เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) side story : Where R U? อยู่ไหนครับ...ที่รักของผม5[24\3\63]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) side story : Where R U? อยู่ไหนครับ...ที่รักของผม5[24\3\63]  (อ่าน 50318 ครั้ง)

ออฟไลน์ candleguard

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 75
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-1
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0


----------------------------------------------------------------------------------------------------------------





ว่ากันว่า ในประวัติศาสตร์ตั้งเเต่ก่อตั้งคณะขึ้นมานั้น มีนิสิตเพียงคนเดียวที่จบด้วยเกรด4.00 
เเละเพราะความที่ลำคอของเขาห้อยเกียร์ไว้ถึงสองอัน
ทุกคนจึงตั้งสมญานามให้เขาว่า ' เกียร์คู่ในตำนาน  '





                                                                       ตอนที่ 1 ปิดเทอมของที
 






สวัสดีคร้าบบบบ ! ในที่สุดผมคนนี้ก็มีเรื่องเป็นของตัวเองเสียที หลังจากเป็นตัวประกอบแสนจืดจางมาเนิ่นนานTvT ก็จะให้ทำไงได้ ในกลุ่มผมมันดันมีแต่พวกหล่อ รวย มีแต่ผมแหละที่ดูเป็นสามัญชนคนธรรมดาที่สุด หน้าตาพอไปวัดไปวา ฐานะพอมีพอกิน มีเพียงสิ่งเดียวที่ผมพอจะใช้เชิดหน้าชูตาได้นั่นก็คือ ‘ผลการเรียน’





ก็ไม่อยากจะโม้หรอกนะ แต่ผมสอบตรงเข้ามาด้วยคะแนนอันดับหนึ่ง และ ได้ทุนให้เปล่าจากบริษัทวิริยะคอนสตรัคชั่นด้วย นี่จึงเป็นเหตุให้ผมได้มารู้จักกลุ่มไอ้โซล จำได้ว่าตอนเข้าปีหนึ่งมาใหม่ๆ ไอ้โซล ไอ้แท็ค ไอ้ก้อย ก็เดินเข้ามาหาผม ตอนแรกผมนึกว่าตัวเองเผลอไปทำอะไรผิดไว้รึเปล่า คือหน้าตาไอ้โซลตอนนั้นมันดูหาเรื่องมากอ่ะครับ



‘มึงชื่อ ทวีเดช ที่ได้ทุน v group รึเปล่า’ ตอนนั้นผมนั่งอยู่ในโรงอาหาร กำลังนั่งอ่านการ์ตูนอยู่ ผมเงยหน้าขึ้นมองคนสามคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าแล้วก็ผงะ ใครฟะ-*-



‘หน้าตาโง่เง่าชะมัด…เสียอารมณ์ว่ะ’ ไอ้หน้าหาเรื่องที่ดูเหมือนจะชื่อโซลหันไปพูดกับเพื่อนมันได้ยินอย่างนั้นผมก็ขึ้นสิครับ เกือบได้ชกกันแล้ว ดีที่สองคนนั้นมาขวางผมกับไอ้โซลเอาไว้ ไม่งั้นได้เด่นกันตั้งแต่วันเปิดเทอมแน่



ผมเพิ่งมารู้ภายหลังจากไอ้แท็คว่าสาเหตุที่ไอ้โซลมันเดินมาดูหน้าแล้วทำท่าหงุดหงิดใส่ผมวันนั้นเป็นเพราะ ผมดันไปแย่งทุนมัน มันคิดจะชิงทุนบริษัทตัวเอง ผมก็งงนะว่ามันจะสอบชิงทุนที่บริษัทตัวเองให้คณะมาทำติ่งไรวะ รวยก็รวยยังจะมาแย่งชาวบ้านเค้าอีก ไอ้แท็คบอกว่ามันเป็นเรื่องของศักดิ์ศรี ไอ้โซลมันกะอวดพ่อแม่ปู่ย่าตายายว่า มันเจ๋ง มันเก่ง แค่นั้น!! แล้วผมดันสอบได้คะแนนมากกว่ามัน มันเลยหงุดหงิดต้องมาเห็นให้ได้ว่าหน้าแบบไหนวะบังอาจมาทำลายแผนโชว์เมพของมัน นั่นล่ะครับเหตุผล…ปัญญาอ่อนชิบหาย



เหตุการณ์วันนั้นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมได้รู้จัก และ กลายมาเป็นเพื่อนกลุ่มนี้ในที่สุด คือผมก็งงเหมือนกันว่าสุดท้ายมันกลายเป็นแบบนี้ได้เยี่ยงไร แต่รู้ตัวอีกทีผมก็กลายมาเป็นสมาชิกกลุ่มนี้แถมอยู่ด้วยกันมาย่างเข้าปีที่สามแล้วอีกต่างหาก =_=;;



ออกนอกเรื่องซะนาน กลับมาครับ กลับมา มาสู่ช่วงเวลาปัจจุบันกัน



ตอนนี้เป็นช่วงปิดเทอมใหญ่ หลังพวกเราชาววิศวะกลับมาจากค่ายอาสาก็แยกย้ายกันไปที่ชอบๆ ของตัวเองหลังจากเหนื่อยกับการเรียนและกิจกรรมมาตลอดปีสอง ไอ้แท็คบินไปเยี่ยมญาติที่จีนกับครอบครัว ไอ้โซลลากน้องเพย์ไปกบดานที่ไหนกันสองคนก็ไม่รู้ ไอ้ป๊อกก็โดนคุณหญิงแม่เรียกกลับบ้าน เมื่อวานมันโทรมาฟูมฟายกับผมใหญ่เลยว่าคุณหญิงแม่จะจับมันแปลงโฉม…เออ ดีแล้ว จะได้กลับมาเป็นคนกับเค้าซะที ส่วนไอ้สกายก็ไปเป็นอาสาตามโรงพยาบาล และ บ้านพักคนชรากับเพื่อนๆ ที่คณะพยาบาล ส่วนผมนายทวีเดชผู้ครองทุนฟรีสองปีซ้อนย่อมต้องทำกิจกรรมที่แส๊นนนนประเทืองปัญญากว่าใคร…อ่านหนังสือ...การ์ตูน



“ฮ่าๆ ๆ ๆ ….คิกๆ …..ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ ” โอ๊ย! ฮาว่ะแต่ละมุกคิดได้ไงวะ ผมนอนกลิ้งเกลือกอยู่บนเตียง เหมือนควายจมปลัก อ่านการ์ตูนตลกอย่างแสนสุขี ปิดเทอมนี่มันดีจริงๆ ไม่ต้องเรียน ไม่ต้องทำกิจกรรม ไม่ต้องทำห่าอะไรทั้งนั้น กูช้บบบบชอบบบ คอยดูนะ กูจะอ่านการ์ตูนที่หมกไว้ให้จบเลย ไหนจะอนิเมะอีก คิดแล้วฟินนนนนน



Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr



ใครโทรมาขัดความสุขกรูวะ เดี๋ยวให้ท่านซากาโมโตะ (พระเอกในการ์ตูน) ไปจัดการซะเลยนี่ = =’ ’



อาแอ๋ม



…รับดีมั้ยวะ…ทำไมกูรู้สึกเหมือนงานกำลังจะเข้า



ผมนอนจ้องโทรศัพท์สามซุง เสียงเรียกเข้าสุดโปรดดังอยู่ครู่หนึ่งก็ดับไป ก่อนจะดังขึ้นมาใหม่อยู่แบบนี้สามรอบ โอเค กูเห็นแก่ความพยายาม ขืนไม่รับเดี๋ยวก็โทรเข้าเบอร์บ้าน…



Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr



กู-ว่า-แล้ว-ไง!!!



“พี่ที อาแอ๋มโทรมา!” น้องสาวผมวิ่งทั่กๆ หยิบโทรศัพท์บ้านแบบไร้สายขึ้นมาให้



ผมกลอกตาไปมา ไม่อยากรับว่ะ โอ๊ย! ไอ้ทามน้องสาวผมทำหน้าล้อเลียนประมาณว่างานเข้าแน่ มันยัดเยียดโทรศัพท์ใส่มือผมแล้วเดินไปนั่งเล่นบนเก้าอี้ที่โต๊ะทำการบ้านของผมเหมือนกำลังรอดูเรื่องสนุก



“หวัดดีครับอาแอ๋ม”



ผมขออธิบายก่อนนะครับจะได้ไม่งง อาแอ๋มเป็นน้องสาวของพ่อผม มีลูกชายคนโตที่ทำงานแล้วกับลูกชายฝาแฝดคู่หนึ่งซึ่งเด็กกว่าผมสองปีชื่อภูผา กับ ฟ้าคราม บ้านเธอมีฐานะดีมากๆ เพราะอาแอ๋มได้สามีรวย บ้านผมกับบ้านอาแอ๋มค่อนข้างสนิทกันเพราะมักไปมาหาสู่กันอย่างสม่ำเสมอ



อาแอ๋มเป็นผู้หญิงสวย คล่องแคล่ว พูดเก่ง มีน้ำใจ ใครๆ ก็ชอบเธอ ผมยังชอบอาแอ๋มเลยเพราะตรุษจีนอาแอ๋มให้แต๊ะเอียเยอะ แถมยังชอบซื้อของดีๆ แพงๆ ทำอาหารอร่อยๆ มาฝากอีกต่างหาก แต่พักหลังๆ พอขึ้นม.ปลายผมเริ่มจะไม่อยากยุ่งกับเธอแล้ว เพราะเธอชอบขอให้ผมไปติวให้เจ้าแฝดมหาภัยซึ่งมันเป็นอะไรที่เหนื่อยสุดๆ อ่ะ (เหนื่อยในหลายๆ เรื่อง=_=;;;) เอาเป็นว่าผมไม่อยากสอนเลยพยายามหลีกเลี่ยงโทรศัพท์กับเตี๊ยมไม่ให้พ่อแม่หลุดปากว่าผมว่างให้อาแกได้ยินเด็ดขาด อ้อ! ผมลืมบอกไป อาแกตื๊อเก่งสุดยอดเลยด้วยครับ!



‘ทีเหรอลูก เป็นไงบ้าง ปิดเทอมใหญ่แล้วสิเรา’ น่ะ มาละ เกริ่นนำ



“…ครับอา ทีเพิ่งกลับมาจากค่ายอาสา เมื่อยเนื้อเมื่อยตัวไปหมด นี่ก็นอนพักอยู่”



‘เหรอ ค่ายอะไร ไปมากี่วันจ๊ะ มหา’ ลัยจัดหรอ สนุกมั้ย?’ แล้วจากนั้นเราก็คุยเรื่องค่ายที่ผมไปมาอยู่พักหนึ่ง ผมได้แต่ภาวนาในใจขอให้เป็นแค่การโทรมาถามสารทุกข์สุกดิบ



‘อย่างนี้เราก็หยุดยาวสามเดือนเลยใช่มั้ย’ สังเกตดูดีๆ นะครับ เธอค่อยๆ ตะล่อมผมแล้ว



“…อ่า…ครับ…แต่อาจจะไปเที่ยวกับเพื่อนบ้างไรบ้างยังไม่ได้นัดกัน” ผมพูดแบบหาทางให้ตัวเองพอดิ้นได้



‘เหรอ อืมๆ จริงสิ เรารู้หรือยังว่าน้องจบม.ปลายแล้ว…เนี่ย อามีเรื่องจะปรึกษาเราหน่อย…’



อาแอ๋มเล่าว่าเจ้าแฝดนั่นจะสอบเข้าวิศวะยานยนต์ของมหา’ ลัยเอกชน WC แต่ที่แล้วๆ มาไปลองสนามสอบมอรัฐบาลไม่ว่าจะกี่ที่ก็ไม่เคยติด แถมคะแนนแกทแพทรอบแรกยังต่ำเตี้ยเรี่ยดินทั้งๆ ที่ส่งไปเรียนพิเศษก็แล้ว จ้างครูมาสอนที่บ้านก็แล้ว มันสองตัวก็ไม่ตั้งใจเรียน ส่งไปเรียนก็ไปเที่ยวเล่น จ้างครูมาสอน ครูก็ทนไม่ไหวลาออกไปทุกราย



ฟังจากชื่อมหา’ ลัยแล้วผมรู้เลยว่าถึงจะเป็นเอกชนแต่ก็ไม่ง่าย ผมเคยไปลองสอบที่นี่เล่นๆ เหมือนกัน ก็ปรากฏว่าติดนะ แต่ผมไม่เอา ผมรู้ว่าที่นี่ไม่มีระบบเส้นสาย หรือต่อให้มีก็ต้องเส้นใหญ่เป้งๆ ประมาณบ้านไอ้โซล ข้อสอบสำหรับผมไม่ยาก แต่ถ้าสำหรับเจ้าสองคนนั้นผมว่าก็ยากเอาการเพราะผมเคยติวสอบเข้ามอปลายให้พวกมัน ผมรู้ระดับสมอง และ นิสัยสองคนนั้นดี



หลังจากคุยกันไปสองชั่วโมงเต็มๆ ผมพยายามบ่ายเบี่ยงซ้ายขวา แต่ก็โดนต้อนจนมุมทุกเหตุผล บวกกับขี้เกียจฟังอาแกพูดจาหว่านล้อมต่อเป็นชั่วโมงที่สามผมเลยต้องตอบตกลง ไม่งั้นชีวิตปิดเทอมผมคงไม่สงบสุขแน่ๆ



เจ้าแฝดนั่นจะสอบตรงมหา’ ลัยเอกชน WC สิ้นเดือนนี้ นั่นหมายความว่าเหลือเวลาติวอีก ประมาณยี่สิบกว่าวัน วิชาที่จะใช้สอบมีแค่สามวิชาคือ ฟิสิกส์ คณิต อังกฤษ ถ้าตั้งใจจริงๆ ยี่สิบวันนี้น่าจะช่วยให้ติดเข้าไปได้





‘งั้นเริ่มติววันไหนกันดี’ ผมมองปฎิทิน ใจจริงอยากจะยืดไปอาทิตย์หน้า แต่จิตฝ่ายดีก็รั้งไว้ ไหนๆ ก็จะติวให้แล้ว ผมน่าจะทุ่มให้เต็มที่เอาให้น้องติดไปเลย ก็แค่ยี่สิบกว่าวัน กับทั้งชีวิตของคนสองคน …เอาวะ ไหนๆ ก็จะช่วยแล้ว



“มะรืนแล้วกันอา”



‘ได้จ้ะ ขอบใจมากนะที เดี๋ยวมะรืนนี้อาขับรถไปรับ จัดกระเป๋า จัดหนังสือรอไว้เลยนะ’ เฮ้ยๆ ๆ! ผมยังไม่ได้บอกซักคำว่าจะไปค้างบ้านนู้นอ่ะ!



“เดี๋ยวๆ ๆ อาแอ๋ม ทีไม่ได้จะไปนอนบ้านอาแอ๋มนะ ทีจะให้ไอ่แฝดมันมานอนบ้านทีต่างหาก” ใครจะไปค้างบ้านมันอย่างครั้งแล้วๆ วะ ทั้งบ้านมีแต่พวกมัน ผมอึดอัด รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเลยพับผ่า! ถึงจะเป็นญาติสนิทกันแค่ไหน แต่ผมก็ไม่ชอบไปนอนค้างบ้านคนอื่นนานๆ อยู่ดี อยู่ที่ไหนไม่สุขใจเท่าบ้านเรา (ถึงบ้านมันจะสวย ใหญ่ และ มีคนใช้ก็เถอะ)



หลังจากถกเถียงกันอีกร่วมครึ่งชั่วโมง คราวนี้ผมชนะ ด้วยเหตุผลที่ว่า ถึงบ้านผมจะไม่สะดวกสบายเท่าบ้านอา แต่การให้มันสองคนมาอยู่บ้านผม มันน่าจะเกรงใจพ่อแม่ผมบ้าง ไม่กล้าทำตัวตามสบายเหลวไหลเหมือนตอนอยู่บ้านตัวเอง แล้วเวลาผมอยู่ในถิ่นตัวเองผมจะได้ข่ม เอ๊ย! ควบคุมมันได้เต็มที่





และแล้ววันนี้ก็มาถึง…



“โอ๊ย! จะให้ภูนอนพื้นเนี่ยนะแม่” เจ้าแฝดพี่ ‘ภูผา’ กอดอกทำหน้าหงิกขณะมองคนใช้ที่พามาช่วยปูฟูกบางๆ ให้บนพื้น



“ห้องกระติ๊ดเดียว อัดกันเข้าไปตั้งสามคน ทำไมครามต้องนอนหลืบด้วยอ่ะแม่ เหมือนเป็นคนใช้เลย” แฝดน้อง ‘ฟ้าคราม’ ลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่เกือบเท่าตู้เสื้อผ้าเข้ามาวางข้างเตียงผม



หลืบบ้านมึงดิ เค้าเรียกพื้นข้างเตียง อีกอย่างมันก็กว้างพอสำหรับควายสองตัวอย่างพวกมึงล่ะน่า!



ผมนั่งมองอา คนใช้ และไอ้ฝาแฝดจัดข้าวของสำหรับอยู่ที่นี่อาทิตย์นึง อ่านไม่ผิดหรอกครับ ไม่ใช่ยี่สิบวัน แต่เป็นอาทิตย์นึง พวกมันต่อรองว่าขอมาอยู่อาทิตย์นึงก่อน แล้วขอกลับไปพักทบทวนหนังสือเองที่บ้านมันสามวัน หลังจากนั้นค่อยกลับมาอยู่กับผมจนถึงวันสอบ



อาแอ๋มเอาขนมกรุบกรอบถุงเบ้อเริ่มไปวางไว้มุมห้อง หยิบหนังสือติวสอบเป็นสิบเล่มมากองเป็นตั้งๆ ผมปล่อยให้สามแม่ลูกจัดของกันไป แล้วลงมานั่งเล่นด้านล่าง



เปิดตู้เย็นออกมาผมก็ต้องตกใจ ตู้เย็นผมอัดแน่นไปด้วยเครื่องดื่มบำรุงสมอง รังนก ซุปไก่ ช็อกโกแลตห่อทองยี่ห้อดัง ขนมนมเนย อาหารแช่แข็ง ไอศกรีมอีกห้าควอตซ์ แบบเยอะอ่ะ นี่อาแอ๋มคิดว่าบ้านกูอดอยากขนาดต้องแบกทุกอย่างมาเองเลยหรอวะ-*- ตั้งแต่ไอ้ชุดเครื่องนอน ขนม ยันกระดาษทิชชู



ผมกลับขึ้นไปบนห้องอีกครั้ง แล้วก็แทบจะอยากอุทานว่า อุต๊ะ! ห้องกูเปลี๋ยนไป๋ ห้องผมที่เรียบๆ มีข้าวของน้อยชิ้นตอนนี้มันเต็มไปด้วยข้าวของมากมายของสมาชิกใหม่อีกสองคน บนตู้หนังสือมีตำรากวดวิชาวางเต็มพรืด บนโต๊ะทำงานผมมีแม็คบุ๊ควางอยู่สองเครื่อง ข้างเตียงผมมีที่นอนสองที่ปูอยู่บนพื้น แล้วดูมันดินอนหมอนคนละสามใบ จะหนุนสูงไปไหน ที่ราวมีผ้าเช็ดตัวสีน้ำเงินสองผืนเพิ่มเข้ามา



ผมกางโต๊ะญี่ปุ่นเล็กๆ ไว้ข้างเตียงอีกด้าน ตอนนี้ได้เวลาอาแอ๋มสั่งลาลูกชายยอดเลิฟแล้ว



“ตั้งใจเรียนนะลูก อย่าดื้อกับพี่ทีนะครับ”



เจ้าแฝดพยักหน้าหงึกหงักรับคำมารดาบังเกิดเกล้าทุกอย่าง



“ตื่นแต่เช้า ช่วยกวาดถูห้องพี่เขาด้วย กินข้าวเสร็จต้องช่วยล้างจาน อย่าดื้อกับพี่เขาเข้าใจมั้ย พี่เขาพูดอะไรต้องฟังนะลูก” จากนั้นอาแอ๋มก็หันมาพูดกับผม



“ที อาฝากเจ้าแฝดมันด้วย ถ้ามันดื้ออาอนุญาตให้จัดการได้เต็มที่เลย ขนมนมเนยอะไรของน้องกินได้หมดนะ เจ็ดวันนี้อาขอฝากด้วยนะจ๊ะ” ถ้าไม่มีประโยคสุดท้ายผมคงนึกว่าอาแอ๋มกำลังฝากฝังลูกสาวเธอกับสามีที่เพิ่งแต่งงานมาอยู่กินกัน



“ได้ครับ อาไม่ต้องห่วง ผมจะดูแลน้องสองคนให้ดีที่สุด” อาแอ๋มพยักหน้าพออกพอใจ



“ภูผา ฟ้าคราม มานี่ลูก” อาแอ๋มเรียกให้มันสองคนเข้ามานั่งใกล้ๆ ผมบนพื้นห้อง แล้วยื่นแบงค์พันให้มันคนละใบ อะไรวะ ให้ค่าขนมหรอ-_-



“เอาตังค์ให้พี่เขาสิลูก”



ห๊ะ!! ว่าไงนะ เอาตังค์ให้กูงั้นหรอ



“เฮ้ย! ไม่ต้องๆ อาแอ๋ม ทีไม่เอา เราเป็นพี่น้องกัน ผมติวให้ฟรี” ผมปฏิเสธเป็นพัลวัน แม้ในใจจะรู้สึกลิงโลดอย่างบอกไม่ถูก เก็บอาการไว้มึง เก็บอาการไว้



“ไม่ได้ๆ นี่ไม่ใช่ค่าจ้างนะ เค้าเรียกทำพิธีขึ้นครูต่างหาก น้องสองคนมันจะได้เรียนเก่งๆ รับวิชาที่ถ่ายทอดจากเรามาได้เต็มที่” อ๋อ มีเล่นของด้วยเว้ยเฮ้ย!



“แม่ ขึ้นครูมันใช้กับเวลาเรียนรำไม่ใช่หรอ” ภูผาว่า



“เตรง เตร๊ง เตร็ง แต็ง แต่ง แต็งงงง” ผมทำหน้าตายจีบนิ้วฟ้อนรำ สามคนนั้นเลยหัวเราะกันท้องคัดท้องแข็ง… กูรับมุกเก่งมั้ยล่ะ



“เอาน่ะ อย่าขัดอาเลย รับไปเถอะนะลูก เจ้าภู เจ้าคราม ไหว้ฝากตัวกับพี่เค้าสิลูก” มันสองคนนั่งพับเพียบกับพื้นถือแบงก์พันมองหน้าผมตาปริ๊บๆ แล้วประนมมือไหว้มาที่ไหล่ผมคนละด้าน เฮ้ยๆ ท่านี้มันท่าเมียฝากตัวกับผัวคืนเข้าหอไม่ใช่เรอะ!



ผมทั้งเขินทั้งทำตัวไม่ถูก จู่ๆ แม่งก็มีผู้ชายตัวเท่าควายสองคน (ถึงจะเป็นลูกพี่ลูกน้องกันก็เถอะ) มาไหว้ซบอกยื่นแบงก์พันค่าขึ้นครูให้ ผมทั้งอยากได้ตังค์ ทั้งเกรงใจน้า อีกใจก็รู้สึกแปลกๆ หวิวๆ ชอบกล เหมือนเป็นลางบอกเหตุอะไรสักอย่าง =_=;;;



ผมลูบหัวมันสองตัวเบาๆ อวยพรให้มันสอบติด ให้มันความจำดี ดวงเฮงๆ เดาถูกมั่วถูก ก่อนจะรับเอาแบงก์พันสองใบนั้นมา วางไว้บนโต๊ะข้างหัวเตียงแล้วเอาขวดยาหม่องทับไว้ ทำท่าประมาณว่าไม่ได้อยากได้นะ แต่ถ้าอยากให้ก็จะรับไว้ก็ได้ อะไรประมาณนี้ เหอๆ ๆ



อาแอ๋มอยู่รอจนพ่อแม่ผมกลับจากที่ทำงาน หลังจากพูดคุยตามประสาผู้ใหญ่แล้วเธอก็กลับไป เอาล่ะ ตอนนี้ลูกชายสองคนของเธอถือเป็นกรรมสิทธิ์ของผมแล้ว



ผมหยิบแว่นขึ้นมาสวมอย่างมีมาดเต็มที่ “เอาล่ะ งั้นมาเริ่มติวกันเลย”









“พี่ที ข้อแปดได้ห้าป๊ะ?” ฟ้าครามเงยหน้าขึ้นมาถาม



“ผิด ลองทำใหม่ก่อน”



“พี่ที แก้แล้วก็ยังได้ห้าอ่ะ” ฟ้าครามเงยหน้าขึ้นมาอีก



“ได้สิบเจ็ดป่ะพี่” ภูผาเงยหน้าขึ้นมาบอก



“ถูกต้อง” ผมยิ้มบางๆ เจ้าแฝดพี่ทำท่าเยส แล้วหันไปมองกระดาษทดของฟ้าคราม



“ตรงนี้มึงทำผิดเว่ย มึงต้องทำอย่างงี้ๆ ” ไอ้ภูหันไปสอนไอ้คราม เห้ย! กูเพิ่งบอกไปหยกๆ ว่าให้ครามมันแก้เอง มึงไปสอนมันทำไม่เล่า แล้วเวลาสอบไอ้ครามมันจะทำได้มั้ย-*-



“ข้อเก้าตอบหนึ่ง?” ภูผาถามผมที่นั่งอ่านการ์ตูนรอ ผมเหล่มองเฉลยก่อนจะพยักหน้าให้



“ช้าว่ะไอ้คราม โง่จริงๆ เลยมึง” แน่ะๆ มีหน้าไปด่าแฝดตัวเองอีก



วันนี้เราติวคณิตจบกันไปสองเรื่อง บ่องตง กูเหนื่อยสุดๆ ไม่ใช่ว่าเป็นคนติวแล้วจะสบายนะ ไอ้สองคนเนี้ยมันพูดเร็วชิบหาย เวลามันพูดทีผมต้องถามมันว่าฮะ อะไรนะ พูดช้าๆ ดิ๊ แล้วเวลาติวผมจะบอกให้ต่างคนต่างทำ บอกจนปากจะฉีกถึงหูแล้วแม่งก็ยังมาช่วยกันทำอีก… มึงผิดตรงนี้ ต้องแก้ตรงโน้น ไอ้ห่าใครให้มึงแทนสูตรนั้น… กูอยากจะถามจริงๆ เวลาสอบเขาจะให้มึงมาช่วยกันทำมั้ย แม่งดื้อด้านชิบหาย ผมได้แต่ข่มความไม่พอใจที่พวกมันไม่เชื่อฟังเอาไว้ภายใต้รอยยิ้มราคาสองพัน



หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จยังดีที่มันยังมาช่วยล้างจาน พวกเรากลับขึ้นมาบนห้อง สองคนนั้นคุ้ยเสื้อผ้าเครื่องอาบน้ำออกมาแล้วเดินเข้าห้องน้ำไปพร้อมกันท่ามกลางความประหลาดใจของผม



“พี่ที เวลาอาบน้ำพี่ใช้น้ำในแทงค์หรือฝักบัวอ่ะ” เจ้าแฝดใส่ชุดนอนเหมือนกันนั่งลงบนเตียงผม



“ใช้น้ำในแทงค์ ฝักบัวมันไม่ค่อยดีอ่ะ”



“หยี! ใช้เข้าไปได้ไง ครามเห็นลูกน้ำเต้นกังนัมยั้วเยี้ยเลย!” เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าลูกน้ำบ้านกูสัญชาติเกาหลี…



“ก็ตักตรงที่มันไม่มีลูกน้ำดิ”



“ไม่เอาอ่ะใช้ไม่ลง ภูกับครามเลยใช้ฝักบัวแทน แล้วรู้ป่ะ ฝักบัวมันหลุดออกมาด้วย ภูต้องให้ไอ้ครามมันช่วยจับเวลาจะอาบ กลัวฝักบัวมันหลุดกระเด็นมาโดนหน้า” ดูมันพูด พูดเหมือนบ้านกูมันซอมซ่อซะเหลือเกิน กูฟังแล้วรู้สึกว่ามันบรรยายเกินจริงไปหน่อย ใครใช้ให้มันเปิดน้ำแรงๆ ล่ะ ถ้าเปิดเบาๆ มันก็ไม่หลุดออกมาหรอกโว้ย



“นี่เราสองคนอาบด้วยกันหรอ โตเป็นควายแล้วเนี่ยนะ ไม่อายกันหรือไงวะ” ผมถาม



“ก็อาบด้วยกันทุกวัน ไม่เห็นจะอายเลย เห็นแม่งมาตั้งแต่เกิดอ่ะ มีเหมือนๆ กันจะอายอะไร” ฟ้าครามว่า ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยแก้ผ้าอาบน้ำกับเพื่อนหรอกนะ แต่ไม่ได้บ่อยขนาดมัน แถมถ้าไม่จำเป็นผมก็ไม่ชอบอาบกับใคร ถึงผมจะเป็นผู้ชาย แต่ผมก็อายเป็นนะ



“โอ๊ย! พื้นแข็งชะมัดเลย”



“โอ๊ย! ซี่โครงทิ่มพื้น”



“ร้อนอ่ะพี่ที เปิดแอร์นะ”



“พี่ทีมีปลั๊กพ่วงป่ะ จะเปิดแม็คบุ๊ค”



“พี่ทีเอานมอุ่นป่ะ จะไปทำมาให้”



“กินข้าวเย็นไม่อิ่มหรือไงเจ้าแฝด?” ผมอดถามไม่ได้ ตอนเย็นผมเห็นสองคนนั้นฟาดข้าวไปคนละสองจาน แล้วนี่ยังจะไปทำนมอุ่นกินอีกหรอวะ



“ก็กินทุกวัน ไม่กินแล้วนอนไม่หลับ” เออ ก็ยังดีกว่าแดกเหล้าล่ะวะ



“ไม่ล่ะ ขอบใจนะ อยากกินก็ไปทำกินกันเองเหอะ อย่าทำหกในห้องพี่ละกัน”



“พี่ที ร้อนอ่ะ ขอเพิ่มแอร์ได้มั้ย” นี่มึงยังจะบอกว่าร้อนอีกหรอ แอร์ก็เปิด แถมเปิดพัดลมจ่อเบอร์แรงสุดไม่พอยังเปิดพัดลมบนเพดานจ่อกบาลมึงอีกตัว ขนาดผมนั่งไม่โดนพัดลมผมยังหนาวแอร์ที่มันเปิดเลยนะ!



เดือนนี้บ้านกูค่าไฟขึ้นแน่นอน…เผลอๆ อาจจะแพงกว่าไอ้สองพันนั่นด้วยซ้ำ อยากจะกระอักเลือดแทนพ่อแม่ T T



“ภูผา ฟ้าคราม พี่นอนก่อนนะ ถ้าเราจะนอนแล้วปิดไฟกับแอร์ด้วยล่ะ” มันสองคนหันมาพยักหน้าอือๆ ออๆ แล้วกลับไปสอนใจจอคอมต่อ ผมดึงผ้าห่มชิดอกหลับตาลง ผ่านไปครู่ใหญ่ผมก็กรนออกมาเบาๆ



“ภู พี่เค้าหลับไปยังวะ” ฟ้าครามถามแฝดตนเบาๆ



“หลับแล้ว กูได้ยินเสียงกรน”



“เฮ้ย สองพันบนโต๊ะข้างเตียงยังอยู่ป่ะวะ”



“หึ ไม่อยู่แล้วว่ะ” หลังจากนั้นสองคนนั้นก็นั่งคุยกันเรื่อยเปื่อยไม่นานก็ปิดไฟนอน ผมลืมตาขึ้นในความมืด ทุกบทสนทนาผมได้ยินชัดเจน รู้สึกแย่มากๆ ที่เหมือนโดนน้องมองว่าเห็นแก่เงิน ต่อหน้าทำเป็นปฏิเสธแต่ลับหลังพอได้เงินแล้วรีบเอาไปเก็บทันที ถึงน้องจะเข้าใจถูก แต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกแย่ โอเคผมยอมรับว่าผมอยากได้เงินที่อาแอ๋มหยิบยื่นให้เป็นสินน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ แต่แรกเริ่มเดิมทีแล้วผมตั้งใจที่จะติวให้น้องจริงๆ โดยไม่ได้คิดถึงเรื่องเงินเลย ผมรู้สึกไม่ดี รู้สึกเหมือนทำให้น้องขาดศรัทธาในตัวผม เป็นแค่คนที่แม่เค้าจ้างมาติวให้ ไม่ใช่พี่ชายที่เอื้อเฟื้อสอนให้ด้วยความมีน้ำใจ ผมนอนลืมตาในความมืด ณ ห้องนอนที่หนาวเหน็บ ถามตัวเองว่าคิดถูกหรือเปล่าที่รับเงินมา คิดถูกหรือเปล่าที่รับปากจะติวให้ คิดถูกหรือเปล่าที่ให้พวกมันมาค้างบ้านผม มาทำให้ผมไม่สบายใจอยู่แบบนี้





ผมนับถอยหลังอยู่ในใจ อีกหกวัน ทนหน่อยละกันนะเรา …ที่เหลือค่อยว่ากัน









-------------------------------------------------------------------

สวัสดีค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักทุกๆคนนะคะ เรียกเราว่าเเคน เเคนเดิลการ์ด เทียน หรืออะไรก็ได้ค่ะ^^ นิยายเรื่องนี้เป็นผลงานเรื่องเเรกที่ลงในเล้า หากว่าเราทำผิดกติกาอะไรหรือมีคำผิดก็รบกวนช่วยบอกกล่าวตักเตือนหน่อยนะคะ

ยินดีน้อมรับทุกความคิดเห็นค่ะ เขียนกันมาเยอะๆน้าเราชอบอ่าน><

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-03-2020 09:47:39 โดย candleguard »

ออฟไลน์ candleguard

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 75
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-1
Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P )
«ตอบ #1 เมื่อ17-02-2018 20:20:13 »

                                                                 

                                                             ตอนที่ 2 อึดอัดใจชิบหายเลยโว้ย!







ผมตื่นขึ้นมาตอนแปดโมงเช้าด้วยอาการคัดจมูกฟุดฟิด เจ้าแฝดนั่นไม่ยอมปิดแอร์ตามที่สั่งไว้ทำให้ผมซึ่งไวต่ออากาศเย็นเพราะเป็นโรคภูมิแพ้เกิดอาการแบบนี้



ผมมองดูภูผา และ ฟ้าครามที่นอนก่ายกันอยู่บนพื้น สองคนนี้โตขึ้นมากจริงๆ ล่าสุดเจอกันเมื่อสองปีที่แล้วเรายังสูงพอๆ กัน แต่มาวันนี้มันสูงเลยผม ตัวใหญ่กว่าผมแล้ว



ภูผา กับ ฟ้าครามหน้าเหมือนกันมาก ผมต้องยอมรับเลยว่ามันสองคนหล่อจริงๆ ผิวมันขาวเพราะมีเชื้อสายจีนจากฝั่งอาแอ๋ม แต่ได้ตาโตๆ คมๆ จมูกโด่งๆ และ คิ้วเข้มๆ มาจากฝั่งพ่อที่เป็นคนไทย เมื่อก่อนตอนเด็กๆ ผมต้องใช้วิธีมองปานที่หลังมือเพื่อแยกสองคนนี้ออกจากกัน ภูผามีปานเล็กๆ ที่ข้อมือซ้าย แต่พอโตขึ้นผมไม่จำเป็นต้องมานั่งมองหาแล้ว ใช้เซ้นส์ล้วนๆ เลย ผมรู้สึกว่าฟ้าครามจะใจร้อนกว่าภูผานิดหน่อย ส่วนภูผาที่เป็นแฝดพี่ก็ชอบใช้ฟ้าครามทำนู่นทำนี่ ไอ้ฟ้าครามมักจะบ่น แต่ก็ทำให้ นอกจากนี้เวลาคุยกันฟ้าครามจะชอบจ้องตาผมมากกว่าภูผา



ผมมองมันสองคนหลับอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลุกไปอาบน้ำ กว่าพวกเราจะจัดการตัวเองเสร็จก็เก้าโมงกว่า พวกเราลงมานั่งกินข้าวเช้าที่แม่เตรียมไว้ให้ในฝาชีก่อนออกไปทำงาน



“เป็นไง เมื่อคืนหลับสบายดีมั้ย” ผมถามด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มบางๆ อันเป็นเอกลักษณ์ของผม ไม่ว่าผมจะรู้สึกอะไร ผมก็มักมีรอยยิ้มเพื่อใช้กลบเกลื่อนความรู้สึกเสมอ ตอนนี้ก็เช่นกัน เรื่องที่ได้ยินสองคนนี้คุยกันเมื่อคืนทำให้ผมไม่สบายใจมาก แต่ก็เอาเถอะ น้องจะคิดยังไงก็ช่าง ผมรู้อยู่แก่ใจว่าเหนือสิ่งอื่นใดแล้วผมเจตนาดีกับพวกเขาสองคนเสมอแม้สองคนนี้จะทำตัวเรื่องมาก น่ารำคาญ รบกวนความเป็นส่วนตัวและชีวิตอันสงบสุขของผมแค่ไหนก็ตาม ในสายตาผม น้องก็ยังเป็นน้อง ผมอยากให้น้องสอบติด มีอนาคตที่ดี เป็นความภาคภูมิใจของน้าแอ๋ม เท่านี้ก็พอแล้ว



“โอ๊ยพี่! มานอนพื้นมั่งมั้ยล่ะ โคตรแข็งเลย ขนาดปูผ้ารองสองชั้นแล้วนะ เนี่ยเจ็บตูดชิบหาย พื้นมันแข็งอ่ะ” ฟ้าครามบ่นทันที



“ใช่ๆ นอนไม่ค่อยหลับเลย เมื่อยเนื้อเมื่อยตัวไปหมด คิดถึงบ้าน อยากกลับไปนอนเตียงใหญ่ๆ ฟูกนุ่มๆ เฮ้อออออ” ภูผาเสริม ผมไม่ได้โง่ ที่จะไม่รู้ความหมายแฝงของคำพูดนั้น ภูผากำลังบอกผมทางอ้อมว่าเป็นเพราะผมที่ทำให้พวกมันสองคนต้องมาลำบาก แทนที่ผมจะเป็นฝ่ายไปอยู่บ้านมัน แต่ผมกลับเอาแต่ใจจะให้พวกมันเป็นฝ่ายมาอยู่กับผมแทน แล้วมันผิดตรงไหนที่ผมจะอยากอยู่บ้านของผมเอง ผมอุตส่าห์ยอมติวให้นะ ก็ควรจะให้ผมเป็นคนเลือกที่ติวไม่ใช่หรอ?



“เอาน่า เป็นลูกผู้ชายต้องอดทนสิ เขาชนไก่ยังผ่านมาได้เลยไม่ใช่หรอ” สองแฝดยังคงบ่นงึมงำนู่นนี่นั่นไม่หยุด ผมขี้เกียจฟังเลยรีบกินรีบขึ้นข้างบน เข้าไปในห้องเก็บของ เปิดตู้หาผ้านวมหนาๆ ที่จำได้ว่าเมื่อก่อนเคยเห็นแม่พับใส่ถุงสุญญากาศเก็บไว้ ผมนำผ้านวมสองผืนนั้นมาปูเพิ่มให้สองแฝดก่อนจะเอาผ้าผืนเดิมที่มันเคยนอนเมื่อคืนวางทับลงบนผ้านวม จัดหมอนผ้าห่มให้เหมือนเดิม แล้วมานั่งรอที่โต๊ะญี่ปุ่น



ผมเริ่มต้นการติวด้วยการให้น้องสองคนท่องศัพท์ที่มักออกข้อสอบบ่อยๆ และก็เป็นอีกครั้งที่ผมต้องเก็บความหงุดหงิดเอาไว้ในใจเมื่อภูผาและฟ้าครามยังคงฝ่าฝืนคำสั่งผมที่ไม่ให้มันช่วยกัน พอผมถามศัพท์ภูผาแล้วภูผาตอบไม่ได้ มันก็จะชำเลืองมองฟ้าคราม ฟ้าครามจะทำท่าทำทางบอกใบ้ บางทีก็ตอบแทนภูผาเลยก็มี และ ภูผาก็จะช่วยฟ้าครามแบบนี้เช่นเดียวกัน สุดท้ายคำที่แต่ละคนไม่ได้มันก็ไม่ได้อยู่อย่างนั้นเพราะแฝดอีกคนช่วยตอบช่วยใบ้แทนให้เสมอ ผมบอกมันเกือบสามสิบครั้งได้แล้วมั้งว่าถ้าหวังดีก็อย่าช่วยกัน เพราะเวลาสอบมันช่วยกันไม่ได้ แต่สองคนนั้นก็ไม่ฟัง



“เดี๋ยวพี่มา เราทำโจทย์กันไปก่อนเลยนะ” ผมทิ้งโจทย์คณิตไว้ให้สองคนนั้นทำ ส่วนตัวเองลงไปเอาน้ำขึ้นมาให้ดื่มเพราะเห็นว่าน่าจะคอแห้งกันแล้ว



“อ่ะ น้ำ” ผมยื่นแก้วใส่น้ำเย็นให้ทั้งสองคน มันพึมพำขอบคุณเบาๆ แล้วดื่มกันไปคนละอึก



“ไม่เห็นเย็นเลย ไม่กินแล้ว” ฟ้าคราม กับ ภูผาวางแก้วน้ำที่แทบไม่พร่องลงบนโต๊ะทำงานของผมที่ทำจากไม้ ผมต้องรีบหาผ้ามาเช็ดหยดน้ำข้างแก้วที่เปียกโต๊ะผม เอาผ้าวางรองแล้วค่อยวางแก้วลงไปใหม่ มันไม่รู้หรือไงว่าไม้โดนน้ำแล้วมันจะพองน่ะ!



“โอ๊ย! ร้อนอ่ะ เปิดแอร์นะ”



“เปิดพัดลมตั้งสามตัวแล้วยังไม่พออีกหรอฮึ” ปกติผมไม่เคยเปิดแอร์ตอนกลางวันเลยจะเปิดก็เฉพาะตอนก่อนนอนเท่านั้น ตอนกลางวันแค่พัดลมตัวเดียวผมก็อยู่ได้แล้ว ไอ้โซล ไอ้แท็คที่ว่าโคตรคุณชาย มานอนค้างบ้านผมก็ไม่เคยบ่นร้อนสักแอะ แล้วทำไมสองคนนี้มันเรื่องเยอะแบบนี้วะ อาแอ๋มเลี้ยงพวกมันมายังไงเนี่ย



“นะๆ ๆ แป๊บเดียวก็ได้ หายร้อนแล้วค่อยปิด” สุดท้ายผมก็ต้องยอมให้มันเปิดแอร์จนได้ ทั้งๆ ที่ไม่อยากให้เปิดเลยเพราะบ้านผมเป็นอาคารพาณิชย์ ค่าไฟจะแพงกว่าบ้านพักตากอากาศ และ ตึกธรรมดา โดยเฉพาะถ้าเปิดตอนกลางวันนี่ยิ่งซดไฟหนักเลย



ผมสลับสอนสามวิชาไปตลอดทั้งวัน จนตอนเย็นถึงเลิกสอน ปล่อยให้พักผ่อนกันตามอัธยาศัย วันนี้ผมก็เหนื่อยอีกแล้ว… เหนื่อยมากๆ …สองคนนี้ไม่ค่อยเชื่อฟังผม สอนแบบนี้ก็จะทำอีกแบบ บอกให้คิดวิธีตรง ข้าก็จะคิดวิธีลัด แล้วก็ลัดแบบผิดๆ สุดท้ายคำตอบออกมาก็ไม่ถูก บางทีขึ้นเรื่องใหม่กำลังจะสรุปให้ฟัง พวกมันก็ขัดขึ้นว่า ‘รู้แล้วๆ ๆ ไม่ต้องสอน’ ด้วยท่าทางแสนอวดดี แล้วพอผมให้ลองทำโจทย์มันก็ทำกันไม่ได้ สุดท้ายผมก็ต้องมานั่งสอนมันใหม่อยู่ดี ผมล่ะโคตรเกลียดเลยไอ้พวกอวดว่าตัวเองรู้ทั้งที่ไม่รู้จริง หรือ ความรู้ไม่แน่นเนี่ย ถ้าพวกมึงทำได้แล้วทำไมไม่เห็นสอบติดสักที่วะ ผมอยากจะตอกหน้ามันกลับไปแบบนี้ แต่ก็ไม่ทำเพราะผมเตือนตัวเองว่าผมเป็นพี่ ผมไม่ควรพูดจาแบบนั้น ใส่น้อง ถึงมันจะเป็นความจริงก็เถอะ



ผมพยายามคิดในแง่ดีว่าถึงน้องจะอายุสิบแปดแล้ว แต่ก็ยังถือเป็นวัยรุ่น ก็ต้องมีบ้างที่นิสัยใจร้อน วู่วามพูดไม่คิด แต่บางครั้งผมก็อดที่จะเปรียบเทียบเจ้าทามน้องสาวผมกับสองคนนี้ไม่ได้จริงๆ ทามเด็กกว่าสองคนนี้สองปี ถึงนิสัยจะกวนบ้างซนบ้าง แต่เวลามาขอให้ผมติวให้ ไม่ว่าผมจะสอนหรือสั่งให้ทำแบบไหนอย่างไร น้องผมไม่เคยทำนอกคำสั่ง สั่งให้ท่องอะไรก็ท่อง นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้น้องสาวผมสอบได้อันดับต้นๆ ของชั้นเรียน



“เตียงพี่ทีนุ่มว่ะ สบายจังเลย” ฟ้าครามที่อาบน้ำเสร็จแล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียงของผมซึ่งเป็นเตียงเดี่ยวนอนได้แค่คนเดียว



“เออจริงด้วยว่ะ ดีกว่านอนพื้นเป็นกองเลย” แล้วพวกมันก็พยายามนอนเบียดกันบนเตียงผมเพียงเพราะอยากจะนอนบนฟูกนุ่มๆ



“หมอนหอมอ่ะ ชอบกลิ่นนี้ เหมือนกลิ่นเสื้อพี่เลย ใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มกลิ่นอะไรอ่ะ” ภูผานอนเอาหน้าซุกหมอนทำหน้าตาเคลิบเคลิ้ม ผมที่คุยเฟสกับแท็คอยู่ที่โต๊ะทำงานเลยหันกลับมามอง



“ไม่รู้สิ ผ้าทั้งหมดในบ้านพี่ส่งซักรีดน่ะ”





“ภู คราม ลงไปได้แล้ว พี่จะนอนแล้ว” ผมบอกพร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้มแบบพี่ชายใจดีที่ทำอยู่ประจำ บางครั้งผมก็เฟค แต่บางครั้งผมก็อยากจะยิ้มแบบนี้จริงๆ ใครๆ จึงมักจะคิดว่าผมใจเย็น นิสัยอ่อนโยนเพราะมีรอยยิ้มอยู่บนหน้าเสมอ แต่เวลาอยู่กับกลุ่มไอ้แท็ค ผมจะเป็นตัวของตัวเอง ไม่อยากยิ้มก็ไม่ยิ้ม เห็นตับไตไส้พุงกันมาหมดแล้ว



“ไม่อยากกลับไปนอนพื้นเลยยยยย” ภูผาจิกผ้าปูเตียงแน่น



“นอนด้วยกันสามคนบนเตียงได้มั้ย?” ฟ้าครามทำตาปิ๊งๆ อ้อนวอน กูไม่ใจอ่อนหรอกโว้ย!



“ฮะๆ บ้าเหรอ พี่นอนคนเดียวก็เต็มแล้ว” บางครั้งสองคนนี้ก็ทำให้ผมขำได้เหมือนกัน



“ก็นอนแบบนี้ไง” ผมกอดอกรอดูว่ามันจะนอนท่าไหน อย่าบอกนะว่าจะให้นอนซ้อนๆ กันเป็นแซนวิชน่ะ



ภูผา กับ ฟ้าคราม เปลี่ยนไปนอนในแนวขวางเตียง แน่นอนว่าแนวขวางมันยาวไม่พอความสูงของพวกมันแน่ๆ ภาพที่ผมเห็นจึงเป็นภาพที่ตลกมาก มันสองคนนอนขวางเตียงแล้วงอเข่ายกขาที่เลยออกไปขึ้นมาวางบนเตียงเหมือนท่าคนท้องขึ้นนอนบนขาหยั่ง ผมนับถือในความครีเอทของมันนะ นี่มันอยากนอนบนเตียงถึงขนาดจะยอมนอนชันเข่าทั้งคืนเลยจริงดิ?!



“อุ๊บ…ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ตลกว่ะ เหมือนคนขึ้นขาหยั่งเลย” ผมหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง ภูผา และ ฟ้าครามดูเหมือนจะเพิ่งตระหนักได้ว่าท่านี้มันเหมือนจริงๆ จึงนอนฮาก๊ากกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียงสองคน



คืนนี้สองคนนั้นก็ขอเปิดแอร์นอนตลอดทั้งคืน ตอนแรกผมจะไม่ให้แต่มันบอกว่ามันจะนอนไม่หลับถ้าไม่ได้เปิดแอร์ สุดท้ายผมเลยต้องยอมให้ อีกแค่ห้าวัน…ทนแค่นี้เอง







วันต่อมาผมถามสองคนนั้นว่านอนหลับสนิทไหม มันบอกว่านอนหลับสนิทดีกว่าคืนแรกเยอะเลย แต่ก็ยังปวดหลัง ปวดตูดอะไรของมันเหมือนเดิม นี่ขนาดผมปูผ้าให้มันอีกสองชั้น รวมของเดิมก็เป็นสี่ชั้นแล้วนะ มึงยังจะมาบ่นอีกหรอ



พฤติกรรมของสองคนนี้ยังเหมือนวันที่แล้วมา คือไม่ค่อยเชื่อฟัง ชอบช่วยกัน ชอบอวดฉลาด ผมก็ได้แต่เก็บความหงุดหงิดที่นับวันจะยิ่งพอกพูนไว้ในใจเหมือนเดิม ความเรื่องมากต่างๆ ในการกินอยู่ที่บ้านผมก็ยังคงไม่ลดน้อยถอยลง วันนี้ผมเหนื่อยมาก (อีกแล้ว) หลังจากติวเสร็จแทนที่จะได้พักก็ต้องสอนการบ้านให้ทามที่ไปเรียนซัมเมอร์ที่โรงเรียนอีก วันนี้ผมพูดจนแทบไม่มีเสียง รู้สึกแสบคอนิดๆ แถมอาการคัดจมูกน้ำมูกไหลก็ดูเหมือนจะยิ่งหนักขึ้น



ไม่เป็นไรหรอก เหลืออีกแค่สี่วันเอง…แค่นี้ทำไมผมจะทนไม่ได้ล่ะ









รุ่งเช้าวันที่สี่ ผมตื่นขึ้นมาด้วยเสียงนาฬิกาปลุกตอนแปดโมงเหมือนเช่นเคย แต่วันนี้ผมกลับรู้สึกไม่สดชื่นนัก หัวสมองมันมึนตื้อไปหมด คอก็เจ็บ น้ำมูกก็ไหล ผมจับหน้าผากตัวเอง โชคดีที่ไม่เป็นไข้ แต่ก็คงใกล้เป็นเต็มที ผมฝืนลุกขึ้นเดินโซเซไปอาบน้ำ แต่งตัว แล้วกลับเข้ามาปลุกภูผากับฟ้าครามไปอาบบ้าง



ผมรู้ตัวดีว่ากำลังจะไม่สบายก็เลยกินยาดักเอาไว้ เลือกยาแก้หวัดชนิดที่ไม่ทำให้ง่วง และ ยาแก้เจ็บคอ ผมเดินไปซื้อลูกอมมาสองแผงไว้อมทุเลาอาการ อย่างน้อยถ้าจะล้มป่วย ผมก็อยากจะยื้อไปป่วยตอนที่น้องสองคนกลับไปอยู่บ้านสามวันหลังจบการติวสัปดาห์นี้ ผมรู้ดีว่าทุกๆ วัน และทุกๆ วินาทีของน้องมีค่าแค่ไหน ต่อให้ผมป่วยผมก็จะสอน เพราะเวลามันเหลือไม่มากแล้ว และ พื้นฐานสิ่งที่น้องควรรู้เพื่อเอาไปใช้สอบผมก็ยังปูให้ไม่หมดเลย



วันนี้ผมเร่งอัดเนื้อหาให้น้องอย่างหนัก มันสองคนพากันโอดครวญว่าผมสอนมากเกินไปแล้ว หัวมันจะระเบิดแล้วบ้างล่ะ ผมไม่สนใจ แกล้งทำหูทวนลมไปซะ ที่จริงถ้าไม่เจ็บคอก็อยากจะอธิบายให้ฟังว่าที่ผมเร่งอัดเนื้อหาแบบสรุปให้เพราะอยากให้น้องมันมีเวลาฝึกโจทย์เยอะๆ



โชคดีที่วันนี้ตอนกลางวันฝนตก ผมเลยมีข้ออ้างที่จะไม่ให้สองคนนั้นเปิดแอร์ แต่พอตกกลางคืนอากาศกลับร้อนอบอ้าวจนภูผากับฟ้าครามใช้เป็นข้ออ้างขอเปิดแอร์อีกจนได้ แต่ตอนนี้ผมเริ่มไม่ไหวแล้ว หนาว ผมหนาวมากๆ ถ้าร่างกายผมปกติก็คงพอจะทนได้ แต่นี่ผมรู้ตัวแล้วว่าไม่สบาย ตัวเริ่มจะรุมๆ ยิ่งมาเจอแอร์แบบนี้ผมยิ่งอาการแย่เข้าไปอีก ผมหนาวจนทนไม่ไหว สุดท้ายเลยต้องขอให้น้องเพิ่มแอร์จาก 19 องศา เป็น 26 องศา โดยบอกไปแค่ว่าผมนอนแอร์หนาวๆ ติดๆ กันหลายวันไม่ได้ภูมิแพ้มันกำเริบ



คืนนี้ผมหลับไปด้วยฤทธิ์ยาแต่หัวค่ำ บอกกับตัวเองว่าพรุ่งนี้คงหาย เพราะเดิมทีผมเป็นคนแข็งแรง ขอแค่ได้นอนพักอย่างเพียงพอในสภาวะที่เหมาะสม เช้าวันต่อมาผมก็จะดีขึ้น แต่ผมไม่รู้เลยว่าพอตัวเองหลับไปแล้ว เจ้าเด็กแฝดนั่นก็ลดแอร์กลับมาที่ 19 องศาตามเดิม…









เช้าวันที่ห้า …ผมป่วย



อาการของผมหนักขึ้นกว่าสองวันก่อนมากๆ ตอนนี้ผมมีไข้อ่อนๆ คออักเสบกลืนน้ำลายแต่ละทีโคตรทรมาน น้ำมูกไหล จนต้องไปซื้อยาห้ามน้ำมูกมากิน ผมโกรธมากที่ตื่นขึ้นมาแล้วเห็นเลของศาเป็น 19 แทนที่จะเป็น 26 ทั้งๆ ที่ผมก็บอกก็อธิบายด้วยเหตุผลแล้วว่าช่วยเพิ่มองศานะเพราะพี่ทนหนาวไม่ไหว ภูมิแพ้จะกำเริบ แต่มันสองคนก็ไม่ฟัง



เวลาที่ผมไม่สบาย จิตใจของผมจะอ่อนแอไปด้วย ความสามารถในการควบคุมสติและอารมณ์ของผมจะต่ำลง รวมถึงมักจะชอบคิดในแง่ร้าย ตอนนี้ก็ด้วย ผมนอนมองนาฬิกาที่ชี้บอกเวลาแปดโมงครึ่ง แต่ผมลุกไม่ขึ้น จิตฝ่ายชั่วเริ่มเข้ามามีอิทธิพลกับผมแล้ว ผมเริ่มรู้สึกเสียใจที่ตกปากรับคำติวให้เจ้าแฝดนรกนี่ เสียใจที่ไปสัญญากับน้าแอ๋มว่าจะดูแลน้องให้ดีๆ แต่ดูพฤติกรรมต่างๆ ที่มันทำกับผมสิ ทั้งเรื่องมาก เอาแต่ใจ ไม่เชื่อฟัง ทำให้ผมลำบากใจ ทำให้ผมหงุดหงิด ทำให้ผมไม่สบาย ทำให้ผมต้องสูญเสียเวลาที่ควรจะได้นอนพักผ่อน ได้ทำสิ่งที่ชอบให้สมกับเป็นปิดเทอม ผมไม่เห็นจะได้อะไรเลย แล้วทำไมผมต้องเสียสละขนาดนี้เพียงเพื่อคนอื่นที่ไม่ใช่พี่น้องแท้ๆ ด้วย



ผมเริ่มโทษตัวเอง โทษทุกคน อดนึกโกรธอาแอ๋มที่ยัดเยียดสองคนนี้มาให้ผมไม่ได้ ความคิดด้านลบเต็มหัวผมไปหมดแล้ว จิตชั่วบอกตัวผมว่าจบสัปดาห์นี้แล้วก็ทำเป็นยุ่งจนไม่มีเวลาติวให้อีกก็ได้นี่ ไม่ก็ไปนอนค้างบ้านเพื่อนแล้วอ้างว่ามีงานที่อาจารย์สั่งให้ทำช่วงซัมเมอร์ ไม่จำเป็นที่ผมจะต้องทรมานตนเองเพื่อคนที่ทำไม่ดีกับเรา ในเมื่อมันทำตัวแย่ๆ กับผม ผมก็ไม่ควรจะไปทำดีกับมันอีก ปล่อยพวกมันไปตามเวรตามกรรมซะ บ้านรวยไม่ใช่หรอ ก็ไปจ้างครูสอนพิเศษมาติวให้แทนก็แล้วกัน ดูซิว่าใครเค้าจะทนนิสัยเหี้ยๆ อย่างนี้ได้ ขี้คร้านเดี๋ยวก็ลาออกไปเหมือนเดิม จะสอบติดหรือไม่ก็เรื่องของมัน ผมไม่เดือดร้อนอะไรด้วยเสียหน่อย จะไปตายห่าที่ไหนก็ไป ผมตัดสินใจแล้วว่าจะไม่มีทางติวให้พวกมันอีก ถึงต่อไปจะมองหน้ากันไม่ติดผมก็ไม่สน เพราะคนแบบนี้ผมไม่อยากคบด้วยหรอก เงินสองพันก็จะคืนให้ จะได้ไม่ติดค้างอะไรกันอีก !



ถึงในใจผมจะคิดแบบนี้ แต่จิตฝ่ายดีของผมก็ยังพอมีอยู่บ้าง อย่างน้อยผมก็จะติวให้มันจนครบอาทิตย์ จะอัดเนื้อหาให้มากที่สุดเท่าที่มันจะรับกันไหว หลังจากนั้นก็ลากันที ไปดิ้นรนต่อเอาเองก็แล้วกัน ผมเชื่อว่าตัวเองจะสามารถหาข้ออ้างดีๆ ที่ดูน่าเชื่อถือมาตอบปฏิเสธการติวในวันที่เหลือได้แน่



ผมบอกตัวเองให้กัดฟันทน ถ้าไม่รวมวันนี้ก็เหลืออีกแค่สองวันเท่านั้น ผมเคยป่วยหนักกว่านี้ยังไปเรียนไปสอบได้เลย



ผมกัดฟันลุกไปเข้าห้องน้ำ แต่ไม่ราดน้ำลงบนตัว ใช้แค่ผ้าชุบน้ำหมาดๆ เช็ดตัวเอง แล้วเดินไปปลุกสองแฝด ข้าวผัดในกระทะที่แม่ทำเอาไว้หน้าตาน่ากินมาก เสียแต่ตอนนี้ผมกินไม่ลง ไม่ใช่ว่าไม่หิว แต่ผมเจ็บคอเกินกว่าจะกินของพวกนั้น เลยต้มโจ๊กซองกินเป็นอาหารเช้าแล้วกินยาตาม



--------------------------------------------------






ออฟไลน์ candleguard

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 75
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-1
Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P )
«ตอบ #2 เมื่อ17-02-2018 20:21:34 »

                                                               ตอนที่ 3 ถ้าคิดว่าเก่งแล้วก็ไสหัวกลับไป!




ผม : เร่งความเร็ว

ภูผา : accelerate , expedite

ผม : สะกด accelerate

ภูผา : a-c-c-e-l-e-r-a-t-e

ผม : ทำให้โกรธ

ภูผา : aggravate , exasperate

ผม : เหมาะสม

ภูผา : appropriate , suitable ,….แป๊บนะ… อะไรวะ ขอนึกก่อน

ผม : …………… (ถือชีตตั้งใจรอ )

ฟ้าคราม : โอ๊ย วันนี้เสื้อฟิตจังเล้ยยยย

ภูผา : อ๋อ!!! Fitting

ผม : ภูผา ฟ้าคราม พี่บอกแล้วใช่มั้ยว่าห้ามช่วยกัน ( ถอนหายใจอย่างระอาเต็มทน ) ภูผาคัด fitting ห้าจบเดี๋ยวนี้

แม้ผมจะมีบทลงโทษของการช่วยกันตอบด้วยการให้คัด แต่สองคนนี้ก็ไม่เคยเลิกช่วยกัน ผมเบื่อ ผมเซ็ง ผมเอือมระอา … แค่ฟังและทำตามคำสั่งผมมันจะตายหรือไง นี่หวังดีนะ ทำไมไม่เข้าใจกันบ้างวะ?

ผม : …..มา …ตาฟ้าครามบ้าง… เทียม / ปลอม

ฟ้าคราม : articial , copied , duplicated

ผม : สะสม

ฟ้าคราม : accumulate , collect สะสม

ผม : ประกาศ

ฟ้าคราม : declare , ………..

ผม : declare แล้วอะไร อีกคำเจอในข้อสอบบ่อยมากเลยนะ ต้องจำให้ได้

ฟ้าคราม : อะ…อะ…อะไรวะ (เกาหัว เหลือบมองภูผาที่นอนท่องศัพท์ชุดใหม่อยู่บนเตียง)

ผม : ภูผา ห้ามช่วยฟ้าคราม ให้ฟ้าครามคิดเอง

ภูผา : ปลาร้าเหม็นอะไร

ผม : ภู-ผา ( เสียงเย็น พยายามกดความโมโหไว้ )

ฟ้าคราม : เหม็น …เหม็นเน่า! announce! (อะเน๊าซ์ )

ผม : คัด announce ห้าจบ….ภูผา พี่บอกแล้วไงว่าไม่ให้ช่วย ในห้องสอบเขาไม่ได้ให้สิทธิ์พิเศษฝาแฝดช่วยกันทำนะ

ภูผา : (ทำเป็นตั้งใจท่องศัพท์ )

ผม : …………………….. (ทำเป็นยิ้มอย่างอ่อนใจ ทั้งที่ความจริงแล้วอยากจะลุกขึ้นมาชกหน้ามันสองคนซะจริงๆ ถ้าไม่ติดว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องกูนะ ได้มีซัดกันซักยกสองยกล่ะ ไอ้สัส ไอ้ควาย ไอ้เด็กเวร นรกส่งพวกมึงมาเกิดใช่มั้ยถึงได้ดื้อด้านกวนตีนฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องแบบนี้! )



นี่แค่ตัวอย่างบทสนทนาบางส่วนที่ผมยกมาให้ฟังนะ ที่จริงมันมีเยอะกว่านี้ มีการช่วยกันมากกว่านี้ ใบ้ชัดจนดูน่าเกลียดกว่านี้ แถมบางทีก็ตอบให้กันไปเลย เป็นอย่างนี้มาตลอดห้าวัน ทุกเช้าทุกเย็นที่ผมสอบศัพท์ และทุกครั้งที่ผมลองย้อนกลับไปถามคำเก่าๆ ภูผา และ ฟ้าครามก็จะผิดคำเดิมซ้ำๆ ที่แฝดตนคอยช่วย ผมเบื่อ ผมระอา อยากจะโทรไปบอกอาแอ๋มว่ามารับพวกมันกลับไปตอนนี้ทีเถอะ ก่อนที่ผมจะวิสามัญฆาตกรรมลูกของเธอ



ช่วงสองสามวันแรกสองคนนี้ก็ดูมีไฟดีอยู่หรอก แต่หลังจากนั้นไฟก็ค่อยๆ มอดลงเรื่อยๆ วันแรกๆ ให้ทำโจทย์ แก้สมการ จดสรุปเนื้อหาอะไรแม่งก็ทำหมด วันหลังๆ นี่เริ่มมีอิดออด บ่นนู่นบ่นนี่ แล้วถ้าผมให้ทำโจทย์มากๆ เข้าก็ชักสีหน้าใส่เลยก็มี แต่ถึงจะชักสีหน้า มันก็ยอมทำอย่างเสียมิได้ นับว่าก็ยังดีกว่าชักสีหน้าแล้วไม่ยอมทำ



ผมเองก็เหนื่อยไม่ใช่ไม่เหนื่อย ผ่านมาแค่สี่วันกว่าแต่ผมกลับรู้สึกเหมือนเวลาผ่านไปสักสี่ปี ผมไม่เคยซาบซึ้งในจิตวิญญาณความเป็นครูเท่าวันนี้เลย ผมสอนตั้งแต่สิบโมงเช้าถึงหกโมงเย็น พักกินข้าวกลางวันหนึ่งชั่วโมง หมายความว่าผมพูดสอนไม่ได้หยุดเป็นเวลาเจ็ดชั่วโมงต่อวัน ซึ่งถือว่าเป็นอะไรที่สาหัสมากสำหรับผมที่ปกติเป็นคนไม่ค่อยพูด ผมนึกถึงครูที่โรงเรียน ที่ต้องยืนสอนวันละแปดชั่วโมง ถ้าไม่มีสปิริตจริงๆ คงทำไม่ได้ขนาดนั้น แล้วก็ไม่ใช่แค่สอนชั่วคราวแบบผม ครูบางคนทำแบบนั้นเป็นสิบ ยี่สิบปี หรืออาจจะ…ชั่วชีวิต



เวลาที่ผมมีความคิดอยากจะเลิกสอนพวกมัน ผมก็จะนึกถึงเรื่องนี้เป็นการให้กำลังใจตัวเองเสมอ อีกสองวันเอง ทนหน่อย หลังจากนั้นผมก็จะหาข้ออ้างว่าไม่ว่างแล้วยกเลิกการติวนี้เสียที



อีกเรื่องที่ผมต้องอดทนก็คือการใช้ชีวิตร่วมกับพวกมัน นอกจากการสอนที่แสนเหน็ดเหนื่อยในแต่ละวันแล้ว ผมยังต้องทนกับความเอาแต่ใจ เรื่องมาก จุกจิกยิบย่อยของพวกมัน ต้องทนนอนห้องเดียวกัน ต้องถูกทำลายความเป็นส่วนตัว บอกตามตรง ผมอึดอัด! ผมหงุดหงิด ! ผมรำคาญ ! มาอยู่ให้เขาติวแล้วยังจะทำตัวเรื่องมากกินยากอยู่ยากอีก



ผมเบื่อ ผมอยากพัก ตั้งแต่ปิดเทอมมาผมยังไม่ได้พักเลย สอบปลายภาคเสร็จก็ไปออกค่าย กลับจากค่ายได้วันเดียวอาแอ๋มก็โทรมาขอให้ติวเจ้าพวกนี้ ถ้ามันสองคนตั้งใจเรียน ทำตัวดีๆ ผมคงไม่เหนื่อยจนวางแผนจะเลิกสอนแบบนี้ ผมรู้เลยว่าที่จริงน้องไม่ได้อยากมาติว แต่คงถูกอาแอ๋มบังคับให้มา คนเต็มใจรับความรู้ กับคนไม่เต็มใจแต่มาอย่างเสียมิได้ ทำไมผมจะดูไม่ออก



ถัดจากการท่องศัพท์และทำโจทย์วิชาภาษาอังกฤษ ผมก็สอนวิชาฟิสิกส์เรื่องโมเมนตัมต่อจากเมื่อวาน ปิดท้ายด้วยวิชาคณิตศาสตร์เหมือนเดิมในแต่ละวัน



“ฝาแฝด จำสูตรเรื่องการสมมูลได้มั้ย ” บางครั้งผมก็จะเรียกสองคนนี้รวมกันไปเลย



“จำไม่ได้เลยคร้าบ ไม่รู้ด้วยว่าสมมูลมันคืออะไร เรียนตั้งแต่มอสี่ ลืมไปแล้ว ”



“โอเค การสมมูล คือการที่ประพจน์สองประพจน์มีค่าความจริงตรงกันทั้งหมด มีวิธีตรวจสอบสองแบบ วิธีที่หนึ่งคือการสร้างตารางหาค่าความจริงแบบนี้… ซึ่งมันเสียเวลามาก เราจึงใช้วิธีที่สอง คือใช้สูตรในการตรวจสอบ ที่จริงสูตรมันมีเยอะมาก แต่พี่จะให้ท่องแค่เจ็ดสูตรนี้ สูตรที่เหลือไม่ต้องไปจำ มัน make sense อยู่แล้ว ”



ภูผา และ ฟ้าครามรับหนังสือไปตั้งหน้าตั้งตาท่อง ผมไม่ปล่อยเวลาว่างของตัวเองให้เสียเปล่า หยิบหนังสือติวสอบวิชาภาษาอังกฤษขึ้นมาเพื่อเตรียมเนื้อหาที่จะติววันพรุ่งนี้…ทั้งสองคนทำ part error คะแนนต่ำมากเลย ที่ wc ออกพาร์ทนี้เยอะด้วยสิ งั้นพรุ่งนี้สอนวิธีทำ error ก็แล้วกัน พาร์ท conversation ก็ง่าย ฟ้าครามทำได้ดี แต่ภูผายังใช้ไม่ได้ ผมคงต้องเน้นเรื่องนี้เพิ่มให้เสียแล้ว



พอเห็นสองคนนี้ตั้งใจท่องสูตรที่ผมให้ ความโกรธที่สะสมมาตั้งแต่เช้าก็เริ่มคลายลง ถ้าน้องตั้งใจแบบนี้จนจบวัน ผมจะยอมล้มเลิกแผนยุติการติว และสอนให้จนครบยี่สิบวันก็ได้ ใช่ว่าผมจะเป็นคนใจร้ายใจดำ คนที่สนิทกับผมจริงๆ จะรู้ว่าผมขี้ใจอ่อนแค่ไหน ผมมักจะให้โอกาสคนที่ทำผิดพลาดได้แก้ตัวเสมอ ผมนั่งจิบยาน้ำแก้ไอตราเสือเหยียบกระทิง อมยิ้มเมื่อเห็นท่าทางขะมักเขม้นของทั้งคู่



“ท่องได้แล้วหรอ?” ผมถามเมื่อฟ้าครามกับภูผาเงยหน้าขึ้น



“จำได้แล้ว แต่ถ้าสอบเขียนพี่ให้ท่อนหน้ามาได้มั้ย แล้วพวกเราจะต่อเอง ”



“ไม่ได้ๆ ถ้าโจทย์เค้าให้ท่อนหลังมาแล้วเราจะเปลี่ยนกลับมาเป็นท่อนหน้าได้ไงถ้าไม่ท่อง ”



“โอ๊ย! เดี๋ยวพอเห็นในโจทย์พวกเราก็ทำได้เองแหละ พี่ทีเข้าใจป่ะว่าท่องได้ แต่จะให้เขียนออกมาเลยบางทีมันนึกออกมาไม่ครบทุกสูตร ”



“ท่องไปเถอะ มันไม่ได้ยากอะไรเลยนะ แค่เจ็ดสูตรเอง สมัยพี่เรียนอยู่ อาจารย์สอบเขียนตั้งสิบห้าสูตร ไม่ขึ้นข้างหน้าให้ด้วย พี่ยังทำได้เลย เราก็มีหนึ่งสมองสองมือเหมือนกับพี่ ทำไมจะท่องไม่ได้ เอ้า ท่องๆ ” ผมดันหนังสือกลับไปตรงหน้าสองแฝดอีกครั้ง



ท่องเถอะ ตั้งใจเรียน เชื่อฟังพี่ แล้วพี่สัญญาว่าจะติว จะสอน จะทุ่มเท จะเดินไปด้วยกันกับพวกนายจนถึงที่สุด และ จะรอดูวันที่พวกนายประสบความสำเร็จ



อย่าทำให้พี่ผิดหวังจากเดิมพันในใจเลย…ภูผา ฟ้าคราม



อย่าให้พี่ต้องกลายเป็นคนใจร้ายเลย…



“โอ๊ย ! ได้แล้วหน่า ไม่ต้องท่องแล้ว ” ฟ้าครามชักสีหน้า



“ใช่ๆ ทำโจทย์เลย ” ภูผาพูดด้วยท่าทางอวดดี ประมาณว่ากูเก่งนักเก่งหนา



“มาเลย เอาโจทย์มาทำเลย พี่จะได้รู้สักทีว่าพวกเราทำได้แล้ว ท่องอะไรกันนักกันหนา” พวกมันมองหน้าผมเหมือนผมเป็นตัวน่ารำคาญ อาการชักสีหน้า และ ใบหน้ามั่นอกมั่นใจของสองคนนี้ทำให้ความอดทนของผมหมดลง



“ ได้!!! อยากทำโจทย์นักก็จะให้ทำ ! ” รอยยิ้มที่มีบนใบหน้าจางหายไป เห็นกูยิ้มๆ แต่เวลากูโกรธขึ้นมาทีอย่าคิดว่าใครจะหยุดกูได้เลย



ผมเปิดหนังสือ เลือกข้อที่ต้องใช้วิธีกลับสูตรจากหลังมาหน้าแล้ววางกระแทกลงบนโต๊ะ พวกมันสองคนมีสีหน้าตกใจ เพราะตั้งแต่เด็กจนโตผมไม่เคยทำสีหน้าท่าทางแบบนี้ให้มันเห็นมาก่อน มันคงคิดว่าผมยิ้มเป็นอย่างเดียว โกรธไม่เป็นสินะ มึงคิดผิดแล้ว ไอ้แฝดนรก!!



“ทำ!! ถ้าพวกมึงทำข้อนี้ไม่ได้ กู-เลิก-สอน ! ” เริ่มขึ้นกูขึ้นมึง ไม่มีพี่มีน้องละทีนี้



พวกมันสองคนก้มหน้ามองโจทย์แล้วนิ่งไป



“ทำดิ ! ทำ! มึงทำกันได้ไม่ใช้หรอ นี่กูเลือกข้อง่ายให้พวกมึงเลยนะ แทนสูตรจบเลย… ทำเซ่! นิ่งทำหอกอะไร !” เป็นความจริงที่ผมบอกว่าเลือกข้อง่ายให้ แต่อย่างที่บอกมันต้องทำย้อนกลับ ในเมื่อมันสองตัวท่องย้อนกลับไปข้างหน้าไม่ได้ แล้วจะทำได้ไง?



มันสองตัวก้มหน้าก้มตาขีดๆ เขียนๆ ผมดูก็รู้ว่าพวกมันทำไม่ได้ แต่ทำเป็นทำได้



ผมกอดอกมองชายหนุ่มร่างสูงสองคนที่นั่งหน้าจ๋อยไม่กล้าสบตาผม เป็นไงคราวนี้ยังจะกล้าอวดดื้อถือดีกับผมต่ออีกมั้ย



ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วผ่อนออกมาเพื่อระงับอารมณ์โกรธของตัวเองไม่ให้เดือดพล่านมากไปกว่านี้ ตอนนี้ผมมึนหัวตุบๆ รู้สึกตัวลอยๆ แสบคอจนคิดว่าที่ตะคอกไปเมื่อกี้จะทำให้เสมหะออกมาเป็นสีเลือดหรือเปล่า



ไม่ไหวแล้ว พอกันที ผมเหนื่อยไปหมด ทั้งกายทั้งใจ คงถึงเวลาแล้วที่ผมต้องพัก



ผมปิดหนังสือ แล้วลุกขึ้นยืน



“พรุ่งนี้กลับไปเลยนะ พี่ไม่ติวแล้ว …ไม่ต้องกลัวว่าอาแอ๋มจะว่า เดี๋ยวพี่จะโทรไปบอกว่าเพื่อนนัดไปทำงานกลุ่ม เลยไม่ว่างติวแล้ว ” ผมเดินออกไปจากห้อง ตรงไปยังห้องน้ำ อยากจะล้างหน้าล้างตาเสียหน่อย รู้สึกไม่สบายตัวเอาซะเลย



ผมใช้เวลาล้างหน้าล้างตา บ้วนเสลด อยู่ครู่หนึ่ง พอเดินออกมาภูผา กับ ฟ้าครามก็ยืนทำหน้าจ๋อยรออยู่หน้าห้องน้ำ ในมือถือกระดาษสองแผ่นที่คัดสูตรเสร็จยื่นมาให้ผม



“พี่…ท่องได้แล้ว …ถ้าไม่เชื่อจะให้คัดให้ดูใหม่ก็ได้ ” มันสองคนทำท่าจะลงไปนั่งคัดกับพื้นให้ผมเห็นอีกรอบ แต่ผมไม่สนใจ เดินผ่านสองคนนั้นเข้าไปในห้อง หยิบกระเป๋าเป้ออกมา มันเป็นเป้ที่ผมใช้ตอนไปค่าย ยังไม่ได้เคลียร์ของเอาเสื้อผ้าไปซักเลย ผมเปิดตู้เสื้อผ้ายัดชุดใหม่ลงไปอีกสองสามชุด หยิบกระเป๋าตังค์ มือถือ



“พี่ที…จะไปไหนอ่ะ ” มันถามเสียงแผ่ว หงอกันสุดๆ ผมเงยหน้าขึ้นมาสบตามันสองคนอีกครั้ง



“ทั้งๆ ที่พี่ตั้งใจทำเพื่อเราขนาดนี้ ทุ่มเทให้ขนาดนี้ ถามหน่อยว่าที่จ้ำจี้จ้ำไชเราสองคนพี่ได้อะไรมั้ย …ก็ไม่ได้…คนที่ได้คือพวกนาย …พี่สอนเราเพราะอยากให้เราสอบติด อยากให้มีอนาคตที่ดี แล้วดูเราทำกับพี่สิ พวกนายตอบแทนพี่ได้เจ็บแสบมาก ขอบใจนะ ” พูดจบผมก็จ้ำไปที่ประตู ก่อนออกไปก็หันไปทิ้งท้ายอีกว่า



“อ้อ คืนนี้ถ้าเมื่อยหลัง ทนนอนพื้นไม่ไหว จะขึ้นมานอนบนเตียงพี่ก็ได้นะ แค่นี้ล่ะ ”



ผมทิ้งสองแฝดที่ยืนก้มหน้านิ่งไว้ในห้อง ออกไปยืนหน้าบ้านรอรถแท็กซี่



“ พี่ที ! เดี๋ยวก่อน ! ครามขอโทษ !”



“พี่ที อย่าไปนะ พวกเราผิดไปแล้ว ! ต่อไปนี้จะเชื่อฟัง ไม่เอาแต่ใจแล้ว!” สองคนนั้นวิ่งออกมาจากบ้าน พยายามจะวิ่งเข้ามารั้งผมไว้



ผมกลัวว่าจะสู้แรงฉุดของสองคนนั้นไม่ไหว เลยตัดสินใจโบกรถสองแถวที่วิ่งมาพอดี กระโดดขึ้นไป ก่อนที่สองคนนั้นจะเข้าถึงตัวผม



ผมไม่รู้ว่าสองคนนั้นกำลังมองตามผมมาด้วยสายตาแบบไหน เพราะไม่คิดจะหันกลับไปมอง หยิบมือถือขึ้นมากดโทรออก สัมผัสเย็นเฉียบจากผิวโลหะทำให้รู้ตัวว่าตอนนี้ผมตัวร้อนแค่ไหน



“…ฮัลโหล …สกายหรอ กูขอไปนอนหอมึงหน่อยนะ ”




ออฟไลน์ candleguard

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 75
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-1
Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P )
«ตอบ #3 เมื่อ17-02-2018 20:22:47 »


                                                                       ตอนที่4 ผลของการกระทำ






คืนนั้นผมไข้ขึ้นสูงถึง 39.3 องศา ไอ้สกายเพื่อนแสนดีว่าที่บุรุษพยาบาลคอยดูแลเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ผมตลอดทั้งคืนจนอาการทุเลาลงในตอนเช้า เมื่อคืนมือถือผมดังไม่หยุด รำคาญจนต้องปิดทิ้ง



ไอ้สกายอดหลับอดนอนคอยดูแลผมทั้งคืนแต่กลับไม่มีท่าทางเหนื่อยล้าง่วงเหงาหาวนอนเลยสักนิด มันเป็นผู้ชายที่ร่าเริง แข็งแรง กระปรี้กระเปร่าอยู่ตลอดเวลา ผมคิดว่าอดนอนคืนเดียว สำหรับมันคงเป็นเรื่องจิ๊บๆ



หลังจากตื่นขึ้นมากินโจ๊กกับสารพัดยาแล้วผมก็ล้มตัวลงนอนอีกรอบ ไม่นานก็หลับไปอีกเพราะพิษไข้ ตื่นขึ้นมาอีกทีก็ตอนบ่ายๆ สกายช่วยผมเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้า ต้มข้าวต้มโรยหมูหย็องให้กิน แม้ผมจะเจ็บคอจนไม่อยากกลืนอะไรทั้งนั้น แต่เพราะเห็นแก่น้ำใจของเพื่อนที่อุตส่าห์ทำมาให้ ผมเลยกินไปครึ่งชาม



ไอ้สกายผู้หวังดีกับเพื่อนตลอด เห็นผมนอนไม่หลับเพราะนอนมาหลายชั่วโมง เลยหยิบกีตาร์เก่าๆ ตัวหนึ่งที่ผมจำได้ว่ามันใช้เล่นตอนขึ้นประกวดเดือนมหา’ ลัย เมื่อปีที่แล้วขึ้นมาจะร้องเพลงกล่อมผม ถ้ามันเป็นผู้หญิง ผมคงหลงมันหัวปักหัวปำ ขอมันแต่งงานไปแล้วล่ะ



“เอาเพลงไรดี รีเควสต์มาได้เลยครับพ้ม” มันส่งยิ้มสว่างไสวมาให้ผม เวลาอยู่กับมัน ผมรู้สึกสบายใจจริงๆ



“เล่นเป็นอยู่เพลงเดียวยังจะกล้าให้กูรีเควสต์อีกนะ ฮะๆ ” ไอ้สกายทำหน้างอ ผมอดหัวเราะไม่ได้ ก็มันจริงนี่หว่า สกายมันไม่มีความสามารถพิเศษอะไรจะขึ้นไปโชว์เลยนอกจากหนังหน้า พวกรุ่นพี่คณะมันก็เลยหาคนมาสอนมันเล่นกีตาร์ สอนเท่าไหร่ก็เล่นไม่ได้ สุดท้ายพี่แกเลยให้มันจำมือเอา ไม่ต้องเข้าใจคอร์ดอะไรทั้งนั้น ฝึกกันอยู่นานเป็นเดือนกว่าจะเล่นได้…ตั้งเพลงนึง =_=



“มั่ว …ได้สองเพลงแล้วเหอะ ส่งต่อความรัก (pass the love forward) กับ หน้าจริง”



“อ้อใช่ๆ กูลืมไป งั้นเอาเพลงแรกละกัน กูชอบฟังว่ะ ปีที่แล้วกูฟังมึงร้องแล้วขนลุกเลย” ลืมไป เพลงหน้าจริงมันใช้ตอนประกวดดาวเดือน จากนั้นมันก็ได้เป็นแอมบาสซาเดอร์ของคณะ ก็เลยต้องฝึกเพลงส่งต่อความรักเพิ่มอีกเพลง



สกายวางมือลงบนสายกีตาร์ ยิ้มให้ผม



“เพลงที่เธอกำลังได้ยินอยู่ โปรดฟังดูให้ดี

และเมื่อไรที่พบใครเศร้าใจอยู่

ฝากเพลงนี้ให้เขาฟัง … สักที ……….”





ผมหลับตาลง สกายร้องเพลงนี้ซ้ำไปซ้ำมาด้วยเสียงนุ่มหู ไม่รู้เหมือนกันว่าผมหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้แต่ว่าผมคงจะฝันดี หลังผ่านคืนวันอันแสนเหน็ดเหนื่อยกับเจ้าแฝดมหาประลัยไทรโยคนั่นมา



หลังจากได้พักผ่อนหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ ผมก็หายดี บอกแล้วว่าผมน่ะฟื้นตัวเร็ว ห้องไอ้สกายมีแต่พัดลม ช่างเหมาะกับการเป็นหลุมหลบภัยชั่วคราวของผมจริงๆ



ถึงจะหายแล้ว แต่ผมก็ยังอยู่กับมันต่อ ไม่อยากกลับบ้าน กลัวไอ้แฝดมาตื๊อขอโทษ กลัวโดนพ่อกับแม่ว่าที่เลิกสอนน้องกลางคัน แต่ในที่สุดผมก็ตัดสินใจที่จะโทรไปหาอาแอ๋มตามที่สัญญากับไอ้แฝดมันไว้ว่าจะไม่ให้มันโดนแม่ด่า เบื่อตัวเองเหมือนกัน ขนาดโกรธมันอยู่ผมยังอุตส่าห์ห่วงว่ามันจะโดนด่า ทำไมกูต้องขี้ใจอ่อนแบบนี้ด้วย เฮ้อ



“ฮัลโหล อาแอ๋มหรอครับ ทีเองนะ …ขอโทษนะครับที่ให้น้องกลับบ้านไปทั้งที่เพิ่งจะมาติวได้ไม่กี่วัน พอดีเพื่อนโทรมาตามให้ไปช่วยทำงานกลุ่มตอนซัมเมอร์น่ะครับ ขอโทษจริงๆ นะครับ เดี๋ยวทีจะซีร็อกซ์สรุปเนื้อหาฝากไอ้ทามไปให้นะครับ”



‘… ทีไม่ต้องขอโทษน้าหรอก อารู้ดีว่าลูกอามันเป็นคนยังไง ทีทนน้องไม่ไหวใช่มั้ยลูก อาขอโทษนะ น้องคงจะดื้อกับเรามากเลยล่ะสิ อาผิดเองที่เลี้ยงมันมาแบบตามใจมากเกินไปจนกลายเป็นแบบนี้’ ผมตกใจ ไม่คิดว่าอาแอ๋มจะรู้ว่าผมโกหก แต่ก็ดีที่เธอยอมเข้าใจ แสดงว่าเธอคงคาดไว้แล้วว่าอาจเป็นอย่างนี้



“ก็ใครจะไปทนนิสัยมันสองคนไหวล่ะครับ พวกมันน่ะ บลาๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ” ไหนๆ ก็รู้แล้ว งั้นกูฟ้องเลยละกัน ขอระบายหน่อยเหอะ ไม่ไหวแล้วโว้ย อกอีแป้นจะแตก ผมเล่าเรื่องตั้งแต่วันแรกยันวันสุดท้ายให้อาแอ๋มฟัง ละเอียดชัดเจนไม่ขาดตกบกพร่องแม้แต่ฉากเดียว อาแอ๋มฟังแล้วก็ผสมโรง ช่วยผมด่าพวกไอ้แฝดไม่หยุด ผมสะใจสุดๆ รู้งี้โทรมาฟ้องอาแอ๋มซะแต่แรกก็ดีหรอก!



‘เนี่ยรู้มั้ย ก่อนอาจะส่งมันไปอยู่กับทีนะ อาสั่งให้มันอ่านมันติว มันก็ทำอิดออดต่อรองจะเอานั่นเอานี่ พอไปตื๊อให้มันอ่านหนังสือมากๆ เข้า มันก็ชักสีหน้าใส่น้า โดยเฉพาะไอ้เจ้าฟ้าครามนะ ตัวดีเลย ไม่ใช่แค่ชอบชักสีหน้านะ ปากเสียด้วย อาจะด่ามันเหมือนที่เคยทำก็ไม่ได้ เดี๋ยวมันเครียด พาลไม่ยอมไปสอบล่ะยุ่งเลย หน็อย สอบเสร็จก่อนเถอะ จะให้มันอดข้าวลงโทษซะให้เข็ด ทำตัวชั่วดีนัก เลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ!’ …เอ่อ ดูท่าอาแอ๋มจะเคียดแค้นลูกตัวเองมากกว่าผมซะอีกนะ -_-;;



“อ้าว ผมนึกว่ามันไม่ฟังแค่ผมซะอีก นี่มันก็ไม่ฟังอาเหมือนกันหรอ?”



‘โอ๊ย! มันไม่ฟังใครหรอกที ขนาดอาเป็นแม่แท้ๆ บางทีมันยังไม่ยอมฟังเลย อาถึงไม่แปลกใจไงที่ทีส่งมันกลับมา …. แต่ไม่รู้เป็นอะไร ตั้งแต่กลับมาเจ้าแฝดมันก็ซึมไปเลย ปกติต้องทำเสียงดังลั่นบ้านแท้ๆ มันคงซึมที่โดนเราด่ามาล่ะมั้ง ดี สมน้ำหน้า โดนซะมั่งจะได้เข็ด’ อาแอ๋มดูสะใจที่ผมช่วยดัดนิสัยลูกของเธอ …แต่ไม่รู้ทำไม จู่ๆ ผมก็รู้สึกเป็นห่วงพวกมันขึ้นมาอีก



“อาแอ๋มครับ อย่างงี้ถ้าน้องสอบไม่ติดจะทำยังไง จะให้ซิ่วหรอ”



‘ไม่ให้ซิ่วหรอก เสียเวลา ถ้าไม่ติดอาจะส่งมันไปเรียนเทคนิคแล้ว พอกันที เอือมระอา’



“ไม่ได้นะครับ! มันอันตรายนะอาแอ๋ม” ประเดี๋ยวจะได้กลายเป็นผีแฝดเฝ้าโรงเรียนก่อนจะเรียนจบน่ะสิ ไม่อยากจะคิด คงเฮี้ยนน่าดู =_=;;;



‘ขนาดมันยังไม่ห่วงตัวเองเลย แล้วทีจะห่วงมันไปทำไมอีก อาเองยังเอือมระอาเลย หรือไม่อีกที อาอาจจะให้มันเรียนบริหารไป’



ผมคุยกับอาแอ๋มอีกสักพักก็วางสาย ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่



คนอย่างผม … ไม่เคยให้โอกาสใครเป็นครั้งที่สาม



“…ช่างมันเถอะ…มันจะเป็นตายร้ายดียังไง….ก็เรื่องของมัน…”









ฝั่งภูผา ฟ้าคราม เมื่อโดนผัว เอ๊ย! พี่ไล่กลับบ้านแล้ว ก็ได้แต่ซึมไปตามๆ กัน ทั้งสองช่วยกันเคลียร์ข้าวของออกจากกระเป๋าเดินทางที่แพ็คไปนอนค้างบ้านที



ภูผารูดซิปหน้าเพื่อหยิบบรรดาที่ชาร์จแบตทั้งหลายออกมา ขณะที่ล้วงมือกวาดตรวจทานอีกรอบว่ายังหลงเหลืออะไรอยู่อีกมั้ย ก็สัมผัสเข้ากับซองอะไรสักอย่าง ภูผาหยิบสิ่งนั้นออกมา



…ซองจดหมาย…



สองแฝดมองหน้ากันอย่างมีความหวัง บางทีพี่เขาอาจจะเขียนข้อความอะไรประมาณว่ายกโทษให้แล้วก็ได้ ภูผา ฟ้าครามพากันคิดเข้าข้างตัวเอง



“มึงเปิดเร็วๆ ซิ!” ฟ้าครามเร่ง ภูผาค่อยๆ แงะแถบกาวออก แล้วก็พบกับ….!



…เงินสองพัน



ยิ่งเห็นธนบัตรสองใบนี้ ทั้งสองยิ่งรู้สึกผิดเข้าไปใหญ่ เห็นนิ่งๆ ยิ้มๆ แบบนั้น ไม่คิดเลยว่าจะโมโหได้น่ากลัว และ เอาคืนด้วยวิธีเรียบง่าย แต่เจ็บแสบได้ขนาดนี้ ทั้งเรื่องอนุญาตให้นอนเตียง และ เรื่องคืนเงินกลับมา … เป็นการแก้แค้นอย่างคนมีสมอง เพียงแค่นี้ สองแฝดก็รู้สึกผิดจนแทบจะคว้านท้องใช้โทษให้แล้ว ไม่น่าเชื่อว่าแค่โดนด่าไม่กี่ประโยค สองแฝดเจ็บยิ่งกว่าโดนแม่ด่าสามวันสามคืนเสียอีก



พวกเขาจะจำไว้จนวันตายเลยว่าคนเงียบๆ ยิ้มๆ แบบนี้เป็นบุคคลที่อันตรายยิ่งกว่าพวกเอะอะโวยวายเสียอีก แค่ทีหุบยิ้ม มองมาที่พวกเขานิ่งๆ ภูผา กับ ฟ้าครามก็แทบแข็งเป็นหินแล้ว



สองแฝดเข้าใจความหมายโดยนัยที่แฝงมากับคำพูดของที



“อ้อ คืนนี้ถ้าเมื่อยหลัง ทนนอนพื้นไม่ไหว จะขึ้นมานอนบนเตียงพี่ก็ได้นะ แค่นี้ล่ะ”



ประโยคนี้แฝงคำด่าพวกเขาอย่างแยบคายว่า ฉันทนนิสัยพวกแกไม่ไหวแล้ว เรื่องมาก กินอยู่ยากกันเหลือเกิน !



ส่วนเงินที่คืนกลับมาหมายความว่า ฉันไม่ติวให้แล้วโว้ย เอาเงินพวกมึงคืนไป พวกมึงขึ้นครูกูได้ กูก็ปีนลงมาเองได้เหมือนกัน !



ภูผาและฟ้าครามนั่งไหล่ตกซึมกะทือกันไปพักใหญ่ ในที่สุดภูผาก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกับฟ้าครามโดยไม่ได้นัดหมาย



“ไอ้ภูผา!”



“ไอ้ฟ้าคราม!”



ทั้งสองประสานมือสูงระดับอก มองตากันอย่างจริงจัง แล้วพยักหน้า



เพื่อเป็นการไถ่โทษ พวกเขาจะต้องสอบ wc ให้ติด แล้วไปขอให้พี่ทียอมยกโทษให้ได้!!!



นับตั้งแต่วันนั้น ภูผากับฟ้าครามก็ตั้งใจอ่านหนังสือกันเป็นบ้าเป็นหลัง รบเร้าขอให้แม่จ้างครูพิเศษมาติวเพิ่มให้ที่บ้าน น่าแปลกที่คราวนี้ครูพิเศษไม่ลาออกไปเหมือนเคย แถมยังเอ่ยชมให้แม่ของสองแฝดฟังไม่หยุดปากว่าสองแฝดน่ารักมาก ว่านอนสอนง่าย หัวไวดีเหลือเกิน



ผนังห้องนอนของทั้งคู่เต็มไปด้วยคำศัพท์ และ สูตรฟิสิกส์มากมายไม่เว้นแม้แต่บนโต๊ะกินข้าว พ่อแม่และพี่ชายคนโตมองสองแฝดอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง ภูผาและฟ้าครามนั่งตรงข้าม ผลัดกันถามสูตรถามศัพท์กัน ถ้าตอบได้ถึงจะตักข้าวกินได้หนึ่งคำ นอกจากนี้ยังอ่านหนังสือ ฝึกทำโจทย์กันดึกดื่นทุกวัน จนพื้นห้องเต็มไปด้วยกระดาษทด อาแอ๋มปลาบปลื้มพฤติกรรมในช่วงนี้ของสองแฝดมากจนต้องโทรมาเล่าให้ทีที่กลับมาอยู่ที่บ้านแล้วฟัง แถมยังมิวายขอบคุณแล้วขอบคุณอีกจนทีชักจะเขิน เพราะ ทีรู้สึกว่าเขาไม่ได้ทำอะไรเลยสักหน่อย



หึ…ถ้าจะทำ ก็ทำได้หนิ .. ทีคิดในใจ



ยี่สิบวันผ่านไปไวเหมือนโกหก สองแฝดเดินเข้าห้องสอบอย่างองอาจ และ กลับออกมาด้วยสีหน้ามั่นใจเต็มร้อย ทีปลอมตัวมาแอบดูทั้งคู่ ทั้งๆ ที่คิดว่าจะไม่สนใจแล้วนะ แต่ก็อดจะเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี พอเห็นทั้งสองคนออกมาจากห้องสอบ แล้วเดินยิ้มเข้าไปคุยโวกับอาแอ๋มเป็นตุเป็นตะว่าโจทย์ง่าย หลับตายังทำถูก นี่ใช่ข้อสอบเข้ามหา’ ลัยแน่หรอ นึกว่าข้อสอบม.ต้น



ได้ยินได้เห็นอย่างนั้นทีก็รู้สึกสบายใจ จึงกลับบ้านไปรอดูประกาศผลสอบอย่างเป็นทางการของทั้งคู่ในอีกอาทิตย์ข้างหน้า



ก็บอกแล้วว่าข้อสอบของ wc มันไม่ยากมาก ถ้าตั้งใจจริงๆ ก็ทำได้… ทีส่ายหัวแล้วยิ้มบางๆ สงสัยต้องเตรียมตัวพาไปเลี้ยงแสดงความยินดีแล้วสิเนี่ย













‘… เจ้าแฝดสอบไม่ติด’





“ฮ๊า!? ว่าไงนะครับอาแอ๋ม ก็ไหนอาเล่าว่าน้องทำได้ทั้งคู่เลยไง … มหา’ ลัยตรวจข้อสอบผิดแน่ๆ ผมจะไปทำเรื่องขอตรวจกระดาษคำตอบให้!”



‘อาไปทำเรื่องขอดูกระดาษคำตอบมาแล้ว มหา’ ลัยไม่ได้ตรวจผิดหรอก … ไอ้ลูกโง่ของอามันโง่เอง!! เจ้าภูผาการันข้อ ส่วนเจ้าฟ้าครามขาดอีกสองคะแนนก็จะติดแล้วเชียว อาโกรธจนแทบจะพ่นไฟได้อยู่แล้ว!’



“….. แล้วตอนนี้…น้องเป็นยังไงบ้างอ่ะครับ”




ออฟไลน์ candleguard

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 75
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-1
Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P )
«ตอบ #4 เมื่อ17-02-2018 20:23:57 »


                                                              ตอนที่ 5 การต่อสู้ของจิตใจ




วันที่สงบสุขของผมกลับคืนมาแล้ว



ผมนอนมองเพดานว่างเปล่าที่มีร่องรอยของการฉาบปูนไม่เรียบ หลายครั้งก็จินตนาการร่องรอยเหล่านั้นเป็นภาพต่างๆ มองเป็นรูปจระเข้บ้างล่ะ ผืนนาบ้างล่ะ นี่เป็นครั้งที่ร้อยกว่าเข้าไปแล้วมั้งที่ผมคิดอยากจะทำอะไรสักอย่างกับเจ้าเพดานว่างเปล่านี้ เพ้นท์เป็นรูปปลาวาฬดีไหม ไหนๆ ห้องก็ทาสีเทอร์ควอยซ์อยู่แล้ว จริงสิ ถ้าจะเพ้นท์ ผมเพ้นท์ฝูงปลาเข้าไปด้วยดีกว่า วาดให้รอบห้องเลย คงรู้สึกเหมือนนอนอยู่ใต้น้ำ ผมคิดเรื่อยเปื่อย แต่ก็รู้ดีว่าตนเองขี้เกียจเกินกว่าจะลงมือทำ ความคิดจึงเป็นได้เพียงความคิดเท่านั้น



“พี่ที ช่วยทามทำการบ้านหน่อยดิ” เสียงแจ๋วๆ ของน้องสาวดังขึ้นพร้อมเสียงก๊อกแก๊กที่ประตู น้องสาวผมไม่ชอบเคาะประตูก่อนเข้าห้องคนอื่น พ่อแม่ก็ด้วย ผมเลยมักจะล็อกประตูห้องเสมอ ไม่ใช่ว่ารังเกียจหรือปิดกั้นคนในครอบครัว แต่ผมต้องการความเป็นส่วนตัว และ อีกเหตุผลคือ ท่านอนอ่านการ์ตูนของผมมันค่อนข้างอุบาทว์ ผมไม่อยากให้ใครมาเห็น = =



ก๊อกๆ ๆ ๆ



“ตัวเองงง เปิดประตูหน่อย”



“งานของตัวเองก็ทำเองสิ” ผมตอบกลับไป



“นี่วิชาศิลปะอ่า ช่วยทำหน่อย นะๆ ๆ ๆ ”



สุดท้ายผมก็ต้องไปเปิดประตูเพราะทนลูกตื๊อน้องสาวไม่ไหว มันทรุดตัวลงนั่งตรงโต๊ะญี่ปุ่น ผมเดินไปหยิบเบาะรองนั่งจากเก้าอี้หน้าคอมโยนใส่หัวมัน ส่วนตัวเองยอมนั่งพื้นแข็งๆ แทน



เราพี่น้องนั่งทำงานไปคุยกันไปอย่างสนุกสนาน คุยกันเรื่องการ์ตูน อนิเมะออกใหม่ เรื่องเพื่อนที่โรงเรียนไอ้ทามท้อง เรื่องไอ้โซลโดนหลอกว่าไปเมาปล้ำผู้ชาย เรื่องประกวดดาวเดือนของมหา’ ลัยครั้งล่าสุด และอีกเยอะแยะมากมาย ผมกับน้องสาวห่างกันสี่ปี แต่เราสนิทกันมากๆ คุยกันได้แทบทุกเรื่องไม่เว้นแม้แต่เรื่องใต้เข็มขัด



มีอยู่ครั้งหนึ่ง ไอ้ทามเกิดอยากทาสีห้องใหม่ เพราะ ห้องสีครีมที่ทามาตั้งแต่เมื่อครั้งพ่อผมยังเด็กมันเริ่มกระดำกระด่างแล้ว พ่อกับแม่เลยจ้างช่างมาทาสีห้องให้มันเป็นของขวัญวันเกิด ทามเลยต้องมานอนกับผม



ตอนนั้นผมกับทามยังไม่ได้ตัวใหญ่เท่าวันนี้ เราเลยนอนรวมกันบนเตียงของผม แต่เช้าวันต่อมา ผมกลับไม่เห็นน้องสาวนอนอยู่ข้างๆ แล้ว



บางทีมันอาจจะเบียด เลยไปขอนอนกับพ่อแม่แล้วมั้ง ผมคิดแล้วหลับต่อ



วันนั้นทั้งวัน ไอ้ทามไม่มองหน้าผม แถมยังทำตัวหลุกหลิกแปลกๆ จะคุยกับผมก็อ้ำๆ อึ้งๆ ไม่รู้มันเป็นอะไรของมัน



ในที่สุด ไอ้ทามก็ทนอึดอัดไม่ไหว มันทนไม่คุยกับผมไม่ได้เพราะโดยนิสัยไอ้ทามมันเกิดมาเพื่อคุยแท้ๆ และคนที่มันคุยถูกคอที่สุดก็คือผม มันเล่าให้ฟังว่า ตอนตีสองตีสามมันนอนๆ อยู่ก็รู้สึกเหมือนเตียงขย่มๆ เลยตื่น แล้วเห็นผมนอนล้วงมือเข้าไปในกางเกงบอล ทำเสียงอือๆ อาๆ มันก็แบบ ช็อก ! รีบเผ่นออกมาเลย



พอฟังจบ ผมทั้งงง ทั้งอาย ทั้งไม่อยากจะเชื่อ กูเนี่ยนะจะว่าวตอนน้องสาวมานอนด้วย ตอนนั้นได้แต่เถียงหัวชนฝาหาว่ามันแต่งเรื่องมาแกล้งผม แต่อีกใจผมก็ชักไม่มั่นใจว่าตัวเองทำอะไรแบบนั้นตอนหลับไปจริงๆ หรือเปล่า เพราะ ตอนไปค่ายลูกเสือเพื่อนก็เคยบอกว่าผมนอนละเมอคุยกับใครไม่รู้เหมือนกัน มันบอกว่าผมพูดว่า ‘อืมๆ ครับๆ ได้ครับ ….อ๋อ …จริงหรอครับ’ เพื่อนเกือบทั้งห้องที่นอนรวมกันในห้องนอนรวมไม่มีใครนอนหลับอีกเลยเมื่อได้ยินเสียงผมที่ชิงหลับก่อนใครละเมอแบบนั้น = =



หลังจากนั้นผมก็หลีกเลี่ยงไม่นอนร่วมกับใครถ้าไม่จำเป็นจริงๆ เพราะกลัวจะไปละเมอทำอะไรแปลกๆ อีก จนทุกวันนี้ผมก็ยังกังขาตัวเองอยู่ว่า ผมนอนละเมอจริงหรือเปล่า ทำไมผมไม่เห็นรู้ตัวอะไรเลยวะ



แต่เรื่องเจ้าแฝดคงเป็นกรณียกเว้น เพราะ ไม่ว่ายังไงผมก็ต้องนอนกับพวกมันอยู่ดี ก็บ้านผมมีห้องผมห้องเดียวที่กว้างพอจะรับรองแขกได้ และก็อย่างที่บอกว่าผมไม่ชอบนอนบ้านคนอื่นยิ่งกว่าการนอนร่วมห้องกับคนอื่นเสียอีก ผมเลยไม่ไปนอนบ้านไอ้แฝด แม้บ้านสองคนนั้นจะมีห้องนอนแขกก็เถอะ ผมยอมละเมอชักว่าวให้พวกมันดูยังจะดีเสียกว่าต้องไปนอนที่ที่ไม่ใช่บ้านของผม



แย่ล่ะ…..ผมเผลอคิดถึงเรื่องสองคนนั้นอีกแล้ว



“พี่ที ห้องพี่ทีกลิ่นแปลกไปป่ะ….นิดนึงอ่ะ” ยัยน้องสาวจอมจุ้นทำจมูกฟุดฟิด



“กลิ่น? กลิ่นอะไร เหม็นหรือหอม พี่ไม่เห็นรู้สึกเลย” ผมขมวดคิ้ว ลองดมดู … ก็ปกติดี



“พี่เดินออกไปนอกห้อง นับหนึ่งถึงสิบแล้วเข้ามาใหม่ดิ”



ผมทำตาม พอเปิดประตูเข้ามาอีกที ถึงรู้สึกว่าห้องผมมีกลิ่นแปลกไปจริงๆ จากที่เคยมีกลิ่นหอมเย็นจางๆ แต่มันเหมือนมีกลิ่นหอมละมุนบางเบาสอดประสานอยู่ด้วย



… กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มที่ไม่ใช่ของผม กลิ่นแป้งที่ไม่ใช่ของผม กลิ่น ที่ผมรู้ดีว่าเป็นกลิ่นประจำที่คนบ้านนั้นชอบใช้ … กลิ่นของภูผา ฟ้าคราม ที่แม้จะผ่านไปสามอาทิตย์แล้ว แต่ก็ยังคงหลงเหลือกลิ่นอายจางๆ ในห้องที่ปิดทึบ ไม่เปิดแม้กระทั่งหน้าต่างอย่างห้องผม



ผมจำกลิ่นนี้ได้ เพราะตอนเด็กๆ เคยไปค้างบ้านนั้น เสื้อผ้าทั้งหมดถูกนำไปซักรีดอย่างดี และใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มกลิ่นเดียวกับพวกเขา



“ได้กลิ่นป่ะพี่… อ๋อ! นั่นไง กลิ่นผ้าห่มพี่แฝดป๊ะ” ทามชี้ไปที่ผ้านวมสีน้ำตาลใต้เตียงผม สงสัยสองคนนั้นจะลืมไว้



“อืม” หลังจากนั้นทามก็เปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น ผมเหลือบมองผ้านวมผืนนั้น แล้วสลัดมันออกไปจากหัว ไว้ถึงวันไหว้บรรพบุรุษคราวหน้าค่อยคืนให้ก็ได้



พอทามออกไป ห้องก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง ผมเดินไปล็อกประตู เปิดตู้ค้นการ์ตูนมานอนอ่าน แต่กลับอ่านไม่รู้เรื่อง อ่านสลับช่องมั่วซั่วไปหมด เหมือนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เลยตัดสินใจเลิกอ่าน นอนมองเพดานเฉยๆ



นี่ไง … สิ่งที่ผมต้องการ… ความเป็นส่วนตัว… เป็นเอกเทศ … ไม่ต้องคอยดูแลใคร ไม่ต้องมานั่งเหนื่อยใจ ไม่ต้องทำอะไรเพื่อคนอื่น ไม่ต้องแสร้งยิ้ม ไม่ต้องแสร้งเป็นคนดี ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น



ผมหยิบหมอนขึ้นมาปิดหน้า ไม่อยากเห็นอะไรแล้ว ไม่อยากคิดอะไรทั้งนั้น แต่พอหยิบหมอนขึ้นมา ผมก็นึกถึงตอนที่ภูผา กับ ฟ้าครามนอนหนุนหมอนคนละสามใบ…..



….หึ ….แปลกคนชะมัด …. ผมอดที่จะยิ้มมุมปาก ส่ายหัวเบาๆ ไม่ได้



พอกลับมาลองคิดดูดีๆแล้ว ผมก็มีส่วนผิดเหมือนกันที่อาจจะเข้มงวดกับน้องมากเกินไป คนเราแต่ละคนมีลิมิตไม่เหมือนกัน ผมจะยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางไม่ได้ ในความคิดผม ผมอาจจะคิดว่ามันไม่หนัก แต่ผมอาจลืมนึกไป ว่าต้นทุนความรู้ ความอดทน ของคนเรามันมีมาไม่เท่ากัน



ส่วนเรื่องที่น้องเรื่องมาก นู่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่เอา ชอบเปิดแอร์สิ้นเปลือง ต้องกินน้ำเย็นจัดๆ ไม่ยอมอาบน้ำแท็งค์ ก่อนนอนต้องกินนมอุ่นๆ ชอบเลือกนอนที่นุ่มๆ ก็ไม่ใช่ความผิดน้องทั้งหมด มันเกิดจากความเคยชินที่ถูกเลี้ยงดูมาแบบนั้นตั้งแต่เด็กด้วย



แต่คนเรา อายุตั้งสิบแปดปีเข้าไปแล้ว ก็ต้องรู้จักหัดปรับตัวไม่ใช่หรือไง มันควรจะสำนึกบ้างว่ามาอยู่บ้านคนอื่นควรจะทำตัวแบบไหน ต่อให้เป็นญาติกันก็เถอะ แต่ก็ต้องมีความเกรงอกเกรงใจกันบ้าง มีที่ไหน ให้นอนพื้นก็บ่นๆ ๆ น้ำไม่เย็นก็ไม่กิน ให้ท่องสูตรก็ชักสีหน้า บ่นทุกอย่างเกี่ยวกับบ้านให้ผมฟังอย่างไม่ไว้หน้า ตั้งแต่เกิดมาผมก็เพิ่งเคยเจอแขกแบบนี้นี่แหละ



ขนาดคุณชายตระกูลใหญ่อย่างไอ้โซลไอ้แท็คเพื่อนผมมันยังนอนพื้นกันได้ อาบน้ำแท็งค์ได้ กินน้ำเปล่าไม่ใส่น้ำแข็งได้ และไม่ปริปากบ่นอะไรให้ผมหน้าเสียสักนิด แล้วพวกมันเป็นญาติ แถมยังมีศักดิ์เป็นน้องผมอีกต่างหาก ควรแล้วหรือที่จะติติงบ้านของคนที่มีสายเลือดเดียวกับตัวเอง บางทีผมก็อดรู้สึกหมั่นไส้พวกมันไม่ได้ที่ทำตัวคุณหนูกันซะเหลือเกิน อีกใจก็อายบ้านตัวเองที่แม้จะไม่ถึงกับซอมซ่อ แต่ก็เก่าซีดไปตามเวลา พวกมันไม่ควรทำให้เจ้าบ้านรู้สึกแบบนี้ ไม่ว่าจะเจตนาหรือไม่ก็ตาม



เรื่องเรียนก็เหมือนกัน ต้นทุนมาไม่เท่ากันแล้วยังไง ห้าวันนั้นผมก็กำลังปูพื้นฐานเพื่อให้ไม่ใช่หรอ แล้วเวลาก็เหลืออีกแค่ยี่สิบกว่าวัน จะให้มาค่อยๆ สอน เรียนไปพักไปได้ไง ที่ต้องเร่งสอนก็เพราะต้องการให้เก็บเนื้อหาทันสอบไม่ใช่หรอ ถ้ายี่สิบวันยังทนไม่ได้ ก็ไม่มีคุณสมบัติจะเรียนมหา’ ลัยแล้ว ดูซิ ทั้งๆ ที่หวังดีคอยจ้ำจี้จ้ำไช เหนื่อยแค่ไหนก็ฝืนทนยิ้มเหมือนเป็นเรื่องสบายๆ ยังจะมาทำตัวแบบนี้ใส่ผมอีก … กูนี่ทำดีกับคนไม่ขึ้นเลยจริงๆ ว่ะ



สมน้ำหน้า อยากหัวเราะให้ฟันร่วง สะใจ…สะใจชะมัด



แล้วผมก็ต้องมานั่งเสียใจ พ่อแม่จะต้องผิดหวังแน่ๆ ถ้าหากรู้ว่ามีลูกชายหน้าซื่อใจคดแบบผม ผมเกลียดตัวเองที่ชอบคิดอะไรชั่วๆ อย่างเช่น ชอบสมน้ำหน้าคนอื่น สะใจเมื่อเห็นคนอื่นเป็นทุกข์ มีความสุขเมื่อตัวเองเหนือกว่าคนอื่น อิจฉาเมื่อเห็นคนอื่นดีกว่าตัวเอง หรือแม้แต่ตอนที่อากงเป็นอัมพาตแวบหนึ่งผมก็เคยคิดอยากให้ท่านตายๆ ไปซะ เปลืองค่ารักษา เป็นภาระต้องมาคอยดูแลเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวป้อนข้าวป้อนน้ำ เพราะไม่มีเงินพอจะให้นอนโรงพยาบาลต่อเลยต้องรับกลับมาดูแลกันเองที่บ้าน จำได้ว่าตอนนั้นพ่อแม่เสียเงินค่ารักษาพยาบาลไปเยอะมากจนต้องไปถอนเงินจากธนาคารมาจ่ายค่ารักษา ท่านสองคนปรึกษากันเรื่องค่าใช้จ่ายอย่างเเสนเป็นทุกข์ ช่วงนั้นอาเเอ๋มทะเลาะกับสามีเลยยื่นมือมาช่วยเรื่องเงินไม่ได้เพราะสามีเป็นผู้ถือเงิน ผมสงสารพ่อเเม่จับใจ รู้สึกเหมือนอากงกำลังสูบชีวิตพ่อเเม่ผมมาต่อชีวิตตัวเอง



แล้วผมก็ต้องมานั่งเสียใจอีกที่รู้ว่าตัวเองคิดแบบนี้ อากงรักผมมาก ไม่ว่าผมจะอยากได้อะไรก็ไม่เคยขัด กุลีกุจอสรรหามาให้เสมอ สอนผมท่องสูตรคูณ มีพระคุณกับผมมากจนบรรยายไม่หมด เเต่ยามเมื่อท่านล้มป่วยผมกลับคิดเเบบนี้ ผมเสียใจ ผมเกลียดตัวเองที่เผลอไปคิดเเบบนั้น จนอยากจะตายไปซะให้รู้เเล้วรู้รอด ผมไม่ได้อยากคิดอย่างนั้น! แต่มันหยุดตัวเองไม่ได้จริงๆ ผมมักจะทรมานกับความขัดแย้งสับสนในตัวเองอยู่เสมอ ภายใต้รอยยิ้มของผม จะมีใครรู้บ้างว่าสีขาวและดำมันต่อสู้กันรุนแรงเพียงใด



แต่ไม่ใช่ว่าผมจะคิดแต่เรื่องชั่วๆ เสียทีเดียว ผมก็คิดเรื่องดีๆ เป็นเหมือนกัน ผมรักพ่อแม่ ผมรักน้องสาว เวลาผมจะทำอะไรผมก็จะนึกถึงพ่อแม่เสมอว่าหากผมทำสิ่งนี้ท่านจะดีใจมั้ย จะต้องไม่ทำสิ่งนั้นเพราะจะทำให้พวกท่านผิดหวัง ผมจะต้องเป็นลูกที่ดี เป็นพี่ชายที่ดี เป็นเพื่อนที่ดี เป็นผู้ชายที่อบอุ่น เป็นที่พึ่งให้กับทุกคนได้ เป็นลูกที่พ่อแม่สามารถเอาไปอวดใครต่อใครได้อย่างภาคภูมิใจ จะต้องเรียนให้เก่ง ต้องหางานดีๆ เงินเยอะๆ ทำให้ได้ จะต้องเลี้ยงพ่อแม่ให้สุขสบาย จะส่งน้องสาวเรียนให้สูงๆ



แล้วผมก็กดดันตัวเองไปโดยไม่รู้ตัว … รู้สึกตัวอีกที ตัวตนจริงๆ ของผมก็หายไปแล้ว



ผมไม่รู้ ว่าทีคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ คือ ' ที ' ที่เป็น ' ที ' จริงๆ หรือเปล่า



ผมเกลียดตัวเองที่เป็นคนดีได้แค่เพียงเปลือกนอก แต่อย่างน้อยผมก็ยังภูมิใจ ที่ไม่ปล่อยตัวเองให้ทำตามความคิดชั่วๆ เหล่านั้น



ผมหวังว่าสักวัน เวลาจะเปลี่ยนแปลง ‘ผม’ ให้เป็น ‘ผม’ ที่ดีขึ้นกว่า ‘ผม’ ในวันนี้



ผมอยากจะเป็นคนดี….ที่มีความสุข ….จากใจจริงๆ ….สักวันหนึ่ง









ผมนั่งมองอาแอ๋ม และคนใช้ช่วยกันปูที่นอนให้ภูผา กับ ฟ้าครามอยู่บนพื้น แล้วถามตัวเองเป็นครั้งที่สิบเจ็ดว่าผมทำถูกต้องแล้วใช่หรือเปล่า



ทำถูกแล้วใช่มั้ย ที่แหกกฎของตัวเอง … ให้โอกาสคนอื่น…..เป็นครั้งที่สาม












ออฟไลน์ candleguard

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 75
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-1
Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P )
«ตอบ #5 เมื่อ17-02-2018 20:25:22 »

                                                       ตอนที่ 6 เปิดใจให้กันสักหน่อยไหม




ไม่มีคำขอโทษใดๆ หลุดออกมาจากปากสองคนนั้น ผมนอนอ่านทบทวนเนื้อหาม.ปลายเงียบๆ อยู่บนเตียง อาแอ๋มและสาวใช้กำลังช่วยกันทำความสะอาดห้อง จัดที่หลับที่นอนให้ภูผา ฟ้าคราม



ผมรู้ว่าสองคนนั้นคงทำตัวไม่ถูก บอกตามตรงผมเองก็เช่นกัน ไม่คิดว่าห่างกันไปแค่สามสัปดาห์ การเจอหน้ากันจะทำให้ผมรู้สึกประดักประเดิดถึงเพียงนี้ แต่อย่างน้อยผมก็รู้สึกดีเมื่อไม่เห็นท่าทางเศร้าสร้อยเหมือนคนหมดอาลัยตายอยาก ไม่ยอมกินข้าวกินปลา ตามที่อาแอ๋มเล่าให้ฟัง ใบหน้าขาวสะอาด รับกับคิ้วสีดำเข้มและดวงตาคมๆ นั้นฉายประกายแห่งความหวัง ความโล่งใจ ความขัดเขิน ความรู้สึกต่างๆ มากมายอัดแน่นกันอยู่ในดวงตาสองคู่นั้นที่แอบเหลือบมองมาที่ผมเป็นระยะๆ



วันนี้อาแอ๋มท่าทางจะมีธุระต้องไปทำต่อ แต่ถึงกระนั้นก่อนจะไปเธอก็สั่งเสียเจ้าสองคนนั้นอยู่นานมาก ปิดท้ายด้วยการหันมากล่าวขอบคุณผมแล้วขอบคุณผมอีก ที่เข้าไปเช็คข่าวในเว็บของ wc จนรู้ว่ามีการเปิดรับรอบสอง เนื่องจากมีคนสละสิทธิ์ออกไปเยอะ นี่ถ้าผมไม่เข้าไปเช็กให้ สองคนนี้รวมถึงอาแอ๋มก็คงจะนั่งเศร้ากันอีกนาน ก็เข้าใจนะว่าคนผิดหวังคงไม่มีกะจิตกะใจจะมานั่งเช็กข่าวสารอะไรหรอก และที่สำคัญข่าวการรับตรงรอบสองนี้ก็ไม่ได้ประกาศออกไปภายนอก หากอยากรู้ก็ต้องเข้ามาติดตามในหน้าเว็บของมหา’ ลัยเอาเอง



พออาแอ๋มกลับไปแล้ว ห้องก็เงียบลงไปถนัดตา ผมนอนอ่านหนังสืออยู่บนเตียง ส่วนภูผา และ ฟ้าคราม ยืนเก้ๆ กังๆ อย่างไม่รู้จะทำตัวอย่างไรอยู่กลางห้อง



ที่จริงผมไม่ได้อ่านหนังสือหรอก ผมแค่กำลังเตรียมตัวเตรียมใจต่างหาก …



ปับบบ



ผมปิดหนังสือ ลุกจากเตียงลงมานั่งบนพื้น วางหนังสือติวสอบและอุปกรณ์เครื่องเขียนอันประกอบด้วยปากกาแดง ดินสอไม้ ยางลบ และ กบเหลาลงบนโต๊ะญี่ปุ่น



“นั่งลงสิ …” ผมเงยหน้ามองสองคนนั้นนิ่งๆ รู้สึกไม่มีอารมณ์จะยิ้ม แต่พอเห็นสองคนนั้นทำหน้าตาเหมือนลำบากใจอยู่ คาดว่าคงจะเป็นเพราะหน้านิ่งๆ ของผม ผมไม่ได้โกรธอะไรแล้ว ก็แค่ไม่อยากยิ้ม แต่เอาเถอะ ถ้ามันจะทำให้สองคนนี้สบายใจขึ้น ผมก็จะยิ้ม…



“… พี่ …จะไม่ซ้ำเติมพวกผมหน่อยหรือไง” ภูผาพูดขึ้นอย่างแปลกใจ ตอนแรกสองแฝดคิดว่าพอแม่กลับไปแล้ว พี่ทีก็คงจะพูดกระแนะกระแหนสมน้ำหน้าพวกเขา ประมาณว่า ‘เป็นยังไงล่ะ บอกแล้วก็ไม่เชื่อ แล้วดูซิ สอบติดมั้ยล่ะ?’ ไม่ก็ ‘ทำตัวเองทั้งนั้น สมน้ำหน้าว่ะ แล้วเป็นไง สอบไม่ติด น่าสมเพช’ เดิมทีภูผาและฟ้าครามไม่คาดหวังเลยว่าจะได้รับโอกาสครั้งใหม่แบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรับตรงรอบสอง หรือ เรื่องที่พี่ทีให้โอกาสมาเรียนด้วยอีกครั้ง



อุตส่าห์ทำใจได้แล้วเชียว ว่าคงต้องไปเรียนบริหาร ไม่ก็ไปเรียนเทคนิคแล้ว เพราะลำพังคะแนนแกทแพทอุบาทว์ๆ ของพวกเขาไม่มีทางจะแอดติดมหา’ ลัยรัฐได้แน่ๆ แต่พี่ทีก็จุดความหวังให้กับพวกเขาอีกครั้ง ทั้งๆ ที่ครั้งล่าสุดจากกันอย่างไม่น่าประทับใจเท่าไหร่นัก พวกเขาไม่รู้ว่าพี่ทีคิดอะไรอยู่ อยากจะช่วย หรืออยากจะเรียกพวกเขามาสมน้ำหน้ากันแน่ แต่ทั้งคู่ก็ได้แต่คิดไปในทางร้ายไว้ก่อน ด้วยไม่เห็นว่าจะมีทางใดเลยที่พี่ทีที่โกรธขนาดนั้นจะหายโกรธพวกเขาได้ง่ายๆ



แต่ทำไม ไม่มีคำต่อว่าซ้ำเติมให้ได้เจ็บช้ำสักคำหลุดออกมาจากปากคนตรงหน้า ทั้งๆ ที่หากจะทำก็ทำได้ และ ตอนนี้พวกเขาก็อยู่ในสถานะที่คงได้แต่ก้มหน้ายอมรับคำเย้ยหยาม โดยไม่สามารถแก้ตัวหรืองัดอะไรมาแย้งได้เลย ทั้งๆ ที่พี่ทีทำได้ … แต่พี่ทีก็ไม่ทำ … เขายิ้ม … ให้พวกผม….



“พี่จะไปซ้ำเติมเราอีกทำไม แค่นี้เราก็เสียใจกันพอแล้วไม่ใช่หรอ” ผมยิ้มอย่างที่คิดว่าน่าจะอ่อนโยนที่สุดเพื่อปลอบโยนทั้งสองคน



ภูผา และ ฟ้าครามทำหน้าเหมือนคนจะร้องไห้ พวกเขาทรุดตัวลงนั่ง ประนมมือไหว้ลงบนอกผมคนละข้าง เหมือนวันแรกที่มาขอฝากเนื้อฝากตัวกับผมไม่มีผิด แต่วันนี้มันต่างกันออกไป เพราะ ทั้งสองคนกำลังไหว้เพื่อขอโทษในสิ่งที่ได้ทำผิดเอาไว้ จรดมือและศีรษะแนบลงบนอก ที่ซึ่งมีหัวใจเต้นอยู่ในนั้น … ราวกับอยากส่งคำขอโทษไปให้ถึงใจของผม



“ พี่ครับ …. พวกเราขอโทษ ”



“อืม ... อโหสิให้ ไม่มีอะไรติดค้างต่อกัน” ผมลูบหัวทั้งสองคนเบาๆ นึกดีใจที่ตัวเองเลือกทำแบบนี้ … เลือกทำ…ในสิ่งที่ถูกต้อง









กำหนดการติวครั้งนี้คือ 29 วัน ก่อนที่จะถึงการรับตรงรอบสอง เรียกได้ว่าตอนนี้ต้องเค้นแรงเฮือกสุดท้ายมาติวกันแล้ว แถมคราวนี้การสอบไม่ง่ายเลย เพราะไม่ได้สอบกันแค่สามวิชาเหมือนคราวที่แล้ว แต่สอบทั้งหมด 5 วิชา คือ ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ คณิต อังกฤษ



ตอนที่ผมบอกว่าสอบทั้งหมดห้าวิชา ทั้งสองคนก็แทบจะเป็นลมกันเลยทีเดียว ผมก็ได้แต่ปลอบใจว่าไม่เป็นไรหรอก คนเก่งๆ คงติดรอบแรกไปกันหมดแล้ว รอบสองคงไม่น่ายาก แค่เพิ่มจำนวนวิชามาตัดกำลังใจกันเฉยๆ แต่ก็ต้องไม่ประมาท มีเท่าไหร่ ต้องทุ่มให้สุดตัว ไม่มีเวลามาท้อ เพราะเป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว !



“พี่ที ว่าแต่รอบนี้เค้ารับกี่คนอ่ะ” ฟ้าครามเงยหน้าจากโจทย์ขึ้นมาถาม พอผมยกโทษให้ สองคนนี้ก็ทำตัวปกติเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นเลยได้อย่างรวดเร็ว ผมชะงักไป



“อืม ไม่มั่นใจว่ะ รอบแรกรับห้าสิบคนใช่ป่ะ รอบสองก็น่าจะประมาณนั้นแหละ พี่จำไม่ได้แล้ว”



“เหรอ อืมๆ ”







สองสามวันมานี้ภูผา ฟ้าครามทำตัวสงบเสงี่ยมขึ้นกว่าเมื่อครั้งก่อนเล็กน้อย เวลาให้ทำอะไรก็ไม่ปริปากบ่น ได้แต่ก้มหน้าทำๆ ไปให้จบ ผมเพิ่งรู้เคล็ดลับอีกอย่างจากอาแอ๋ม สองคนนี้มันชอบให้คนชม = = มีอะไรให้ชมมันไว้ก่อน รับรองมันยิ้มหน้าบาน ยอมทำทุกอย่างที่สั่งแน่ๆ



“พี่ที ข้อสามตอบ 1” ภูผาเงยหน้าจากกระดาษทดขึ้นมาตอบ



“ถูก! เก่งนี่นาไอ่ภู” ภูผายิ้มกว้าง หันไปด่าแฝดตัวเองที่ยังทำไม่เสร็จ



“มึงนี่โง่ว่ะคราม ฮ่าๆ ๆ ” ภูผาชะโงกหน้าไปใกล้ๆ ฟ้าคราม มองดูกระดาษทดของแฝดตน



“หุบปากเว้ย … พี่ที ตอบ 1” ฟ้าครามดันหน้าภูผาออกไป มืออีกข้างก็คิดเลขยิกๆ ก่อนจะเงยหน้าตอบบ้าง



“ถูก … เก่งนี่ ข้อนี้ค่อนข้างยากเลยนะ” ยออีกสักหน่อย แล้วก็เป็นไปตามที่คาด ทั้งสองคนดูท่าทางภูมิอกภูมิใจกันมาก



ภูผา และ ฟ้าครามสลับกันตอบก่อนบ้าง ตอบหลังบ้าง คนทำเสร็จก่อนก็จะหันไปเยาะอีกคน ตอนแรกผมอดกลัวเดี๋ยวเยาะกันไปเย้ยกันมาจะทะเลาะกันเข้าจริงๆ แต่ก็เปล่า สองคนนี้ด่ากันไปด่ากันมาเป็นนิสัยอยู่แล้ว ไม่มีใครถือสากัน ตั้งแต่เกิดมาผมก็เพิ่งเคยเจอฝาแฝดที่ตัวติดกันสุดๆ แถมบุคลิกก็คล้ายกันมากขนาดนี้ แม้อายุจะปาเข้าไปสิบแปดย่างสิบเก้าปี แต่สองคนนี้ก็ไม่ยอมแยกจากกันสักที



… น่ารักดี … ชั่ววูบหนึ่งผมคิดแบบนั้น









เข้าสู่วันที่สี่ของการติว ไม่รู้ผมคิดไปเองหรือเปล่า ทำไมบรรยากาศมันอึมครึมจังวะ

ผม : รบกวน , ตามรังควาน

ภูผา : annoy , harass

ผม : การใช้เครื่องจักร

ภูผา : automation

ผม : น่าหัวเราะเยาะ

ภูผา : ridiculous , ab ….ab…

ผม : แอ๊บอะไร

ภูผา : แป๊บนึง นึกไม่ออก

ฟ้าคราม : (นอนท่องศัพท์อยู่บนเตียง หันมามอง)

ภูผา : ab …. (เหล่มองฟ้าคราม)

ฟ้าคราม : เวลาถามข้อมูลจากอากู๋มึงเรียกว่าอะไรล่ะ …อะไรกับข้อมูล

ผม : ฟ้า – คราม .. อย่าช่วย

ภูผา : เสิร์ช! absurd

ผม : (หงุดหงิดนิดๆ) สะกด

ภูผา : a-b-s-u-r-d

ผม : คัดห้าครั้ง … เดี๋ยวอย่าเพิ่ง ไว้รอคัดพร้อมคำอื่นทีเดียว ติ๊กไว้ก่อน …ต่อไป เปรียบเทียบสิ่งเหมือน

ภูผา : compare , …

ผม : มีอีกคำ

ภูผา : (มองฟ้าคราม แต่ฟ้าครามไม่มองตอบ เลยหันมามองหน้าผม แล้วส่ายหน้า)

ผม : ติ๊ก (ขีดเครื่องหมายลงบนศัพท์คำนั้นในชีต)

ผม : เปรียบเทียบสิ่งต่าง

ภูผา : contrast , differention …. differential …เอ่อ …

ผม : ไม่ใช่ (ส่ายหน้า)

ฟ้าคราม : โรคร้ายแรงอ่ะ โรคอะไร

ภูผา : อีโบล่า?

ผม : (นิ่ง เออ ดูซิมันจะใบ้ยังไงต่อ)

ฟ้าคราม : โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สิวะ

ภูผา : เอดส์! differentiate

ผม : (ถอนหายใจ รู้สึกหงุดหงิด ทำไมกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกแล้ววะ) การหยุด

ภูผา : stop

ผม : อีกคำ?

ภูผา : (ขมวดคิ้ว พยายามนึกให้ออก)

ฟ้าคราม : เซสอะไรภู

ผม : (เหนื่อยใจ จะทำยังไงกับพวกมันดี นี่มันไม่ได้เรียนรู้จากความผิดพลาดในอดีตเลยใช่มั้ย)

ภูผา : (ส่ายหน้า) ข้าม

ผม : cessation c-e-s-s-a-t-i-o-n ติ๊ก คัดนะ

ภูผา : (พยักหน้าส่งๆ)



ผมถามศัพท์ภูผาอีกหลายคำ มีทั้งคำใหม่ที่เพิ่งให้ท่อง และคำเก่าๆ ที่เคยท่องไปเมื่อครั้งที่แล้ว แต่ไม่รู้วันนี้ภูผาเป็นอะไร ถามก็ตอบไม่ค่อยได้ ทั้งๆ ที่ผมก็ให้เวลาทบทวนก่อนตั้งครึ่งชั่วโมง ทั้งๆ ที่ปกติภูผาความจำดีกว่าฟ้าคราม แต่วันนี้ขนาดถามคำเก่าๆ ที่เคยท่องได้ ภูผายังนึกไม่ออก ไม่ก็ตอบผิดเลย ผมถึงขนาดยอมให้ฟ้าครามช่วยใบ้ รวมถึงตัวผมเองก็ยอมใบ้ให้ด้วย ภูผาก็ยังท่องไม่ได้



ไม่รู้วันนี้ภูผาเป็นอะไร ไม่ค่อยจะยิ้ม ถึงจะไม่ได้ทำหน้าบึ้ง แต่ก็ดูขรึมลงจนจับสังเกตได้



ผม : (มองดูชีตที่มีรอยติ๊กเกือบเต็มหน้า) ภูผา เอากลับไปท่องใหม่ก่อนละกัน พี่ไม่อยากให้เราคัดเยอะ



ภูผา : ถามมาเหอะ คัดก็คัด



แล้วภูผาก็ได้กลับไปคัดศัพท์เกือบห้าสิบคำ คำละห้าจบ มันรับชีตคืนกลับไปนิ่งๆ เดินไปนั่งที่โต๊ะคอม หยิบหูฟังขึ้นมาใส่ ตกอยู่ในโลกส่วนตัวของตัวเอง



ทำไมภูผาเป็นแบบนี้ นี่ผมทำอะไรผิดไปรึเปล่า หรือว่าผมสอนหนักเกินไป แต่ผมก็บอกน้องไปแล้วนี่ว่าถ้าไม่ไหวให้บอกได้เลยไม่ต้องเกรงใจ แล้วทำไมวันนี้ภูผาถึงทำหน้าตึงๆ เหมือนไม่เต็มใจท่องศัพท์กับผม มันเกิดอะไรขึ้นอีกละเนี่ย



เป็นอีกครั้งที่ผมรู้สึกอึดอัดคับข้องในใจ นี่ตกลงกูผิดใช่มั้ยที่เรียกมึงกลับมาติวเนี่ย เพิ่งจะยกโทษให้ไม่กี่วัน เอาสันดานเดิมกลับมาใช้อีกแล้วนะ!



ผมนึกเสียใจ … ผมไม่แน่แหกกฎตัวเองเลย ไม่น่าหาเรื่องให้ตัวเองต้องมาหงุดหงิด มานั่งเสียใจกับสิ่งที่ตัวเองตัดสินใจทำลงไปเลย



ผม : มา…ฟ้าครามบ้าง



ฟ้าคราม : คร้าบบบบบ พร้อมแล้ว



ฟ้าครามยิ้มแย้มแจ่มใส ตอบศัพท์ได้ฉะฉานแทบทุกคำ ผมคอยเหลือบมองภูผาเป็นระยะๆ ฟ้าครามเหมือนจะรู้แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา



ฟ้าครามใช้เวลาท่องนานกว่าภูผา แต่ก็ผิดน้อยกว่ามาก จนแทบไม่ต้องคัด มีบ้างบางคำที่หลงลืมไป แต่ก็ไม่มาก ผมปล่อยให้สองคนนี้นั่งคัดไปเรื่อยๆ มือก็หยิบหนังสือเล่มอื่นๆ มาเปิดดูคร่าวๆ



ภูผาลุกขึ้น ดึงหูฟังออก



“ภูไปเข้าห้องน้ำนะ”



พอภูผาออกจากห้องไป ผมก็สบโอกาสหันไปถามฟ้าครามที่นั่งฟังเพลงไป คัดศัพท์ไปทันที



“ฟ้าคราม วันนี้ทำไมภูผามันทำท่าบึ้งๆ แปลกๆ วะ” ฟ้าครามเงยหน้าขึ้นมาตอบผมยิ้มๆ



“ไม่รู้ดิ มันคงเหนื่อยมั้งพี่ ช่างมันเถอะ อย่าไปสนใจเลย …ว่าแต่ ขอเปิดแอร์ได้ป่ะพี่ วันนี้มันร้อนจริงๆ เลยอ่ะ” ผมพยักหน้าให้ เอาเหอะ เปิดแป๊บเดียว เอาให้ห้องเย็นแล้วค่อยปิดก็ได้



ภูผาเดินเข้ามาในห้อง ตรงไปนั่งที่เดิม หยิบหูฟังขึ้นมาใส่อีกครั้ง ผมกับฟ้าครามหยุดพูดกันไปโดยปริยาย



“เดี๋ยวพี่มานะ คอแห้ง จะไปหาน้ำกิน”



พอผมกลับขึ้นมาอีกครั้ง ภูผาก็หมุนเก้าอี้หันมายิ้มให้ผม ฟ้าครามเงยหน้าจากโต๊ะญี่ปุ่น



“ไอ้ภูมันบอกว่าพอได้ฟังเพลงแล้ว มันอารมณ์ดีขึ้นเยอะเลย” ฟ้าครามว่า ไม่รู้ว่าระหว่างที่ผมลงไปเอาน้ำ ฟ้าครามได้ไปพูดอะไรกับภูผาหรือเปล่า แต่เอาเถอะ ภูผากลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ก็ดีแล้ว



“อ่ะ น้ำ”



“ไม่เย็นแน่เลย”



“เรื่องมากว่ะ กินดู” ผมพูดยิ้มๆ ทั้งสองคนรับแก้วไปดื่ม



“เย็นสะใจมั้ย” ผมถาม สองคนน้ำพยักหน้าหงึกหงัก ทำหน้าตาชื่นอกชื่นใจสุดๆ



“ฮ๊าาาาาา เย็นจริงๆ ด้วย สดชื่นนนน” พอเห็นน้องสองคนทำหน้าแบบนั้น ผมก็รู้สึกดีใจ ไม่เสียแรงที่อุตส่าห์ข้ามไปซื้อน้ำแข็งยูนิตที่เซเว่นมา



บรรยากาศในห้องดูเหมือนจะดีขึ้นกว่าเดิมมากจนน่าแปลกใจ ตอนนี้ในห้องเปิดแอร์เย็นฉ่ำ และ เปิดเพลงเกาหลีวงผู้หญิงชื่ออะไรสักอย่างคลอไปด้วย บรรยากาศในห้องดูผ่อนคลาย ภูผาและฟ้าครามโยกหัวตามเพลง มือก็คัดไปด้วย ส่วนผมลุกขึ้นมานั่งจัดหนังสือหนังหาที่อาแอ๋มขนซื้อมาให้สองแฝด เอามาเปิดดูว่าจะเลือกเล่มไหน จะเริ่มจากตรงไหนก่อนดี วางแผนว่าวันนี้จะติวถึงแค่ไหนในใจ อะไรประมาณนี้



“อาแอ๋มซื้อหนังสือติวสอบมาเยอะจังเลยเนอะ” ผมเปรย หยิบแต่ละเล่มมาพลิกดูอย่างรอบคอบ หนังสือพวกนี้ทั้งใหม่ ทั้งแพง มีทั้งที่ซื้อมาปกละสองเล่ม และปกละเล่มเดียว เธอคงกลัวว่าซื้อมาแล้วลูกจะไม่ทำเลยไม่ได้ซื้อมาอย่างละสองเล่มหมด หนังสือเหล่านี้ เท่าที่ดูแล้วมีทั้งคุณภาพดีและไม่ดี บางเล่มมีแต่เฉลยหยาบ ไม่มีเฉลยละเอียด บางเล่มก็เฉลยผิด ผมเข้าใจดี อาแอ๋มคงเลือกไม่เป็น



อาแอ๋มไม่ได้เรียนสูง เพราะ อากงอาม่าผมเป็นคนหัวโบราณ พวกท่านเห็นว่าผู้หญิงไม่จำเป็นต้องเรียนสูง เปลืองเงินเปล่าๆ สู้อยู่บ้าน หัดงานบ้านงานเรือนดีกว่า อีกหน่อยก็ต้องแต่งออกไปอยู่ดี



“ฝาแฝด พวกเรารู้มั้ย ว่าแม่เราน่ะ รักพวกเรามากเลยนะ” ผมกำลังพูดถึงอาแอ๋มอยู่นะ ไม่ใช่แม่ผม



ผมลูบปกหนังสือแล้วยิ้มบางๆ สัมผัสได้ถึงความพยายามของผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ทำทุกอย่างได้เพื่อลูกของเธอ ถึงปากจะบ่นว่าเอือมระอา แต่การกระทำกลับตรงกันข้าม เธอทำเพื่อสองคนนี้จนถึงกับต้องพยายามโทรมาขอร้องผมหลายต่อหลายครั้งกว่าผมจะใจอ่อน พยายามเลือกหนังสือให้ลูกตัวเองที่ไม่เคยสนใจจะหยิบขึ้นมาอ่าน ที่หลับที่นอน ขนมนมเนย ทุกสิ่งทุกอย่างก็เตรียมให้หมด ไม่มีขาดตกบกพร่อง แถมเธอยังลงมือช่วยคนใช้ถูพื้นห้องผม เพื่อให้ลูกของเธอได้อยู่ได้นอนในห้องสะอาดๆ



“เอาจริงๆ ป๊ะ ที่จริงแล้วพี่ไม่ได้อยากติวให้พวกนายเลยว่ะ ” ผมหันกลับไปบอกสองคนนั้นด้วยรอยยิ้ม



สองแฝดหันมามองหน้าผมแบบเหวอๆ



ผมตัดสินใจเเล้วที่จะหงายไพ่ของตัวเองขึ้น ให้คนอื่นได้รู้สิ่งที่ผมกำลังคิดอยู่ บางทีมันอาจจะทำให้ผมคลายความอึดอัดในใจลงไปได้บ้าง

ออฟไลน์ candleguard

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 75
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-1
Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P )
«ตอบ #6 เมื่อ17-02-2018 20:26:40 »

                                                                 ตอนที่ 7 แบไพ่ในมือคุณ




“เอาจริงๆ ป๊ะ ที่จริงแล้วพี่ไม่ได้อยากติวให้พวกนายเลยว่ะ” ผมหันกลับไปบอกสองคนนั้นด้วยรอยยิ้ม



สองแฝดหันมามองหน้าผมอย่างเหวอๆ



ผมกลับมาทรุดตัวลงนั่งบนพื้นตรงโต๊ะญี่ปุ่นที่ฟ้าครามนั่งอยู่ ภูผาลุกจากเก้าอี้ที่โต๊ะทำงานมาหาผม ยื่นกระดาษที่คัดศัพท์ให้ แล้วนั่งลงใกล้ๆ กัน



“พูดตรงๆ นะ พี่อ่ะเข้าใจเราโคตรๆ เลยแหละ พี่รู้ว่าไม่มีใครชอบอ่านหนังสือเรียนหรอก แม่งน่าเบื่อ เป็นพี่พี่ก็ขี้เกียจ ไม่อยากอ่านแล้ว สอบอะไรนักหนาใช่ป่ะวะสมัยนี้ สอบตรง สอบวิชาสามัญ สอบโอเน็ต แกทแพท เยอะแยะไปหมด … พี่เข้าใจเว่ย เพราะพี่ก็เคยเป็นมาก่อน” น้องตั้งใจฟังที่ผมพูดตาปริบๆ ผมไม่รู้ว่าน้องจะรู้สึกอย่างไร แต่ในเมื่อพูดออกไปแล้วผมก็จะพูดให้มันจบ



“ขนาดพี่เองยังขี้เกียจสอนเลย พี่น่ะนะอุตส่าห์วางแผนซะดิบดี ว่าเออ กลับมาจากค่ายนะ จะนอนให้ฉ่ำปอดไปเลย จะอ่านการ์ตูนที่ซื้อมาดองไว้ให้จบ แต่อาแอ๋มก็โทรมาขอให้ติวให้ภูกับครามซะก่อน ตอนแรกพี่กะจะหาทางปฏิเสธ แต่รู้มั้ย ที่พี่ยอมมาสอนเราน่ะ เป็นเพราะเห็นแก่ความพยายามในการตื๊อของอาแอ๋มนะ” ผมเล่าความจริงทั้งหมดให้ฟัง



“เอ้า! จริงเหรอ พวกเราก็เหมือนกัน แม่น่ะบังคับให้มาติวกับพี่ พอไม่มาก็ทำหน้าเศร้าบ้างล่ะ ด่าบ้างล่ะ พวกเราทนไม่ไหวก็เลยต้องตามใจแม่ … ก็เสียใจอยู่หรอกนะที่สอบรอบแรกไม่ติด ก็ รู้ว่าทำตัวเอง ทำใจอยู่ตั้งนานแน่ะ เนอะ ไอ้ภู” ฟ้าครามหันไปหาแนวร่วม



“ใช่ๆ พอทำใจได้ว่าจะเข้าบริหารแล้วช่ะ พวกเราก็รู้สึกโคตรชิลอ่ะ นอนอ่านการ์ตูน เล่นคอม โคตรมีความสุข แต่อยู่ดีๆ แม่ก็มาบอกให้มาติวสอบรอบสองอีก คือ…มันรู้สึกหลายอารมณ์มากอ่ะ ทั้งงง ทั้งอึ้ง จะว่าดีใจก็ไม่ใช่ เสียใจก็ไม่เชิง …คืออุตส่าห์ตัดใจได้แล้วอ่ะพี่ เข้าใจป๊ะ แล้วพี่ก็มาให้ความหวังอีก เราก็เลยมีความหวัง แต่พอคิดว่าจะต้องอ่านหนังสืออีกครั้ง ผมก็ถอดใจแล้ว ใจมันก็คิดว่าถ้าอ่านอีกแล้วรอบนี้ยังไม่ติดอีกผมก็เหนื่อยฟรีน่ะสิ มันเหนื่อยจริงๆ นะเว่ยพี่ พี่เข้าใจฟีลพวกผมใช่ป๊ะ?”



“เออ เข้าใจ … เพราะงั้น คราวนี้ถ้าพวกนายไม่ไหว พี่สอนหนักไป เหนื่อย อยากพัก ก็บอกได้ ไม่ว่ากัน โอเคป่าว ทำไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก ไม่ต้องเครียด เหลือเวลาอีก 25 วัน เอาให้เต็มที่ หลังจากนี้ก็หยุดยาวหลายเดือนแล้ว จะนอนอ่านการ์ตูน เล่นคอมยันตีหนึ่งก็จัดไปเลย เดี๋ยวบอกอาแอ๋มให้ ไม่ต้องห้าม”



“ภูอยากสอบมันพรุ่งนี้เลยว่ะพี่ บ่องตรง”



“ความรู้พร้อมไปประชันกับชาวบ้านเขารึยังเหอะ” ผมใช้นิ้วชี้ดันศีรษะภูผา ทำหน้าสบประมาทมันขำๆ



“ก็นี่ไง ถึงต้องมาให้พี่ติวให้ …. เอาวะ 25 วันเอง กระพริบตาก็ถึงแล้ว”



“เออ! ลูกผู้ชายมันต้องใจเด็ดแบบนี้สิวะ” ผมตบหลังทั้งสองคน



“พี่ที ที่คอห้อยไรอ่ะ” ภูผาเหลือบไปเห็นสร้อยของผมที่หลุดออกมาจากคอเสื้อยืด มันถือวิสาสะหยิบขึ้นมาดู ฟ้าครามยื่นหน้าเข้ามาใกล้อีกคน เพราะอยากจะดูด้วย กลายเป็นว่าตอนนี้เราสามคนหน้าแทบจะติดกันอยู่แล้ว



“อ๋อ ผ้ายันต์ของซักป๋อเซียนอ่ะ แม่พี่เอามาบังคับให้ใส่ เห็นว่าได้มาตอนไปช่วยล้างป่าช้า พ่อพี่บอกว่าภูตผีปีศาจกลัวเซียนองค์นี้สุดๆ ” ได้ทีก็อวดของวิเศษซะหน่อย



“นี่ๆ ๆ ภูกับครามก็มีของวิเศษเหมือนกัน ยันต์เกราะเพชร กับ หลวงพ่อโต แม่บอกว่าปีนี้ปีชงของพวกเรา ต้องใส่ยันต์เกราะเพชรคุ้มภัยรอบทิศ กับ เจ้าแม่กวนอิม เพราะแม่บอกว่า ก่อนจะท้องพวกเรา ท่านไปขอกับเจ้าแม่” ภูผาพูด … อ๋อ มิน่าล่ะ พวกมึงถึงซนเป็นลิง ไม่รู้ว่าท่านส่งนาจา หรือ ซุนหงอคงมาให้อาแอ๋ม มันสองคนถึงฤทธิ์เดชเหลือร้ายขนาดนี้ =_=



“ส่วนพี่เฟิร์สแม่บังคับให้ห้อยพระเจ้าเสือเพราะเกิดปีกุน ของพ่อให้ห้อยพระสีวลี กับ พระสังกัจจายน์ จะได้ทำมาค้าขายรุ่งๆ คือทุกอย่างแม่พวกเราจัดการหมดอ่ะ ขนาดเสื้อผ้าภูกับครามยังไม่เคยซื้อเองเลย แม่ซื้อให้ตลอด แล้วก็ชอบซื้อมาเหมือนๆ กัน คือบางทีเราก็อยากมีสไตล์การแต่งตัวเป็นของตัวเองบ้าง” ฟ้าครามพูด



หลังจากนั้นเราก็นั่งคุยกันอีกหลายเรื่อง ผลัดกันเล่า ผลัดกันฟัง ช่วยกันผสมโรงบ้าง บางเรื่องก็ฮาจนทนไม่ไหว พวกผมหัวเราะกันจนปวดท้องเรื่องวันเกิดสองแฝดเมื่อปีที่แล้ว อาแอ๋มจองห้องส่วนตัวในภัตตาคารเจ้าประจำไม่ทัน เลยต้องนั่งกินกันด้านนอก พอพนักงานยกเค้กเข้ามาให้ มันสองคนก็ช่วยกันร้องเพลงเบาๆ แต่พ่อกับแม่มันดันร้องเพลงแฮ๊ปปี้เบิร์ดเดย์กันดังลั่นร้าน มันสองคนอายจนแทบมุดหน้าลงหม้อสุกี้ อุตส่าห์กระซิบให้พ่อแม่ร้องเบาๆ หน่อย อายโต๊ะอื่นเค้า แต่พี่เฟิร์สพี่ชายคนโตที่ตามมาทีหลังจนทันร้องรอบสองกลับปรบมือร้องเพลงดังลั่นกว่าพ่อกับแม่ซะอีก วันนั้นพวกมันสองคนอายจนแทบกินข้าวไม่ลง





ผมเองก็เล่าเรื่องตอนม.ปลายไปกินข้าวที่ร้านอาหารเพื่อสุขภาพกับไอ้ทาม กินเสร็จก็ลุกไปเข้าห้องน้ำพร้อมกัน ทีนี้ผมทำธุระเสร็จก่อนเลยกลับมาก่อน ร้านนี้มีลักษณะเหมือนเป็นบ้านสวนเล็กๆ มีโต๊ะเก้าอี้เหล็กดัดอยู่ไม่กี่ชุด พอผมเดินออกมาปุ๊บ ไม่เห็นไอ้ทามเลยนั่งรอที่โต๊ะเดิม หยิบน้ำขึ้นมาดื่มรอ แต่พอไอ้ทามเดินกลับมามันก็ทำหน้าตกใจ บอกผมว่า ผมนั่งผิดโต๊ะ….ผมมองโต๊ะที่ถัดออกไปอีกหน่อย… เออว่ะ…กูนั่งผิดโต๊ะ… แล้วน้ำในแก้วที่เหลือนี่ กูแดกของใครไป? อ้วกกก!!



เผลอแป๊บเดียวเราก็คุยไปเกือบจะชั่วโมงครึ่งแน่ะ นานแล้วนะที่ผมไม่ได้หัวเราะมากขนาดนี้หลังจากกลับมาจากค่าย



ผมรู้สึกว่าคิดไม่ผิดเลยจริงๆ ที่เปิดใจคุยกับน้อง รู้สึกยังไง ก็บอกไปยังงั้น แค่ไม่พูดให้มันแรงเกินจนดูหักหาญน้ำใจกัน มันก็โอเคนะที่จะเปิดเผยความในใจด้านไม่ดีของเราออกไปให้คนอื่นรู้บ้าง



วันนี้เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่ผมรู้สึกได้ว่าน้องเชื่อฟังและยอมรับผมอย่างเต็มหัวใจ ผมเองก็รู้สึกชอบ และคุยถูกคอกับพวกมันมากๆ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าผมกับพวกมันจะมีเรื่องให้คุยกันได้มากมายขนาดนี้ รู้งี้ตอนติวกันครั้งแรกผมยอมสละเวลาสักสองสามชั่วโมงนั่งเม้าธ์กับพวกมันเพื่อสร้างความสนิทสนมก่อนก็ดีหรอก



ผมอดนึกถึงหนังสือจิตวิทยาเล่มหนึ่งที่เคยอ่านไม่ได้ หนังสือเล่มนั้นกล่าวถึงเรื่องการพัฒนาความสัมพันธ์กับผู้อื่น … มีเนื้อหาตอนหนึ่งกล่าวถึงเรื่อง ‘ความรู้สึกเป็นพวกเดียวกัน’ หากเราทำให้คนอื่นเกิดความรู้สึกที่ว่าเราเป็นพวกเดียวกับเขาได้ เขาก็จะยอมรับ และฟังเรา

โดยวิธีการทำให้คนอื่นเกิดความรู้สึกว่าเราเป็นพวกเดียวกันกับเขานั้นมีมากมายหลากหลายวิธี วิธีที่ง่ายที่สุดคือการแสดงออกว่ารู้สึก ‘เหมือนกัน’ เช่น ถ้าผมบอกว่าชอบการ์ตูนเรื่องนารูโตะมากเลย แล้วมีใครสักคนบอกว่า เราก็ชอบเหมือนกัน แน่นอนว่าผมย่อมจะแสดงความเป็นมิตร และพูดคุยกับเขาได้ง่ายกว่าคนอื่นๆ เพราะความรู้สึกที่เห็นคนคนนั้นเป็น ‘พวกเดียวกัน’



ผมเพิ่งจะสังเกต ว่าเมื่อครู่นี้ ผมเผลอใช้เทคนิคนี้ไปโดยไม่รู้ตัว ผมรู้ว่าน้องขี้เกียจ น้องเหนื่อย ไม่อยากเรียน แล้วผมก็แสดงความเป็นพวกเดียวกันกับน้องด้วยการเปิดเผยสิ่งที่ตัวเองคิดซึ่งก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งวิธีในการสร้างความสนิทสนม ในขณะเดียวกันผมก็แสดงให้พวกเขาเห็นว่าผมเป็นพวกเดียวกัน มีความรู้สึกเดียวกันกับพวกเขา ด้วยคำพูดที่ว่า ‘พี่ก็ขี้เกียจเหมือนกัน’



ผมมีความสุขมาก เหมือนได้ล้างบาปที่มีในใจที่เคยโมโห เคยโกรธ เคยเกลียดน้อง ได้ระบายความอัดอั้นต่างๆ และได้รู้สิ่งที่น้องคิด บางทีการที่เราหงุดหงิด เคลือบแคลงสงสัยในกันและกันก็อาจจะเป็นเพราะเราไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ และความเคลือบแคลงระแวงกันมันจะหายไปก็ต่อเมื่อเราแสดงความจริงใจให้คนอื่นได้รู้ เปิดเผยสิ่งที่คิด โชว์สิ่งที่ปกปิดเอาไว้ ให้คนอื่นได้รู้ ได้เห็น ได้เข้าใจ สิ่งที่เราเป็น



ผม กับ สองแฝดต่างก็ได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างจากกันและกัน ผมได้เรียนรู้วิธีที่จะทำตัวเองให้เป็นที่ยอมรับของคนอื่น ได้เรียนรู้ว่าบางครั้งเราก็ควรจะบอกในสิ่งที่เราคิดออกไปให้อีกฝ่ายรู้บ้าง ส่วนสองคนนั้นก็คงจะได้รู้ว่าที่จริงแล้วผมก็ไม่ใช่คนเข้าถึงยาก อ่านใจไม่ออก ได้เห็นในอีกแง่มุมหนึ่งที่ก็มีขี้เกียจ มีซุ่มซ่าม มีขายขี้หน้า เหมือนคนทั่วๆ ไป ไม่ได้เก่ง ไม่ได้เพอร์เฟ็คมาตั้งแต่ต้น



วันนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมรู้สึกประสบความสำเร็จในการสอนที่สุด ผมเอาชนะใจลูกศิษย์ของผมได้ ผมมีความสุขที่เห็นสองคนนั้นเชื่อฟังผมจริงๆ ยอมทำตามที่ผมบอกจากใจไม่ใช่ทำไปตามหน้าที่หรือมารยาท



วันนี้ภูผากับฟ้าครามดูสดใสยิ่งกว่าวันไหนๆ ที่เราอยู่ด้วยกันมา ดูกระตือรือร้นผิดหูผิดตา ตั้งใจทำโจทย์ วิชาชีวะก็ติวจบสามบทได้ในวันเดียว สอบศัพท์ก็ท่องไป ขำไป เวลาโดนผมด่า ตอนนี้ผมเปลี่ยนวิธีใหม่แล้ว เวลาสอบศัพท์จะให้อีกคนไปนั่งนอกห้อง คราวนี้พวกมันก็ช่วยกันไม่ได้แล้ว นอกจากจะส่งโทรจิตหากันเอาอ่ะนะ ฮ่าๆ ๆ ทำไมกูไม่ทำแบบนี้ตั้งแต่แรกวะ โง่อยู่ได้ตั้งนาน



พอหกโมงเย็น การติวทั้งหมดสิ้นสุด ผมเอนหลังลงบนเตียงนุ่มสบาย สองข้างมีเจ้าเด็กตัวใหญ่หน้าตาเหมือนกันเปี๊ยบนอนขนาบ ทำเสียงเฮ้ออออ ฮ่าาาาา หน้าตาฟินกันสุดๆ เราสามคนนอนขวางเตียงห้อยขาเรียงกันเหมือนปลาหมึกตากแห้ง ใช้หมอนข้างหนึ่งอันเป็นหมอนของเราสามคน ภูผานอนเล่นไอโฟนอยู่ทางขวา ฟ้าครามนอนอ่านการ์ตูนของผมอยู่ทางซ้าย ส่วนตัวผมนอนไลน์คุยกับเพื่อนในกลุ่ม



บางที การมีสองคนนี้มาอยู่ด้วยช่วงปิดเทอมก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิดแฮะ J






ออฟไลน์ candleguard

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 75
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-1
Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P )
«ตอบ #7 เมื่อ17-02-2018 20:27:48 »

                                                                      ตอนที่ 8 คุยเล่น






-----เหลืออีก 18 วันจะถึงวันสอบ-----



“เฮ้ย เดี๋ยวนี้อังกฤษพัฒนาขึ้นนี่หว่า” ผมชมเมื่อเห็นคะแนนของทั้งคู่ หลังจากสั่งให้มันสองคนทำข้อสอบไปคนละร้อยข้อ เห็นได้ชัดเลยเมื่อเทียบกับอาทิตย์ก่อนว่าคะแนนสองคนนี้พุ่งขึ้นมากจริงๆ



“เคมีก็ด้วย ทำได้ดีนะ หรือว่าพวกนายมีพื้นฐานจากที่โรงเรียนมาดีอยู่แล้ว” ผมถามอย่างสงสัย จำได้ว่าวิชาเคมีผมไม่ได้สอนเข้มมากนัก เพราะมันเป็นวิชาที่ผมไม่ถนัดพอๆ กับชีวะเลย



“ไม่อ่ะพี่ ตอนอยู่โรงเรียนก็แค่พอถูไถ ถึงจะได้เกรด 3.7 กว่าวิชานี้ก็เถอะ แต่ที่ได้เกรดดีก็เพราะครูบอกว่าออกสอบหน้าไหนข้อไหนบ้างต่างหาก” ฟ้าครามเงยหน้าจากแบบฝึกหัดวิชาชีวะขึ้นมาตอบ



“ใช่ โดยเฉพาะวิชาภาษาอังกฤษนะ มิสเอาศัพท์ที่จะออกใน unseen มาให้ท่องเลย พอเข้าไปปุ๊บก็เลยทำได้ แต่พอไปสอบแข่งขันข้างนอก……” ภูผาซี๊ดปาก ทำท่าเอานิ้วปาดคอ ผมหัวเราะหึๆ ขำท่ามันอ่ะครับ



“เออ สมัยเรียนพี่ก็เคยเป็น… วิชาฟิสิกส์ กับ คณิต อาจารย์เอาข้อสอบเปลี่ยนตัวเลข มาให้ทำก่อนสอบเล่นเอาเกือบเต็มยกชั้น แล้ววิชาภาษาจีนนะเหล่าซือมีการมาบอกด้วยว่าออกศัพท์คำไหนๆ รู้ป๊ะ พี่สอบได้ร้อยเต็มเลยอ่ะ” ไม่อยากจะอวด แต่ก็ขอนิดนึงเหอะ ฮ่าๆ



“ไหนๆ ๆ พิสูจน์ซิ พูดคำว่า กินข้าวหรือยัง ให้ฟังหน่อย” ไอ้ฟ้าครามเริ่มลองของ



“จบมาตั้งสองปีแล้ว ใครจะไปจำได้วะ …จำได้แต่ ป้าปะ ม่าหมะ นี่หนิ เก้อเกอะ”



“ฮ่าๆ ๆ …ได้แค่เนี๊ยะ” ภูผาหลิ่วตาล้อเลียน



“อ้อๆ ๆ แล้วก็ยังมีคำว่า หม่าย ที่แปลว่าซื้อ กับม่าย แปลว่าขาย มียัยหม่าลี่ กับ นายไม่เค่อ”



“หม่าลี่ กับ ไม่เค่อ?” ฟ้าครามทวน



“แมรี่ กับ ไมเคิล นักเรียนชาวต่างชาติที่มาแลกเปลี่ยน เป็นตัวละครในหนังสือที่พี่เรียน”



“จริงดิ! ตลกว่ะ หม่าลี่ กับ ไม่เค่อ ฮ่าๆ ๆ แล้วถ้าของพวกผมอ่ะ ภู่ผ้า กับ ฝ่าตี้น ป๊ะ? ก๊ากๆ ๆ” ฝ่าตี้นกับฟ้าครามมันใกล้เคียงกันตรงไหนวะ หรือที่ตรงคำว่า ฝ่า กับ ฟ้า? ผมนั่งคิดไปขำไป



“ฝ่าตี้นบ้านมึงสิ ไอ้จั๊ดง่าว!” ฟ้าครามถีบภูผาไปทีนึง ภูผาไม่สนใจ นอนหัวเราะดิ้นไปดิ้นมาปากก็พูดว่า ‘ภู่ผา กับ ฝ่าตี้น’ ไม่หยุด พูดเองก็หัวเราะเอง



“บ้านกูก็บ้านเดียวกับบ้านมึงอ่ะแหละ ฝ่าตี้นน้องรัก!”



โอ๊ย ! ไม่ไหวแล้ว กูฮาว่ะ ฮ่าๆ ๆ



“ฮ่าๆ …คิก…เฮ้ย! มัวแต่คุย ทำโจทย์ดิทำโจทย์” ผมเก๊กมาดเข้ม เตือนสติให้มันกลับมา



“อะไรๆ พี่ทีแหละตัวเริ่มชวนคุย”



แหน่ะ =_= กล้าย้อนกูนะเดี๋ยวนี้



“เออๆ ๆ ทำไปได้แล้ว ไม่เสร็จไม่ต้องกินข้าวกลางวันนะบอกไว้ก่อน”



“ก๊าบบบลูกพี่”







พอออกไปล่าเหยื่อ (หาของกิน) กันเสร็จ พวกเราก็กลับมานอนแผ่สองสลึงบนห้อง วันนี้ร้อนจริงๆ ร้อนจนผมจะเป็นลมอยู่แล้ว เลยอนุญาตให้เปิดแอร์ได้ ผมนอนแผ่อยู่บนเตียง ภูผาและฟ้าครามนอนจ่อพัดลมอยู่บนที่นอนแสนสุข (?) บนพื้นติดกับเตียงของผม คือถ้าผมนอนตะแคงหันไปทางขวาก็จะเห็นพะยูนสองตัว เอ๊ย! คนสองคนนอนเกยตื้นอยู่ด้านล่าง



หนังท้องตึง หนังตาก็หย่อน ขี้เกียจอ่ะ ขอแผ่อีกสักพักจะได้ไหม น้องมันจะหาว่าเราอู้หรือเปล่าวะ แต่ตอนนี้ฟีลมันไม่อยากลุกจริงๆ อ่ะ T^T



“พี่ที ครามขออีกสิบนาทีนะ” ผมหยักหน้าส่งๆ ให้ เออดี ท่าทางมันสองคนก็ดูเนือยๆ เพลียๆ เหมือนกับผม มีพวกแล้วกู



ผมนอนตาปรือๆ อยู่บนเตียง ไม่ถึงกับง่วงอ่ะ ก็แค่เพลีย ผมมองนาฬิกา ยังไม่สิบนาที เปิดเพลงฟังเล่นดีกว่า





Notice me, take my hand

Why are we strangers when

Our love is strong

Why carry on without me ……





“ของใครอ่ะ”



“ Britney Spears ….พี่โคตรชอบเพลงนี้เลย” ผมเนี่ยแฟนตัวยงของเธอเลยนะ เพลงที่เธอร้องเพราะแทบทุกเพลงเลย ผมไม่ค่อยสนใจเรื่องหน้าตานักร้องหรอก ขอแค่ร้องเพราะ จะหน้าเหียกแค่ไหนผมก็ชอบ



“นี่ๆ พี่ชอบท่อนนี้

Everytime I try to fly, I fall

Without my wings, I feel so small ….. โอ๊ย ฟังแล้วพี่โคตรปวดใจเลยว่ะ ต้องดูเอ็มวีแล้วจะรู้สึกเหมือนพี่” ผมร้องท่อนที่ผมชอบคลอไปกับเพลง ถ้าเป็นเรื่องที่ผมชอบแล้วล่ะก็ จะพูดได้น้ำไหลไฟดับเลยล่ะ อย่างเรื่องนักร้องคนโปรดเป็นต้น



ผมยื่นมือถือไปให้มันดูเอ็มวี มันสองคนนอนดูครู่เดียวก็หันไปสนใจมือถือตัวเองต่อ ผมยักไหล่ ไม่ได้ว่าอะไรที่มันดูไม่ค่อยสนใจ คนเราแต่ละคนมีความชอบไม่เหมือนกัน ผมรู้ว่ามันชอบฟังเพลงเกาหลีของวงที่มีผู้หญิงเต้นกันเยอะๆ ผมก็ฟังนะ แต่ไม่ถึงกับชอบ แค่ชอบดูเวลาเขาเต้นพร้อมๆ กัน มันสวยดี เพลงเกาหลีผมจะฟังแต่เฉพาะเพลงที่มีทำนองสบายๆ ผมชอบฟังเพลงไทยกับอังกฤษมากกว่า ไม่ใช่อะไรหรอก ผมฟังภาษาเกาหลีไม่ออกก็เลยไม่อยากฟัง เคยเป็นมั้ย เจอเพลงที่โดนใจมากๆ แต่ฟังไม่ออกนี่มันหงุดหงิดมากเลยนะเว้ยถึงจะมีแปลไทยให้อ่านก็เถอะ แต่มันสู้ฟังเองรู้เรื่องทุกคำไม่ได้อ่ะ !



“พี่ชอบฟังเพลงฝรั่งหรอ เหมือนพี่เฟิร์สเลยอ่ะ แล้วรู้จักเพลง dark horse มั้ย พี่เฟิร์สแม่งโคตรชอบเพลงนั้น” ฟ้าครามถาม



“อ๋อ ที่เอ็มวีเป็นแนวอียิปต์ เคธี่ แพร์รี่ ฟีตกับ จุยซ์ซี่ เจ ป่ะ” ผมตอบทั้งๆ ที่ตายังมองหน้าจออยู่



“เฮ้ย เป๊ะว่ะ แล้วๆ ๆ รู้จัก บรูโน มาร์ส ป่ะ” ภูผาเอาบ้าง



“โอ๊ย ใครไม่รู้จักก็บ้าแล้ว lazy song” ผมลุกขึ้นมานั่งร้องให้ฟังมันเลยว่ากูรู้จริงนะเว้ย สองคนนั้นก็รับมุกทำตัวเป็นกอริลล่า ผงกหัว ส่ายหัว เป็นจังหวะเหมือนในเอ็มวีเปี๊ยบ ตลกดีว่ะ สองคนนี้ทำโคตรพร้อมกันเลย ผมรู้สึกเหมือนกำลังเล่นเอ็มวีเป็นบรูโน มาร์สเลยว่ะตอนนี้



“เคยฟังเพลงนี้ป่าวพี่ blank space” ฟ้าครามถามอีก



“เดี๋ยวนะ คุ้นๆ ว่ะ แต่จำไม่ได้ ต้องฟังดูถึงจะบอกได้อ่ะ” ผมพิมพ์ชื่อเพลงลงในยูทูป แล้วกดฟัง



“อ๋อ จำได้แล้ว เคยได้ยิน ของเทย์เลอร์ สวิฟนี่ … พี่ไม่ใช่สาวกอ่ะ” สาวกเทย์เลอร์ตัวจริงน่ะมันต้องไอ้ก้อยเพื่อนผม กับ ไอ้ทาม



“พี่นึกว่าเราจะฟังแต่เพลงเกาหลีอย่างเดียวซะอีก” ผมแปลกใจ เพราะทุกครั้งที่พวกมันเปิดเพลง จะเป็นเพลงเกาหลีทั้งหมด



“ภู กับ ครามก็ฟังได้ทุกแนวแหละ รู้จักหมด maroon 5 เอย one direction เอย scorpions ก็รู้จัก ... เออ แล้วพี่เคยสอบร้องเพลงภาษาอังกฤษตอนเรียนมั้ย”



ผมเหลือบมองนาฬิกา นี่มันเลยสิบนาทีมาแล้วนะ แต่เอาเหอะ ทำเป็นไม่เห็นละกัน ผมยังไม่อยากลุก แล้วนอนคุยกันแบบนี้มันก็สนุกดียังไม่อยากหยุด แหะๆ เอาน่ะ ขยันมาทุกวันแล้ว วันนี้จะหย่อนยานไปบ้างก็ช่างมันเถอะ



“เคย! ตอน ป.6 อาจารย์ให้เลือกเพลงเอง พ่อเลยเลือกเพลง my love ของ westlife ให้พี่ แล้ว westlife ก็กลายเป็นวงโปรดของพี่ตั้งแต่ตอนนั้นแหละ นี่ที่ตั้งใจเรียนภาษาอังกฤษก็เพราะอยากฟังเพลงเขาออกทุกเพลง พี่โคตรอยากขอบคุณ westlife เลยที่ทำให้พี่สอบวิชาภาษาอังกฤษได้ท็อปตลอด” ผมเล่ายิ้มๆ จำได้ว่าตอนนั้นชอบมากถึงขนาดขอแม่ไปเรียนพิเศษภาษาอังกฤษตั้งสองที่ เพราะอยากจะเป็นเร็วๆ



“แล้วภู กับ คราม มีสอบเหมือนพี่มั้ย?”



“เคยพี่ ตอนอยู่ม.ต้นมั้ง ภูร้องเพลง criminal ของบริทนี่เนี่ยเหละ แม่คะ! หนูหลงรักอาชญากร >3<” ภูผาทำเสียงเล็กเสียงน้อยที่ประโยคหลัง



“คิดไงเลือกเพลงนั้น …มันเร็วนะ ร้องทันหรอ” ตอนนั้นผมไม่กล้าเลือกเพลงเร็วไปสอบเลย จำได้ กลัวร้องผิด - -;;



“ก็ภูชอบเพลงเร็วอ่ะ อีกอย่างถ้าฟังดีๆ เพลงนี้ศัพท์มันง่าย คำซ้ำเยอะ bum bum bum gun gun gun ง๊ายง่าย”



“ครามร้อง imagine ของ John Lennon”



“เพลงมึงฟังแล้วโคตรน่านอนเลย กูฟังมึงซ้อมร้องแล้วง่วงแทนว่ะ ฮ่าๆ ”



“พี่ทีรู้ปะ ไอ้ภูนะแหกปากซ้อมร้องเช้าเย็น จนโดนพ่อด่าเลย ว่าน่ารำคาญ แหกปากอยู่ได้ เหอะๆ ๆ ”



เรานอนคุยกันอย่างนั้นหนึ่งชั่วโมง ก่อนที่ภูผาจะเป็นฝ่ายบอกให้ทุกคนลุกขึ้นมาติวกันต่อ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ



ผมขุดหนังสือทุกเล่มขึ้นมาให้ภูผากับฟ้าครามทำกันจนจะหมดแล้ว ผ่านไปแค่สิบวันเองนะเนี่ย ผมเป็นปลื้มแทนอาแอ๋มจนต้องแอบโทรไปรายงาน อาแอ๋มขอบอกขอบใจผมใหญ่ (อีกแล้ว) ผมเขียนชื่อหนังสือเป็นลิสต์เอาไว้ บอกให้อาแอ๋มจดตาม แล้วไปซื้อมาให้เพิ่ม



“ภู คราม ทำคณิตชุดสุดท้ายของบทนี้ กับ เคมีชุดสุดท้ายเล่มฟ้า เสร็จแล้วพักได้เลยนะ”



“ทำแค่นี้แล้วหมดแล้วใช่มั้ย?” ฟ้าครามเปิดย้อนไปดูหน้าก่อนๆ และ หนังสือเล่มอื่นๆ ที่ทำมา



“เหลือแค่นี้ … ถ้าทำเสร็จก็เท่ากับพวกนายทำครบทุกเล่มที่อาแอ๋มซื้อมาแล้ว ดีใจด้วย”



“เย้! หมดซะที เป็นไทแล้วโว้ย!” สองคนนั้นดีใจกันยกใหญ่ ผมได้แต่มองน้องสองคนที่ดูกระตือรือล้น นั่งทำข้อสอบกันใหญ่ เพราะคิดว่าเป็นข้อสอบสองชุดสุดท้ายแล้ว …



หึๆ ๆ เดี๋ยวก็รู้ ว่าจะเป็นทาส หรือ จะเป็นไท



“ภูผา ฟ้าคราม พรุ่งนี้พี่ไม่อยู่บ้านนะ จะไปเที่ยวกับเพื่อน” ผมบอก ขณะที่สองแฝดกำลังนอนอ่านการ์ตูนอยู่บนเตียงผม



“พรุ่งนี้…อ๋อ วันเสาร์ …งั้นภูกับครามกลับไปอยู่บ้านเสาร์อาทิตย์นี้ได้มั้ยพี่ แล้ววันจันทร์ค่อยกลับมาติวต่อ”



“เอางั้นก็ได้ เจอกันวันจันทร์นะ” เออ ก็ดีเหมือนกัน ผมจะได้มีเวลาพักผ่อนบ้าง เกือบลืมไปแล้วนะเนี่ยว่าคำว่าสงบสุขสะกดว่าอย่างไร คอผมก็เริ่มจะแสบนิดๆ แล้วสิ ใช้เสียงมาหลายวัน ดีที่เดี๋ยวนี้เหมือนอากาศจะร้อนมากๆ พอสองคนนั้นเปิดแอร์หนาวจัดตอนกลางคืนผมเลยพอนอนได้ แต่ก็ต้องทำข้อตกลงกันว่าไม่ให้ปรับอุณหภูมิต่ำไปกว่า 22 องศาเด็ดขาด



ผมโทรไปบอกอาแอ๋มให้เอาหนังสือที่ผมบอกให้ซื้อ มาให้สองคนนี้ทำช่วงหยุดสองวันด้วย ผมกำหนดจำนวนแบบฝึกหัดที่น้องต้องทำฝากฝังอาแอ๋มเอาไว้เรียบร้อย แล้วก็เข้านอนแต่หัวค่ำ



เปรี้ยวปากมานาน อยากออกไปท่องราตรี พร้อมนารี(?) และ สุรา จะตายแล้วโว้ยยยยย !







---------------------------------------------------------------------------




ออฟไลน์ candleguard

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 75
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-1
                                                                ตอนที่ 9  วันธรรมดาๆ







(บทฟ้าคราม)



‘ภู คราม ไม่ต้องกลับมานะลูก บ้านน้ำไม่ไหล ข้างบ้านต่อเติมบ้านแล้วทำท่อส่งน้ำแตก’ เสียงแม่ดังมาตามสาย พวกผมนี่งิดเลย=_= สรุปคือพวกเรายังต้องนอนพื้นต่อไปสินะ อุตส่าห์หวังว่าจะได้กลับไปนอนเตียงนุ่มๆ แล้วแท้ๆ เชียวTwT



พอคุยโทรศัพท์กับแม่เสร็จพวกเราก็ได้แต่ถอนหายใจ วันนี้เป็นวันเสาร์ พี่ทีออกไปไหนกับเพื่อนไม่รู้ตั้งแต่ก่อนพวกเราจะตื่นซะอีก



ผมลุกจากพื้นขึ้นมานอนกลิ้งบนเตียง ไอ้ภูก็ด้วย เราสองคนนอนเบียดๆ กันอยู่บนเตียงที่มีกลิ่นหอมเย็นๆ เหมือนกลิ่นมิ้นท์ มันเป็นกลิ่นที่จางมาก แต่พวกผมก็ชอบ เวลาได้กลิ่นนี้ทีไรรู้สึกใจมันสงบขึ้นยังไงไม่รู้ คงเพราะว่ามันเป็นกลิ่นประจำตัวพี่ทีล่ะมั้ง



ผมนอนคว่ำหน้า สูดกลิ่นหอมๆ จากหมอน กลิ่นมันจางมาก ก็เลยต้องเอาจมูกไปชิดๆ สูดให้แรงๆ …เฮ้ย ทำไมกรูดูโรคจิตยังไงชอบกลวะ=_=;;



ไอ้ภูนอนดูหนังจากในไอโฟนอยู่ข้างๆ ผม เราใช้เวลาแทบจะตลอดช่วงเช้าหมดไปกับการนอน เล่นคอม ดูหนัง แทนที่จะหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านทบทวน ก็ทำไงได้ มันไม่มีอารมณ์นี่หว่า พอไม่มีคนคุมพวกผมก็เหลวกันแบบนี้แหละ



“เบื่อว่ะ…” ไอ้ครามพูดขึ้นหลังจากดูหนังจบไปสามเรื่อง และผมหลับไปสามตื่น



“…เหมือนกัน” 99 เปอร์เซ็นต์ ผมรู้สึกยังไง มันจะรู้สึกยังงั้นด้วยตลอด นี่สินะสายใยของฝาแฝด



เราสองคนลุกขึ้นมาเดินไปมารอบๆ ห้อง ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่พวกผมยังไม่ได้สำรวจห้องนี้ดีๆ เลย เอาวะ ไหนๆ เจ้าของห้องก็ไม่อยู่แล้ว ขอดูนิดดูหน่อยพี่ทีคงไม่หวงหรอกน่า



“ชิ! โน๊ตบุ๊คล็อกรหัส” ไอ้ภูจิ๊ปากอย่างขัดใจ มันถือวิสาสะเปิดโน๊ตบุ๊คของพี่ทีครับ อืม เป็นความคิดที่ดีนะมึง ส่วนใหญ่ความลับของผู้ชายมักอยู่ในมือถือกับคอมทั้งนั้นแหละ!



ไอ้ภูพยายามกดรหัสมั่วๆ ไปสี่ห้าที พอไม่ได้มันก็ปิดไปอย่างเซ็งๆ ผมเลิกสนใจมัน หันกลับไปเปิดตู้ไม้ขวามือที่พี่ทีชอบเปิดหยิบหนังสือออกมาบ่อยๆ ดูบ้าง แหยะ มีแต่หนังสือเรียนทั้งนั้นเลย มีชีตตั้งแต่ม.ปลายเก็บไว้ด้วย ผมปิดตู้ทันที พอดีเป็นโรคบิ๊บิโอโฟเบียน่ะ เห็นหนังสือแล้วขยะแขยง



“โห…เฮ้ย คราม มึงดู” ผมหันกลับไปตามเสียงเรียก ไอ้ภูเปิดตู้เสื้อผ้าพี่ทีออก ในนั้นเสื้อผ้ามีแต่สีซ้ำๆ กันทั้งนั้น โทนดำ เทา ขาว น้ำเงิน โดยเฉพาะเสื้อสีดำนี่มีเยอะมาก ผมว่าพี่เค้าน่าจะใส่อะไรที่มันดูสดใสกว่านี้หน่อยนะ …อ๊ะ มีนี่ เสื้อค่ายสีอย่างสดเชียว โห กางเกงเลทุกสีมีเป็นตั้งเลยนี่หว่า



ผมเปิดลิ้นชักตู้เสื้อผ้าดู เผื่อจะเจอถุงยงถุงยางอะไรบ้าง แต่ก็ไม่มี ทำไมผมต้องรู้สึกโล่งใจแปลกๆ ด้วยวะที่ไม่เจอถุงยางพี่เขา เอาเหอะ รื้อต่อ …ว้า ไรเนี่ย มีแต่กางเกงใน บ๊อกเซอร์ ถุงเท้า



ต่อไปก็เป็นโต๊ะทำงาน ไอ้ภูหยิบถ้วยสีทองสามถ้วยขึ้นมาดู อื้อหือ ไปแข่งได้ถ้วยกลับมาด้วย เก่งว่ะ พี่ใครวะ …ปฏิทินตั้งโต๊ะที่จดวันเกิดคนสำคัญเอาไว้ จดงาน จดนัดต่างๆ ก็ไม่มีอะไร แต่เปิดๆ ไปผมก็สะดุดเข้ากับวลีสั้นๆ วลีหนึ่ง ‘วันเกิดก้อย’ ตั้งแต่เปิดมา มีแต่ชื่อเพื่อนผู้ชายทั้งนั้น ก้อยนี่ใครวะ?



ผมหันไปสบตากับไอ้ภูอย่างรู้กัน พวกเรารู้สึกไม่ชอบใจเอาเสียเลย ไม่รู้ทำไมต้องไม่พอใจ บางทีอาจจะเป็นเพราะเราอยู่ด้วยกันมาหลายอาทิตย์พวกผมก็เลยเกิดความผูกพันจนรู้สึกหวงพี่เขาล่ะมั้ง แต่กับพี่เฟิร์สพวกเราไม่เคยเป็นแบบนี้เลยนะ พี่แกจะไปทำอะไรยังไงกับใครมีแฟนกี่คน เราไม่เคยไม่พอใจเหมือนที่เป็นอยู่ในตอนนี้เลย



พวกเราได้แต่เก็บความสงสัยปนหงุดหงิดไว้ในใจแล้วเริ่มต้นเล่นเกมสำรวจห้องกันต่อ นอกนั้นก็ไม่มีอะไรน่าสนใจแล้ว มีแต่ชีต รายงาน หนังสือเรียน แค่นั้นจริงๆ ให้ตายเหอะ ทำไมเป็นห้องที่ไม่มีความเร้าใจเอาซะเลยวะ นี่ใช่ห้องผู้ชายจริงๆ ป่ะเนี่ย หนังสือโป๊ก็ไม่มี จะค้นดูคลิปในโน๊ตบุ๊คก็ติดรหัส



กึกๆ ๆ



ไอ้ภูพยายามเปิดตู้เหล็กริมหน้าต่างที่พี่ทีไม่เคยเปิดให้พวกผมเห็นเลย



“โอ๊ย! ล็อกอีกแล้วว่ะแม่ง ต้องมีความลับอะไรซ่อนไว้แน่ๆ มึงว่ามั้ย”



“พี่ทีฉลาดว่ะ ล้วงความลับอะไรไม่ได้สักอย่าง” ผมนั่งลงบนขอบเตียง มองไอ้ภูพยายามงัดแงะตู้เหล็กหลังนั้น พอไม่สำเร็จ มันก็เดินกลับมานอนข้างๆ ผม



“โคตรรอบคอบเลย” เออ กูก็ว่างั้นแหละ นี่คงเริ่มล็อกตั้งแต่พวกผมมาอยู่ด้วยสินะ โอ๊ย ให้ตายเหอะ พี่มีความลับไรวะ พวกผมอยากรู้นะเว้ย! ยิ่งล็อกกูยิ่งอยากรู้เข้าไปใหญ่



สุดท้ายพวกเราก็มาจบลงด้วยการนอนกลางวันบนเตียงนุ่มๆ เปิดแอร์เย็นๆ เฮ้อ สบายจริงๆ



แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนมันขาดอะไรสักอย่างไป อาจจะเป็นเพราะขาดผู้ชายตัวผอมสูง ใส่แว่น ยิ้มอบอุ่นมีกลิ่นหอมเย็นๆ ติดตัวคนนั้นก็ได้



เมื่อไหร่จะกลับมาสักที…คงไม่ใช่ว่าออกไปกับผู้หญิงที่ชื่อก้อยหรอกนะ







พี่ทีกลับมาที่บ้านในวันต่อมาซึ่งเป็นวันอาทิตย์ตอนสายๆ เขาเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นเราสองคนนั่งตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือกันอยู่ที่โต๊ะญี่ปุ่น หลังจากได้รู้เรื่องราวต่างๆ ว่าทำไมเรายังอยู่ที่นี่ พี่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร แค่ถามว่าอยู่บ้านอ่านหนังสือไปถึงไหนแล้วก็เท่านั้น



ที่จริงเราสองคนเพิ่งจะมานั่งทำท่าอ่านหนังสือกันก็ตอนที่ได้ยินเสียงเปิดประตูบ้านนั่นแหละ เจ้าเล่ห์ปะล่ะ พี่ทีเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบกางเกงเลสีเขียวกับเสื้อยืดสีส้มโยนลงบนเตียง แล้วถอดเสื้อยืดกับกางเกงยีนที่สวมอยู่ออกจนเหลือแต่บ๊อกเซอร์เดินโทงๆ เตรียมหยิบผ้าเช็ดตัวไปอาบน้ำ



ผมกับครามมองไปยังแผ่นหลังขาวๆ นั้นแล้วกลืนน้ำลายพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย เฮ้ยๆ ๆ ! อย่าหันมาสิพี่ อร๊ากก หะ…หัวนมชมพู อึก! ...น่าเลียชิบ…เอ๊ย! ..น่ากัด…เฮ้ยไม่ใช่แล้วโว้ย= [] =;;;!



จู่ๆ พวกเราก็รู้สึกขัดเขินขึ้นมาอย่างไม่รู้เหตุผล หรือเพราะว่าหนังโป๊ที่เพิ่งโหลดมาดูเมื่อคืนวะ เลยทำให้อารมณ์มันขึ้นง่ายกว่าที่เคย แต่…เย้ย! นี่มันผู้ชายนะ กูจะไปมีอารมณ์เพราะเห็นหัวนมชายชาตรีได้ยังไง!



“พี่ที ไปถอดในหะ…” ไปถอดในห้องน้ำไม่ได้เหรอไง…ใจผมอยากจะบอกแบบนี้ คือไม่ใช่ว่าไม่เคยเห็นผู้ชายด้วยกันแก้ผ้า เคยขนาดเล่นเอาไอ้นั่นมาฟาดฟันกันเป็นดาบกับเพื่อนสมัยเข้าค่ายก็เคยมาแล้ว แต่กับพี่ที …ผมไม่รู้จะอธิบายยังไงดีอ่า



“พี่ที! ครามอาบด้วย” ไอ้ครามพูดทับประโยคผมเสียฉิบ ผมมองหน้ามันอย่างตกใจ มันคิดอะไรของมัน อาบไปตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วไม่ใช่หรอวะ แล้วทำไมต้องไปอาบพร้อมกัน ทำไมมึงไม่รออาบทีหลัง ทำไมๆ ๆ -*-



“นี่เรายังไม่ได้อาบน้ำอีกหรอ ปกติเห็นอาบแต่เช้าแล้วนี่” พี่ทีเลิกคิ้ว



“อาบแล้ว แต่อากาศมันร้อน ก็เลยจะอาบอีก”



“งั้นรอแปบ พี่อาบเดี๋ยวเดียวก็เสร็จแล้ว”



“โอ๊ย! เสียเวลาจะตาย อาบพร้อมกันก็ได้พี่ ไม่เปลืองน้ำดี พี่อาบน้ำมันก็กระเด็นมาโดนผมด้วย อีกอย่างรีบอาบจะได้รีบกลับมาอ่านหนังสือไงพี่”



“…เอางั้นก็ได้ งั้นภูอ่านชีวะรอไปนะ” พี่ทียิ้มให้ผมบางๆ ก่อนจะออกจากห้องไปพร้อมกับไอ้คราม มันให้พี่ทีเดินนำไปแล้วมันเดินรั้งท้าย มันหันหน้ามาทำมือซ้ายเป็นรูปตัวโอ มือขวาชูนิ้วกลางขึ้นมาจิ้มตรงกลางตัวโอ พลางทำหน้าตาเจ้าเล่ห์



ขณะที่ผมได้แต่อ้าปากพะงาบๆ สองคนนั้นก็หายเข้าไปในห้องน้ำแล้ว มีเสียงหัวเราะ เสียงพูดคุยดังออกมาจากในห้องน้ำตลอดเวลา ให้ตาย! ทำไมกูต้องหงุดหงิดด้วยวะ



ปังๆ ๆ ๆ !!



“เปิดประตูหน่อยยยยย!”



“มีไรฮึภูผา” เสียงพี่ทีดังลอดออกมา



“ปวดฉี่ครับพี่”



“ไปฉี่ส้วมข้างล่างดิไป” เออ กูลืมไปได้ยังไงว่าชั้นล่างมีห้องน้ำที่เอาไว้ปลดทุกข์อย่างเดียวอยู่ด้วย



“…” เฮ้อ เออ ไม่ฉ่งไม่ฉี่มันแล้ว ช่างแม่ง!





ตกกลางคืนหลังหกโมงเย็นเราก็ยุติการติว พี่ทีปล่อยให้พวกเราพักผ่อนกันตามอัธยาศัย ผมขึ้นไปนอนเบียดอ่านการ์ตูนบนเตียงกับพี่ทีที่ก็อุตส่าห์ใจดีแบ่งที่ให้ผมได้ขึ้นไปนอนด้วยชั่วคราว เราสองคนนอนเบียดจนไหล่ติดกัน แต่ก็ไม่ได้อึดอัดจนเกินไปนัก ผมได้กลิ่นคล้ายๆ พวกเมนทอลจากผมพี่เขา คงจะเป็นกลิ่นของไอ้ยาสระผมขวดฟ้าที่โฆษณาว่าใช้แล้วเย็นจนเกล็ดน้ำแข็งเกาะหนังกบาลนั่นล่ะมั้ง หอมดี ไม่ฉุนด้วย ดมแล้วสดชื่น



ส่วนไอ้ครามก็นั่งดูซีรี่ส์สืบสวนของมันไป เราสามคนทำในสิ่งที่ตนเองชอบอยู่ในห้องเดียวกันไปเงียบๆ เป็นความสงบที่ผมนึกชอบขึ้นมาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่ต้องคุย ไม่ต้องหยอกล้อกันก็ได้ แค่ใช้เวลาอยู่ร่วมกันเงียบๆ ทำกิจกรรมที่ตนเองชอบแต่ในขณะเดียวกันก็มองเห็นกันและกันอยู่ในคลองสายตาก็มีความสุขแล้ว



แล้วความสุขเล็กๆ นี้ จะดำเนินไปได้อีกนานแค่ไหนกันนะ…บางทีมันอาจจะจบลงในไม่ช้าแล้วล่ะ



แค่คิด ผมก็ใจหายแล้ว…









เช้าวันจันทร์ผมกับครามตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกเอื่อยๆ ขี้เกียจยังไงไม่รู้ ไม่อยากทำไรเลย อยากนอนต่อ แต่ก็นอนไม่ลงเพราะพี่แกเล่นปิดแอร์แต่เช้ามืดพวกผมจะลุกขึ้นมาเปิดก็ไม่กล้า กลัวโดนด่า เลยได้แต่นอนทนร้อนเหงื่อแตกซ่ก ในที่สุดก็ทนนอนต่อไม่ไหวต้องฝืนใจตื่นขึ้นมาอาบน้ำ



พี่ทีหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ เก็บเตียงเรียบร้อยเชียว คงลุกออกไปนานแล้วล่ะ พวกเราเดินตามหา เปิดห้องนู้นห้องนี้ก็ไม่เจอ



ขณะที่ผมกำลังจะปิดผ้าม่านลงเพราะแดดแยงตา ก็เห็นพี่ทียืนถือถุงจากร้านสะดวกซื้ออยู่ที่ฝั่งตรงข้ามกับบ้าน ผมรีบลากไอ้ครามที่กำลังจะเดินเข้าห้องน้ำให้ข้ามไปเป็นเพื่อน พี่ทีเลิกคิ้วมองเราอย่างแปลกใจ



“อ้าว ไมตื่นเช้ากันจัง เห็นปกติตื่นกันเก้าโมงไม่ใช่หรอ” ก็วันนี้มันไม่ปกติเพราะพี่เล่นปิดแอร์แต่เช้ามืดไง ใครจะไปหลับลง ร้อนตับแตก จะกลายเป็นไก่แฝดแดดเผาอยู่แล้ว-*-



“แล้วพี่มาทำอะไร ปกติก็นอนตื่นสายพอๆ กับภูครามไม่ใช่หรอ”



“พี่ตื่นมาใส่บาตรให้อากง เมื่อก่อนตอนอากงยังไม่เสีย อากงชอบตื่นมาใส่บาตรให้อาม่าทุกวันพระ ตอนนี้กงไม่อยู่แล้ว พี่เลยตื่นมาใส่แทน”







(กลับมาสู่บทของที)



“พวกเราใส่ด้วยนะ” ผมเลิกคิ้ว



“อยากใส่ก็ใส่ดิ จะมาขอพี่เพื่อ?”



เจ้าสองแฝดลากผมกลับเข้าไปในร้านอีกครั้ง เพื่อเลือกซื้อของมาตักบาตรพระ



“ของตักบาตรต้องมีอะไรบ้างอ่ะพี่” ฟ้าครามถามขณะที่พวกเราเข้ามายืนอยู่กลางร้าน



“ไม่รู้ดิ ชอบกินอะไรก็ใส่อันนั้นไปแค่นั้นแหละ” ผมตอบ อันที่จริงเวลาใส่บาตรมันต้องมีข้าว กับข้าว น้ำ ของหวาน แล้วก็ดอกไม้สักช่อใช่ไหมครับ แต่ผมเห็นว่ามีคนใส่แบบนั้นเยอะแล้ว ผมเลยเลือกที่จะใส่บาตรสิ่งที่ผมชอบให้พระท่านฉันดีกว่า



แต่ดูเหมือนว่าผมจะให้คำแนะนำพลาดๆ ไปแล้วแฮะ…=_=;;;



“กูชอบกินเลย์รสนี้ ใส่ไปสามถุงเลยดีกว่า ตายไปกูจะได้มีเลย์กิน” ไอ้ครามหยิบเลย์รสโนริสาหร่าย ใส่ตะกร้าไปสามถุง



“งั้นกูซื้อนี่ใส่บ้างดีกว่า ตายไปกูจะได้มีกิน” ภูผาหยิบช็อกโกแลตห่อทองซองละหกลูกใส่ตะกร้าไปสองซอง



“เฮ้ยๆ ๆ มาม่ารสนี้อร่อย กูชอบ” แล้วก็หยิบใส่ตะกร้า จึ๊บบบ



“ใส่น้ำแป๊บซี่ไปด้วยดีกว่า เผื่อบนสวรรค์ไม่มีให้กูกิน…”



“มึงๆ ๆ ซื้อน้ำแข็งยูนิตอีกถุงด้วย เดี๋ยวตายไปได้กินแต่แป๊บซี่ไม่เย็นนะเว้ย!”



“เออจริงด้วย! กูพลาดไปได้ยังไง….”



….ผมชักสงสารพระรูปที่จะต้องรับบาตรไอ้สองตัวนี้แล้วสิ อโหสิให้ผมด้วยนะครับหลวงพี่ ผมไม่ได้ตั้งใจT_T ผมบอกให้มันเอาถุงน้ำแข็งยูนิตออกแล้วแต่มันไม่ฟัง เถียงขาดใจว่าถ้าตายไปแล้วมันไม่ได้กินน้ำเย็นมันจะมาหลอกหลอนผม =_=’ ’’







ผมนั่งเท้าคางมองคนหน้าตาเหมือนกันสองคนที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาทำโจทย์อยู่ด้านข้าง และ ตรงข้ามผม เราสามคนนั่งล้อมโต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็กๆ ติวหนังสือกันเหมือนทุกวันที่ผ่านมา ไม่น่าเชื่อว่าอีกสิบกว่าวันน้องก็จะสอบรอบสองแล้ว ตอนนี้เนื้อหาทุกวิชาเก็บครบเรียบร้อย ผมมีหน้าที่แค่นั่งคุมให้สองคนนี้ทำข้อสอบ กับเฉลยคำตอบ เลยว่างสุดๆ ผมลุกขึ้นไปนอนอ่านการ์ตูนบนเตียง โคตรฟินเลย เปิดแอร์เย็นๆ หนุนหมอนนุ่มๆ อ่านหนังสือที่ชอบ เฮ้อ นี่แหละสิ่งที่เรียกว่าปิดเทอม



“พี่ที นอนด้วย ปวดหลัง” ภูผาหยิบหนังสือกับดินสอขึ้นมาล้มตัวนอนลงข้างๆ ผมเขยิบที่ให้มันขึ้นมานอนด้วย ภูผานอนติ๊กคำตอบอยู่ข้างๆ ผม ห้องเงียบจนได้ยินกระทั่งเสียงนาฬิกาเดิน แต่แปลกที่ผมไม่ได้รู้สึกอึดอัดเหมือนช่วงแรกๆ ยอมรับเลยว่าตอนนั้นเซ็ง หงุดหงิด อึดอัดมาก ไม่ชอบเลยไอ้การให้ใครมาแชร์ห้องด้วยเนี่ย แต่ตอนนี้เริ่มชินแล้วกับการใช้ชีวิตอยู่กับเจ้าแฝดยี่สิบสี่ชั่วโมง กินข้าวและเข้านอนพร้อมกัน



แรกๆ ไม่ชอบเลยนะเวลาน้องขึ้นมานอนเบียด รำคาญ อึดอัด อยากจะด่าแม่งให้กลับลงไปนอนด้านล่างเตียง แต่ตอนนี้น่ะเหรอมึงอยากจะนอนก็นอนไปเหอะ นอนเบียดๆ กันก็ดี อุ่นดี แล้วไม่รู้ผมคิดไปเองหรือเปล่านะว่ายิ่งสองคนนั้นขึ้นมานอนเบียดกับผมบ่อยเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งรู้สึกสนิทกับพวกมันมากขึ้นเท่านั้น พวกนั้นเองก็ดูจะสงบเสงี่ยมว่านอนสอนง่ายดีเวลานอนข้างผม ใช้มันลุกไปทำอะไรมันทำหมดอ่ะ ไม่รู้ว่าจะอธิบายความรู้สึกนี้ยังไง แต่เหมือนเราใกล้กันมากกว่าเดิมล่ะมั้ง



“วันเสาร์ไปไหนมาอ่ะ” ภูผาถามขึ้นทำลายความเงียบ



“ไปเที่ยวกับเพื่อนไงบอกไปแล้วนี่” ผมตอบ ยังคงไม่ละสายตาไปจากหนังสือในมือ



“เที่ยวไหนอ่อ?” คราวนี้ฟ้าครามที่นั่งอยู่ด้านล่างถามขึ้นบ้าง



“ทำโจทย์ไปๆ อย่ามาชวนคุยน่า รู้ทันนะว่าจะอู้” ผมยิ้มขณะที่ตายังคงไม่ละไปจากหนังสือการ์ตูนเช่นเดิม



“ไม่ได้จะอู้ ครามก็แค่ถามเฉยๆ ”



“ทำโจทย์เสร็จก่อนแล้วจะบอก”



“ไม่เอาอ่ะ อยากรู้ตอนนี้” ภูผาที่นอนข้างๆ เซ้าซี้



“รู้แล้วพวกมึงจะได้อะไรวะ” ผมตอบเสียงเรียบๆ ชักรำคาญว่ะ กูจะไปไหน ทำอะไร ทำไมต้องบอกพวกมึงด้วย เป็นแม่กูหรอฮะ



“ก็แค่ตอบมาคำเดียวก็จบว่าไปไหนมา พวกผมก็ไม่ถามต่อแล้ว แล้วทำไมพี่ต้องทำท่าหงุดหงิดด้วย”



“พี่ไปทำท่าหงุดหงิดตอนไหน?” ผมวางการ์ตูนในมือลง ลุกขึ้นมานั่งขัดสมาธิบนเตียง อะไรของมันวะ กูนอนอ่านการ์ตูนของกูดีๆ ทำไมต้องมาหาเรื่องด้วย หรืออ่านหนังสือแล้วเครียดเลยมาลงที่กู?



“ก็พี่ขึ้นมึงกูกับพวกภูนี่หว่า” ภูผาลุกขึ้นมานั่งบ้าง



“…คือแค่ขึ้นมึงกูมันไม่ได้หมายความว่าพี่จะโกรธสักหน่อย” ผมพยายามตอบอย่างใจเย็น



“เนี่ยๆ ๆ เวลาพี่อารมณ์ปกติพี่จะแทนตัวเองว่าพี่แบบเมื่อกี้นี้” ครามชี้นิ้วมาที่ผม



“คราม อย่าชี้หน้าคนอื่นแบบนี้ มันไม่สุภาพ”



“งั้นแบบนี้สุภาพป่ะพี่” ครามใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางชี้มาที่ผมแทนการชี้ด้วยนิ้วชี้นิ้วเดียวเหมือนเมื่อสักครู่นี้



“โอ๊ย! ยิงพี่ทำไม อะเฮือกกกก” ผมแกล้งทำเป็นจับอกด้านซ้าย กระตุกทีนึง แล้วล้มตึงลงไปบนเตียง ไอ้แฝดนรกสตั๊นไปสามวิกว่าจะเก็ทมุกผมแล้วหัวเราะออกมา



“เอ้าๆ หมดเวลาเล่นแล้ว อ่านหนังสือๆ ” ผมกลับมานอนท่าเดิม หยิบการ์ตูนขึ้นมาอ่านอีกครั้ง สองคนนั้นยอมกลับไปตั้งใจทำข้อสอบแต่โดยดีหลังจากหัวเราะกันเสร็จแล้ว



สองแฝดลืมไปเสียสนิทว่ายังไม่ได้รับคำตอบเรื่องไปไหนมาจากผมเลย






ออฟไลน์ candleguard

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 75
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-1
                                                                  ตอนที่ 10  Goodbye bro



อีกเจ็ดวันกว่าจะถึงวันสอบ





“พี่ที กลางวันนี้เราทำไรกินกันเองมั้ย เบื่อข้าวแกงแถวนี้แล้วอ่ะ” ฟ้าครามเสนอขึ้นหลังจากเพิ่งตรวจแบบทดสอบฟิสิกส์เสร็จ



“ทำเป็นหรือไง” ผมเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ



“เป็นๆ เดี๋ยววันนี้ภูกับครามจะโชว์ฝีมือทำอาหารญี่ปุ่นให้กินเอาป่ะ”



“มาม่าอ่ะหรอ มุกนี้เก่าแล้วนะ วันหลังไปคิดมาใหม่ไป”



“ให้เดานะ ครามว่าพี่ทีต้องเป็นตัวตัดมุกประจำกลุ่มแน่เลย!” ผมคิดตามที่ไอ้ครามมันพูด เออ ก็จริง ไอ้ป๊อกเป็นตัวชงมุกประจำกลุ่ม แล้วผมเนี่ยแหละชอบตัดมุกมันประจำล่ะ เหอๆ ๆ



สุดท้ายมื้อกลางวันเราก็มาจบกันที่มาม่าใส่ไข่กับหมูสับจนได้



“พี่ทีภูมีไรจะบอก”



“ว่า?”



“ภูกับครามจะกลับบ้านพรุ่งนี้นะ”



“อ้าว เฮ้ย อีกแค่อาทิตย์เดียวเอง จะกลับไปทำไมตอนนี้” ผมถามอย่างตกใจ มือที่กำลังคีบเส้นร้อนๆ หอมกรุ่นชะงักไปทันที



“ก็ครามเห็นว่าเราติวเนื้อหาจบไปหมดแล้ว ที่เหลือตอนนี้มันก็แค่ทำโจทย์ กลับไปทำเองที่บ้านก็ได้”



ผมเริ่มคิดหนัก พยายามตีความว่าสิ่งที่ไอ้ครามพูดมามันเป็นความคิดของมันจริงๆ หรือมีเหตุผลอื่นแอบแฝงกันแน่ อยู่กิน เอ๊ย! อยู่กันมาได้ตั้งเป็นเดือนๆ อยู่ต่ออีกแค่อาทิตย์เดียวมันจะตายหรือไงฟะ



“มีอะไรรึเปล่าเนี่ย ทำไมจู่ๆ รีบกลับกันจัง” ผมหรี่ตามองสองคนที่นั่งตรงข้าม ก่อนจะรู้สึกเหมือนจับพิรุธได้ รู้สึกเหมือนภูผาทำหน้านิ่งแปลกๆ ทั้งที่ปกติผมไม่ค่อยจะเห็นมันทำหน้าแบบนี้ยกเว้นตอนอ่านหนังสือกับอารมณ์ไม่ดี ส่วนฟ้าครามก็ทำตาหลุกหลิกไปหน่อย ถึงปกติจะดูไฮเปอร์อยู่แล้ว แต่วันนี้มันดูแปลกจริงๆ เมื่อวานตอนที่ผมออกไปซื้อของที่ห้างให้แม่ตอนเย็นๆ ไอ้สองคนนั้นมันแอบก่อเรื่องอะไรหรือเปล่าวะ



“ก็อาทิตย์สุดท้ายแล้ว ภูกับครามเลยอยากจะกลับไปอ่านที่บ้านตัวเองบ้างไรบ้าง แบบว่า คิดถึงพ่อแม่อ่ะ ไม่ได้เจอมาหลายอาทิตย์แล้วด้วย อีกอย่างเดี๋ยวพี่ทีก็ต้องไปเรียนซัมเมอร์แล้วใช่ป่ะ ครามก็เลยไม่อยากรบกวนเวลาพี่ทีไปมากกว่านี้”



“…หรอ เดี๋ยวพี่กินเสร็จแล้วขอโทรคุยกับอาแอ๋มก่อนแล้วกันนะ”









น้ำเสียงอาแอ๋มดูแปลกๆ ไปเล็กน้อย ท่าทางอึกอักเหมือนมีอะไรอยู่ในใจ ผมไม่กล้าถามซอกแซกว่าเป็นอะไร มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นที่บ้านนั้นรึเปล่า เพราะมันไม่ใช่นิสัยผม เราคุยกันแค่สั้นๆ อาแอ๋มรู้อยู่แล้วว่าสองคนนั้นจะกลับบ้านพรุ่งนี้เพราะภูผาโทรไปบอกเธอตั้งแต่เมื่อคืน เอาเถอะ อยากกลับก็กลับ ผมไม่ได้แคร์อะไรอยู่แล้ว อาจจะรู้สึกโหวงๆ ไปบ้าง แต่เดี๋ยวก็คงกลับมาชินกับการนอนคนเดียวเหมือนเดิม



ใจนึงก็ห่วงน้อง ไม่รู้อยู่บ้านตัวเองมันจะยอมอ่านหนังสือหรือเปล่า แต่อีกใจก็บอกว่าช่างแม่งเหอะ ผมส่งมันถึงฝั่งตั้งแต่ติวสรุปเนื้อหาจบแล้ว ที่เหลือเป็นหน้าที่ของมันแล้วที่จะต้องไปฝึกฝนเอาเอง ที่ฟ้าครามพูดมันก็จริง อีกไม่นานผมก็ต้องไปเรียนซัมเมอร์ที่มหา’ ลัย สู้ใช้เวลาว่างทำสิ่งที่ตัวเองชอบดีกว่ามานั่งติวงกๆ



สุดท้าย ความรักสบายก็เข้าครอบงำการตัดสินใจ ผมเลยยอมให้พวกมันกลับไปโดยไม่ทักท้วงอะไรอีก วันนี้หลังจากติวเสร็จ สองคนนั้นแทนที่จะต่างคนต่างไปทำกิจกรรมของตัวเองกลับลากผมมานอนดูหนังด้วยกัน เป็นหนังดังที่เพิ่งออกจากโรง พวกผมใช้เก้าอี้เป็นที่วางแม็คบุ๊คชั่วคราว เราสามคนนอนเรียงกันบนพื้น ปิดไฟ เปิดแอร์ ให้อารมณ์เหมือนอยู่โรงหนังมาก ดูไปไม่นานหนังตาก็ชักจะหนักอึ้ง ไม่รู้เมื่อไหร่ที่ผมเผลอหลับไปทั้งๆ ที่ยังนอนอยู่บนที่นอนของสองคนนั้น…







คืนนั้น ผมฝันว่าตัวเองกำลังเดินอยู่กับพวกไอ้โซล แล้วจู่ๆ ผมก็ล้ม ทุกคนหันมามองผมอย่างตื่นตกใจกว่าปกติ ผมมองตามสายตาพวกมันที่จ้องมาที่ผมตาแทบถลน ก่อนจะเห็นงูสองตัวเลื้อยรัดขึ้นมาตามขาทั้งสองข้าง ผมแหกปากร้องสุดเสียงอย่างหวาดกลัวสุดชีวิต พอเงยหน้าขึ้นจะขอความช่วยเหลือจากเพื่อน ทุกคนก็ถูกงูพันรอบคนละตัว ไอ้แท็คนี่ยิ่งกว่าผมอีกมันโดนงูตัวที่ใหญ่เหมือนล้อรถสิบล้อรัดจนแน่นิ่งไปแล้ว ไอ้ป๊อกกำลังดิ้นพราดๆ หนีจากงูเผือกที่พันรอบเอว มีแค่ไอ้ก้อยคนเดียวที่ไม่โดนงูรัดเหมือนคนอื่นๆ



“ก้อยยยยยยยยยยยย ช่วยกูด้วยยยยย!!!!!” ผมร้องสุดเสียง ก่อนจะสะดุ้งตื่นขึ้นมาพร้อมกับเหงื่อที่แตกโซมกาย ก่อนจะพบว่าตัวเองขึ้นมานอนบนเตียงเมื่อไหร่ไม่รู้ ภูผากับฟ้าครามที่กำลังเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าหันมามองผมด้วยหน้าตาตกอกตกใจ



“ฝันร้ายหรอพี่ ฝันว่าไรเนี่ย ร้องซะลั่นเลย” ฟ้าครามถาม มือก็พับเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า ตาก็มองมาที่ผมด้วยแววตาประหลาดๆ



ผมลูบหน้าลูบตา ก่อนจะรู้สึกโล่งใจที่มันเป็นแค่ความฝัน ตลบผ้าห่มมองขาตัวเองดูก็ไม่มีตัวอะไรพันอยู่ เฮ้อ โล่งอกๆ



“เออ โคตรฝันร้ายเลย…” ผมตอบก่อนจะลุกขึ้นหยิบผ้าเช็ดตัวเดินออกไปอาบน้ำ ทำให้ผมไม่มีโอกาสได้เห็นภูผาและฟ้าครามมองหน้ากันอย่างมีนัยอะไรบางอย่าง







และแล้วความสงบสุขก็กลับมาเยือนชีวิตผมอีกครั้ง



สองคนนั้นหอบข้าวของกลับบ้านพร้อมอาแอ๋มไปแล้ว จบสิ้นกันเสียที เฮ้อออออ ผมถอดเสื้อยืดคอกลมที่ใส่อยู่ออก เดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าว่าจะหยิบเสื้อกล้ามมาใส่แทนสักหน่อย อันที่จริงแล้วผมชอบใส่เสื้อกล้ามอยู่บ้าน แต่ตั้งแต่สองคนนั้นมาอยู่ด้วยผมก็เปลี่ยนมาใส่เสื้อยืดแทนเพราะถึงเราจะเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน แต่ผมว่ามันก็ดูไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่ที่จะแต่งตัวอย่างนั้นนั่งสอนน้อง อีกอย่างไอ้แฝดหิมะนั่นก็เปิดแอร์หนาวมาก ขืนใส่เสื้อกล้ามมีหวังไม่สบายกันพอดี (นี่ขนาดใส่เสื้อยืดแล้วยังป่วยเลยนะช่วงอาทิตย์แรกๆ จำได้ไหม)



ขณะที่ผมกำลังจะหยิบเสื้อกล้ามขึ้นมาสวม ผมก็ต้องชะงัก



…มีคนมายุ่งกับตู้เสื้อผ้าของผม



ต้องมีคนมายุ่งกับตู้ของผมแน่ๆ เพราะแถวเสื้อกล้ามมันโย้ไปทางซ้ายนิดนึง ถึงจะแค่เล็กน้อย แต่ผมก็สังเกตเห็นเพราะผมเป็นคนที่มีระเบียบในการจัดข้าวของมาก หนังสือต้องเรียงตามความสูง เสื้อผ้าต้องแขวนไล่โทน กางเกงต้องพับตั้งเป็นกองตรงแน่วเช่นเดียวกับเสื้อกล้ามและชุดอื่นๆ ที่ใช้พับแทนการแขวน ผมเริ่มรู้สึกร้อนรนเพราะว่าใต้กองเสื้อกล้ามมันมีตู้ซ่อนเล็กๆอยู่ เป็นที่ที่ผมใช้ซ่อนของสำคัญหรือของที่ไม่อยากให้ใครเห็น



หนึ่งในนั้นที่ผมโคตรหวงคือไดอารี่ที่เขียนหมดเล่มแล้ว กับ ผลสอบตรงที่ต้องการเก็บไว้ดูเป็นที่ระลึกแต่ไม่ต้องการให้ใครเห็น



เวลาจะเปิดตู้นี้ต้องยกกองเสื้อกล้ามออกก่อนแล้วค่อยเปิด ถ้าคนใจร้อนก็จะเปิดโดยไม่ยกกองเสื้อกล้ามออกทำให้แถวมันโย้เย้



ผมหยิบไดอารี่เล่มบนสุดขึ้นมาดู มันเป็นไดอารี่ล็อกได้ที่มีขายทั่วไป แต่ประสิทธิภาพในการป้องกันช่างห่วยแตกสุดๆ คือมีหรือไม่มีก็เหมือนกันอ่ะแหละ ผมมองที่รูกุญแจ มันมีรอยเหมือนโดนอะไรแข็งๆ งัด ทั้งๆ ที่มันไม่เคยมีรอยนี้มาก่อน ผมวางมันลงที่เดิม แค่นี้ก็รู้แล้วว่าทำไมสองคนนั้นถึงต้องรีบกลับกันขนาดนี้ และไม่แน่ว่าอาแอ๋มก็อาจจะรู้ด้วยว่าสองคนนี้ทำอะไรลงไป แต่ก็ยังช่วยกันปกปิด….



ตอนนี้ผมโกรธจนพูดไม่ออกแล้ว โกรธจนไม่รู้จะว่ายังไง รู้สึกเหมือนคนทำคุณบูชาโทษยังไงยังงั้น แม่งไอ้แฝดเลว! ไอ้แฝดนรก! ไอ้ห่า สัตว์นรก ไอ้งูเห่าแว้งกัด ไอ้ๆ ๆ …มึงทำแบบนี้ฆ่ากูเลยดีกว่าไหม! ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยรู้สึกโกรธขนาดนี้เลย



วันนี้! ตอนนี้! กูโกรธ!! โกรธมาก!! ทั้งอับอาย ทั้งกังวล อายที่ไม่รู้ว่ามันอ่านมันรู้อะไรที่ผมเขียนไว้บ้าง กังวลว่ามันจะเอาความลับเรื่องผลการสอบนั่นไปบอกคนอื่นเช่นอาแอ๋ม หรือพ่อแม่ผม แต่ผมว่าเรื่องผลสอบนั่นมันคงบอกอาแอ๋มไปแล้วล่ะ ไม่งั้นตอนโทรคุยกัน กับตอนที่เธอมารับลูกกลับคงไม่ทำหน้าเหมือนมีคำถามกับผมหรอก



ผมรู้สึกเสียดายเวลากว่าหนึ่งเดือนที่ทุ่มเทให้สองคนนั้นขึ้นมาอย่างรุนแรง ผมทั้งด่า ทั้งสาปส่งพวกมันอยู่คนเดียวในห้องเป็นชั่วโมงๆ ความยินดีในตอนแรกที่จะได้กลับมามีชีวิตสงบสุขหายไปในพริบตา แทนที่ด้วยความกังวล และไฟแค้นที่มันสุมทรวง



ตอนนี้ผมโกรธมันสองคนเอามากๆ ต่อไปนี้ผมจะไม่คุย ไม่มองหน้า ไม่ยุ่งเกี่ยวกับมันอีกแล้ว ตัดพี่ตัดน้องแม่งเลย จะไปตายที่ไหนก็ไป เชี่ยเอ๊ย! กูเกลียดพวกมึง!



หลังจากผมก่นด่าพวกมันอยู่พักใหญ่จนคอแห้ง ผมก็ล้มตัวลงนอนบนเตียง กลิ่นของพวกมันสองคนยังติดอยู่เลย ยิ่งได้กลิ่นยิ่งเจ็บใจ ผมเลยดึงมันออกมาแล้วเอาไปโยนลงเครื่องซักผ้า ตามด้วยปลอกหมอน และทุกอย่างบนเตียงนอน



ผมทรุดตัวลงนั่งพิงเครื่องซักผ้า ชันเข่าขึ้นมาซบหน้าลงไปอย่างเหน็ดเหนื่อย นึกเสียใจกับการตัดสินใจที่ผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในอกมันปวดหนึบไปหมด ...






CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 9
« ตอบ #9 เมื่อ: 17-02-2018 20:37:31 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ candleguard

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 75
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-1
                                                          ตอนที่ 11 กูจะสมน้ำหน้าพวกมึง!!




ความโกรธที่ผมมีต่อพวกมันจนตอนนี้ก็ยังไม่จางหายไป แต่ผมก็พอจะโล่งใจขึ้นมาหน่อยที่พ่อแม่ดูเหมือนจะไม่รู้เรื่องผลสอบนั้นของผม แสดงว่าอาแอ๋มไม่ได้ไปบอก หรือไม่สองคนนั้นก็อาจจะไม่ได้บอกอาแอ๋มไปตั้งแต่แรก แต่ถ้าไม่ได้บอกอะไรแล้วทำไมวันนั้นอาแอ๋มต้องทำตัวแปลกๆ ด้วย? หรือว่ารู้เรื่องอื่น? โอ๊ย!! ปวดหัว ช่างแม่งแล้วโว้ย!!



คนที่ทำให้ผมโกรธได้บอกเลยว่ามันเก่งมาก สุดยอดเหี้ยๆ ทำได้ยังไงเนี่ยอยากจะชมเชย ปกติผมเป็นคนที่โกรธยากหายง่ายและไม่เคยจะผูกใจเจ็บกับใครหรอกนะ แต่ไอ้สองคนนั้นมันสุดเขตเสลดเป็ดจริงๆ ด้วยอารมณ์และสภาพจิตใจที่ไม่มั่นคงในตอนนี้ทำให้ผมเริ่มขุดเรื่องเก่าๆ ที่พวกมันเคยทำไว้ในอดีตขึ้นมาอีก เอามารวมกับเรื่องในปัจจุบัน เลยกลายเป็นว่าผมยิ่งเกลียดมันมากขึ้น ยิ่งอยากฉีกทึ้งพวกมันเป็นชิ้นๆ ยิ่งกว่าเดิม



รู้งี้ไม่ติวให้พวกมันก็ดีหรอก ปล่อยแม่งให้ไปเรียนช่างกลแล้วโดนรุมกระทืบตายห่าตายโหงไปเลยก็ดีสมน้ำหน้า อยู่ไปก็หนักโลก



ตลอดอาทิตย์ผมหมดไปกับการนั่งแช่งชักหักกระดูกพวกมัน หมดไปกับการไล่เช็กไดอารี่ทุกเล่มว่ามันอ่านเล่มไหนไปบ้าง เล่มไหนโดนแงะบ้าง แล้วเล่มที่โดนแงะอ่านผมได้เขียนความลับสำคัญหรือเรื่องน่าอายอะไรไว้มากน้อยแค่ไหนอย่างคนวิตกจริต ไดอารี่เป็นเหมือนห้องสารภาพบาปของผม นอกจากจะเขียนเรื่องในชีวิตประจำวันแล้วผมยังใช้มันเป็นที่ระบายความในใจต่างๆ ด้วย เรื่องที่ผมเคยอยากให้อากงตายผมก็เขียนลงไปเพราะรู้สึกอึดอัดและผิดบาปที่คิดอย่างนั้นทั้งที่ไม่อยากคิดแต่มันก็คิดอยู่ร่ำไป ยิ่งคิดผมก็ยิ่งรู้สึกผิด จึงใช้ไดอารี่ช่วยกักเก็บความคิดชั่วๆ นี้ของผมแทน การได้เขียนไดอารี่สำหรับผมก็คือการสารภาพบาปดีๆ นี่เอง ผมจึงต้องซ่อนมันเอาไว้ไม่ให้ใครหยิบเอาไปอ่านได้เด็ดขาด



แต่ตอนนี้มันไม่เหลือแล้ว ไดอารี่ทุกเล่มโดนแงะ …นั่นหมายความว่าความลับของผมจะไม่เป็นความลับอีกต่อไป ตัวตนอีกตัวตนหนึ่งที่ผมพยายามซ่อนไว้อย่างมิดชิดภาพใต้หน้ากากที่แต่งแต้มรอยยิ้มอยู่เสมอ ถูกคนสองคนค้นพบเข้าซะแล้ว



ผมเฝ้ารอวันประกาศผลสอบตรงรอบสองของWCอย่างใจจดใจจ่อ ผลสอบจะถูกประกาศลงหน้าเว็บอย่างเป็นทางการอีกหนึ่งอาทิตย์หลังการสอบตรง ผมเฝ้าภาวนาทุกวันขอให้มันสอบไม่ติด ให้มันเสียใจ ให้มันไม่มีที่เรียน ให้มันโดนทุกคนรุมประณาม ให้มันได้แต่ก้มหน้ายอมรับความพ่ายแพ้และจนตรอกจนถึงที่สุด ให้มันไม่มีอนาคต ไม่มีอะไรเลยสักอย่าง ผมจะสะใจมาก!



ผมเฝ้าจินตนาการวันที่จะได้เห็นว่าในรายชื่อคนสอบติดไม่มีชื่อพวกมันสองคนอยู่ในนั้น ผมจะไปหามันถึงบ้าน หัวเราะเยาะเย้ยพวกมัน เหยียบย่ำกระทืบซ้ำตอกย้ำความพ่ายแพ้และไม่เอาไหนของพวกมันให้ถึงที่สุด คอยดูสิ!!



ไหนๆ พวกมึงก็รู้อีกตัวตนนึงของกูแล้ว คงไม่จำเป็นต้องมานั่งเฟคกันแล้วสินะ เหอะ!



วันนี้ผมตื่นแต่เช้ามานั่งหน้าจอคอมอย่างใจจดใจจ่อ แต่พอกดเข้าไปในหน้าเว็บของมหา’ ลัยกลับปรากฏว่าผลการคัดเลือกจะแจ้งตอนบ่ายสามโมง



ผมพับจอโน๊ตบุ๊คเก็บอย่างอารมณ์เสีย



วันนี้ทั้งวันผมแทบไม่เป็นอันทำอะไรเลย ได้แต่เปิดๆ ปิดๆ คอม กดรีเฟลชอยู่อย่างนั้นเผื่อประกาศจะออกมาเร็วกว่ากำหนด แต่แล้วก็ไม่เป็นอย่างที่คิด เพราะจนแล้วจนรอดประกาศก็ออกมาตอนบ่ายสามโมงเป๊ะอยู่ดี



ผมคลิกเข้าไปดูด้วยใจอันลุ้นระทึก









…..ไม่มี…









…ไม่มีชื่อของสองคนนั้น ทั้งตัวจริงและตัวสำรอง









ผมรู้สึกเหมือนถูกหินหนักๆ หล่นทับ ความรู้สึกหลายๆ อย่างมันประเดประดังเข้ามาพร้อมกัน ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมผมต้องรู้สึกใจหายแบบนี้ด้วย ทั้งๆ ที่ผมควรจะสะอกสะใจ แต่ทำไมผมกลับรู้สึกแย่แบบนี้ หรือที่รู้สึกแย่จะเป็นเพราะคิดว่าตัวเองติวไม่เก่งพอน้องเลยสอบไม่ติด หรือจริงๆ แล้วต่อให้โกรธเกลียดมากแค่ไหน แต่ยังไงผมก็ยังรักยังห่วงพวกมันอยู่ดี



ทั้งๆ ที่ผมควรจะสะใจ รีบนั่งรถไปสมน้ำหน้าพวกมันถึงบ้าน แต่ผมกลับไม่มีกะจิตกะใจจะทำแบบนั้น ไม่เข้าใจตัวเองเลย ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ทำไมมนุษย์ถึงได้มีความรู้สึกซับซ้อนได้ขนาดนี้นะ?



ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาด้วยความลังเล แต่จนแล้วจนรอดก็อดไม่ไหวต้องโทรไปหาอยู่ดี



“ฮัลโหล อาแอ๋มหรอครับ …ทีเสียใจด้วยนะ อย่าไปว่าน้องนะครับ น้องทำดีที่สุดแล้ว” ไม่รู้ทำไมผมจะต้องแก้ตัวแทนสองคนนั้นทุกที ทั้งที่ตอนนี้เกลียดจนหน้าก็ไม่อยากจะเห็นแล้วแท้ๆ ไม่เข้าใจตัวเองเลย บางทีผมอาจจะเป็นโรคสองบุคลิกจริงๆ ล่ะมั้ง เฮ้อ



‘ทำดีที่สุด? ทีรู้รึเปล่าว่าเจ้าน้องชายตัวดีของทีมันทำอะไรเอาไว้!’ เสียงอาแอ๋มที่ดังมาตามสายเต็มไปด้วยความโกรธเคือง ท่าทางจะโมโหมากที่มันสองคนสอบไม่ติด



“ทำ? มีเรื่องอะไรหรอครับ?? อย่าบอกนะว่ากลับไปไม่ยอมอ่านหนังสือน่ะ”



‘อ่านน่ะอ่าน แต่มันสองคนไม่ยอมเข้าสอบ! อาเพิ่งจะโทรไปยื่นคำร้องขอตรวจกระดาษคำตอบ แล้วเขาบอกว่าไม่มีชื่อมันสองคนในรายชื่อผู้เข้าสอบ อานะโมโหจนไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว! ถ้าไปสอบแล้วสอบไม่ติดยังพอว่าใช่ไหมที แต่นี่ไม่แม้กระทั่งเข้าสอบด้วยซ้ำ ทีบอกอาหน่อยซิว่าอาควรจะทำยังไงกับลูกทรพีสองตัวนี้ดี’ ท้ายประโยคอาแอ๋มพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ



“อาแอ๋ม…อย่าร้องไห้เลย…ให้ทีคุยกับฝาแฝดหน่อยได้มั้ย”



‘โทรเข้าเบอร์พวกมันเองแล้วกันนะที ตอนนี้หน้ามันสองตัวอาก็ไม่อยากจะมองแล้ว มันเสียความรู้สึก แค่นี้นะลูก ตู้ดๆ ๆ ๆ’



หลังจากถูกตัดสายผมก็ไล่หาเบอร์โทรของสองแฝดนั่นอย่างโมโห พอเห็นชื่อภูผาผมก็กดโทรออกทันที รอไม่นานอีกฝ่ายก็รับสาย



‘หวัดดีครับพี่ที’ น้ำเสียงที่ราวกับไม่รู้สึกรู้สาอะไรของภูผาทำให้ผมอดจะโกรธแทนอาแอ๋มไม่ได้



“ทำไมพวกมึงไม่ไปสอบ!!! กูอุตส่าห์ติวให้ขนาดนี้ ทำไมทำแบบนี้ฮะ มีหัวคิดบ้างมั้ย!?”



‘…รู้แล้วพี่จะได้อะไรล่ะครับ มันไม่เกี่ยวกับพี่สักหน่อย ชีวิตก็ชีวิตพวกผม พี่จะเดือดร้อนอะไรนักหนา’ เสียงฟ้าครามตอบกลับมาอย่างกวนๆ แสดงว่าสองคนนี้เปิดลำโพงคุยกับผม ฟังจากน้ำเสียงแล้วพวกมันไม่แคร์เลยด้วยซ้ำว่าตัวเองจะไม่มีที่เรียน



“….” ผมอึ้งไปเมื่อโดนตอกหน้ากลับมาแบบนั้น ไม่คิดว่าน้องที่อยู่ด้วยกันมาเป็นเดือนๆ หัวอ่อนและค่อนข้างเชื่อฟังจะกล้าพูดใส่ผมแบบนี้



‘พวกผมมีสิทธิ์จะทำอะไรก็ได้เกี่ยวกับอนาคตตัวเอง ผมจะไปสอบ หรือไม่ไปมันหนักหัวพี่หรือไง ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะกำหนดอนาคตตัวเอง เหมือนพี่นั่นแหละ จริงมั้ย…อดีตว่าที่คุณหมอ’ ภูผาพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ น่าแปลกที่ผมแยกออกว่าเสียงใครเป็นเสียงใครทั้งที่มันเหมือนกันขนาดนี้ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนโดนน้ำเย็นสาดหน้าไม่มีผิด ภูผากำลังพูดถึงความลับที่ผมเก็บซ่อนไว้มาโดยตลอด ความลับเมื่อสองปีที่แล้ว



“……………”



‘อ้าว เงียบ …เงียบเบยยยย’



“ตู๊ดๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ”



ผมตัดสายทิ้ง เพราะไม่สามารถทนคุยกับพวกมันได้อีกต่อไป ผมกลัวว่ามันจะขุดเอาความลับของผมมาล้อให้ได้อับอาย กลัวว่าสองคนนั้นจะเอาความลับต่างๆ ของผมไปโพนทะนา ทำยังไงดี จะทำยังไงให้สองคนนั้นปิดปากให้สนิท ผมไม่อยากจะเชื่อว่าคนแบบสองคนนั้นจะเก็บความลับอยู่ ผมควรทำยังไง?



ทำไมภูผากับฟ้าครามต้องทำแบบนี้กับผมด้วย ทั้งๆ ที่ก็ดูเหมือนว่าพวกเราสนิทสนมกันดีแล้ว แต่มาวันนี้ทำไมมันสองคนเหมือนจะกลับไปเป็นอย่างตอนแรกๆ อีกแล้วล่ะ หรือไอ้พฤติกรรมโอนอ่อนที่มีให้ผมหลังเหตุการณ์ที่ผมตะคอกใส่มันวันนั้นจะเป็นแค่ภาพลวงตาที่พวกมันสร้างขึ้นมาเพื่อหลอกให้ผมตายใจ หรือเพราะว่าสองคนนั้นรู้ว่าได้กุมความลับของผมเอาไว้เลยกลับมาทำนิสัยเดิมเพราะคิดว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่า



ผมควรจะทำยังไงดี….











สองเดือนผ่านไปไวเหมือนโกหก อีกหนึ่งอาทิตย์ผมก็ต้องไปเรียนซัมเมอร์แล้ว ตลอดสองเดือนมานี้ผมไม่ได้ติดต่อกับอาแอ๋มหรือเจ้าแฝดนรกนั่นเลย ยอมรับว่าตอนแรกๆ ผมเครียดและคิดมากจนนอนแทบไม่หลับเรื่องที่ภูผาและฟ้าครามรู้ความลับของผม ทั้งเรื่องที่สอบหมอ ทั้งเรื่องต่างๆ ในไดอารี่ ทุกวันของผมเต็มไปด้วยความกังวลกลัวว่าสักวันหนึ่งพ่อแม่หรือทามจะรู้และเดินเข้ามาถามเอาความจริงกับผม กลัวว่าทุกคนจะผิดหวังและมองมาที่ผมด้วยสายตารังเกียจรังชัง แต่ดูเหมือนผมจะคิดมากไปเอง เพราะสองเดือนที่ผ่านมาไม่ได้มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นเลยแม้แต่อย่างเดียว นั่นทำให้ผมเริ่มสบายใจ และคิดว่าเจ้าแฝดนั่นก็เป็นคนดีอยู่เหมือนกันที่ไม่เอาความลับของผมไปเปิดเผย



“โซลมึงเคยมีความลับอะไรที่บอกคนอื่นไม่ได้ไหมวะ” วันนี้ผมไปซื้อหนังสือสำหรับอ่านล่วงหน้ากับไอ้โซลและผองเพื่อน ทุกคนต่างแยกย้ายกันไปหาหนังสือที่ตัวเองสนใจจนเหลือแค่ผมกับไอ้โซลที่ยืนอยู่ด้วยกันที่มุมหนังสือเกี่ยวกับธรณีวิทยา



มันที่กำลังเปิดหนังสือผ่านๆ เหลือบตามองผมนิดหนึ่งก่อนจะเก็บหนังสือในมือกลับเข้าชั้น



“อยู่ๆ ทำไมมึงถามเรื่องนี้วะ ทำไม? มึงไปทำอะไรมา? มีอะไรปิดบังพวกกูอยู่รึไง? หรือใครไปรู้ความลับอะไรของมึงเข้า? นี่กูคิดไปเองรึเปล่าว่าวันนี้มึงดูเหมือนคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา” เชี่ยละ กูไม่น่าถามเรื่องแบบนี้กับไอ้โซลเลย ไอ้นี่มันจับผิดคนเก่ง กูลืมไปได้ยังไง



“เปล่าเว้ย ก็แค่ถามเฉยๆ ถามเล่นๆ ไม่มีอะไรจะคุยไง” โซลมองหน้าผม กระตุกยิ้มมุมปาก หัวเราะหึๆ ในลำคอ



“นี่ไง มึงกำลังมีความลับ” มันชี้มาที่ผม ก่อนจะโยนหนังสือสองสามเล่มลงในตะกร้า



“กูไม่รู้หรอกนะว่าทำไมจู่ๆ มึงถึงมาถามอะไรที่มันดูติงต๊องๆ เป็นนามธรรมกับกู แต่กูจะแนะนำอะไรให้สักอย่างก็แล้วกัน” มันชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ แล้วพูดเบาๆ ที่ข้างหูผมด้วยน้ำเสียงร้ายๆ





“Two persons can keep a secret if one of them is dead ”





ไอ้เชี่ยยยยยย มึงจะให้กูไปฆ่าปิดปากไอ้ภูกับไอ้ครามหรือไงวะ! แล้วมันรู้ได้ไงว่าผมกำลังกังวลเรื่องที่มีคนมารู้ความลับที่บอกคนอื่นไม่ได้ของตัวเอง



“หน้ามึงตอนนี้อย่างตลกอ่ะ แสดงว่าที่กูเดาไว้มันถูกสินะ” ไอ้โซลหัวเราะ ก่อนจะเดินไปเลือกหนังสือบล็อกอื่น



….ผมตัดสินใจแล้วว่าชาตินี้จะไม่ขอรู้ความลับอะไรของมันแม้แต่อย่างเดียว









พอจ่ายตังค์เรียบร้อยพวกเราก็กลับคณะกัน อย่าคิดว่าพวกเราจะรักเรียนขนาดเจาะจงนัดกันมาซื้อหนังสืออ่านนอกเวลาโดยเฉพาะ มันไม่ใช่ครับ วันนี้มีประชุมเรื่องรับน้องวันแรกพบกับพวกปีสอง พวกผมเลยถือโอกาสไปซื้อหนังสือฆ่าเวลารอไอ้พวกที่ยังมาไม่ครบกันน่ะแหละ



ปีสามอย่างพวกผมแทบไม่ต้องทำอะไรมาก เพราะหน้าที่ส่วนใหญ่เป็นของพวกปีสองที่ต้องรับผิดชอบกิจกรรมพวกนี้ พวกผมมีหน้าที่แค่มาฟังแผนงาน ติชม แนะนำบางเรื่องให้กับพวกปีสอง ปีสามอย่างพวกผมมีหน้าที่เป็นสต๊าฟนำทางน้องสู่ลานกิจกรรมและคอยช่วยพวกปีสองดูแลความเรียบร้อยอีกทีหนึ่ง ส่วนปีสี่มีหน้าที่แนะนำคณะและการเรียนในชั้นปีต่างๆ



กว่าจะประชุมกันเสร็จก็ปาเข้าไปดึกดื่น ผมติดรถไอ้แท็คกลับบ้าน พอถึงเตียงผมก็ล้มตัวลงนอนอย่างหมดสภาพ วางหนังสือที่ซื้อมาไว้ข้างๆ กะว่าแค่จะพักสายตาแป๊บเดียวแล้วจะลุกไปอาบน้ำ แต่ผมกลับหลับยาวไปจนถึงเช้า



วันต่อมาในขณะที่ผมกำลังนั่งอ่านหนังสือที่เพิ่งซื้อมาเมื่อวานอยู่ที่โต๊ะทำงาน เสียงมือถือก็ดังขึ้น ผมละสายตาจากหนังสือหันไปมองว่าใครโทรเข้ามา



อาแอ๋มอีกละ…=_= ผมควรจะรับดีมั้ย รับสายอาแกทีไร กูงานเข้าทุกที



ผมปล่อยให้มันดังแล้วก็ดับไปอีกสามรอบ ตัดสินใจรับในครั้งที่สี่ก่อนที่อาแกจะโทรเข้าเบอร์บ้านแทน



“หวัดดีครับอาแอ๋ม…” ขณะที่ผมกำลังจะถามว่าโทรมาด้วยเรื่องอะไร เสียงสดใสมีชีวิตชีวาของเธอก็ดังขึ้นซะก่อน











‘ที! น้องติดมหา’ ลัยเดียวกับทีนะลูก’









ฮะ!! เมื่อกี๊ว่าอะไรนะ!!!!!!!!!!! OoO


ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6774
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
เด็กๆจะรุกแล้วสินะ  ปรับความเข้าใจกันเถอะนะ

ออฟไลน์ sompong

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 355
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
เพลินดีชอบๆๆๆ

ออฟไลน์ GBlk

  • ขอให้สรรพสัตว์จงมีความสุข
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1432
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-43
โอ้ยย ตามมมม

ออฟไลน์ candleguard

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 75
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-1


                                                             ตอนที่ 12 ประเด็นบนโต๊ะอาหาร



“เอ้า! ฉลอง!!!” ผมชูแก้วน้ำมะพร้าวปั่นในมือพร้อมกับสมาชิกครอบครัวคนอื่นๆ ไปอย่างแกนๆ ก่อนจะลดมือลงวางแก้วน้ำทรงสูงนั้นไว้ที่เดิม



“กินให้เต็มที่เลยนะที งานนี้อาถือว่าเป็นการเลี้ยงขอบคุณเรา แล้วก็ฉลองให้เจ้าแฝดไปด้วยเลยอยากกินอะไรสั่งเลยนะ ทามด้วยนะ” อาเขยพูดกับผมด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ก่อนจะหันไปบอกทามอีกคน



“แหม ที่จริงไม่เห็นต้องพามาเลี้ยงขอบคงขอบคุณอะไรแพงๆ เลย พี่น้องกันยังไงก็ต้องช่วยเหลือกันอยู่แล้ว จริงมั้ยเจ้าที” แม่พูดด้วยน้ำเสียงแสดงความเกรงอกเกรงใจพอเป็นพิธี เพราะรู้อยู่แล้วว่าถึงจะปฏิเสธยังไง บ้านฝั่งภูผาและฟ้าครามก็จะต้องคะยั้นคะยอให้มาเลี้ยงฉลองจนได้



“ไม่เอาหน่าพี่สา วันนี้บอกไว้ก่อนนะว่าห้ามแย่งจ่าย ไม่งั้นแอ๋มโกรธจริงๆ ด้วย” อาแอ๋มพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้มปากแทบจะฉีกถึงหูอยู่แล้ว วันนี้ผมยังไม่เห็นอาแอ๋มหุบยิ้มเลย ไม่เมื่อยบ้างหรือไง=_=;;



ผมปล่อยให้พวกผู้ใหญ่คุยกันไปอย่างถูกคอ ก็นานๆ ทีจะว่างตรงกันนี่นะ ผมตักทอดมันปลาคังใส่จาน ค่อยๆ ใช้ช้อนตัดมันเป็นชิ้นพอดีคำส่งเข้าปาก ปกติเวลากินผมไม่นั่งประดิดประดอยแบบนี้หรอก แต่วันนี้มันต่างออกไป ผมพยายามหาอะไรทำเพื่อที่จะได้ไม่ต้องเงยหน้าไปสบตาไอ้ภูกับไอ้ครามที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ไม่รู้จะจ้องอะไรผมนักหนา โคตรอึดอัดเลย





“เฮ้ย ไอ้ทีกินเยอะๆ สิวะ กับข้าวไม่ยุบเลย เอ้านี่ กุ้งแม่น้ำ ที่นี่เขาขึ้นชื่อมากนะ ไม่กินแล้วจะเสียใจ” พี่เฟิร์สหมุนจานกุ้งแม่น้ำมาตรงหน้าผม ลืมบอกไปว่าเรากินแบบโต๊ะจีนในห้องส่วนตัว แต่อาหารเป็นอาหารไทย



“ขอบคุณครับ” ผมยิ้มบางๆ ให้พี่เฟิร์ส ก่อนจะตักกุ้งมาหนึ่งตัวไม่ให้เสียน้ำใจพี่แก อาหารทะเลที่นี่อร่อยสมคำร่ำลือจริงๆ แหละ กุ้งแม่น้ำที่เป็นเมนูขึ้นชื่อก็ตัวใหญ่มาก ใหญ่เท่าจานผมเลย



ปกติผมไม่ค่อยชอบกินกุ้งเท่าไหร่เพราะขี้เกียจแกะ แต่ตอนนี้ผมโคตรอยากขอบคุณพี่เฟิร์สที่ส่งเมนูนี้มาให้ผม ผมเลยเปลี่ยนจากนั่งหั่นทอดมันมาก้มหน้าก้มตาแกะกุ้งแทน



“อ่ะทาม” ผมแกะกินเองส่วนนึง แต่ส่วนใหญ่จะแกะแล้ววางลงในจานให้ทามมากกว่า เพราะผมรู้ดีว่าทามก็ไม่ชอบแกะกุ้งกินเองเหมือนกัน



ยัยทามตักเนื้อกุ้งมันเยิ้มใส่ปากเคี้ยวตุ้ยๆ เห็นน้องชอบ น้องอร่อย ผมก็พลอยมีความสุขไปด้วย ว่าจะแกะให้พ่อกับแม่สักหน่อย พวกท่านก็แกะกินเองไปแล้ว แกะเก่งด้วยนะ ใช้แค่ช้อนกับส้อมไม่ต้องใช้มือช่วยแบบผม





เมื่อวานเป็นวันประกาศผลแอดมิชชันที่ผมไม่รู้เลยเพราะไม่ได้ติดตามข่าว อาแอ๋มเล่าให้ฟังอย่างแสนปลาบปลื้มว่าสองคนนั้นสอบได้วิศวะเครื่องกลภาคพิเศษของมหา’ ลัยผม ยอมรับเลยว่าผมตกใจมาก นึกว่าอาแอ๋มโทรมาอำกันเล่น มหา’ ลัยผมใครๆ ก็รู้ว่าโดดเด่นด้านวิศวะและเข้ายากมากแค่ไหน ถึงจะเป็นภาคพิเศษแต่ก็ต้องยอมรับเลยว่าภาคพิเศษของที่นี่ก็คะแนนสูงพอๆ กับวิศวะภาคปกติของมหา’ ลัยอื่นเลยทีเดียว





ที่แท้สองคนนั้นก็วางแผนเอาไว้แล้ว ต้องยอมรับเลยว่าใจเด็ดมากที่ไม่ไปสอบwcเพื่อกั๊กที่นั่งไว้ก่อน แต่เลือกที่จะลงสอบสนามใหญ่เลย มันแน่มาก แต่ก็ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าเกิดมันหลุดแอดขึ้นมาจะเกิดอะไรขึ้น ทำอะไรบ้าบิ่นชะมัด เล่นเอาคนอื่นเค้าเป็นห่วงกันไปหมด



“เออใช่ แล้วทุกวันนี้ทีไปเรียนยังไงล่ะ อยู่หอ หรือไปกลับ” อาเขยถาม ผมเลยจำต้องเงยหน้าจากหอยแครงขึ้นมาตอบ



“ไปกลับบ้านครับ นั่งสองแถวต่อรถเมล์ก็ถึงเลย”



“เออ ดีเนอะ สะดวกดี อากำลังกลุ้มใจอยู่เนี่ยว่าจะให้เจ้าแฝดมันเดินทางยังไง เพราะบ้านอามันไกลจากมหา’ ลัยมาก จะให้มันสองคนไปอยู่หอก็กลัวว่าจะพากันทำตัวเหลวไหล” อาเขยทำหน้าคิดหนัก



“ก็ให้มาอยู่ที่บ้านพี่เลยสิสินธุ์ ห้องเจ้าทีออกจะกว้าง เพิ่มเตียงเข้าไปอีกสองหลังได้สบายๆ มาอยู่ด้วยกันจะได้ให้ทีมันคอยดูแล ไปกลับก็ไปพร้อมกัน แอ๋มกับสินธุ์ก็จะได้ไม่ต้องคอยเป็นห่วง” พ่อเสนอ ผมหันไปมองพ่อทันทีพยายามสบตาพ่อเพื่อสื่อให้รู้ว่าผมไม่เห็นด้วย แต่พ่อไม่ได้มองมาทางผมเลย จะใช้เท้าสะกิดใต้โต๊ะก็ไม่ได้ บาปกรรมอีก เอาตีนสะกิดพ่อแม่=_=



ไม่เอานะ! ผมไม่ชอบให้ใครมายุ่มย่ามในอาณาเขตของผม แค่เดือนนั้นที่ต้องอยู่กับพวกมันสองคนแทบจะตลอดเวลา ผมก็อึดอัดเต็มทนแล้ว นี่พ่อยังจะเสนอให้มันมาอยู่บ้านเราตลอดสี่ปีอีกหรอ แล้วยังจะฝากฝังให้ผมดูแลพวกมันอีกอ่ะนะ เคยถามผมสักคำมั้ยว่าผมเต็มใจจะให้มันมานอนกับผม เต็มใจจะดูแลพวกมันรึเปล่า ทำไมไม่ถามความเห็นผมเลยว่าผมเห็นด้วยมั้ย!?





ตอนนี้ในใจผมเหมือนมีภูเขาไฟที่กำลังปะทุลาวาร้อนฉ่าออกมาเต็มไปหมด มันรู้สึกร้อนรน โมโห อึดอัด อยากจะคัดค้าน อยากจะพูดอะไรสักอย่างที่จะกันสองคนนั้นออกไปจากชีวิตของผมไม่ให้ต้องมาข้องเกี่ยวกันอีก แต่ผมควรจะพูดยังไง จะเอาอะไรมาแย้ง ถ้าแย้งไปพ่อกับแม่จะเสียหน้ามั้ย แล้วอาสินธุ์กับอาแอ๋มจะรู้สึกกระอักกระอ่วนใจที่ผมทำเหมือนรังเกียจไม่อยากดูแลน้องสองคนหรือเปล่า





เกลียดตัวเองว่ะ ขนาดตอนกำลังโกรธผมยังมานั่งห่วงความรู้สึกคนอื่นอีก บางทีผมก็อยากเป็นอย่างไอ้โซลนะ คิดอะไรก็ทำอย่างนั้น ไม่ต้องมานั่งแคร์ความรู้สึกใคร…แต่ผมทำไม่ได้หรอก เพราะผมไม่ได้ใจแข็งพอจะมองข้ามความรู้สึกคนอื่นได้อย่างมันนี่นา เฮ้อ



“โอ๊ย อย่าเลยพี่ ไอ้สองตัวนี้มันตัวยุ่ง ทีจะรำคาญมันซะเปล่าๆ แค่ให้มาอยู่ด้วยเดือนเดียวทีก็คงปวดหัวแย่แล้ว” อาแอ๋มว่า แล้วอย่างนี้ผมจะพูดว่าไงล่ะ พูดว่า “ใช่เลย! เห็นด้วยจ้า!” หรอ ต่อหน้าทุกคนเนี่ยนะ ไม่ดีม้างT-T



“ภูกับครามก็ไม่ได้ดื้ออะไรหรอกครับ หัวก็ไว แถมยังช่วยทำงานบ้านอีกต่างหาก ตอนน้องมาอยู่ด้วยนะทีไม่ได้แตะไม้กวาดแตะฟองน้ำล้างจานเลย น้องทำแทนตลอด” ผมพูดความเท็จผสมความจริงเพื่อรักษามารยาทด้วยใบหน้ายิ้มๆ ข้อดีเพียงอย่างเดียวของมันสองตัวเห็นจะเป็นเรื่องความรักสะอาดเนี่ยแหละ เหอะๆ -_-



“เฟิร์สว่าให้ไอ้แฝดมันอยู่หอไปเหอะแม่ บ้านลุงเดชมีลูกสาวคนเดียว แถมลุงกับป้าก็งานยุ่งบางทีก็ไม่ได้กลับบ้านด้วย ให้ทามอยู่กับผู้ชายสามคนตามลำพังมันดูไม่เหมาะ ถึงจะเป็นญาติพี่น้องกันก็เถอะ เกิดวันดีคืนดีเจ้าแฝดรับน้องกินเหล้าเมากลับมา เดินเข้าผิดห้องนี่เป็นเรื่องเลยนะ” บร๊ะเจ้า! กูอยากลุกไปกราบขอบคุณพี่เฟิร์สแกจริงๆ เลยว่ะ! พี่แกคิดเหตุผลนี้ขึ้นมาได้ไงวะ คิดไม่ถึงเลยจริงๆ



“อยู่หอ? แกก็รู้ว่านิสัยน้องแกมันเป็นยังไง นี่ขนาดอยู่บ้านยังขนาดนี้ ออกไปอยู่กันเองไม่มีคนคอยคุมมันจะขนาดไหน” อาสินธุ์ค้านหัวชนฝา ให้ตายยังไงก็จะไม่ยอมให้ภูผากับฟ้าครามอยู่หอเด็ดขาด เพราะพวกมันประวัติดี๊ดีเกินไป นี่ประชดนะ รู้มั้ยเนี่ย-_-



“ก็ให้อยู่หอในสิ” พ่อผมเสนอแนวทาง



“โอ๊ย สมัยเฟิร์สอยู่มหา’ ลัยนะลุงเดช เพื่อนเฟิร์สมันตบตาพ่อแม่ว่าอยู่หอในที่พ่อแม่จองให้ แต่ที่จริงมันไปนอนกับแฟนที่หอนอก ถ้าคนมันคิดจะเหลวไหลจริงๆ อยู่หอในหรือหอนอกก็ไม่ต่างกันหรอกลุงเดช มันอยู่ที่ตัวบุคคลต่างหาก ทีว่าพี่พูดถูกป้ะ” เอ๊ะ ตกลงพี่จะเชียร์ให้มันได้อยู่หอหรือไม่เชียร์กันแน่วะ



“แล้วเฟิร์สดูสิว่าน้องเราสองคนมันจะรับผิดชอบตัวเองได้เหรอ เดี๋ยวก็ไปเหลวไหล ต่อให้ไปอยู่หอในก็ไม่ช่วยอะไรหรอก” อาแอ๋มว่า



“โหยยยย แม่ อย่าบอกนะว่าจะให้ภูกับครามไปกลับน่ะ แม่ก็รู้นี่ว่ามันไกล แถมสี่แยกแถวบ้านเราตอนเช้าก็รถโคตรติด…..” ฟ้าครามเว้นวรรคให้ภูผาพูดต่อ



“….ถ้าภูกับครามไปสายแล้วเข้าเรียนไม่ทัน เรียนไม่รู้เรื่อง ติดเอฟ โดนไทร์ ก็เป็นความผิดพ่อกับแม่นะ พวกเราไม่ผิด” ดู๊ ดูพวกมันสิครับ ต่อหน้าพ่อแม่ผมมันยังย้อนพ่อแม่มันโชว์ออฟได้ไม่อายเล้ย



“เอาอย่างนี้มั้ยล่ะ ถ้าภูกับครามอยากอยู่หอไม่อยากไปกลับ งั้นก็ให้พี่ทีไปอยู่เป็นเพื่อน จะได้สบายใจกันทุกฝ่าย” แม่เสนอทางเลือกใหม่ให้



“แม่ครับ คือหอในมันอยู่ได้ห้องละสองคน…” ผมพยายามหาทางหนีให้ตัวเอง



“ถ้าทีจะไปอยู่ด้วยอาจะเช่าหอนอกให้แฝดมันไปเลย จะได้ไปอยู่กันสามคน อีกอย่างสองคนนี้มันเรื่องมาก หอในโทรมๆ มันไม่อยากอยู่หรอก อารู้นิสัยลูกอาดี” อาสินธุ์เสนออย่างกระตือรือร้น



“แม่ว่าอยู่หอก็ดีนะที จะได้ไม่ต้องมานั่งแหกขี้ตาตื่นแต่เช้า โหนรถเมล์ไปเรียนทุกวัน ยิ่งตอนนี้อยู่ปีสูงๆ เรียนก็หนักขึ้น อยู่หอไปเลยดีกว่าจะได้ไม่ต้องเหนื่อยเดินทางไปกลับ”



“แม่ครับ ทีไปกลับทุกวันก็ไม่ได้ลำบากลำบนอะไร วันไหนติดโปรเจ็คต้องอยู่ดึกทีก็ค้างกับเพื่อน อีกอย่างทีว่าน้องสองคนก็โตพอแล้วที่จะรับผิดชอบตัวเอง ทุกคนเป็นห่วงกันมากเกินไปรึเปล่า อย่าไปคิดแทนสิครับว่าน้องจะอยู่ไม่ได้ ลูกผู้ชายน่ะถ้ามัวแต่โดนปกป้องแล้วเมื่อไหร่จะเข้มแข็งล่ะ ทีเชื่อนะว่ามันสองคนน่ะอยู่กันเองได้ ไม่เหลวไหลหรอก สอบติดมาได้นี่ก็ถือว่ามีวินัยในการอ่านพอตัวอยู่นะ” ผมพูดด้วยสีหน้ายิ้มๆ พยายามให้ดูน่าเชื่อถือที่สุด ภูผาและฟ้าครามมองมาที่ผมโดยไม่พูดอะไร ที่กูพูดชมพวกมึงนี่ไม่ได้หมายความว่าหายโกรธนะ โกรธหลบในอยู่ แต่ตอนนี้ต้องแก้สถานการณ์ตรงหน้าก่อน เรื่องอื่นเดี๋ยวต้องมาเคลียร์กันนอกรอบแน่ๆ



“ไม่ได้หรอกที ต่อให้มันไม่ทำตัวเหลวไหลจริงอย่างที่เราว่า แต่อาก็ห่วงมันอยู่ดี ขนาดเฟิร์สอายังไม่ให้มันไปอยู่หอเลย”



“หัวอกคนเป็นแม่น่ะยังไงก็มองว่าลูกเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำแหละที” แม่ลูบหัวผมอย่างอ่อนโยน



“ทีไปอยู่เป็นเพื่อนน้องหน่อยนะลูกนะ แค่สองปีเองลูกก็เรียนจบแล้ว ถึงตอนนั้นน้องก็อยู่กันเองได้แล้วล่ะ ตอนนี้ก็ช่วยสอนช่วยดูๆ น้องหน่อย ไหนๆ ก็เป็นศิษย์ร่วมสถาบันเดียวกันแล้ว” อยากจะเถียง อยากจะแย้ง อยากจะปฏิเสธเหลือเกิน แต่สายตาของทุกคนที่มองมาที่ผมเป็นตาเดียวก็ทำให้ผมตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก



คุณเข้าใจหรือเปล่าว่าถ้าผมยังอ้างนั่นอ้างนี่ต่อ ถึงจะพูดด้วยท่าทางดูดีมีเหตุผลแค่ไหนมันก็จะเริ่มน่าเกลียดแล้ว เพราะผู้ใหญ่เขาจะรู้สึกแล้วไงว่าที่เราพูดนั่นพูดนี่เยอะๆ เนี่ยมันสื่อความหมายได้ว่าจริงๆ แล้วไม่อยากไปอยู่ด้วย ถ้าผมยังอยากรักษามารยาทผมต้องหยุดแล้ว



ผมรู้สึกอยากร้องไห้มันรู้สึกคับแค้นแน่นใจไปหมด เพราะโต้แย้งอะไรไม่ได้ เถียงก็ไม่ได้ พูดตรงๆ ก็ไม่ได้ ขัดความต้องการของพวกผู้ใหญ่ไม่ได้เลย ผมรู้สึกเหมือนโดนกดให้จมน้ำ ต่อให้อ้าปากพูดก็คงไม่มีใครได้ยิน



ผมรู้ว่าถ้าผมพูดออกไปตรงๆ ว่า “ไม่อยากไปอยู่หอกับน้อง เลิกเอาผมไปผูกติดกับพวกมันสักที!” แน่นอนทุกคนอาจจะตกใจและคงไม่มีใครบังคับฝืนใจผมต่ออีก แต่ผมจะทำอย่างนั้นได้ยังไง ทุกคนบนโต๊ะนี้เป็นสายเลือดเดียวกันกับผม เป็นญาติที่ตามนิยามก็ควรจะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แล้วในสายตาทุกคนก็มองว่าผมเป็นคนที่ดูพึ่งพาได้ เป็นพี่ที่นิสัยสุขุมเยือกเย็น เป็นแม่งทุกอย่างที่จำกัดความได้ว่าดีงาม ผมจะทำอะไรตามใจตัวเองไม่ได้ เพราะสายตาที่ทุกคนมองมายังผมนั้นประเมินผมว่าต้องเป็น ‘คนดีที่ไม่มีที่ติ’ ผมทำไม่ได้ที่จะทำลายความคาดหวังเหล่านั้นของพ่อแม่และทุกๆ คน



ดังนั้น ผมที่เป็นผมอยู่ทุกวันนี้ คือทีในแบบที่ทุกคนอยากให้เป็นยังไงล่ะ…







“โอ้โห มหา’ ลัยใหญ่ชะมัดเลย” ฟ้าครามมองซ้ายมองขวาสอดส่ายสายตาไปทั่วอย่างตื่นตาตื่นใจ



“กว้างโคตร กูว่าไม่น่าเรียกมหา’ ลัยแล้ว เรียกอาณาจักรน่าจะเหมาะกว่า”



“อย่ามัวแต่มองซ้ายมองขวาได้มั้ย เดินตามมาไวๆ ได้คิวหลังๆ ไม่รู้ด้วยนะ” ผมพูดนิ่งๆ ไม่ยิ้มและไม่ได้ทำหน้าบึ้ง ใจจริงผมไม่ได้อยากจะพูดแบบนี้หรอกมันดูดีเกินไป อยากจะบอกว่าหุบปากแล้วเดินตามมาเงียบๆ ได้มั้ย อย่าทำท่าทางเหมือนพวกบ้านนอกเข้ากรุงกูเดินด้วยแล้วอาย



วันนี้เป็นวันที่เจ้าแฝดนรกต้องมาสัมภาษณ์ที่คณะ ผมเองก็ต้องมาเป็นสต๊าฟช่วยน้องปีสองเหมือนกัน หน้าที่ที่ผมรับผิดชอบก็คือนำทางน้องไปยังสถานที่ดำเนินการเรื่องเอกสารและบัตรคิวเข้าสอบสัมภาษณ์ซึ่งจะมีน้องปีสองมารับช่วงต่อไปดูแลอีกทีนึง ไอ้โซลโดนส่งไปยืนหน้าบูดถือป้ายคณะที่ปากประตูมหาลัยกับพวกดาวเดือนเป็นหน้าเป็นตาให้คณะ ไอ้ก้อยไอ้แท็คโดนอาจารย์เรียกเข้าไปช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ปกครองในหอประชุม ส่วนไอ้ป๊อกมีหน้าที่ไปเต้นแร้งเต้นกาบ้าๆ บอๆ รวมกับกองสันหน้าคณะสร้างความครื้นเครงให้เหล่าน้องใหม่ที่มาสัมภาษณ์กันในวันนี้





“อ้าวที นำน้องหรอวะ” พี่ปีสี่ที่เดินสวนมาเอ่ยทักผมยิ้มๆ ผมยกมือไหว้เพราะความเคยชินตอนปีหนึ่งที่ถูกลงระเบียบให้ไหว้รุ่นพี่ทุกคนจนติดเป็นนิสัย เพื่อนๆ ผมส่วนใหญ่ก็เป็นเหมือนกัน เห็นรุ่นพี่ทีไรมือมันไปเองทุกที ขนาดไอ้โซลที่ว่าแน่ยังต้องยกมือไหว้รุ่นพี่อ่ะคิดดู ถึงมันจะแก้ตัวว่าไม่ได้กลัวแค่ขี้เกียจมีปัญหาก็เถอะ ก็นับว่ายังดีที่มันยังรู้จักอินดี้อย่างมีขอบเขต



“ครับพี่อาร์ม แล้วนี่พี่ไม่เข้าหอประชุมหรอ”



“เนี่ยกำลังจะไป แล้วเจอกัน” พี่แกตบหลังผมเบาๆ ยิ้มให้ไอ้แฝดหนึ่งทีก่อนจะผละจากไป



“คนเมื่อกี๊ใครน่ะ” ฟ้าครามเร่งฝีเท้ามาเดินขนาบผม เช่นเดียวกับภูผาที่เดินขึ้นมาอีกข้าง



“ปีสี่” ผมตอบเรียบๆ ก่อนจะสาวเท้าเดินให้เร็วขึ้น รู้สึกอึดอัดชะมัดเวลาอยู่กับสองคนนี้ รีบๆ ไปส่งมันให้จบๆ ดีกว่า



“เดินช้าๆ หน่อยไม่ได้หรอพี่ ห้องสัมภาษณ์มันไม่หนีไปไหนหรอก” ฟ้าครามพูดก่อนจะก้าวยาวๆ ขึ้นมาประกบผมพร้อมกับภูผา ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นแซนด์วิชเลย เพราะมันสองคนเล่นเดินชิดผมแบบไหล่ชนไหล่ แต่ละคนก็ไม่ได้ตัวเล็กๆ ออกไปเดินห่างๆ ไม่ได้หรือไงมันอึดอัดนะเว้ย!



ผมหยุดเดิน รู้สึกหงุดหงิดพวกมันอย่างไม่มีเหตุผล ไม่สิ มี มีมากด้วย หลายเรื่องเลยล่ะ ผมกลอกตาไปมาอย่างอารมณ์บ่จอย ตั้งแต่สองคนนี้เข้ามาวุ่นวายในชีวิตผมแทบไม่มีวันไหนเลยที่ผมจะไม่รำคาญพวกมัน !



“ภู คราม……เดี๋ยวเข้าหอเมื่อไหร่ เรามีเรื่องต้องเคลียร์กันหน่อยนะ….” ผมตัดสินใจบอกออกไป มันสองคนมองหน้าผมนิ่งๆ เราคงจะได้ยืนจ้องกันไปจ้องกันมาอีกนานถ้าไอ้โซลไม่เดินเข้ามาขัดซะก่อน



“มีเรื่องอะไรกัน?” มันเลิกคิ้วถาม ด้านหลังมันมีน้องใหม่ใส่ชุดนักเรียนเดินตามต้อยๆ เหมือนลูกเป็ดตามแม่เป็ดมาอีกห้าคน พอคิดว่าไอ้โซลดูเหมือนแม่เป็ดแล้วผมก็หลุดยิ้มขำออกมาทันที



“เปล่านี่ แค่หยุดคุยกับน้องเฉยๆ …แล้วนี่น้องมาครบแล้วหรอมึงถึงเข้ามา” ผมพูดยิ้มๆ เหมือนไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น



“อืม ก็ขาดอีกสองสามคน ไอ้พีทโทรตามแล้วกำลังมา นี่ก็น้องกลุ่มสุดท้ายแล้วกูเลยพามาเอง” มันว่าพลางชูกระดานเช็กชื่อในมือมันให้ผมดูประกอบ



“เออดีงั้นไปพร้อมกันเลย” ผมรีบไปเดินตีคู่กับไอ้โซล ปล่อยให้ไอ้แฝดมันเดินตามหลังรวมกับคนอื่นๆ ค่อยยังชั่ว ดีที่ไอ้โซลเข้ามาขัดจังหวะ นานๆ ทีจะทำตัวมีประโยชน์กับกูนะมึง



พวกน้องปีสองแล้วก็เพื่อนๆ ผมดูจะตื่นตาตื่นใจกันใหญ่ที่ปีนี้มีฝาแฝดเข้ามาเป็นเฟรชชี่ แถมยังหน้าตาหล่ออีกต่างหาก (ไม่อยากจะชม แต่ก็ต้องยอมรับว่าพวกมันหน้าตาดีจริงๆ ชิ) พวกมันสองคนโดนรุมปรนนิบัติพัดวีอย่างดีจนน่าหมั่นไส้จากพวกผู้หญิง ส่วนพวกผู้ชายก็ไม่ได้อะไรกับพวกมันเท่าไหร่ แค่ดูจะสนใจที่มันเป็นแฝดที่หน้าตาเหมือนกันมากๆ เท่านั้น



พอเสร็จภารกิจผมก็ปลีกตัวออกมาทันที ว่าจะเดินกลับไปหน้าคณะอีกรอบ ดูว่ามีอะไรให้ช่วยอีกมั้ย



พวกกองสันเก็บข้าวเก็บของกันเสร็จเรียบร้อยแล้วกำลังจะกลับเข้าไปรวมกับพวกปีสองที่ดูแลน้องอยู่ ขณะที่กำลังจะตามไอ้ป๊อกกลับเข้าตึกไอ้พีทที่ทำหน้าที่เช็คชื่อน้องก็เรียกผมเอาไว้



“เฮ้ยๆ ที มึงไปยืนเฝ้าหน้าตึกแทนกูหน่อย กูจะออกไปเดินหาน้องว่ะ หายไปคนนึง กูโทรเข้าเบอร์มือถือก็ไม่ติด โทรเบอร์บ้านคนที่บ้านก็บอกว่าออกมานานแล้ว ไม่รู้ไปหลงอยู่ที่ไหนป่าวเนี่ย”



“เฮ้ย กูไปช่วยหามั้ย”



“ไม่ต้องๆ เดี๋ยวกูไปกับพวกไอ้กั๊ก มึงไปยืนดักหน้าตึกให้หน่อย เผื่อเจอน้องแล้วโทรบอกกูด้วย” พูดจบมันก็วิ่งออกไปเลย คณะผมถึงจะขึ้นชื่อเรื่องความเถื่อน รับน้องหนัก แต่เราดูแลน้องทุกคนดีมากนะครับ น้องหายไปคนเดียวนี่ถือเป็นเรื่องใหญ่ของพวกผมเลยแหละ



ผมยืนเตะฝุ่นรออยู่หน้าคณะที่เริ่มจะเงียบ เพราะน้องที่มาสอบสัมภาษณ์คณะต่างๆ ก็เข้าตึกไปกันหมดแล้ว



“อ้าว! หวัดดีครับอาจารย์” ผมรีบยกมือไหว้เมื่ออาจารย์ปกรณ์ขาโหดที่วันนี้มาในลุคแปลกตาด้วยเสื้อยืดมหา’ ลัยที่พวกนักศึกษาชอบทำมาขาย เดินเข้ามาพร้อมกับเด็กนักเรียนคนหนึ่งถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นเครื่องแบบของโรงเรียน RKT



เอ๊ะ! RKT หรอ ….ผมก้มมองกระดานเช็กชื่อที่ไอ้พีทยัดใส่มือมา จริงๆ ด้วย นี่มันน้องคนสุดท้ายที่หลงทางจนไอ้พีทต้องออกไปวิ่งหานี่หว่า! แล้วทำอีท่าไหนถึงมากับอาจารย์ได้ล่ะเนี่ย



น้องคนนั้นมองอาจารย์ปกรณ์อึ้งๆ หลังจากผมยกมือไหว้ก่อนจะหันกลับมามองหน้าผมสลับกันไปมา เพิ่งสังเกตว่าน้องคนนี้หน้าใสมากน่ารักพอๆ กับน้องไอ้โซลเลยว่ะ



“ผมเอาน้องคุณมาส่ง ฝากดูแลต่อด้วย” อาจารย์แกอมยิ้มมุมปากเล็กน้อยเหมือนขำอะไรสักอย่าง เป็นภาพที่นานๆ ผมจะเห็นซักที ก็ปกติแกชอบเล่นมุกหน้าตายกับนิสิตตลอด



“พะ…พี่ครับ คนเมื่อกี๊มะ..ไม่ใช่พี่บัณฑิตหรอกหรอครับ” น้องครับ อย่าทำหน้าตลกอย่างนั้น เดี๋ยวพี่หลุดขำจะมาหาว่าพี่เสียมารยาทไม่ได้นะ



“พี่บัณฑิต? คนเมื่อกี้เขาเป็นอาจารย์ครับน้อง เห็นหน้าตาหนุ่มๆ แบบนั้นแต่จบดอกเตอร์แล้วนะ…อืม จะว่าไปจารย์เค้าก็จบจากที่นี่จะเรียกว่าเป็นพี่บัณฑิตก็ไม่ผิดหรอก… แป๊บนะ พี่โทรบอกเพื่อนก่อนว่าน้องมาแล้ว” ผมรีบโทรไปบอกพวกไอ้พีท พอวางสายแล้วก็หันมายิ้มให้น้องอย่างเป็นกันเอง



“ป่ะ เดี๋ยวพี่พาไปตรวจเอกสารนะครับ^^”



ถ้าให้เดาจากปฏิกิริยาของน้องนะ ผมว่าแม่งต้องโดนดอกเตอร์แกหลอกว่าเป็นรุ่นพี่ที่คณะแน่ๆ เลย สงสารน้องว่ะ … อาจารย์นะอาจารย์ แกล้งเข้าไปได้ ..




ออฟไลน์ candleguard

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 75
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-1

                                                            ตอนที่ 13  ความพยายาม (ภูผาxฟ้าคราม)



(บทภูผา)



“ภู คราม พี่จะไปห้างซื้อของให้แม่ เราจะฝากซื้ออะไรรึเปล่า” พี่ทีเอ่ยถามพวกเราที่ยืนล้างจานกันอยู่ในครัว



“ไม่อ่ะ เดี๋ยวพี่หนัก ไปเหอะคร้าบ” ผมตอบ ไอ้ครามที่อ้าปากกำลังจะฝากซื้อไอติมเลยรีบหุบแทบไม่ทัน พี่ทีที่ตอนแรกถามด้วยสีหน้าเฉยๆ พอได้ยินคำตอบของผมก็แย้มรอยยิ้มแสนอบอุ่นออกมาทำเอาใจผมกระตุกไปวูบหนึ่ง ดวงตาที่ไร้กรอบแว่นปิดกั้นมองมาที่ผมอย่างเอ็นดู



“…งั้นเดี๋ยวซื้อไอติมมาฝากละกัน เป็นรางวัลให้คนขยันช่วยพี่ล้างจาน” พี่ทีเดินออกจากห้องครัวไป ฟ้าครามหันมาสบตาผมอย่างอึ้งๆ



“พี่เค้ารู้ได้ไงวะว่ากูอยากกินไอติม กูยังไม่ทันบอกเลย…” ฟ้าครามถามอย่างประหลาดใจ



“ไม่รู้ดิ สงสัยเห็นไอติมในช่องฟรีซมันหมดมั้ง” ผมเดาส่งๆ ไป จะด้วยความบังเอิญ หรือเพราะพี่เค้าใส่ใจ ไอ้ครามก็ปลื้มไปแล้ว ต่อให้มันไม่พูดผมก็รู้ดีว่ามันรู้สึกยังไงที่พี่เค้าดูเหมือนจะรู้ใจมัน



ผมกับครามรู้ตัวว่าพวกเราทั้งคู่ชอบพี่ทีมากแค่ไหน ความรู้สึกชอบมันก่อตัวมานานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ บางทีอาจจะตั้งแต่ตอนที่รู้ว่าใต้ที่นอนมีผ้านวมเพิ่มมาอีกสองผืน อาจจะเป็นตอนที่เรานอนหัวเราะด้วยกันบนเตียง หรือจะเป็นตอนที่เราไหว้ขอโทษแล้วพี่เขาอโหสิฯ ให้ ไม่รู้เลยว่าชอบไปตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้ตัวอีกทีความรู้สึกอบอุ่นนุ่มนวลของการได้ชอบใครสักคนมันก็ก่อตัวขึ้นในใจพวกเราแล้ว



ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไอ้ความรู้สึกชอบนี้มันเป็นความชอบในลักษณะไหน รู้แค่ว่าชอบ ชอบทุกอย่างที่เขาเป็น ชอบที่อ่อนโยนใจดีแต่ก็เข้มแข็ง ชอบที่พี่ทียิ้มเก่ง ชอบที่พี่เขาเป็นคนใจเย็น ชอบที่พี่เขาทนพวกเราได้ ชอบที่เป็นคนทำดีทั้งต่อหน้าและลับหลัง ชอบที่เป็นคนไม่เหยียบย่ำซ้ำเติมใคร ชอบที่ใส่ใจพวกเราเสมอ ชอบที่เป็นคนดูเหมือนไม่มีอะไรแต่ก็มี ชอบที่พี่ทีอ่อนโยนกับน้องสาวอย่างทาม ชอบที่พี่ทีพูดเพราะกับพ่อแม่ ชอบที่ใจบุญสุนทานลุกขึ้นมาตักบาตรแต่เช้า ชอบที่เป็นคนมีอารมณ์ขัน ….ชอบ…ชอบจนบรรยายสิ่งที่ชอบออกมาได้ไม่หมด …



ไม่รู้จะทำยังไงกับความรู้สึกนี้ดี มันทั้งมีความสุข ทั้งกลัวในเวลาเดียวกัน… มีความสุขที่ได้รู้สึกชอบใครสักคน แต่ก็กลัวว่าความรู้สึกนี้จะจางหายไปเมื่อถึงวันที่ต้องลาจาก







ผมยืนมองปฏิทิน อีกอาทิตย์เดียวทุกอย่างก็จะจบลงแล้ว เราจะต้องไปสอบ จากนั้นก็กลับบ้าน และคงอีกนานกว่าจะได้กลับมาเยี่ยมเยียนที่นี่อีก



“ภู กูเจ็บปากว่ะ เผลอกัดกระพุ้งแก้มตอนเคี้ยวหมากฝรั่ง มึงดูให้กูหน่อยดิ๊ว่าแม่เตรียมยาทาแผลในปากมาให้มั้ย” ไอ้ครามยืนอ้าปากอยู่หน้ากระจก ผมเดินไปคุ้ยๆ ของในกระเป๋าก็ไม่เจอ เออ! จริงสิ วันนั้นที่ไอ้ครามถูกกระดาษบาดผมเห็นพี่ทีหยิบปลาสเตอร์ออกมาจากกล่องในตู้เสื้อผ้านี่หว่านั่นน่าจะเป็นกล่องยานะ



ผมเดินไปเปิดตู้อย่างถือวิสาสะ เอาเหอะ พี่เขาไม่รู้หรอกน่า แล้วถึงรู้ก็คงไม่น่าจะโกรธ แค่ขอยืมยาเอง



ไอ้ครามเดินมาช่วยผมหาอีกแรง แล้วก็เจอกล่องสีขาวใบเล็กๆ น่าผิดหวังที่มันไม่มียาที่ไอ้ครามต้องการ ดูเหมือนว่าของในกล่องนี้จะเน้นไปทางอุปกรณ์ทำแผลจำพวกเบตาดีน ปลาสเตอร์ สำลี กับยาทาแก้ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อมากกว่า



“ช่างมันเถอะว่ะคราม พรุ่งนี้ค่อยไปซื้อก็ได้”



“เฮ้ย ภู มึงดูนี่ดิ มีตู้ซ่อนอยู่ตรงนี้ด้วย” ไอ้ครามชี้ไปที่ใต้กองเสื้อกล้าม รูกุญแจที่เหมือนมีชิ้นส่วนกุญแจหักคาอยู่โผล่ออกมาจากใต้กองเสื้อกล้ามเล็กน้อย ถ้าไม่สังเกตดีๆ จะไม่เห็นเลยว่ามีรูกุญแจอยู่ตรงนี้



ไอ้ครามเปิดมันขึ้นมาทันที น่าแปลกใจที่มันไม่ได้ถูกล็อกทั้งที่ดูเหมือนมันเป็นช่องลับที่พี่เค้าควรจะรักษาความปลอดภัยเอาไว้แน่นหนา แต่คิดดูอีกที ที่มันไม่ได้ล็อกอาจจะเป็นเพราะชิ้นส่วนกุญแจที่หักคารูเอาไม่ออกนั่นก็ได้



ในช่องนั้นมีสมุดอยู่สี่เล่ม กับกระดาษแผ่นนึงที่พับสี่ทบ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นผมเลยหยิบกระดาษใบนั้นมาคลี่ดู



มันเป็นกระดาษรายชื่อผู้มีสิทธิ์เข้าสอบสัมภาษณ์เข้าคณะแพทย์ของมหา’ ลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง ผมกับครามกวาดตามองรายชื่อเหล่านั้นก่อนจะเบิกตากว้างอย่างตกใจ เมื่อเห็นชื่อพี่ทีเป็นหนึ่งในนั้นด้วย



ก็ไหนตอนนั้นแม่ผมเล่าให้ฟังว่าพี่ทีสอบตรงกสพท.ไม่ติดไง?



ผมกับครามมองหน้ากัน รู้เลยว่ามันต้องกำลังคิดเหมือนผมอยู่แน่ๆ ต้องโทรไปถามแม่แล้วแฮะ!



โอเค เรื่องนี้เก็บไว้ก่อน ผมพับกระดาษแผ่นนั้นวางไว้ที่เดิม แล้วหยิบสมุดบันทึกสี่เล่มนั้นออกมาดู หน้าปกมันเขียนว่า ‘my diary’



คุณเคยเป็นมั้ยเวลาเจอไดอารี่คนอื่นความรู้สึกอยากแอบอ่านมันจะพุ่งกระฉูดเลย แล้วยิ่งเป็นผมกับไอ้ครามแล้วด้วย ไม่อยากจะบอกว่าพวกเราอ่ะเสือกเรื่องชาวบ้านเก่งมาตั้งแต่เด็กแล้ว และไอ้ไดอารี่พวกนี้มันก็สะกิดต่อมเสือกพวกผมอย่างจัง!!



“เฮ้ย…ล็อกว่ะ” ผมพยายามจะเปิดอ่านแต่ติดที่มันมีล็อกกุญแจติดอยู่นี่ดิ



“ก็งัดเอาดิวะไอ้โง่!” ไอ้ครามเดินวนรอบๆ ห้อง ได้มีดคัตเตอร์กับกรรไกรมาอย่างละอัน



“เฮ้ย!! ครามๆ กูว่าอย่าเลยว่ะ” จู่ๆ ภาพพี่ทีที่ยิ้มอย่างอบอุ่นให้ผมเมื่อตอนเย็นก็ผุดขึ้นมาในหัว ผมเลยรู้สึกไม่ค่อยดีที่จะทำแบบนี้สักเท่าไหร่ เหมือนกำลังหักหลังพี่เค้าอยู่ยังไงยังงั้น



“… กูเปิดได้แล้ว มึงจะไม่อ่านใช่มั้ย”



(จบบทภูผา)









(บทฟ้าคราม)



เรื่องราวที่พวกเราได้รับรู้จากสมุดบันทึกพวกนี้ไม่ได้ทำให้รู้สึกตกใจหรือประหลาดใจอย่างที่ควรเป็น เนื้อหาในบันทึกส่วนใหญ่จะเน้นไปทางสารภาพบาปในใจ บันทึกพวกนี้ลงวันที่ห่างกันมาก แสดงว่าพี่เขาจะเขียนเฉพาะวันที่มีเรื่องทุกข์ใจเท่านั้น ทุกๆ หน้าในบันทึกมักเขียนสิ่งที่พี่ทีคิดลงไปและลงท้ายด้วยการต่อว่าตัวเองอย่างหนักก่อนจบบันทึกในแต่ละวัน



ผมว่าพี่ทีน่ะคิดมาก เพราะพี่เขาแคร์คนรอบข้างมากเกินไปไงเลยเป็นทุกข์แบบนี้ ผมไม่เข้าใจเลยกะอีแค่เผลอคิดเรื่องไม่ดีทำไมพี่เขาจะต้องต่อว่าตัวเองขนาดนั้น เหมือนพี่เค้ากำลังพยายามทำตัวเองให้เป็นคนเพอร์เฟ็คทั้งภายนอกทั้งภายในอยู่หรือเปล่า พอภายนอกทำดีได้ แต่ภายในไม่ได้คิดดีอย่างนั้น พี่เขาเลยรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนเลวที่กำลังแสร้งใช่มั้ย?



ยิ่งอ่านไดอารี่พวกนี้ แทนที่พวกผมจะคิดว่าพี่เขาเป็นคนไม่ดีกลับกลายเป็นว่ายิ่งอ่านก็ยิ่งรู้สึกว่าพี่เค้าเป็นคนดีมาก ในโลกนี้จะหาแบบพี่ทีได้สักกี่คนกัน คนที่รู้สึกผิดเพียงแค่รู้ว่าตัวเองคิดไม่ดีกับคนอื่น



น่าแปลกใจที่ในบันทึกพวกนี้ไม่มีเรื่องของพวกเราอยู่เลย ทั้งที่ผมกับภูรู้อยู่แก่ใจว่าทำตัวกวนโมโหพี่เค้าแค่ไหน แต่มานึกดูอีกที พี่ทีจะเอาเวลาที่ไหนไปเขียน ก็พวกผมเล่นขลุกอยู่ด้วยตลอดเวลานี่หน่า



เล่มหลังๆ พวกผมก็แค่เปิดมองผ่านๆ ไม่ได้สนใจอะไรแล้ว เพราะรู้ดีว่าเนื้อหามันก็มีแต่เรื่องซ้ำๆ ซากๆ สารภาพผิด…แล้วก็ด่าตัวเองปิดท้าย เป็นอย่างนี้ทุกหน้า เฮ้อออออ



“เฮ้ย! ครามมึงดูดิ มันเห็นรอยแงะเนี่ย พี่เค้าจะจับได้ก็เพราะตรงนี้อ่ะแหละ ทำไมตอนแงะไม่แงะให้มันดีๆ หน่อยวะ!” ไอ้ภูที่ปิดไดอารี่สังเกตเห็นว่าตรงรูกุญแจร่องมันบิ่นไปนึดหน่อย เอาแล้วไง ไม่น่าสะเพร่าเลยผม



“โอ๊ย บิ่นนิดเดียวเองน่า พี่เค้าไม่ทันสังเกตเห็นหรอก อีกอย่างมันก็เก็บไว้ซะมิดชิดขนาดนี้ แถมเขียนหมดเล่มไปแล้วด้วย พี่เค้าอาจจะเก็บจนลืมไปแล้วก็ได้ คิดมากว่ะ”



ถึงปากจะพูดไปแบบนั้น แต่เป็นผมเองที่ชักจะเริ่มกังวล เคยเป็นมั้ยก่อนทำอ่ะไม่คิด พอทำไปแล้วถึงได้รู้สึกตัวว่าไม่น่าทำเลย แต่ก็สายไปเสียแล้ว



ตอนนี้ผมกับไอ้ภูรู้สึกเหมือนคนมีชนักติดหลัง ทั้งๆ ที่บอกว่าพี่เค้าคงไม่สังเกตเห็นหรอก แต่ในใจกลับคิดตรงกันข้าม ความรู้สึกมันบอกว่าพี่เค้าต้องรู้แน่ๆ เอาไงดี ไม่น่าเลย แต่จะให้ทำไงได้ ก็มันอยากรู้นี่ !



โชคดีที่พี่ทีกลับดึกพวกเราเลยมีเวลาวางแผนกันว่าจะเอาไงต่อ ไอ้ภูทำหน้าตาไม่สบายใจมาก ผมเองก็รู้สึกเหมือนกัน พวกเราเลยตัดสินใจโทรหาแม่เพื่อขอกลับไปอยู่บ้าน พวกเราโดนซักไซ้เสียละเอียดยิบว่าอีกแค่อาทิตย์เดียวจะกลับมาทำไม ไอ้ภูอึกๆ อักๆ ผมอยากจะช่วยพูดก็คิดไม่ออกว่าจะพูดอะไรดี เลยต้องยอมเล่าให้แม่ฟัง โดยเล่าให้ฟังแค่เรื่องแอบอ่านไดอารี่พี่ที ไม่ได้บอกแม่สักคำเรื่องเนื้อหาในนั้น



แม่ด่าเราซะยกใหญ่ แถมยังจะบังคับให้เรารีบไปขอโทษพี่ทีอีก ที่แม่พูดมามันอาจจะง่าย แต่มันไม่ใช่อย่างนั้นเพราะแม่ไม่รู้ว่าเนื้อหาในไดอารี่มันเป็นยังไงถ้าแม่รู้คงจะไม่พูดอย่างนี้



ตอนนี้ถึงผมกับภูอยากจะไปขอโทษก็คงทำไม่ได้หรอก เพราะเนื้อหาในไดอารี่ที่พวกเราอ่านไป…มัน…ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะให้คนอื่นรู้นอกจากตัวพี่ทีคนเดียว



ผมแย่งมือถือมาคุยเอง พยายามอธิบายให้แม่ฟังว่าพี่เค้าไม่รู้หรอกน่าว่าโดนแอบอ่าน แต่พวกผมแค่รู้สึกไม่ดีที่ขาดสติทำลงไป จะให้อยู่บ้านพี่ทีต่อก็มองหน้าพี่เค้าลำบาก มันเหมือนมีอะไรติดอยู่ในใจ คงอ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง แล้วอีกอย่างเนื้อหาที่ต้องรู้ก็เก็บครบแล้ว ที่เหลือกลับมาทำโจทย์เองที่บ้านก็ได้ ผมโต้เถียงกับแม่อยู่นาน จนในที่สุดแม่ก็ยอมให้กลับบ้าน แต่พวกผมต้องสัญญาว่าหลังจากสอบเสร็จจะต้องไปขอโทษพี่ที พวกผมก็รับปากส่งๆ ไป



วันต่อมาพวกเราพยายามทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ชวนพี่เค้าคุยเล่นตามปกติ หลังจากบอกไปว่าพรุ่งนี้จะกลับบ้าน พี่เค้าทำหน้าตกใจเล็กน้อย มองมาที่พวกผมเหมือนจะจับผิด ผมกับไอ้ภูเกร็งกันแทบตาย คืนนั้นเราดึงพี่เขาลงมานอนดูหนังด้วยกันบนพื้น อุตส่าห์ให้นอนที่วีไอพีเลยนะตรงกลางเนี่ย



ผมเคยบอกไปรึยังว่าผมกับภูไม่ชอบให้ใครมายืน เดิน นั่ง นอน แทรกกลางเพราะผมกับไอ้ภูจะรู้สึกอึดอัด ปกติเราสองคนจะตัวติดกันมาก คุยกันแทบจะตลอด เราจะรำคาญมากๆ เวลามีอะไรหรือใครมาคั่นกลาง ยกเว้นพ่อแม่แล้วก็พี่เฟิร์สที่พวกผมพอจะอะลุ่มอล่วยได้ ตอนเรียนเพื่อนผู้หญิงบางคนเวลาเดินคุยกับพวกเรา นางชอบมายืนตรงกลางระหว่างเรา นางคงอยากมีโมเมนต์ถูกหนุ่มหล่อขนาบซ้ายขวาล่ะมั้ง เหอะๆ แน่นอนว่าผมกับไอ้ครามก็จะทำทุกวิถีทางเพื่อขจัดหล่อนออกไปจากที่ตรงกลางอย่างเนียนๆ



…แต่พี่ทีเป็นกรณีพิเศษ เพราะเขาทำให้พวกเรารู้สึกอยากเก็บเขาไว้ให้เป็นสมบัติของเราเท่านั้น นี่เรียกว่าอาการติดพี่ชายหรือเปล่าผมก็ไม่แน่ใจนัก รู้แต่ว่าผมไม่เคยมีอาการติดเฟิร์สก็แล้วกัน



ผมกับภูนอนมองซีกหน้าคนละด้านของพี่ทีที่สะท้อนกับแสงไฟจากแม็คบุ๊คพอให้เห็นได้เลือนราง ผมสบตากับภูก่อนที่ไอ้ภูจะหลบตาผมแล้วบอกให้ช่วยกันอุ้มพี่เค้าขึ้นเตียง







หลังจากกลับมาที่บ้านพวกเราก็นั่งเงียบบนโต๊ะทำงานที่ตั้งอยู่ข้างกันในห้องนอน ผมรู้สึกสับสนกับความรู้สึกของตัวเองในตอนนี้ ไม่รู้ทำไมเหมือนมันมีก้อนขยุกขยุยอัดแน่นอยู่ในอกรู้สึกคันยุบยิบไปหมด ผมถอนหายใจเอ่ยชวนพี่ชายฝาแฝดอ่านหนังสือกันต่อโดยไม่มีพี่ทีนั่งคุมอีกแล้ว



ผ่านไปสองสามวันนับจากที่เรากลับมาอยู่บ้านพี่ทีไม่โทรมาคุยด้วยเลย ขนาดแอบหลอกถามว่าพี่ทีโทรหาแม่บ้างรึเปล่าแม่ก็ยังบอกว่าเปล่า ทั้งที่ปกติแม่กับพี่ทีมักจะโทรติดต่อกันบ่อยๆ แท้ๆ นั่นยิ่งทำให้เราไม่สบายใจ พวกผมค่อนข้างมั่นใจว่าพี่เค้ารู้แล้วว่าเราสร้างวีรกรรมอะไรไว้ ถ้าจะถามว่ารู้ได้ยังไง ก็ไม่รู้สิ …ความรู้สึกมันบอกแบบนั้น วิเคราะห์ตามพื้นฐานนิสัยช่างสังเกตของพี่เค้าด้วย



ความจริงแล้วผมกับครามไม่ได้อยากเรียนวิศวะ พวกเราไม่มีสายอาชีพในฝัน เราแค่อยากอยู่สบายๆ ไม่ต้องทำอะไรไปตลอดชาติก็แค่นั้น พ่อแม่ก็เลยช่วยคิดให้พวกเราแทนสุดท้ายก็ได้ข้อสรุปที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเอกชน WC เหมือนพี่เฟิร์ส



พี่ทีต้องโกรธพวกเรามากแน่ๆ เล่นไม่โทรหาเลย ปกติน่าจะโทรมาเช็กความคืบหน้าของเราบ้าง แต่นี่ไม่มีเลย ผมทนกับความรู้สึกหน่วงเหนื่อยแปลกๆ ในใจไม่ไหวรู้สึกกายใจมันเหนื่อยล้าไปหมดจนต้องฟุบหน้าลงกับโต๊ะ



“คราม เป็นไร?” ไอ้ภูถามเมื่อเห็นผมฟุบหน้าลงกับโต๊ะ ผมได้แต่ส่ายหน้าทั้งที่ยังฟุบอยู่



ไอ้ภูไม่ได้ถามอะไรอีก มันปล่อยให้ผมฟุบต่อไป ผมได้ยินเสียงมันเปิดหนังสือพึ่บพั่บกับเสียงดินสอขีดๆ เขียนๆ จากฝั่งที่ไอ้ภูนั่งอยู่ ผ่านไปพักใหญ่ผมถึงเงยหน้าขึ้นสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วผ่อนออกยาวๆ รู้สึกโล่งขึ้นมานิดหนึ่งเมื่อได้สูดอากาศเต็มปอด



“ภู …มะรืนนี้กูคิดว่ากูจะไม่ไปสอบกับมึงนะ”



ภูผามองผมด้วยแววตาประหลาดใจเล็กน้อย แล้วก็เริ่มซักถามเหตุผล ผมอธิบายให้มันฟังว่าผมคิดว่าตอนนี้ตัวเองน่าจะมีความสามารถเพียงพอที่จะสอบแกทแพทรอบสุดท้ายเพื่อเอาคะแนนไปยื่นแอดฯ มอรัฐได้หลังจากลองประเมินตัวเองผ่านการฝึกทำข้อสอบเก่าและแนวข้อสอบแกทแพทมาจากบ้านพี่ทีแล้วคะแนนก็อยู่ในระดับดี บอกตามตรงเมื่อก่อนผมไม่แคร์ว่าจะต้องเรียนที่ไหนขอแค่มีที่เรียนก็พอ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว…ผมรู้สึกว่าตัวเองมีเป้าหมาย และอยากจะลองทุ่มเทกับมันสักตั้งเพื่อให้ฝันนั้นกลายเป็นจริง



ผมอยากเรียนที่เดียวกับพี่ที….



สำหรับผมตอนนี้ หากไม่ได้เข้าที่นั่น ผมก็คงไม่อยากเรียนอะไรอีกต่อไปแล้ว ต่อให้ติดที่WCผมก็ไม่มีกะจิตกะใจจะเรียนหรอกหากที่นั่นไม่มีคนที่ผมอยากเจออยู่





….ผมขอเดิมพันกับความพยายามครั้งสุดท้ายนี้ด้วยความตั้งใจทั้งหมดที่มี…เพื่อคนคนนั้นเพียงคนเดียว….





คนอ่านอาจจะสงสัยว่าภูกับครามก็ดูจะชอบพี่ทีขนาดนั้นแล้วทำไมยังกวนตีนใส่ตอนเขาโทรมาถามว่าทำไมไม่ไปสอบอีก คือสองคนนี้เขาไม่อยากให้ใครรู้ว่าตัวเองมีแผนการจะสอบเข้ามอรัฐไง กะจะเซอร์ไพรซ์ตอนแอดฯ ติดทีเดียว (ถ้าแอดฯ ไม่ติดนี่ชีวิตจบเลย55) ก็เลยต้องแกล้งเนียนกวนตีนเบี่ยงประเด็นเพื่อให้ทีเลิกซักไซ้


ออฟไลน์ candleguard

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 75
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-1
                                                         

                                                         ตอนพิเศษ งานเเรกพบ & เพื่อนคนเเรก





และแล้วงานวันแรกพบนิสิตใหม่ก็มาถึง…



(บทภู)



“แม่ๆ นั่นไงพี่คณะภู” เมื่อเดินผ่านประตูมหา’ ลัยเข้าไปพวกผมก็พบรุ่นพี่มากมายในชุดหลากสียืนถือป้ายร้องเรียกน้องๆ คณะตัวเองเจี๊ยวจ๊าวไปหมด เสียงกลองเสียงเพลงต่างๆ ดังกระหึ่มจัดเต็ม พอผมหันไปทางคณะที่เสียงดังสะดุดหูที่สุดก็เจอพอดี…คณะวิศวะ



แม่ส่งพวกผมต่อให้รุ่นพี่หนวดเฟิ้มที่ไหว้แม่มือไม้อ่อนและแทบจะช้อนพวกผมอุ้มไปส่งที่คณะ แต่พอลับหลังแม่ พี่แกก็เปลี่ยนท่าทางเป็นกวนตีนทันที กวนแบบขำๆ อ่ะนะ



“พี่ชื่อป๊อกนะครับ เราสองคนชื่ออะไรเอ่ย?” พี่ป๊อกหน้าหนวดชวนคุยขณะพาเราเดินไปที่ซุ้มคณะ



“ผมภูผา นี่ฟ้าคราม มาจากโรงเรียนxxxครับ”



พี่ป๊อกชวนเราคุยเรื่อยๆ ไม่คิดเลยว่าหน้าโหดๆ จะคุยสนุกแถมฮาขนาดนี้ พี่แกเล่าเรื่องต่างๆ ในมหา’ ลัยให้ฟัง ก่อนจะมาพวกเราไปลงทะเบียนรับป้ายชื่อห้อยคอ



พวกเราถูกพาไปนั่งรวมกับเพื่อนคนอื่นๆ ในคณะ เพื่อนหลายคนเข้ามาชวนพวกเราคุยอย่างสนอกสนใจ ไม่เข้าใจว่าแค่เป็นแฝดกันมันน่าสนใจตรงไหน แล้วผมก็เบื่อจริงๆ ไอ้คำถามที่ว่ามีจุดไหนในร่างกายที่ช่วยให้แยกออกได้บ้างมั้ย ฮึ! จ้างให้ก็ไม่บอก



พอน้องทุกคนมาครบ รุ่นพี่ก็ตีวงโอบล้อมแล้วบูมให้พวกเรา ผมกับครามพยายามมองหาพี่ทีแต่ก็ไม่เจอ หรือคนมันเยอะเกินไปจนมองไม่เห็นผมก็ไม่แน่ใจ



สิ่งต่างๆ ที่พี่ปีสองพูดแทบจะไม่เข้าหูผมเลยเพราะผมมัวแต่สอดส่ายสายตาหาพี่ทีอยู่ พี่ๆ ให้เราเล่นเกมเยอะแยะไปหมด กะหล่ำปลีเอย ส่งหนังยางผ่านหลอดเอย ไฟฟ้าช็อตเอย เต้นเอย สลับกับการแนะนำกิจกรรมต่างๆ ในมหา’ ลัย คือพวกพี่ๆ ในคณะเขาจะให้เล่นเกมรอจนกว่าพวกกลุ่มชุมนุมต่างๆ เขาจะมาโปรโมตกิจกรรมตามซุ้มแต่ละคณะ ทั้งกลุ่มสันทนาการมหา’ ลัย วงดนตรีมหา’ ลัย ชุมนุมบำเพ็ญประโยชน์ กลุ่มเชียร์ลีดเดอร์ กลุ่มอัญเชิญตรามหา’ ลัย ชุมนุมคอรัส ชุมนุมละครมหา’ ลัย ฯลฯ วันนี้เรียกอีกอย่างหนึ่งก็คือวันแนะนำชุมนุมให้เข้าร่วม กับนัดหมายกำหนดการต่างๆ



หลังกองสันทนาการมหา’ ลัยออกจากซุ้มวิศวะไป พี่ปีสองก็เริ่มขุดเกมมาให้พวกเราเล่นต่อ โอ๊ย! กูไม่อยากเล่น กูอยากกลับบ้าน แดดก็แรง น้ำที่ใส่กระติกมาให้ก็ไม่เย็น (นี่ใส่น้ำแข็งแล้วใช่ป่ะ!?) หลอดนี่ดูดกันไปกี่ร้อยปากแล้วก็ไม่รู้ ของว่างก็แค่ขนมปังปี๊ป หยี! กินไม่ลง พื้นแม่งก็แข็ง ปวดตูดไปหมดแล้วเนี่ย!



“เอาล่ะครับน้อง ต่อไปเราจะมาเล่นฉุบวิวัฒนาการกันนะ…ไหนใครเคยเล่นบ้างงงง…ไม่มีหรอ….โอเค…งั้นขอพี่สาธิตหน่อยยยยย!!!”



“พี่สาธิต! พี่สาธิต! พี่สาธิต! …เอ้า….พี่สาธิต! พี่สาธิต! พี่สาธิต! ” เสียงกลองและเสียงร้องเรียกคนมาสาธิตการเล่นดังกระหึ่ม



“น้องเล่นเป่ายิ้งฉุบเป็นใช่มั้ย พี่จะอธิบายกติกาเกมนี้ให้ฟังคร่าวๆ นะ ก่อนอื่นเราจะเริ่มจากยูกลีนาก่อน ยูกลีนาทำท่านี้นะครับ” แล้วพี่เฮนรี่ที่เป็นพิธีกรก็ชี้ไปที่รุ่นพี่คนแรกสุด พี่เค้าชูนิ้วชี้ชูขึ้นเหนือหัวกระดิกไปมา เอวก็ส่ายไปด้วย แหยะ! ท่าอุบาทว์แบบนี้ใครจะไปทำลง={}=;;;



“เอ้าต่อไปๆ ๆ ยูกลีนาแล้วกลายเป็นปลาหมึก! ” เอิ่ม นี่ก็ไม่ไหว ทำไปได้ไง …อายแทน



“ปลาหมึกแล้วๆ ต่อไปเป็นปลาโลมา! ” พี่ที่ถักเดทร็อกเต้นท่าโลมาแบบโปงลางสะอื้น เล่นเอาพวกพวกผมสะอึกด้วยความสะพรึงไปตามๆ กัน



“จากปลาโลมาเป็นลิง!”



“จากลิงเป็นคน”



“แล้วสุดท้ายเป็นเทวดาคร้าบบบ ใครเป็นเทวดาแล้วให้มายืนด้านหน้าเลยนะ สิบคนสุดท้ายโดนลงโทษนะครับ”



เมื่อทุกคนเข้าใจกติกาแล้วพี่เฮนรี่ก็ให้เวลาเป่ายิ้งฉุบภายในสามเพลง พวกผมรีบลุกขึ้นยืนเมื่อเพลงเริ่ม ผมก็จำใจทำท่ายูกลีนาหันไปฉุบกับไอ้คราม



“เป่ายิ้งฉุบ! ฉุบ! ฉุบ! ฉุบ! ฉุบ! ฉุบ! ฉุบ! ฉุบ! ฉุบ!” เชี่ยละ เริ่มมาก็เจอศึกหนักเลย ทำไมมึงต้องออกเหมือนกูตลอดเลยวะ=_=***



ผมเสียเวลาฉุบกับไอ้ครามจนจบเพลงแรก สุดท้ายด้วยความเป็นพี่ผมเลยยอมให้มันชนะไปแม้ว่าเราจะออกเหมือนๆ กัน ผมเดินตามหาเพื่อนยูกลีนาที่จะมาฉุบด้วยซึ่งเหลือน้อยเต็มที ผมไม่น่ามาเสียเวลาฉุบกับไอ้ครามเลยว่ะ ดูซิคนอื่นเค้าเป็นโลมาเป็นลิงกันไปหมดแล้วผมยังเป็นยูกลีนาอยู่เลยTvT



และแล้วผมก็กลายเป็นสมาชิกสิบคนสุดท้ายที่ยังไม่ได้วิวัฒนาการเป็นเทวดา



“เอ้า พวกน้องมานั่งตรงนี้ก่อน สภานิสิตมาแล้ว” พี่สต๊าฟเรียกพวกเราสิบคนไปนั่งด้านข้างเมื่อขบวนนิสิตเดินเข้ามาในซุ้มคณะเรา



ผมเงยหน้าขึ้นไปมองบุคคลเหล่านั้นแล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นพี่ทีเป็นหนึ่งในคนกลุ่มนั้น



วันนี้พี่ทีแต่งตัวเนี๊ยบที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นเลย พี่เขาใส่ชุดนักศึกษาเต็มยศ ติดกระดุมชิดคอ รองเท้าหนังมันปลาบ ผูกเนกไทกลัดเข็มตรามหา’ ลัย เซตผมเสยไปด้านหลังเผยให้เห็นหน้าผากขาวสะอาด ยิ่งสวมแว่นตากรอบดำก็ยิ่งขับให้ดูขาวแถมดูทรงภูมิมากขึ้นไปด้วย…



โคตรเท่อ่ะสาดดดดดด!!!



พี่เฮนรี่ส่งไมค์ให้พี่ที่ยืนอยู่หัวแถว



“สวัสดีครับน้องๆ พวกเราคือสภานิสิตแห่งมหาวิทยาลัยXXX พี่ชื่อสนุกอยู่ปีสามคณะนิติศาสตร์เป็นประธานสภานิสิตครับผม ….” พี่สนุกแต่หน้าตาไม่สนุกพล่ามเรื่องหน้าที่ของสภานิสิตที่ดูไม่น่าจะสนุกซะยืดยาวเหมือนกล่าวสุนทรพจน์ก่อนจะยอมส่งไมล์ต่อ พี่แต่ละคนแนะนำตัวพร้อมตำแหน่งหน้าที่ที่รับผิดชอบในสภา บางคนก็อธิบายลักษณะงานที่รับผิดชอบด้วย จนมาถึงคนสุดท้าย…



“สวัสดีครับน้องๆ พี่ชื่อที อยู่ปีสาม วิศวะโยธา เป็นหัวหน้าฝ่ายกฎระเบียบ ใครมีข้อข้องใจหรือสงสัยเกี่ยวกับกฎระเบียบต่างๆ ของมหา’ ลัย การแต่งกาย การโอนหน่วยกิต การขอผ่อนผันค่าใช้จ่าย การขอดร็อป ฯลฯ หรือถูกกดขี่ข่มเหงอย่างไม่เป็นธรรมในมหา’ ลัย โดนรุ่นพี่รับน้องเกินกว่าเหตุ โดนระบบโซตัส ก็สามารถร้องเรียนได้ที่ผมโดยตรงหรือจะแจ้งผ่านทางเฟซบุ๊คของสภาเราก็ได้ครับ พี่จะรับผิดชอบประสานงานให้ ไม่ต้องห่วงนะครับ เพราะข้อมูลของน้องจะถูกเก็บเป็นความลับ” พูดจบพี่ทีก็ส่งไมค์กลับไปให้พี่สนุกที่หน้าตาไม่ค่อยสนุกอีกครั้ง



“ครับ…พี่ๆ ก็หวังว่าจะได้ร่วมงานกับน้องๆ นะครับ ใครสนใจเข้าร่วมสภานิสิตสามารถสมัครด้วยตนเองได้ที่ห้องสภาเลยนะครับ แล้วเจอกันครับ” พวกสภานิสิตเดินออกไปจากซุ้ม ผมมองตามหลังพี่ทีไปจนลับสายตา ผมพยายามจะสบตากับพี่เค้านะ แต่พี่เค้าไม่หันมาทางผมเลย พูดๆ ๆ แล้วก็ไป…



พี่เฮนรี่กลับไปยืนด้านหน้าอีกครั้ง



“เอาล่ะครับ ถ้าใครสนใจก็อย่าลืมไปสมัครเข้าสภานิสิตกันนะ เห็นมั้ย คณะเราก็มีรุ่นพี่ทำงานอยู่สภานิสิตเหมือนกัน พี่ก็หวังว่าน้องจะไปสมัครกันเยอะๆ เนอะ…เอาล่ะครับ เมื่อกี้เรายังไม่ได้ลงโทษคนแพ้กันเลย เอ้าสิบคนนั้นลุกขึ้นนนนน”



เราสิบคนถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มผู้หญิง และ กลุ่มผู้ชาย ผู้หญิงสองคนที่แพ้โดนสั่งให้เต้นมัดหมี่ก่อนจะได้กลับไปนั่ง ส่วนผู้ชายอีกแปดคนอยู่ต่อ ไอ้พี่เฮนรี่แม่งยิ้มมีเลศนัย มันต้องให้ทำอะไรแผลงๆ แน่เลย



“สำหรับผู้ชาย…เราไม่ให้เต้นครับ มันธรรมดาไป ขอเสียงพี่ปีสามช่วยโหวตหน่อยครับว่าจะให้น้องๆ เค้าทำอะไรกันดี” พี่เฮนรี่ทำท่าชูไมค์ไปรอบๆ ได้ยินเสียงตะโกนมาแว่วๆ ว่า…เล่นแมงมุม



มันเล่นยังไงวะ?



“ฮ่าๆ ๆ โอเค …มีเสียงบอกมาว่าเต้นแมงมุมนะ พวกน้องยืนชิดริมก่อนนะครับ เอ้า! ขอพี่สาธิตหน่อย! ”



“พี่สาธิต! พี่สาธิต! พี่สาธิต! …เอ้า….พี่สาธิต! พี่สาธิต! พี่สาธิต! ” เสียงกลองและเสียงร้องเรียกคนมาสาธิตการเล่นดังกระหึ่มอีกครั้ง



“มาๆ ๆ พี่เองไอ่น้อง” พี่ปีสามที่ชื่อป๊อกอาสามาสาธิต พี่แกทำท่าถกแขนเสื้ออย่างกระเหี้ยนกระหือรือ พวกน้องๆ ในคณะหัวเราะกันใหญ่



“เดี๋ยวผมหาคู่ให้มั้ยลูกพี่” พี่เฮนรี่หันไปถามพี่ป๊อกยิ้มๆ



“เฮ้ยไม่ต้องๆ เดี๋ยวไม่ถูกใจ พี่หาเอง … ไอ้แท็ค! มานี่ดิ๊ มาเต้นกับกูหน่อยเมียจ๋า” พี่ป๊อกหนวดเฟิ้มกวักมือเรียกพี่แท็คที่นั่งดื่มน้ำอยู่บนกล่องน้ำแข็ง พวกผมหันไปมองพี่ที่ชื่อแท็คพ่นน้ำหันมามองอย่างตกใจเรียกเสียงหัวเราะดังลั่นซุ้มเลยทีเดียว พี่ป๊อกพี่แท็คโคตรฮาอ่ะ



“สัส! ใครเมียมึง!!” พี่แท็คหยิบขนมปังปี๊บปาใส่หัวพี่ป๊อก เรียกเสียงหัวเราะอีกครืน แต่ก็ยอมเดินออกมายืนข้างหน้าแต่โดยดี



พี่เฮนรี่ยืนคั่นกลางระหว่างพี่แท็คกับพี่ป๊อก



“พี่แท็คครับ พี่จะเป็นแมงมุมตัวผู้หรือตัวเมียครับ?” พี่เฮนรี่ยื่นไมค์ไปจ่อปากพี่แท็ค โอ๊ย! ขำว่ะ มีให้เลือกเพศก่อนด้วย



“ตัวผู้ครับ” พี่แท็คตอบยิ้มๆ มีเสียงกรี๊ดดังมาจากกลุ่มผู้หญิง



“โอเค้ กูเป็นตัวเมียก็ได้” พี่ป๊อกว่าขำๆ



“งั้นแมงมุมตัวผู้กับแมงมุมตัวเมียเข้าประจำที่เลยครับ”



พี่แท็คลงไปทำท่ากึ่งคลานแต่โด่งก้นขึ้น พวกผู้หญิงกรี๊ดกันใหญ่ ส่วนพวกผู้ชายก็ส่งเสียงเชียร์อย่างดัง



พี่ป๊อกลงไปทำท่าคลานแบบหงายตัวขึ้น พี่แกทำท่ากัดปากกระดิกนิ้วเรียกพี่แท็คด้วย =_= เสื่อมมากกกกกกก แต่ไม่เข้าใจ ทำไมทุกคนดูชอบกันนัก เสียงดังจนซุ้มข้างๆ หันมามองเลย



“แมงมุมมันมีแปดขา เดินไปเดินมา ขยุ้มๆ … แมงมุมมันมีแปดขา เดินไปเดินมา ขยุ้มๆ … แมงมุมมันมีแปดขา เดินไปเดินมา ขยุ้มๆ … แมงมุมมันมีแปดขา เดินไปเดินมา ขยุ้มๆ! แมงมุมมันมีแปดขา เดินไปเดินมา ขยุ้มๆ!! ”



เสียงฮือฮาปรบมือชอบอกชอบใจดังลั่นเลยคราวนี้ โอ๊ย ! พวกพี่เค้าทำท่าแบบนั้นเข้าไปได้ยังไง ผมเห็นแล้วยังอายแทน คือพี่แท็คกับพี่ป๊อกต้องค่อยๆ กระเถิบเข้าไปหากันเรื่อยๆ พอลงคำว่า ขยุ้มๆ ก็เด้งเป้าสองทีทั้งคู่ ยิ่งเข้าใกล้กันเพลงมันก็จะยิ่งเร่งจังหวะเร็วขึ้น จนสองคนนั้นขึ้นไปคร่อมกัน แล้วทำท่าเหมือนคนมีเซ็กซ์กัน พี่แท็คจับขาพี่ป๊อกมาพาดบ่า ส่วนพี่ป๊อกก็ไม่น้อยหน้าร่อนสะโพกแถมยังจับหัวพี่แท็คซุกอกอีกต่างหาก โอ๊ย! ไม่ไหวแล้ว ผมทนมองไม่ได้อ่ะ มันเขินแทนอ่าครับ อ๊ากกกก!



“เฮ้ยๆ ๆ พอแล้ว ไปต่อกันที่อื่นไป๊” พี่คนนึงเดินเข้ามาแยกพี่แท็คกับพี่ป๊อกออกจากกัน สองคนนั้นค่อยยอมเดินไปยืนด้านข้างในที่สุด



“เอาล่ะครับ ต่อไปตาพวกน้องทำนะ อ่ะ จับคู่กันเลย …เริ่มที่คู่น้องละกัน” พี่เฮนรี่ดึงผมกับเพื่อนที่หัวเหมือนขวดมายืนคู่กัน เย้ย! พี่! ผมยังไม่พร้อม = [] = ;;;;



“น้องยูโรครับ เมื่อกี้พี่ทีกับพี่ป๊อกเต้นเด็ดมั้ยครับ” พี่เฮนรี่สัมภาษณ์ไอ้หัวขวด อ่อ มันชื่อยูโรนี่เองลืมอ่านป้ายชื่อ



“ไม่เด็ดครับ คู่ผมเด็ดกว่าแน่นอน ” ผมหันขวับไปมองมันตาแทบถลน ไอ้หัวขวดชั่วช้า! มึงพูดอะไรออกไปรู้ตัวบ้างม้ายย!!! ถ้าผมพ่นไฟได้ป่านนี้ไอ้ยูโรมันคงไหม้เป็นตอตะโกไปแล้ว ผมเห็นไอ้ครามกุมท้องหัวเราะจนหน้าดำหน้าแดง หน็อยแน่มึง!



“โอ้โห มั่นใจขนาดนี้ พี่แท็คพี่ป๊อกรอดูเลยนะครับ ฮ่าๆ ๆ …น้องยูโรจะเป็นตัวผู้หรือตัวเมียครับ”



“ตัวเมียครับ” เหยดโด้! มันอยากเป็นรับ =O=!!



“โอเค เข้าประจำที่เลยครับ” ผมมองไอ้ยูโรที่ลงไปโพสต์ท่าแมงมุมตัวเมียเรียกเสียงฮือฮาจากรุ่นพี่และรุ่นเดียวกันเกรียวกราว มันทำไปได้ยังไง เล่นแหกขาแหงนคอไปด้านหลังจนแทบหักแบบนั้น ดีนะที่แม่งเป็นผู้ชาย ถ้าเป็นผู้หญิงนี่ไม่อยากจะคิดเลย=///=



“อ้าววว เห็นตัวเมียแล้วขาสั่นเลยหรอครับน้องภูผา ใจเย็นครับใจเย็น เดี๋ยวได้แน่นอน ฮ่าๆ ๆ ” เฮ้ยยยย มันไม่ใช่อย่างน้านนนนนน ผมขนลุกเว้ยพี่! ไม่ใช่อยากได้มัน! ={}=;;;;;



“แมงมุมมันมีแปดขา เดินไปเดินมา ขยุ้มๆ … แมงมุมมันมีแปดขา เดินไปเดินมา ขยุ้มๆ … แมงมุมมันมีแปดขา เดินไปเดินมา ขยุ้มๆ ….. ”



“เฮ้ยๆ ตัวผู้จะคลานหนีตัวเมียทำไมครับ รุกสิน้อง รุกเข้าไป อย่าให้เสียสถาบันแมงมุมตัวผู้” โอ๊ย! แค่เห็นหน้าไอ้ยูโรผมก็อยากคลานหนีแล้วพี่ หยึย ขนลุก ไอ้นี่แม่งก็เป็นตัวเมียประสาอะไรวะคลานโคตรเร็วจะรุกกูอยู่นั่นแหละ



“ฮ่าๆ ๆ ตัวเมียแม่งน่ากลัวว่ะ ตั้งแต่อยู่มากูเพิ่งเคยเห็นตัวผู้คลานหนีตัวเมีย น้องยูโรเค้าเด็ดจริงๆ เว้ยเฮ้ย” พี่ๆ หัวเราะกันใหญ่



ในที่สุดผมก็ต้องกล้ำกลืนฝืนใจโหย่งตัวเข้าหาไอ้ยูโร เพราะถ้ามัวแต่คลานหนีสงสัยคงไม่ได้ซ่ำ เอ๊ย! จบกันซักที ในที่สุดผมก็ขึ้นไปคร่อมอยู่บนตัวมัน คือกูยังไม่ได้ทำไรเลย มันเด้งเป้าใส่ผมทำเสียงอืออาอะฮ๊าอะฮี๊อยู่คนเดียว …นี่สินะที่เค้าเรียกว่าคนเดียวก็เสียวได้ เอิ่ม =_=;



“… แมงมุมมันมีแปดขา เดินไปเดินมา ขยุ้มๆ! แมงมุมมันมีแปดขา เดินไปเดินมา ขยุ้มๆ!!” พอเพลงเร่งจังหวะใกล้จบไอ้ยูโรก็ทำสิ่งที่ไม่คาดฝัน มันเอาขาขึ้นมาเกี่ยวเอวผมทั้งสองข้าง ผมตกใจเลยล้มลงไปทับมัน มันก็เลยกอดผมนัวเนียกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้น



กรี๊ดดดดดดดดด !!!!



พวกผู้หญิงกรี๊ดกร๊าดหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายกันใหญ่ พวกผู้ชายก็ส่งเสียงฮือฮาอย่างบ้าคลั่ง พอเพลงจบผมนี่แทบแทรกแผ่นดินหนี ไอ้ยูโรลุกขึ้นมาโค้งให้ทุกคนหน้าตาย เชี่ยยยยย มึงไม่อายแต่กูอายนะไอ่สาดดดดดด





และแล้วผมก็ได้เพื่อนคนแรกในรั้วมหา’ ลัย… ยอดชายนายยูโร!



บุรุษหัวขวดผู้ไล่ปล้ำกูในวันแรกพบ!!









ท่าเต้นแมงมุมก็ประมาณนี้ 55 https://www.youtube.com/watch?v=m5BJBErH4gc




ออฟไลน์ candleguard

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 75
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-1


                                                                  ตอนที่ 14  เข้าหอ



ผมกำลังทำสงครามเย็นกับพ่อแม่อยู่



อันที่จริงมันก็ไม่เชิงว่าเป็นสงครามเย็นหรอก เพราะผมไม่ได้ทะเลาะอะไรกับพวกท่าน ผมก็แค่หงุดหงิดที่พ่อแม่จะให้ผมไปอยู่กับไอ้แฝด แต่ถึงไม่พูดพ่อแม่ก็คงดูออกว่าตอนนี้ผมอารมณ์ไม่ดีแค่ไหน สังเกตได้จากใบหน้าที่ไม่มีรอยยิ้มของผม บางทีผมก็มีโมเมนต์ที่ยิ้มไม่ออกเหมือนกันนะ อย่างช่วงนี้ไงโคตรหงุดหงิดเห็นอะไรก็รกหูรกตาไปหมด



เสร็จจากงานแรกพบ ผมก็ต้องเตรียมตัวเก็บข้าวของย้ายไปอยู่คอนโดแถวมหา’ ลัยกับพวกไอ้แฝด วันนี้เป็นวันอาทิตย์ พ่อกับแม่ว่างตรงกันพอดีเลยมาช่วยผมขนของย้ายเข้าคอนโด



“ที เอากล่องนี้ไปด้วยมั้ย!” พ่อตะโกนถาม ผมถอนหายใจหันไปมองนิ่งๆ นั่นกล่องใส่ชีทเรียน ต้องเอาไปสิ ผมพยักหน้าให้พ่อส่งๆ พ่อเลยเอากล่องนั้นไปใส่หลังรถ



“ทีเอายาแก้แพ้อากาศไปรึยังลูก อย่าลืมเสื้อกันหนาวกับถุงเท้าด้วยนะ”



“แม่ถามทีเรื่องนี้มาสามรอบแล้วนะครับ ก็บอกแล้วไงว่าเอาไปแล้วๆ ” ผมตอบไปอย่างรำคาญ แล้วก็มารู้สึกแย่หลังจากพูดออกไปแล้ว …ผมไม่น่าไปรำคาญแม่เลย แม่คอยเตือนเรื่องยาเรื่องเสื้อก็เพราะเป็นห่วงผมแท้ๆ … แม่ง! แต่ผมก็ยังหงุดหงิดอยู่ดี ถ้าไม่ใช่เพราะแม่ผมก็คงไม่ต้องเอาชีวิตไปผูกติดกับฝาแฝดเวรๆ สองตัวนั่นหรอก!



นานๆ ทีขอผมโกรธมั่งก็แล้วกัน จะได้รู้ว่าผมยังเป็นคนอยู่ไม่ใช่เทวดา ผมอยากให้พ่อกับแม่รู้บ้างว่าถึงผมจะค่อนข้างหัวอ่อนยอมตามใจท่าน แต่มันก็ไม่ใช่สำหรับทุกเรื่อง



“ตรวจเช็กเรียบร้อยแล้วนะ ไม่ลืมอะไรใช่มั้ยลูก” พ่อหันมาถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง



“ครบครับ” ผมตอบสั้นๆ ก่อนจะก้าวขึ้นไปนั่งบนรถ



พ่อกับแม่นั่งคู่กันบนเบาะหน้า ส่วนผมนั่งเบาะหลังคู่กับบรรดาสัมภาระ ยิ่งรถแล่นห่างออกจากบ้านเท่าไหร่ผมก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นเท่านั้น



พ่อแม่ที่นั่งคู่กันด้านหน้าคุยเรื่องสัพเพเหระกันสนุกสนาน ในขณะที่ผมรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นตามลำดับ ตัวเองอารมณ์ดีคุยกันกะหนุงกะหนิง มีแต่ผมที่นั่งเป็นทุกข์อยู่คนเดียว มันยุติธรรมตรงไหน



“ที ไปอยู่นู่นแล้วอย่าลืมปลุกน้องไปเรียนด้วยล่ะ แล้วพวกกับข้าวน่ะหาให้น้องกินด้วยนะ อย่าเอาแต่กินมาม่ากันเข้าใจมั้ย” แม่ว่า



“ก่อนเปิดเรียนอย่าลืมพาน้องไปเซอร์เวย์รอบๆ มหา’ ลัยด้วยนะ ตึกมันเยอะเดี๋ยวน้องหาห้องเรียนไม่เจอ” พ่อสั่ง



“….”



“ที?”



“ครับ รู้แล้วครับ”



“อย่าลืมโทรเตือนอาแอ๋มด้วยว่าให้จ่ายค่าเทอมวันไหน เออใช่ สอนน้องใช้บัตรนิสิตด้วยนะ ลูก เห็นว่าเติมเงินเข้าไปได้ด้วยนี่”



“เดี๋ยวพี่ปีสองเขาก็สอนเองแหละพ่อ”



“เออ อาแอ๋มฝากบอกให้ช่วยคุมน้องหน่อยนะ อย่าให้โดดเรียน”



“เดี๋ยวทีปริ้นท์ตารางเรียนน้องมาแปะไว้หน้าตู้เย็นเลยละกัน…”



“แล้วก็….”



ผมจิ๊ปาก แม่เลยมองผมผ่านกระจกมองหลัง



“เป็นอะไรที ปั้นปึ่งมาตั้งหลายวันแล้วนะ” แม่พูดด้วยน้ำเสียงดูไม่ค่อยพอใจนิดๆ



“เปล่าครับ” ผมตอบเสียงสะบัดๆ เสมองไปด้านนอก



“เปล่าแล้วทำไมหลายวันมานี้ไม่ยิ้มเลยล่ะลูก ตั้งแต่ตอนไปกินข้าวกับอาแอ๋มละ มีอะไรไม่พอใจก็บอกมาตรงๆ สิ มาทำหน้าเง้าหน้างอเป็นผู้หญิงไปได้” พ่อขับรถไปบ่นผมไป



“…เปล่าครับ ไม่มีอะไร” ผมถอนหายใจ บอกไปแล้วจะได้อะไร ในเมื่อยังไงก็ต้องย้ายไปอยู่ดี กลับคำไม่ได้นี่นา



“ทีไม่อยากไปอยู่กับน้องก็บอกแม่มาตรงๆ ไม่ใช่มานั่งทำหน้าบึ้งหน้าบูดใส่พ่อใส่แม่แบบนี้… พี่เดชเลี้ยวรถกลับเถอะ อย่าไปฝืนใจทีเขาเลย”



“...ไม่ต้องพ่อ! ขับไปเลย ใกล้ถึงแล้วจะเลี้ยวรถกลับทำไม”



“ก็ลูกไม่อยากอยู่กับน้อง พ่อกับแม่ก็ไม่อยากฝืนใจ ถึงจะรับปากอาแอ๋มไปแล้วก็ช่างมันเถอะ แลกกับการไม่ต้องเห็นหน้าบึ้งๆ ของลูก แม่ยอมเสียสัจจะยังจะดีซะกว่า”



ผมเม้มปากจนเป็นเส้นตรง แบบนี้มันประชดกันเห็นๆ เลยนี่



“ทีไม่ได้บอกสักคำว่าไม่อยากอยู่กับน้อง …”



“แล้วทำหน้าบึ้งทำไม?”



“แค่ไม่ยิ้มนี่เรียกทำหน้าบึ้งหรอครับแม่?”



“แล้วปกติลูกทำหน้าแบบไหนล่ะ”



“คือทีไม่ได้เป็นคนบ้านะจะได้ยิ้มตลอดเวลา”



“แต่แม่รู้ก็แล้วกันน่ะว่าเรากำลังไม่พอใจพ่อกับแม่อยู่!” แม่เริ่มขึ้นเสียงใส่ผม



“ไม่ได้ไม่พอใจอะไรทั้งนั้นแหละครับ! ผมเหนื่อย ก็เลยไม่ยิ้ม แค่นั้น จบมั้ย”



“เหนื่อย? เหนื่อยอะไรนักหนายังไม่ทันจะเปิดเทอมเลย”



“ตกลงจะให้เอายังไง ยูเทิร์นอยู่ข้างหน้าแล้วนะ จะให้เลี้ยวกลับมั้ย” พ่อถามแทรก



“ขับไปคอนโดเลยครับพ่อ”



“ยูเทิร์นไปเลยคุณ ชั้นขี้เกียจเห็นลูกทำหน้าเง้าหน้างอใส่แล้ว”



“แม่ครับ คือทีก็ยอมไปแล้วไง แม่จะเอาอะไรอีก!?”



“ถ้าไม่เต็มใจก็ไม่ต้องไป!”



“ทีเต็มใจก็ได้! …พ่อครับ ขับไปเลย …แม่ ทีขอโทษ อย่าโกรธทีเลยนะแม่ …แม่ครับ” พ่อขับเลยจุดยูเทิร์นไปแล้ว ผมเขย่าแขนแม่เมื่อเห็นแม่กอดอกทำหน้านิ่ง ผมง้อแม่ด้วยน้ำเสียงอ่อนๆ แย่จริงผมลืมตัวเถียงแม่เข้าไปได้ยังไง …ผมมันเลว ผมมันคนอกตัญญู



แม่ไม่พูดกับผมอีกเลยตลอดทางไปจนถึงคอนโด แต่พอขึ้นไปเจอพวกอาแอ๋มที่มาช่วยเจ้าแฝดจัดข้าวของ แม่ก็สับสวิตซ์เปลี่ยนจากโหมดโกรธผมเป็นโหมดยิ้มแย้มเม้าท์กระจายกับอาแอ๋มได้เร็วอย่างไม่น่าเชื่อ



ผมรู้สึกโล่งใจเล็กน้อยเมื่อพบว่าที่นี่มีสองห้องนอนและผมจะได้นอนคนเดียว นับว่ายังดีที่ไม่ต้องนอนรวมกับสองคนนั้น



“มีอะไรให้ครามช่วยมั้ยพี่ที ครามจัดของครามเสร็จแล้ว” ฟ้าครามโผล่หน้าเข้ามาในห้องที่พ่อกับผมช่วยกันจัดของอยู่



“กะ …ไม่มีหรอก พี่ของไม่เยอะ จะเสร็จแล้วด้วย” ผมกลืนคำว่า ‘เกะกะ’ ลงคอเมื่อระลึกได้ว่าพ่อยังอยู่ในห้องด้วย



“งั้นครามไปเรียกพี่แววมากวาดฝุ่นให้นะ” โดยไม่รอให้ผมตอบรับฟ้าครามก็วิ่งออกไปส่งเสียงเรียกคนใช้ให้มาช่วยเก็บกวาดฝุ่นจากการจัดข้าวของ พ่อกับผมเข้าไปล้างมือแล้วออกมานั่งที่ห้องนั่งเล่นรวมกับคนอื่นๆ ปล่อยให้พี่แววกวาดถูห้องให้อีกรอบ ถึงตอนมาอาแอ๋มจะให้พี่แววทำความสะอาดรอไปแล้วรอบนึงก็เถอะ



กว่าทุกอย่างในห้องจะเรียบร้อยก็เย็น พวกเราเลยออกไปกินข้าวด้วยกันแถวๆ มอ ตั้งแต่เจออาแอ๋มกับพวกแฝดผมเองก็ทำตัวเหมือนสับสวิตซ์ได้ ผมยิ้มแย้มพูดคุยกับทุกคนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยกเว้นแม่ที่แม้ผมจะพยายามขุดเรื่องขึ้นมาชวนคุยแค่ไหนแม่ก็ดูจะไม่สนใจผมเท่าที่ควร นั่นทำให้ผมรู้สึกแย่มากๆ ได้แต่ยิ้มกลบเกลื่อนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น



หลังจากฝากฝังล่ำลากันเนิ่นนานราวกับจะพรากจากกันไปตลอดกาล ในที่สุดพวกแม่กับอาแอ๋มก็กลับไป ทิ้งผมไว้กับภูผาและฟ้าคราม



เมื่อประตูปิดลง ผมก็หันหลังเดินเข้าห้องตัวเองทันที



ผมทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตรงโต๊ะทำงาน เหม่อมองออกไปยังทิวทัศน์ด้านนอกหน้าต่างที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากตึกและท้องฟ้าดำมืดประดับด้วยดาวไม่กี่ดวง



ความรู้สึกผิดที่เถียงแม่ไปเมื่อตอนกลางวันหวนกลับมาเกาะกุมจิตใจผมอีกครั้งเมื่ออยู่คนเดียว ถึงแม่จะผิดที่มาฝืนใจผม แต่ผมก็ไม่ควรไปต่อล้อต่อเถียงกับท่านอยู่ดี ยังไงแม่ก็เป็นแม่ จะผิดจะถูกยังไงก็คือแม่ และสำหรับผม แม่ถูกเสมอ



ผมพยายามโทรหาแม่หลายครั้ง แต่แม่ก็ไม่รับสาย นานมากแล้วที่ผมไม่ได้ถูกแม่งอนแบบนี้ แต่ผมจำได้ฝังใจเลย…เวลาแม่งอน…ง้อยากมาก





ก๊อกๆ ๆ



ผมหันไปมองทางประตู ยังไม่ทันจะพูดอนุญาต ภูผากับฟ้าครามที่อยู่ในชุดนอนทั้งคู่ก็เดินเข้ามาในห้อง



“อะไร?” ผมถามเมื่อฟ้าครามกับภูผาวางสมุดเล่มหนาสองเล่มลงบนโต๊ะผม



“พี่ที..ภูกับครามขอโทษที่แอบอ่านไดอารี่ของพี่ แล้วก็ทำตัวไม่น่ารักกับพี่ก่อนหน้านี้นะครับ” ภูผากับฟ้าครามลงไปนั่งคุกเข่ากับพื้นเพื่อให้อยู่ต่ำกว่าผม ก่อนจะยกมือไหว้ …อีกแล้ว



ผมเบือนหน้าหนี บอกตามตรงว่าจนถึงตอนนี้ก็ยังโกรธจนไม่อยากจะมองหน้าพวกมันอยู่ แต่หลังจากทะเลาะกับแม่ ผมรู้สึกอ่อนแอไร้เรี่ยวแรงไปหมด อยากตวาด อยากด่า อยากยกขาขึ้นมาถีบให้พวกมันหงายหลังล้มไปทั้งคู่ให้สาสมกับความโกรธที่มีมาก่อนหน้านี้ของผม แต่ตอนนี้ไม่มีกะจิตกะใจจะทำเลย…



“อืม” ผมพูดได้แค่นั้น ไม่ยิ้ม ไม่อะไรทั้งสิ้น ผมเหนื่อยกาย และเหนื่อยใจ ตอนนี้อยากอยู่คนเดียวจริงๆ



แต่ท่าทางของผมคงทำให้สองคนนั้นคิดว่าผมยังคงโกรธอยู่ ซึ่งมันก็ถูกแหละ... ภูผากับฟ้าครามก็เลยหยิบสมุดเมื่อกี้ขึ้นมาคนละเล่มแล้วยื่นให้ผม



“อะไร?” คราวนี้ผมถามพร้อมขมวดคิ้วอย่างเริ่มรำคาญ เมื่อกี้ก็บอกว่าอืมแล้วไง ทำไมยังไม่ออกไปซะทีวะ



“ก็สองเดือนก่อนภูกับครามแอบอ่านไดอารี่พี่ที…พวกเราเลยเอาไดอารี่มาให้พี่ทีอ่านคืนไง จะได้หายกัน ..นะ? ดีกันนะพี่? ดีกันนะคร้าบบบบบ” สองคนนั้นชูนิ้วก้อยนั่งช้อนตาทำน้ำเสียงออดอ้อนขอให้ผมยกโทษให้



ถ้าเป็นปกติผมคงจะใจอ่อนตามนิสัยเดิม แต่ไม่ใช่กับตอนนี้ที่ผมกำลังเฟลแบบสุดๆ



“ไม่ล่ะ…พอดีไม่ชอบเสือกเรื่องชาวบ้าน” ผมดันหนังสือสองเล่มนั้นคืนกลับไป ลุกขึ้นไปหยิบผ้าเช็ดตัวเดินสวนกับภูผาและฟ้าครามที่เบิกตากว้างเหมือนจะช็อกกับคำด่าอ้อมๆ ของผม









พอผมออกมาจากห้องน้ำก็พบกับห้องนั่งเล่นที่ปิดไฟมืด สงสัยสองคนนั้นคงเข้านอนแล้ว ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก ตอนนี้ผมยังไม่มีอารมณ์จะต่อกรกับพวกมันหรอกนะ ทันทีที่ไฟในห้องนอนสว่างขึ้นผมก็พบว่าสมุดไดอารี่สองเล่มนั้นยังวางอยู่บนโต๊ะทำงานของผม มีกระดาษโพสต์อิตสีเขียวและเหลืองติดอยู่ที่หน้าปกแต่ละเล่ม เขียนด้วยลายมือหวัดๆ ว่า ‘read me please!’ กับภาพวาดตลกๆ โดเรมอนหัวเบี้ยวๆ นี่ต้องเป็นฝีมือฟ้าครามแน่ๆ เลย ผมจำได้ว่ามันชอบโดเรมอนมาก



ผมอดส่ายหัวให้กับความคิดแบบเด็กๆ ของสองคนนั้นไม่ได้ พวกนั้นคงใช้ตรรกะเด็กประถม ที่ว่าถ้าโดนตีแล้วได้ตีคืนถือว่าหายกัน ก็เลยเอาไดอารี่ตัวเองมาให้ผมอ่านคืนจะได้หายกันสินะ ?



…ติงต๊องว่ะ



แต่ไม่รู้ทำไมมุมปากมันคลี่ยิ้มออกมาเอง พอผมได้สตินึกขึ้นได้ว่ากำลังยิ้มอยู่ก็รีบเอามือปิดปากตัวเองทันที … นี่ผมเป็นอะไร แค่โดนง้อด้วยวิธีเด็กๆ ผมก็จะหายโกรธแล้วหรอ?



ไม่มีทางซะล่ะ ผมไม่ยอมยกโทษให้ง่ายๆ หรอก ขอดูหน่อยละกันว่าพวกนั้นจะงัดวิธีแบบไหนขึ้นมาง้อผมอีก ก็ผมไม่ยกโทษให้ซะอย่างอ่ะ ใครจะทำไม



หึหึ เห็นยิ้มๆ แบบนี้ แต่เวลาโกรธขึ้นมาทีก็หายยากนะบอกไว้ก่อน…



เอ๊ะ…ทำไมผมรู้สึกเหมือนตัวเองนิสัยเหมือนใครบางคนนะ … เอ ใครหว่า -_-?




ออฟไลน์ catka12

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-0
 o13 ติดตามค่ะ....

ออฟไลน์ BABYBB

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
เป็นนิยายสีเทามากๆ มันไม่ดาร์กสุด ไม่ตลกสุด ไม่มุ้งมิ้งสุด มันเทามากมาก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ sompong

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 355
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ duck-ya

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ฮือออ คืออ่านแล้วเห็นตัวเองอาจจะไม่ได้เป็นเหมือนกันหมดแต่เวลาที่หงุดหงินหรือมีอะไรในใจแล้วไม่ชอบพูดเหมือนกันเลย บางทีก็แบบโอ้ยยหงุดหงินตัวเอง หงุดหงิดทุกคนบนโลกแต่ไม่พูด
รออ่านต่อค่าา

ออฟไลน์ sompong

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 355
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
แต่ทำไมเราอ่านไปแล้วยิ้มไปหัวเราะไป

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ไม่ชอบนิสัยแฝดนรกนี้เลยพับผ่าสิ  :katai1:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
อะไรจะเกิดขึ้นอีกเนี่ย จะเอาความลับของทีมาคอยแบล็กเมลหรือเปล่า

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
เพิ่งอ่านตอนที่เหลือจบ แบบว่าถ้าเราเป็นทีคงได้ระเบิดแตกสักวันแน่ๆ เพราะทุกอย่างถูกกักเก็บไว้ข้างในหมดเลย เต็มจนล้นเมื่อไรล่ะงานหนักแน่ๆ ส่วนอีกสองคนนั้น บอกตรงๆเราไม่ชอบนิสัยแบบนี้เลย บางอย่างก็ทำน่าเกลียดมาก คือเราก็เป็นไงแบบว่าซ่อนความลับไว้ไม่อยากให้ใครเจอ แต่แบบว่าค้นเอาออกมาแบบนี้แล้วยังลอยหน้าลอยตาใส่ทั้งแม่ลูกเนี่ย  :z6:

ออฟไลน์ pktherabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
สนุกมาก อ่านรวดเดียว14ตอนเลย ไม่เคยอ่านภาคก่อนหน้านี้เลย ทำให้อยากไปหาอ่าน รอตอนต่อไปอยู่นะคะ

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
ทีนิสัยเหมือนใครน๊า~

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ wanirahot

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 485
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
เขาเข้าหอกันแล้วววววว

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด