะพี่เป็นเด็กดีในสายตาคุณลุงกับคุณป้ามาตั้งแต่เด็กๆ พวกท่านก็เลยไว้ใจ ยกลูกชายให้ง่ายๆ”

        “ชมตัวเองไม่อายปากเลย” ภูแทบจะสร่างไข้จากเรื่องทั้งหมดที่ได้รู้ แม้จะโล่งใจที่ความลับถูกเปิดเผยด้วยดี แต่ก็ยังลำบากใจไม่รู้ว่าจะทำตัวเช่นไรเมื่อเจอหน้าพ่อกับแม่ในครั้งหน้า

        “แล้วคุณลุงกับคุณป้าก็ยังสั่งมาอีกสองอย่าง อย่างแรกเลยคือให้เลิกทำตัวผาดโผนปีนข้ามระเบียงบ้านไปมาได้แล้ว เดี๋ยวจะตกลงไปหลังหัก” กรรณพูดพร้อมกับโชว์กุญแจบ้านภูชุดสำรองที่เพิ่งปั๊มมาใหม่สดๆ ร้อนๆ ในมือ “แล้วก็อย่างที่สอง ให้พี่เลิกเรียกพวกท่านว่าลุงกับป้า แล้วเปลี่ยนมาเป็นพ่อกับแม่แทนได้แล้ว”

        เพียงเท่านั้นก็แทบจะเรียกได้ว่าครอบครัวของภูได้เปิดรับกรรณเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่อย่างเป็นทางการ นับจากนี้ชายหนุ่มไม่ใช่เป็นเพียงแค่เป็นแขกร่วมมื้อค่ำอีกต่อไปแต่จะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของทั้งครอบครัว ที่ผ่านมาถึงแม้ภูจะพอรู้นิสัยของพ่อแม่ตนเองว่าเป็นพวกหัวสมัยใหม่ แต่ก็ไม่คิดว่าทั้งสองจะยอมรับเรื่องแบบนี้ได้ง่ายถึงเพียงนี้หากไม่ผ่านการเตรียมใจมาก่อนหน้า ซึ่งนั่นทำให้เด็กหนุ่มเชื่อว่าผู้ปกครองของตนน่าจะมองออกถึงตัวตนที่แท้จริงของลูกชายมานานมากแล้ว บางทีอาจจะนานก่อนหน้าที่เขาจะรู้ตัวเองเสียอีก

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
        คืนนั้นหลังจากกรรณกลับไปยังบ้านของตนเองแล้ว แม่ของภูก็เข้ามาในห้องนอนของเด็กหนุ่มอีกครั้งเพื่อนำยาที่ต้องกินก่อนนอนมาให้ เขารับมาใส่ปากและกลืนน้ำตามขณะที่ตาก็มองดูแม่ของตนที่กำลังเก็บเสื้อผ้าที่ใช้แล้วเข้าตะกร้าเตรียมนำลงไปข้างล่างเพื่อซักตากในวันรุ่งขึ้น แม่ยังดูมีท่าทีปกติเหมือนที่ผ่านมา เป็นปกติเสียจนภูอดสงสัยไม่ได้ว่าเรื่องทั้งหมดที่ได้ยินจากกรรณเมื่อช่วงเย็นนั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่

        “แม่ครับ” ภูเรียก

        “ว่าไง?” แม่ตอบรับ แต่มือยังไม่หยุดรื้อกองเสื้อผ้าที่สุมอยู่

        “แม่รู้แล้วเหรอ?” เด็กหนุ่มถามแบบลองหยั่งเชิงดูโดยไม่ระบุว่ารู้เรื่องอะไร

        “รู้เรื่องอะไร?” แม่หันกลับมาถาม

        “แม่รู้อะไรมาบ้างล่ะ?” ภูถามย้อนกลับไป

        “รู้มาหลายเรื่องเลย ทั้งรู้เอง ทั้งที่มีคนมาบอก” แม่ถอนหายใจคล้ายจะโล่งใจที่ในที่สุดลูกชายก็ยอมปริปากคุยเรื่องนี้ด้วยตัวเองเสียที ก่อนจะวางตะกร้าผ้าในมือลงและเดินมานั่งที่ขอบเตียง “ว่าแต่ภูเถอะ ไม่คิดจะบอกแม่เองเลยหรือไง?”

        “ผมกลัว… ไม่กล้าบอก… “ภูหลบสายตาของแม่

        “กลัวทำไม? คิดว่าแม่จะดุจะตีเราเพราะเรื่องนี้งั้นเหรอ?” แม่ถามกลับมา

        “เปล่าครับ” ภูรู้ดีว่าแม่ไม่มีวันโกรธเขาจากสิ่งที่เขาเป็น “แค่กลัวว่าแม่จะเสียใจ แล้วแม่เสียใจไหมล่ะครับ?”

        “โล่งใจมากกว่า” แม่ตอบพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้า “กำลังห่วงว่านิสัยแบบนี้จะหาแฟนได้ไหมอยู่เลย”

        “ไม่อยากอุ้มหลานแล้วเหรอ?” ภูถามต่อ

        “ก็อยากนะ แต่ในเมื่อมันคือความสุขของลูก ลูกเลือกแล้ว ก็ไม่มีอะไรต้องคัดค้าน” แม่ยกมือขึ้นมาลูบศรีษะของภูอย่างอ่อนโยน “ไหนๆ ตั้งแต่เล็กจนโต ภูก็อุตส่าห์เป็นเด็กดีมาตลอด ไม่เคยทำอะไรให้กังวล เรื่องแค่นี้ทำไมจะยอมรับให้ไม่ได้”

        “ขอบคุณครับ” ภูหลับตา สัมผัสมือที่อยู่บนศรีษะทำให้รู้สึกเหมือนย้อนกลับไปเป็นเด็กเล็กๆ อีกครั้ง “แล้วพ่อล่ะครับเป็นไงบ้าง?”

        “ก็โอเค ดูรับได้ไม่มีปัญหา ก็ทำตัวปกติกันไป แต่อย่าไปพูดถามอย่าไปสะกิดแผลก็พอ” แม่ถอนหายใจออกมา เมื่อนึกถึงทิฏฐิอันปล่อยวางไม่ได้ของผู้เป็นสามี “ยังไงพ่อเค้าก็เสียดายที่ลูกชายคนเดียวจะไม่ได้สืบสกุลต่อ เดี๋ยวสักระยะนึงก็ทำใจได้เอง”

        “พ่อคงโกรธมาก…” ภูพอจะเข้าใจความรู้สึกของพ่อ

        “ใช่ แต่เป้าหมายความโกรธนั่นไม่ใช่ลูกหรอกนะ แต่เป็นพ่อหนุ่มข้างบ้านของเราต่างหาก” แม่ตอบ

        “พี่กรรณโดนพ่อเฉ่งเละเลยสิท่า” ภูนึกภาพออกเลยทีเดียว

        “ไม่เหลือหรอก พ่อเรียกกรรณว่าพวกแมวขโมยปลาย่าง” แม่เล่าด้วยน้ำเสียงขบขัน “แต่ก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไร บางทีถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่กรรณ พ่อคงอาจจะยอมรับได้ยากกว่านี้ด้วยซ้ำ”

        “ต่อไปนี้คงต้องปรับตัวกันอีกมาก” ภูเหนื่อยใจเมื่อนึกถึงวันข้างหน้า

        “คนเราก็ปรับตัวกันอยู่ตลอดเวลานั่นแหละ” แม่วางมือลงบนหลังมือของภู “แม่ในตอนนี้ ก็ไม่ใช่แม่คนเดียวกับเมื่อสิบปีก่อน”

        “ใช่ แม่ตีนกาเยอะขึ้น” ภูหยอกแม่ตัวเอง

        “ปากเก่งได้แบบนี้ คงหายแล้วล่ะสิ” แม่เขกหัวลูกชายเบาๆ “นอนเถอะลูก เดี๋ยวพรุ่งนี้ยังหยุดอีกวันหนึ่งใช่ไหม?”

        “ใช่ครับ” ภูพยักหน้า

        แสงไฟในห้องนอนดับมืดลงเมื่อแม่กดปิดสวิทช์ก่อนจะหิ้วตะกร้าผ้าออกไปจากห้อง ภูดึงผ้าห่มขึ้นมาถึงคอ ตามองเงาของกิ่งไม้จากด้านนอกหน้าต่างที่ทาบทับอยู่บนเพดานห้อง ในหัวยังคงครุ่นคิดถึงสิ่งที่แม่พูดเกี่ยวกับความรู้สึกของพ่อ เด็กหนุ่มไม่แปลกใจเลยกับการที่พ่อของตนจะทำใจกับเรื่องนี้ได้ยากกว่าคนอื่น ในเมื่อที่ผ่านมาภูเป็นเสมือนดั่งความภาคภูมิใจของพ่อมาโดยตลอด ลูกชายคนเดียวที่ญาติทุกคนในตระกูลเอ็นดูและชื่นชมทุกครั้งที่กลับไปงานรวมญาติ ทั้งเรื่องรูปร่างหน้าตาที่ถอดแบบพ่อสมัยหนุ่มๆ มาทุกกระเบียดนิ้ว ทั้งความประพฤติที่ไม่เคยออกนอกลู่นอกทาง การเรียนที่อยู่ในเกณฑ์ดีมาโดยตลอด แต่จู่ๆ วันหนึ่งโดยที่ไม่คาดฝัน กุลบุตรผู้ไร้ที่ติคนนั้นก็กลับมีตัวตนอีกด้านที่ยากจะหาคนเข้าใจและยอมรับได้ แน่นอนว่าสำหรับภูการรักใครสักคนแม้ว่าจะเป็นเพศเดียวกับตนเองนั้นมันไม่ใช่ปัญหาเลย เขาไม่เคยคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ผิดปกติ แต่ภูก็เข้าใจหากคนอื่นจะไม่รู้สึกหรือคิดเช่นเดียวกับตน ขอเพียงยังเคารพในสิทธิและความเป็นมนุษย์ของกันและกันก็พอ

        ยาที่กินเข้าไปเมื่อครู่เริ่มออกฤทธิ์ เปลือกตาของเด็กหนุ่มเริ่มหนักขึ้นจากอาการง่วงซึมที่เกิดจากยา ในขณะที่กำลังจะปล่อยตัวเองให้หลับไปนั้นเสียงลูกบิดประตูห้องนอนก็ดังขึ้น บานประตูเปิดอ้าออกพร้อมกับร่างของพ่อที่เดินเข้ามาข้างในอย่างเงียบเชียบ ภูรีบหลับตาแกล้งทำเป็นว่าตนหลับไปแล้วหลังจากตัดสินใจกับตัวเองได้ว่ายังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับพ่อในตอนนี้ สัมผัสของที่นอนที่ยวบยุบลงบ่งบอกให้เด็กหนุ่มรู้ว่าพ่อของตนได้หย่อนกายลงนั่งอยู่ข้างๆ แล้วในเวลานี้ ก่อนที่ในวินาทีต่อมาสัมผัสเบาๆ ของมือที่ลูบลงบนศรีษะและเสียงถอนหายใจหนักๆ ที่ดังขึ้นจะช่วยยืนยันอีกทาง

        “ยังไม่หลับเหรอ?” พ่อถาม เมื่อรู้สึกได้ว่าลูกชายของตนไม่ได้หลับเหมือนอย่างที่พยายามทำให้เห็น

        “กำลังจะหลับครับ” ภูเลิกเกร็งตัวนิ่งเพราะรู้ว่าโดนจับได้แล้ว

        “แม่บอกว่าแกดีขึ้นเยอะแล้วนี่” พ่อถาม “ขอพ่อคุยด้วยหน่อยได้ไหม?”

        “ถ้าบอกว่าไม่ได้ พ่อจะรอคุยวันหลังหรือเปล่าล่ะครับ?” ภูถาม และได้รับการส่ายหน้ากับสายตาดุๆ ที่จ้องมาเป็นคำตอบแทบจะทันที “โอเค คุยก็คุย…”

        “คิดดีแล้วเหรอว่าจะเป็นแบบนี้?” พ่อถามถึงเรื่องที่เพิ่งรับรู้มา “อยากลองให้ครบทุกแบบก่อนแล้วค่อยตัดสินใจอีกทีไหม? พ่อพาไปได้นะ ลงอ่างอะไรแบบนั้น”

        “เก็บเงินไว้เติมน้ำมันรถเหอะพ่อ อย่าหาเรื่องให้แม่องค์ลงเลย” ภูเหนื่อยใจกับความพยายามของพ่อ

        “ก็ไม่อยากให้เป็นแบบนี้นี่นา” พ่อถอนหายใจออกมาอีก

        “ก็มันเป็นไปแล้วอ่ะ…” ภูก็ไม่รู้จะช่วยอะไรได้มากกว่านี้ “ขอโทษที่ทำให้พ่อผิดหวังนะครับ”

        “พ่อไม่ได้ผิดหวังเลย” พ่อแก้ไขความเข้าใจของภูใหม่ให้ถูกต้อง “ก็แค่เป็นห่วง กลัวว่าสักวันอาจจะต้องเห็นลูกเสียใจ”

        “แล้วทำไมถึงคิดว่าผมจะเสียใจล่ะ?” ภูไม่เข้าใจความคิดของพ่อ

        “ก็เห็นพวกนี้ชีวิตเจอแต่ความผิดหวัง เจอแต่เรื่องเสียใจ” พ่ออธิบาย

        “นี่ไปจำมาจากในหนังในละครใช่ไหม?” ภูพอจะเดาออก “จะเกิดมาเป็นเพศไหนชีวิตก็มีโอกาสเสียใจหรือเจอความผิดหวังได้ทั้งนั้นแหละครับ”

        “ใช่ ก็ถูกของแก” พ่อเห็นด้วย

        “ผมจะไม่เสียใจกับสิ่งที่ผมเป็นหรอกครับ ในอนาคตผมอาจจะผิดหวัง อกหัก หรือเจออะไรร้ายๆ ผมอาจจะเสียใจกับเรื่องพวกนั้น แต่จะไม่มีสักวินาทีที่ผมเสียใจกับการเป็นตัวของตัวเอง” ภูยืนยันให้พ่อหายห่วง “ถ้าจะมีสักเรื่องที่ผมเสียใจในตอนนี้ ก็คือเสียใจที่พ่อจะไม่เห็นผมเป็นลูกหลังจากรู้ว่าผมเป็นแบบนี้”

        “ทำไมจะไม่เห็นล่ะ ทำออกมาเอง ยังไงลูกก็คือลูก ต่อให้โตมาจะเป็นยังไงก็ยังเป็นลูก” พ่อสูดหายใจเข้าคล้ายพยายามเรียกกำลังใจให้ตัวเอง “แล้วหาแฟนไกลๆ บ้านหน่อยไม่ได้หรือไง?”

        “ก็ชอบคนนี้” ภูตอบแบบดื้อตาใส

        “แน่ใจว่าชอบ?” พ่อถามเพิ่ม “มันไม่ได้มาล่อลวงลูกแน่นะ?”

        “พ่ออยากรู้ไหมล่ะว่าผมชอบเขาตั้งแต่ตอนไหน?” ภูเสนอจะบอกข้อมูลให้ลองพิจารณาดูเอาเอง

        “ไม่ต้อง ไม่อยากรู้ แค่นี้ก็รู้เยอะเกินไปแล้ว” พ่อรีบปฏิเสธเพราะรู้ดีว่าสิ่งที่จะได้ยินต้องไม่ส่งผลดีต่ออารมณ์เป็นแน่

        “ก็จะได้เลิกว่าพี่เค้าสักทีไง” ภูแสดงจุดยืนชัดเจนว่าปกป้องแฟนตัวเอง

        “เอาเถอะ… จะเป็นอะไรก็เป็นไป จะคบใครก็คบ เอาแค่ดูแลตัวเองให้ดีๆ แล้วกัน” พ่อพูด สีหน้าเหมือนจะทำใจได้บ้างแล้วขณะที่ลุกออกไปจากเตียง

        “ครับ ทราบแล้วครับ” ภูตอบรับ

        “แล้วก็… “พ่อหยุดอยู่ที่ประตูก่อนจะพูดต่อโดยไม่ได้หันมามองหน้าภู “ถ้าไอ้แมวขโมยปลาย่างนั่นมันทำให้เสียใจ ต้องบอกให้พ่อรู้เข้าใจไหม?”

        “อื้ม… ต้องบอกอยู่แล้ว” ภูพยักหน้า แม้ไม่เห็นใบหน้าของผู้เป็นพ่อขณะพูด แต่ก็รับรู้ได้ถึงความห่วงใยที่อยู่ในทุกถ้อยคำนั้น

        วันรุ่งขึ้นเป็นอีกหนึ่งวันที่เกือบจะเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ อาการไข้ของภูหายไปจนเรียกได้ว่ากลับสู่สภาพปกติแล้ว ในขณะที่กรรณก็มีเวลาว่างโดยไม่คาดฝันเมื่องานที่วางคิวเอาไว้ในวันนี้ถูกยกเลิกอย่างกะทันหัน ชายหนุ่มผู้หวาดกลัวว่าที่พ่อตาของตนรอจนกระทั่งพ่อของภูออกไปทำงานแล้วจึงค่อยโผล่หน้ามาในช่วงสาย ก่อนที่ทั้งสองจะออกจากบ้านไปด้วยกันในช่วงบ่ายเพื่อหาซื้อโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ให้กับภูแทนเครื่องเก่าที่ตอนนี้เปียกน้ำจนพังใช้การไม่ได้ไปแล้ว เนื่องจากต้องไปในที่ชุมนุมชน ด้วยเจตนาจะถนอมความเป็นส่วนตัวเอาไว้ วันนี้เด็กหนุ่มจึงอำพรางตัวด้วยการรวบผมยาวของตนขึ้นแล้วสวมทับด้วยหมวกจากนั้นก็ใส่แว่นเพื่อลดโอกาสที่คนจะจำได้ ซึ่งก็ถือว่าประสบผลสำเร็จเพราะตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาในศูนย์การค้าก็แทบจะไม่มีใครจำเขาได้เลย เว้นแต่จะเห็นในระยะประชิดจริงๆ เท่านั้นเอง

        ภูได้โทรศัพท์เครื่องใหม่ที่ถูกใจ ส่วนกรรณก็ได้มีช่วงเวลาแห่งความสุขแบบคู่รักทั่วไปอย่างที่ต้องการจนสมอยาก ไม่ว่าจะเป็นการแอบจับมือกันในโรงภาพยนตร์ แวะทานอาหารร้านที่อยากไปลองชิมมานาน การเดินเที่ยวถ่ายรูปเล่นยามเย็นด้วยกันในย่านเมืองเก่า ก่อนที่อารมณ์แห่งความรักใคร่จะสุกงอมจนลงเอยด้วยการทำตัวเหมือนเด็กๆ โดยการแอบจูบเด็กหนุ่มคนรักอย่างดูดดื่มในที่ลับตาคน

        มันเกือบจะเป็นวันที่สมบูรณ์แบบสำหรับคู่รัก

        หากเพียงแค่ว่า จูบนั้นจะไม่ได้ถูกใครบางคนบันทึกภาพเอาไว้ได้อย่างชัดเจน…



To be continued... 

5 Episodes Left...

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ปาปารัสซี่  ที่ไหนน้า?

รอบนี้นุ้งจอสอัพค่าตัวสินะ 

คุณคนแต่งเลยไม่ให้ออกอากาศ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
ใครมันมือดีมาแอบถ่าย น่าดักตีจริงๆ

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ใครแอบถ่าย ชีวิตภูนี่วุ่นวายจริงๆเลย ไปทำบุญบ้างนะภูเอ้ยยยย  :katai1:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ Grey Twilight

  • Moderator
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-17
จอส วาโย นี่ได้แรงบันดาลใจมาจากไอจีของหนึ่งในพิธีกรดูมันดิรึเปล่าครับเนี่ย (หัวเราะ) วันก่อนพอดีเปิดไอจีผ่านๆแล้วเห็นชื่อก็สะดุดเลย ดูคล้ายๆ

ผมค่อนข้างชอบจอสนะครับ ไม่รู้สิ ไม่ใช่ชอบเชิงชู้สาว แต่รู้สึกว่าคาแรกเตอร์ของเขาน่าสนใจในระดับตัวละครหลัก เค้ามีเบื้องหลังและมีปมของชีวิต มีพื้นหลังและมิติของการกระทำ เป็นคาแรกเตอร์ที่ผมรู้สึกว่าค่อนข้างเรียล เลยค่อนข้างโฟกัสกับตัวละครนี้ สำหรับภูกับกรรณที่แม้จะเป็นคู่หลัก แต่ปมของสองคนนี้ไม่ซับซ้อนอะไรมาก สำหรับกรรณนี่ระดับปมธรรมดาเลย คือแอบชอบน้องมานาน พอกลับมาจากต่างประเทศแล้วเจอกับน้อง ดันใจตรงกัน ก็เลยลงเอยแฮปปี้ดี ส่วนภู ระดับปมก็พัฒนาขึ้น ผมชอบภูในโหมดที่มีการคุยกับตัวเองนะครับ อย่างที่ดันเผลอหลงไปกับสัมผัสแล้วก็ตกกระไดพลอยโจนไปกับจอสหลายครั้ง ก็เพราะว่าภูเหมือนสัมผัสได้ถึงความรู้สึกลึกๆของจอส ตรงนี้สื่อให้เราเห็นว่าภูเป็นคนที่ดีจากเนื้อแท้ แล้วก็พอหลงไปหลายๆครั้ง เริ่มรู้สึกผิดหรืองงกับตัวเอง ก็มีการคุยกับตัวเองให้เคลียร์ว่ามันเพราะอะไรกันแน่ การบรรยายตรงนี้จะทำให้เราเห็นการพัฒนาทางความคิดของตัวละคร

และแม้ว่าการบรรยายในเรื่องก็ทำให้เราเห็นคาแรกเตอร์ของภูได้เด่นชัดว่าเป็นคนค่อนข้างเงียบๆ ไม่สุงสิงกับใคร แต่จากหลายๆฉากก็จะทำให้เราเห็นภูในมุมที่ลึกขึ้น เค้าแคร์คนอื่นและเค้าคิดเยอะเหมือนกัน ดังนั้นภูเลยกระอักกระอ่วนที่จะทิ้งจอส แต่พูดกันตรงๆเถอะ ผมว่านิสัยอย่างภูอยู่กับจอสไม่น่ารอดนะครับ คนนึงก็ชอบอยู่เงียบๆไม่สุงสิง อีกคนก็มีอาชีพนักแสดงสายปาร์ตี้ของสังคม แต่จากที่เห็นว่ามีงานอดิเรกหลายอย่างตรงกัน น่าจะทำให้เป็นเพื่อนกันได้ยาว

สำหรับจอส ปมเหงากับโตขึ้นมาคนเดียวของเขานี่สำคัญมาก มันส่งผลต่อการกระทำทุกอย่างของเขาแล้วมีผลเป็น Chain reaction จอสเลยติดนิสัยไม่ค่อยแคร์ใคร ทำให้มีเพื่อนน้อย แล้วพอมีคนที่ใส่ใจเขาจริงๆอย่างภู ก็เลยอยากได้ไว้ข้างตัวตลอดเวลา ไม่อยากให้หายไปไหน แต่เนื่องจากอายุคงยังน้อยแล้วก็ไม่มีพ่อแม่ให้คุยหรือปรึกษา เลยไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเอง (จะเห็นว่าจุดนี้ต่างจากภูเยอะมาก ภูเคลียร์ความรู้สึกตัวเองได้เร็ว) เลยคิดว่าต้องเอามาเป็นแฟนเท่านั้น จอสอยากได้คนที่ห่วงเขาอย่างใจจริงและพร้อมอยู่กับเขา ซึ่งเพื่อนแท้จริงๆก็ทำตรงนี้ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นแฟน ผมสะกิดใจนิดนึงตรงที่จอสเคยบอกว่า ภูเป็นพวกชอบรังแกเด็ก แปลว่าจอสเด็กกว่าภูรึเปล่าครับ? ถ้าเด็กกว่า ก็น่าจะไม่ยากหรอกที่จะพัฒนาความสัมพันธ์เป็นแนว brotherly love ที่คอยดูแลคล้ายๆพี่น้อง

แต่สำหรับคนที่มีปมอย่างจอส คาแรกเตอร์ของเขาถือว่าน่าสนใจและน่าประทับใจมากเลยนะครับ พอสนใจใครก็มีความพยายามที่จะเข้าหาในวงจรชีวิต มุ่งมั่นไม่ย่อท้อ แม้คำพูดคำจาบางทีจะร้ายกาจหรือเจ้าเล่ห์ไปบ้าง แต่เนื้อแท้แล้วก็เป็นคนดี  อยู่แล้วชีวิตก็มีสีสันดี (แถมรักหมาซะด้วย (หัวเราะ)) มีความรับผิดชอบในคำพูดของตัวเอง ถึงจะชอบท้าก็เถอะ ดูเป็นคาแรกเตอร์น้องชายที่พึ่งพาได้เหมือนกันครับ ถ้าจะมีคู่ ผมนึกคู่จอสไม่ออกแฮะ ถ้าให้ภูเป็นคล้ายๆพี่ชายไปแล้ว คู่คงต้องออกแนวอายุเท่ากัน แต่งงๆเด๋อๆด๋าๆคล้ายภูละมั้งครับ ให้จอสชอบแกล้ง แต่ก็ต้องเป็นคนที่แคร์จอสและเป็นครอบครัวและทำให้เขาสบายใจที่จะอยู่ด้วยได้ โทนเรื่องคงจะสนุกไม่น้อย

สำหรับฝีมือการเขียน ผมคิดว่าโดยรวมแล้วค่อนข้างโอเคนะครับ บรรยายได้ตรงและน่าสนใจดี มีมุขซ่อนในการบรรยายเรียกรอยยิ้มของคนอ่าน ใช้ภาษาไม่มีสะกดผิด แล้วก็คุมโทนเรื่องได้ดี พล็อตของคู่หลักเรื่องนี้มันอาจจะพื้นๆไปหน่อย แถมพื้นคาแรกเตอร์ของตัวหลักทั้งสองคนก็ดันไม่หวือหวาอีก เลยอาจจะทำให้รู้สึกเนือยๆ แต่พอมีจอส (ที่เป็นคาแรกเตอร์มีมิติ) มาป่วนกระแสเรื่องก็ทำให้น่าสนใจมากขึ้นครับ

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
:pig4: :pig4: :pig4:

ปาปารัสซี่  ที่ไหนน้า?

รอบนี้นุ้งจอสอัพค่าตัวสินะ 

คุณคนแต่งเลยไม่ให้ออกอากาศ

พักก่อน เดี๋ยวสองตอนหน้านี่ของน้องเต็มๆเลย ก่อนจะถึงสองตอนสุดท้ายของพระเอกนายเอก เข้าโค้งสุดท้ายแล้ว อยู่กันจนจบนะครับ  :katai4:



:hao7:


 :L1: :pig4: :L1:

ขอบคุณมากครับติดตามกันมาตั้งแต่แรก จนตอนนี้เข้าช่วงสุดท้ายแล้ว อยู่กันจนจบไปเลยนะครับ  o13



ใครมันมือดีมาแอบถ่าย น่าดักตีจริงๆ

นั่นสิ จะเป็นใครกันนะ ต้องรอดูครับ  :katai4:



ใครแอบถ่าย ชีวิตภูนี่วุ่นวายจริงๆเลย ไปทำบุญบ้างนะภูเอ้ยยยย  :katai1:

ชีวิตเซเลป มีแต่งานงอกเพิ่มขึ้นทุกวัน มาดูกันครับว่าน้องจะเอาไงกับชีวิตต่อไปดี  :hao5:



:ling1: อ๋าาาาาา

ใกล้จบแล้ว อย่าเพิ่งดิ้น มาลุ้นกันว่าชีวิตน้องภูจะลงเอยอีท่าไหนครับ  :katai4:



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
จอส วาโย นี่ได้แรงบันดาลใจมาจากไอจีของหนึ่งในพิธีกรดูมันดิรึเปล่าครับเนี่ย (หัวเราะ) วันก่อนพอดีเปิดไอจีผ่านๆแล้วเห็นชื่อก็สะดุดเลย ดูคล้ายๆ

ผมค่อนข้างชอบจอสนะครับ ไม่รู้สิ ไม่ใช่ชอบเชิงชู้สาว แต่รู้สึกว่าคาแรกเตอร์ของเขาน่าสนใจในระดับตัวละครหลัก เค้ามีเบื้องหลังและมีปมของชีวิต มีพื้นหลังและมิติของการกระทำ เป็นคาแรกเตอร์ที่ผมรู้สึกว่าค่อนข้างเรียล เลยค่อนข้างโฟกัสกับตัวละครนี้ สำหรับภูกับกรรณที่แม้จะเป็นคู่หลัก แต่ปมของสองคนนี้ไม่ซับซ้อนอะไรมาก สำหรับกรรณนี่ระดับปมธรรมดาเลย คือแอบชอบน้องมานาน พอกลับมาจากต่างประเทศแล้วเจอกับน้อง ดันใจตรงกัน ก็เลยลงเอยแฮปปี้ดี ส่วนภู ระดับปมก็พัฒนาขึ้น ผมชอบภูในโหมดที่มีการคุยกับตัวเองนะครับ อย่างที่ดันเผลอหลงไปกับสัมผัสแล้วก็ตกกระไดพลอยโจนไปกับจอสหลายครั้ง ก็เพราะว่าภูเหมือนสัมผัสได้ถึงความรู้สึกลึกๆของจอส ตรงนี้สื่อให้เราเห็นว่าภูเป็นคนที่ดีจากเนื้อแท้ แล้วก็พอหลงไปหลายๆครั้ง เริ่มรู้สึกผิดหรืองงกับตัวเอง ก็มีการคุยกับตัวเองให้เคลียร์ว่ามันเพราะอะไรกันแน่ การบรรยายตรงนี้จะทำให้เราเห็นการพัฒนาทางความคิดของตัวละคร

และแม้ว่าการบรรยายในเรื่องก็ทำให้เราเห็นคาแรกเตอร์ของภูได้เด่นชัดว่าเป็นคนค่อนข้างเงียบๆ ไม่สุงสิงกับใคร แต่จากหลายๆฉากก็จะทำให้เราเห็นภูในมุมที่ลึกขึ้น เค้าแคร์คนอื่นและเค้าคิดเยอะเหมือนกัน ดังนั้นภูเลยกระอักกระอ่วนที่จะทิ้งจอส แต่พูดกันตรงๆเถอะ ผมว่านิสัยอย่างภูอยู่กับจอสไม่น่ารอดนะครับ คนนึงก็ชอบอยู่เงียบๆไม่สุงสิง อีกคนก็มีอาชีพนักแสดงสายปาร์ตี้ของสังคม แต่จากที่เห็นว่ามีงานอดิเรกหลายอย่างตรงกัน น่าจะทำให้เป็นเพื่อนกันได้ยาว

สำหรับจอส ปมเหงากับโตขึ้นมาคนเดียวของเขานี่สำคัญมาก มันส่งผลต่อการกระทำทุกอย่างของเขาแล้วมีผลเป็น Chain reaction จอสเลยติดนิสัยไม่ค่อยแคร์ใคร ทำให้มีเพื่อนน้อย แล้วพอมีคนที่ใส่ใจเขาจริงๆอย่างภู ก็เลยอยากได้ไว้ข้างตัวตลอดเวลา ไม่อยากให้หายไปไหน แต่เนื่องจากอายุคงยังน้อยแล้วก็ไม่มีพ่อแม่ให้คุยหรือปรึกษา เลยไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเอง (จะเห็นว่าจุดนี้ต่างจากภูเยอะมาก ภูเคลียร์ความรู้สึกตัวเองได้เร็ว) เลยคิดว่าต้องเอามาเป็นแฟนเท่านั้น จอสอยากได้คนที่ห่วงเขาอย่างใจจริงและพร้อมอยู่กับเขา ซึ่งเพื่อนแท้จริงๆก็ทำตรงนี้ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นแฟน ผมสะกิดใจนิดนึงตรงที่จอสเคยบอกว่า ภูเป็นพวกชอบรังแกเด็ก แปลว่าจอสเด็กกว่าภูรึเปล่าครับ? ถ้าเด็กกว่า ก็น่าจะไม่ยากหรอกที่จะพัฒนาความสัมพันธ์เป็นแนว brotherly love ที่คอยดูแลคล้ายๆพี่น้อง

แต่สำหรับคนที่มีปมอย่างจอส คาแรกเตอร์ของเขาถือว่าน่าสนใจและน่าประทับใจมากเลยนะครับ พอสนใจใครก็มีความพยายามที่จะเข้าหาในวงจรชีวิต มุ่งมั่นไม่ย่อท้อ แม้คำพูดคำจาบางทีจะร้ายกาจหรือเจ้าเล่ห์ไปบ้าง แต่เนื้อแท้แล้วก็เป็นคนดี  อยู่แล้วชีวิตก็มีสีสันดี (แถมรักหมาซะด้วย (หัวเราะ)) มีความรับผิดชอบในคำพูดของตัวเอง ถึงจะชอบท้าก็เถอะ ดูเป็นคาแรกเตอร์น้องชายที่พึ่งพาได้เหมือนกันครับ ถ้าจะมีคู่ ผมนึกคู่จอสไม่ออกแฮะ ถ้าให้ภูเป็นคล้ายๆพี่ชายไปแล้ว คู่คงต้องออกแนวอายุเท่ากัน แต่งงๆเด๋อๆด๋าๆคล้ายภูละมั้งครับ ให้จอสชอบแกล้ง แต่ก็ต้องเป็นคนที่แคร์จอสและเป็นครอบครัวและทำให้เขาสบายใจที่จะอยู่ด้วยได้ โทนเรื่องคงจะสนุกไม่น้อย

สำหรับฝีมือการเขียน ผมคิดว่าโดยรวมแล้วค่อนข้างโอเคนะครับ บรรยายได้ตรงและน่าสนใจดี มีมุขซ่อนในการบรรยายเรียกรอยยิ้มของคนอ่าน ใช้ภาษาไม่มีสะกดผิด แล้วก็คุมโทนเรื่องได้ดี พล็อตของคู่หลักเรื่องนี้มันอาจจะพื้นๆไปหน่อย แถมพื้นคาแรกเตอร์ของตัวหลักทั้งสองคนก็ดันไม่หวือหวาอีก เลยอาจจะทำให้รู้สึกเนือยๆ แต่พอมีจอส (ที่เป็นคาแรกเตอร์มีมิติ) มาป่วนกระแสเรื่องก็ทำให้น่าสนใจมากขึ้นครับ

อันนี้ต้องขอตอบแบบเป็นส่วนตัวนิดนึงเพราะอุตส่าห์คอมเม้นมายาวมากและที่สำคัญตีความตัวละครออกเหมือนมานั่งในหัวคนเขียนเลยครับ

อย่างที่คอมเม้นมาว่าตัวละครหลักสองตัวไม่ค่อยมีปมอะไร อันนี้เป็นสิ่งที่ตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่เริ่มวางพลอตเรื่องเลยครับ ว่าอยากให้ตัวเอกเป็นคนธรรมดาๆ ไม่ต้องมีอะไรซับซ้อนมาก ให้เป็นคนธรรมดาที่ต้องโดยสิ่งรอบข้างบังคับให้ทำตัวซับซ้อน บังคับให้ชีวิตที่ง่ายๆของเค้าต้องยากขึ้นโดยที่เค้าไม่ได้ต้องการ โดยจะโฟกัสไปที่ตัวเอกคือภู ที่เค้าต้องออกจากเซฟโซนที่เคยอยู่อย่างมีความสุขเพื่อใครสักคน ยอมเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อใครสักคน และผลสุดท้ายมันจะคุ้มค่าหรือไม่ การเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อคนอื่นจะให้ผลอย่างไร แน่นอนว่ามันจะมีทั้งผลดีและร้ายตามมา จนถึงบทสรุปตัวละครจะรู้ได้ว่าสิ่งไหนที่ตนควรเป็นอย่างแท้จริง

ส่วนตัวละครจอสเนี่ย แรงบันดาลใจก็ตามที่คุณว่าเลยครับ และต้องการจะทำให้ตรงกันข้ามกับภูทุกอย่าง ให้เหมือนเป็นพายุที่เข้ามาในชีวิตของภู ให้เค้าได้เจออะไรที่โลดโผน ให้เค้าได้หลงไหล หวั่นไหวไปบ้าง แต่ลงท้ายเค้าก็จะรู้เองว่าตนเหมาะกับอะไร อย่างในตอนล่าสุดที่เพิ่งผ่านไป เพราะคาแรคเตอร์ของภูจะเป็นคนที่ไม่เคนยผ่านเรื่องรักอะไรแบบนี้มาก่อน ดังนั้นมันจะมีความไม่แน่ใจเกิดขึ้นในจิตใจของเขาอยู่ตลอดเวลา แน่นอนว่าเค้ารู้ว่าตัวเองชอบใคร แต่พอเจออะไรแปลกใหม่เข้ามาเกิดหวั่นไหวจนต้องหาคำตอบให้กับตัวเอง

จอสเป็นตัวละครที่ซับซ้อนครับ เราต้องการให้เค้าเป็นเด็กยักษ์ คือโตแต่ตัวจะว่าอย่างนั้นก็ได้ เค้าไม่ใช่คนเลวร้ายแต่พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ มีความโหยหาความสัมพันธ์สูง ทั้งด้านครอบครัว เพื่อน คนรัก และยังมีปมใหญ่เกี่ยวกับเขาอีกหนึ่งปมที่ยังไม่เฉลย ซึ่งจะอธิบายทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเค้าได้ทั้งหมด ซึ่งจะได้รู้ในอีกสองตอนต่อไปนี่แหละครับ

ยังไงก็ขอบคุณที่ติดตามอ่านและแสดงความคิดเห้นนะครับ เป็นความคิดเห็นที่ผู้เขียนน้อมรับและยินดีอ่านมากๆ เพราะทำให้เราได้รู้ว่าผู้อ่านเข้าใจคาแรคเตอร์ที่เราสร้างขึ้นได้่ถูกต้อง การสื่อสารสัมฤทธิ์ผล และอยากให้ติดตามต่อจนจบ อีกเพียงแค่ห้าตอนครับ

หลังจากจบเนื้อเรื่องหลักนี้แล้ว อาจจะมีตอนพิเศษตามที่วางพลอตเอาไว้สี่ตอน แล้วก็ที่ตั้งใจไว้ว่าจะมีเรื่องเดี่ยวของจอสไปเลยอีกเรื่องนึง ยังไงก็รอติดตามกันนะครับ  o13

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
Episode 20

        จริงอยู่ที่ว่าภูอาจจะทำไปเพื่อป้องกันตัว แต่เมื่อเห็นรอยช้ำที่ตนฝากเอาไว้บนใบหน้าของจอสแล้วเขาก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ แม้ว่าจะผ่านมาเกือบหนึ่งสัปดาห์แล้วแต่ร่องรอยความบาดเจ็บนั้นก็ยังมองเห็นได้ชัดด้วยตาเปล่า ทำให้ในวันนี้ช่างแต่งหน้าต้องใช้ความพยายามบวกกับเครื่องสำอางอีกจำนวนมากเพื่อกลบปกปิดมันเอาไว้ไม่ให้ออกสู่สายตาผู้คนที่มาร่วมงาน

        “ไปโดนอะไรมาคะเนี่ยน้อง?” ช่างแต่งหน้าสาวประเภทสองผู้มีทรงผมเหมือนนางเอกหนังฮอลลีวู้ดยุค80ถามจอสขึ้นมาระหว่างใช้ฟองน้ำเกลี่ยคอนซีลเลอร์ลงบนรอยนั้น

        “กระรอกถีบ” จอสตอบห้วนๆ น้ำเสียงบ่งบอกชัดเจนว่าไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้

        “กระรอกบ้านน้องคงตัวใหญ่น่าดูเลยนะคะ ถีบซะหน้าแหกเลย” เธอพูดค่อนแคะก่อนจะตบแป้งลงไปซ้ำอีกชั้นหนึ่งเพื่อความเนียน

        “ตัวไม่ใหญ่เท่าไหร่หรอกครับ ผอมๆ แต่มันร้าย พิษสงมันเยอะ” จอสมองมาทางภูเขม็งขณะพูด

        เด็กหนุ่มรีบหลบสายตาพยาบาทที่จ้องมาคู่นั้นแล้วจึงพาตัวเองหลบเข้ามาในห้องน้ำเพื่อทำสมาธิก่อนจะต้องออกไปด้านหน้างานในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ด้วยเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันฝนตกที่ผ่านมานั้นทำให้การเผชิญหน้ากับจอสกลายเป็นเรื่องยาก ถึงแม้ภูอยากจะทำตัวให้สมกับเป็นผู้ถูกกระทำด้วยการโกรธเกลียดอีกฝ่ายแต่ก็ทำไม่ได้ด้วยยังเกรงไพ่ตายที่จอสยังซุกเอาไว้ในมือ แต่ครั้นจะให้ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นนั้นก็ยากเกินจะทำใจสะกดจิตตัวเองให้เชื่อได้ลง ด้วยทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นไม่เพียงแต่จะสร้างความบอบช้ำทางกายเท่านั้น แต่ยังทิ้งรอยแผลเอาไว้ในความรู้สึกจนภูไม่อาจมองจอสในแง่เดิมได้อีกต่อไป

        ประตูห้องน้ำเปิดออกพร้อมกับจอสที่เดินเข้ามาข้างใน ภูสะดุ้งเฮือก ใบหน้าถอดสี เกิดอาการลุกลี้ลุกลนทำตัวไม่ถูกเมื่อต้องเผชิญหน้ากับคู่กรณีตามลำพังโดยไม่ทันได้ตั้งตัว เมื่อพิจารณาแล้วว่าหมดทางเลี่ยงเด็กหนุ่มจึงถอยกรูดจนหลังชิดกำแพงห้องน้ำเตรียมใจพร้อมรับการโดนข่มขู่หรือทำร้ายร่างกายเป็นการเอาคืน แต่ก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าจอสเพียงแค่เดินผ่านไปเข้าห้องน้ำด้านในเหมือนมองไม่เห็นว่าตนอยู่ตรงนั้น ภูพยายามตั้งสติและหาทางลงจากเรื่องนี้ให้สวยที่สุดเมื่อคำนึงถึงแง่ที่ว่าถึงอย่างไรก็ต้องทำงานด้วยกันไปอีกนาน เด็กหนุ่มร่างคำพูดที่จะใช้เจรจากับอีกฝ่ายไว้ในหัวยาวเหยียด จนเมื่อประตูห้องน้ำด้านในเปิดออกจึงเริ่มเปิดฉากการสนทนา

        “นาย คือเรื่องวันนั้นน่ะ…” ภูพูดขณะที่จอสเดินมาล้างมือที่อ่างล้างหน้า

        และนั่นคือทั้งหมดที่ภูได้พูดออกไป สิ่งที่คิดเตรียมเอาไว้เมื่อครู่กลายเป็นสูญเปล่าเมื่อจอสไม่สนใจจะรับฟังเลยแม้แต่น้อย ทันทีที่ล้างมือเสร็จเขาก็เปิดประตูเดินออกไปจากห้องน้ำ ไม่แม้แต่จะชายตามองมาทางเด็กหนุ่มผู้ที่กำลังพยายามสื่อสารกับตนเลยด้วยซ้ำ ทำเหมือนอีกฝ่ายเป็นอากาศธาตุ ซึ่งเป็นสิ่งที่ภูลงความเห็นว่าผิดปกติวิสัยอย่างรุนแรง และยิ่งทำให้เกิดความหวาดระแวงด้วยคาดเดาไม่ออกว่าจอสกำลังมาไม้ไหนกันแน่

        งานอีเวนท์ในวันนี้ซึ่งเป็นงานแรกที่ทั้งสองต้องทำร่วมกันนับตั้งแต่ภูหายป่วย แม้จะเหตุไม่คาดฝันหน้างานทำให้ต้องหาทางแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าจนขลุกขลักอยู่บ้างแต่ก็นับว่าผ่านไปได้ด้วยดี เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คนระหว่างการทำงาน จอสก็ยังคงรักษาบทบาทหน้าที่ของตัวเองเอาไว้ได้อย่างดี เขายังคงหยอกล้อพูดคุย ทำตัวสนุกสนาน และบริการแฟนคลับด้วยการหมั่นสร้างฉากชวนจิ้นกับภูได้ทุกห้านาทีเหมือนที่ผ่านมา แต่ทว่าเมื่อหมดเวลางานและกลับมาอยู่แบบเป็นส่วนตัวแล้ว ท่าทีระหว่างทั้งคู่ก็กลับพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ จอสเอาแต่ใส่หูฟังตลอดเวลาเพื่อจะได้ไม่ต้องรับฟังอะไรก็ตามที่ภูพยายามสื่อสารด้วยอีกทั้งยังหลีกเลี่ยงไม่ยอมมีปฏิสัมพันธ์ในทุกทางเว้นแต่จะเป็นเรื่องงานเท่านั้น ซึ่งนั่นทำให้ภูเริ่มรู้สึกโมโหขึ้นมาอย่างติดหมัด เพราะจากเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดฝ่ายที่ควรจะมีท่าทีการแสดงออกเช่นนี้ควรจะเป็นเขาไม่ใช่จอส ดังนั้นเมื่อมีโอกาสได้อยู่กันตามลำพังเด็กหนุ่มจึงไม่รีรอที่จะสะสางเรื่องที่ค้างคาเอาไว้

        “รบกวนออกจากโลกส่วนตัวสักครู่เถอะ” ภูดึงหูฟังออกจากหูของจอส “ต้องการแบบนี้ใช่ไหม? ทำเหมือนเรื่องวันนั้นเราเป็นฝ่ายผิดเองแบบนี้งั้นสิ?”

        “อะไรอีกล่ะ?” จอสทำหน้ารำคาญก่อนจะยื่นมือไปแย่งหูฟังกลับมา

        “เราคิดว่าอย่างน้อยเราก็ควรได้รับคำขอโทษจากเรื่องวันนั้น” ภูเรียกร้อง “สิ่งที่นายทำมันเกินไปมาก”

        “นายสิต้องขอโทษ ทิ้งงานทิ้งการ ไม่มีความรับผิดชอบ เดือดร้อนคนอื่นต้องมาวิ่งรอกแทนให้” จอสเถียงกลับ

        “ก็ที่เราป่วยมันเพราะอะไรล่ะ!?” ภูหลุดขึ้นเสียงออกไป “ไข้เราขึ้นสูงจนน๊อคไม่ได้สติไปวันนึงเต็มๆ นายคงภูมิใจสินะ ฝีมือนายทั้งนั้น”

        “ก็…” จอสชะงัก สีหน้าเหมือนจะรู้สึกผิดขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่ก็เพียงวูบเดียวเท่านั้น “นายก็ชกเราเหมือนกัน ก็ถือว่าเจ๊ากันไปสิ”

        “ไม่เคยคิดว่าตัวเองผิดเลยสินะ” ภูส่ายหน้าระอาจนเกินทน

        “ทำตัวเป็นเด็กผู้หญิงน่ารำคาญ เรื่องผ่านไปแล้วก็เอามาพูดอยู่นั่นแหละ” จอสทำหน้าเบื่อหน่ายก่อนจะปัดมือไล่ “พอเค้าไม่ยุ่งด้วย ก็มาทำตัววุ่นวายซะเอง น่ารำคาญ ไปไหนก็ไปเลยไป๊”

        “ได้…” ภูโมโหจนเลือดขึ้นหน้าที่นอกจากอีกฝ่ายจะไม่มีสำนึกแล้วยังทำตัวหยาบคายใส่ตนอีก “งั้นสัญญามาก่อนสิ ว่าไอ้คลิปจากกล้องวงจรปิดนั่นน่ะ นายจะลบทิ้งไม่เอามาใช้เป็นเครื่องมือเล่นสกปรกอีก”

        “ไม่…” จอสตอบหน้าตาเฉย

        “นายนี่มัน…” ภูหมดคำจะด่า

        “จะลบให้ก็ได้ แต่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน” จอสยื่นข้อเสนอ “ไปทำอะไรสนุกๆ ด้วยกันคืนนึง แล้วเช้ามาจะลบให้เลย”

        “เพราะมันจะมีคลิปใหม่มาแทนสินะ” ภูไม่หลงกลลูกไม้เดิมเป็นรอบที่สอง “ไอ้ทุเรศเอ๊ย..”

        “ครั้งนี้เรายอมให้นายเป็นคนปิดกล้องทุกตัวเองกับมือเลยก็ได้” จอสให้สิทธิ์อีกฝ่ายปกป้องตัวเองเต็มที่ “รับรองครั้งนี้ไม่มีใครรู้จริงๆ ไม่มีหลักฐานอะไรทิ้งเป็นร่องรอยให้มาตามเช็ด”

        “ที่ผ่านมาเราเคยนึกว่านายจะเป็นคนดีกว่านี้นะ” ภูจำต้องยอมรับความจริงกับตัวเองในที่สุดว่ามองอีกฝ่ายผิดไป “เราเคยนึกว่า ถึงยังไงก็คงเป็นเพื่อนกันได้ แต่เห็นได้ชัดว่าเราคิดผิด”

        “นายจะเป็นเพื่อนกับคนที่นายไม่ได้คิดด้วยแค่เพื่อนได้ยังไง?” จอสถามกลับ “สำหรับเราน่ะ ถ้าไม่รักก็เกลียดกันไปเลยจะดีกว่า”

        “นั่นสินะ” ภูพยักหน้าเข้าใจ “นายถึงต้องโดดเดี่ยวแบบนี้ไง”

        ภูไม่มีอะไรจะพูดต่อ เด็กหนุ่มเก็บข้าวของส่วนตัวลงกระเป๋าเตรียมออกมาจากที่นั่น แต่ยังไม่ทันจะได้ออกจากห้องพักจอสก็ลุกมาขวางประตูเอาไว้เสียก่อน

        “หลบ…” ภูพูดด้วยน้ำเสียงของคำสั่ง ไม่ใช่ขอร้อง

        “ยังคุยกันไม่รู้เรื่อง ไม่ให้ไป” จอสยืนพิงประตูเอาไว้ “ตกลงจะเอายังไง ที่เสนอไป ดีลหรือไม่ดีล?”

        “นายจะมาฝังใจอะไรกับเรานักหนา ไปทำกับคนที่เค้าเต็มใจดีกว่าไหม? อย่างนายคงหาไม่ยากหรอก” ภูสุดจะทน

        “เราจะหายากหาง่ายอันนั้นไม่เกี่ยวกับนาย” จอสดึงกลับมาเข้าประเด็น “แค่คืนเดียว แลกกับอิสรภาพต่อจากนี้ไป นายไม่คิดว่ามันก็คุ้มค่าที่จะทำหรือไง?”

        ภูคิดใคร่ครวญตามคำพูดของจอสแล้วก็ต้องแปลกใจที่แม้แต่ตนเองก็ยังรู้สึกว่ามันเป็นข้อเสนอที่ควรจะรับไว้ แต่นั่นก็ไม่ได้ลบล้างความจริงที่ว่ามันเป็นข้อเสนอที่น่ารังเกียจ ทว่าหากยอมทำสิ่งที่น่ารังเกียจเพียงหนึ่งครั้งแล้วสามารถจบทุกสิ่งทุกอย่างได้ มันก็คุ้มค่าที่จะฝืนใจตัวเองไม่ใช่หรือ? แน่นอนว่ามันจะไม่มีเรื่องของความรู้สึกมาเกี่ยวข้อง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นจะไม่มีคุณค่าพอให้จดจำ จะเป็นเหมือนแค่ฝันร้ายที่เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วก็จะจางหายไป

        “นายจะรักษาสัญญาแน่ใช่ไหมครั้งนี้?” ภูอยากได้ความมั่นใจ “จะไม่มีการลูกเล่นอะไรอีกแน่นะ?”

        “เราเคยไม่รักษาสัญญาหรือไง?” จอสย้อนถามกลับ “เราไม่เคยผิดสัญญากับนายเลย”

        เมื่อประกอบเข้ากับสายตาแฝงแววเศร้าสร้อยที่มองมายังภู คำพูดนั้นก็เกือบจะกลายเป็นคำวิงวอน เป็นคำขอร้องจากใครคนหนึ่งซึ่งกลายเป็นปีศาจร้ายโดยไม่เจตนาและยังอยากให้ใครบางคนจดจำได้ถึงความดีงามที่ตนมีอยู่ แม้จะรู้ดีว่ามันอาจจะไม่มีค่าในสายตาของเขาเลยแม้แต่น้อย

        “งั้นก็… ตกลง” ภูยอมตัดใจเจ็บครั้งเดียวเพื่อให้ทุกอย่างจบ

        “ก็เท่านั้น…” ถึงแม้อีกฝ่ายจะยอมให้ในสิ่งที่ตนต้องการ แต่สีหน้าของจอสกลับไม่แสดงออกถึงความยินดีเลย “จะไปด้วยกันเลยไหม?”

        “ขอเรากลับไปจัดการอะไรที่บ้านก่อน” ภูขอเวลาเพื่อทำใจเพิ่มอีกเพียงนิดก็ยังดี “เดี๋ยวเสร็จเรียบร้อยแล้วเราจะนั่งแท็กซี่ตามไปบ้านนายเอง”

        “รับปากแล้วอย่าคิดหนีล่ะ” จอสขู่สำทับ “ถ้าผิดสัญญา จะเกิดอะไรขึ้นก็พอรู้ใช่ไหม?”

        “อืม… เราไม่เบี้ยวแน่” ภูพยักหน้าก่อนจะจ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาที่เหมือนกำลังมองสิ่งที่น่ารังเกียจที่สุดเท่าที่เคยเจอมาในชีวิต “เราไม่ทิ้งโอกาสที่จะกำจัดมะเร็งแบบนายออกไปจากชีวิตเราหรอก”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-04-2018 14:09:04 โดย lolito »

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
        ระหว่างการเดินทางกลับบ้าน แม้จะตกปากรับคำยอมตกลงกับจอสไปแล้ว แต่ในใจของภูก็ยังครุ่นคิดไม่หยุดว่าการตัดสินใจของตนนั้นถูกต้องแน่แล้วหรือ เด็กหนุ่มพยายามครุ่นคิดว่ายังมีหนทางอื่นอีกไหมที่จะจบเรื่องทั้งหมดนี้ได้โดยไม่ต้องเอาตัวเข้าแลก แวบหนึ่งของความคิดภูก็อยากจะบอกเรื่องทั้งหมดนี้กับกรรณให้รู้แล้วรู้รอดเพื่อที่จอสจะได้หมดหนทางที่จะใช้แบล๊คเมล์ตนอีกต่อไป แต่ถ้าต้นไม้ถูกดึงถอนรากก็ย่อมหลุดออกมาด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่นเดียวกัน หากภูยอมเปิดเผยเรื่องคืนนั้นระหว่างตนเองกับจอส ก็เท่ากับกรรณจะต้องรู้โดยปริยายว่าที่ผ่านมาเขาสร้างเรื่องโกหกปิดบังความจริงเอาไว้เยอะแค่ไหน แล้วหากนำทั้งหมดนั้นมาผนวกเข้ากับอุปนิสัยขี้หึงของกรรณ เด็กหนุ่มก็พอจะคาดเดาได้ว่าผลลัพท์ของสมการนี้ย่อมไม่ส่งผลดีต่อความสัมพันธ์เป็นแน่

        เมื่อคำนวณจากระยะทางที่เหลือ อีกไม่กี่นาทีก็คงจะถึงบ้านแล้ว ภูพยายามนึกหาข้ออ้างดีๆ สักข้อที่จะใช้บอกกับกรรณเพื่อเป็นเหตุผลในการที่ตนจะไม่อยู่บ้านทั้งคืน แต่เมื่อกลับมาถึงและเข้าไปในบ้านแล้วนั้นเขาก็พบว่าข้ออ้างเหล่านั้นคงไม่จำเป็นเสียแล้วในเวลานี้ เมื่อวันนี้กรรณไม่ได้มาร่วมโต๊ะอาหารมื้อค่ำที่บ้านเหมือนเช่นทุกวัน

        “พี่กรรณล่ะครับ?” ภูถามแม่ทันทีที่เจอหน้า

        “กลับมาถึงก็ถามหาแฟนอย่างเดียวเลยนะ พ่อแม่เป็นยังไงอยู่ดีไหมไม่เคยถาม” แม่ว่าให้ก่อนจะตอบคำถามของภู “วันนี้พี่เค้าโทรมาบอกแล้วว่าจะไม่ได้กลับมานอนบ้าน เห็นว่าทางคนดูแลโทรมาแจ้งว่าคุณแม่ประสบอุบัติเหตุพลัดตกบันไดที่บ้านอาการไม่ค่อยดีตอนนี้อยู่ห้องไอซียู เค้าเลยยกเลิกงานของวันนี้หมดเลยแล้วรีบไปดูอาการแม่ที่สุโขทัย”

        “ไม่เห็นเค้าจะโทรมาบอกผมเลย” แม้จะรู้ว่าเป็นเรื่องฉุกละหุกแต่ภูก็อดรู้สึกน้อยใจขึ้นมาไม่ได้ที่กรรณไปโดยไม่บอกตน

        “ก็ตอนบ่ายเราทำงานอยู่ไม่ใช่หรือไง? โทรไปยังไงก็รับสายไม่ได้อยู่ดี พี่เค้าก็เลยฝากแม่ให้มาบอกแทน” แม่ช่วยเตือนความจำให้ลูกชายจอมคิดมาก “ตอนนี้สะดวกคุยแล้วก็โทรหาเค้าเองก็ได้นี่ ได้ความยังไงก็บอกแม่ด้วยล่ะ แม่ก็เป็นห่วงอยู่เหมือนกัน”

        ภูพยักหน้าก่อนจะเลี่ยงออกจากห้องครัวขึ้นไปยังห้องนอนของตน หลังจากเก็บของและเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดใหม่จนเรียบร้อยแล้วเด็กหนุ่มจึงค่อยหยิบโทรศัพท์มือถือมากดโทรหากรรณ เสียงสัญญาณรอสายดังขึ้นเพียงแค่ครั้งเดียวปลายทางก็กดรับสายราวกับกำลังเฝ้ารออยู่แล้ว

        “อ่า.. ฮัลโหล” ภูตั้งตัวไม่ทันด้วยไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะรับสายแบบทันทีทันควันแบบนี้

        “กำลังรออยู่เลย” เสียงทุ้มๆ ของกรรณดังออกมาจากลำโพง “เสร็จงานแล้วเหรอ?”

        “ครับ เพิ่งถึงบ้านแล้วก็เพิ่งรู้เรื่องพี่จากแม่” ภูตอบกลับไปขณะนั่งลงบนขอบเตียงนอนของตนเอง “พี่ถึงที่สุโขทัยแล้วเหรอครับ?”

        “ถึงแล้ว… ถึงแล้วล่ะ” เสียงของกรรณขาดห้วงไป จังหวะการพูดที่ผิดปกติราวกับจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเช่นนี้ส่งผลให้ผู้ฟังเช่นภูเกิดรู้สึกใจคอไม่ดีตามไปด้วย

        “พี่โอเคไหม? คุณแม่เป็นอะไรมากหรือเปล่า?” ภูรู้สึกได้ว่านี่ไม่ใช่สถานการณ์ปกติ

        “ไม่รู้สิ… ตอนนี้ยัง…” ประโยคคำตอบนั้นถูกคั่นด้วยก้อนสะอื้นลูกใหญ่ “ตอนนี้ยังไม่รู้ หมอยังไม่ออกมาเลย”

        “พี่กรรณ…” ภูไม่รู้ว่าควรจะพูดสิ่งใดออกไปดี ด้วยนิสัยส่วนตัวที่ไม่เก่งเรื่องการปลอบใจผู้คน หากทั้งสองอยู่ด้วยกันในเวลานี้เขาคงจะเพียงแค่โอบกอดอีกฝ่ายเอาไว้ และเท่านั้นก็คงมากพอจะทำให้กรรณรู้สึกดีขึ้นได้บ้าง “ทุกอย่างต้องโอเคครับ พี่ทำใจดีๆ เอาไว้ก่อนเถอะ”

        “อยากให้นายมาด้วยจัง” กรรณพูด ภูได้ยินเสียงสูดน้ำมูกดังปะปนมากับประโยคนั้นด้วย “อยากให้แม่ได้เจอหน้านายสักครั้ง เผื่อว่าเกิดอะไรขึ้น…”

        “พี่อย่าพูดแบบนั้น แม่พี่ไม่เป็นอะไรหรอกครับ” ภูพยายามฉุดให้กรรณเลิกจิตตก

        “มาหาพี่ได้ไหม?” กรรณถาม “เหมาแท็กซี่มาเลยก็ได้ เดี๋ยวพี่จ่ายค่ารถให้เอง”

        “ผมก็อยากไปแต่…” เมื่อได้รับรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่เลวร้ายเช่นนี้ การโกหกออกไปก็ยิ่งเป็นสิ่งที่ทำยากขึ้นหลายเท่าตัว “คือ…”

        “อ้อใช่ เรื่องงาน พี่ขอโทษที” กรรณเข้าใจว่าภูลำบากใจเพราะเรื่องงาน “ขอโทษที่เอาแต่ใจตัวเองไปหน่อย พี่เครียดจนไม่เป็นตัวของตัวเองเลยตอนนี้”

        “ขอโทษครับ แต่พรุ่งนี้ผมเสร็จงานแล้วจะรีบไปหาพี่เลย ผมสัญญา” ภูให้คำมั่น การที่แม้กระทั่งในเวลาที่อ่อนแอเช่นนี้กรรณก็ยังพยายามที่จะไม่ทำให้อีกฝ่ายต้องลำบากใจ ทำให้ในอกของเด็กหนุ่มจุกแน่นไปด้วยความรู้สึกผิด

        “พี่จะรอนะ” กรรณสูดหายใจเข้าคล้ายจะพยายามปลุกให้ตัวเองเข้มแข็งขึ้น “วันนี้นายพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยเจอกัน”

        กรรณวางสายไปแล้ว แต่ภูยังนั่งนิ่งตาจ้องมองที่หน้าจอโทรศัพท์อยู่อย่างนั้น จากการสนทนาเมื่อครู่ใช่ว่าเด็กหนุ่มจะไม่รู้ตัวว่าในฐานะคนรักเขาควรให้กำลังใจอีกฝ่ายมากกว่านี้สำหรับสถานการณ์ที่จัดได้ว่าเป็นวิกฤติทางจิตใจ แต่เขาจะเอากำลังใจจากที่ไหนมาให้กรรณได้ในเมื่อแม้กระทั่งกำลังใจสำหรับตนเองในตอนนี้มันก็ยังแห้งเหือดไปจนหมดแล้ว เมื่อนึกถึงสิ่งที่ตนกำลังจะต้องไปเผชิญหลังจากนี้ภูก็อยากสาปให้ตัวเองกลายเป็นหินไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด ต่อให้ต้องกลายเป็นรูปปั้นนั่งคาขอบเตียงอยู่อย่างนี้ไปจนอีกร้อยปีข้างหน้าบางทีก็อาจจะทรมานน้อยกว่าต้องเอาตัวเองไปถูกกระทำย่ำยีเป็นของเล่นโดยคนน่ารังเกียจพรรค์นั้น

        เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ดังขึ้นพร้อมกับเบอร์ของจอสที่สว่างวาบอยู่บนหน้าจอ ภูไม่อยากแม้กระทั่งจะได้ยินเสียงอีกฝ่ายในตอนนี้เขาจึงกดตัดสายทิ้งแล้วพิมพ์เป็นข้อความส่งกลับไปว่ากำลังจะออกจากบ้าน เด็กหนุ่มสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อรวบรวมเรี่ยวแรงก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงและลงไปชั้นล่าง เขาบอกเล่าสถานการณ์ปัจจุบันเกี่ยวกับแม่ของกรรณเท่าที่รู้มาให้แม่ฟังก่อนจะขอตัวออกจากบ้านโดยอ้างว่าจะไปนอนค้างบ้านเพื่อนเพื่อเร่งทำงานให้เสร็จส่งทันเส้นตายของอาจารย์

        ไม่ต้องคิดมากหรอก ตัวเราเองก็ไม่ใช่ผู้หญิงซักหน่อยจะเสียหายสักแค่ไหนกัน ปล่อยมันทำไปเดี๋ยวก็จบ… ภูพร่ำบอกกับตัวเองไปตลอดทางเพื่อเตรียมใจให้พร้อมเผชิญกับฝันร้ายที่รออยู่ในอีกไม่กี่กิโลเมตรข้างหน้า การจราจรค่อนข้างคล่องตัวเหมือนเป็นใจให้กับจอส ทำให้ภูมีเวลาสำหรับเตรียมใจเพียงไม่กี่นาทีก่อนที่รถจะวิ่งเข้ามาจอดยังหน้าอาคารคอนโดมิเนียมอันเป็นจุดหมาย เด็กหนุ่มจ่ายค่าโดยสารและลงจากรถก่อนจะเดินผ่านล๊อบบี้เข้าไปข้างใน แต่เมื่อประตูก่อนถึงทางขึ้นลิฟท์จำเป็นต้องใช้คีย์การ์ดในการเปิดเข้าไปภูก็จำใจต้องโทรเรียกให้จอสลงมารับ ทว่ายังไม่ทันจะได้กดโทรออกพนักงานรักษาความปลอดภัยที่ประจำอยู่ก็สังเกตเห็นภูและรีบมากดปุ่มเปิดประตูจากด้านในให้ผ่านเข้าไปได้

        “เอ่อ คือผมจำชั้นไม่ได้” ถึงแม้จะเข้ามาข้างในได้แล้วแต่ภูก็ยังจำไม่ได้อยู่ดีว่าจอสอยู่ชั้นที่เท่าไหร่

        “ไม่มีปัญหาครับ” เจ้าหน้าที่ประจำลิฟท์บอกก่อนจะจัดการกดชั้นให้ด้วยตัวเอง

        ประตูลิฟท์เปิดออกภูเดินออกไปจนถึงประตูทางเข้าห้อง ความเงียบรอบตัวทำให้รู้สึกกดดันจนเหมือนกำลังเดินเข้าลานประหาร แต่เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วก็คงถอยหลังกลับไม่ได้ มีแต่จะต้องจัดการให้เรื่องอันแสนจะยืดเยื้อคาราคาซังนี้จบลงเสียที แม้ในความเป็นจริงอาจจะเรียกได้ไม่เต็มปากว่าทั้งหมดนี้ทำลงไปเพื่อกรรณ แต่เด็กหนุ่มก็อยากจะให้ตัวเองเชื่อเช่นนั้นเพื่อจะได้มีกำลังใจอดทนต่อจากนี้ ภูกลั้นใจยื่นมือไปกดกริ่งที่หน้าประตูแล้วยืนรอ ไม่นานก็ได้ยินเสียงปลดโซ่ล๊อคจากด้านในก่อนที่บานประตูจะเปิดอ้าออกโดยมีจอสในสภาพเกือบเปลือยมีเพียงผ้าขนหนูผืนเดียวปกปิดร่างกายยืนต้อนรับอยู่

        “อ่ะฮะ” จอสทักด้วยวลีประจำตัว “มาถึงเร็วจัง ดีนะอาบน้ำเสร็จพอดี”

        “ไม่ดีหรือไงล่ะ?” ภูพยายามไม่มองกล้ามเนื้อสวยงามที่พราวไปด้วยหยดน้ำนั้น

        “ก็ดี จะได้มีเวลาอยู่ด้วยกันเยอะๆ” จอสผายมือเชิญให้แขกผู้มาเยือนเข้ามาด้านใน

        ภูถอนหายใจออกมาขณะก้าวขาเดินเข้าไปในห้องอันจะกลายเป็นนรกสำหรับตนในอีกหลายชั่วโมงต่อจากนี้ บรรยากาศในห้องยังโอบล้อมไปด้วยความเงียบงันเหมือนเช่นครั้งก่อนที่มาเยือน จะต่างออกไปก็เพียงแค่ความรู้สึกที่มีต่อเจ้าบ้านที่พลิกจากหน้ามือเป็นหลังเท้าไปแล้ว ภูหย่อนกายที่หนักอึ้งลงพักที่โซฟาในห้องรับแขกตัวเดิมที่ตนเคยใช้เป็นที่งีบหลับในขณะที่จอสซึ่งใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วเริ่มทำการต้อนรับแขกด้วยการเสิร์ฟวิสกี้ออนเดอะร๊อค ซึ่งภูก็รับมาด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่งเพราะต่อจากนี้ยิ่งสติสัมปชัญญะของตนรางเลือนมากเพียงใด ก็ยิ่งเป็นผลดีต่อจิตใจมากเท่านั้น

        “ใจเย็นๆ กระรอก” จอสทำตาโตเมื่อเห็นภูกระดกรวดเดียวหมดเหลือแต่น้ำแข็ง “คอทองแดงมาเองเลยนะเนี่ย”

        “ขออีกแก้ว” ภูส่งแก้วคืนให้ รสขมยังติดลิ้นแต่เด็กหนุ่มก็รู้ดีว่าเพียงเท่านี้ยังไม่พอจะทำให้ตนเองเมาได้ “หรือจะเอามาทั้งขวดเลยก็ได้ เดี๋ยวจัดการเอง”

        “ก็ได้ แต่ไปอาบน้ำก่อนไป” จอสรับแก้วกลับมาพร้อมกับส่งผ้าเช็ดตัวให้แทน

        “ไม่ต้องอาบหรอก” ภูไม่รับผ้านั้น “สกปรกๆ แบบนี้แหละ เหมาะกับนายดี”

        “บอกให้ทำอะไรก็ทำ อย่ามาดื้อได้ป่ะ?” จอสโยนผ้าใส่ “ถ้าไม่อาบเอง เดี๋ยวจะอาบให้ เลือกเอาเองแล้วกันว่าอยากได้แบบไหน”

        ภูหมดทางเลือกจำต้องยอมทำตามคำสั่ง เขาลุกจากโซฟาโดยแสดงอาการกระฟัดกระเฟียดแบบจงใจให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าไม่เต็มใจก่อนจะตรงไปยังห้องน้ำ ภูกดล๊อคที่ประตูขังตัวเองเอาไว้ข้างในห้องสีขาวอันเย็นเยียบนั้น แขนทั้งสองข้างยันวางบนอ่างล้างหน้า ตามองไปยังกระจกเงาบานใหญ่อันเป็นประตูของตู้ที่ติดตั้งอยู่เหนืออ่างนั้น เงาภาพของตนเองที่สะท้อนออกมานั้นดูอิดโรยและเศร้าซึม เป็นใบหน้าของผู้ที่กำลังจะผ่านการทรมานตนเพื่อไถ่บาป เด็กหนุ่มพยายามเบี่ยงเบนความสนใจตนเองออกจากความตึงเครียดโดยการกวาดสายตามองไปยังข้าวของที่วางเรียงรายอยู่หน้ากระจกก่อนจะไปสะดุดเข้ากับขวดพลาสติกสีชาใบเล็กๆ ที่วางแอบอยู่ บางอย่างกระตุ้นให้เขายื่นมือออกไปหยิบมันขึ้นมาดู

        “Fluoxetine…” ภูอ่านชื่อตัวยาที่ระบุเอาไว้บนฉลากซึ่งมีชื่อของจอสเป็นคนไข้ แม้จะรู้จักและร่วมงานกันมานาน แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ภูได้รับรู้ชื่อจริงของอีกฝ่ายแบบเต็มๆ “หัสนัยน์ โจเซฟ เวย์โอลต์”

        ไม่ใช่ชื่อเต็มของจอสที่ทำให้ภูแปลกใจ สิ่งที่ทำให้เด็กหนุ่มติดใจสงสัยมากกว่าคือชื่อของตัวยาที่คุ้นหู เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงและพิมพ์ชื่อยาบนขวดนั้นลงค้นหาในกูเกิล ข้อมูลปรากฏขึ้นมาในเวลาไม่ถึงหนึ่งวินาที ภูกวาดสายตาอ่านอย่างละเอียดและได้ข้อสรุปว่ามันคือยาแก้อาการโรคซึมเศร้า ลางสังหรณ์บางอย่างเกิดขึ้นในหัวของภูบอกว่ายังมีบางสิ่งที่มากกว่านี้รอให้เขาค้นพบ ความคิดนั้นสั่งให้เด็กหนุ่มยื่นมือออกไปดันเปิดประตูกระจกของตู้ที่อยู่เบื้องหน้าตน เพียงกดปลายนิ้วลงไปสปริงของบานพับก็ทำงานและดันกระจกทั้งบานให้อ้าออกอย่างช้าๆ และภาพที่ปรากฏสู่สายตาก็ทำให้เขารู้สึกเย็นเยียบตั้งแต่หัวจรดเท้า เมื่อสิ่งที่เรียงรายอยู่เต็มทุกชั้นของตู้ใบใหญ่นั้นคือขวดยาสีชาแบบเดียวกับที่วางอยู่ข้างนอก

        ภูหยิบมันออกมาดูทีละขวดด้วยมือที่สั่นเทา ชื่อของตัวยาที่ระบุเอาไว้แตกต่างออกไปในบางขวดเช่น Lithium ซึ่งข้อมูลระบุว่าใช้ในการคงสภาวะอารมณ์ให้คงที่ และRisperidoneที่มีฤทธิ์ลดการสำแดงของอาการทางจิต แต่ที่มีจำนวนมากที่สุดก็คือFluoxetine ซึ่งข้อมูลทางแพทย์ระบุเอาไว้ว่ายาทั้งสามตัวนี้มักถูกใช้ร่วมกันเพื่อบำบัดรักษาอาการโรคอารมณ์สองขั้วหรือไบโพลาร์ ทั้งหมดถูกสั่งจ่ายจากโรงพยาบาลเดียวกันและจ่ายให้กับผู้ป่วยรายเดียวคือจอส เสียงเคาะประตูห้องน้ำดังขึ้น ภูตกใจสะดุ้งสุดตัวเผลอปล่อยขวดในมือตกลงพื้น เสียงพลาสติกกระทบกับพื้นดังก้องไปทั่วห้องน้ำ

        “นานจัง เป็นอะไรหรือเปล่า?” เสียงจอสตะโกนถามมาจากนอกประตู

        “มะ..ไม่เป็นไร เดี๋ยวออกไป” ภูรีบหยิบขวดนั้นขึ้นมาและเก็บกลับเข้าตู้ไปตามเดิม

        “อย่าถ่วงเวลามากนัก รีบออกมาได้แล้ว” จอสเร่งก่อนที่ภูจะได้ยินเสียงฝีเท้าอีกฝ่ายเดินห่างออกไป

        เด็กหนุ่มรีบถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกและเปิดฝักบัวราดน้ำพอให้ร่างกายเปียกชุ่มก่อนจะออกมาเช็ดตัวและสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ที่วางจัดเตรียมไว้โดยทิ้งเส้นผมให้ยังชื้นหมาดอยู่เพื่อให้อีกฝ่ายไม่ผิดสังเกต ภูไม่ลืมที่จะหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋ากางเกงตัวที่ถอดมาพกติดตัวไว้เผื่อจำเป็นต้องใช้ในกรณีฉุกเฉิน เพราะเมื่อรู้ว่าตนกำลังเผชิญหน้ากับผู้มีอาการผิดปกติทางจิต ความรู้สึกไม่ปลอดภัยอย่างรุนแรงก็เกิดขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้

        “กว่าจะออกมาได้ นี่ว่าจะเอาหมอนเอาผ้าห่มไปให้แล้ว เผื่อจะนอนในนั้น” จอสไม่รีรอที่จะประชดประชันใส่ทันทีเมื่อเห็นภูเดินกลับเข้ามาในห้องรับแขก

        “โทษที...” ภูไม่กล้าที่จะพูดประชดประชันกลับไปเพราะกลัวจะเป็นการกระตุ้นอีกฝ่าย

        “มาแปลกแฮะ…” จอสดูแปลกใจที่ภูดูสงบปากสงบคำไม่ต่อล้อต่อเถียงเหมือนทุกครั้ง แต่ก็เหมือนจะไม่ได้ใส่ใจจะเก็บมาคิดเป็นจริงเป็นจังอะไร เขาตบเบาะโซฟาเรียกให้ภูเข้ามาหา “มานี่สิ มานั่งนี่ก่อน”

        ภูเดินเข้าไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ จอสยื่นมือมาฉุดแขนให้อีกฝ่ายนั่งลงข้างๆ ตนก่อนจะยกแขนขึ้นมาโอบกอดเอาไว้นานไม่ให้ขยับหนีไปไหน ภูนั่งนิ่งทำตัวแข็งไม่กล้ากระทำการขัดขืนใดๆ ความจริงที่เพิ่งได้รับรู้มานอกจากจะข่มขวัญเขาได้เป็นอย่างดีแล้ว ยังช่วยอธิบายให้ภูเข้าใจถึงสาเหตุแห่งพฤติกรรมแบบสุดโต่งในสารพัดอารมณ์ที่จอสแสดงออกมา ทำให้ในเวลานี้นอกจากเด็กหนุ่มจะกังวลในสวัสดิภาพของตนเองแล้วอีกส่วนหนึ่งลึกๆ ก็ยังอดเป็นห่วงจอสไม่ได้ ความโกรธที่เคยมีจางหายไปจนเกือบหมดเมื่อรู้ว่าทุกความก้าวร้าวรุนแรงที่อีกฝ่ายแสดงออกมาบางทีอาจเป็นเพราะเขาบกพร่องความสามารถในการควบคุมอารมณ์ตัวเอง

        “พอเลิกพยศแล้วน่ารักกว่าเดิมเยอะเลยนะเนี่ย เวลาอยู่กับแฟนคงว่านอนสอนง่ายแบบนี้ตลอดเลยสิท่า เข้าใจแล้วว่าทำไมไอ้ลุงนั่นถึงได้หลงนักหนา” จอสกระซิบข้างหู

        “ก็… คงจะอย่างนั้นมั้ง… “ภูเออออห่อหมกไปไม่กล้าขัด ในขณะที่ตาเหลียวมองรอบระยะสายตาหาบางอย่างที่พอจะฉวยมาใช้เป็นเครื่องป้องกันตัวได้ในกรณีเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น

        “อ่ะนี่ ตามที่ขอ” จอสยื่นวิสกี้ออนเดอะร๊อคแก้วที่สองให้ แต่เมื่อภูจะยื่นมือไปคว้าไว้เขาก็ดึงมันกลับและทำท่าจะป้อนให้เสียเอง

        จอสยื่นปากแก้วมาจนจ่อชิดกับริมฝีปากของภูก่อนจะเอียงขึ้นปล่อยให้ของเหลวสีอำพันข้างในไหลออกมา เด็กหนุ่มอ้าปากรับเอาไว้และดื่มลงคอไปอย่างจำยอม เมื่อปราศจากความอยากรสขมของมันก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเป็นร้อยเท่าพันทวี จริงอยู่ที่เมื่อครู่นี้เขาอาจจะอยากเมาเพื่อจะได้ไม่มีสติรับรู้และไม่ต้องจดจำทุกอย่างที่เกิดขึ้น แต่ตอนนี้เมื่อสติอาจเป็นสิ่งเดียวที่จะช่วยเหลือให้ตนรอดพ้นจากวิกฤติเบื้องหน้าได้ แอลกอฮอล์จึงเป็นสิ่งสุดท้ายบนโลกนี้ที่ภูจะต้องการรับมันเข้าไปในร่างกาย

        หลังจากป้อนจนหมดแก้วจอสก็หยุดมือ เขาวางแก้วลงที่โต๊ะกระจกข้างหน้าก่อนจะหันมาสนใจกับภูต่อ มือข้างหนึ่งยกขึ้นปัดเส้นผมที่ปรกใบหน้าของอีกฝ่ายออกไปทัดไว้บนหลังใบหูก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาใช้ปลายจมูกไล้ดมตั้งแต่ใบหูเรื่อยมาจนถึงแก้ม ในขณะที่มืออีกข้างก็ไม่อยู่เฉยมุดล้วงผ่านชายเสื้อยืดที่เด็กหนุ่มสวมใส่อยู่เข้าไปลูบไล้ผิวเนื้อเนียนละเอียดใต้ร่มผ้า ภูหลับตานิ่ง ปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามต้องการหากแต่ไม่ใช่เพราะเงื่อนไขสัญญาใดๆ ที่ให้ไว้ต่อกันก่อนหน้านี้อีกต่อไปแล้ว แต่เป็นเพื่อรักษาตัวเองให้อยู่รอดปลอดภัยไปถึงวันพรุ่งนี้โดยปราศจากการเสียเลือดเสียเนื้อ



To be continued...

4 Episodes left...


ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

อ่าว...มีไบโพลาร์โผล่มาเว้ยเฮ้ย

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ nunda

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3004
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
บอกตรงๆไม่เข้าใจภูเลย ยอมเอาตัวเข้าแลกเนี่ยนะ???
บางทีเราก็อดคิดไม่ได้ ว่าในใจลึกๆแล้วภูอยากลองกับจอส
จริงๆนะอยู่ดีๆความคิดนึ้ก็แว๊บเข้ามาในหัวเรา
จะบอกว่าภูเป็นเด็กที่มีจิตใจดีหรอที่เห็นใจจอส อ่ะ ถ้าจะมองแบบนี้ก็คงได้
แต่...ขนาดสาลี่เพื่อนสนิทยังสงสัยเคลือบแคลงในตัวภูเลย???

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
สงสารกรรณ กับ จอสรองลงมา

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
:pig4: :pig4: :pig4:

อ่าว...มีไบโพลาร์โผล่มาเว้ยเฮ้ย

อารมณ์สองขั้วแต่ไม่สองใจนะครับ  :katai2-1:



น่าสงสารจอส

เดี๋ยวตอนหน้าได้รู้ทุกอย่างของจอสแล้วครับ  :katai4:



:เฮ้อ:

 :3123: :pig4: :3123:

เฮ้อนี่โล่งใจหรือหนักใจเอ่ย?  :hao4:




บอกตรงๆไม่เข้าใจภูเลย ยอมเอาตัวเข้าแลกเนี่ยนะ???
บางทีเราก็อดคิดไม่ได้ ว่าในใจลึกๆแล้วภูอยากลองกับจอส
จริงๆนะอยู่ดีๆความคิดนึ้ก็แว๊บเข้ามาในหัวเรา
จะบอกว่าภูเป็นเด็กที่มีจิตใจดีหรอที่เห็นใจจอส อ่ะ ถ้าจะมองแบบนี้ก็คงได้
แต่...ขนาดสาลี่เพื่อนสนิทยังสงสัยเคลือบแคลงในตัวภูเลย???

อันนี้คนเขียนต้องการให้คนอ่านมองได้สองทิศทางอยู่แล้วครับ คือจะมองว่าเห็นใจ จำใจก็มองได้ หรือจะมองว่าภูก็อยากอยู่ก็มองได้ ให้คนอ่านเกิดความเคลือบแคลงใจก่อนจะไปได้คำตอบที่บทสรุปของเรื่อง แล้วจะรู้ว่าภูคิดยังไงอยู่กันแน่ สำหรับบทสรุปของจอสตอนหน้าก็รู้แล้วครับ ลองอ่านดูๆ  o13



สงสารกรรณ กับ จอสรองลงมา

ไม่มีใครสงสารภูเลย 555555  :hao5:



 

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
Episode 21


        ไม่น่าเลย ไม่น่าเลย ไม่น่าเลย… ภูรำพึงกับตัวเองในใจซ้ำไปซ้ำมาขณะที่ริมฝีปากถูกจูบประกบพันธนาการเอาไว้จนไม่อาจเปล่งเสียงออกมาได้ ลิ้นของจอสที่ชอนไชอยู่ในปากพยายามปลุกเร้าให้เด็กหนุ่มตอบสนองแต่ก็ไม่เป็นผล เมื่อภูเอาแต่แน่นิ่งไม่ไหวติงเหมือนเป็นอัมพาต หลังจากพยายามอยู่ครู่ใหญ่จนกรามเริ่มเมื่อยปวดและรู้สึกว่าลิ้นกำลังจะเป็นตะคริวเขาก็หมดความอดทนและถอนปากออกมา

        “เหมือนจูบกับศพเลยอ่ะ…” จอสให้คำนิยามจูบเมื่อครู่

        “ขอบคุณที่ชม” ภูใช้หลังมือเช็ดคราบน้ำลายของจอสที่ชุ่มอยู่บนริมฝีปากของตนออก

        “ถ้ามันทำใจยากนัก นายก็หลับตาแล้วคิดว่าเราเป็นเค้าไม่ได้หรือไง?” จอสเสนอหนทางแก้ปัญหา

        “ไม่ได้อ่ะ ยังไงก็รู้อยู่แก่ใจว่าเป็นนาย” ภูบอกตามตรง

        “พวกไร้จินตนาการ” จอสว่าก่อนจะถอดเสื้อที่สวมอยู่ออกแล้วโยนทิ้งไปหลังโซฟา “ถอดเสื้อสิ…”

        ภูอิดออดอยู่ได้เพียงไม่นานก็จำต้องทำตามที่อีกฝ่ายสั่งเพราะรู้ดีว่าไม่อยู่ในสถานะที่สามารถขัดขืนได้ แต่ด้วยความอายแม้จะถอดออกแล้วเด็กหนุ่มก็ยังพยายามใช้เสื้อมาปิดบังเนื้อหนังของตนไว้จนจอสทนรำคาญไม่ไหวแย่งเสื้อไปจากมือและโยนทิ้งให้ไปกองอยู่กับเสื้อของตนที่หลังโซฟา แม้จะไม่มีเสื้อแล้วแต่ภูก็ยังไม่ละความพยายามที่จะปกปิดร่างกาย เขายกแขนทั้งสองข้างขึ้นกอดอกตัวเองเอาไว้แต่จอสก็จัดการจับมันแยกออกในทันที เมื่อแขนทั้งสองข้างถูกตรึงกดเอาไว้เด็กหนุ่มก็หมดหนทางจะป้องกันตัว ทำได้แต่เพียงนอนนิ่งยอมรับชะตากรรม จอสค่อยๆ ก้มหน้าลงมาอีกครั้งและซุกไซร้เข้าไปยังซอกคอของภูก่อนจะลากปลายลิ้นไล้ลงมาตามลำคอ สัมผัสนั้นทำเอาร่างกายของภูถึงกับสั่นสะท้านเฮือกใหญ่ แม้จะไม่ได้มีอารมณ์ร่วมด้วยแต่ก็ไม่สามารถห้ามปฏิกิริยาตอบสนองอันเป็นไปโดยธรรมชาติได้

        อย่าหวั่นไหว อย่าเคลิ้ม อย่าคล้อยตามเด็ดขาด ภูบอกกับตัวเองขณะสูดหายใจเข้าลึกๆ เตรียมใจให้พร้อมรับมือการปลุกเร้าระลอกต่อไปของจอส แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ต่อจากนั้น จอสเพียงแค่หยุดนิ่งและแช่ใบหน้าคาเอาไว้ที่ข้างซอกคอ ก่อนที่ภูจะสังเกตเห็นว่าร่างกายของอีกฝ่ายกำลังสั่นเทา จากเริ่มแรกเพียงเล็กน้อยก่อนจะเริ่มสั่นแรงขึ้นจนตัวโยนและลงเอยด้วยการเด้งผลุดลุกขึ้นระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น

        “อะไร… อะไรกันเนี่ย?” ภูงงเป็นไก่ตาแตก แม้จะเพิ่งได้รู้ข้อมูลมาว่าอีกฝ่ายมีปัญหาทางด้านอารมณ์สองขั้ว แต่สิ่งที่พบเจอตอนนี้มันก็ออกจะพลิกผันแบบสุดขั้วเกินไป

        “โทษที ตอนแรกเรานึกว่าเราจะทำได้” จอสพยายามกลั้นหัวเราะเพื่อให้เสียงพูดออกมาฟังรู้เรื่อง “แต่พอเอาจริงๆ ทำไม่ได้ว่ะ ไม่ไหวจริงๆ นายทำหน้าโคตรตลกเลย”

        ภูฉุนกึก จริงอยู่ที่ในความเป็นจริงเรื่องนี้ควรจะทำให้เขาโล่งใจถ้ามองในแง่ที่ว่าตนไม่ได้ต้องการจะโดนอีกฝ่ายกระทำชำเรา แต่การที่ต้องลงเอยด้วยการกลับกลายจากเหยื่อเป็นตัวตลกในสถานการณ์ที่สร้างความเครียดให้กับตนอย่างมหาศาลเช่นนี้ก็ทำให้ต่อมความอดทนของภูระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ เข้าทำนองฆ่าได้หยามไม่ได้ เด็กหนุ่มไม่สนอีกต่อไปว่าอีกฝ่ายจะมีอาการทางจิตประเภทไหน เขาบันดาลโทสะยกขาขึ้นยันโครมสุดแรงเข้ากลางยอดอกของจอสจนหงายหลังตกโซฟาลงไปนอนอยู่กับพื้นเบื้องล่าง

        “ถีบทำไมเนี่ย? !” จอสผลุดลุกขึ้นมาโวยลั่น

        “ไอ้โรคจิต!” ภูว๊ากกลับไป ก่อนจะหยิบเสื้อขึ้นมาสวม

        “โกรธทำไมอ่ะ? ไม่อยากให้ทำก็ไม่ทำแล้วไง ไม่ดีเหรอ?” จอสไม่เข้าใจสาเหตุความโกรธของภู

        “ไม่ทำมันก็ดี! แต่…” ภูไม่รู้จะอธิบายความอับอายของตนยังไงดี “นายจะมาทำตลกกับความรู้สึกของคนอื่นแบบนี้ไม่ได้นะ”

        “เราไม่ได้ตลกความรู้สึกนาย เราตลกหน้านาย หน้าเหมือนกำลังจะโดนฆ่าเลย” จอสหัวเราะออกมาอีกชุดใหญ่ก่อนจะหยุดเมื่อโดนภูหยิบหมอนใบเล็กบนโซฟาเขวี้ยงใส่เข้าเต็มหน้า “เฮ้ย! หยุด!”

        “ไม่หยุดโว้ย!!” ภูหยิบหมอนขว้างออกไปอีกใบ แต่ครั้งนี้อีกฝ่ายตั้งรับรอเอาไว้แล้วจึงป้องกันได้ทัน “นายไม่รู้หรอกว่าเรากลัวแค่ไหน เครียดแค่ไหนกับสิ่งที่นายกำลังบังคับให้เรายอมให้นายทำ แล้วสุดท้ายนายกลับมาทำยังกับว่านี่เป็นแค่เรื่องเล่นสนุกแล้วก็หัวเราะเยาะเหมือนเราเป็นตัวตลกในเกมงี่เง่าปัญญาอ่อนของนายเนี่ยนะ!”

        “ก็หน้ามันตลกจริงๆ นี่” จอสตั้งท่าจะขำอีกแต่ก็รีบกลั้นเอาไว้เมื่อเห็นภูคว้าแก้วเหล้าไว้ในมือ เขาพยายามทำเสียงให้จริงจังขึ้นขณะเริ่มพูดต่อ “แล้วอีกอย่าง ต่อให้นายไม่ได้ทำให้เราขำ เราก็รู้ตัวตั้งนานแล้วล่ะว่าเราทำไม่ได้แน่นอน”

        “ทำไม?” ภูถามขณะพยายามสงบสติอารมณ์ลง ในใจก็คาดหวังซึ่งคำตอบที่อาจจะฟื้นฟูความรู้สึกดีๆ ให้กับตนได้

        “ก็แค่ทำไม่ได้…” จอสยักไหล่แล้วถอนหายใจออกมาคล้ายจะบอกว่าตนก็จนปัญญาจะตอบคำถามนั้น ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มแต่จู่ๆ ก็เกิดปรากฎแววแห่งความเศร้าฉายวาบขึ้นมาจนน่าใจหาย “แค่รู้ว่านายไม่เต็มใจ เราก็ทำไม่ได้แล้ว”

        จอสหยิบโทรศัพท์มือถือของตนที่หล่นไปอยู่ในซอกโซฟาขึ้นมาและกดบางอย่างอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่งมาให้ภู เด็กหนุ่มรับมาดูและพบว่าบนหน้าจอมีคลิปวีดีโอจากกล้องวงจรปิดในคืนวันนั้นปรากฎอยู่พร้อมกับคำถามจากระบบที่รอคำตอบจากผู้ใช้ว่าต้องการลบไฟล์นี้ออกไปจากเครื่องหรือไม่ ภูเงยขึ้นมามองหน้าของอีกฝ่ายด้วยไม่มั่นใจว่าหากทำตามต้องการจะเกิดอะไรขึ้นตามมา ก่อนที่จะตัดสินใจกดตกลงเมื่อเห็นจอสพยักหน้ายินยอม มันถูกลบหายไปในเวลาไม่ถึงหนึ่งวินาที ภูถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกเมื่อสิ่งที่ทำให้ตนเป็นกังวลมานานหลายเดือนได้ถูกทำลายทิ้งไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ถึงกระนั้นก็ใช่ว่าจะไม่เหลือสิ่งที่ยังค้างคารอให้สะสางทำความเข้าใจอยู่

        “ถ้านายคิดจะลบมันทิ้งอยู่แล้ว นายจะบังคับให้เรามาทำไม?” ภูถามขณะส่งโทรศัพท์คืนให้กับเจ้าของ

        “ก็แค่อยากมีคนอยู่ด้วยสักคืน เบื่อจะอยู่คนเดียวแล้ว” จอสรับมันมาและโยนลงไปไว้ที่โซฟาเหมือนเดิม “แล้วอีกอย่างก็รู้ๆ กันดีว่าถ้าขอให้นายมา นายไม่มีทางยอมมาอยู่แล้ว ก็ต้องทำแบบนี้แหละ”

        “ก็จริง…” ภูยอมรับ

        “ที่ผ่านมาก็ใช่ว่าจะไม่รู้ว่ากำลังทำตัวไม่ดี แต่รู้ทั้งรู้ว่าเป็นไปไม่ได้เราก็ยังไม่พร้อมจะปล่อยนายไป ถึงจะเสียใจที่ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ นายก็ยิ่งเกลียดเรามากขึ้น แต่เราก็ได้แต่บอกกับตัวเองว่าให้เค้าเกลียดอยู่ข้างๆ ก็ยังดีกว่าต้องกลับมาตัวคนเดียว” น้ำเสียงของจอสเหมือนกำลังสมเพชตัวเอง “จนกระทั่งเกิดเรื่องวันฝนตกนั่น เราก็รู้ตัวว่าเราทำแบบนี้อีกต่อไปไม่ได้แล้ว เพราะนายจะไม่ใช่แค่เกลียดเรา แต่เราจะเป็นอันตรายกับตัวนายด้วย”

        “เพราะนายป่วยใช่ไหม?” ภูตัดสินใจถามออกไปตรงๆ

        โกรธ โมโห โวยวาย ทำลายข้าวของ หรืออาการเกรี้ยวกราดชนิดใดก็ตามที่ภูเตรียมใจเอาไว้ว่าจะต้องพบเจอหลังเอ่ยปากถามคำถามซึ่งเป็นเหมือนมีดสะกิดแผลของอีกฝ่ายออกไปเช่นนั้น ทว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ได้เกิดขึ้น มีแต่เพียงความเงียบงันอันน่าอึดอัดเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในสูญญากาศ จอสยืนนิ่งอึ้งเหมือนเด็กที่ถูกจับได้ถึงความผิดที่ปกปิดซ่อนเอาไว้ แววตาเต็มไปด้วยความสับสนและหวาดหวั่น ไม่ใช่ในสิ่งที่ตนกระทำลงไป แต่เป็นความหวาดหวั่นที่มีต่อสายตาของผู้ที่มองมายังตนเพราะไม่อาจรู้ว่าเขาจะเข้าใจและรับได้หรือไม่

        “นายรู้ได้ยังไง?” จอสถามออกมาด้วยเสียงอันเรียบต่ำ

        “เรา… เราเห็นขวดยาของนายในห้องน้ำ” ภูพูดตะกุกตะกัก การที่จอสตอบสนองกลับมาด้วยความเงียบและนิ่งเช่นนี้ยิ่งข่มขวัญเขาได้มากกว่าโวยวายหลายเท่า “ถ้านายไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ เราไม่พูดก็ได้ ขอโทษนะที่ถามเรื่องส่วนตัว”

        “สอดรู้สอดเห็นนักนะ…” จอสเดินย่างสามขุมตรงเข้ามาหาภู

        “ขอโทษ…” ภูถอยหนีแต่ก็ไปได้ไม่ไกลเพราะสะดุดขาตัวเองจนหงายหลังล้มลงก้นกระแทกพื้น

        เด็กหนุ่มแหงนหน้ามองอย่างหวาดผวาไปยังจอสที่กำลังเดินกำหมัดแน่นตรงเข้ามาหา ในหัวพยายามนึกหาคำพูดที่จะช่วยให้อีกฝ่ายสงบสติอารมณ์ลง ก่อนจะเลิกล้มกระบวนการนั้นเปลี่ยนมาเป็นเตรียมใจรับความเจ็บปวดแทนเมื่อเห็นจอสย่อตัวลงมาและเงื้อกำปั้นขึ้น ภูหลับตาปี๋เตรียมใจรับแรงกระแทกจากกำปั้นที่อาจจะซัดลงตรงไหนสักแห่งบนร่างกายของตน เสียงตึ๊บหนักๆ ดังขึ้นหลังจากนั้นไม่กี่วินาที ภูสะดุ้งด้วยความตกใจแต่ไม่นานนักก็เปลี่ยนเป็นประหลาดใจแทนเมื่อลืมตาขึ้นมาและพบว่าเหยื่อกำปั้นนั้นกลับเป็นหมอนที่หล่นอยู่เบื้องล่างไม่ใช่ตน

        “กลัวจริงๆ ด้วยสินะ” จอสหัวเราะหึออกมาเบาๆ ก่อนจะนั่งลงบนพื้นเหมือนกับภู “ก็ไม่แปลกใจหรอก ใครรู้เค้าก็กลัวกันหมด”

        “ขอโทษ.. ก็นายน่ากลัว” ภูรู้ดีว่าการแสดงออกของตนทำให้จอสรู้สึกแย่

        “ไม่ต้องกลัวหรอก ยากับการบำบัดมันก็ช่วยได้เยอะ ตอนนี้เราควบคุมตัวเองได้สบายมาก” จอสฉีกยิ้มพยายามแสดงสัญญาณเป็นมิตรให้อีกฝ่ายเลิกกลัว “ต้องเจอเรื่องแบบสุดติ่งกระดิ่งแมวจริงๆ แบบวันนั้นน่ะถึงจะหลุด… ดีแล้วล่ะที่นายหนีไปได้ ไม่งั้นเจ็บหนักแน่ๆ”

        “นายเป็นมานานแค่ไหนแล้ว?” ภูถาม

        “ไม่รู้สิ ตั้งแต่เรียนจบมัธยมมั้ง เราเข้าเรียนมหาลัยแล้วก็เบื่อเลยดรอปออกมา อยู่บ้านกินเที่ยวไปวันๆ นอนหลับไปแล้วก็ตื่นขึ้นมา ใช้ชีวิตเหมือนไม่มีจุดหมาย แล้วจู่ๆ วันนึงก็รู้สึกขึ้นมาว่าโลกไม่น่าอยู่อีกต่อไปแล้ว…” จอสตอบพร้อมกับชูแขนข้างที่มีรอยสักให้ภูดูสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้สีและลวดลายของน้ำหมึกนั้น มันคือรอยแผลเป็นจากการถูกสิ่งมีคมบาดนับสิบแผล “โชคดีที่แม่บ้านลืมของเลยย้อนกลับเข้ามา ไม่อย่างนั้นเราก็กลายเป็นผีสิงคอนโดไปแล้ว”

        ภูใจหายวาบ เพียงมองดูพวกมันด้วยตาก็แทบจะรู้สึกเจ็บตามไปด้วย รอยแผลเหล่านั้นนูนสูงต่ำไม่เท่ากันตามความร้ายแรงของมันเมื่อครั้งที่ถูกทำให้เกิดขึ้น พวกมันดูเด่นชัดเสียจนภูนึกสงสัยว่าทำไมตนจึงไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อนหน้านี้ เด็กหนุ่มยื่นมือออกไปก่อนจะหยุดและมองไปยังจอสเพื่อขออนุญาต จนเมื่อเจ้าตัวพยักหน้ายินยอมเขาจึงค่อยจรดปลายนิ้วลงแตะมันอย่างแผ่วเบาและระมัดระวังราวกับกลัวว่าความเจ็บปวดอาจจะยังคงอยู่ ปลายนิ้วไล้ลากผ่านแผลเป็นที่ใหญ่ที่สุดและสัมผัสบริเวณกลางแผลที่แข็งเป็นไตขึ้นมา

        “นั่นคือแผลที่สาหัสที่สุด” จอสบอกกับภูเมื่อเห็นท่าทีสนใจเป็นพิเศษนั้น “เราใช้ปลายมีดแทงลงไปแล้วคว้านจนโดนเส้นเลือดใหญ่ หมอยังบอกเลยว่าไม่เคยเจอใครที่มุ่งมั่นกับการทำแบบนี้เท่าเรามาก่อน”

        “นี่ไม่ใช่เรื่องน่าภูมิใจเลยนะ” ภูไม่อยากเชื่อว่าจะมีคนที่ทำแบบนี้กับตนเองได้ “ทำลงไปทำไม?”

        “เราก็อยากจะรู้เหตุผลของตัวเองในตอนนั้นเหมือนกัน” จอสส่ายหน้า “เรารักษาตัวจนออกจากโรงพยาบาลแล้วก็เข้ารับการบำบัด หมอช่วยเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้เรื่องสภาพแวดล้อมที่เราต้องอยู่คนเดียว แต่ก็แนะนำให้รับยาควบคู่ไปกับการเพ่งความสนใจไปที่กิจกรรมอะไรสักอย่างแทน ผลก็เลยได้กล้ามงามๆ พวกนี้มาไงล่ะ”

        แม้อีกฝ่ายจะพยายามพูดให้เหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่หรือหนักหนาสาหัสอะไร แต่ภูก็มองออกถึงความเจ็บปวดที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงของทุกคำที่ออกมา แสงอันมืดสลัวของห้องในยามนี้ทำให้จอสยิ่งดูเปราะบางและบอบช้ำ แผลเป็นเหล่านั้นเป็นดั่งร่องรอยจารึกแห่งการเดินทางผ่านวันเวลามาอย่างโดดเดี่ยว เด็กหนุ่มพยายามนึกจินตนาการถึงชิวิตของอีกฝ่ายในรูปแบบที่ต่างออกไป หากจอสได้มีครอบครัวที่อยู่พร้อมหน้าเหมือนปกติ รอยแผลนี้คงไม่มี… หากมีใครสักคนคอยรับฟังสิ่งที่เขาอยากพูด รอยแผลนี้คงไม่เกิดขึ้น… ภูคิดขณะลากนิ้วผ่านแผลอื่นๆ บนท้องแขนนั้น และมาจบที่แผลใหญ่ที่สุดอันเป็นจุดเริ่มต้น ถ้าเพียงแต่เขาจะมีเพื่อนสักคนที่ช่วยหยุดเขาจากความคิดชั่ววูบพวกนั้น…

        “เฮ้…” ภูเรียกจอส

        “อ่ะฮะ?” จอสเงยหน้าขึ้นมาสบตาอีกฝ่าย คล้ายจะถามว่ามีอะไร

        “เลิกคุยเรื่องพวกนี้กันดีกว่า วันนี้ไหนๆ ก็มาแล้ว นายอยากทำอะไรบ้าง?” ภูตัดสินใจจะใช้เวลาที่เหลือของคืนนี้สร้างเรื่องราวดีๆ ไว้ในความทรงจำของจอสเพื่อให้อีกฝ่ายได้ใช้ระลึกถึงในวันที่ความมืดมิดเหล่านั้นกลับมาอีกครั้ง “นายรักษาสัญญาที่ให้กับเรา เราก็ไม่เบี้ยวนายหรอก วันนี้จะอยู่ด้วยจนกว่าจะเช้า”

        “อยากทำอะไรเหรอ…” จอสทำท่านึกก่อนจะส่งรอยยิ้มชั่วร้ายอันเป็นเอกลักษณ์มา “ต่อจากเมื่อกี้ดีไหมล่ะ?”

        “ไม่เลิกใช่ไหม?” ภูยิ้มเหี้ยมเกรียมเป็นสัญญาณเตือนให้อีกฝ่ายหยุดหื่น “ถ้ายังคิดเรื่องนั้นอยู่เราก็กลับเลยแล้วกัน”

        “ล้อเล่น…” จอสจ๋อยลงไปทันตา “ขอนอนกอดเฉยๆ ก็พอ สัญญาจะไม่ทำเกินกว่านั้นถ้านายไม่อนุญาต”

        “ก็ได้” ภูยอมตกลง “แต่ก่อนอื่นเลย ไปใส่เสื้อก่อน”

        “ทำไมล่ะ?” จอสทำหน้างงก่อนจะชี้ไปที่ซิกแพคของตน “ไม่ชอบเหรอ เซ็กซี่จะตาย”

        “เก็บไว้ดูคนเดียวเถอะ” ภูลุกขึ้นมาหยิบเสื้อและโยนส่งให้

        จอสไม่ยอมเสียเวลาอันมีค่าไปอีกแม้แต่วินาทีเดียว เขาสวมเสื้อกลับคืนก่อนจะจูงมือภูพาเดินเข้าไปยังห้องนอนของตน เมื่อบานประตูเปิดออกภูก็ตกตะลึงจนอ้าปากค้างกับจำนวนอันมากมายของฟิกเกอร์และโมเดลของเล่นต่างๆ ที่วางเรียงรายอยู่เต็มตู้กระจกใหญ่ตลอดจนทั่วทุกอาณาบริเวณของห้อง ซึ่งเด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้าของเมื่อเห็นท่าทีสนอกสนใจที่แขกผู้มาเยือนมีต่อคอลเลคชั่นของสะสมของตนก็รีบพาเดินดูจนทั่วพร้อมกับบรรยายประวัติของแต่ละชิ้นโดยละเอียดอย่างภาคภูมิใจ

        “น่าเปิดพิพิธภัณฑ์เนอะ” ภูพูดแซวหลังจากการทัวร์อันยาวนานได้จบลง

        “ไม่อ่ะ ของส่วนตัว ไม่ชอบเอาไปอวดใคร” จอสบอกขณะนั่งลงบนขอบเตียงตามภู

        “ขนาดไม่ชอบอวดนะเนี่ย…” ภูนึกถึงการกระทำที่ขัดแย้งกับคำพูดอย่างชัดเจนของอีกฝ่าย

        “ก็ยกเว้นถ้าคนนั้นพิเศษกับเราจริงๆ เราก็อยากแชร์ทุกอย่างในชีวิตเราให้เค้ามีส่วนร่วมนะ” จอสยังไม่วาย

        “พอเลย…” ภูส่ายหน้าเพลียจิต อยากให้จอสเข้าใจเสียทีว่าการเป็นคนที่ต้องคอยปฏิเสธก็ทำให้รู้สึกเจ็บปวดได้ไม่แพ้คนโดนปฏิเสธ “ทำแบบนี้ต่อไปไม่ดีหรอกนะ”

        “แค่คืนนี้ก็พอแล้วล่ะ” จอสขอซื้อเวลาเป็นครั้งสุดท้าย “แล้วตั้งแต่พรุ่งนี้ เราจะไม่กวนใจนายอีกแล้ว”

        ภูไม่ปฏิเสธคำขอร้องนั้น ด้วยใจก็อยากจะชดเชยให้จอสในสิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิต แม้จะรู้ดีว่าด้วยเวลาเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงถัดจากนี้คงไม่อาจเติมเต็มจิตใจอันแหลกสลายเพราะถูกสนิมแห่งความโดดเดี่ยวอ้างว้างเกาะกินมานานนับปีของอีกฝ่ายได้ แต่อย่างน้อยภูก็ยังอยากจะฝากร่องรอยบางอย่างเอาไว้ เป็นร่องรอยที่เมื่อวันเวลาผ่านพ้นไป เมื่อความมืดอันน่ากลัวได้กลับมาทำให้จิตใจของชายผู้โดดเดี่ยวเกิดความรู้สึกว่าโลกนี้ไม่น่าอยู่อีกครั้ง เขาจะเดินย่ำย้อนกลับมายังต้นทางแห่งร่องรอยทั้งหมดและระลึกได้ว่าครั้งหนึ่งเคยมีใครบางคนอยู่กับเขาตรงนี้ มันอาจจะนานและลางเลือนจนเหมือนภาพฝัน แต่สิ่งเหล่านั้นก็เคยเกิดขึ้นจริง และหากโลกไม่ชิงแตกไปเสียก่อนมันก็จะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย ถ้าเคยเกิดขึ้นครั้งหนึ่งแล้ว สักวันมันจะต้องเกิดขึ้นอีกครั้ง ขอเพียงเขาใช้ชีวิตที่มีให้ดีที่สุดเพื่ออดทนรอเวลาอันล้ำค่านั้น

        เป็นค่ำคืนที่มีเรื่องให้คิดมากมายเหลือเกิน มากจนเกินไป อ้อมแขนของจอสโอบกอดร่างของภูเอาไว้เหมือนเป็นหมอนข้างขณะที่เจ้าตัวเริ่มส่งเสียงกรนออกมาเบาๆ ทว่าภูกลับยังไม่อาจทำใจให้หลับลงได้ ด้วยจิตใจยังคงพะวงเป็นห่วงกรรณที่กำลังเผชิญช่วงเวลาอันยากลำบากอยู่ตามลำพังโดยที่ตนไม่อาจจะไปอยู่เคียงข้างได้ ภูรู้สึกเหมือนทุกอย่างผิดที่ผิดทางไปจากที่ควรจะเป็นทั้งหมด ชีวิตคงจะเป็นเรื่องง่ายกว่านี้มากหากเขายังคงเป็นแค่นักศึกษาธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลมากไปกว่าการเรียนอันเป็นหน้าที่หลัก และสามารถใช้เวลาของชีวิตไปกับครอบครัว เพื่อนฝูง คนรักหรือสิ่งใดๆ ที่ตนต้องการจะทำอย่างแท้จริงได้โดยไม่ต้องมาคอยคำนึงถึงปัจจัยจุกจิกมากมายอันเป็นดั่งกรงที่โอบล้อมเอาไว้และคอยบีบคั้นชีวิตจนน่าอึดอัดขึ้นเรื่อยๆ ในทุกลมหายใจเข้าออกเช่นนี้

        เวลาล่วงมาจนถึงตีห้าแล้ว แสงแห่งรุ่งอรุณของวันใหม่กำลังจะปรากฏฉายจับขอบฟ้าในอีกไม่ช้า ภูค่อยๆ ยกแขนของจอสที่พาดทับร่างกายอยู่ออกและย่องลงจากเตียงก่อนจะเปิดประตูเดินออกมายังบริเวณห้องรับแขกอย่างเงียบเชียบ เด็กหนุ่มเลื่อนเปิดประตูและก้าวออกไปยังระเบียงด้านนอก กระแสลมด้านนอกยังคงพัดตึงเหมือนเช่นเมื่อครั้งก่อน ภูเอนกายลงยืนพิงเข้ากับขอบระเบียงแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดหาเบอร์ของกรรณแล้วโทรออก เสียงรอสายดังขึ้นหลายครั้งแต่ไม่มีคนรับจนเขาเริ่มคิดว่าอีกฝ่ายอาจจะกำลังหลับอยู่หรือไม่สะดวกจะรับสาย แต่ในขณะที่กำลังจะถอดใจและกดวางสายนั้นเครื่องโทรศัพท์ในมือก็สั่นเตือนเบาๆ หนึ่งครั้งเป็นสัญญาณว่ามีผู้รับสายแล้ว

        “ฮัลโหล…” ภูพูดกรอกไป

        “ว่าไง โทรมาแต่เช้ามืดเลย” เสียงของกรรณที่ตอบกลับมาจากปลายสายทั้งอ่อนล้าและโรยแรง เพียงเท่านั้นภูก็พอรับรู้ได้ว่ายังคงไม่มีข่าวดีเกิดขึ้น

        “ผมเป็นห่วงพี่ ห่วงแม่พี่ด้วย” ภูบอกกับกรรณ “ตอนนี้เป็นยังไงบ้างแล้วครับ?”

        “ก็… หมอออกมาแล้วล่ะ แต่ก็ยังต้องคอยดูอาการ” กรรณตอบเสียงเศร้า “ถ้าผ่านสิบสองชั่วโมงนี้ไปได้ก็ถือว่าพ้นขีดอันตราย”

        “ต้องได้สิ” ภูพยายามให้กำลังใจ “ต้องได้อยู่แล้วล่ะ บอกท่านว่าวันนี้ผมจะไปหานะครับ”

        “จะให้บอกว่าไง ลูกสะใภ้จะมาเหรอ?” กรรณเย้ามาด้วยเสียงเศร้าๆ นั้น

        “บอกว่าแฟนก็พอ ไม่ต้องเจาะจงสถานะขนาดนั้น” ภูโล่งใจที่อย่างน้อยกำลังใจของกรรณก็ยังดีพอจะพูดเล่นได้

        “ได้ เดี๋ยวจะบอกให้” กรรณรับปาก

        “งั้นแค่นี้ก่อนนะครับ ผมจะเตรียมของเอาไว้ เสร็จงานจะได้ออกเดินทางได้เลย พี่อยู่ทางนั้นก็พักผ่อนบ้างนะ” ภูบอกขณะที่ตาเริ่มมองเห็นแสงสีทองซึ่งจับขอบฟ้าอยู่ไกลออกไป

        “แค่ได้ยินเสียงนายก็เหมือนได้พักผ่อนแล้ว รู้สึกดีขึ้นเยอะเลย” กรรณพูดด้วยน้ำเสียงที่ทำให้ผู้ฟังนึกออกถึงรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้า “แล้วเจอกันนะครับ”

        “ครับ เดี๋ยวก็ได้เจอกันแล้ว จะรีบไปให้เร็วที่สุดครับ” ภูบอกก่อนจะวางสาย

        ภูเก็บโทรศัพท์กลับเข้ากระเป๋ากางเกงแล้วหันกลับมาตั้งท่ากลับเข้าใปข้างใน แต่ก็ต้องสะดุ้งสุดตัวด้วยความตกใจเมื่อเจอะเข้ากับจอสที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูระเบียง เด็กหนุ่มทำตัวไม่ถูกด้วยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ตรงนั้นมานานแค่ไหนแล้ว แต่เมื่อสังเกตจากสีหน้าอันเศร้าสร้อยนั้นภูก็พอจะคาดเดาได้ว่าคงจะนานพอที่จะได้ยินบทสนทนาเมื่อครู่นี้ทั้งหมด

        “ตื่นแล้วเหรอ?” ภูถามพร้อมกับชี้แจงตนเอง “เรา.. ออกมาคุยโทรศัพท์เรื่องธุระนิดหน่อยน่ะ”

        “ตื่นมาไม่เจอ นึกว่าหนีไปแล้วซะอีก” จอสยิ้มแห้งๆ

        “ไม่หนีหรอก ก็สัญญาเอาไว้แล้ว” ภูยืนยันคำพูดตนเอง

        “แล้วนั่นน่ะ…” จอสถามถึงสิ่งที่ตนได้ยินเมื่อครู่ “มีธุระสำคัญต้องไปทำไมไม่บอกเราล่ะ ถ้าบอกกันตรงๆ เราก็ไม่รั้งนายไว้ทั้งคืนแบบนี้หรอก”

        “ถึงจะไม่ได้อยู่กับนาย ยังไงก็ยังไปไหนไม่ได้อยู่ดี วันนี้ยังมีคิวงานช่วงบ่ายของวันนี้อีกงานนึงต้องจัดการให้เสร็จก่อน” ภูอธิบายให้จอสเข้าใจจะได้ไม่ต้องรู้สึกผิด

        “อีเวนท์?” จอสถามเมื่อเห็นภูพยักหน้าว่าใช่จึงค่อยเสนอตัว “เราไปแทนให้ก็ได้นะ”

        “จริงเหรอ?” ภูดีใจสุดๆ เพราะนั่นจะช่วยประหยัดเวลาไปได้มากทีเดียว หากจอสยอมไปงานแทนเขาก็จะสามารถออกเดินทางได้ตั้งแต่ช่วงเช้าและคงไปถึงสุโขทัยก่อนเวลาจะล่วงเข้าสู่ช่วงบ่ายด้วยซ้ำ

        “เพื่อนายเราทำได้อยู่แล้ว” จอสรับคำ “แต่ขออะไรบางอย่างเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนนิดหน่อย”

        “อะไรอีกอ่ะ?” ภูใจคอไม่ดี

        “ไม่ต้องทำหน้าไม่ไว้ใจแบบนั้นหรอกน่า กระรอกตื่นตูมเอ๊ย…” จอสทำหน้าเซ็งกับการถูกหวาดระแวง “แค่อยู่ดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกันตรงนี้ก่อนก็พอ”

        จอสเลื่อนปิดประตูขณะเดินออกมายืนข้างๆ ภูที่ขอบระเบียง ทั้งสองยืนจ้องมองออกไปยังสุดปลายของทิวทัศน์เบื้องหน้า เฝ้ารอให้พระอาทิตย์ปรากฏขึ้นสู่สายตา ในใจรู้แจ้งแน่ชัดว่าบางสิ่งได้เปลี่ยนไปแล้ว ภูรู้สึกเช่นนั้น นับจากนี้จะไม่มีความผิดพลาดจากอดีตให้ต้องกังวล มีแต่อนาคตที่รอให้ไปพบเจอ และเหนือสิ่งอื่นใด มิตรภาพระหว่างเขาและจอสจะยังคงอยู่และอาจจะแนบแน่นยิ่งกว่าที่เคยเป็นมาด้วยซ้ำ

        “นี่ ขอบคุณมากนะ” ภูบอกกับจอสขณะที่ตาก็ยังมองไปยังนอกระเบียง

        “เรื่อง?” จอสหันมาถาม

        “สำหรับทุกอย่าง ที่เก็บนาฬิกาเอาไว้ให้ ที่ไปส่งบ้าน แล้วก็ที่ช่วยในเรื่องงานอีกไม่รู้กี่ครั้ง” ภูหันมาเช่นกัน “แล้วก็ขอโทษที่เป็นในสิ่งที่นายต้องการไม่ได้”

        “แล้วนายจะเสียดายที่ปล่อยให้เราหลุดมือไป” จอสยกหางตัวเองเต็มที่

        “ก็อาจจะ…” ภูยอมรับ “ถึงเราจะเป็นในสิ่งที่นายอยากให้เราเป็นไม่ได้ แต่เราก็มีบางสิ่งที่จะทดแทนให้”

        “มาอีกแล้ว รางวัลชมเชย” จอสพ่นลมออกจากปาก

        “ฟังให้มันจบก่อนเส่ะ!” ภูถองข้อศอกใส่ชายโครงอีกฝ่ายใส่ด้วยความโมโห

        “ก็ว่ามาเส่ะ!” จอสว๊ากกลับ “พวกซาดิสต์…”

        “ชอบทำให้เสียบรรยากาศ” ภูสูดหายใจเข้าพยายามเรียบเรียงคำพูดในหัวใหม่อีกรอบ “ถึงเราจะเป็นในสิ่งที่นายอยากให้เป็นไม่ได้ แต่เราก็มีบางอย่างจะทดแทนให้นาย”

        “คือ?” จอสถาม

        “ต่อไปนี้นายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราแล้วนะ” ภูยื่นมือไปแตะที่บ่าของอีกฝ่าย “นายไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จะร้ายหรือดี เราจะอยู่ข้างนายเสมอ ต่อไปนี้จะไม่มีการหลบหน้ากันอีกแล้ว เราสัญญา”

        ภูยื่นมือออกไปตั้งใจจะจับมือทำสัญญาแต่ก็ถูกอีกฝ่ายฉวยกระชากร่างเข้าไปสวมกอดไว้เสียก่อน เมื่อหายตกใจเด็กหนุ่มจึงรู้สึกได้ว่าร่างที่โอบรัดตนอยู่นั้นกำลังสั่นเทา แก้มและต้นคอด้านขวาของเขาถูกลมหายใจและน้ำตาร้อนผ่าวของจอสราดรดจนชุ่ม มือข้างหนึ่งของจอสขยุ้มเส้นผมของภูเอาไว้ในมือ ไม่มีการฟูมฟาย ไม่มีความเจ็บปวดในน้ำตาเหล่านั้น มีเพียงความตื้นตันจากการได้รับในสิ่งที่ตนปรารถนาอย่างสุดหัวใจ เป็นช่วงเวลาอันเนิ่นนานและราบเรียบราวกับนิรันดร์กาล ภูทอดสายตามองออกไปที่ปลายขอบฟ้า พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว พร้อมกันกับที่วันใหม่ของเด็กหนุ่มทั้งสองที่ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างสมบูรณ์เช่นกัน…


To be continued...

3 Episodes Left
[/i]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-04-2018 17:22:49 โดย lolito »

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

น่าสงสารจอสนะ 

แค่จอสมาช้าไปหลายปีหน่อยเท่านั้นเอง

แต่อย่างน้อยจอสก็จะไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไปนะ 

มีมิตรแท้ที่เข้าใจย่อมดีกว่ามีคนข้างกายที่ได้มาเพราะการบังคับ

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ cookie8009

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 109
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
เอาเถอะ ถ้าจะให้เป็นแบบนี้

ก็หวังว่า ถ้าพี่กรรณรู้ จะยอมรับฟังเหตุผลของน้อง ก็แล้วกัน

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
ทุกอย่างเริ่มคลี่คลายแล้วว

ออฟไลน์ nunda

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3004
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
โชคดีเหลือเกินที่จอสได้รับการรักษาที่อยู่ในระดับดีแล้ว
แม้จะมีหลุดมาบ้าง แต่สุดท้ายภูก็ไม่ได้เป็นอันตราย
เฮัอออ น่าสงสารนะ

สำหรับภู พอไปดูตอนเก่าๆจนถึงตอนนี้ก็ เออ.. มันคงเป็นเด็กจิตใจดีคนหนึ่งจริงๆนั่นแหละ
ภูน่าจะจับอาการหลายอย่างที่จอสแสดงออกได้ว่ามันคงมีอะไรซักอย่างแหละ(มั้ง)
ภูถึงตัดจอสไม่ขาด ไม่โกรธหรือโกรธแป๊บๆก็หาย หรือให้อภัยกับการจาบจ้วงของจอสได้ง่าย

ตอนหน้าพี่กรรณจะมาแล้วใช่ไหมคะ คิดถึงแล้วๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
สงสัยช่วงนี้ค่าตัวแพง บทเลยน้อย 555

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
จอส เด็กดี วานหลานคนแต่งหาคู่ให้จอสซักคน เห็นว่าขาดแม่ เอาไปคู่กับลี่ไหม มีแววจะคุมจอสอยู่นะ  :hao3:

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
:pig4: :pig4: :pig4:

น่าสงสารจอสนะ 

แค่จอสมาช้าไปหลายปีหน่อยเท่านั้นเอง

แต่อย่างน้อยจอสก็จะไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไปนะ 

มีมิตรแท้ที่เข้าใจย่อมดีกว่ามีคนข้างกายที่ได้มาเพราะการบังคับ

ใช่เลยครับ  :katai2-1:

กว่าจะปิดเรื่องจอสลงก็หลายตอน ตอนนี้ต้องกลับไปหาพระเอกเราบ้างแล้ว  :katai4:



:mew2: :mew2: :mew2:

ไม่เศร้าเนอะ คนไม่ใช่ ยังไงก็ยังเป็นเพื่อนกันได้  :mew1:



o13


 :L2: :pig4: :L2:

อีกแค่สามตอนก็จะจบแล้วนะครับ ติดตามกันให้สุดทางไปเลย  :katai4:



เอาเถอะ ถ้าจะให้เป็นแบบนี้

ก็หวังว่า ถ้าพี่กรรณรู้ จะยอมรับฟังเหตุผลของน้อง ก็แล้วกัน

ถึงกรรณจะเข้าใจแต่ก็ไม่คงไม่ชอบใจให้สองคนนี้อยู่ใกล้กันอยู่ดีแหละครับ คนมันขี้หึง



ทุกอย่างเริ่มคลี่คลายแล้วว

ใกล้จบแล้ว ต้องคลี่คลายแล้วล่ะครับ แต่ยังมีดราม่าใหญ่สุดรออยู่นะ ไม่ต้องกลัว ซดกันอร่อยแน่  :katai4:



โชคดีเหลือเกินที่จอสได้รับการรักษาที่อยู่ในระดับดีแล้ว
แม้จะมีหลุดมาบ้าง แต่สุดท้ายภูก็ไม่ได้เป็นอันตราย
เฮัอออ น่าสงสารนะ

สำหรับภู พอไปดูตอนเก่าๆจนถึงตอนนี้ก็ เออ.. มันคงเป็นเด็กจิตใจดีคนหนึ่งจริงๆนั่นแหละ
ภูน่าจะจับอาการหลายอย่างที่จอสแสดงออกได้ว่ามันคงมีอะไรซักอย่างแหละ(มั้ง)
ภูถึงตัดจอสไม่ขาด ไม่โกรธหรือโกรธแป๊บๆก็หาย หรือให้อภัยกับการจาบจ้วงของจอสได้ง่าย

ตอนหน้าพี่กรรณจะมาแล้วใช่ไหมคะ คิดถึงแล้วๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
สงสัยช่วงนี้ค่าตัวแพง บทเลยน้อย 555

ภูเป็นคนที่จับความรู้สึกของคนอื่นเก่งครับ ถ้าสังเกตตามเนื้อเรื่อง เขาจะค่อนข้างมองออกว่าใครรู้สึกยังไง หรือใครมีอะไรผิดปกติ ปิดบังหรือมีอะไรซ่อนไว้ เค้าจะรู้สึกได้

สองตอนนี้ให้จอสปิดฉากตัวเองแบบสวยๆไปก่อน สามตอนสุดท้ายของพี่กรรณเต็มๆแล้วครับ ดราม่าชามใหญ่  :hao5:



จอส เด็กดี วานหลานคนแต่งหาคู่ให้จอสซักคน เห็นว่าขาดแม่ เอาไปคู่กับลี่ไหม มีแววจะคุมจอสอยู่นะ  :hao3:

ไม่ต้องห่วงครับ มีคู่แน่นอน แต่จะโผล่มาในเนื้อเรื่องส่วนของตอนพิเศษ ติดตามนะครับ หลังจบเส้นเรื่องหลักมาแน่นอน  o13



ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
Episode 22

        ถึงแม้ว่าจะเดินทางอย่างเร่งรีบที่สุดแล้วแต่ก็ยังช้าเกินการ โดยไม่ต้องพูดอะไรแม้แต่คำเดียวแค่ทันทีที่ภูเห็นหน้ากรรณซึ่งมารอรับอยู่ด้านหน้าโรงพยาบาลเด็กหนุ่มก็รู้ดีว่าความสูญเสียได้เกิดขึ้นก่อนหน้าตนจะมาถึงแล้ว กรรณในช่วงเวลาแห่งความสูญเสียดูสงบและเยือกเย็นผิดกับเมื่อขณะที่ทุกอย่างยังแขวนอยู่บนความไม่แน่นอนราวกับเป็นคนละคน อาจเป็นเพราะชายหนุ่มจำต้องเข้าใจและยอมรับให้ได้เมื่อความเป็นจริงมาถึงจุดที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้อีกต่อไป เขาจัดการเรื่องเกี่ยวกับงานศพตามขั้นตอนอย่างที่เคยทำเมื่อครั้งที่พ่อเสียชีวิต ทั้งสองงานทิ้งระยะห่างเพียงหนึ่งปีเศษๆ กรรณจึงยังจดจำได้หมดว่าจะต้องทำอะไรก่อนหรือหลัง

        “ตอนพ่อเสียวุ่นวายกว่านี้มาก ไหนจะต้องหาคนดูแลแม่ ไหนจะเรื่องงานศพ” กรรณเล่าให้ภูฟังขณะที่ทั้งสองไปติดต่อกับทางวัดเรื่องนำศพเข้าบำเพ็ญกุศลที่ศาลา

        “ตอนนั้นพี่จัดการเองคนเดียวหมดเลยเหรอครับ” ภูถาม

        “จะว่าอย่างนั้นก็คงได้ เพราะแม่ก็ไม่รับรู้อะไรแล้ว ยังดีที่ตอนไปรับศพกับทางโรงพยาบาลเค้าก็แนะนำมาว่าต้องทำอะไรต่อจากนั้นบ้าง” กรรณตอบขณะที่ตกลงกับเจ้าหน้าที่ของทางวัดเลือกศาลาที่มีขนาดเล็กที่สุดเพราะมั่นใจว่าจะมีแขกมาร่วมงานเพียงไม่กี่คน

        พิธีศพเป็นไปอย่างเรียบง่ายมีเพียงพ่อกับแม่ของภูและพี่ช้างที่บินด่วนจากกรุงเทพมาทันทีที่รู้ข่าวกับญาติจากฝั่งแม่ของกรรณเพียงไม่กี่คนที่มาเป็นแขกในงาน ศพถูกตั้งบำเพ็ญกุศลเพียงแค่หนึ่งคืนก่อนจะทำการฌาปนกิจในวันถัดมา ทั้งหมดเป็นไปตามความปรารถนาของผู้ตายที่ไม่อยากให้สิ้นเปลืองเงินทองโดยใช่เหตุไปกับการจัดงานศพใหญ่โต ตลอดช่วงเวลานั้นแม้สีหน้าและแววตาของกรรณจะเศร้าหมองแต่กลับไม่มีน้ำตาไหลออกมาแม้แต่หยดเดียว ภูรู้ดีว่าแฟนหนุ่มของตนกำลังพยายามอย่างหนักที่จะทำตัวให้เข้มแข็งมากพอเพื่อให้การทำหน้าที่ลูกเป็นครั้งสุดท้ายผ่านไปได้ด้วยดี

        หลังเสร็จสิ้นงานศพกรรณยังคงมีอีกหลายสิ่งที่ต้องจัดการให้เรียบร้อยที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทางราชการและเรื่องการนำอัฐิไปลอยอังคาร ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาอีกสองถึงสามสัปดาห์จึงจะเสร็จ ถึงแม้ว่าภูจะยอมยกเลิกคิวงานของตนเพื่อจะได้อยู่ต่อกับกรรณในช่วงเวลานั้น แต่ชายหนุ่มก็ยืนกรานที่จะให้เขากลับไปรับผิดชอบหน้าที่ของตนเอง โดยสัญญาว่าจะรีบตามกลับไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ภูเองถึงแม้ใจอยากจะดื้อเพื่อตื้อให้กรรณยอมให้ตนอยู่ต่อเพียงใด แต่เมื่อเห็นแววตาอันหนักอึ้งไปด้วยความเศร้าที่ถูกสะกดกลั้นไว้ภายในก็จำต้องยอมให้เป็นไปตามที่อีกฝ่ายต้องการ เพราะรู้ดีว่าช่วงเวลาส่วนตัวที่อีกฝ่ายร้องขอนั้นอาจจะเพื่อที่จะใช้เป็นช่วงเวลาที่จะปลดปล่อยความเศร้าซึ่งเก็บกดเอาไว้นับตั้งแต่เกิดเรื่องให้ได้ระบายออกมาเสียที

        ชีวิตการทำงานอันยุ่งเหยิงของภูเริ่มต้นขึ้นแทบจะทันทีที่เด็กหนุ่มก้าวขากลับเข้ามาเหยียบเขตกรุงเทพมหานคร เพราะนอกจากคิวงานยาวเหยียดของตนที่รอให้สะสางอยู่แล้วนั้น ตอนนี้ก็ยังมีงานอีเวนท์ในส่วนของจอสที่เขาต้องวิ่งรอกไปแทนเพิ่มขึ้นมาด้วย ในช่วงแรกนั้นภูยังคิดว่าอีกฝ่ายเพียงแค่แกล้งโดดงานเพราะอยากให้ตนเป็นฝ่ายไปแทนบ้าง แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้าโดยไร้การติดต่อจนภูผิดสังเกตและไปหาที่คอนโดจึงได้รู้ว่าจอสได้เดินทางไปต่างประเทศตั้งแต่ช่วงที่ภูกลับมาจากงานศพแม่ของกรรณแล้ว จอสทิ้งทุกอย่างและลอยหายเข้ากลีบเมฆไปโดยไม่ได้บอกอะไรกับผู้จัดการและต้นสังกัดมากไปกว่าเหตุผลที่ว่าไปศึกษาต่อ แต่เรื่องงานที่ทิ้งเอาไว้ให้นั้นยังไม่รบกวนจิตใจภูเท่ากับความคิดที่ว่าการจากไปของจอสในครั้งนี้นั้นอาจมีต้นเหตุมาจากตน

        นึกว่าวันนั้นคุยจนเข้าใจกันแล้วแท้ๆ ไม่น่าเป็นแบบนี้เลย… ภูนึกในใจด้วยความรู้สึกที่ผสมปนเปไปทั้งใจหายและหงุดหงิด เด็กหนุ่มเข้าใจดีว่ามันอาจจะทำใจยากกับการที่ต้องเป็นเพื่อนกับคนที่เพิ่งหักอกตัวเองไป แต่อย่างน้อยอีกฝ่ายก็ควรจะมองเห็นในความปรารถนาดีที่ตนมอบให้อย่างจริงใจบ้าง ไม่ใช่โยนทุกอย่างทิ้งและหนีหายไปคนเดียวเหมือนทุกอย่างที่เกิดขึ้นในค่ำคืนสุดท้ายที่เจอกันนั้นไม่มีความหมายเช่นนี้

        ความใจหายและหงุดหงิดได้พัฒนาจนกลายเป็นความโกรธจัดอย่างสมบูรณ์แบบหลังจากที่ภูโดนทางต้นสังกัดเรียกเข้าพบเพื่อแจ้งข่าวสำคัญ และได้รู้ว่าสิ่งที่จอสทิ้งเอาไว้ให้กับตนนั้นไม่ได้มีเพียงแต่งานอีเวนท์เท่านั้น เมื่อผลการพิจารณาคัดเลือกกลุ่มนักแสดงฝึกหัดที่จะได้มีผลงานอย่างเป็นทางการกับทางช่องเป็นชุดแรกที่แต่เดิมเป็นจอสที่ถูกวางตัวเอาไว้โดยพิจารณาจากคะแนนความนิยมที่สูงที่สุด ตอนนี้เมื่อเจ้าตัวไม่อยู่แล้วหวยจึงมาออกยังผู้ที่มีอันดับความนิยมรองลงมาเช่นภูแบบเต็มๆ เมื่อนรกซึ่งแต่เดิมคิดว่ายังอีกยาวนานกว่าจะมาถึงจู่ๆ ก็ได้มาจ่อชิดชนิดหายใจรดต้นคอแบบไม่คาดฝันเช่นนี้ ภูจึงทำอะไรได้ไม่มากไปกว่าข่มอาการไม่ให้สติแตกต่อหน้าผู้ใหญ่และก้มหน้ายอมรับไปตามผลการพิจารณานั้นโดยไม่มีข้อโต้แย้ง

        เด็กหนุ่มเขม้นมองบทละครเล่มหนาในมือของตนด้วยสายตาจงเกลียดจงชังมาตลอดทางระหว่างกลับบ้าน ใจอยากจะเปิดกระจกหน้าต่างรถแล้วโยนมันทิ้งออกไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็รู้ดีว่าปัญหาใดๆ ที่ตนกำลังเผชิญอยู่ไม่อาจแก้ไขได้ง่ายๆ ด้วยวิธีเช่นนั้น แม้บทที่ได้รับจะไม่ใช่พระเอกแต่ก็ถือเป็นตัวละครหลักที่มีความสำคัญกับเนื้อเรื่องไม่ใช่เพียงแค่เดินผ่านฉากแล้วจบกันไป บทพูดยาวเหยียดนั้นไม่ใช่ปัญหาเลยแม้แต่น้อยสำหรับสมองที่มีพรสวรรค์ในการท่องจำอันเป็นเลิศของภู แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงอย่างแท้จริงคือเขาจะพูดมันออกมาอย่างไรให้เป็นธรรมชาติสมบทบาทต่างหาก ภูหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากในกระเป๋าและเลื่อนไปยังเบอร์ของจอสที่ถูกโทรออกครั้งสุดท้ายเมื่อหลายวันก่อนพลางนึกในใจว่าหากเป็นจอสคงไม่ยากเลยที่จะรับมือกับอะไรแบบนี้ ไม่ว่ามันจะมาแบบฉุกละหุกหรือปัจจุบันทันด่วนแค่ไหน ที่ผ่านมาแม้เจ้าตัวจะไม่ได้ตั้งใจ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าจอสได้กลายเป็นครูคนหนึ่งของภูไปแล้ว ด้วยทุกครั้งที่ทำงานร่วมกันภูจะคอยศึกษาวิธีการแสดงออกต่อหน้ากล้องและบรรดาผู้คนจากจอสอยู่เสมอ จนในที่สุดก็ปรับตัวจนดูเป็นธรรมชาติได้

        แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าไม่มีใครรอรับอยู่ที่ปลายสาย แต่ภูก็ยังอดไม่ได้ที่จะกดโทรออกไปเพื่อปลอบประโลมความสิ้นหวังในหัวใจของตนให้ทุเลาลงบ้าง แต่ทันทีที่สายถูกต่อจนติด การตอบรับจากปลายทางในครั้งนี้กลับไม่เหมือนเมื่อหลายวันก่อน แทนที่จะตัดเข้ากล่องฝากข้อความบัดนี้ปลายสายกลับมีสัญญาณรอสายดังขึ้น แม้จะยังไม่มีผู้รับสายแต่แค่นั้นก็มากพอที่จะทำให้ภูต้องยืดหลังนั่งตัวตรงด้วยความตื่นเต้นและเฝ้ารอการตอบรับอย่างใจจดใจจ่อ เสียงสัญญาณดังอยู่พักใหญ่ก่อนจะตัดเข้ากล่องฝากข้อความเสียงหลังจากไม่มีผู้รับสาย แต่ภูยังไม่ยอมถอดใจยอมแพ้ ลางสังหรณ์บอกกับเขาว่าให้กดโทรซ้ำไปอีกจนกว่าจะมีคนรับ จนกระทั่งปาเข้าไปรอบที่สิบปลายสายจึงยอมกดรับในที่สุด

        “จะโทรมาทำไมเยอะแยะเนี่ย?” เสียงหงุดหงิดรำคาญของจอสดังมาจากปลายทาง

        “อ้าว…” ภูงงไปหมด “ทำไมรับสายได้ล่ะ?”

        “ก็ไม่เห็นจะหยุดโทรสักที รำคาญ คนเค้าเล่นเกมอยู่ จะตีป้อมก็ไม่ได้ตี!” จอสโวยวายมาตามสาย

        “นี่นายอยู่ที่ไหน?” ภูถาม

        “ไม่บอก” จอสไม่ยอมตอบ

        “แต่รับสายจากเบอร์นี้ได้ แสดงว่าไม่ได้อยู่ต่างประเทศแน่ๆ” ภูประติดประต่อเอาเอง

        “อ่ะฮะ เดาเก่ง” จอสยอมรับ

        “งั้นก็กลับมาทำงานของตัวเองเดี๋ยวนี้เลยนะไอ้บ้าเอ๊ย!!” ภูว๊ากออกไปลั่นรถจนคนขับหันมามองจึงค่อยรู้สึกตัวแล้วลดเสียงลง “รู้ไหมทำชีวิตคนอื่นเค้าวุ่นวายแค่ไหน แล้วนี่ยังโดนช่องจับมายัดลงละครแทนนายอีกเนี่ย!”

        “อู้ววว เดบิวต์ ยินดีด้วย” จอสทำเสียงล้อเลียนมา “จะรอชมผลงานนะ”

        “กลับมาเดี๋ยวนี้เลย!” ภูฉุนขาด

        “กลับน่ะกลับแน่ แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้” จอสยังเล่นตัว “นี่มันช่วงพักร้อนของจอส”

        “พักร้อนบ้าบออะไรอีก?” ภูปวดหัว แต่ลึกๆ ก็โล่งใจที่อีกฝ่ายยังมีอารมณ์กวนประสาทตนได้ ไม่ได้จมกับความเศร้าหรือจิตตกอย่างที่กังวลว่าจะเป็น “นึกว่าหนีหายไปไหนแล้ว ทำเอาคนเขาเป็นห่วงแทบแย่”

        “คิดถึงล่ะเซ่…” เสียงของจอสฟังดูกระหยิ่มยิ้มย่องจนออกนอกหน้า “บอกแล้วว่าขาดเราไปนายจะรู้สึก”

        “ตกลงจะยังไม่กลับมาใช่ไหม?” ภูถามย้ำอีกครั้ง

        “ขอเวลาอีกสักพักนะ” จอสตอบกลับมา น้ำเสียงเป็นจริงเป็นจังกว่าเมื่อครู่ “เรากำลังพยายามอยู่”

        “พยายาม?” ภูไม่เข้าใจ

        “ก็… พยายามทำใจให้คิดกับนายเป็นเพื่อนไง” จอสหัวเราะแหะๆ “คือเอาจริงๆ ตอนนี้ก็เป็นเพื่อนได้แล้วแหละ แต่ก็ยังกลัวตัวเองจะหึงหวงเวลาเห็นนายกับไอ้ลุงนั่น แล้วก็ยังกลัวว่าถ้าทำงานด้วยกันอาจจะเผลอคิดเลยเถิดไปอีก”

        “อ้อเหรอ...” ภูหายสงสัย “งั้นก็พยายามต่อไปแล้วกันนะ”

        “นายก็ด้วยล่ะ” จอสตอบกลับด้วยคำเดียวกัน “พยายามเข้า ขอโทษที่ทิ้งงานหนักเอาไว้ให้นาย แต่นายทำได้อยู่แล้วล่ะ”

        “แน่ใจนะว่าจะไม่กลับมาเล่นเอง?” ภูถามย้ำอีกครั้ง

        “ไม่อ่ะ” จอสยังยืนยันคำเดิมก่อนจะเพิ่มเติมด้วยเหตุผลน่าหมั่นไส้ “ถ้าจะให้จอสเล่น ต้องบทพระเอกเท่านั้น”

        “คาแรกเตอร์ไม่ตรงกับบทพระเอกนะ ถ้ามาสายตัวร้ายน่าจะรุ่งกว่า” ภูขัดคอ

        “รีบๆ วางสายไปเลยป่ะ…” จอสหมดอารมณ์จะคุยต่อ

        ภูหัวเราะชอบใจทิ้งท้ายก่อนจะกดวางสาย การได้คุยกับจอสแม้จะไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่แต่ก็ช่วยได้มากทีเดียวในเรื่องของความรู้สึก เพราะอย่างน้อยตอนนี้เขาก็ไม่ต้องคอยรู้สึกผิดและกังวลใจว่าอีกฝ่ายจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรหรือตกอยู่ในสภาวะทางอารมณ์แบบไหน

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด