FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: FIRST LOVE NEXT DOOR ♥ เปิดซิงหัวใจกับนายข้างบ้าน  (อ่าน 72503 ครั้ง)

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
        เมื่อกลับมาถึงบ้าน พ่อกับแม่ดูจะมีความรู้สึกกับข่าวใหญ่นี้ในด้านบวกจนเหมือนลืมคำนึงถึงศักยภาพของลูกตัวเอง ภูปวดหัวขึ้นมาติดหมัดที่ทุกคนดูจะเห็นดีเห็นงามกับเรื่องนี้กันไปเสียหมด ทันทีที่ขึ้นมาอยู่ตามลำพังในห้องนอนของตนเอง เด็กหนุ่มก็รีบโยนบทละครที่เพิ่งได้รับมาไปไว้บนโต๊ะแล้ววางทับด้วยตำราเรียนเพื่อหลอกตัวเองว่ามันไม่ได้อยู่ตรงนั้นก่อนจะเปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คขึ้นเพื่อเตรียมทำการทักทายเหล่าแฟนคลับของตนตามตารางที่วางเอาไว้กับส้มและพิมผู้เป็นหัวเรือใหญ่ประจำเว็บเพจ แต่เมื่อพบว่ายังเหลือเวลาอีกเกือบครึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงเวลานัดเขาจึงฆ่าเวลาด้วยการเข้าใปเยี่ยมชมในเว็บบอร์ดหลังจากที่ไม่ได้แวะเวียนเข้าไปมานาน

        ท่ามกลางกระทู้ที่ดูจะเป็นหัวข้อสนทนาปกติทั่วไปนั้น มีกระทู้หนึ่งที่เพิ่งถูกตั้งขึ้นไม่นานก่อนที่ภูจะเข้ามา หัวข้อมีเพียงเครื่องหมายคำถามสามตัวที่เรียงติดกันทำให้ไม่อาจคาดเดาได้ว่าเนื้อหาข้างในเกี่ยวกับอะไร ภูเลื่อนคลิกเมาส์ผ่านมันไปแล้วรอบหนึ่งแต่ความรู้สึกแปลกๆ ที่บรรยายไม่ถูกซึ่งรบกวนจิตใจอยู่กลับไม่ยอมให้มันผ่านเลยไปง่ายๆ เมื่อคิดว่าไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้วเด็กหนุ่มจึงตัดสินใจกดเข้าไปดูเพื่อจะได้ไม่ต้องมีอะไรค้างคาใจอีกต่อไป

        หากว่าหัวข้อของกระทู้นั้นดูไร้แก่นสารแล้ว เนื้อหาข้างในยิ่งเป็นขั้นกว่าของมัน ทั้งกระทู้มีเพียงลิงค์ของอินสตาแกรมวางเอาไว้ซึ่งเมื่อกดตามเข้าไปดูก็พบว่าเป็นเพียงแอคเคาท์ใหม่ที่เพิ่งเปิดขึ้นและยังไม่มีการอัพโหลดภาพหรือเนื้อหาใดๆ ลงไปเลย แต่ถึงกระนั้นบางอย่างก็ยังรบกวนจิตใจของภูจนไม่อาจจะกดปิดหน้าจอนั้นลงได้

        “ดูอะไรอยู่?” เสียงของกรรณร้องถามพร้อมๆ กับที่เจ้าตัวเข้ามาสวมกอดภูจากทางด้านหลัง

        “ปะ.. เปล่าครับ” ภูรีบกดซ่อนหน้าจอนั้นทั้งที่ไม่มีอะไรที่ต้องปิดเป็นความลับ ทั้งหมดเป็นปฏิกิริยาตอบสนองจากความตกใจล้วนๆ “พี่กลับมาแล้วเหรอ?”

        “กลับมาแล้วครับ กว่าจะได้กลับมาเหนื่อยแทบตาย” กรรณหอมแก้มเด็กหนุ่มฟอดใหญ่ก่อนจะย้ายมาฝังจมูกลงบนเส้นผมและส่ายหน้าไปมาเบาๆ “คิดถึงจังเลย”

        “คิดถึงแต่ไม่ค่อยจะโทรมาหาเลยนะ ถ้าผมไม่โทรหาเองก็คงไม่ได้คุยกันเลยล่ะมั้ง” ภูบ่นตัดพ้อกับพฤติกรรมเงียบหายของกรรณตลอดช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา

        “ยุ่งทั้งวันเลยครับ ขอโทษนะ” กรรณก้มหน้านิ่ง “บางวันกว่าจะว่างก็ดึกมากแล้ว กลัวว่าโทรมาจะรบกวนเวลาพักผ่อนนายเปล่าๆ”

        “แล้วนี่จัดการทุกอย่างเสร็จหมดแล้วเหรอครับ?” ภูเลิกงอนเพราะไม่อยากทำตัวงี่เง่าให้เสียบรรยากาศ

        “เสร็จหมดแล้ว ตอนนี้ก็เป็นเด็กกำพร้าโดยสมบูรณ์แบบ” กรรณล้อเลียนตัวเอง

        “มีใครที่ไหนเค้าทำตลกกับเรื่องแบบนี้ออกกันด้วยหรือไง?” ภูขำไม่ออก

        “หมดเวลาเศร้าแล้วล่ะ แม่ไม่อยู่แล้ว พี่สิต้องอยู่ต่อไป” กรรณสูดหายใจเข้าปลุกใจตัวเอง “จะมีเสียดายอยู่บ้างก็ตรงที่แม่ไม่ทันได้เห็นว่าลูกชายได้เมียน่ารักขนาดไหน”

        “อาจจะเป็นโชคดีของแม่พี่แล้วล่ะที่ไม่ได้เห็น” ภูอดโล่งใจไม่ได้

        “แล้วเมื่อกี้ทำอะไรอยู่ ทำไมพี่เข้ามาต้องรีบกดปิด?” กรรณถาม แต่คำถามนั้นเหมือนจะเป็นแค่การปูทางไปสู่สิ่งอื่นเพราะตอนนี้มือของผู้ถามได้ล้วงเข้าไปในเสื้อของผู้ถูกถามเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

        “พี่อย่า ไม่เอา พ่อกับแม่อยู่ข้างล่าง” ภูพยายามหยุดการเล้าโลมนั้นแต่ก็ดูไม่ค่อยเข้มแข็งเท่าที่ควรเนื่องจากเกิดอ่อนระทวยขึ้นมากระทันหันเมื่อกรรณจูบเข้าที่ต้นคอเบาๆ

        “ล๊อคห้องแล้ว ไม่ต้องกลัวหรอก” กรรณเสริมความมั่นใจให้ขณะที่มือขยันก็ไม่หยุดความพยายามที่จะล้วงผ่านขอบเอวกางเกงของภูเข้าไปแม้ว่าอีกฝ่ายจะพยายามต่อต้านอย่างสุดชีวิต “แล้วยังไม่ตอบเลยเมื่อกี้แอบทำอะไร?”

        “เปล่าครับ…” ภูไม่รู้จะตอบอะไรซ้ำยังโดนลูบคลำจนหัวมึนตื้อคิดอะไรไม่ออก “พี่ไปหื่นมาจากไหนเนี่ย?”

        “ก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ตั้งนาน ตอนนั้นที่สุโขทัยก็หนีไปนอนโรงแรมกับพ่อแม่ ไม่ยอมมานอนบ้านด้วยกัน” กรรณยิ้มออกมาหลังจากได้ยินเสียงครางอ่อยๆ ของภูดังแว่วหลุดออกมาจากปาก

        “พูดยังกับตัวเองในตอนนั้นมีอารมณ์จะทำงั้นแหละ” ภูนึกถึงสีหน้าเหมือนแบกน้ำทะเลทั้งมหาสมุทรเอาไว้บนบ่าที่ประดับอยู่บนใบหน้าของกรรณตลอดช่วงงานศพแม่

        “อย่างน้อยได้นอนกอดก็ยังดีนี่นา” กรรณใจเต้นโครมคราม อาการเหนียมอายอันเป็นจริตโดยธรรมชาติของภูทำให้เขาตื่นตัวจนแทบคลั่งได้เสมอ “เพราะงั้นวันนี้ต้องมีการชดเชยเกิดขึ้นหน่อยแล้ว…”

        “อย่าดิ ผมจะไลฟ์เพจ ได้เวลาแล้ว” ภูอ้าง ทั้งที่ความจริงยังเหลือเวลาอยู่นิดหน่อย

        “ไลฟ์เลย เค้าจะได้รู้กันสักทีว่าไอ้หน้าหวานๆ อย่างเนี้ย มีเจ้าของแล้ว” กรรณไม่หยุดแถมตั้งท่าจะแย่งการควบคุมของคอมพิวเตอร์มาให้ตนเอง

        “ไม่เอา เดี๋ยวชดเชยให้ก็ได้ แต่ดึกๆ ก่อนนะ ให้พ่อกับแม่นอนก่อน” ภูต่อรองหลังจากนึกทบทวนดูจนมั่นใจแล้วว่าพรุ่งนี้ไม่มีการเรียนหรือคิวงานรออยู่

        “ก็ได้…” กรรณยอมตกลง แต่ถึงกระนั้นก็ยังนัวเนียไม่ยอมไปไหน “บางทีก็เสียดายนะ มีแฟนน่ารักแต่อวดใครไม่ได้”

        “ตกลงมีผมไว้อวดคนอื่นเหรอ?” ภูถามน้ำเสียงเอาเรื่อง

        “ไม่ใช่อย่างนั้น จะว่าไงดีล่ะ เวลามีคนมารุมล้อมมากๆ มันก็หวงเป็นนะ บางเวลาก็อยากแสดงความเป็นเจ้าของบ้าง” กรรณยิ้มเขินกับการทำตัวเป็นเด็กจนเกินวัยของตน

        “ก็ทำสิ ใครว่าอะไรล่ะ” ภูไม่ขัด “ไม่กลัวพี่ช้างแหกอกก็เอาเลย ทำไปเลย ผมไม่ว่า”

        เมื่อได้ยินชื่อพี่ช้างกรรณก็ถึงกับหมดอารมณ์ ชายหนุ่มผละออกจากหลังเก้าอี้ไปล้มตัวลงนอนบนเตียงซึ่งอยู่ข้างๆ ขณะที่ภูเหลือบมองเวลาและพบว่าถึงกำหนดการณ์ที่นัดเอาไว้กับทางเพจพอดี เขารีบกดเปิดหน้าจอที่พับซ่อนเอาไว้ขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะพบว่าหน้าจออินสตาแกรมลึกลับที่ถูกเปิดค้างเอาไว้ตั้งแต่เมื่อครู่ บัดนี้มีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม รูปภาพใหม่หนึ่งรูปถูกอัพโหลดเข้ามา ครั้นมองดูแวบแรกเด็กหนุ่มยังคงไม่รู้ว่ามันคือรูปอะไร จนกระทั่งกดเข้าไปดูภาพขยายใหญ่สิ่งที่เห็นก็ทำให้อุณหภูมิของร่างกายตกฮวบลงในทันที เมื่อบุคคลที่กำลังยืนจูบกันอยู่ในภาพนั้นคือเขาและกรรณ

        “อะไรกันเนี่ย…” ภูไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง แต่เด็กหนุ่มในรูปนั้นคือตนไม่ผิดแน่ ช่วงเวลาที่ถูกบันทึกภาพน่าจะเป็นวันที่ทั้งสองออกไปซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่หลังจากที่ภูหายป่วย ไม่ผิดแน่เมื่อดูจากทั้งการรวบผมที่ซ่อนเอาไว้ใต้หมวกกับแว่นที่ใส่เพื่อพรางใบหน้านั้น

        “หือ?” กรรณเริ่มผิดสังเกตกับท่าทีของภูจึงลุกจากเตียงขึ้นมาดูที่หน้าจอบ้าง และทันทีที่ได้เห็นปฏิกิริยาตอบสนองของเขาก็เป็นไปในทิศทางเดียวกับภูไม่มีผิดเพี้ยน “เวรแล้วไง…”

        โดยไม่รอให้ทั้งสองตั้งตัวได้ทันตั้งตัว หน้าจอรีเฟรชตัวเองอีกครั้งพร้อมกับภาพใหม่ที่ถูกอัพโหลดเพิ่มเข้ามา เป็นภาพเดิม ถ่ายจากมุมเดิม แต่ในระยะการซูมที่ใกล้มากขึ้นกว่าเก่าทำให้สามารถระบุรูปพรรณสัณฐานของบุคคลในภาพได้ง่ายยิ่งขึ้น ก่อนจะตามมาด้วยภาพที่สามในอีกไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น และภาพที่สี่ จนมาจบที่ภาพสุดท้ายซึ่งระยะการซูมสูงสุดจนเห็นใบหน้าของทั้งคู่ได้อย่างชัดเจน ทันทีที่ดึงสติกลับมาเข้าตัวได้ภูรีบเลื่อนหน้าจอขึ้นไปดูจำนวนผู้ติดตามของแอคเคาท์นี้ก่อนจะต้องสะพรึงเมื่อพบว่ารูปทั้งหมดน่าจะออกสู่สายตาผู้ใช้งานอินสตาแกรมไปแล้วอย่างน้อยหกร้อยคน

        ภูรีบกลับเข้าไปในเว็บเพจเพื่อควบคุมความเสียหาย แต่ก็พบว่าช้าเกินไปเสียแล้ว เมื่อภาพเหล่านั้นถูกแชร์ออกไปในระยะเวลาไล่เลี่ยกับที่ถูกอัพโหลดขึ้นในอินสตาแกรม เสียงเตือนข้อความเข้าจากกล่องข้อความส่วนตัวในเพจดังขึ้นรัวสนั่นจนภูเสียขวัญต้องรีบกดปิดหน้าจอหนีออกไปตั้งสติ แต่ก็ใช่ว่าจะหนีพ้นเมื่อเสียงโทรศัพท์มือถือของภูก็ดังขึ้นตามมาในเวลาไม่กี่นาที เป็นเบอร์ของพี่ช้างที่โทรเข้ามา ภูไม่กล้ารับสายด้วยไม่รู้จะอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นว่าอย่างไร เสียงเรียกเข้าดังขึ้นจนเงียบไปก่อนจะไปดังต่อที่เครื่องของกรรณ

        “สวัสดีครับพี่” กรรณตัดสินใจรับสาย เขาส่งสัญญาณให้ภูอยู่เงียบๆ เอาไว้ขณะที่ตนตอบคำถามของพี่ช้างที่ยิงกระหน่ำมาเป็นชุดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ครับ เห็นแล้วครับพี่ ใช่ครับ ผมเอง… ไม่ทราบเหมือนกันว่าใครเป็นคนถ่ายครับ… น้องไม่รู้เรื่องครับ… ขอโทษครับ ไม่มีอะไรจะแก้ตัวเลยครับ”

        เป็นเวลาหลายนาทีเลยทีเดียวที่กรรณมีเพียงคำขอโทษและการก้มหน้ายอมรับสิ่งใดก็ตามที่พี่ช้างกำลังโวยวายอยู่ในสายโทรศัพท์ แต่ภูก็รู้ดีว่านี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของความวินาศสันตะโรครั้งใหญ่ที่กำลังจะตามมา ไม่ต้องห่วงเลยว่าอีกไม่นานเกินรอเขาจะต้องถูกทางช่องเรียกเข้าไปชี้แจงถึงที่มาของภาพเหล่านี้เป็นแน่ และหากเท่านั้นยังไม่มากพอ นอกจากต้นสังกัดแล้วก็ยังมีเพื่อนที่มหาวิทยาลัยอีกเป็นฝูงตลอดจนคนรู้จักและบรรดาญาติที่ภูจะต้องคอยชี้แจงตัวเองผ่านการตอบคำถามทิ่มแทงใจที่พวกนั้นจะรุมกระหน่ำถามเข้ามาอีก แต่ในขณะที่เด็กหนุ่มมัวแต่กังวลถึงปัญหาที่จะมาจากภายนอกนั้น เขาก็ลืมคิดไปว่าบางทีสิ่งที่น่าเป็นกังวลที่สุดในยามนี้อาจจะอยู่ในบ้านของตนเอง ห่างออกไปเพียงไม่กี่เมตรที่ห้องรับแขกชั้นล่าง

        “พ่อนายต้องไม่ชอบใจแน่…” กรรณพูดขึ้นมาอย่างหวาดหวั่นหลังจากวางสายพี่ช้างไปแล้ว

        “พ่อไม่เล่นโซเชียลครับ คงเห็นยากหน่อย ถ้าปิดดีๆ ก็พอได้ หวังแค่ให้มันไม่เป็นข่าวใหญ่ก็พอ” ภูบอกทั้งตัวเองและกรรณไปพร้อมๆ กัน

        เสียงฝีเท้าที่เดินขึ้นบันไดมาทำให้การสนทนาของทั้งคู่หยุดลงทันที ภูเงี่ยหูฟังจนกระทั่งมันมาหยุดที่หน้าห้องของตน ลูกบิดถูกหมุนแต่ติดที่กรรณลงกลอนเอาไว้จึงไม่อาจเปิดเข้ามาได้

        “ภู ล๊อคห้องทำไม?” เสียงของแม่ดังมาจากหลังประตู

        “แป๊ปนึงครับ” ภูส่งเสียงตอบก่อนจะตรวจดูสภาพของตนจนมั่นใจว่าเรียบร้อยดีจึงค่อยเดินไปเปิดประตู “แม่มีอะไรรึเปล่าครับ?”

        “มีสิ…” สีหน้าแม่ดูไม่สบายใจ สายตามองข้ามไหล่ภูเข้ามาหากรรณที่ยืนหน้าซีดอยู่ข้างใน “ลงมาข้างล่างหน่อย ทั้งคู่เลย”

        ภูพยักหน้า ใจพยายามคิดในแง่ดีว่าการเรียกพบของผู้ปกครองในครั้งนี้คงเป็นแค่จังหวะประจวบเหมาะบังเอิญพอดี ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับรูปสุดฉาวที่เพิ่งถูกปล่อยให้ออนไลน์ไปหมาดๆ เด็กหนุ่มเดินตามหลังแม่ลงไปยังห้องรับแขกชั้นล่างโดนมีกรรณตามหลังมาติดๆ สีหน้ากระวนกระวายใจของแม่บ่งบอกว่านี่ไม่ใช่เรื่องดีแน่และเมื่อเห็นสีหน้าโกรธจัดของพ่อที่นั่งรออยู่ในห้องรับแขก ภูก็ยิ่งมั่นใจกว่าเดิมว่านอกจากจะไม่ใช่เรื่องดีแล้วมันยังต้องเลวร้ายมากอย่างแน่นอน

        “พ่อมีอะไรเหรอครับ?” ภูพยายามทำใจดีสู้เสือเผื่อว่าลางสังหรณ์ของตนจะผิดพลาด

        “มีอะไรจะอธิบายเรื่องนี้ไหม?” พ่อเข้าประเด็นทันทีไม่มีอ้อมค้อม ไม่ให้เวลาใครได้เตรียมใจทั้งสิ้น

        “เรื่องอะไรครับ?” ภูทำไขสือ

        “ก็เรื่องฉากรักบันลือโลกของแกไง ความจำเสื่อมเหรอทำอะไรลงไปถึงจำไม่ได้?” พ่อถามกลับมาเสียงเกือบจะเป็นตวาด

        “ผมขอโทษครับ ผมคิดน้อยเกินไป ไม่คิดว่าจะมีคนเห็นเข้า” กรรณรีบออกตัวรับแทน

        “เออ ง่ายดี” พ่อพูดเสียงขึ้นจมูก โมโหสุดขีด “ขอโทษแล้วมันทำให้ชื่อเสียงตระกูลชั้นมันหยุดเสียหายไหม? รู้ไหมว่าตอนนี้เค้ารู้กันทั้งโครตแล้ว ถ้าชั้นไม่ปิดมือถือ ไม่ยกหูโทรศัพท์ออก ป่านนี้ก็ยังโทรมากันไม่หยุด”

        “แล้วเค้ารู้กันได้ยังไง…?” ภูไม่เข้าใจว่าทำไมมันจึงเผยแพร่ออกไปไวและกว้างมากถึงขนาดที่ญาติของตนจะรับรู้ได้

        “ก็มันโผล่เต็มหน้าจอทีวีขนาดนั้นมันจะไม่ไปไวได้ไง แกนี่ปัญญาอ่อนรึเปล่าหา?” พ่อคำรามถามเสียงดังลั่นจนภูสะดุ้งเฮือก

        คำตอบนั้นทำให้ทั้งภูและกรรณเข้าใจในทันทีว่าพวกตนประเมินความร้ายแรงของเรื่องนี้ต่ำไปกว่าความเป็นจริงมาก ไม่ว่าเจ้าของรูปถ่ายพวกนี้จะเป็นใคร เขาไม่ได้เพียงแค่ปล่อยมันลงในอินเตอร์เน็ต แต่ยังส่งต่อให้กับสื่อและพวกนักข่าวอีกด้วย

        “ผมขอโทษครับ ทุกอย่างผมผิดเอง อย่าว่าน้องเลยครับ” กรรณรับผิดทั้งหมดด้วยตนเองเพื่อปกป้องภู

        “แกน่ะผิดแน่อยู่แล้ว!” พ่อของภูตวาดกลับมา “โตเป็นผู้ใหญ่แล้วซะเปล่า ไม่รู้จักว่าอะไรควรไม่ควร ไม่รู้จักปกป้องชื่อเสียงให้น้อง”

        “ขอโทษจริงๆ ครับ” กรรณไม่มีอะไรจะแก้ตัว

        “วันนั้นที่คุยกันชั้นก็บอกแกแล้วใช่ไหม? ถ้าแกมาทำให้ลูกชั้นเสียหายหรือเสียใจ ชั้นไม่เอาแกไว้แน่!” พ่อขู่

        “พ่อ… พอเถอะ เด็กมันก็ยอมรับผิดแล้ว เค้าก็ไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้หรอกนะ” แม่พยายามเกลี้ยกล่อมอีกแรง

        “คนที่ควรจะเครียดเรื่องนี้จริงๆ น่าจะเป็นผมมากกว่านะพ่อ” ภูทนไม่ไหว “ที่เป็นอยู่ตอนนี้ พ่อก็แค่อายเท่านั้นแหละ”

        “เงียบไปเลย” พ่อหันมาชี้หน้าภู “ขึ้นไปรอบนห้อง เดี๋ยวพ่อจะไปเคลียร์กับแกทีหลัง ตอนนี้ขอจัดการไอ้เหลือขอนี่ก่อน”

        “ก็คุยตรงนี้เลยสิ!” ภูขึ้นเสียงกลับ “ผมยอมให้เค้าทำเองอ่ะ เค้าไม่ได้บังคับ ถ้าผิดก็ผิดด้วยกันนี่แหละ”

        แม่รีบดึงภูออกมาจากห้องรับแขก เด็กหนุ่มพยายามขัดขืนแต่แม่ก็พยักหน้าบอกให้ทำตามและพาขึ้นไปยังห้องนอนชั้นสอง จากบนนั้นภูยังคงได้ยินเสียงโวยวายของพ่อที่สาดอารมณ์ใส่กรรณราวกับพายุคลั่ง นี่มันไม่ยุติธรรมเลย… ภูคิดขณะที่มือทั้งสองปิดหูเอาไว้กั้นไม่ให้เสียงแห่งการทะเลาะวิวาทนั้นเล็ดลอดเข้ามาได้ เด็กหนุ่มรู้สึกแย่ที่พ่อเลือกจะโทษว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของกรรณ ทั้งที่ความจริงแล้วมันไม่ใช่ความผิดของใครเลย พวกเขาทั้งคู่ต่างก็เป็นเหยื่อของการล่วงละเมิดสิทธิส่วนบุคคล

        เมื่อคลายมือออก เสียงจากชั้นล่างก็เงียบไปแล้ว ภูมองออกไปยังนอกหน้าต่างห้องนอนก่อนจะพบว่าแสงไฟจากทางฝั่งของกรรณเปิดอยู่ เขาคงกลับไปยังบ้านของตนเองแล้ว ภูรู้ดีว่าตอนนี้อีกฝ่ายคงรู้สึกแย่ไม่น้อยไปกว่าตนเป็นแน่ บางทีอาจจะมากกว่าด้วยซ้ำจากการโดนต่อว่าอย่างรุนแรงจากทุกทิศทางเช่นนี้ เด็กหนุ่มเปิดหน้าต่างออกไปยังระเบียงแล้วจึงข้ามไปยังอีกฝั่งก่อนจะเคาะเบาๆ เข้าที่ประตูทางเข้าบ้านจากชั้นสอง

        “พี่กรรณ เปิดหน่อยครับ” ภูร้องเรียกเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมเปิด

        “นายกลับไปก่อนเถอะ” เสียงแผ่วเบาของกรรณตอบกลับมาจากด้านใน “ขอพี่อยู่คนเดียวสักพักนะ”

        “พี่อย่าคิดมากนะ พ่อก็แค่โกรธ เดี๋ยวหายก็ไม่มีอะไรแล้ว” ภูพยายามบอกให้กรรณไม่ต้องใส่ใจ

        “พ่อนายก็พูดถูก… พี่ทำให้นายกับครอบครัวเสื่อมเสียชื่อเสียง” กรรณยอมรับ “ขอโทษนะ พี่น่าจะคิดให้เยอะกว่านี้ก่อนทำอะไรลงไป”

        “นี่มันไม่ใช่ความผิดเราสองคนด้วยซ้ำ…” ภูหดหู่ใจที่กรรณกลับมาอยู่ในสภาวะจิตตกอีกแล้ว

        “นายกลับไปเถอะ พ่อกำลังโกรธ ถ้าขึ้นมาเจอว่านายแอบมานี่จะยิ่งไปกันใหญ่นะ” กรรณเตือน

        ในเมื่ออีกฝ่ายยังเอาแต่หลบอยู่หลังประตู ภูก็จนปัญญาจะทำให้กรรณรู้สึกดีขึ้น อีกทั้งคำเตือนที่ได้รับก็ควรค่าแก่การพิจารณา เด็กหนุ่มตัดสินใจถอยกลับไปก่อนเพื่อรอให้ความคุกรุ่นในบรรยากาศลดลงกว่านี้ ให้อารมณ์ของกรรณสงบกว่านี้แล้วจึงค่อยมาสานต่อปรับความเข้าใจกันอีกครั้ง

        ภูปีนขึ้นบนขอบรั้วไม้ของระเบียงเตรียมจะข้ามกลับไปยังฝั่งบ้านของตน มันคงราบรื่นไม่มีปัญหาเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมาหากจิตใจของเด็กหนุ่มไม่ได้กำลังว้าวุ่นสับสนเช่นนี้ จะด้วยการคะเนระยะพลาดหรือเพราะใจที่ลอยห่างออกจากตัวก็ตามแต่ แต่ผลของมันก็คือร่างของภูได้หล่นวูบร่วงลงไปกระแทกกับกำแพงด้านล่าง เคราะห์ดีที่จุดปะทะเกิดขึ้นบริเวณลำแขนอาการบาดเจ็บที่ได้รับจึงไม่ถึงขั้นสาหัส แต่มันก็ร้ายแรงพอจะทำให้เขาไม่อาจจะขยับพาตัวเองออกจากตรงนั้นได้

        เสียงร้องโอดโอยของภูเรียกให้ทั้งพ่อและแม่ออกมาดู กรรณก็เช่นกัน เขารีบวิ่งลงมาหาภูที่นอนนิ่งอยู่บนพื้นหญ้า จากการประเมินด้วยสายตากระดูกแขนของเด็กหนุ่มน่าจะหัก แต่ด้วยไม่มั่นใจว่ายังมีกระดูกส่วนอื่นที่หักอีกไหมเขาจึงไม่เสี่ยงที่จะเคลื่อนย้ายหรือขยับตัวคนเจ็บในตอนนี้ แม่ที่ตกใจสุดขีดรีบวิ่งเข้ามาพร้อมกับน้ำตานองหน้าในขณะที่พ่อโวยวายใส่โทรศัพท์เรียกให้รถพยาบาลมารับ จนเมื่อวางสายจึงเดินตามแม่เข้ามาหาลูกชายที่นอนหอบหายใจด้วยความเจ็บอยู่บนพื้น

        “ขอโทษครับ เดี๋ยวผมจะรับผิดชอบค่ารักษาให้ทั้งหมดเอง” กรรณแสดงความรับผิดชอบ

        พ่อของภูตอบรับความปรารถนาดีนั้นด้วยฝ่ามือที่ตบเข้าข้างแก้มของกรรณอย่างแรงจนหน้าหัน ภูอ้าปากจะร้องห้ามแต่ก็เจ็บเกินกว่าจะทำอะไรไหว ได้แต่มองดูกรรณที่ยืนก้มหน้านิ่งตัวสั่นอยู่ต่อหน้าตนโดยไม่อาจช่วยอะไรได้

        “พอกันที… ต่อไปนี้แกห้ามมายุ่งกับลูกชั้นอีก” พ่อยื่นคำขาดกับกรรณ

        “พ่อ… นี่มันไม่เกี่ยวกับพี่เค้านะ มันเป็นอุบัติเหตุ” ภูพยายามอธิบาย

        “แกก็ด้วยไอ้ภู” พ่อหันมาหาภู “ถ้าแกยังคิดว่าตัวเองเป็นลูกพ่อ ต่อไปห้ามแกยุ่งกับมันอีกเด็ดขาด…”

        รถพยาบาลของหน่วยกู้ภัยมาถึงพร้อมกับเจ้าหน้าที่สองคนที่ช่วยกันปฐมพยาบาลเบื้องต้นและนำร่างของเด็กหนุ่มผู้บาดเจ็บขึ้นเปลนำไปใส่ท้ายรถเตรียมส่งโรงพยาบาล ภูไม่มีโอกาสที่จะได้พูดอะไรกับกรรณอีกแม้แต่คำเดียว ทั้งหมดที่ทำได้คือเพียงแค่จ้องมองดูอีกฝ่ายที่มายืนส่งอยู่จนกระทั่งประตูท้ายรถปิดลงกั้นทั้งสองออกจากกัน



To be continued...

2 Episodes left

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ kungverrycool

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
คำถาม ใครคือผู้อยู่เบื้องหลังการปล่อยข่าว?  :katai1:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ใครปล่อยภาพฟระ?

เด๋วตรูจะสั่งคนไปเก็บแม่ม  บังอาจนัก

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ใครเป็นคนปล่อยรูปเนี่ย สงสารพี่กรรณกับน้องภู

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
นี่ถ้าไม่ดีกับจอสแล้ว จะคิดว่าเป็นจอสนะ  :m23:
จอสสสส อยู่ไส ตามเรื่องและจัดการให้เพื่อนบัดเด๋วนี้  :pigangry2:

ออฟไลน์ Dee^daY

  • ไม่เคย ทำให้ใครเดือดร้อน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +330/-6

ออฟไลน์ nunda

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3004
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
สงสารกรรณกับภูมากมาย T_T

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
:katai1: :katai1: :katai1:

เครียดเลย  :katai1:



:เฮ้อ: :a5:  :เฮ้อ:



 :L2: :pig4: :L2:

ดราม่านิดนึง ใกล้จบแล้วววว  :katai4:



:monkeysad: :sad11:

อย่าร้องๆ ให้กำลังใจน้องดีกว่า



คำถาม ใครคือผู้อยู่เบื้องหลังการปล่อยข่าว?  :katai1:

อย่าให้รู้นะว่าใคร  :z3:



:pig4: :pig4: :pig4:

ใครปล่อยภาพฟระ?

เด๋วตรูจะสั่งคนไปเก็บแม่ม  บังอาจนัก

กำลังจะแฮปปี้แล้วเชียวววว



ใครเป็นคนปล่อยรูปเนี่ย สงสารพี่กรรณกับน้องภู

คนบางคนก็ทำไปเพราะความสนุกของตัวเอง แต่ไม่ได้เห็นใจคนที่โดนครับ



นี่ถ้าไม่ดีกับจอสแล้ว จะคิดว่าเป็นจอสนะ  :m23:
จอสสสส อยู่ไส ตามเรื่องและจัดการให้เพื่อนบัดเด๋วนี้  :pigangry2:

อย่าโทษจอส จอสไม่เกี่ยวววว แต่เดี๋ยวมาแน่ คอยดู



สงสารกรรณกับภูมากมาย T_T

เอาใจช่วยน้องด้วยครับ ชีวิตดูลำบากลำบนเหลือเกิน



ตามอ่าน ..

ตามให้จบเลยนะครับ อีกนิดเดียวเองง  :katai4:




ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
Episode 23

        แม้จากการตรวจโดยละเอียดภูจะไม่ได้มีส่วนไหนที่บาดเจ็บร้ายแรงมากไปกว่ากระดูกแขนซ้ายที่หักจนต้องเข้าเฝือก แต่หมอก็ยืนกรานที่จะให้นอนพักอยู่โรงพยาบาลจนกว่าจะเช้าเพื่อเฝ้าดูอาการเผื่อว่าอาจมีความบอบช้ำภายในที่ยังไม่สำแดงออกมา ทั้งพ่อและแม่อยู่ที่โรงพยาบาลด้วยทั้งคืน แม่คอยอยู่เพื่อดูแลภูซึ่งไม่อาจทำอะไรได้ถนัดเมื่อเหลือแขนที่ใช้ได้เพียงข้างเดียว ในขณะที่ทางฝั่งของพ่อเหมือนจะแค่มาเฝ้าเพื่อไม่ให้กรรณแอบเข้ามาหาลูกชายของตนได้มากกว่า ภูใช้จังหวะช่วงที่พ่อลงไปซื้อกาแฟข้างล่างขอยืมโทรศัพท์มือถือของแม่เพื่อโทรหากรรณแต่ก็ต้องผิดหวังเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมรับสาย ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเท่าใดนักเมื่อคิดดูจากสิ่งที่ต้องพบเจอมาทั้งหมดในคืนนี้

        การบาดเจ็บจากอุบัติเหตุไม่อาจใช้เป็นข้ออ้างในการหลีกเลี่ยงสิ่งที่ต้องรับผิดชอบ ทันทีที่ออกจากโรงพยาบาลภูก็ถูกผู้ใหญ่ของทางช่องเรียกตัวเข้าพบด่วนที่สุดเท่าที่จะทำได้ในวันรุ่งขึ้นเพื่อขอคำชี้แจงเกี่ยวกับภาพที่หลุดออกไป การมีชื่อเสียงมักเป็นดาบสองคมเสมอ หากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับนักแสดงฝึกหัดรุ่นเดียวกันคนอื่นๆ ที่ไม่ได้มีกระแสชื่อเสียงหรือผลงานออกสู่สายตาประชาชนมากเท่ากับภู ทั้งหมดที่เขาต้องทำก็คงเพียงแค่เก็บตัวเงียบและปล่อยให้ทุกอย่างจางหายไปเมื่อมีเรื่องใหม่มาให้ผู้เสพข่าวสนใจแทน แต่สำหรับในกรณีของภูนั้นนอกจากข่าวจะไม่ยอมจางหายไปง่ายๆ แล้ว ยังมีการขุดคุ้ยหาข้อมูลของอีกบุคคลหนึ่งในข่าวซึ่งก็คือกรรณออกมาเผยแพร่กันอย่างแพร่หลายชนิดที่ว่าไร้ซึ่งความเคารพในสิทธิความเป็นส่วนตัวของบุคคล

        “เผยโฉมหน้าหนุ่มลึกลับในรูปหลุดจูบสยิว ดีกรีไม่ธรรมดา ระดับช่างภาพอินเตอร์” สาลี่อ่านพาดหัวข่าวในเว็บออกเสียงให้ภูได้ยิน “เห็นหงิมๆ ที่แท้แรงตัวพ่อ งานนี้ไม่รู้ว่าหลุดจริงหรือจงใจปล่อยเรียกกระแส เพราะนายพิภูก็กำลังจะมีผลงานชิ้นแรกกับทางช่องอยู่พอดี”

        “จงใจบ้านมันสิ…” ภูปวดหัวหนึบกับความช่างโยงของผู้คน “แล้วนี่แกไม่มีอะไรอย่างอื่นจะอ่านแล้วหรือไง?”

        “นี่ถ้าชั้นไม่เห็นรูปพวกนั้นกับตา ชั้นก็คงนึกว่าอีพวกนักข่าวมันนั่งเทียนเขียนกันเอาเองนะ เพราะนึกภาพไม่ออกเลยว่าแกจะกล้าทำอะไรแบบนี้ในที่สาธารณะได้” สาลี่ยังวิพากษ์วิจารณ์ต่อ “ต้องขอชม ชั้นมองแกผิดไปจริงๆ ว่ะไอ้ภู เด็ดมาก เย้ยฟ้าท้าดินสุดๆ”

        “ตกลงว่าแกจะช่วยซ้ำเติมชั้นอีกแรงใช่มะ?” ภูเริ่มโมโหขึ้นมาจริงๆ

        หลังจากเสร็จสิ้นการเข้าไปชี้แจงตัวเองกับทางต้นสังกัด ภูเลือกที่จะแวะมาหาสาลี่ที่บ้านเพราะยังไม่อยากกลับไปเผชิญบรรยากาศอันตึงเครียดในบ้านตนเอง แต่ยิ่งอยู่ที่นี่นานขึ้นเท่าไหร่เด็กหนุ่มก็อดที่จะรู้สึกไม่ได้ว่ากำลังหนีเสือปะจระเข้ เพราะเพื่อนซี้ดูท่าจะสนุกสนานกับข่าวฉาวนี้อย่างไม่เกรงใจเจ้าตัวที่นั่งหัวโด่อยู่ตรงหน้าเลยทีเดียว

        “จริงๆ แกน่าจะปลื้มมากกว่านะ ดูความคิดเห็นของพวกคนที่แชร์ข่าวสิ มีแต่คนอยากแก้ผ้าให้แฟนแกถ่ายรูปทั้งนั้นเลย” สาลี่ยังไม่หยุด “ของแกเองก็ใช่ย่อยที่ไหน ดูคอมเม้นนี้สิ บอกถ้าได้แบบน้องภูนี่จะไม่แค่จูบหรอก ต้องเลียให้ล้มเลย”

        “พอแล้วชั้นไม่อยากฟัง” ภูยกหมอนขึ้นมาปิดหู “รู้สึกเหมือนโดนลากมาข่มขืนในที่แจ้งเลยอ่ะ”

        “แล้วแฟนแกเค้าว่ายังไงบ้างกับเรื่องนี้?” สาลี่ถามไปถึงกรรณ

        “ไม่รู้สิ ยังไม่ทันจะได้คุยกันเลย โทรไปก็ไม่ยอมรับสาย” ภูส่ายหน้า หวนนึกไปถึงเรื่องระหว่างพ่อของตนกับกรรณที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้อีกครั้ง

        “ก็ไปหาเลยสิ” สาลี่แนะ

        “จะไปหายังไงล่ะ พ่อไม่ปลื้มแล้ว” ภูมืดแปดด้าน คิดในใจว่าหากบ้านของทั้งสองไม่ได้อยู่ชิดติดกันแบบนี้คงจะลักลอบพบกันได้ง่ายขึ้น “ตอนแรกยังไม่เท่าไหร่ แต่พอชั้นตกจากระเบียงมาแขนหัก เค้าก็โทษว่าเป็นเพราะพี่กรรณแล้วก็สั่งห้ามคบกันเลย”

        “พวกพ่อๆ น่ะไม่เคยปลื้มกับแฟนลูกตัวเองหรอก” สาลี่ยกตัวเองขึ้นมาเป็นตัวอย่าง “แกไม่รู้หรอกไอ้ภู ว่าชั้นเคยโดนพ่อสั่งเลิกคบผู้ชายมากี่รอบแล้ว และถามต่อสิว่าชั้นเคยทำตามที่เค้าสั่งซักรอบไหม?”

        “ไม่เคย” ภูตอบได้โดยไม่ต้องเดา

        “ถูก…” สาลี่พยักหน้า “เพราะชั้นตั้งใจเอาไว้แล้วว่าถ้าจะมีผัวชั้นต้องเลือกด้วยตัวเอง ขืนเอาแต่แคร์คำห้ามของพ่อบ้าง ของแม่บ้าง มันก็ไม่มีใครดีพอหรอก ชาตินี้ขึ้นคานกันพอดี รับฟังความคิดเห็นจากครอบครัวน่ะได้ ถือว่าเป็นเรื่องดี แต่ไม่ใช่ว่าเค้าบอกให้เลิกก็เลิก บอกให้คบใครก็คบ”

        “แล้วใครว่าชั้นจะยอมเลิกตามที่พ่อสั่ง… ก็แค่ตอนนี้ยังคิดไม่ออกว่าจะเอาไงต่อดีก็เท่านั้นแหละ” ข้อนี้ภูรู้อยู่เต็มอก

        “ไม่ต้องให้ซับซ้อนหรอก ถ้าไม่รับสายก็ส่งข้อความไปหา นัดให้เค้าออกมาเจอ ถ้าเค้าแคร์แกจริงเค้าก็จะไม่ปล่อยให้แกรอเก้อ” สาลี่ยุ “ชั้นไม่ได้จะบอกให้แกกบฏกับพ่อตัวเองหรอกนะ แต่เท่าที่ฟัง พ่อแกน่าจะแค่กำลังโกรธอยู่จากการที่ลูกทำงามหน้าก็เลยเป็นแบบนั้น ยิ่งพอเห็นแกเจ็บตัวเพราะปีนหาผู้ชายถึงบ้านก็เลยโกรธกว่าเดิม แต่แกเจ็บอยู่จะเอาความโกรธมาลงกับแกก็ไม่ได้ หวยก็เลยมาออกที่พี่กรรณแบบรางวัลใหญ่เลย”

        “วิเคราะห์ได้ลึกซึ้งมาก” สิ่งที่สาลี่พูดนั้นตรงกับที่ภูคิดไว้

        “ที่รู้ดีขนาดนี้เพราะเคยเจอกับตัวว่ะ” สาลี่ยอมรับ “ป๊าชั้นน่ะชอบคิดเยอะแทนลูก อะไรนิดอะไรหน่อยขัดตาขัดใจก็ไล่ตะเพิดแฟนลูกเหมือนหมูเหมือนหมา แถมพวกผู้ชายก็ชอบจิตอ่อนขวัญกระเจิงบ้าจี้หนีหายกันไปจริงๆ ชั้นถึงหาแฟนยากเย็น”

        “นี่แกไม่คิดจริงๆ เหรอว่าที่มันยากน่ะอาจเพราะตัวแกเอง” ภูเสนอความคิดในอีกมุมมอง

        “ในเวลาที่พึ่งพาใครไม่ได้แล้วแบบนี้ แกคิดจะทำลายพันธมิตรสุดท้ายที่แกมีอยู่จริงๆ เหรอไอ้ภู” สาลี่มองมาด้วยสายตาพร้อมจะฆ่า

        “โอเค แกไม่มีแฟนเพราะพ่อแกดุ โอเคเลย ตามนั้น” ภูยอมเอาตามที่เพื่อนสบายใจ

        “ดีมาก แบบนี้สิเพื่อนกัน” สาลี่หยิบปากกาเคมีขึ้นมาและตรงเข้ามาหาเฝือกของภู “เดี๋ยวขอชั้นเจิมเฝือกแกเป็นคนแรกก่อน แล้วแกก็รีบไปจัดการนัดพี่เค้ามาคุยให้รู้เรื่องได้แล้ว ไม่งั้นเกิดพ่อแกไปขู่ซ้ำจนเค้าขวัญหนีดีฝ่อหนีหายไปกู่ไม่กลับชั้นไม่รู้ด้วยแล้วนะคราวนี้”

        ภูออกจากบ้านของสาลี่มาพร้อมกับลายหัวใจสารพัดสีเต็มพื้นที่เฝือกบนแขนซ้าย เขาเลือกที่จะยังไม่กลับบ้านเพราะรู้ว่าหากเข้าไปแล้วโอกาสที่จะได้ออกมาโดยไม่ถูกพ่อสงสัยนั้นน้อยมาก เช้านี้เขาออกมาตามลำพังได้เพราะพ่อยังต้องไปเคลียร์งานในช่วงเช้า แต่ถ้าเป็นในตอนนี้ที่พ่อคงกลับมาบ้านเรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าเขาจะใช้ข้ออ้างว่าไปที่ไหนพ่อก็ต้องอาสาที่จะขับรถไปส่งอย่างแน่นอน เด็กหนุ่มพยายามนึกหาสถานที่ๆ พอจะพบเจอกับกรรณได้โดยไม่ตกเป็นเป้าสายตา เมื่อนึกออกจึงขึ้นแท๊กซี่และบอกจุดหมายปลายทางที่จะไปก่อนจะพยายามพิมพ์ข้อความทางโทรศัพท์ด้วยมือข้างเดียวอย่างทุลักทุเลเพื่อส่งเป็นนัดหมายให้กรรณออกมาพบ

        ภูลงจากรถเมื่อมาถึงจุดอันเป็นสถานที่นัดหมาย สวนสาธารณะใจกลางเมืองที่ซึ่งเขากับกรรณเคยมาเยือนด้วยความบังเอิญในวันอันเป็นเสมือนเดทแรกของทั้งคู่ แม้เวลาจะผ่านมาเกือบหนึ่งปีแล้วแต่จำนวนผู้คนที่มาเยือนที่นี่ก็ยังคงบางตาไม่ผิดไปจากครั้งก่อน บรรยากาศรอบตัวนั้นเงียบสงบจนทำให้จิตใจที่กำลังว้าวุ่นของเด็กหนุ่มเริ่มสงบตามไปด้วย ภูนั่งลงบนพื้นหญ้าตรงจุดที่เขาเคยเอนกายนอนหลับไปในวันนั้น เกือบจะถึงเวลาที่นัดเอาไว้ในข้อความแล้วทว่าก็ยังไม่มีวี่แววว่ากรรณจะโผล่มา ไม่มีแม้แต่โทรศัพท์สักสายที่จะโทรมาบอกว่าเขารับรู้นัดครั้งนี้แล้ว แต่ภูก็ตัดสินใจที่จะรอต่อไปอย่างเชื่อมั่นว่าท้ายที่สุดแล้วอีกฝ่ายจะไม่ปล่อยให้ตนต้องรอเก้อ

        จิตใจที่สงบเริ่มสั่นไหวจนกระวนกระวายขึ้นทีละน้อยตามเข็มเวลาที่ล่วงเลยผ่านเวลานัดไปมากขึ้นทุกที จากครึ่งชั่วโมงจนล่วงเข้าสู่หนึ่งชั่วโมง จนกระทั่งย่างเข้าสู่ชั่วโมงที่สองแห่งการรอคอย ความอดทนของภูก็หมดลงพร้อมกับแสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ที่ลับขอบฟ้าไป เด็กหนุ่มยันตัวลุกขึ้นยืนและปัดเศษหญ้าออกจากกางเกงขณะที่ตาก็ชะเง้อมองหาวี่แววของกรรณอย่างสิ้นหวัง จนเมื่อตัดใจยอมรับความจริงได้ว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมมาพบกับตนแน่แล้วจึงได้เริ่มขยับขาก้าวเดินพาร่างซึ่งบรรทุกหัวใจที่หนักอึ้งไปด้วยความเครียดของตนเองออกไปจากตรงนั้น คอยสั่งตัวเองในทุกก้าวที่ย่ำเดินลงไปไม่ให้น้ำตาไหลออกมาเมื่อคิดว่าทุกอย่างในความสัมพันธ์นี้คงมาถึงทางตันแล้ว และในตอนนั้นเองที่เสียงเรียกเข้าซึ่งถูกตั้งค่าเอาไว้เป็นเสียงเฉพาะสำหรับเบอร์โทรของกรรณก็ดังขึ้น ภูรีบหยิบมันขึ้นมาและกดรับสาย

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
        “ฮัลโหล…” แม้จะพยายามอดกลั้นอย่างเต็มที่แต่เสียงที่พูดออกไปนั้นก็ยังเจือด้วยลูกสะอื้นจนสัมผัสได้

        “ภู ยังรออยู่หรือเปล่า?” เสียงร้อนรนของกรรณถามมาจากปลายสาย “พี่เพิ่งเห็นข้อความตอนกลับมาถึงบ้านเนี่ย ไม่ได้เช็คโทรศัพท์เลยตั้งแต่ตอนทำงานเสร็จ แล้วนั่นเป็นอะไร? ร้องไห้เหรอ?”

        “ไม่อ่ะ แต่เกือบแล้ว” ภูสูดน้ำมูกที่ทำท่าจะไหลออกมา “พี่รีบมานะ ผมยังรออยู่”

        “ครับ รอแป๊ปนะ พี่จะรีบไป” กรรณบอกก่อนจะรีบวางสายไป

        กรรณมาถึงที่นั่นในอีกไม่กี่นาทีต่อมาด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่มอเตอร์ไซค์รับจ้างจะพามาได้ เขาเดินเข้าไปในสวนสาธารณะพลางชะเง้อมองซ้ายขวาหาภูอยู่ตลอดทาง จนกระทั่งเห็นอีกฝ่ายที่โบกมือเป็นสัญญาณบอกตำแหน่งตนเองอยู่จึงรีบเดินเข้าไปหา

        “นึกว่าพี่จะไม่มาแล้วซะอีก” ภูบอกกับกรรณที่เพิ่งมาถึง

        “ขอโทษนะ พี่ไม่ได้เช็คข้อความ ทำงานเสร็จก็นั่งหลับบนรถตลอดทางกลับบ้านเลย” กรรณมองไปที่เฝือกบนแขนของภู “แล้วนี่เป็นยังไงบ้าง? ยังเจ็บอยู่ไหม?”

        “นิดหน่อยครับ รำคาญเฝือกมากกว่า” ภูชูแขนอวดลวดลายบนเฝือกให้อีกฝ่ายดู “สนใจจะแสดงฝีมือบ้างไหมครับ? ยังมีที่เหลืออีกนิดนึง”

        “ขอโทษนะ เมื่อคืนพี่น่าจะออกมาพานายกลับไปส่งบ้านดีๆ” สีหน้าของกรรณบ่งบอกถึงความรู้สึกผิด “ตอนนั้นพี่คิดอะไรไม่ออกแล้ว ทุกอย่างมันรุมเข้ามาพร้อมกันหมดทุกทางเลย”

        “ผมเข้าใจ” ภูยื่นมือไปจับมืออีกฝ่าย กรรณสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะยอมให้จับเมื่อเหลียวมองรอบตัวแล้วไม่พบว่ามีใครอยู่ เด็กหนุ่มจูงมืออีกฝ่ายและพาไปนั่งลงบนม้านั่งริมน้ำ “ผมก็เจอมาหนักเหมือนกันวันนี้”

        “ทางช่องเค้าว่ายังไงบ้าง?” กรรณถามถึงปฏิกิริยาตอบรับจากต้นสังกัดของภู

        “ก็ตอนนี้ให้งดออกสื่อ ห้ามให้สัมภาษณ์กับสื่อเจ้าไหนทั้งนั้น พี่ช้างก็เลยยกเลิกคิวอีเวนท์ทั้งหมดไปเลย” ภูดูโล่งใจมากกว่าจะเสียดาย “ก็เหลือแค่ละครที่ยังต้องถ่ายอยู่ ก็จะเปิดกล้องเดือนหน้าแล้ว แต่ผมคงต้องไปตามถ่ายทีหลังเพราะแขนคงยังถอดเฝือกไม่ได้”

        “แล้ว… เพื่อนๆ นายล่ะ?” กรรณถามเพราะเท่าที่เขารู้ในบรรดาเพื่อนของภูทั้งหมดมีสาลี่เพียงคนเดียวที่รู้เรื่องความสัมพันธ์ของเขาทั้งสองอยู่แล้ว “ข่าวออกไปแบบนั้น เพื่อนนายรับได้กันไหม?”

        “สบายๆ” ภูทำท่าเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ “ก็มีตกใจกัน ก็แน่ล่ะใครจะไม่ตกใจกับเรื่องแบบนี้ แต่ก็ไม่ได้ส่งผลอะไรกับความเป็นเพื่อนหรอกครับ”

        “แล้วพวกแฟนคลับล่ะ?” กรรณไม่กล้าแม้แต่จะเข้าไปอ่านกระแสตอบรับของบรรดาแฟนคลับที่มีต่อเรื่องนี้ในเว็บเพจของภูเลยด้วยซ้ำ

        “ก็ดูจะรับได้กันนะครับ แต่ก็มีบางกลุ่มที่อยากให้คนในข่าวนี้เป็นจอสมากกว่า” ภูกำลังจะหัวเราะแต่พอเห็นหน้าไม่พอใจของกรรณเมื่อได้ยินชื่อจอสก็รีบเปลี่ยนเรื่อง “พี่ล่ะครับ โอเคไหม?”

        “เรื่องไหนล่ะ?” กรรณถามกลับมา

        “ก็ทุกเรื่องนั่นแหละ” ภูบอก

        “ถ้าเรื่องโดนเอาหน้า เอาประวัติ ชื่อพ่อชื่อแม่ การศึกษา ยันบ้านเลขที่ไปลงเน็ต ก็โอเค พยายามทำเป็นมองไม่เห็นอยู่ ปิดตาตัวเองให้ไม่รับไม่รู้ซะ” กรรณยังรับไม่ได้กับการที่ต้องกลายเป็นบุคคลสาธารณะในชั่วข้ามคืน “ที่ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นยากหน่อยก็สายตาคนมองกับเสียงซุบซิบนินทาแบบซึ่งหน้านี่แหละ”

        “ทีนี้เข้าใจความรู้สึกผมรึยังล่ะ ว่าการถูกคนจับตามองมันอึดอัดแค่ไหน” ภูพูดพลางยิ้มออกมาอย่างขบขันกับสีหน้าท่าทางลำบากใจของกรรณกับเรื่องนี้ ก่อนจะกลับมาจริงจังอีกครั้งกับสิ่งที่จะถามต่อไป “แล้วเรื่องพ่อผมล่ะครับ?”

        “น่ากลัว… ตบแรงมากด้วย” กรรณตอบมาประโยคเดียวแต่เท่านั้นก็ชัดเจนจนไม่ต้องอธิบายอะไรเพิ่ม “แต่ก็ดูแลลูกเค้าไม่ดีเอง โดนตบแบบนั้นก็สมควรแล้ว”

        “มันไม่ใช่ความผิดของพี่นะครับ…” ภูเอนศรีษะไปพิงไหล่อีกฝ่ายเอาไว้ “พ่อพูดแรงเกินไป ไม่จำเป็นต้องว่าพี่ขนาดนั้นเลย”

        “นั่นก็ไม่ใช่ความผิดของพ่อนายเหมือนกัน” กรรณยกแขนขึ้นมาวางมือบนศรีษะของเด็กหนุ่มที่พิงอยู่บนไหล่ของตนก่อนจะลูบเบาๆ “ที่เป็นไปแบบนั้น ก็เพราะท่านรักนายมากนะ”

        “ก็รู้… แต่เล่นใหญ่เกินไปป่ะ” ภูทำหน้ามุ่ย “พี่ก็ไม่ต้องไปคิดมากกับคำพูดพ่อหรอกนะครับ เค้าก็โวยวายโชว์พาวไปอย่างนั้นแหละ เดี๋ยวพอหายโกรธก็ไม่มีอะไรแล้ว”

        กรรณเพียงแค่พยักหน้าว่ารับทราบแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมามากกว่านั้น ภูดูเวลาจากนาฬิกาที่ข้อมือ ตอนนี้เพิ่งจะหนึ่งทุ่มตรง และเนื่องจากเขาขอร้องให้สาลี่ช่วยโกหกกับทางบ้านว่าจะนอนค้างกับเธอที่บ้าน อีกทั้งการไปนอนค้างบ้านกรรณก็สุ้มเสี่ยงเกินไปที่พ่อจะจับได้และยิ่งโมโหหนักขึ้น ดังนั้นตอนนี้ภูจึงต้องพยายามนึกหาสักที่ๆ เขาทั้งสองจะใช้เวลาร่วมกันผ่านพ้นคืนนี้ไปได้อย่างเป็นส่วนตัว

        “ไปโรงแรมกันไหมครับ?” ภูหันไปถามกรรณ ก่อนที่ใบหน้าที่แสดงถึงความตื่นตกใจของอีกฝ่ายจะทำให้รู้ว่าคำถามนั้นฟังดูสองแง่สองง่ามจนเกินไป “ห้ามคิดลามกนะ…”

        “ไม่ให้คิดได้ไง ถามซะขนาดนี้” กรรณหัวเราะออกมาจนได้

        “ยังไงผมก็กลับบ้านไม่ได้อยู่แล้วจนกว่าจะเช้า นอนบ้านพี่ก็เสี่ยงเกินไป ก็ต้องหาที่นอนค้างอ่ะถ้าไม่อยากจะเร่ร่อนอยู่ข้างถนนกันทั้งคืน” ภูอธิบายเจตนาของตนให้ชัดเจน

        “ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องไปโรงแรมหรอก เสี่ยงให้คนเห็นเปล่าๆ” กรรณบอกพร้อมกับหยิบเอาโทรศัพท์ออกมากดโทรหาใครบางคน เขาคุยกับคนในสายอยู่พักหนึ่ง บทสนทนาปิดท้ายด้วยคำขอบคุณชุดใหญ่ก่อนจะวางสายไป “เรียบร้อยแล้วล่ะ ไปกันเถอะ”

        “ไปไหนเหรอครับ?” ภูไม่รู้ว่ากรรณกำลังจะพาตนไปไหนและเกี่ยวข้องอะไรกับคนที่เขาคุยด้วยทางโทรศัพท์เมื่อกี้นี้หรือไม่

        “ตามมาเถอะน่ะ ไม่หลอกไปฆ่าหรอก”

        คำพูดนั้นทำให้ภูยิ้มออกมาเพราะนึกถึงเดทแรกอันแสนมึนงงของทั้งสอง เดทแรกในวันนั้นจบลงที่สวนสาธารณะแห่งนี้ด้วยเหตุอันสุดวิสัย แต่สำหรับวันนี้ สวนแห่งนี้เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น กรรณตัดสินใจเช่ารถเพราะสถานที่ๆ จะไปในวันนี้นั้นไกลจนอาจเดินทางด้วยแท็กซี่ไม่สะดวก แต่เนื่องจากเขาไม่มีใบขับขี่ของประเทศไทย ภูจึงใช้ใบขับขี่ของตัวเองเป็นชื่อผู้เช่าแทน

        “ว่าจะถามหลายรอบแล้ว” ภูหันไปถามกรรณที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย “ทำไมพี่ไม่ซื้อรถ เห็นขึ้นแต่แท็กซี่บ้าง รถไฟฟ้าบ้าง งานแบบพี่ไปไหนก็ต้องเอาของเอาอุปกรณ์ไปเยอะแยะ บางทีมีรถน่าจะสะดวกกว่านะครับ”

        “พี่ไม่ชอบขับรถน่ะ ชอบเป็นผู้โดยสารมากกว่า ความรับผิดชอบน้อยดี” เหตุผลของกรรณช่างเรียบง่าย “รถของพ่อก็มี จอดทิ้งไว้บ้านที่สุโขทัย แต่ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ก็ไม่ขับ เพราะไม่มีใบขับขี่ แล้วอีกอย่างก็ไปอยู่ต่างประเทศมานาน พี่เลยไม่ถนัดขับพวงมาลัยขวาแบบรถในไทย”

        “อ้าว.. แล้วไม่บอก ผมก็ขับแทนไม่ได้ด้วยนะแขนเป็นแบบนี้” ภูเริ่มห่วงสวัสดิภาพขึ้นมาหลังจากได้ยินแบบนั้น

        “ไม่เป็นไร เส้นนี้รถไม่เยอะ สบายๆ” กรรณขยิบตาให้ว่ายังไหวอยู่

        เมื่อพ้นออกจากเขตกรุงเทพมหานครได้ประมาณสองชั่วโมงกว่า กรรณก็จำต้องยอมรับความจริงว่าตนกำลังหลงทาง เขาจอดแวะที่ปั๊มน้ำมันใหญ่อันเป็นจุดสำหรับพักรถเพื่อโทรถามเส้นทางอีกรอบ ภูใช้เวลาขณะที่รอเดินเข้าร้านสะดวกซื้อเพื่อหาอะไรกินแก้ท้องว่างเพราะดูทรงแล้วคงอีกนานกว่าจะไปถึงจุดหมาย เด็กหนุ่มเดินเลือกของขบเคี้ยวที่วางเรียงรายละลานตาอยู่บนชั้นก่อนจะเบี่ยงสายตาออกมองไปยังทิศทางอื่นแทนเมื่อเจอเข้ากับยี่ห้อหนึ่งที่ตนเป็นพรีเซนเตอร์ร่วมกับจอส

        ภูมองไปยังพนักงานประจำร้านที่อยู่หน้าแคชเชียร์ หญิงสาวสองคนอายุไม่น่าจะมากหรือน้อยไปกว่าเขาสักเท่าไหร่นัก ทั้งคู่กำลังมองมาทางตนพร้อมกับกระซิบกระซาบบางอย่าง ในขณะที่อีกคนมองไปยังกรรณซึ่งกำลังยืนคุยโทรศัพท์ถามเส้นทางอยู่ด้านนอกร้านสลับกับภูที่ยืนอยู่ข้างในราวกับกำลังสงสัยไม่แน่ใจ ภูคุ้นเคยกับสายตารูปแบบนี้และรู้ดีว่าทั้งสองกำลังจำตนกับกรรณได้อีกทั้งคงกำลังพยายามประติดประต่อคาดเดาเรื่องตามข่าวที่ได้รับมา ภูถอนหายใจออกมาอย่างเพลียจิตที่แม้จะมาไกลบ้านถึงขนาดนี้แล้วแต่ก็ยังหลีกหนีสายตาที่จับจ้องได้ไม่พ้น เขารีบหยิบขนมสองสามอย่างก่อนจะตรงไปจ่ายเงินแล้วออกไปจากที่นั่นก่อนที่ใครสักคนจะหยิบกล้องหรืออุปกรณ์บันทึกภาพใดๆ ขึ้นมาสวมบทปาปาราสซี่จนได้เรื่องขึ้นมาอีก

        “พี่เสร็จรึยัง? รีบไปกันเถอะครับ” ภูเดินมาเร่งกรรณที่ยังติดสายอยู่

        “ครับ ไปถูกแล้วครับ ขอบคุณมากครับพี่” กรรณบอกขอบคุณคนที่ปลายสายก่อนจะกดวางและหันมาหาภูที่ยืนเร่งยิกๆ อยู่ “อีกนิดเดียวก็ถึงแล้วล่ะ เมื่อกี้พี่ขับเลยตรงจุดกลับรถมา เดี๋ยวย้อนไปหน่อยก็เข้าเส้นทางหลักแล้ว”

        เป็นจริงดังที่กรรณว่า หลังจากกลับมาเข้าเส้นทางหลักได้ มุ่งตรงมาอีกเพียงนิดเดียวก็ถึงทางแยกที่จะเข้าไปยังอำเภอตากฟ้า จังหวัดนครสวรรค์ อันเป็นที่ตั้งของจุดหมายปลายทาง กรรณหักพวงมาลัยเลี้ยวรถเข้ามายังถนนส่วนบุคคลที่ตัดกลางทุ่งกว้างอันเป็นไร่ของพืชบางอย่างซึ่งภูไม่อาจจำแนกชนิดของมันออกได้ในความมืด จนกระทั่งมาสุดทางยังบ้านปูนทรงลอฟท์หลังหนึ่งซึ่งอยู่ท้ายไร่ ประตูรั้วถูกเลื่อนเปิดออกโดยแม่บ้านวัยกลางคนที่รีบวิ่งมาทันทีที่เห็นแสงไฟรถมาจ่อหน้าประตู

        “คุณป้อมโทรมาบอกให้จัดห้องให้แล้วค่ะ” ป้าแม่บ้านคนเดิมบอกกับกรรณที่เพิ่งลงมาจากรถพร้อมกับส่งกุญแจบ้านให้หนึ่งชุด “ป้าเปิดแอร์ในบ้านเตรียมรอไว้แล้ว ถ้ามีอะไรหรือต้องการอะไรเพิ่มเติมก็เรียกได้นะคะ ป้าอยู่ข้างๆ นี่เอง”

        “คุณป้อมนี่ใครเหรอครับ?” ภูถามกรรณขณะเดินตามหลังไปที่ประตูบ้าน

        “พี่ในวงการช่างภาพที่เคยทำโปรเจคด้วยกัน สนิทกันมาก แต่ตอนนี้เค้าไปมีครอบครัวอยู่ที่เยอรมัน” กรรณตอบพร้อมกับไขเปิดประตูเข้าไปข้างใน “บ้านนี้ก็ของเค้านั่นแหละ แต่เค้าจะมาอยู่ก็เฉพาะเวลามีธุระต้องกลับมาทำที่ไทยหรือมาพักผ่อน ปกติแล้วก็จะมีแต่แม่บ้านคนเมื่อกี้ที่คอยอยู่ประจำดูแลทำความสะอาด แต่ก่อนจะไปพี่เค้าก็บอกเอาไว้แล้วว่าถ้าจะมาใช้สถานที่ก็โทรบอกเขาได้ เขาจะจัดการให้ มาได้ทุกเวลา”

        บรรยากาศภายในมืดสนิทมีเพียงเครื่องปรับอากาศที่ทำงานอยู่ ความเย็นทำให้ขนแขนของเด็กหนุ่มลุกชันในขณะที่เท้าก้าวพลาดเตะบางอย่างบนพื้นจนเกือบหัวคะมำ ภูพยายามคลำหาสวิทช์ไฟบนผนังบ้านแต่ก็ไม่เจอ จนกระทั่งกรรณปรบมือดังๆ สองครั้งหลอดไฟทุกดวงในบ้านจึงสว่างขึ้นโดยพร้อมเพียงกัน

        ถุงหิ้วซึ่งบรรจุของกินที่ภูซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อเมื่อสักครู่ถูกกรรณคว้าเอาไปวางไว้บนโต๊ะก่อนที่จะหยิบของที่จำเป็นต้องเก็บไว้ในตู้เย็นออกมาแช่ เมื่อตอนที่เห็นว่าสถานที่นี้ห่างไกลจากตัวเมืองและถนนใหญ่มากแค่ไหนภูก็อดกังวลใจไม่ได้ว่าของกินเล่นที่ซื้อมาอาจจะเป็นเสบียงทั้งหมดเท่าที่มีในคืนนี้ แต่เมื่อเห็นบรรดาอาหารกล่องที่แช่อยู่แน่นขนัดเต็มด้านในตู้เย็นขนาดใหญ่แบบสองประตูนั้นแล้ว ความกังวลที่มีก็คลี่คลายลงในทันที

        “ขึ้นไปรอชั้นบนก่อนเถอะ เดี๋ยวพี่ทำอะไรเสร็จจะตามขึ้นไป” กรรณชี้ไปทางบันได

        ภูพยักหน้าก่อนจะเดินขึ้นบันไดไปตามที่อีกฝ่ายบอก ชั้นสองของบ้านหลังนี้ไม่ได้ถูกกั้นเป็นห้อง ทั้งชั้นเป็นพื้นที่โล่งๆ มีเพียงเครื่องเรือนไม่กี่ชิ้นซึ่งถูกคลุมไว้ด้วยผ้าขาวกันฝุ่นจับ กรรณตามขึ้นมาในอีกไม่กี่นาทีหลังจากนั้นพร้อมด้วยอาหารกล่องซึ่งผ่านการอุ่นเรียบร้อยแล้วในมือ เมื่อเห็นภูยังคงยืนเก้ๆ กังๆ หาที่ลงให้ตัวเองไม่ได้อยู่เขาจึงวางกล่องอาหารเหล่านั้นลงกับพื้นแล้วเดินไปเปิดตู้ลากเอาที่นอนแบบพับได้ขนาดใหญ่ที่อยู่ข้างในออกมาปูวางบนพื้น

        “ทำไมพี่เหมือนรู้จักที่นี่ดีจังเลยครับ?” ภูสงสัยกับการที่กรรณดูจะรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับที่นี่ ตั้งแต่วิธีการเปิดไฟยันตู้เก็บที่นอน

        “เคยมากับทีมงานเพื่อติดต่อขอใช้เป็นสถานที่ถ่ายงานอยู่หลายรอบแล้วล่ะ” กรรณตอบขณะหยิบกล่องข้าวมาและนั่งลงข้างๆ ภูบนที่นอน "แล้วก็เคยมาใช้เป็นที่กบดาน ทำใจให้สงบ ตอนที่เผลอไปจับนายจูบสมัยที่ยังโดนพี่ช้างสั่งห้ามคบกันอยู่”

        “อ้อ ที่แท้ก็หลบมาอยู่ที่นี่เอง" ภูได้คำตอบที่สงสัยมานาน

        “ช่วงนั้นพี่ป้อมเค้ามาทำงานที่ไทยพอดี ก็เลยไปนั่งรอจนเค้าเลิกงานแล้วก็ขอติดรถเค้ามาด้วย ถ้ารู้ว่าต้องมาอีกวันนี้จำเส้นทางเอาไว้ซะตั้งแต่วันนั้นแล้วก็ดี จะได้ไม่หลงจนเสียฟอร์มแบบนี้” กรรณพูดติดตลก

        กรรณส่งกล่องข้าวให้กับภูหนึ่งกล่อง เด็กหนุ่มเพียงแค่มองแต่ไม่รับมาก่อนจะชูแขนข้างที่ใส่เฝือกขึ้นแทนคำอธิบาย กรรณหัวเราะออกมาหลังจากเข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการให้ตนทำอะไร จากนั้นจึงค่อยเปิดกล่องข้าวและตักมาป้อนให้แบบถึงปาก

        “ค่อยๆ กินก็ได้ ไม่ต้องรีบเคี้ยวขนาดนั้นหรอก” กรรณบอกขณะที่มือก็ป้อนไม่หยุด

        “หิวครับ…” ภูตอบทั้งที่ข้าวยังเต็มปาก “ตั้งแต่กลับมาจากที่ผู้ใหญ่เรียบพบเมื่อเช้า ก็ยังไม่ได้กินอะไรเลย”

        “แล้วก็ไม่บอก จะได้พากินตั้งแต่ก่อนจะออกเดินทาง” กรรณป้อนไปอีกคำใหญ่

        “ไม่เป็นไร กินที่นี่แหละดีแล้ว” ภูอ้าปากรับก่อนจะรีบเคี้ยวและกลืนลงคอ “ถ้ากินข้างนอกที่อื่นก็อ้อนให้พี่มาป้อนแบบนี้ไม่ได้น่ะสิ”

        “แขนหักแค่ข้างเดียวก็กินอะไรเองไม่ได้แล้วแบบนี้ ถ้าพี่ไม่อยู่ใครจะมาป้อนนายล่ะ?” กรรณหยุดป้อนแล้วถาม

        “พี่ก็ต้องอยู่สิ ห้ามไปไหน” ภูเอาแต่ใจตัวเองเต็มที่เหมือนทุกครั้งที่อยู่กันตามลำพังเพราะรู้ว่ากรรณต้องยอมตามใจตนอยู่เสมอ

        “พี่ก็อยากอยู่…” กรรณตอบด้วยน้ำเสียงที่ซึมเซาจนภูผิดสังเกต

        นี่ไม่ใช่สัญญาณแรกแห่งความผิดปกติที่ภูรู้สึกถึงมันได้ในค่ำคืนนี้ ตั้งแต่ตอนอยู่ที่สวนสาธารณะ เด็กหนุ่มก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างที่ผิดไปจากเดิม มีบางสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ในสีหน้าและแววตาของกรรณยามเมื่อจับจ้องมาทางตน แม้อีกฝ่ายจะพยายามทำท่าทีเหมือนปกติเพื่อกลบเกลื่อนมันเอาไว้แต่ภูก็ยังคงสัมผัสถึงมันได้อย่างชัดเจน แรกเริ่มภูคิดว่าคงเป็นความรู้สึกหดหู่ที่ตกค้างจากการโดนพ่อของตนต่อว่าอย่างรุนแรงเมื่อคืนก่อน แต่มาถึงตอนนี้เขามั่นใจว่ามันต้องมีอะไรมากกว่านั้นอย่างแน่นอน

        “ข้าวติดมุมปากแน่ะ…” กรรณบอกกับภูหลังจากป้อนคำสุดท้ายเสร็จเรียบร้อย

        ภูตั้งท่าจะยกมือขึ้นปาดเม็ดข้าวออกปากมุมปากตามที่กรรณบอก ทว่าอีกฝ่ายกลับจับมือของเขาเอาไว้ไม่ให้ทำตามต้องการก่อนจะขยับโน้มตัวเข้ามาใช้ริมฝีปากเล็มเก็บมันออกมาให้แทน

        “หิวมากหรือไง…” ภูหน้าแดงก่ำจากสิ่งที่กรรณทำเมื่อครู่ จริงอยู่ที่ตั้งแต่คบหากันมาการจูบก็เหมือนจะเป็นเรื่องปกติไปแล้ว แต่การโดนกระทำโดยไม่ทันตั้งตัวก็ยังทำให้ความเขินอายเกิดขึ้นได้เสมอ

        กรรณตอบโต้คำพูดนั้นด้วยการกระทำแทน เขาโน้มตัวเข้ามาหาภูอีกครั้งและประกบริมฝีปากเข้ามาพร้อมกับใช้น้ำหนักตัวของตนโถมดันให้อีกฝ่ายเอนกายหงายลงบนที่นอนนั้น ภูมองดูทุกการเคลื่อนไหวขณะที่กรรณถอนริมฝีปากออก ยันตัวลุกขึ้นและชูแขนขึ้นถอดเสื้อยืดที่สวมใส่อยู่ออก และเพียงแค่เขาเอื้อมสุดแขนออกไปใช้ปลายนิ้วลากไล้สัมผัสไปตามร่องแนวของกล้ามเนื้อหน้าท้องที่อยู่ตรงหน้านั้น ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของมันก็ถึงกับหลุดส่งเสียงครางต่ำออกมาอย่างสุดจะกลั้น ภูรู้จักเสียงครางแบบนี้ดีจึงหลับตาเตรียมใจรับการจู่โจมระลอกถัดไปของกรรณที่จะต้องมีความรุนแรงเจือปนมาด้วยอย่างแน่นอน

        ภูรู้สึกตัวในอีกไม่กี่วินาทีต่อมาว่าการคาดการณ์ของตนนั้นผิด เมื่อฉากวาบหวิวติดเรทที่คิดเอาไว้กลับไม่เกิดขึ้น กรรณผละออกจากร่างของภูและเพียงแค่ขยับมานั่งอยู่ข้างๆ สิ่งนี้ยิ่งทำให้ภูมั่นใจว่าความรู้สึกของตนนั้นถูกต้อง มีบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับกรรณ

        “พี่อย่าทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ สิครับ..” ภูยื่นมือไปแตะแผ่นหลังของกรรณ เป็นความพยายามอย่างสิ้นหวังที่จะทำทุกอย่างให้กลับเข้าสู่สภาวะปกติให้ได้

        “อย่าเลย อย่า…” กรรณขยับหนี “ขอโทษนะ เมื่อกี้พี่ลืมตัวไป…”

        “ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ครับ” ภูพยายามข่มความรู้สึกแย่ๆ ที่กำลังล้นเอ่อออกมาเอาไว้ในอก เด็กหนุ่มกำลังทุ่มเทความพยายามทั้งหมดที่มีเพื่อทำให้ลางร้ายของตนนั้นไม่กลายเป็นเรื่องจริง เขายันตัวลุกขึ้นและโอบกอดร่างของอีกฝ่ายเอาไว้จากข้างหลัง “ถ้าพี่อยากทำ พี่ก็ทำได้เลย พี่ก็รู้ว่าผมยอมให้พี่ทำอยู่แล้ว…”

        “พี่ว่า…” กรรณสูดหายใจเข้าเหมือนว่าถ้อยคำที่จะพูดต่อจากนี้ต้องใช้กำลังมากมายเหลือเกินในการจะเปล่งเสียงมันออกมา “เราอย่าเจอกันอีก… จะดีกว่านะ”

        เป็นวินาทีที่เหมือนโลกได้ล่มสลายลงตรงหน้า และเป็นวินาทีที่ภูได้รู้ซึ้งว่าลางสังหรณ์ของตนนั้นแม่นยำจนน่ากลัว…


To be continued...

1 Episode Left
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-05-2018 21:15:27 โดย lolito »

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

อีกตอนนึงก็จบ

แต่ทำไมยังมีปมอะไรโผล่มาอีกเนี่ย

เฮ้อ...

ออฟไลน์ cookie8009

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 109
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
ภูมายืนอยู่ที่จุดนี้ก็เพราะกรรณ เพื่อทำให้กรรณพอใจ .... พอเกิดเรื่องแล้วกรรณจะอ้างเหตุผลสวยๆ ทิ้งทุ่นไปอย่างงี้ไม่ได้นะ

เหมือนหล่อ เหมือนเสียสละ แต่จริงๆขี้ขลาด และทิ้งให้ภูเผชิญปัญหาเพียงลำพัง

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
ขอแบบแฮปปี้เน้อ สงสารน้อง

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ซ้อม ซ้อม หน้ามือ หลังมือ  :beat:  ซ้อม ซ้อม วิ่งงงงงง กระโดดดดดด เทคตัวขึ้น ถีบยอดหน้า  :z6:
เตรียมตัวไว้สำหรับไอ้อีตัวปล่อยข่าว
ส่วนอีพี่กรรณ รู้ว่าเรื่องนี้มันหนักมากสำหรับตัวเอง แต่ไม่คิดว่าน้องมันรับเรื่องหนักกว่าตัวเองปะ ใจปลาซิวนิ  :m16:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
พี่กรรณไม่ทำแบบนี้สิ :sad4:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Newtale

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 2
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เพิ่งได้อ่าน2วันที่แล้ว จนอ่านทันก่อนตอนสุดท้ายพอดีเลย พี่กรรณมีประเด็นอีกแล้วววว ขอ happy ending เถอะะะะ ใจจะขาดดด  :hao5: :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ netich

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
:pig4: :pig4: :pig4:

อีกตอนนึงก็จบ

แต่ทำไมยังมีปมอะไรโผล่มาอีกเนี่ย

เฮ้อ...

จะได้มีอะไรให้ลุ้นไงครับ  :katai5:



ภูมายืนอยู่ที่จุดนี้ก็เพราะกรรณ เพื่อทำให้กรรณพอใจ .... พอเกิดเรื่องแล้วกรรณจะอ้างเหตุผลสวยๆ ทิ้งทุ่นไปอย่างงี้ไม่ได้นะ

เหมือนหล่อ เหมือนเสียสละ แต่จริงๆขี้ขลาด และทิ้งให้ภูเผชิญปัญหาเพียงลำพัง

ปัญหาของพี่คือชอบคิดแทนน้องครับ แต่ไอ้ที่น้องอยากให้ทำน่ะไม่ค่อยจะทำ  :ling3:



ขอแบบแฮปปี้เน้อ สงสารน้อง

เดี๋ยววันนี้รู้แล้ว แฮปปี้หรือไม่ รอติดตามนะครับ  :katai4: :katai4:



ซ้อม ซ้อม หน้ามือ หลังมือ  :beat:  ซ้อม ซ้อม วิ่งงงงงง กระโดดดดดด เทคตัวขึ้น ถีบยอดหน้า  :z6:
เตรียมตัวไว้สำหรับไอ้อีตัวปล่อยข่าว
ส่วนอีพี่กรรณ รู้ว่าเรื่องนี้มันหนักมากสำหรับตัวเอง แต่ไม่คิดว่าน้องมันรับเรื่องหนักกว่าตัวเองปะ ใจปลาซิวนิ  :m16:

เห็นใจพี่เค้าหน่อย โดนรุมสับจากทุกทางเลย หนักสุดก็ตรงพ่อแฟนก็หาว่าล่อลวงลูกเค้าไปเสียนี่แหละครับ  :ling3:



o18



 :L2: :pig4: :L2:

ตอนหน้าอวสานแล้ว ขอบคุณที่ติดตามกันมาแต่เริ่มเลยนะครับ



พี่กรรณไม่ทำแบบนี้สิ :sad4:

ทำลงไปแล้ว มาดูว่าผลจะเป็นยังไง  :ling1:



:เฮ้อ:


 :L2: :pig4:

อย่าเพิ่งถอนหายใจ อีกนิดเดียวก็จะจบแล้วว  :katai4:



เพิ่งได้อ่าน2วันที่แล้ว จนอ่านทันก่อนตอนสุดท้ายพอดีเลย พี่กรรณมีประเด็นอีกแล้วววว ขอ happy ending เถอะะะะ ใจจะขาดดด  :hao5: :hao5: :hao5:

เดี๋ยววันนี้รู้แล้ววว ว่าจะแฮปปี้หรือเปล่า แล้วเรื่องจะลงเอยแบบไหน



:katai2-1:

มาทันตอนจบพอดี รอติดตามนะครับ วันนี้อวสานแล้ว



ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
Episode 24 : Finale

        “แม่หวัดดี” ภูยกมือไหว้แม่ที่กำลังง่วนอยู่ในครัว ก่อนจะหันไปหาพ่อแล้วยกมือไหว้เฉยๆ โดยไม่พูดอะไร

        “กินข้าวมาหรือยัง?” แม่ถามพลางดูเวลาจากนาฬิกาบนผนัง “กลับมาซะดึกเลย แม่กับพ่อกินข้าวกันเสร็จแล้ว”

        “ไม่ค่อยหิวครับ” ภูตอบก่อนจะเปิดตู้เย็นหยิบนมกล่องออกมา

        “กินอะไรซะบ้าง จะเหลือแต่กระดูกอยู่แล้ว” แม่มองดูร่างอันบอบบางลงทุกวันของลูกชายอย่างเป็นห่วง

        “ครับ เดี๋ยวถ้าหิวจะกินนะ” ภูรับปากไปแบบส่งๆ ขณะที่เดินออกมาจากห้องครัว

        “เดี๋ยวสิ ให้แม่ทำอะไรไว้ให้กินตอนดึกๆ ไหม?” แม่ร้องถามไล่หลังมา

        ภูได้ยินคำถามของแม่แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป จนเมื่อขึ้นมาถึงห้องนอนของตนแล้วจึงปิดประตูลงกลอน นมกล่องที่ไม่ได้คิดจะกินแต่แรกอยู่แล้วถูกวางทิ้งไว้บนโต๊ะก่อนที่เจ้าตัวจะทิ้งตัวลงนอนฟุบหน้าลงกับหมอนบนเตียง ความเจ็บปวดในอกที่ข่มกลั้นเอาไว้โดยการแสร้งพยายามทำเป็นว่าไม่รู้สึกหวนกลับคืนมาท่วมท้นทั่วร่างอีกครั้ง เด็กหนุ่มใช้หมอนปิดกั้นเสียงสะอื้นจากการร้องไห้เอาไว้ไม่ให้เล็ดลอดออกมาให้ใครได้ยิน

        เกือบสามเดือนแล้วนับตั้งแต่วันที่กรรณขอจบความสัมพันธ์ ในคืนที่เกิดเหตุนั้นภูอดแปลกใจไม่ได้กับความสงบนิ่งของตนเอง ไม่มีความฟูมฟาย โวยวาย หรือดราม่าใดๆ ทั้งสิ้น มีเพียงคำถามที่ร้องขอเหตุผลว่าทำไม แต่เมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมตอบเขาจึงเลิกถามและนั่งนิ่งเงียบมาตลอดทางกลับบ้านจนกระทั่งนำรถมาส่งคืนที่ศูนย์เช่ารถ กรรณกอดภูเอาไว้แน่นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะแยกไป ภูมาเข้าใจตนเองในภายหลังว่าความสงบนิ่งนั้นแท้จริงเป็นเพียงอาการชาของจิตใจที่เพิ่งบาดเจ็บอย่างหนัก เพราะเมื่อความชาเหล่านั้นจางหายไปความเจ็บปวดแบบมหาศาลก็เริ่มโถมทับเข้ามาแทนที่ ภูร้องไห้ตลอดทางนับตั้งแต่แยกจากกรรณจนกระทั่งมาถึงบ้านก็ขังตัวเองอยู่ในห้องไม่ยอมพบเจอใคร เวลาแห่งการจมกองน้ำตาผ่านไปกว่าหนึ่งสัปดาห์ก่อนที่สาลี่จะบุกมาลากตัวเขาออกจากห้องและพยายามทำทุกอย่างให้สภาพจิตใจของเพื่อนซี้ดีขึ้น

        งานแสดงได้เปลี่ยนสถานะจากสิ่งที่ไม่พึงปรารถนามาเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางใจ ละครได้เปิดกล้องถ่ายตามกำหนดที่วางไว้ แต่ทุกฉากที่มีภูเข้าร่วมด้วยจะถูกเก็บเอาไว้ถ่ายทำหลังจากที่เด็กหนุ่มถอดเฝือกออกเรียบร้อยแล้ว เหมือนเป็นเรื่องตลกร้าย เมื่อภูค้นพบว่าหนทางหนึ่งในการเยียวยาความเจ็บปวดให้กับตนเองนั่นคือการสวมบทบาทเป็นคนอื่น เมื่ออยู่ต่อหน้ากล้อง ต่อหน้าผู้คน ภูลบความทรงจำทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเองออกและเปลี่ยนบุคลิกให้เป็นเด็กหนุ่มจากบทละครที่ได้รับมา เด็กหนุ่มผู้มีความสุข มีความรักที่สดใส ซึ่งนั่นทำให้ฝีมือการแสดงของภูก้าวกระโดดจากที่เคยแข็งเป็นท่อนหินท่อนไม้ไปเป็นระดับหวังรางวัลได้ชนิดที่ว่าผู้กำกับและครูสอนการแสดงต้องเอ่ยปากชม

        ภูรู้จากแม่ว่าหลังจากที่กรรณเคลียร์คิวงานที่รับไว้จนหมด เขาก็ย้ายออกจากบ้านข้างๆ และกลับไปอยู่บ้านที่สุโขทัย ซึ่งเด็กหนุ่มก็คิดว่าดีแล้วที่เป็นเช่นนั้น เพราะหากยังอยู่ใกล้กันเขาคงไม่มีวันทำใจได้เสียที ส่วนสถานการณ์ภายในครอบครัวก็อาจจะเรียกได้ว่าคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น แม้ว่าพ่อจะยังมีท่าทีมึนตึงไม่ยอมพูดยอมจา แต่ก็เหมือนจะเป็นแค่ความไม่สบอารมณ์เล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ความโกรธอย่างจริงจังได้จางหายไปหมดนับตั้งแต่วันที่ภูร้องไห้น้ำตานองหน้ากลับมาที่บ้านเมื่อสามเดือนก่อนแล้ว

        เวลาในทุกวันหมดไปกับการเรียนและทำงาน สังสรรค์กับเพื่อนฝูงบ้างเป็นบางครั้งหากมีเวลาว่าง การร่วมโต๊ะอาหารแบบพร้อมหน้าทั้งครอบครัวเริ่มทำให้รู้สึกอึดอัดใจน้อยลงเรื่อยๆ ทว่าแม้ทุกอย่างดูเหมือนจะกำลังกลับเข้ารูปเข้ารอยอย่างที่มันควรจะเป็น แต่ความเจ็บปวดเป็นสิ่งที่ไม่เคยจางหาย แม้จะซุกซ่อนมันเอาไว้ลึกสุดของหัวใจจนบางครั้งชีวิตที่วุ่นวายในแต่ละวันก็ทำให้หลงลืมไปแล้วว่ามีมันอยู่ แต่เมื่อใดที่กลับมาอยู่ตามลำพังท่ามกลางความทรงจำซึ่งกลายเป็นอดีตอันไม่อาจหวนกลับ เมื่อนั้นมันก็พร้อมที่จะกลับมาเรียกน้ำตาให้รินไหลได้เสมอ

        เช้าวันรุ่งขึ้น ภูตื่นตามเวลาที่ตั้งนาฬิกาปลุกเอาไว้และรีบอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวออกไปยังกองถ่าย เสียงสัญญาณเตือนดังขึ้นจากโทรศัพท์มือถือขณะที่เด็กหนุ่มกำลังยัดขายาวๆ ทั้งสองข้างของตนลงในกางเกงยีนบ่งบอกว่าแท็กซี่ที่เรียกผ่านทางแอพลิเคชั่นได้มาถึงจุดนัดแล้ว เขาเปิดกระเป๋าเพื่อตรวจเช็คดูอีกครั้งว่าไม่ลืมอะไรแล้วจึงค่อยออกจากห้องวิ่งลงบันไดไปยังชั้นล่าง แต่เมื่อเปิดประตูออกมานอกบ้านกลับพบว่ารถแท็กซี่ที่จอดรออยู่เมื่อกี้กลับวิ่งออกไปแล้ว

        “อะไรวะเนี่ย? คนยิ่งรีบๆ” ภูบ่นออกมาด้วยความหัวเสียพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเข้าแอพดูว่าเกิดอะไรขึ้น “ยกเลิก… ยกเลิกกันง่ายๆ แบบนี้เลยเหรอ?”

        “สี่ล้อไม่รอ แต่สองล้อยังคอยนะน้อง…” เสียงอันคุ้นหูที่ไม่ได้ยินมานานดังแว่วมาจากนอกรั้วบ้าน

        ภูรู้ทันทีว่าเจ้าของเสียงนั้นคือใคร เด็กหนุ่มเดินเลี่ยงเข้ามาหลบอยู่ข้างประตูรั้วไม่โผล่หน้าออกไปให้เจ้าของเสียงนั้นเห็นตัวก่อนจะหยิบเอาขันน้ำที่แม่วางไว้ข้างโอ่งรองน้ำฝนสำหรับใช้รดน้ำต้นไม้ขึ้นมาไว้ในมือ กะระยะอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะโยนข้ามรั้วออกไป เสียงขันตกกระทบกับส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายมนุษย์ดังขึ้นพร้อมกับเสียงร้องโวยวายที่ดังตามมาติดๆ ภูหัวเราะออกมาอย่างสะใจในความแม่นยำของตนเองก่อนจะเปิดประตูออกไปดูความเสียหาย

        “เล่นอะไรเนี่ย?” จอสยืนถือขันรออยู่ข้างนอกนั่น หน้าตาอารมณ์เสีย

        “อ้าว คนเหรอ? นึกว่าเสียงหมา” ภูยื่นมือไปคว้าขันคืนมาและวางไว้ในข้างโอ่งในรั้วบ้านตามเดิม “นี่ต่างหากที่ต้องถามว่าเล่นอะไรของนาย? ไปบอกอะไรกับแท็กซี่ใช่ไหม? เค้าถึงไม่รอ”

        “เปล่าซักหน่อย” จอสไม่ยอมรับ “สงสัยเค้าเพิ่งนึกได้ว่ามีธุระมั้ง ว่าแต่นายจะไปกองถ่ายใช่ป่ะ? เราไปส่งให้ก็ได้”

        “รู้ได้ไง?” ภูงงว่าทำไมจอสถึงรู้ว่าเขาจะต้องออกไปกองถ่ายในเวลานี้

        “ไม่ยากเกินกว่าที่จอสจะหาข้อมูลหรอก” จอสทำท่าภูมิอกภูมิใจในความสามารถในการซอกแซกหาข่าวของตน "แค่โทรหาผู้จัดการนาย แป๊ปเดียวก็ได้ตารางงานมาครบแล้ว เค้าน่ะอยากให้เรากลับมาช่วยกันทำมาหากินกับนายจะตาย”

        “แล้วที่มานี่ไม่ใช่เพราะจะมาส่งเราไปกองถ่ายอย่างเดียวแน่ บอกมาซะดีๆ ว่ามีอะไร?” ภูรู้ทัน

        “ก็ได้ข่าวว่าอกหัก เลยจะแวะมาปลอบใจ” จอสกระแซะเข้ามาหา “เผื่อจะอยากมีไหล่กว้างๆ ไว้ซับน้ำตา”

        “ไม่ว่าจะกำลังหวังอะไรอยู่ก็ตามแต่ เลิกซะนะ” ภูถอนหายใจออกมา

        “ล้อเล่นน่ะ” จอสยิ้มน้อยๆ “ที่มานี่เพราะเป็นห่วงนายจริงๆ ไม่ต้องกลัวว่าจะมีอะไรแอบแฝงหรอก เพราะต่อให้นายจะอยากได้เรามาดามอก ตอนนี้มันก็สายเกินไปซะแล้วกระรอก…”

        “หมายความว่ายังไงสายเกินไป?” ภูคิดตามก่อนจะตีความได้ “อย่าบอกนะว่า…”

        “อ่ะฮะ” จอสพยักหน้าพร้อมกับชูแหวนเงินวงเล็กๆ ที่นิ้วนางให้ดู “ไม่โสดแล้วนะเออ…”

        “ใครคือผู้โชคร้ายคนนั้นล่ะ” ภูแกล้งพูดแหย่แต่ในใจรู้สึกยินดีด้วยจริงๆ

        “ไว้ว่างๆ จะพามาให้ดูตัว แต่วันนี้เอาเรื่องของนายก่อนดีกว่า” จอสเข้าเรื่อง “ทำไมจู่ๆ ถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ อย่าบอกนะว่าเป็นเพราะรูปที่หลุดออกมาเป็นข่าว”

        “ช่างมันเถอะ เราก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราทำอะไรผิด” ภูไม่อยากหวนนึกถึงมันอีก “ถึงตอนนี้ก็ไม่อยากจะรู้หรือเข้าใจอะไรแล้ว ให้มันจบๆ ไปเถอะ”

        “แต่…” จอสยังไม่ยอม

        “พอเถอะนะ… เราไม่อยากนึกถึงมันอีกแล้ว” ภูขอร้อง “เอาเป็นว่าตอนนี้นายรีบพาเราไปส่งให้ทันเวลานัดดีกว่า”

        แม้จะอยากรู้เพียงใดว่าทำไมทุกอย่างจึงมาลงเอย ณ จุดนี้ แต่เมื่อเห็นสีหน้าเจ็บปวดของภูที่แสดงออกมายามที่พูดถึงเรื่องนี้จอสก็ยอมข่มความอยากรู้ของตนเอาไว้เพื่อถนอมความรู้สึกของอีกฝ่าย อาจจะช้าไปหลายเดือนกว่าเขาจะได้ข่าวว่าภูเลิกกับกรรณแล้ว ต้องยกความดีความชอบให้กับความพยายามในการปิดกั้นตัวเองออกจากข่าวสารที่ดูจะประสบผลสำเร็จดีจนเกินเหตุ แต่แน่นอนว่าเขายอมทิ้งทุกอย่างเพื่อมาที่นี่ทันทีที่รู้เรื่อง ไม่ใช่เพราะหวังจะฉวยโอกาสในการสานต่อเพราะมันคงไม่ยุติธรรมกับคนที่ตนกำลังคบหาอยู่ แต่ที่มานี้เพราะเป็นห่วงสภาพจิตใจของภูอย่างแท้จริง

        ในเมื่อเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังการจากไปของแท็กซี่ที่ภูเรียกมา จอสจึงต้องรับผิดชอบด้วยการพาภูไปส่งที่กองถ่ายด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ทันทีที่เขาปรากฏตัวขึ้นที่กองถ่าย บรรดาทีมงานทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังรวมถึงผู้กำกับต่างก็ตื่นเต้นกับการกลับมาของเด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายาว่าอาร์ทตัวพ่อจากการที่จู่ๆ ก็ทิ้งทุกอย่างและหนีหายไปทั้งที่กำลังมีอนาคตรุ่งโรจน์ในวงการแบบสุดๆ ทุกคนต่างสงสัยใคร่รู้ในเหตุผลการตัดสินใจของจอสแต่ไม่มีใครล่วงรู้เลยว่าคำตอบนั้นยืนอยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าวจากตรงนั้น จอสยังคงไม่ยอมกลับมาทำงานง่ายๆ เขาอ้างกับบรรดาทีมงานว่าที่กลับมานี้ก็มาเพียงแค่ไม่กี่วันเพราะมีเรื่องเอกสารบางอย่างที่ต้องจัดการพอเสร็จแล้วก็จะบินกลับไปทันที ซึ่งภูก็พอเข้าใจว่าเขาคงอยากให้เวลากับความรักครั้งใหม่ก่อนที่จะต้องกลับมาเป็นคนสาธารณะอีกครั้ง

        หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าและแต่งหน้าเตรียมตัวเข้าฉากเสร็จเรียบร้อย ภูหยิบสคริปต์ออกมานั่งท่องอีกครั้งเพื่อความมั่นใจก่อนจะถึงเวลาถ่ายทำจริง ขณะที่กำลังพยายามยัดบทพูดยาวเหยียดลงสมองไปให้หมดพลางตีความว่าควรจะแสดงออกไปอย่างไรนั้น พลันสายตาของจอสที่นั่งจ้องตาไม่กระพริบอยู่ฝั่งตรงข้ามไม่ไกลออกไปนักก็ทำให้สมาธิที่รวบรวมอยู่กระเจิดกระเจิงไปในทันที

        “ไม่รีบกลับไปหาแฟนหรือไง?” ภูวางสคริปต์ลงและถาม

        “ไม่อ่ะ บอกแฟนแล้วว่าอีกวันสองวันถึงจะกลับไป” จอสยิ้มกรุ้มกริ่ม

        “ไม่มีอะไรต้องทำแล้วก็รีบกลับไปหาเค้าซะสิ จะรอทำไมวันสองวัน” ภูเกลียดรอยยิ้มแบบนั้น เพราะต่อให้ไม่มีความรู้สึกพิศวาสในเชิงชู้สาว มันก็ทำให้ใจเต้นได้อยู่ดี “ถ้าเป็นห่วงเรื่องของเรา ก็บอกเลยนะว่าไม่เป็นอะไรแล้ว เราอยู่ได้ไม่มีปัญหา”

        “รู้จ้า รู้ว่าเก่ง อยู่ได้” จอสยังยิ้มไม่เลิก “ก็แค่อยากนั่งมองต่ออีกนิด ไม่ได้เจอกันนาน ยังน่ารักเหมือนเดิม”

        “เก็บไว้ชมแฟนตัวเองเถอะ” ภูหน้าแดงเมื่อถูกชมแบบซึ่งหน้าเช่นนั้น

        “อันนั้นน่ะชมตลอดอยู่แล้ว ไม่ต้องห่วงหรอก” จอสดูพึงพอใจกับการทำให้อีกฝ่ายเขินได้ เขาดูเวลาจากโทรศัพท์มือถือแล้วจึงลุกขึ้นและบิดตัวไปมายืดเส้นยืดสาย “ฟ้าจะสว่างแล้ว เดี๋ยวเราไปแล้วล่ะ มีอะไรต้องจัดการนิดหน่อย”

        “เชิญเถอะท่าน” ภูรีบไสส่ง

        “แต่ก่อนไป มีคำถามนึงที่ต้องการคำตอบ” จอสทำหน้าจริงจัง

        “ว่ามาสิ ตอบได้ก็จะตอบ” ภูยอมให้กับสีหน้าจริงจังนั้น

        “นายยังรักเค้าอยู่ไหม?” จอสถาม

        “ถามได้ดี…” เป็นคำถามที่แม้กระทั่งตัวภูก็ยังไม่อาจมั่นใจในคำตอบของมัน “ถ้าการนึกถึงเค้ายังทำให้ร้องไห้ได้เสมอ มันก็คงจะเรียกได้ว่ายังรักอยู่ล่ะมั้ง”

        “โอเค” จอสพยักหน้ารับทราบ “งั้นเดี๋ยวเราจัดการเอง”

        “จอส” ภูรีบเข้าไปฉวยคว้าแขนจอสเอาไว้ “จะทำอะไร?”

        “ทำในสิ่งที่พอจะทำได้” สีหน้าของจอสเหมือนจะบอกให้ภูรู้ว่าไม่มีประโยชน์ที่จะห้าม

        “อย่านะ จะไปยุ่งกับเค้าให้มันได้อะไรขึ้นมา” แต่ไม่ว่าอย่างไร ภูก็จำเป็นต้องห้าม “เรื่องมันจบไปแล้ว มาทำอะไรตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์หรอก ถ้าเค้ายังอยากจะคบกับเราอยู่ เค้าก็คงกลับมาตั้งนานแล้วล่ะ”

        “นายก็รู้ว่าเรามันดื้อ” จอสจับมือของภูออกจากแขนก่อนจะหันเดินออกไป

        ภูวิ่งตามออกไปนอกกองถ่ายแต่ก็ไม่ทันเมื่อจอสเร่งเครื่องรถจักรยานยนต์พุ่งทะยานออกไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงเสียงของเครื่องยนต์ที่ดังห่างออกไปทุกที แม้จะกังวลแต่ก็ยากที่จะหยุดยั้งอีกฝ่ายเอาไว้ได้แล้วในตอนนี้ แต่ถึงกระนั้นภูก็มองในแง่ดีให้ตนสบายใจว่าถึงแม้จอสจะมีความสามารถในการซอกแซกหาข้อมูลมากเพียงใด แต่การจะหาที่อยู่ของกรรณในตอนนี้เจอก็แทบจะเรียกได้ว่าเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นอีกฝ่ายคงไม่สามารถทำอะไรได้มากและคงเบื่อจนล้มเลิกความตั้งใจไปเองในที่สุด
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-05-2018 11:18:40 โดย lolito »

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
        หลังการถ่ายทำทั้งหมดในส่วนของวันนี้เสร็จสิ้นลง ภูอาศัยติดรถของแมน หนึ่งในทีมนักแสดงผู้รับบทพระเอกของละครเรื่องนี้เพื่อกลับบ้านเหมือนเช่นทุกครั้ง เนื่องจากภูต้องรอถอดเฝือกที่แขนออกก่อนจึงจะมาเริ่มการถ่ายทำในส่วนของตนเองได้ กว่าเด็กหนุ่มจะได้เริ่มทำงานการถ่ายทำก็เปิดกล้องไปกว่าหนึ่งเดือนแล้วทำให้เขาแทบจะตามทุกสิ่งทุกอย่างไม่ทัน อีกทั้งยังมีปัญหาในเรื่องการปรับตัวที่ยังไม่คุ้นกับระบบการทำงานของกองถ่ายละครซึ่งแตกต่างจากงานโฆษณาที่เคยผ่านมา แต่เพราะมีแมนที่คอยช่วยเหลือให้คำแนะนำและดูแลอยู่ตลอดทำให้การปรับตัวเข้ากับงานใหม่ของภูผ่านพ้นไปได้ด้วยดี

        แม้จะใกล้ชิดสนิทสนมกันมาได้ระยะหนึ่งแล้วแต่ก็เพิ่งจะไม่กี่วันที่ผ่านมานี้เองที่อีกฝ่ายเริ่มจะแสดงท่าทีออกมาอย่างชัดเจนว่าอยากจะพัฒนาความสัมพันธ์ให้แนบแน่นขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ แม้ตาของแมนจะจ้องไปที่ถนนเบื้องหน้าแต่มืออีกข้างหนึ่งซึ่งไม่ได้จับพวงมาลัยก็มาป้วนเปี้ยนอยู่บนหลังมือของภูซึ่งวางอยู่ข้างตัว เด็กหนุ่มไม่ขัดขืนแต่อย่างใดแม้จะมีตกใจอยู่บ้างในครั้งแรกที่มันเกิดขึ้นด้วยไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะคิดกับตนไปในทิศทางนี้

        “วันนี้ไม่แย่เนอะ ว่าไหม?” แมนละสายตาจากถนนหันมาถามภู

        “ก็โอเคครับ” ภูตอบก่อนจะปรับเบาะให้เอนลงอีกนิดเพื่อความผ่อนคลาย

        “วันนี้นึกว่าจะไม่ได้กลับด้วยกันแล้วซะอีก” แมนหันไปมองถนนตามเดิมแต่มือก็ยังเกาะกุมมือของภูเอาไว้ไม่ปล่อย

        “ทำไมเหรอครับ?” ภูถามกลับไป เปลือกตาทั้งสองข้างปิดลงขณะที่ในหัวพยายามขับไล่ความทรงจำบางอย่างที่คอยจะฟื้นตัวขึ้นมาจากสัมผัสอันคุ้นเคยจากมือที่กุมอยู่ให้กลับไปกองอยู่ที่ก้นบึ้งของจิตใจตามเดิม ที่ผ่านมามีกรรณเพียงคนเดียวที่เคยทำแบบนี้ และหากยังคิดถึงภาพเหล่านั้นอยู่อีกไม่ช้าน้ำตาก็คงจะไหลออกมาให้ได้อายเป็นแน่

        “ก็เห็นเมื่อเช้ามีคนมาส่ง” แมนกระชับมือที่จับไว้แน่นขึ้น “ไหนว่าเค้าไปเรียนต่อแล้วไง”

        “เห็นว่ากลับมาทำธุระน่ะครับ อีกสองสามวันก็กลับไปเหมือนเดิมแล้ว” ภูตอบด้วยข้ออ้างแบบเดียวกับที่จอสพูดเอาไว้กับบรรดาทีมงาน

        “แล้วอีกคนนึงล่ะ ไม่ได้ติดต่อกันแล้วเหรอ?” แมนถามถึงกรรณ “คนที่เป็นข่าวน่ะ”

        “ไม่ได้ติดต่อกันนานแล้วครับ” ภูตอบไปตามความจริง “ตั้งแต่หลังเกิดเรื่องได้ไม่กี่วันก็เลิกกันแล้ว”

        “ก็แน่ล่ะเนอะ ข่าวใหญ่ขนาดนั้น” แมนดูพอใจกับคำตอบที่ได้ “แต่ก็น่าตกใจนะ พี่เคยร่วมงานกับเค้าตอนถ่ายปกหนังสือ ยังไม่คิดว่าเค้าจะชอบผู้ชายด้วยกันเลย”

        “ชีวิตคนเรามันก็มีแต่เรื่องคิดไม่ถึงแบบนี้แหละครับ” ภูแค่นหัวเราะออกมา อยากจะจบบทสนทนาเกี่ยวกับเรื่องนี้ใจจะขาด

        “แต่ถ้าเป็นพี่นะ ไม่ต้องห่วงเรื่องจะมีข่าวแบบนี้เลย” แมนพยายามกล่อมให้เด็กหนุ่มสบายใจ “ที่ผ่านมานายก็เห็นว่าพี่ไม่เคยหลุดให้ใครรู้เรื่องพวกนี้”

        “ใช่ครับ พี่ปิดเก่ง ซ่อนเก่ง” เมื่อพูดออกไปแล้วภูจึงเพิ่งรู้สึกว่ามันเหมือนคำกระแนะกระแหนแดกดัน “ก็ดีแล้วล่ะครับ ไม่งั้นก็ต้องเจอเรื่องยุ่งยากแบบที่ผมโดน”

        “เอาน่า นายไม่ต้องคิดมากหรอก ยังไงอนาคตของเราก็สำคัญกว่า” แมนเข้าใจไปเองว่าภูเป็นฝ่ายตัดความสัมพันธ์เพื่ออนาคตในวงการของตนเอง

        “ก็พยายามไม่คิดมากอยู่ครับ” ภูปล่อยให้แมนเข้าใจไปตามนั้นเพราะความเป็นจริงจะเป็นอย่างไรก็ไม่เกี่ยวกับเขาอยู่แล้ว

        “พี่เคยผ่านช่วงเวลาแบบนายมาหมดแล้ว ลองคบกันคนนอกวงการ สุดท้ายก็ไปไม่รอด” แมนยังพูดต่อ “บางทีก็ต้องเป็นคนที่อยู่ในสถานะเดียวกันนะ ถึงจะเข้าใจกันในจุดนี้”

        ก็ถ้าผมไม่ได้อยากมายืนจุดนี้ตั้งแต่แรกแล้ว ที่พูดมามันก็ไม่มีประโยชน์หรอกครับ ภูคิดขณะเบือนหน้าหนีออกไปมองข้างนอกหน้าต่างรถ ใจรู้ดีอยู่เต็มอกว่าอีกฝ่ายกำลังพยายามหว่านล้อมเพื่อนำพาไปสู่อะไร แต่ในครั้งนี้ภูกลับไม่ได้คิดจะขัดขืนหรือดิ้นรนหาทางตัดไฟแต่ต้นลมเหมือนอย่างเช่นทุกครั้ง เขากลับปล่อยมันให้เป็นไปอย่างที่แล้วแต่ลมแต่ฟ้าจะพาไป การตอบสนองนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะว่าแมนเป็นคนที่ใช่ตรงใจแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะเด็กหนุ่มเริ่มรู้สึกตัวว่าปล่อยให้จิตใจจมปลักกับความรู้สึกแย่ๆ มานานจนเกินไปแล้ว บางทีหนทางการรักษาบาดแผลจากการถูกทิ้งที่ดีที่สุดก็คือการเริ่มความสัมพันธ์ใหม่กับใครสักคน อีกทั้งที่ผ่านมาภูยังเหนื่อยเหลือเกินกับการวิ่งไล่ตามคนที่ตนเองรักและลงท้ายด้วยการเจ็บหนักอยู่ตามลำพัง ดังนั้นในครั้งนี้เมื่อแมนก็มีท่าทีที่ชัดเจนว่าชอบพอในตัวเขา ภูจึงตัดสินใจจะให้โอกาสและลองเปิดใจเป็นฝ่ายถูกไล่ตามดูบ้าง

        สามเดือนมาแล้วที่ไม่มีการติดต่อใดๆ จากกรรณเลยแม้แต่ครั้งเดียว ภูไม่อาจรู้ได้จริงๆ ว่าอีกฝ่ายจะเคยมีสักขณะบ้างไหมที่จะเป็นห่วงความรู้สึกของคนที่ถูกทิ้งอยู่ตรงนี้ กรรณน่าจะรู้ดีที่สุด ใช่ เขาน่าจะรู้ดีเสียยิ่งกว่าใครว่าที่ผ่านมาภูมีเขาเพียงคนเดียวเสมอ และก็เป็นเขาอีกนั่นแหละที่เป็นคนแรกของภูอย่างสมบูรณ์แบบทั้งด้านจิตใจและร่างกาย และในเมื่อเป็นเช่นนั้นหากเขาเลือกที่จะจากไปก็ย่อมสร้างรอยแผลใหญ่ชนิดที่ยากจะเยียวยาไว้ให้กับหัวใจของอีกฝ่าย แต่เขาก็ยังตัดสินใจทำลงไปในแบบที่มันเกิดขึ้น เหมือนความจริงข้อนั้นไม่ส่งผลอะไรต่อความรู้สึกของเขาเลย และเมื่อตระหนักได้เช่นนั้นภูก็รู้ดีว่าคงถึงเวลาแล้วที่จะเลิกผูกใจตัวเองไว้กับคนที่ไม่มีวันกลับมาเสียที

        “วันนี้นายมีธุระต้องไปไหนต่อรึเปล่า?” แมนหันมาถามภู มือที่ละออกไปเพื่อปรับเกียร์รถเมื่อครู่กลับมาเกาะกุมมือของภูไว้ดังเดิมแล้ว

        “อ่า… ไม่มีครับ คิดว่านะ” ภูพยายามนึกดูให้ถ้วนถี่แม้จะค่อนข้างมั่นใจเพื่อป้องกันความผิดพลาด

        “งั้นแวะไปนั่งเล่นบ้านพี่ก่อนไหมล่ะ?” แมนเอ่ยปากชวน “หรือจะค้างด้วยเลยก็ได้ พรุ่งนี้จะได้มากองพร้อมกันเลย”

        นั่นเป็นคำชวนที่ส่อเจตนาอย่างโจ่งแจ้งชนิดไม่เก็บอาการแม้แต่น้อย ภูไม่ใช่เด็กไร้เดียงสาที่จะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรจากตน แต่ก็ยังตกลงที่จะไป ความรู้สึกผิดบางอย่างก่อตัวขึ้นในใจอย่างหักห้ามไม่ได้ แต่เด็กหนุ่มก็พยายามให้เหตุผลกับตนเองว่าสิ่งที่ตนตัดสินใจลงไปนั้นไม่ได้ทำผิดต่อใครทั้งสิ้น จะผิดตรงไหนหากอยากที่จะทำตามใจตนเองบ้าง เพราะในเมื่อบุคคลเดียวที่เขาควรจะกังวลเกี่ยวกับความรู้สึกก็ได้เลือกที่จะเป็นฝ่ายทอดทิ้งเขาไปเองตั้งนานแล้ว

        เมื่อนำรถเข้าไปจอดเก็บในโรงรถเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แมนก็เดินมาหาภูซึ่งกำลังยืนเล่นกับสุนัขที่เลี้ยงไว้อยู่ตรงหน้าประตูบ้าน เขาไขเปิดประตูออกก่อนจะพาเด็กหนุ่มเข้าไปข้างในก่อนที่เพื่อนบ้านหรือใครก็ตามจะมาเห็นเข้า

        “ดื่มอะไรดี?” ชายหนุ่มเจ้าของบ้านชูเครื่องดื่มสองแบบในมือซึ่งล้วนแล้วแต่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสมให้ภูเลือก

        “มีอะไรที่กินแล้วไม่เมาบ้างไหมครับ?” ภูร้องขอตัวเลือกเพิ่ม

        “เด็กอนามัย” แมนพูดล้อเลียนก่อนจะเปิดตู้เย็นแล้วหยิบน้ำอัดลมออกมา “มีแต่แบบชูการ์ฟรีนะ”

        ภูรับมาก่อนจะพาตัวเองไปนั่งลงที่โซฟา แต่ยังไม่ทันที่จะได้เปิดกระป๋องน้ำอัดลมออกดื่มแมนก็ตามมาหย่อนกายนั่งลงข้างๆ พร้อมกับยกแขนขึ้นโอบไหล่เขาเอาไว้ ภูรู้สึกอึดอัดขึ้นมานิดหน่อยกับการถูกเข้าถึงเนื้อถึงตัวแบบไม่ให้เวลาได้พักหายใจเช่นนี้ เด็กหนุ่มขยับตัวเพื่อจะกระเถิบออกห่างแต่อีกฝ่ายก็รั้งเอาไว้ไม่ยอมให้ไปแล้วตามด้วยการยื่นหน้าเข้ามาหอมแก้มเข้าอีกฟอดใหญ่

        “น่ารักจริงๆ เลย” มืออีกข้างหนึ่งของแมนยกขึ้นมาลูบแก้มของภูที่เพิ่งโดนตนหอมไป “ชอบนายมาตั้งแต่ตอนที่เห็นในโฆษณาแล้ว ไม่คิดเลยว่าจะได้มาเล่นละครด้วยกัน”

        “พี่อยู่คนเดียวเหรอครับ?” ภูพยายามเบี่ยงประเด็นออกไปคุยเรื่องอื่น

        “เปล่า อยู่กับน้องชาย แต่เค้ายังไม่กลับมาเร็วๆ นี้หรอก ไม่ต้องกลัว” แมนเข้าใจผิดไปว่าภูถามเพราะกลัวคนอื่นจะเข้ามาเจอ

        แมนพยายามดันให้เด็กหนุ่มเอนตัวลงนอน ภูแข็งขืนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยอมโอนอ่อนตามในที่สุด แมนคร่อมทับร่างของภูเอาไว้ขณะที่ใบหน้าย่อนลงมาประกบปากจูบ ภูกลั้นใจเปิดปากรับลิ้นของอีกฝ่ายเข้ามาและพยายามตอบสนองกลับไป แต่ทุกอย่างกลับดูขัดข้องไปเสียหมด ส่วนลึกในจิตใจของเด็กหนุ่มเอาแต่ร้องตะโกนห้ามเขาให้หยุด ในขณะที่อัตตาแห่งความต้องการเอาชนะกำลังเร่งเร้าให้เขาทำมันลงไปเพื่อจะได้ก้าวข้ามพ้นจากสภาวะอกหักนี้เสียที ภูหลับตาและพยายามทำสมองให้ว่างเปล่าแต่ก็ดูจะไร้ประโยชน์เพราะทุกสัมผัสของแมนยิ่งย้ำเตือนให้นึกถึงสิ่งที่กรรณเคยทำกับตนเอง ทุกภาพทุกความทรงจำล้นเอ่อกลับเข้ามาในสมองอีกครั้ง และเพียงเท่านั้นเองภูก็รู้ได้ในบัดดลว่าความเข้มแข็งที่กำลังฝืนแสดงอยู่ได้มาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว

        ขณะที่ริมฝีปากยังคงประกบจูบ มือของแมนก็พยายามจะถอดเสื้อที่ภูสวมออกก่อนที่ทุกการเคลื่อนไหวจะชะงักหยุดโดยฉับพลันเมื่อสายตาสังเกตเห็นบางอย่าง เขาถอนปากออกมาและนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความสับสนเหมือนทำอะไรไม่ถูก เมื่อภาพที่ปรากฎต่อสายตาคือใบหน้าของภูในยามนี้ซึ่งเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตาที่หลั่งไหลออกมาเป็นสาย

        “เฮ้… เป็นอะไรหรือเปล่า?” แมนพยายามปลอบให้ภูสงบลง “ไม่ต้องร้อง ไม่เป็นไร พี่ไม่ทำแล้ว”

        “ขอโทษครับ มันไม่เกี่ยวกับพี่หรอก มันเป็นเพราะผมเอง” ภูพยายามหยุดตัวเองจากการร้องไห้

        “อย่าบอกนะว่าเพราะเรื่องที่เลิกกับคนนั้น” แมนนึกหาสาเหตุ

        “อืม” ภูพยักหน้าก่อนจะปล่อยโฮออกมาอีก ในเมื่อกลั้นไม่อยู่ก็จึงตัดสินใจปล่อยมันออกมาให้หมด

        “ตอนที่เลิกกันใครเป็นคนบอกเลิก? ” แมนถามก่อนจะดูออกจากท่าทีของภูในทันที “นี่นายโดนเค้าบอกเลิกเหรอ?”

        “ก็ใช่ไง…” ภูยอมรับ เมื่อได้ร้องไห้ออกมาจนพอใจ สภาพอารมณ์ก็เริ่มดีขึ้นตามลำดับ

        “ในเมื่อเค้าไม่ได้รักเราแล้ว จะยังเอาแต่คร่ำครวญหาเค้าทำไมล่ะ ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก” แมนถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจ เมื่อดูท่าวันนี้จะไม่เป็นไปตามที่หวังเสียแล้ว

        “ผมรู้ว่าเค้าไม่ได้อยากทำแบบนั้น” ภูมั่นใจในความรู้สึกของตน หากว่ากรรณอยากจะจบทุกอย่างจริงๆ ในวันนั้นก็เพียงแค่ไม่ต้องมาตามนัดและหนีหน้าหายไปความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็จะปิดฉากลงโดยปริยาย แต่ทุกอย่างที่อีกฝ่ายทำมันบ่งบอกชัดเจนว่าเขายังห่วงใยความรู้สึกของภูอยู่มาก และนั่นเองเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ภูยังคงคาใจสงสัยกับการถูกทิ้งครั้งนี้อยู่จนไม่อาจก้าวเดินต่อไปได้ “ใช่ เค้าบอกเลิกผม แล้วหลังจากนั้นก็ไม่เคยติดต่อกลับมาหาเลยด้วยซ้ำ แต่ผมก็มั่นใจว่าเค้าไม่ได้อยากทำแบบนั้น”

        “อะไรทำให้นายมั่นใจถึงขนาดนั้น” แมนไม่คิดแบบเดียวกับภู

        “ก็แค่ความรู้สึก” ภูไม่อาจหาเหตุผลที่หนักแน่นกว่านั้นมารับรองความเชื่อของตนได้

        “ก็ถ้านายเชื่อแบบนั้น พี่ก็แค่คนนอก คงจะตัดสินอะไรไม่ได้หรอก” แมนยอมแพ้ “ถ้านายรักเค้าถึงแม้เค้าจะบอกเลิกนายไปแล้ว และถ้านายเชื่อว่าเค้าจะยังรักนายอยู่เหมือนกัน แม้ว่าเค้าจะบอกเลิกนายเองกับปาก ก็ทำไมไม่ไปหาเค้าซะล่ะ?”

        “เพราะลึกๆ แล้วผมคงกลัวอยู่เหมือนกันมั้งครับ ว่าสิ่งที่ผมเชื่อมันจะไม่เป็นความจริง” ภูยอมรับถึงความกังวลที่ซุกซ่อนอยู่

        “ไปหาเค้าซะสิ ไปถามให้รู้เรื่อง ไปยืนยันความรู้สึกของตัวเอง” แมนเปิดทางให้ “ถ้าสุดท้ายแล้วมันจะไม่เป็นไปตามที่นายคิด เราก็จะได้เริ่มต้นใหม่กันแบบไม่ต้องมีอะไรติดค้างในใจ”

        “เค้าจะยอมเจอผมเหรอ…” ภูกังวลอยู่เพราะใช่ว่าที่ผ่านมาเขาจะไม่เคยพยายามติดต่อกรรณ

        “ก็ถ้าเค้าไม่… ก็เท่ากับนายได้คำตอบแล้วไง” แมนปาดคราบน้ำตาที่ยังเลอะบนแก้มของภูออก “พี่ชอบนายนะ แต่ถ้าหัวใจนายอยู่กับคนอื่น มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะได้ตัวนายมา”

        “ผมขอโทษนะครับ…” ภูก้มหน้านิ่ง รู้สึกผิดกับการที่ใช้แมนเป็นเครื่องมือในการลืมกรรณ

        “ไม่ต้องขอโทษหรอก” แมนไม่ถือสาอะไรเพราะเข้าใจในความรู้สึกของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี “แค่สัญญาก็พอ ว่าถ้าเค้าไม่รักนายแล้ว นายจะมาเริ่มใหม่กับพี่”

        “ครับ” ภูพยักหน้าตกลง “ยังไงก็เป็นพี่เป็นน้องกันได้อยู่นะครับ”

        “น่าอิจฉาเค้านะ” แมนยิ้มเศร้าๆ รู้ดีอยู่เต็มอกว่าสิ่งที่ตนปรารถนาจะครอบครองได้หลุดลอยออกไปจากมือแล้ว “ถ้ามีใครสักคนที่รักพี่ได้แบบที่นายรักเค้าก็คงดี”

        แมนอาสาไปส่งที่บ้านแต่เพราะรู้ตัวดีว่าเพิ่งทำให้ความหวังของอีกฝ่ายพังทลายไม่เป็นท่าภูจึงปฏิเสธไปไม่ขอรบกวนเพิ่ม อีกทั้งเด็กหนุ่มยังต้องการใช้ช่วงเวลาขณะเดินทางเพื่อคิดทบทวนบางอย่างให้ถ้วนถี่ แม้จะอยากทำตามที่แมนแนะนำคือไปหากรรณเพื่อทำให้ทุกอย่างชัดเจน แต่ก็รู้ดีว่ามันคงยังเกิดขึ้นในตอนนี้ไม่ได้ พรุ่งนี้และเรื่อยไปจนถึงสัปดาห์หน้าภูยังคงมีคิวถ่ายทำสำหรับละครอยู่ และเขาก็คิดว่าการทิ้งงานไปเพื่อเรื่องส่วนตัวนั้นไม่ใช่วิสัยที่คนโตแล้วพึงกระทำ

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
        ภูอาบน้ำและลงมาทานอาหารค่ำที่แม่เตรียมเอาไว้ให้แค่พอให้เกิดความสบายใจแก่ผู้ปกครองก่อนจะกลับขึ้นไปบนห้องนอนของตน บทถูกหยิบออกมาท่องทบทวนอีกรอบก่อนที่ภูจะปิดไฟเมื่อเห็นว่าเวลาสมควรแล้วแก่การเข้านอนพักผ่อน แต่เมื่อแสงไฟในห้องมืดลง ภูก็พบว่ามีบางอย่างที่ผิดไปจากที่มันควรจะเป็นเมื่อบรรยากาศในห้องกลับไม่มืดสนิทเหมือนเช่นทุกวันด้วยแสงไฟจากฝั่งตรงข้ามที่ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา เขารีบโดดลงจากเตียงและพุ่งไปที่หน้าต่างก่อนจะลอบมองออกไปดูด้วยหัวใจที่เต้นรัว แสงไฟจากระเบียงทางเดินชั้นสองของบ้านเปิดเอาไว้อยู่รวมถึงแสงไฟในห้องนอนที่อยู่เยื้องออกไปนิดหน่อยด้วย เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เลยนอกจากกรรณจะกลับมาแล้ว

        โดยไม่มีการลังเล ภูรีบเปิดหน้าต่างและปีนออกไปเพื่อข้ามไปยังระเบียงฝั่งตรงข้าม แน่นอนว่าด้วยความระมัดระวังที่เพิ่มมากขึ้นเพราะการต้องเป็นคนแขนหักไม่ใช่ประสบการณ์ที่น่าสนุกเลยแม้แต่น้อย และทันทีที่เท้าแตะลงบนพื้นไม้ของทางเดินก็ประจวบเหมาะพอดีกับที่ประตูทางเข้าบ้านจากระเบียงนั้นถูกคนข้างในดันเปิดออกมา กรรณยืนอยู่ตรงนั้น เขาดูแปลกตาผิดไปจากเมื่อหลายเดือนก่อน ใบหน้าดูหม่นซูบลงและยังดูโทรมจากหนวดเคราที่ดูจะห่างเหินจากมีดโกนมานาน อีกทั้งยังมีรอยช้ำสดๆ ใหม่ๆ เด่นหราอยู่บนดวงตาข้างซ้าย

        “อ่า…” ภูทำอะไรไม่ถูก เขายังไม่ทันคิดด้วยซ้ำว่าจะพูดอะไร แต่แค่รู้ว่ากรรณอยู่ที่นี่เขาก็ต้องมา

        “ไง…” กรรณโบกมือทักทาย ใบหน้ามีรอยยิ้มเหมือนไม่กล้าสู้หน้า “ไม่เจอกันนานเลย”

        “พี่กลับมาแล้ว…” ภูไม่อยากเชื่อสายตา แต่รอยช้ำนั้นก็ดึงความสนใจเขาได้อยู่หมัด “พี่ไปโดนอะไรมาน่ะครับ?”

        “นี่น่ะเหรอ?” กรรณชี้ไปที่ตาซ้ายของตน “พลาดท่าโดนเด็กเมื่อวานซืนมันเล่นงานมา”

        “จอส…” ภูรู้ทันทีว่าเป็นฝีมือใคร “เขาไปหาพี่เหรอ?”

        “ใช่ เค้าไปพาตัวพี่มา” กรรณตอบก่อนจะเล่าต่อ “แล้วเค้าก็บอกด้วย ว่านายยังรักพี่อยู่”

        “เค้าหาพี่เจอได้ไงเนี่ย…” ภูอดทึ่งไม่ได้

        “เรื่องนั้นไว้นายไปถามเค้าเอาเองเถอะ” กรรณไม่ยอมให้ภูออกนอกประเด็น “ว่าไงล่ะ ที่เค้าบอกพี่น่ะ จริงไหม?”

        “ก็จริง…” ภูยอมรับ แต่ก็มีบางอย่างที่ต้องบอกให้กรรณรู้ด้วย “แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมด ผมโกรธพี่ด้วย โกรธที่พี่ทำแบบนี้กับผม”

        “ก็พอจะเข้าใจ ไม่โกรธสิแปลก…” กรรณยอมรับผิด “พี่อาจจะพูดคำนี้ช้าไปหน่อย แต่ก็ขอโทษนะ… ขอโทษจริงๆ ที่ทำแบบนั้น”

        “พี่ทิ้งผมให้อยู่คนเดียวกับเรื่องบ้าๆ นี่… ผมแขนหักยังไม่พอ ยังต้องมาอกหักอีก” ภูระบายความอัดอั้นที่เก็บกดไว้ในใจมานาน “ทั้งที่พี่เป็นคนเดียวที่ควรจะยืนอยู่ข้างผมแท้ๆ”

        “พี่คิดว่าถ้าพี่ไปจากชีวิตนาย ทุกอย่างก็จะดีขึ้น” กรรณอธิบายเหตุผลในการตัดสินใจของตนเอง “นายมีชีวิตที่ดีนะ มีครอบครัวที่รักนาย ใครๆ ก็ชอบนาย แต่พอพี่เข้ามาทุกอย่างก็วุ่นวายไปหมด”

        “พี่ชอบคิดแทนผมอ่ะ!” ภูทนไม่ไหวกับเหตุผลที่ได้รับ “ตั้งแต่ตอนเราจะคบกัน พี่ก็คิดเอาเองว่าเรายังไม่ต้องคบกันเพื่ออนาคตของผม พอตอนคบกันแล้วพี่ก็อยากเลิกเพื่อให้ชีวิตผมดีขึ้น ชีวิตคนเรามันไม่ต้องเสียสละเป็นพ่อพระขนาดนั้นก็ได้มั้ง”

        “ขอโทษ…” กรรณยกมือไหว้ประหลกๆ เมื่อเห็นภูโมโหเหมือนจะกินหัวตนได้ “แต่พอทำลงไปแล้วก็เสียใจมากเลย ไม่มีกระจิตกระใจจะทำอะไรทั้งนั้น อยากได้นายคืนมา…”

        “แล้วรออะไร? ทำไมไม่กลับมา แถมยังหนีผมไปอยู่ต่างจังหวัดอีก” ภูขอเหตุผลเพิ่มเติม

        “ก็คิดว่านายคงไม่เหลือความรู้สึกดีๆ อะไรให้พี่แล้ว” กรรณตอบ “พี่ทำนายเสียใจขนาดนั้น ใครจะคิดว่านายจะยังรักพี่ได้อยู่”

        “ผมรอพี่มาตลอดเลยรู้ไหม?” ภูพยายามไม่ร้องไห้ออกมาแต่น้ำตาเจ้ากรรมก็ยังเอ่อท้นจนเป็นเงาอยู่รอบดวงตา “พี่ไม่รู้หรอกว่าสามเดือนที่ผ่านมานี้ ไม่มีสักวันเลยที่ผมจะไม่ร้องไห้เวลาคิดถึงพี่”

        “นี่ไงครับ กลับมาแล้ว สำนึกผิดแล้ว” กรรณเข้ามาทำท่าจะกอดภู “ดีกันนะ…”

        “ไม่เอาหรอก แบบนั้นง่ายเกินไป ผมถือว่าพี่บอกเลิกผมไปแล้ว” ภูกระเถิบถอยหนีออกจากอ้อมกอดนั้น ไม่ยอมกลับไปคืนดีด้วยง่ายๆ “ถ้าอยากจะกลับมาคบกัน คราวนี้พี่ก็เป็นฝ่ายพยายามบ้างก็แล้วกัน”

        “ต้องพยายามนานไหมอ่ะ?” กรรณเสียงอ่อย

        “ไม่รู้ อยู่ที่ความสามารถพี่อ่ะ ถือซะว่าจีบกันใหม่อีกรอบก็แล้วกัน” ภูสรุปเงื่อนไขให้

        “มีเวลาจีบไม่นานน่ะสิ…” กรรณทำหน้าเหมือนจะร้องไห้

        “อะไรอีก?” ภูรู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายยังมีเรื่องปิดบังตนอยู่ “ทำไมถึงมีเวลาไม่นาน? รีบบอกมาเลยเดี๋ยวนี้เลยนะครับ”

        “คือว่า… ช่วงหลังจากที่เราแยกกันใหม่ๆ เพื่อนร่วมงานเก่าที่อเมริกาเค้าส่งข่าวมาให้ว่าทางสำนักข่าวของที่นั่นกำลังรับสมัครช่างภาพเจอนัลลิสต์ เค้าถือวิสาสะส่งโปรไฟล์งานของพี่ไปให้ทางนั้นเค้าพิจารณาแล้ว ผลคือเค้าสนใจจะร่วมงานด้วยเป็นอย่างมาก เหลือแค่ว่าพี่พร้อมจะตกลงเซ็นสัญญาว่าจ้างไหม” กรรณเล่าไปพลางแอบลอบมองดูปฏิกิริยาของภูไปด้วย “คือพี่ก็อยากทำงานกับเครือนี้มาตั้งนานแล้ว แบบที่นายเห็นในไอจีพี่ไง พี่ชอบถ่ายเหตุการณ์ ถ่ายผู้คน ถ่ายสถานที่ บันทึกช่วงเวลา แต่ตอนอยู่อเมริกาชีวิตก็ติดพันอยู่แต่การทำงานกับนิตยสารแฟชั่น แล้วช่วงที่เค้าติดต่อมาเราก็เหมือนจะเลิกกันอยู่… พี่ก็เลยคิดว่ามันน่าจะเป็นโอกาสที่ดี…”

        “อย่าบอกนะว่า…” ภูไม่อยากให้ตัวเองเดาถูกเลย

        “พี่ตอบตกลงกับเค้าไปแล้ว เอกสารสัญญาก็เซ็นส่งกลับไปเรียบร้อยแล้ว” กรรณยอมรับเสียงอ่อย “มีเวลาเตรียมตัวจนถึงสิ้นเดือนนี้ เดือนหน้าพี่ก็ต้องไปประจำที่นั่นแล้ว และหลังจากนั้นก็แล้วแต่ว่าเค้าจะส่งเราไปลงพื้นที่ทำข่าวที่ไหน”

        “ทำไมทำอย่างงี้อ่ะ!!!” ภูทุบเข้าให้เต็มแรงที่ต้นแขนของกรรณ

        “ก็ตอนนั้นคิดว่าคงไม่มีหวังได้กลับมาคืนดีกันแล้วนี่นา…” กรรณพยายามปกป้องตัวเองเท่าที่ทำได้ “พี่ก็อยากหาอะไรทำให้ลืมเรื่องนายไปได้แค่ชั่วครั้งชั่วคราวก็ยังดี จะได้ไม่ต้องมานั่งเศร้าซึมกับต้นไม้ใบหญ้าที่บ้านทั้งวันแบบนี้”

        “แล้วสัญญาระยะเวลาเท่าไหร่ครับ?” ภูถาม

        “สามปีครับ” กรรณตอบพร้อมกับชูสามนิ้ว “รอไหวไหม?”

        “ตั้งสามปี กลับมาก็มีแฟนใหม่ไปแล้ว” ภูแกล้งพูดขู่

        “ก็ถ้านายเลือกแบบนั้น พี่ก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ” กรรณเชื่อจริงจัง “ตอนกลับมาที่นี่พี่ก็เตรียมใจเอาไว้แล้ว ว่าถ้านายรู้เรื่องนี้แล้วนายจะไม่อยากรอ พี่ก็จะไม่ว่าอะไร เคารพการตัดสินใจของนาย เพราะเรื่องทั้งหมดพี่ก็เป็นคนผิดเองที่ไปบอกเลิกนายก่อน”

        “จะให้รอก็ได้ แต่ต้องรับปากสัญญามาก่อน” ภูยื่นเงื่อนไข “ต่อไปนี้ห้ามทิ้งกันอีกเด็ดขาด ไม่ต้องเสียสละ ไม่ต้องคิดแทนผมแล้ว เป็นแค่แฟนก็พอ ไม่ต้องเป็นพ่อ โอเคไหมครับ?”

        “สัญญาครับ” กรรณรีบตกลง “จะไม่ให้เป็นแบบที่ผ่านมาอีกแล้ว”

        “ต่อให้พ่อมาไล่อีกก็ห้ามไป” ภูขอคำยืนยันสำทับ

        “ต่อให้เอาปืนมายิง ก็จะยอมตายตรงนี้แหละ ยังไงก็ไม่ไปครับ” กรรณรับปากหนักแน่น

        “งั้นก็รักษาสัญญาด้วยแล้วกันครับ” ภูยอมใจอ่อน “นี่เห็นว่าอีกไม่กี่วันพี่ก็ต้องไปแล้วหรอกนะ ไม่งั้นไม่ยอมง่ายๆ แบบนี้หรอก”

        กรรณอ้าแขนออกเรียกให้ภูเข้ามา เด็กหนุ่มถอนหายใจออกมาก่อนจะยอมเข้าไปให้กอดอย่างว่าง่าย แม้ใจของเขาจะยังอยากทำปั้นปึ่งโกรธเคืองอีกฝ่ายให้นานกว่านี้เพื่อให้สมกับที่ต้องเสียใจมาหลายเดือนแต่ภูก็ยอมตัดใจเลือกจะใช้เวลาช่วงที่ยังเหลืออยู่ด้วยกันให้มีความสุขที่สุดดีกว่า เพราะเพียงไม่กี่วันหลังจากนี้ทั้งสองก็จะต้องห่างกันไปคนละซีกโลก ถึงแม้วิทยาการสื่อสารจะก้าวหน้าจนทำให้สามารถเห็นหน้ากันได้ทุกเวลาที่ต้องการ แต่อย่างไรก็ตามความรู้สึกที่ได้จากจ้องมองอีกฝ่ายผ่านภาพหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือก็คงเทียบไม่ได้เลยกับการได้อยู่แนบชิดสนิทกายกันจริงๆ เช่นนี้

        คืนนั้นหลังจากกิจกรรมกระชับความสัมพันธ์ได้ผ่านพ้นไป กรรณกอดภูเอาไว้จนร่างเปลือยเปล่าของทั้งสองแนบชิดเกือบจะรวมเป็นหนึ่งเดียวขณะที่ปากก็กระซิบเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในขณะที่ทั้งสองไม่ได้อยู่ด้วยกัน จอสบุกไปหากรรณถึงสุโขทัยโดยมีพี่ช้างเป็นคนบอกข้อมูลที่อยู่ของกรรณ แม้ข้อมูลที่ได้จะไม่ได้ละเอียดมากถึงขนาดรู้บ้านเลขที่แต่เพียงเท่านั้นก็มากพอที่จะช่วยให้เด็กหนุ่มหาตัวกรรณจนเจอ รอยช้ำที่ตาของกรรณได้มาเพราะถูกอีกฝ่ายประเคนกำปั้นใส่ทันทีที่เปิดประตูบ้าน ซึ่งเมื่อตั้งตัวได้กรรณก็ทำการสอนมวยเด็กรุ่นน้องคืนไปหลายชุดกว่าที่ทั้งสองจะหมดแรงจนต้องยอมสงบศึกและมานั่งคุยกันดีๆ ได้

        ถึงแม้พ่อของภูจะหายโกรธแต่ก็ใช่ว่าจะยอมรับกรรณกลับมาได้ง่ายๆ ชายหนุ่มยังคงถูกกันออกจากอาณาเขตบ้านของภูอย่างเด็ดขาด และแน่นอนว่าในช่วงไม่กี่วันก่อนที่กรรณจะต้องออกเดินทางนั้น ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ต้องดำเนินไปแบบหลบๆ ซ่อนๆ แต่ถึงกระนั้นภูก็สังเกตเห็นว่าการแอบพบเจอกันบนระเบียงบ้านของกรรณหลายต่อหลายครั้งนั้นตกอยู่ในสายตาของพ่อที่จับจ้องอยู่แต่ก็ไม่ได้เข้ามาห้ามปรามหรือพรากทั้งคู่ออกจากกันแต่อย่างใด นั่นทำให้ภูรับรู้ได้ว่าแม้จะโดยไม่เต็มใจนัก แต่ในที่สุดพ่อก็ยอมเปิดทางให้ความรักของทั้งคู่แล้ว

        ช่วงเวลาแห่งการจากลามาถึงในเช้ามืดแห่งวันแรกของเดือนใหม่ ภูขับรถของพ่อออกมาส่งกรรณที่สนามบิน ถึงแม้ว่าใจจริงนั้นเด็กหนุ่มอยากจะไปส่งอีกฝ่ายให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้แต่ในความเป็นจริงก็ทำได้เพียงแค่บอกลากันในลานจอดรถของสนามบินเท่านั้น ด้วยคำสั่งจากทางช่องที่บังคับให้ภูยังคงต้องระมัดระวังเรื่องภาพลักษณ์อยู่ถึงแม้ว่าข่าวฉาวจากภาพหลุดจะจางหายไปจนแทบไม่มีใครจำได้แล้วก็ตาม จูบสุดท้ายที่เกิดขึ้นในรถอันแสนคับแคบนั้นอ้อยอิ่งและเนิ่นนาน แต่ถึงจะพยายามยืดเวลาเพียงใดก็ไม่อาจหลีกหนีจุดสิ้นสุดได้ กรรณจำใจผละออกจากริมฝีปากของภูเมื่อเสียงเตือนจากโทรศัพท์ดังขึ้นตามเวลาที่ตั้งไว้ เขามองหนังสือเดินทางและตั๋วเครื่องบินในมือของตน หวั่นเกรงกับช่วงเวลาแห่งการจากลาที่ไม่อยากให้มาถึง

        “อยู่ที่นี่ดูแลตัวเองดีๆ นะ” กรรณสั่งเสียด้วยความเป็นห่วง “กินเยอะๆ หาเวลาพักผ่อน ถ้ารู้ตัวว่าไม่ไหวก็ไม่ต้องฝืนสังขาร”

        “ผมโอเคน่า… พี่นั่นแหละที่น่าห่วง งานใหม่นี่ต้องเดินทางอยู่ตลอด รักษาสุขภาพด้วยนะครับ” ภูตอบกลับไป

        “แล้วพี่จะติดต่อมาหาเรื่อยๆ รับรองว่าจะไม่เงียบหายไป” กรรณให้สัญญา

        “ถ้าหายจะตามไปล่าตัวจนเจอ” ภูพยายามทำให้บรรยากาศไม่เศร้าจนเกินไป “อยู่ที่นั่นห้ามไปยุ่งกับใครนะ”

        “บอกตัวเองเถอะ ตั้งแต่คบกับนายพี่ไม่เคยมีใครมายุ่งด้วยเลย มีแต่นายนั่นแหละ คู่จงคู่จิ้นอะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมด” กรรณใช้มือผลักศรีษะของภูเบาๆ แปลกใจกับท่าทีที่ดูผ่อนคลายของอีกฝ่าย “แล้วนี่ใจคอจะไม่ร้องไห้ให้ปลอบก่อนไปเลยเหรอ?”

        “น้ำตาของผมสำหรับพี่น่ะ มันหมดไปนานแล้วครับ” ภูรีบไล่ “ไปเช็คอินได้แล้ว เดี๋ยวตกเครื่องจนได้หรอก”

        “รู้แล้วน่า” กรรณเปิดประตูลงไปและไปหยิบกระเป๋าเดินทางที่ท้ายรถก่อนจะเดินกลับมาก้มมองที่หน้าต่างข้างคนขับอีกครั้ง “เดี๋ยวไปถึงแล้วจะรีบติดต่อมาหานะ”

        “โอเคครับ” ภูพยักหน้ารับทราบก่อนจะโบกมือลา “เดินทางปลอดภัยนะครับ”

        “ยังไม่ทันไปก็คิดถึงนายแล้วเนี่ย…” กรรณโบกมือตอบกลับแล้วจึงหันหลังเดินลากกระเป๋าเดินทางออกไปจากตรงนั้น

        ภูเฝ้ามองอยู่จนกระทั่งอีกฝ่ายเดินหายลับไปจากสายตาแล้วจึงค่อยเคลื่อนรถขับออกมาจากตรงนั้นด้วยหัวใจที่เบาหวิว ท้องฟ้ายังคงไม่สว่างดีมีเพียงเส้นสีทองที่บ่งบอกว่าดวงอาทิตย์กำลังจะโผล่พ้นขอบฟ้าในไม่ช้า น้ำตาที่สะกดเอาไว้ภายใต้ใบหน้ายิ้มแย้มที่ปั้นแต่งออกมาเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายต้องเป็นกังวลเริ่มเอ่อท้นขอบตาจนเกินจะกลั้นไว้ได้อีกต่อไป เมื่อการร้องไห้ทำให้ทัศนวิสัยในการมองทางถดถอย เด็กหนุ่มจึงจอดรถลงที่ข้างทางก่อนเพื่อความปลอดภัยแล้วปล่อยให้ตัวเองร้องไห้จนสาแก่ใจ จนกระทั่งหยุดร้องได้แล้วจึงค่อยออกรถขับต่อไปอีกครั้ง

        เมื่อกลับมาถึงบ้าน ภูจอดรถเก็บเข้าที่จากนั้นจึงนำกุญแจไปวางคืนให้พ่อยังที่เดิมที่หยิบมาก่อนจะกลับขึ้นไปพักผ่อนบนห้องนอนของตนเอง เมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะโดดเรียนในช่วงเช้า เด็กหนุ่มจึงยังมีเวลาตั้งแต่ตอนนี้จนกว่าจะถึงช่วงบ่ายก่อนที่จะต้องออกไปกองถ่ายอีกครั้ง เมื่อรู้ว่าไม่มีสายตาคอยแอบมองจากฝั่งตรงข้ามให้ต้องระวังอีกต่อไปภูก็ถอดเสื้อผ้าตัวเองจนเหลือแค่กางเกงบ๊อกเซอร์แล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียง ท้องฟ้าสว่างแล้ว ภูมองแสงแดดอ่อนๆ ของเช้าวันใหม่ที่ส่องลอดเข้ามาทางหน้าต่าง เที่ยวบินของกรรณคงออกเดินทางแล้วในเวลานี้ ภูนึกบางอย่างขึ้นมาได้จึงรีบผลุดลุกขึ้นนั่งแล้วหยิบปฏิทินตั้งโต๊ะขนาดเล็กที่หัวเตียงออกมาก่อนจะใช้ปากกาเคมีซึ่งวางอยู่ใกล้ๆ ขีดฆ่าวันนี้ออก เป็นสัญญาณการเริ่มนับถอยหลังหนึ่งวันแรกจากหนึ่งพันกับอีกเก้าสิบห้าวันแห่งการรอคอย

        แม้กรรณจะไม่ได้อยู่ร่วมรับรู้ แต่โลกของภูก็ยังหมุนไปอย่างไม่มีวันหยุด มีสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นให้ได้แปลกใจและหนักใจแทบทุกวัน ละครเรื่องแรกในชีวิตของภูถ่ายทำจนเสร็จและบทของเขาได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้ชมจนแทบจะเรียกได้ว่าดังเกินหน้าเกินตาพระเอกนางเอกของเรื่อง ส่งผลให้ทางช่องรีบผลักดันภูด้วยการป้อนบทตัวเอกในซีรีย์วัยรุ่นให้เป็นผลงานชิ้นถัดไป โดยมีจอสซึ่งกลับจากการพักร้อนเรียบร้อยแล้วมารับบทสมทบในเรื่องด้วย บรรดาแฟนคลับและผู้ชมที่รู้ข่าวต่างตั้งตารอดูกันอย่างใจจดใจจ่อ แต่หนึ่งในนั้นไม่ใช่กรรณซึ่งยืนกรานหัวเด็ดตีนขาดผ่านวีดีโอคอลมาว่าจะไม่ยอมดูให้เสียสายตาแน่หากว่ามีจอสมาโผล่ในจอด้วย

        ภูยังคงสวมบทบาทคู่จิ้นในจอกับจอส ในขณะที่นอกจอทั้งสองก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเสมอ ทว่าหลังจากกลับมามีผลงานละครกับทางช่องได้เพียงแค่สองเรื่อง จอสก็ถูกยกเลิกสัญญาเนื่องจากละเมิดข้อตกลงกับทางต้นสังกัด ซึ่งเจ้าตัวก็ดูเหมือนจะไม่สะทกสะท้านใดๆ กับโทษที่ตนได้รับ เขาได้ออกมาฟอร์มวงดนตรีกับกลุ่มเพื่อนใหม่ที่สนิทกันผ่านทางแฟนที่คบหาดูใจกันอยู่ ในขณะที่ทางด้านงานในวงการเขาก็ยังคงรับงานในฐานะนักแสดงอิสระ มีผลงานประปรายเพื่อรักษากระแสชื่อเสียงของตนเอาไว้ให้เป็นประโยชน์ในการโปรโมทวงดนตรี ซึ่งหลังจากการยกเลิกสัญญาถึงแม้ภูจะถูกต้นสังกัดสั่งห้ามไม่ให้รับงานคู่กับจอสจนทั้งสองต้องห่างกันไปโดยปริยาย แต่เด็กหนุ่มก็ไม่เป็นกังวลแต่อย่างใดเพราะรู้ว่าตอนนี้จอสไม่ได้อยู่ลำพังเดียวดายอีกต่อไปแล้ว

        กรรณยังคงรักษาสัญญาที่ให้เอาไว้ว่าจะไม่เงียบหาย เขาติดต่อกลับมาบ่อยครั้งที่สุดเท่าที่จะทำได้ในทุกวิถีทางเท่าที่สถานการณ์จะเอื้ออำนวย มีครั้งหนึ่งที่ชายหนุ่มจำเป็นต้องเงียบหายไปกว่าหนึ่งเดือนเพราะต้องถูกส่งไปลงพื้นที่ซึ่งขาดแคลนทรัพยากรทางด้านการติดต่อสื่อสาร แต่เขาก็ได้บอกภูล่วงหน้าถึงเรื่องนั้นเพื่อไม่ให้เกิดความกังวล ในขณะที่สถานะทางหน้าที่การงานของกรรณก็ดูจะเป็นไปได้สวย เขามีผลงานที่โดดเด่นจนถึงขั้นได้คัดเลือกเข้าสู่รอบสุดท้ายรางวัลพูลิตเซอร์ในสาขาภาพถ่ายหลักถึงสองปีซ้อน แม้จะไม่ได้เป็นผู้ชนะแต่ก็สร้างชื่อเสียงได้มากในฐานะคนไทยเพียงไม่กี่คนที่เคยมีชื่ออยู่บนเวทีนี้จนถึงขนาดสื่อไทยต้องขุดคุ้ยประวัติจนข่าวรูปฉาวในอดีตของภูกลับมาเป็นกระแสอีกรอบ ซึ่งครั้งนี้ภูเลือกที่จะตอบสนองกับข่าวด้วยการยอมรับความจริงโดยไม่สนใจคำทัดทานของพี่ช้าง เด็กหนุ่มออกแถลงข่าวกับสื่อมวลชนยอมรับว่ากำลังคบหากับกรรณจริง และคบมาตั้งแต่ก่อนที่รูปนี้จะหลุดออกมาแล้ว อีกทั้งยังขอร้องให้ทุกฝ่ายเคารพสิทธิ์ความเป็นส่วนตัวของคนรักตนด้วยเนื่องจากอีกฝ่ายไม่ใช่บุคคลสาธารณะในวงการบันเทิงเหมือนกับตน ซึ่งผลตอบรับที่ได้กลับมานั้นเป็นอะไรที่ผิดความคาดหมาย เมื่อกระแสสังคมที่มีต่อเรื่องนี้เป็นไปในทิศทางที่ดีกว่าที่ทั้งพี่ช้างและต้นสังกัดคาดคิดเอาไว้ ภูยังคงรักษาความนิยมเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น อีกทั้งยังสามารถเพิ่มฐานแฟนคลับจากกลุ่มเพศทางเลือกได้อีก แม้จะมีกระแสวิจารณ์ในด้านลบจากพวกกลุ่มคนหัวโบราณออกมาประปราย แต่เสียงนกเสียงกาเพียงเล็กน้อยนั้นก็ไม่อาจส่งผลกระทบใดๆ ต่อการตัดสินใจของทางช่องในเมื่อเรตติ้งละครของภูที่กำลังออนแอร์นั้นช่างร้อนแรงจนไม่อาจปฏิเสธได้

        แม้จะต้องใช้ความพยายามและอุตสาหะมากกว่าคนอื่น แต่ภูก็สามารถสำเร็จการศึกษาได้ทันพร้อมๆ กับเพื่อนทุกคนในรุ่น พ่อติดต่อช่างภาพมาเพื่อบันทึกภาพความทรงจำในการรับปริญญาทั้งวันซ้อมและวันรับจริง แต่ถึงกระนั้นก็ยังแอบบ่นกับแม่ว่าคงประหยัดไปได้มากหากกรรณมารับหน้าที่นี้ด้วยตัวเอง ซึ่งนั่นทำให้ภูอดแอบยิ้มกับตัวเองไม่ได้ เพราะในที่สุดพ่อก็แสดงออกเป็นนัยยะให้รับรู้แล้วว่ายอมรับกรรณกลับเข้ามาในครอบครัวอีกครั้งหลังจากถือทิฐิทำปากแข็งบอกจะไม่สนใจใยดีอยู่เป็นปี

       

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
        ในงานเลี้ยงฉลองจบการศึกษา ขณะที่เพื่อนคนอื่นๆ กำลังสนุกสนานกันอย่างสุดเหวี่ยงเพื่อเป็นการส่งท้ายชีวิตการเรียนนั้น ภูแอบหลบออกมานอกงานเพื่อวีดีโอคอลกับกรรณตามเวลาที่นัดหมายเอาไว้เมื่อสองวันก่อน ทว่าหลังจากนั่งรออยู่ครู่ใหญ่จนเลยเวลานัดแล้วก็ยังไม่มีวี่แววว่าอีกฝ่ายจะติดต่อมา ภูถอนหายใจออกมาแต่ก็พยายามบอกตัวเองไม่ให้คิดมาก เพราะกรรณได้บอกเอาไว้แล้วว่าต้องเข้าไปทำงานในเขตที่การติดต่อสื่อสารอาจทำได้ไม่สะดวก ดังนั้นวันนี้การผิดนัดของเขาอาจเป็นเหตุสุดวิสัย เด็กหนุ่มเก็บโทรศัพท์กลับเข้ากระเป๋ากางเกงก่อนจะนั่งลงบนขั้นบันไดของทางหนีไฟ ตั้งใจจะพักสมองสักครู่หนึ่งก่อนจะเข้าไปเจอความวุ่นวายจากบรรดาเพื่อนที่กำลังเมาจนรั่วเหมือนเสียสติด้านในงาน

        “ไอ้ภู มานั่งทำอะไรวะ เพื่อนหาตัวกันให้ควั่ก เค้าจะถ่ายรูปรวมกันแล้ว” สาลี่โผล่หน้าเข้ามาเรียกภู

        “พักหู พักหัว ไอ้พวกนี้ยิ่งเมายิ่งแหกปาก ปวดหัวไปหมดแล้วเนี่ย” ภูให้เหตุผล

        “เออ ก็จริง ชั้นก็รำคาญ โดยเฉพาะไอ้ดล เสียงปกติแม่งก็น่ารำคาญอยู่แล้ว พอแหกปากนี่เหมือนมีงานชุมนุมผีเปรตแถวนี้เลย” สาลี่นินทาเพื่อนลับหลังก่อนจะตัดสินใจนั่งพักข้างๆ ภูด้วยอีกคน “แล้วแกไหวป่ะเนี่ย? พรุ่งนี้มีงานรึเปล่า?”

        “พรุ่งนี้มีถ่ายรายการ แต่ก็ไหวอยู่ กินไปไม่กี่แก้วหรอก” ภูรู้ขีดจำกัดของตัวเองดี “ช่วงนี้งานซาลง ละครก็ปิดกล้องไปหมดแล้ว เหลือหนังที่มีถ่ายซ่อมอีกไม่กี่ฉาก ต้องรอละครใกล้ออนแอร์กับหนังออกฉายนั่นแหละถึงจะวิ่งวุ่นเรื่องโปรโมทอีกรอบ”

        “ดังใหญ่แล้วนะแกน่ะ” สาลี่อดทึ่งไม่ได้ว่าเพื่อนสุดเงอะงะของเธอจะมาไกลได้ขนาดนี้ “แล้วไหนจะผมทรงนี้ของแกอีก ยังไงชั้นก็ไม่ชินกับมันว่ะ”

        “เปลี่ยนลุกส์บ้างไม่ดีเหรอ?” ภูยกมือขึ้นเสยผมบนศรีษะของตนซึ่งบัดนี้ถูกซอยตัดออกจนสั้น “ตอนแรกก็แค่คิดว่าต้องเปลี่ยนคาแรกเตอร์ตามบทหนัง แต่พอตัดแล้วมันก็โอเคว่ะ สบายหัวดี ไม่เสียเวลาหลังอาบน้ำมากเหมือนเมื่อก่อนด้วย”

        “แล้วแฟนแกเห็นรึยัง?” สาลี่ถามถึงกรรณ

        “เห็นแล้ว เค้าชอบแบบเก่ามากกว่า แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร” ภูตอบ พลางหลุดขำออกมาเมื่อนึกถึงสีหน้าตกตะลึงของกรรณเมื่อเห็นผมทรงนี้เป็นครั้งแรกขณะที่วีดีโอคอลกัน

        “แล้วเรื่องที่แกบอกชั้นวันนั้น แกตัดสินใจแน่แล้วเหรอ?” สาลี่ถามถึงสิ่งที่ภูปรึกษากับตนไว้เมื่อหลายวันก่อนหลังจากซ้อมรับปริญญาเสร็จ

        “ก็คงตามนั้นแหละว่ะ” ภูพยักหน้ายืนยัน “ครบห้าปี หมดสัญญาก็คงจะไม่ต่อกับทางช่องแล้ว แล้วก็คงพอซักทีกับงานในวงการ ออกมาหาอะไรที่ชอบจริงๆ ทำดีกว่า”

        “ไม่เสียดายเหรอ แกกำลังรุ่งเลยนะ” สาลี่ไม่อยากให้เพื่อนเสียใจทีหลัง

        “ผ่านมาเกือบสามปี ชั้นยังไม่รู้สึกเลยว่าชั้นเหมาะกับที่ตรงนี้” ภูบอกสิ่งที่ตนรู้สึก “มันก็เงินดีแหละ แต่ที่ผ่านมาชั้นก็เก็บเงินได้เยอะมากแล้ว กว่าจะหมดสัญญาก็คงหาเพิ่มได้อีกก้อนใหญ่ ได้เท่านั้นก็พอแล้วล่ะ อีกเดี๋ยวพี่กรรณก็จะกลับมาแล้วด้วย”

        “กลับมาแล้วไง แกก็ยังคบกับเค้าต่อได้นี่ ก็ยอมรับออกสื่อไปแล้ว คนดูแฟนคลับก็ยอมรับได้ไม่มีปัญหาอะไร” สาลี่แย้ง

        “ชั้นก็อยากได้ชีวิตสงบๆ ของตัวเองกลับมาเหมือนกันนะ แกน่าจะรู้จักชั้นดีกว่าใคร ว่าชั้นหวงชีวิตตัวเองขนาดไหน” ภูตอบกลับไป “แล้วอีกอย่าง ถ้าชั้นยังอยู่ในวงการ พี่กรรณก็หนีไม่พ้นจะต้องถูกขุดคุ้ยล่วงละเมิดความเป็นส่วนตัวอยู่เรื่อยๆ ชั้นน่ะยอมได้เพราะมันคืองาน แต่เค้าไม่ได้เป็นแบบชั้น เค้าไม่สมควรโดน”

        “อืม ก็แล้วแต่แกเถอะ” สาลี่ไม่ฝืนโน้มน้าวต่อ “ก็แค่เสียดายแทนแกนิดหน่อยเท่านั้นแหละ”

        “ไม่มีอะไรน่าเสียดายเลยไอ้ลี่” ภูถอนหายใจออกมาเมื่อนึกถึงชีวิตที่เปลี่ยนไปจนแทบจะจำตัวเองไม่ได้ “การต้องอยู่กับสิ่งที่ตัวเองไม่ได้อยากทำ จนต้องเสียโอกาสทำสิ่งที่ตัวเองรักจริงๆ ไปต่างหากที่น่าเสียดาย”

        “ทำเป็นพูดจาหล่อ” สาลี่เบ้ปาก “จริงๆ คืออยากออกมาอยู่เงียบๆ กับแฟนก็เท่านั้นแหละแกน่ะ”

        “ก็คนมันมีแฟนให้อยู่ด้วยอ่ะนะ” ภูเกทับกลับไป

        “เหรอ รักแฟนมากสินะพ่อคุณ?” สาลี่ถามเสียงสูงด้วยความหมั่นไส้

        “แน่นอน” ภูพยักหน้า

        “ไม่กลัวโดนบอกเลิกอีกหรือไง?” สาลี่จัดการขุดแผลเก่าขึ้นมา

        “เลิกก็เลิกสิ นี่ระดับพระเอก เบอร์นี้แล้ว ไม่แคร์แล้ว” ภูทำเก่ง “เลิกก็หาใหม่ มีอะไรยาก แคร์มากก็เครียดมาก ดูวันนี้สิ ขนาดนัดว่าจะเฟสไทม์กันยังผิดนัดเลย แล้วนี่แคร์ไหม? ก็ไม่ คนคุยด้วยเยอะแยะ”

        “อ๋อเหรอ…” เสียงที่ตอบกลับมาคราวนี้ไม่ใช่เสียงของสาลี่ “งั้นหาใหม่ซะตอนนี้เลยดีไหม?”

        ภูหันไปตามเสียงก่อนจะสะดุ้งเฮือก ตกใจจนทำอะไรต่อไม่ถูกเมื่อเห็นกรรณยืนอยู่ตรงประตูของทางหนีไฟ รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมบนใบหน้านั้นบ่งบอกให้รู้ได้อย่างชัดเจนว่าเขาได้ยินบทสนทนาของเพื่อนรักทั้งสองเมื่อครู่นี้อย่างครบถ้วนทุกกระบวนความ โดยเฉพาะประโยคสุดท้ายของภู เด็กหนุ่มชะงักคิดไม่ออกว่าควรจะแสดงอาการว่าดีใจต่อการปรากฎตัวที่ไม่คาดคิดนี้ก่อนดีหรือจะแก้ตัวเรื่องประโยคเมื่อครู่นี้ก่อนดี ครั้นจะหันไปเล่นงานสาลี่ เพื่อนตัวแสบก็แอบย่องวิ่งหนีลงไปชั้นล่างแล้ว

        “พะ… พี่มาได้ไงอ่ะครับ?” ภูพยายามตั้งสติ

        “ก็ขอลางานมาน่ะสิ วันสำคัญแบบนี้ จะไม่มาได้ไงล่ะ อุตส่าห์วางแผนกับสาลี่เอาไว้ว่าจะมาเซอร์ไพรส์” กรรณตอบ “แล้วอีกอย่าง ถ้าไม่มาจะรู้เหรอ ว่ามีคนจ้องจะหาแฟนใหม่อยู่”

        “พี่ก็รู้ว่าผมพูดไปอย่างนั้นแหละ… ใช่ป่ะ?” ภูทำใจดีสู้เสือ แต่สายตาข่มขู่ของกรรณก็ทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้คิดตามที่ตนพูด

        “เริ่มจะไม่ไว้ใจให้อยู่คนเดียวแล้วนะ” กรรณส่ายหน้าเหมือนระอิดระอาใจ

        “ถ้าจะนอกใจพี่ ผมก็ทำไปนานแล้วเหอะ” ภูยกเอาความดีความชอบในอดีตของตนขึ้นมาอ้าง “ขนาดโดนพี่บอกเลิก ผมยังไม่คิดจะหาคนใหม่เลย”

        “ก็ดีแล้ว” กรรณเลิกทำหน้าดุหลังจากแกล้งภูจนพอใจแล้ว “งั้นตอนนี้ก็… ยินดีด้วยนะกับบัณฑิตใหม่ ในที่สุดก็เรียนจบแล้ว”

        “ขอบคุณครับ” ภูยันตัวลุกขึ้นยืนก่อนจะโผเข้าสวมกอดกรรณ “ขอบคุณที่มานะ ดีใจมากเลย”

        “คิดถึงจัง” กรรณยกแขนขึ้นกอดเด็กหนุ่มเอาไว้ ก่อนจะก้มหน้าจูบลงที่กลางศรีษะ “อยากกลับเข้าไปในงานไหม? หรือจะไปเดินเล่นกับพี่ข้างนอก?”

        เป็นคำถามที่ภูสามารถตอบได้โดยไม่ต้องคิดทีเดียว เด็กหนุ่มกลับเข้าไปในงานเพื่อถ่ายรูปรวมเป็นครั้งสุดท้ายพร้อมกับบอกบรรดาเพื่อนว่าเขาต้องขอตัวกลับก่อนเนื่องจากพรุ่งนี้ยังมีงานต้องทำ จากนั้นจึงค่อยออกมาพบกับกรรณซึ่งยืนรออยู่ข้างนอก

        อากาศในค่ำคืนนี้ค่อนข้างเย็น ไม่ถึงกับหนาวอย่างที่ควรจะเป็นในช่วงเวลานี้ของปี แต่ก็ไม่ร้อนอบอ้าวจนพาให้อารมณ์หงุดหงิด ภูเดินเคียงข้างกรรณไปตามทางเท้าริมถนน ดื่มด่ำกับบรรยากาศแห่งความเงียบสงบ ตึกรามบ้านช่องสองข้างทางบัดนี้ปิดเงียบสนิทเพราะเป็นเวลาที่ผู้คนเข้านอนพักผ่อนกันแล้ว เมื่อเห็นว่าปลอดจากสายตาผู้คนที่จ้องมอง กรรณจึงยื่นมือมาเพื่อให้ภูจับขณะเดินไปด้วยกันซึ่งเด็กหนุ่มก็รีบคว้าเอาไว้อย่างยินดี

        “พี่จะอยู่ที่นี่กี่วันเหรอครับ?” ภูถาม

        “อาทิตย์หน้าก็ต้องกลับไปแล้วล่ะ” กรรณตอบ “แต่หลังจากนั้นก็เหลือเวลารออีกไม่ถึงปีเราก็จะได้กลับมาอยู่ด้วยกันแล้วนะ”

        “ห้ามไปต่อสัญญาล่ะ” ภูรีบสั่งห้ามเอาไว้ล่วงหน้า

        “ไม่ต่อหรอก แค่สัญญาที่เหลืออยู่นี่ก็อยากจะยกเลิกจะตายแล้ว” กรรณยืนยันให้ภูมั่นใจว่าจะไม่รอเก้อ

        “พี่ผอมลงไปเยอะเลยรึเปล่าครับ?” ภูจ้องดูใบหน้าของกรรณซึ่งบัดนี้ดูซูบลงจนแก้มตอบ

        “เดินทางบ่อย พักผ่อนน้อยก็แบบนี้ล่ะ” กรรณตอบขณะมองไปทรงผมของภูอย่างขัดใจ “ตกลงว่าจะไว้ทรงนี้ไปตลอดเลยเหรอ?”

        “ทำไมอ่ะ? ก็ดูแลง่ายดีออก” ภูยกมือขึ้นลูบผมบนศรีษะตัวเอง

        “พอไว้ทรงนี้แล้วนายดูเหมือนพ่อนายมากเลย” กรรณบอกเหตุผลที่ทรงผมนี้ไม่ผ่านการพิจารณาสำหรับตน “น่ากลัว…”

        ภูหัวเราะออกมาด้วยความขบขันกับการที่กรรณยังคงฝังอกฝังใจกับพ่อของตนไม่ยอมเลิกราทั้งที่เรื่องก็ผ่านมานานแล้ว

        “แล้วเมื่อกี้ที่คุยกับสาลี่ เรื่องจะออกจากวงการหลังหมดสัญญา” กรรณอายจนต้องรีบเปลี่ยนเรื่อง “ตัดสินใจแน่แล้วเหรอ?”

        “ครับ ก็ตั้งใจไว้แบบนั้นล่ะ” ภูพยักหน้าตอบ “เราจะได้คบกันแบบสบายใจยังไงล่ะครับ”

        “ลองคิดดูใหม่อีกครั้งก็ได้นะ” กรรณเสนอ “ถ้านายอยากเลิกเพราะกังวลว่าพี่จะรู้สึกไม่ดีกับการถูกคนมาขุดคุ้ยชีวิตหรือกลายเป็นคนในข่าว ก็ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก ที่ผ่านมาพี่ก็เริ่มปรับตัวได้แล้ว ไม่ค่อยคิดอะไรมากเท่าเมื่อก่อน”

        “ไม่คิดมากก็คือยังคิดนั่นแหละครับ” ภูยังยืนยันความตั้งใจเดิม “อีกอย่าง ผมก็เหนื่อยกับชีวิตแบบนี้เต็มทีแล้ว ที่ผ่านมาผมถือว่าผมให้โอกาสตัวเองได้ลองแล้ว คำตอบที่เจอก็คือมันยังไม่ใช่ ขอไปค้นหาสิ่งที่อยากทำจริงๆ ดีกว่า”

        “ไม่รู้สิ พี่ก็แค่อยากให้นายลองคิดให้ถ้วนถี่” กรรณจูงมือภูพามานั่งพักบนม้านั่งริมน้ำของท่าเรือข้ามฟากซึ่งบัดนี้ไร้ซึ่งผู้คน “ถ้าเหตุผลในการตัดสินใจมันเกี่ยวกับพี่ พี่ก็อยากบอกว่านั่นไม่ใช่ปัญหา ที่ผ่านมานายเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อพี่มาเยอะแล้ว ตอนนี้ ก็ถึงทีของพี่ที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อนายบ้าง”

        “ไม่ได้นะครับ” ภูห้ามน้ำเสียงจริงจัง ก่อนที่จะเอนศรีษะไปพิงกับต้นแขนของอีกฝ่ายเอาไว้เหมือนเช่นที่เคยทำทุกครั้งยามอยู่ใกล้ชิดกัน จมูกสูดดมกลิ่นอายที่คุ้นเคยจากร่างกายของกรรณอย่างถวิลหา น้ำตารื้นขึ้นมาเมื่อนึกถึงการเดินทางอันแสนจะยาวนานผ่านเรื่องราวทั้งร้ายและดีของตนจนมาสู่จุดนี้ และในตอนนั้นเองที่เด็กหนุ่มได้คำตอบอันจะเป็นดั่งก้าวแรกของการเริ่มต้นบทใหม่แห่งชีวิต “เป็นแบบที่เราเป็นดีกว่า อย่าเปลี่ยนอะไรอีกเลยนะครับ”

        กรรณพยักหน้า เพราะเขาเองก็อยากให้มันเป็นเช่นนั้น…


The End...

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
สำหรับทุกท่านที่อ่านมาจนถึงตอนจบนี้

อยากบอกว่าขอบคุณมากนะครับที่ติดตาม ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่เข้ามาแอบอ่านเฉยๆหรือผู้ที่คอมเม้นพูดคุยให้กำลังใจ

สำหรับเรื่องนี้ตอนที่เขียนเลยคือตั้งใจอยากจะให้เป็นเรื่องราวที่อ่านแล้วมอบความรู้สึกดีๆให้กับทุกคนได้

อยากให้ทุกคนที่เข้ามาอ่าน อ่านแล้วรู้สึกอิ่มในหัวใจกลับออกไป

ตอนนี้เรื่องก็มาถึงตอนจบแล้ว แต่อย่างที่เคยเกริ่นเอาไว้ว่าอาจจะมีตอนพิเศษอีกสองถึงสามตอน

แต่ก็ต้องขอพักเอาไว้ก่อน ขอผู้เขียนไปพักสมองสักระยะ แล้วจะกลับมาสานต่อตามที่ตั้งใจไว้

ขอบคุณนะครับที่ติดตาม และหวังว่าทุกท่านจะได้ความรู้สึกที่ดีกลับออกไปหลังอ่านจบ

ขอบคุณจริงๆครับ  o13

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
จบแบบหวานๆ  แต่...... แฟนจอสคือใคร ? อิอิ

ออฟไลน์ Dee^daY

  • ไม่เคย ทำให้ใครเดือดร้อน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +330/-6
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆ อีก 1 เรื่องนะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด