เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) side story : Where R U? อยู่ไหนครับ...ที่รักของผม5[24\3\63]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) side story : Where R U? อยู่ไหนครับ...ที่รักของผม5[24\3\63]  (อ่าน 50334 ครั้ง)

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
แฝดรุกเร็วไปแล้ว พี่ทีเขาตามความคิดหลานไม่ทัน เห็นใจพี่เขาหน่อยนะ  :กอด1:

ออฟไลน์ sompong

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 355
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ที จะเป็นแบบ จริงๆชอบแฝด
แต่คิดว่าไม่ถูกต้อง
เลยพยายามไม่รับรู้ที่แฝดชอบตัวเอง
และไม่รับรู้ว่าตนเองชอบด้วย
เพราะที เป็นคนที่ทำทุกอย่าง ต้องให้ถูกต้อง 
เป็นที่เชิดหน้าชูตาแก่วงศ์ตระกูล ครอบครัว
จะรู้สึกผิดมากๆ ถ้าทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
ถึงกับสารภาพบาปลงสมุดไดอารี่ ที่แฝดเคยขโมยอ่าน
        :L1: :L1: :L1:
   :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ jimmyjimmy

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1966
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-17
พี่ทีแค่สับสัน
สองคนเป็นน้อง
สองคนเป็นผู้ชาย
้เราเป็นญาติกัน


ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
ทีแค่ยังตั้งรับไม่ทัน

ออฟไลน์ netich

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ kataiyai

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1142
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +170/-1
พี่ทีจะเครียดไปทำไม. มนุษย์เพอร์เฟคไม่มีในโลก เพราะตายหมดแล้ว

ออฟไลน์ candleguard

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 75
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-1

                                                     ตอนที่ 19.5  อ้อมกอดของภูผาเเละฟ้าคราม


หลังจากการทนนั่งหลังขดหลังแข็งอยู่บนรถทัวร์เจ็ดแปดชั่วโมง ตอนนี้พวกเราชาววิศวะก็มาถึงจุดหมายซึ่งอยู่บนดอยแห่งหนึ่งในจังหวัดทางภาคเหนือเรียบร้อย ผมเป็นคนนั่งรถทางไกลไม่ได้ชอบเมาจนอ้วกทุกที เพื่อนๆ เห็นอกเห็นใจเลยส่งผมกับรุ่นน้องที่เมารถไปนั่งกับอาจารย์ปกรณ์ในรถบรรทุกสัมภาระที่ไม่มีเสียงร้องรำทำเพลงเหมือนคันอื่นๆ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังนั่งหน้าซีดจนอาจารย์ต้องคอยหยิบยื่นยาหม่องยาดมให้ไปตลอดทาง



“กอบกุล พาทวีเดชไปพักก่อนไป อาการไม่ดีเลย” อาจารย์ปกรณ์บอกกับพวกเพื่อนๆ ผมที่เดินมาหาด้วยความเป็นห่วง ไอ้โซลกับไอ้แท็คเข้ามาช่วยกันหิ้วปีกผมคนละข้าง ส่วนป๊อกถือสัมภาระของผมตามมา บอกตามตรงตอนนี้แค่จะเดินผมยังเดินไม่ตรงทางเสียด้วยซ้ำ เป็นอย่างนี้ทุกครั้งเวลาออกค่ายไกลๆ



เพื่อนผมกับรุ่นน้องอีกสี่ห้าคนยืนโก่งคออาเจียนมีเพื่อนลูบหลังอยู่แถวๆ พุ่มไม้ พอล้างหน้าล้างตาเสร็จก็ถูกเพื่อนๆ หิ้วปีกตามผมมาเหมือนกัน



สถานที่เรามาขออาศัยพักแรมห้าวันสี่คืนในครั้งนี้คือวัดแห่งหนึ่ง เพื่อนๆ พาผมมายังศาลาโล่งๆ ที่ลมโกรกพัดเย็นสบายติดจะหนาวนิดๆ เพราะอยู่ในช่วงปลายฝนต้นหนาว ผมถูกพยุงนอนลงบนเสื่อหนุนหมอนสี่เหลี่ยมแข็งๆ ก้อยเอาผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำเช็ดหน้าเช็ดตาให้จนรู้สึกดีขึ้นถึงได้บอกให้เพื่อนๆ ไปช่วยปีสองจัดกิจกรรมส่วนผมดูแลตัวเองได้ นอนพักสักครู่ก็คงดีขึ้นเหมือนครั้งก่อนๆ



“มีอะไรก็โทรตามนะมึง” ไอ้ป๊อกทิ้งท้ายก่อนจะเดินออกไป บนศาลานี้ยังมีเพื่อนๆ และรุ่นน้องผมอีกหลายชีวิตที่นอนแผ่หน้าซีดหมดเรี่ยวแรงไปตามๆ กัน ผมนอนดมยาดมอยู่อย่างนั้นจนรู้สึกดีขึ้นเลยลุกออกมาเดินยืดเส้นยืดสาย



ผมพบว่าวัดแห่งนี้น่าอยู่มากเลยทีเดียว เพราะล้อมรอบไปด้วยป่าไม้และภูเขา ได้ยินเสียงน้ำตกดังมาจากที่ไกลๆ ผมสูดอากาศเย็นสดชื่นเข้าจนเต็มปอดความรู้สึกพะอืดพะอมที่มีเหมือนจะหายไปแล้ว ผมลองเดินสุ่มๆ ไปทางด้านข้างที่เห็นเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีประตูเยอะๆ คาดว่าน่าจะเป็นห้องน้ำ แล้วก็ใช่จริงๆ ผมตักน้ำล้างหน้าบ้วนปาก น้ำเย็นฉ่ำทำให้ตื่นเต็มตา ผมเดินสำรวจไปรอบๆ ผ่านโรงครัว ไปจนถึงลานกว้างๆ ที่อยู่กลางวัดก็เห็นพวกรุ่นพี่กำลังแจกข้าวกล่องให้น้องๆ กินกันอยู่



“ดีขึ้นแล้วหรอพี่ ผมกำลังจะเอาข้าวไปให้พวกที่ศาลาพอดีเลย” รุ่นน้องคนหนึ่งร้องทัก ผมพยัก หน้าส่งยิ้มบางๆ ไปให้ก่อนจะพยักพเยิดให้น้องคนนั้นหอบหิ้วข้าวกล่องเอาไปให้พวกที่ยังสลบกันอยู่บนศาลา



ผมกวาดตามองพวกรุ่นน้องหลายร้อยชีวิตที่นั่งกินข้าวกันอยู่บนพื้นอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้วก็สบตากับภูผาฟ้าครามเข้า สองคนนั้นทำท่าจะลุกขึ้นมาแต่ไอ้โซลที่เป็นพี่ระเบียบก็สั่งให้พวกมันนั่งลงไป ฟ้าครามชักสีหน้าเลยโดนไอ้โซลโบกกบาลไปหนึ่งที



ผมเดินไปรับข้าวกล่องจากน้องปีสองแล้วเดินไปนั่งกับเพื่อนปีสามด้วยกัน พวกเราแบ่งงานกันอย่างชัดเจน ปีสองทำหน้าดูแลปีหนึ่งและจัดกิจกรรมนันทนาการต่างๆ ส่วนปีสามเป็นหัวแรงหลักในการบูรณะซ่อมแซมโรงเรียนชาวเขากับสร้างโรงเลี้ยงไก่จุดประสงค์หลักของการมาออกค่ายในครั้งนี้



กำหนดการในวันนี้ยังไม่มีอะไรเพราะกว่าพวกเราจะถึงที่นี่ก็ปาเข้าไปบ่ายสามแล้ว พวกปีสองก็เลยจัดกิจกรรมรับน้องกันเป็นที่สนุกสนานมีปีสามไปแจมบ้างเล็กน้อย ปีสามส่วนใหญ่จะลงเขาไปติดต่อเรื่องวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้างที่สั่งเอาไว้ บางส่วนก็ตามอาจารย์ปกรณ์ไปพบผู้ใหญ่บ้าน ไปดูสถานที่จริง



“อ่ะ ของมึง” แท็คยื่นว.แดงมาให้ผม ปกติเวลาออกค่ายหัวหน้าฝ่ายต่างๆ จะมีติดตัวไว้คนละเครื่อง ผมเป็นหัวหน้าฝ่ายบุคคลของคณะต้องคอยกำกับดูแลพวกปีสองอีกทีเลยต้องมีติดตัวไว้เหมือนกัน เวลาไปออกค่ายบางที่ก็ไม่มีคลื่นโทรศัพท์การใช้วอจึงสะดวกกว่ามาก



ได้มาปุ๊บก็ขอทดสอบเลยละกัน



“ปีใหม่วอสองครับ” (ปีใหม่ทราบแล้วตอบกลับด้วย) ผมกดปุ่มพูดแล้วลองส่งรหัสเรียกประธานรุ่นปีสอง



“…สองครับ” (ได้ยินแล้วครับ)



“วอสิบหก” (ทดสอบสัญญาณ)



“วอสิบหก ห้า ครับ” (ได้ยินชัดเจนดีมากครับ)



“รายงานสถานการณ์ปัจจุบันครับ”



“ขณะนี้ปีสองทั้งหมดกำลังพาน้องปีหนึ่งไปร่วมกิจกรรมที่ลานวัดครับ ปีสามกลุ่มบีลงเขาไปติดต่อเรื่องวัสดุ ปีสามกลุ่มซีตามศูนย์ศูนย์ไปครับ” ศูนย์ศูนย์เป็นรหัสที่ไว้ใช้เรียกผู้มีอำนาจสูงสุดในค่าย ในที่นี้คืออาจารย์ปกรณ์



“ทุกอย่างเรียบร้อยดีใช่ไหม มีใครไม่สบายเป็นอะไรอีกหรือเปล่า”



“ไม่มีครับ”



“ดี เดี๋ยวผมจะลงไปดู”



“สองแปด และ แปดแปดครับ” (รับทราบ จุ๊บๆ) ผมได้ยินเสียงหัวเราะของหัวหน้าฝ่ายคนอื่นๆ ที่จงใจกดปุ่มส่งเสียงหัวเราะมาให้ได้ยิน ตอนแรกไอ้ปีใหม่ก็คุยเป็นการเป็นงานดีอยู่หรอก แต่หลังๆ นี่ไม่ไหวว่ะ



เพื่อนๆ กลุ่มผมต่างแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ตามทีมตัวเองหมดแล้ว ไอ้แท็คกับไอ้โซลอยู่ทีมบีเมื่อกี้เพิ่งลงเขาไปจัดการเรื่องอุปกรณ์ก่อสร้าง ไอ้ป๊อกอยู่กองสันต้องไปช่วยน้องปีสองจัดกิจกรรมที่ลานวัด ก้อยกับพวกผู้หญิงปีสามทำหน้าที่จัดการเรื่องข้าวปลาอาหารกับการปฐมพยาบาลมีไอ้มิ้นท์ปีสามเป็นหัวหน้าฝ่ายนี้ ส่วนผมกับไอ้พีทประธานปีสามทำงานฝ่ายบุคคลช่วยกันดูแลความสงบเรียบร้อยภายในค่ายทุกอย่าง ทั้งเรื่องข้าวปลาอาหารว่าขาดเหลือมั้ย น้องคนไหนมีปัญหาอะไรหรือเปล่า กิจกรรมมีปัญหาไหม สถานที่เพียงพอหรือไม่ รวมถึงติดต่อประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ และผู้หลักผู้ใหญ่ ฟังดูเหมือนเป็นงานสบาย แต่เปล่าเลย เพราะนอกจากงานพวกนี้แล้วพวกผมก็ยังต้องไปช่วยเพื่อนๆ ตอกตะปูทาสีเหมือนกัน ไม่ได้มีอภิสิทธิ์พิเศษอะไร



กว่าผมกับไอ้พีทจะตรวจดูทุกอย่างเสร็จก็ปาเข้าไปห้าโมงเย็น ที่นอนหมอนมุ้งโอเค อาหารที่เตรียมมาก็พรั่งพร้อมไม่มีอะไรเน่าเสีย ร้านขายวัสดุก่อสร้างจะเอารถขนของขึ้นมาส่งให้พรุ่งนี้เช้า ทางฝั่งอาจารย์ปกรณ์ก็เรียบร้อยดีไม่มีปัญหา



พอพระอาทิตย์ตกดินอากาศก็หนาวจัด ที่นี่พอมืดแล้วคือมืดจริงๆ แม้แต่มือตัวเองยังมองไม่เห็นเลย ผมต้องใช้ไฟฉายส่องเพื่อนำทางเพื่อนๆ ไปรวมกับปีสองและปีหนึ่งที่ลานวัด



น้องแต่ละคนอยู่ในสภาพที่ดูไม่ค่อยได้สักเท่าไหร่ เห็นแล้วฮาดีไม่หยอก บางคนก็โดนเขียนหน้าเป็นโจรสลัดมีแผลบาก บางคนโดนผูกจุกทั้งหัวเหมือนหนามทุเรียน บางคนโดนทาแป้งขาวจั๊วะแล้วทาปากแดงเป็นจุดเหมือนเกอิชา บางคนก็โดนแต่งหน้าเป็นแม็คโดนัล แถมบางคนยังมีออปชั่นเสริมเป็นพวกมงกุฎ แหวน กำไล โบ ถุงน่อง สายสะพาย ยกทรง สไบ กางเกงในที่ใส่ข้างนอกเหมือนซูเปอร์แมน พอมายืนรวมกันแล้วเหมือนดงคนบ้าดีๆ นี่เอง



เสียงจ้อกแจ้กจอแจดังขึ้นอีกครั้งเมื่อพวกปีหนึ่งเห็นพวกผู้หญิงและพี่ปีสามช่วยกันหิ้วข้าวกล่องมาส่งให้



“อ้าวเงียบๆ กันหน่อย รู้แล้วว่าหิว ปีหนึ่งนั่งตรง!” ไอ้ปีใหม่ถือโทรโข่งยืนคุมอยู่หน้าสุด



“เฮ่!!!!” เมื่อได้ยินคำว่านั่งตรง อสุรกายน้อยทั้งหลายก็ตบเข่าฉาดพร้อมกัน



“ทำความเคารพพี่ปีสาม ปฏิบัติ!”



“สวัสดีครับ/ค่ะ!!” พวกปีสามและปีสองเข้าไปยืนล้อมรุ่นน้องเป็นวงกลม ปีใหม่ส่งโทรโข่งให้ยัยมิ้นท์



“สวัสดีค่ะน้องๆ หิวกันหรือยังคะ?”



“หิวครับ / หิวค่ะ!!”



“งั้นพวกพี่จะแจกข้าวให้นะคะ ได้แล้วถือไว้ก่อนอย่าเพิ่งกินนะ น้องคนไหนเป็นมังสวิรัติยกมือขึ้น…”



เมื่อทุกคนได้อาหารกันครบแล้วพวกปีสองก็นำท่องบทอะไรสักอย่าง ผมจำชื่อไม่ได้ รู้แต่มันท่องขึ้นต้นว่า…ข้าวทุกจาน อาหารทุกอย่าง อย่ากินทิ้งขว้าง…อะไรประมาณนั้น



ผมมองไปทางที่ภูผากับฟ้าครามนั่งอยู่ ภูผาโดนจับใส่หมวกบานๆ แบบที่เอาไว้ให้เด็กใส่เวลาสระผมกันฟองไหลเข้าตา มีผ้าขาวม้ากระโจมอกแฟบๆ ไว้ หน้าเน่อโดนประแป้งซะขาววอกสงสัยคงอยู่กลุ่ม ‘เทค อะ บาร์ท’ ส่วนฟ้าครามโดนจับใส่วิ๊กบ๊อบเทสีทองอร่าม ใส่เกาะอกที่ทำจากเชือกฟาง แขนสองข้างเต็มไปด้วยกำไลที่ทำมาจากไอ้แท่งเรืองแสงที่ไว้โบกในคอนเสิร์ต ไม่ต้องเดาเลยว่าต้องอยู่กลุ่ม ‘mi mi mi’ แน่ๆ ยูโรนั่งกินข้าวใกล้ๆ กัน คาดว่าน่าจะได้อยู่กลุ่มเดียวกับฟ้าครามเพราะยูโรใส่วิ๊กผมสีชมพู ห่มสไบเขียว นิ้วทั้งสิบใส่แหวนที่มันกะพริบแสงได้ มองไปนี่เห็นมือก่อนเลย



ผมไม่ได้เดินเข้าไปหาสามคนนั้น แต่ไปช่วยปีสามเตรียมงานสำหรับวันพรุ่งนี้ ปล่อยให้ปีสองพาน้องไปอาบน้ำเข้านอน พวกเราปีสามประชุมเรื่องงานกันจนถึงเที่ยงคืนจึงแยกย้ายกันไปพักผ่อน วัดนี้แม้จะมีพื้นที่มากมายแต่ศาลาที่พักกลับมีน้อยเพราะเป็นวัดป่าที่เน้นความสมถะ ปีหนึ่งทุกคนเลยต้องเบียดๆ กันนอนบนศาลากับในโบสถ์โดยมีพี่ปีสองบางส่วนขึ้นไปนอนเฝ้า บางส่วนก็ผลัดกันเดินเวรดูแลข้าวของให้น้อง คอยเป็นเพื่อนน้องไปห้องน้ำตอนกลางคืน ปีสองปีสามที่เหลือก็กางเต็นท์ที่เอามากันเองนอนล้อมศาลาอีกที ส่วนพวกผู้หญิงทุกชั้นปีได้ไปนอนในโรงแรมราคาประหยัดแถบชานเมือง



อากาศตอนกลางคืนที่นี่ค่อนข้างหนาวเย็น ผมที่ไวต่ออากาศที่เปลี่ยนแปลงจึงมีอาการคัดจมูกขึ้นมาทันทีตามประสาคนเป็นภูมิแพ้ ดีที่ผมเตรียมยามาด้วย หลังกินยาแล้วผมก็ล้มตัวลงนอน ทั้งๆ ที่วันนี้ก็เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว แต่ผมกลับข่มตาหลับไม่ลงได้แต่นอนพลิกไปพลิกมาอยู่อย่างนั้น เหลือบมองนาฬิกาก็เห็นว่าปาเข้าไปตีหนึ่งกว่าแล้ว นี่ผมนอนพลิกไปพลิกมาเป็นชั่วโมงเลยหรอเนี่ย ในที่สุดผมก็ทนอึดอัดกับการพยายามข่มตาให้หลับไม่ไหว เออ ไม่อยากนอนก็ไม่ฝืนละ ออกไปเดินเล่นข้างนอกดีกว่า



ผมสวมเสื้อกันหนาวแล้วรูดซิปเปิดเต็นท์ คว้าไฟฉายขึ้นมาแล้วส่องหารองเท้าที่ถอดวางไว้ด้านนอก ก่อนจะย่างเท้าแผ่วเบาออกมาจากบริเวณที่พัก



ผมส่องไฟฉายเดินไปล้างหน้าล้างตาที่ห้องน้ำ ระหว่างทางก็ทักทายพวกปีสองที่พาน้องไปเข้าห้องน้ำตอนกลางคืนเป็นระยะๆ



ยิ่งล้างหน้าก็ยิ่งหายง่วงเข้าไปใหญ่ ผมชักกลุ้มใจ ถ้าวันนี้ผมนอนไม่พอแล้วพรุ่งนี้ผมจะมีแรงทำงานไหมเนี่ย แต่กลุ้มไปก็เท่านั้น เพราะคนมันไม่ง่วงจะทำยังไงก็นอนไม่หลับอยู่ดี



ผมถือไฟฉายเดินไปเรื่อยๆ ผ่านวงเวียนที่อยู่กลางวัดเดินต่อไปก็ถึงโบสถ์ ผมไม่อยากรบกวนพวกปีหนึ่งปีสองที่นอนอยู่ในนั้นเลยพยายามเดินห่างออกมา ผมเดินไปยังทางลงเขาซึ่งเป็นทางลาดชัน กำลังคิดอยู่ว่าจะลองเดินลงไปดีไหม แต่อีกใจก็นึกค้านเพราะตอนนี้มันดึกเกินไป เกิดเดินตกเขาหรือเจอสัตว์ป่าลากไปกินคงดับอนาถ



ผมทรุดตัวลงนั่งที่ป้ายชื่อวัดตรงทางลงเขานั้นเอง เอนหลังพิงเสาโลหะเย็นเฉียบ ถอนหายใจออกมาเบาๆ พลางสูดน้ำมูกที่เริ่มจะไหลออกมาให้รำคาญ ยิ่งดึกอากาศก็ยิ่งเย็นลงเรื่อยๆ น้ำมูกเริ่มไหลไม่หยุดจนผมตัดสินใจแหงนหน้าขึ้นเพื่อไม่ให้มันไหลออกมาอีก



ภาพท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวมากมายราวกับผืนผ้าใบสีดำที่ถูกศิลปินมือฉมังสลัดสีขาวใส่เป็นจุดเล็กๆ ระยิบระยับปรากฏอยู่ตรงหน้า มันสวยงามและใกล้มากเสียจนผมรู้สึกราวกับจะเอื้อมมือคว้ามันเอาไว้ได้



เสียงหินที่โรยพื้นถนนกระทบกันทำให้ผมรู้ว่าใครบางคนกำลังตรงมายังที่ที่ผมนั่งอยู่ พอหันไปก็พบว่าเป็นอาจารย์ปกรณ์ที่ฉายไฟฉายมาที่ผมอย่างแปลกใจ



“อ้าว ทวีเดช มาทำอะไรอยู่ตรงนี้ นอนไม่หลับหรอ”



“ครับ สงสัยเมื่อเช้าผมคงนอนในรถมากไป ตอนนี้ข่มตายังไงมันก็นอนไม่หลับ”



อาจารย์ปกรณ์ทรุดตัวลงนั่งบนพื้นข้างๆ ผม



“ผมก็เหมือนกัน แปลกที่ทีไรนอนไม่หลับทุกที” ผมพยักหน้ารับ ก่อนจะแหงนมองท้องฟ้าแล้วชี้ชวนให้อาจารย์หันไปดู



“ที่นี่ดาวสวยดีนะครับอาจารย์ ใกล้จนเหมือนจะจับได้เลย” อาจารย์ปกรณ์มองตามแล้วพยักหน้าเห็นด้วย



“นั่นดาวนายพราน” อาจารย์ปกรณ์ชี้ขึ้นไปบนตำแหน่งหนึ่งในท้องฟ้า



“อาจารย์ดูดาวเป็นด้วยหรอครับ?” ผมถามอย่างสงสัย ไม่คิดว่าอาจารย์คณะวิศวะจะสนใจเรื่องการดูดาวด้วย



“ผมดูเป็นอยู่กลุ่มดาวเดียว เพราะในกรุงเทพมันเป็นกลุ่มดาวที่ผมเห็นชัดที่สุด …คุณเห็นดาวสามดวงที่เรียงเป็นเส้นตรงนั่นมั้ย นั่นคือเข็มขัดนายพราน ส่วนดาวที่อยู่สี่มุมนั่นเป็นแขนขา” ผมนั่งฟังอาจารย์เลกเชอร์นอกห้องเรียนอย่างเพลิดเพลิน นานๆ ทีได้มีโอกาสมานั่งเล่นชิวๆ บนภูเขาแล้วคุยเรื่องสบายๆ กับใครสักคนที่เรานับถือก็ดีไม่น้อย



“… ไปพบจิตแพทย์แล้วรู้สึกดีขึ้นไหมทวีเดช” อาจารย์ถามขึ้นหลังจากที่เราต่างคนต่างนั่งมองดาวและจมอยู่ในความคิดของตัวเองกันอยู่พักใหญ่ ผมรู้สึกได้เลยว่าไม่ได้มีแต่ผมหรอกที่มีเรื่องให้คิดมาก อาจารย์เองก็คงมีเหมือนกัน ผมรู้สึกได้



ผมนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อสามวันก่อนที่ผมไปพบจิตแพทย์ตามที่อาจารย์นัดให้ ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ



“…ก็ดีครับอาจารย์” ผมจำได้ว่าตอนที่เดินเข้าไปในห้อง มีหมอผู้ชายแก่ๆ คนหนึ่งนั่งอยู่ คุณหมอทักทายผมอย่างอัธยาศัยดี ชวนผมคุยเรื่องทั่วๆ ไปประมาณว่าผมเรียนอยู่ปีไหนคณะอะไร ครอบครัวเป็นยังไงบ้าง มีพี่น้องกี่คน ชอบเล่นกีฬาไหม มีเรื่องอะไรอยากเล่าให้หมอฟังหรือเปล่า เครียดเรื่องเรียนหรือเรื่องอะไรก็ปรึกษาได้เลย หมอยินดีรับฟัง



พอเอาเข้าจริงๆ ผมก็ไม่กล้าพูดเรื่องกลุ้มใจที่มีสาเหตุมาจากภูผาและฟ้าครามให้หมอฟัง ถึงคุณหมอจะใจดีและดูน่าเชื่อถือมากแค่ไหน แต่จู่ๆ ผมกลับไม่อยากเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับลูกพี่ลูกน้องสองคนที่ทำให้ผมเหนื่อยจิตเหนื่อยใจให้หมอฟังขึ้นมาซะเฉยๆ ผมรู้สึกว่าทำไมผมต้องเอาปัญหาของตัวเองมาให้คนอื่นช่วยแก้ด้วย แค่นี้ไม่มีปัญญาแก้เองหรือไง เล่าไปก็อายหมอเปล่าๆ ซึ่งความคิดในวันที่ไปพบหมอกับความคิดในวันที่ผมตัดสินใจโทรบอกอาจารย์ปกรณ์ให้นัดหมอให้มันต่างกันอย่างสิ้นเชิง สุดท้ายกลายเป็นว่าผมไม่ได้ปรึกษาหมอเรื่องภูผาฟ้าคราม แต่ดันไปปรึกษาเรื่องอาการที่เหมือนมีสองบุคลิกอยู่ในตัวแทน





เหมือนคุณหมอท่านจะมองออกว่าผมหลีกเลี่ยงที่จะเล่าเรื่องที่กลุ้มใจจริงๆ ให้ฟังแต่ก็ไม่ได้ซักไซ้ไต่ถามให้ผมต้องลำบากใจ พอผมเล่าเรื่องความขัดแย้งในตัวเองให้หมอฟังจบ ท่านก็ยิ้มแล้วอธิบายให้ฟังเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ หลักการทำงานของจิต ศีลธรรมกับความคิด และสรุปตอนสุดท้ายว่าผมไม่ได้ผิดปกติหรือเป็นคนสองบุคลิก แต่เป็นคนอ่อนไหวง่ายไม่ค่อยจะมีจุดยืนของตัวเอง วิธีแก้คือให้หัดมองโลกในแง่ดี อย่าคิดเยอะ อะไรที่ปล่อยผ่านไปได้ก็ปล่อยๆ ไปบ้าง รักตัวเองให้มากกว่านี้หน่อย ส่วนที่ชอบมองว่าตัวเองไม่มีอะไรดีก็ให้หาสมุดโน้ตเล็กๆ มาเขียนข้อดีของตัวเองลงไปทุกวัน อย่างน้อยวันละข้อ ทำแบบนี้ไปนานๆ หมอบอกว่าจะช่วยให้ผมค่อยๆ ดีขึ้นเอง



ถึงการไปพบจิตแพทย์ในครั้งนี้จะไม่ได้ช่วยให้ผมแก้ไขเรื่องกลุ้มใจเกี่ยวกับสองแฝดนั่นได้ แต่ก็นับว่าเป็นการไปที่คุ้มค่า เพราะอย่างน้อยผมก็รู้สึกสบายใจขึ้นเพราะได้มีโอกาสเล่าเรื่องกลุ้มใจรองๆ ลงมาให้หมอฟัง นึกเสียดายอยู่เหมือนกันว่าทำไมผมไม่มาปรึกษาหมอตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน แต่คิดไปคิดมาอาจเป็นเพราะในตอนนั้นผมยังรู้สึกว่าพอทนไหวอยู่ล่ะมั้ง



อาจารย์ปกรณ์ไม่ได้ถามรายละเอียดเรื่องการไปพบจิตแพทย์ของผมอีก คงเพราะไม่อยากละลาบละล้วงเรื่องของลูกศิษย์ เพียงแต่ยิ้มให้ผมแล้วบอกว่าดีแล้ว ถ้ามีเรื่องอะไรอีกก็ให้มาปรึกษาอาจารย์ได้ จากนั้นอาจารย์ก็ขอตัวไปนอนตอนประมาณตีสี่กว่าๆ



ผมหลับๆ ตื่นๆ อยู่จนเกือบเช้า ท้องฟ้าค่อยๆ เปลี่ยนจากสีดำเป็นสีน้ำเงินเข้มและในที่สุดก็กลายเป็นสีฟ้าครามเมื่อใกล้เช้าเข้าไปทุกที



ผมได้ยินเสียงไก่ที่ชาวบ้านเลี้ยงไว้ขัน หลังจากเสียงไก่ตัวแรก ไม่นานก็ได้ยินเสียงไก่ตัวอื่นๆ ขันรับกันเป็นทอดๆ



หมอกยามเช้าทำให้ทิวทัศน์หุบเขาเบื้องหน้าราวกับภาพในความฝัน ผมกระชับเสื้อกันหนาวเพื่อเพิ่มไออุ่นให้แก่ตัวเอง สูดหายใจเข้าลึกเอาอากาศบริสุทธิ์เย็นฉ่ำเข้าไปในปอดโดยไม่สำนึกเลยว่าตัวเองแพ้อากาศเย็น



ผมพอจะเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมอาแอ๋มถึงตั้งชื่อลูกแฝดของเธอว่า ภูผา ฟ้าคราม





ก็เพราะ ‘ภูผา’ กับ ‘ฟ้าคราม’ ที่โอบกอดผมไว้ในตอนนี้มันช่างงดงามเหลือเกิน…







---------------------------------------------------



ตอนที่ 19.5 เขียนเพราะอยากเขียน ไม่มีอะไรเลยจริงๆ 555

ออฟไลน์ candleguard

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 75
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-1

                                                                    ตอนที่ 20 ก่อเรื่อง




วันที่สองของการออกค่าย





(บทฟ้าคราม)



เหนื่อย!! ร้อน!! เมื่อย!!



ผมยกมือขึ้นปาดเหงื่อเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้จำไม่ได้ ก่อนจะกระพือเสื้อให้ลมพัดเข้าไปดับความร้อนในร่างกาย กูว่านี่มันไม่ใช่ค่ายอาสาแล้วแต่เป็นค่ายใช้แรงงานทาสชัดๆ! พวกเราปีหนึ่งถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ กลุ่มหนึ่งไปสร้างโรงเลี้ยงไก่กับโรงเพาะชำเห็ด อีกกลุ่มซึ่งก็คือกลุ่มที่ผม ไอ้ภูแล้วก็ไอ้ขวดอยู่ทำหน้าที่รื้อซากโรงเรียนที่ถูกน้ำป่าถล่มจนพังไปครึ่งแถบแล้วแบกขึ้นเนินไปประกอบใหม่ ไม้อันไหนที่ใช้ไม่ได้ก็เก็บไว้ใช้ตากแดดทำฟืน ผมก็สงสัยนะว่าไหนๆ จะสร้างใหม่แล้ว ทำไมไม่ใช้ปูนไปเลยวะ ก่อนจะได้คำตอบจากพี่คนนึงว่าเรามาคราวนี้แค่จะสร้างไว้ชั่วคราวให้เด็กมีที่เรียนไปก่อน เพราะงบสร้างโรงเรียนจริงๆ จะมาปีหน้าซึ่งไม่รู้ว่าจะมาเมื่อไหร่ อาจจะสิ้นปี หรือต้นปีหน้าหน้าก็ได้



ผมเดินแบกไม้ขึ้นเนินตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ที่เป็นเวลาบ่ายสองกว่าๆแล้ว ตอนแรกมันก็สนุกดีอยู่หรอกเพราะได้ทำไปคุยไปกับเพื่อนๆ แต่ไปๆ มาๆ ชักจะไม่สนุกแล้วเพราะอากาศมันร้อนขึ้นเรื่อยๆ บวกกับความเมื่อยล้าที่สะสม ทำให้พวกเราแทบไม่อยากปริปากคุยกันอีกเลยเพราะมันจะยิ่งทำให้เหนื่อยกว่าเดิม



ผมกับไอ้ภูช่วยกันแบกไม้ขึ้นมาเป็นกองสุดท้ายก่อนจะนั่งลงพักเหนื่อยตามพวกเพื่อนๆ ที่นั่งแผ่อยู่บนพื้นอย่างหมดแรง พวกผู้หญิงคอยเอาน้ำมาเสิร์ฟให้เรื่อยๆ ผมกินไปสามแก้ว นี่ใส่น้ำแข็งแล้วหรอวะ ไม่เย็นเลยอ่ะ… แต่ก็ต้องกิน-*-



พวกปีสองกับปีสามนี่อึดชะมัด ตั้งแต่เช้ายังไม่พักกันเลย แต่ละคนช่วยกันตอกตะปูคนละไม้คนละมือ ผู้หญิงบางคนก็ช่วยจับไม้ให้เพื่อนตอกง่ายๆ บางคนก็ช่วยจับขาบันไดไม่ให้ล้ม ผมเห็นพี่ทีใส่เสื้อยืดสีดำกับกางเกงเลสีเขียวเข้มม้วนขาขึ้นนั่งตอกไม้ฝากระดานเข้ากับเสาโดยมีพี่ปีใหม่ช่วยตอกแผ่นไม้อีกด้าน ข้างล่างมีพี่ผู้หญิงคนนึงคอยจับขาบันไดให้ พอพี่ทีตอกเสร็จพี่ปีสองอีกคนก็จะยกแผ่นไม้กระดานขึ้นไปให้



ผมดื่มน้ำหวานไปนั่งมองพี่ทีไป จะมองกี่ครั้งก็ไม่เคยเบื่อเลย ผมชอบดวงตาหลังกรอบแว่นสีดำที่ดูจดจ่อกับการตอกไม้กระดานนั่นจัง ถ้าพี่เค้ามองมาที่ผมด้วยสายตาแน่วแน่แบบนั้นบ้างก็คงจะดี หรือไม่ก็จูบผมด้วยริมฝีปากบางๆ ที่คาบตะปูอยู่นั่นก็ได้…โอ๊วววว แค่คิดก็ฟินแล้ว! >.,,<



“ไอ้แฝด สายตาพวกมึงน่ากลัวมาก” ผมหันขวับไปมองไอ้หัวขวด



“อะไร? มึงพูดอะไรวะขวด”



“พวกมึงจ้องพี่ทีอย่างกับจะกลืนกินแน่ะ ไม่รู้ตัวกันหรอวะ” มันมองหน้าพวกผมแล้วเลิกคิ้ว



“…”



“กูถามจริงเหอะ พวกมึงไม่ได้คิดอะไรกับพี่เค้าใช่ป่ะ” มันถามผมพลางแคะขี้เล็บไปด้วย



“ถ้ากูตอบแล้วมึงจะช่วยอะไรพวกกูอย่างได้ป่ะล่ะ” ไอ้ภูถามพลางทำหน้าเจ้าเล่ห์



“ทำไมกูต้องช่วยพวกมึงด้วย แม่ง ต้องให้กูช่วยอะไรที่มันสัปดนแน่ๆ …ไม่เอาแระ กูไม่อยากรู้” พูดจบมันก็ลุกขึ้นยืน ปัดฝุ่นจากกางเกงใส่หน้าพวกผมอย่างไร้มารยาท



“เชี่ยยย ไอ้ขวด ฝุ่นเข้าหน้ากูหมดเลย!” ผมโวยวาย แต่มันไม่สนใจเดินตรงไปหาพี่ทีที่นั่งตอกตะปูอยู่ พี่ทีก้มลงไปคุยกับไอ้ขวดก่อนจะมองมาที่พวกผมแล้วก็หันไปคุยกับเพื่อนๆ ที่คอยซัพพอร์ตตัวเอง ส่งค้อนให้ไอ้ขวดแล้วปีนลงมา เดินมาหาพวกผม



โหย ขวดเพื่อนรัก มึงช่างเป็นคนดีจริงๆ ที่มึงปัดฝุ่นตูดใส่กูเมื่อกี้จะยอมยกโทษให้ก็แล้วกัน!



“เป็นไง มาค่ายครั้งแรกสนุกมั้ย” พี่ทีทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามพวกเรา เอื้อมมือรับแก้วน้ำหวานจากน้องปีหนึ่งก่อนจะยิ้มบางๆ เอ่ยขอบใจ



“ไม่รู้ดิพี่ เมื่อวานก็หนุกดี แต่วันนี้รู้สึกเหมือนโดนหลอกมาใช้แรงงาน” ไอ้ภูบ่น



“นี่มันค่ายอาสา เขาก็บอกแต่แรกแล้วนี่ว่าต้องมาสร้างโรงเรียน ไม่ได้หลอกอะไรเลย” พี่ทีว่าก่อนจะดูดน้ำไปเรื่อยๆ



“ถึงไม่ได้หลอกแต่ก็เหมือนบังคับให้มาอยู่ดีอ่ะแหละ ไม่มาก็ต้องไปทำกิจกกรรมซ่อม วุ่นวายชะมัด” ผมอดที่จะบ่นตามไอ้ภูบ้างไม่ได้ พี่ทีถอนหายใจก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุย สงสัยคงคิดว่าเปล่าประโยชน์ที่จะคุยกับคนไร้จิตอาสาอย่างพวกผม



“เป็นไง เมื่อคืนนอนหลับสบายมั้ยเห็นอากาศเย็นน่าจะชอบกัน” ผมกับไอ้ภูพยักหน้ารับแรงๆ ทันที



“เย็นพี่! ชอบมากกกกก เย็นกว่าแอร์อีก…แต่ที่นอนแม่งโคตรแย่ ผ้าปูก็ไม่มี มีแต่เสื่อกับหมอนสี่เหลี่ยมเหม็นๆ แข็งๆ เบียดก็เบียด แต่ละคนแม่งก็แข่งกันกรนดังลั่นศาลาเสียงดังอย่างกะโรงสีข้าว ภูกับครามหลับแทบไม่ลง แล้วกลิ่นตีนใครก็ไม่รู้อย่างเปรี้ยวอ่ะ เออ! ไอ้คนที่นอนเอาหัวชนกับครามนะแม่งเอาแต่นอนคุยโทรศัพท์กับแฟนครามโคตรอิจฉา เอ๊ย! รำคาญ แล้วก็นะ…บลาๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ”



“เออใช่ แล้วเพื่อนแม่งก็ขยันเข้าห้องน้ำกันชิบหายเลยพี่ เข้ามันได้ทั้งคืน เดินไปเดินมาอยู่นั่นแหละ บางทีก็ส่องไฟฉายมาโดนหน้าภู ภูก็ตกใจตื่น แล้วก็ห้องน้ำนะ ไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น ส้วมก็เป็นแบบนั่งยองๆ อ่ะพี่ ที่ฉีดตูดก็ไม่มี พื้นก็สกปร๊กสกปรกมีแต่คราบดินเต็มไปหมด บนผนังนะหยากไย่เยอะยังกะบ้านผีสิง มีตุ๊กแกด้วยน่ากลัวมาก อาบๆ อยู่น้ำก็ไม่ไหลสบู่ก็ยังล้างไม่หมดภูเลยต้องเอาน้ำที่เอาไว้ราดส้วมมาอาบอ่ะพี่ที แหวะะะะ”



“ฮ่าๆ ๆ ๆ! ....เอาน่า หึๆ ครั้งหนึ่งในชีวิต ฝึกเอาไว้ให้ชิน คณะเราออกค่ายทุกปี” พี่ทีหัวเราะเสียงดังจนคนอื่นๆ หันมามองอย่างแปลกใจ ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆ ปรับอารมณ์แล้วพูดต่อยิ้มๆ



“ฮะ! นี่ภูกับครามต้องมาค่ายโลซกแบบนี้จนกว่าจะเรียนจบเลยหรอ โอ๊ย! ตายแปบ” พูดจบไอ้ภูก็เอนตัวลงนอนหนุนตักพี่ทีที่นั่งขัดสมาธิอยู่



“ภูเดี๋ยวเสื้อเลอะลุกขึ้นมานั่งดีๆ ” พี่ทีพยายามดันหัวไอ้ภูออกจากตักแต่ไอ้ภูก็เหนียวใช่เล่น



“ฮ๊าวววววววววว ง่วงจังเลยเนอะภู เมื่อคืนนอนไม่หลับเพราะกลิ่นตีนระดับพระกาฬนั่นแท้ๆ เชียว พี่ทีครับครามยืมตักด้วยคนนะ ตอนนี้ง่วงมากทำงานไม่ไหวแล้ว” ผมรีบทิ้งตัวลงนอนหนุนตักอีกข้างของพี่ทีโดยไม่รอฟังคำทัดทานใดๆ ทั้งสิ้น



“เฮ้ยลุก…พี่จะไปช่วยเพื่อนทำงาน” พี่ทีเอามือดันหัวพวกผมขึ้น แต่เราก็ออกแรงกดหัวไว้สุดแรง ก็ผมไม่ลุกซะอย่างอ่ะจะทำไม



ผมได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ จากรอบข้าง ทั้งจากเพื่อนรุ่นเดียวกันแล้วก็พวกรุ่นพี่ที่คงเห็นพวกผมพยายามยื้อยุดจะนอนหนุนตักพี่ที



“วี๊ดวิ้ววววววววววว เพื่อนกูเสน่ห์แรงจริงโว้ยยยย”



“สัสพีท! พวกกูเป็นญาติกัน” พี่ทีคว้าหินกรวดก้อนเล็กๆ ปาใส่พี่ประธานปีสามที่ชื่อพีท



“อ้าวหรอ ก็นึกว่าไปทำเสน่ห์ยาแฝดมา …ว่าไงบีหนึ่งบีสองง่วงมากหรอเรา” ถึงพี่พีทแกจะกวนๆ แต่ก็ดูเป็นคนใจดีเหมือนกันแฮะ ฟังจากน้ำเสียงที่ดูเหมือนจะเอ็นดูผมกับไอ้ภูอยู่ในที



“ง่วงคร้าบบบบบ / ง่วงคร้าบบบบบบ” ผมกับไอ้ภูตอบลากเสียงยาวแบบที่เด็กๆ ชอบทำกัน เผื่อพี่ทีจะมองว่าพวกเราน่ารักขึ้นมาบ้าง



“อีกชั่วโมงครึ่งก็จะเลิกแล้ว อดทนหน่อย ลุกขึ้นมานั่งดีๆ อย่าไปนอนอย่างนั้น เดี๋ยวจารย์มาเห็นจะโดนว่า …ฮึบ” พี่พีทยื่นมือมาฉุดแขนพวกผมขึ้น ทั้งๆ ที่ยังไม่อยากลุกจากตักนุ่มๆ ของพี่ทีก็ต้องจำต้องลุกเพราะพี่พีทพูดกับพวกเราดีๆ แถมเหตุผลก็พอจะฟังขึ้น



“เชื่อฟังอย่างนี้ เดี๋ยวเลิกงานแล้วจะมีรางวัลให้…” พี่พีทบอกก่อนจะเดินออกไปพร้อมกับพี่ทีที่ทำท่าชี้นิ้วมาที่พวกผมแล้วทำหน้าประมาณว่า ‘อย่าก่อเรื่องล่ะ’







(บทภูผา)



และแล้วผมก็ได้รู้ว่ารางวัลของพี่พีทคืออะไร….



ซ่าาาาาาาาา!!!



ผมยืนมองน้ำตกสูงตระหง่านตรงหน้าอย่างประทับใจในความสวยงามน่าลงเล่นของมัน คุ้มค่ากับที่อุตส่าห์เดินลงดอยมาเป็นกิโลจริงๆ



“ย๊ากกกกกกก!!!”



ตู๊มมมมมมมม!!!



เพื่อนๆ พากันกระโดดจากชะง่อนผาลงไปในน้ำอย่างสนุกสนาน พวกพี่ปีสองก็ลงมาเล่นน้ำด้วยเหมือนกัน ลีลากระโดดของแต่ละคนนี่อลังการงานสร้างทั้งน้านนนน



“ไอบีลีฟ ไอแคนฟลายยยยยยยย” ไอ้ยูโรกระโดดแล้วกระพือแขนเหมือนมันจะบินได้ครับ โอ๊ย! อุบาทว์ว่ะ ขนรักแร้ดกดำมาก มันแอบเอาทินเนอร์ไปดมป่าววะทำไมเรื้อนแบบนี้



ตู้มมมมมมมมมมม!!



“แค่กๆ ๆ! ไอ้ขวด! กูยังไม่ทันว่ายออกมาเลยนะโว้ย มึงรีบโดดมาไมเนี่ย!” ไอ้ครามโวยวายเอากำปั้นทุบน้ำใส่ไอ้ขวด เพราะไอ้ครามมันโดดลงมาก่อนยังไม่ทันว่ายออกมาจากใต้ชะง่อนไอ้ขวดมันก็โดดลงมาหัวเกือบโขกกันตายดีที่ไอ้ครามหลบทัน



“อ้าว ก็กูจงใจให้โดนมึงไงไอ้ภู ฮ่าๆ ๆ ”



“เฮ้ย กูอยู่นี่ โน่นมันไอ้คราม=_=” ผมป้องปากตะโกน



“โง่จริงเลยมึงอ่ะ ฮ่าๆ ๆ ” ไอ้ครามกดหัวไอ้ขวดจุ่มน้ำ ส่วนไอ้ขวดมันยอมโดนกระทำฝ่ายเดียวซะที่ไหนล่ะมันเลยเอามือกดหัวไอ้ครามกลับอย่างไม่มีใครยอมใคร



“เฮ้ย! เล่นกันดีๆ อย่าไปกดหัวเพื่อนแบบนั้นมันอันตราย! ” เสียงคุ้นๆ ดังมาจากบนฝั่งก่อนที่คนอื่นๆ จะมองมาที่พวกผม พี่ปีสองคนหนึ่งรีบว่ายน้ำมาเขกกบาลไอ้ครามกับไอ้ขวดคนละทีพวกมันถึงยอมเงยหน้ามาทำหน้าจ๋อยเมื่อเจอสายตาตำหนิของพี่ที



“พี่ให้เวลาเล่นน้ำสองชั่วโมงนะครับ … ปีสองอย่าเอาแต่เล่น ดูน้องด้วย อย่าลืมว่าหน้าที่ของคุณคืออะไร” พี่ทีพูดหน้านิ่งๆ ไม่มีรอยยิ้มเลยสักนิด พวกปีหนึ่งปีสองที่กำลังสาดน้ำเล่นกันอย่างเมามันเมื่อกี้เงียบกริบกันไปเลย พี่ทีกวาดตามองทุกคนก่อนจะไปหยุดสายตาที่พี่ปีใหม่แล้วส่ายหัวเบาๆ เดินถือวอแดงจากไปพร้อมพี่ปีสามอีกคนที่ดูเหมือนจะชื่อแท็ค



“…พี่ปีใหม่ ขอโทษนะครับ” ไอ้ขวดยกมือไหว้พี่ปีใหม่ไอ้ครามเลยรีบไหว้ตาม พี่แกถึงหายยืนอึ้งรีบโบกไม้โบกมือว่าไม่เป็นไร คราวหลังให้เล่นกันดีๆ อย่าพิเรนทร์เพราะพี่ทีเขาเป็นห่วง



พวกเรานิ่งกันได้ไม่นานหรอกครับ แป๊บเดียวก็กลับมาส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวเล่นกันใหม่เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น ยกเว้นแค่ผมกับไอ้ครามที่รู้สึกแย่ไม่หาย มันทั้งละอายใจ ทั้งอับอายที่โดนพี่ทีว่าต่อหน้าคนอื่นทั้งที่รู้ว่าพี่เขาเป็นห่วงแต่ก็อดจะเคืองนิดๆ ไม่ได้อยู่ดี พวกเรานอนห้องเดียวกันแถมยังเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ทำไมต้องทำห่างเหินแบบนั้นด้วย ทำไมไม่เดินมาเตือนยิ้มๆ แบบปกติล่ะ ทำไม?





(บทที)



“มินนี่วอสองครับ”



“สองค่ะ”



“ช่วยดูแลน้องดีๆ ด้วยนะครับ ระวังอย่าให้เล่นอะไรแปลกๆ แล้วก็อย่าให้น้องออกไปนอกพื้นที่กำชับปีสองให้ดูน้องดีๆ อย่ามัวแต่เล่นกันเองนะครับ” ผมวอไปเตือนทางฝั่งผู้หญิงที่แยกไปเล่นน้ำตกอีกด้านเพราะกลัวจะเล่นพิเรนทร์กันเหมือนฝั่งผู้ชาย



“สองแปดค่ะ”



“โซลวอสอง”



“สอง”



“ทางนั้นคืบหน้าถึงไหนแล้ววะ”



“โรงเพาะชำเห็ดเสร็จแล้ว ส่วนโรงเลี้ยงไก่เหลืออีกครึ่ง ถ้าเร่งทำพรุ่งนี้เย็นๆ คงเสร็จ”



“โอเค ไม่มีปัญหาอะไรใช่มั้ย”



“มีนิดหน่อย…ศูนย์ศูนย์จัดการให้แล้ว”



“อืมๆ งั้นเจอกันตามนัดหมายเดิมนะ”



“เออ”



“สองแปดสิโว้ย!”



“เดี๋ยวเหอะมึง…สองแปด”



“มิ้นท์วอสอง”



“สองค่ะ”



“ทางนั้นมีปัญหาติดขัดอะไรมั้ย”



“ไม่มีเลยค่ะ”



“งั้นตามกำหนดการเดิมนะครับ”



“สองแปดค่ะ”



ผมหยุดกดปุ่มส่งสัญญาณเอาวอเหน็บไว้ที่เอวแล้วหยิบมือถือมาโทรออก เมื่อกี้ไอ้โซลบอกว่ามีปัญหานิดหน่อยแต่ไม่ยอมบอกรายละเอียด มันคงไม่อยากบอกผ่านวอ ผมโทรไปถามก่อนจะได้รู้ว่าไอ้เต้ตกบันไดเหมือนแขนจะหัก น้องปีหนึ่งคนนึงเป็นผื่นแพ้อะไรไม่รู้เห่อแดงเต็มตัวไปหมด อีกคนเกิดมาเป็นอีสุอีใสที่นี่ อาจารย์เลยต้องพาไปโรงพยาบาลในตัวเมืองซึ่งไกลจากที่นี่หลายร้อยโล คาดว่าคืนนี้น่าจะเปิดโรงแรมค้างที่นั่นไปเลย



วันนี้ผมโคตรๆ ๆ ๆ เหนื่อย นอกจากจะต้องช่วยเพื่อนตอกตะปูสร้างโรงเรียนแล้วยังต้องคอยเช็กความเรียบร้อยของทุกฝ่าย เมื่อกี้ก่อนจะขี่จักรยานไปดูปีหนึ่งปีสองที่น้ำตกก็เพิ่งช่วยไอ้แท็คเถียงกับคนส่งไม้เพราะเขาเอาไม้มาส่งไม่ครบตามจำนวนที่ตกลงกันไว้แถมยังมาลอยหน้าลอยตาบอกว่าตัวเองไม่รู้เรื่องอีก จนต้องโทรไปคุยกับเถ้าแก่ถึงได้รู้ว่าไอ้ลูกจ้างคนนี้มันขับรถผิดคันมาส่ง ไม่รู้พูดจริงหรือรวมหัวโกหกกันแน่ ดีนะที่ไอ้โซลมันกำชับไอ้ผมตรวจออเดอร์ให้ดีๆ ยอมรับเลยว่าหงุดหงิดจริงๆ แทบจะเอาวอปาใส่หัวมันแล้ว



ในขณะที่ปีหนึ่งกับปีสองไปเล่นน้ำตกกัน พวกเราปีสามก็เร่งมือทำงานเพื่อให้เสร็จทันภายในระยะเวลาที่กำหนด พอถึงห้าโมงครึ่งพวกเราปีสามจึงหยุดงานทั้งหมดไว้แล้วล้อมวงกินข้าวกัน ต้องรีบกินรีบไปอาบน้ำครับ ไม่งั้นน้องๆ กลับมาแล้วจะไม่มีห้องน้ำให้อาบ



ผมซัดข้าวกระเพาะหมูกรอบไปสองจาน น้ำเขียวโซดาอีกหนึ่งแก้วใหญ่ พอมีอะไรลงท้องแล้วค่อยอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อย เม้งแตกจริงๆ ตอนเถียงกับคนส่งไม้ เหนื่อยมาทั้งวันแล้วยังต้องมาเจอพวกพูดไม่รู้เรื่องอีก



ผมหนุนตักไอ้ก้อยนอนฟังพวกเพื่อนๆ วิจารณ์เฟรชชี่ปีนี้อย่างสนุกปาก น้องคนนั้นกวนตีน ผู้หญิงปีนี้สวยเยอะ น้องคนโน้นมาจากโรงเรียนเดียวกัน บลาๆ ๆ



“เออ ปีนี้มีน้องฝาแฝดด้วยนี่หว่า ได้ข่าวว่าเป็นญาติมึงหรอวะไอ้ที” ไอ้ป๊อกถามขึ้นมา ทุกคนเลยเปลี่ยนมาคุยเรื่องเจ้าแฝดมหาภัยญาติผมเอง=_=



“อืม ลูกของอา” ผมตอบสั้นๆ พอนึกถึงหน้าสองคนนั้นทีไรผมจะรู้สึกเหนื่อยใจขึ้นมาแบบไม่มีเหตุผล เมื่อคืนก็นอนไม่หลับ วันนี้ก็เหนื่อยสายตัวแทบขาด ตกเย็นยังต้องมาตอบคำถามเรื่องไอ้แฝดนรกอีก เหนื่อยกว่านี้มีอีกไหม



“มึงย้ายมาอยู่คอนโดใกล้มหา’ ลัยใช่ป่าววะ วันนั้นเหมือนกูเห็นมึงออกมาจากที่นั่น” ไอ้พีทถาม ส่วนพวกไอ้ป๊อกก็มองมาที่ผมงงๆ เออว่ะ ลืมบอกพวกมันเลย ถือโอกาสบอกตอนนี้เลยละกัน



“กูเพิ่งย้ายมาอยู่คอนโดกรีนเพลสกับไอ้แฝดอ่ะลืมบอกไป พ่อแม่เขาอยากให้กูช่วยคุมเด็กมันหน่อย”



“อ้าว มึงชอบนอนคนเดียวไม่ใช่หรอวะ อย่างนี้ไม่อึดอัดเหรอ” แท็คถาม พวกมันรู้ดีว่าผมไม่ชอบนอนร่วมกับใคร แต่ถ้าจำเป็นต้องนอนผมก็จะเลือกนอนริมสุด ในสุด ตรงไหนก็ได้ที่คนน้อยๆ ไม่มีคนมานอนขนาบอ่ะ ไม่ชอบ รำคาญ



“โคตรอึดอัดเลยสัส! พวกมันนะเปิดแอร์หนาวอย่างกับอยู่ขั้วโลกเหนือ กูต้องใส่เสื้อกันหนาวเวลาอยู่ห้องอ่ะคิดดู เวลากูอยู่ในห้องก็ชอบมาเคาะประตูพอกูไม่เปิดแม่งก็จะงัดสารพัดวิธีมาทำให้กูเปิดจนได้ ลืมของไว้ในห้องกูบ้างล่ะ สอนการบ้านบ้างล่ะ ขอยืมนู่นยืมนี่บ้างล่ะ แล้วมันก็ชอบไม่พอใจด้วยนะเวลากูล็อกประตู คือแบบห้องก็ห้องกูทำไมกูจะล็อกไม่ได้ พวกมึงเข้าใจปะว่ามันน่ารำคาญ บางทีกูก็อยากมีเวลาส่วนตัวบ้างอะไรบ้าง” เวลาอยู่กับเพื่อนๆ ผมมักไม่ค่อยปิดบังอะไรหรอกครับ มีอะไรก็บ่นให้พวกมันฟังถ้าเป็นเรื่องที่พอบ่นได้



“เออน่า อยู่กันไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ชิน ซักพักมึงจะชอบ คึกคักดีออก” ไอ้แท็คว่า มันก็พูดได้สิ ตัวเองโตมากับครอบครัวใหญ่มีพี่น้องตั้งห้าคนนี่หว่า



“น่ารำคาญจะตายชัก” ผมขี้เกียจคุยแล้วเลยหันหน้าเข้าหาพุงไอ้ก้อยเป็นการจบบทสนทนา เพื่อนมันคงจะรู้ว่าผมไม่อยากคุยเรื่องนี้เลยเปลี่ยนไปคุยกันเรื่องอื่น ก้อยลูบหัวผมเบาๆ มันคงรู้ว่าผมเหนื่อยเลยไม่ได้ชวนผมคุยเพราะเดี๋ยวตอนกลางคืนผมก็ต้องลุกขึ้นมาเช็กความเรียบร้อยก่อนนอนของพวกน้องๆ อีกเลยปล่อยให้ผมได้งีบพัก



“พี่ทีวอสอง!! พี่พีทวอสอง!!”



ผมสะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงร้อนรนดังมาจากวอของตัวเอง ไอ้พีท และ ไอ้โซลพร้อมๆ กัน



“สองครับ” ผมรีบส่งรหัสกลับไปทันที



“แย่แล้วพี่! น้องปีหนึ่งหายไปไหนไม่รู้สองคน พวกผมตามหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ” เสียงปีใหม่ดังมาอย่างร้อนรน



พวกปีสามตกใจไปตามๆ กัน ไอ้พีทที่ตั้งสติได้เร็วกว่าใครรีบคว้าวอมาสอบถามอย่างใจเย็น



“แล้วรู้หรือเปล่าว่าใครหายไป หายไปที่ไหน เมื่อไหร่” แทนที่จะต่อว่าปีสองที่ไม่ดูแลน้อง ไอ้พีทกลับถามในเรื่องที่สำคัญกว่า



“ชื่อภูผากับฟ้าครามครับเด็กแฝดที่เพิ่งเข้ามาปีนี้ ตอนแรกก็เห็นเล่นน้ำกันอยู่ดีๆ แต่พอนัดรวมกันจะกลับที่พักสองคนนั้นก็หายไปแล้ว”



“พาน้องปีหนึ่งไปอาบน้ำกินข้าวให้เรียบร้อยตามกำหนดการเดิม นอกจากพวกนายมีใครรู้อีกมั้ยว่าสองคนนั้นหายตัวไป”



“ไอ้ไก่ครับ”



“โอเค ไม่ต้องบอกปีหนึ่งคนอื่นนะว่าเกิดอะไรขึ้น ทำตัวกันตามปกติ เดี๋ยวจะวุ่นวาย ที่เหลือพวกพี่จัดการเอง”



“ครับพี่ ขอโทษจริงๆ นะครับ…”



“อย่าพึ่งมาขอโทษอะไรตอนนี้ นี่ไม่ใช่ความผิดของนายคนเดียว ปีสองทุกคนต้องรับผิดชอบร่วมกัน …เรื่องนี้พักไว้ก่อน ไปทำตามที่สั่งได้เเล้ว”



“สองแปด”



ผมอยากจะเอามือตบหน้าผากตัวเอง เห็นมั้ยล่ะ พวกมันสร้างปัญหาให้ผมอีกแล้ว!!!







-------------------------------

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6774
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
  :z1:  ค่อยๆคืบคลานเข้าไปนะแฝด

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
ที หนุต้องเปิดใจบ้างนะลูกกกกก

แล้วจะฟินไปเองงง

ออฟไลน์ fullfinale

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 687
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
แฝดดดดด

ออฟไลน์ YounIn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1524
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-8
สรุปคือทีไม่รู้ว่าน้องพูดอะไร..

ออฟไลน์ wanirahot

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 485
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
ถ้าน้องได้ยินทีพูดคงเสียใจน่าดูเลย

ออฟไลน์ candleguard

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 75
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-1

                                                             ตอนที่ 21  ตะกายน้ำตก


ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องมาปีนน้ำตกเชี่ยวกรากตอนกลางคืนเพียงเพื่อตามหาตัวปัญหาบางคนแบบนี้…



“เฮ้ย! ระวังตรงนี้ด้วยพื้นต่างระดับ ” ไอ้โซลที่ลุยน้ำอยู่ข้างหน้าตะโกนบอกพร้อมกับส่องไฟฉายให้เพื่อนๆ รู้ตำแหน่ง



ผู้ชายปีสามเกือบทุกคนออกมาช่วยกันตามหาไอ้แฝดนรกกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ มีแค่ไอ้พีทกับเพื่อนอีกสองคนที่คอยอยู่โยงดูแลปีสองกับปีหนึ่งที่วัด



ผมกับไอ้ไก่ลุยน้ำตกขึ้นไปเรื่อยๆ เราทุกคนต้องอยู่กันเป็นคู่ๆ และจับๆ กันไว้เพราะน้ำตกที่นี่ค่อนข้างไหลเชี่ยว หินก็มาก พื้นต่างระดับใต้น้ำที่มองไม่เห็นก็เยอะ ถ้าไม่จับมือกันไว้ล่ะก็อาจจะตกหลุมใต้น้ำหรือโดนพัดพาไปได้ง่ายๆ



จากการสอบถามไอ้ยูโร มันบอกผมว่ามันได้ยินไอ้แฝดนรกคุยกันเรื่องต้นกำเนิดของน้ำพุ มันก็ไม่ได้เอะใจอะไรเพราะคิดว่าสองคนนั้นคงคุยเล่นกันเฉยๆ ก็เลยไปกระโดดน้ำกับพวกเพื่อนๆ มารู้ตัวอีกทีว่ามันสองคนหายไปก็ตอนที่เขาเรียกรวมตัวนี่แหละ



เจ้าหน้าที่ป่าไม้บอกว่าน้ำตกที่นี่มี 7 ชั้น เปิดให้เล่นน้ำได้แค่สี่ชั้นล่าง เพราะสามชั้นบนสุดนั้นชันเกินไป หินมีคมใต้น้ำก็มาก น้ำไหลเชี่ยวแถมยังไม่สวยเท่าสี่ชั้นล่างอีกด้วย



อากาศตอนกลางคืนในช่วงปลายฝนต้นหนาวนั้นทำร้ายผมมาก แล้วยิ่งต้องมาลุยน้ำตกเย็นๆ ท่ามกลางอากาศแบบนี้อีกมันไม่ใช่เรื่องสนุกเลย พวกเราใช้เวลาในการไต่น้ำตกสามชั่วโมงจนถึงน้ำตกชั้นห้าแล้ว ยิ่งไต่ขึ้นสูงเท่าไหร่ก็ยิ่งลำบากเท่านั้น มือผมถลอกปอกเปิกเพราะเผลอคว้าเอาหินที่แม่เพรียงขึ้นขรุขระหลายสิบครั้ง คืนนี้ผมได้ความรู้ใหม่…หินที่อยู่ตรงน้ำเชี่ยวมากๆ จะไม่มีแม่เพรียงและตะไคร่เกาะ เหมาะสำหรับจับยึดแต่ต้องระวังกระแสน้ำให้ดีๆ ตอนนี้ผมมึนหัวและหนาวมาก หนาวจนไอ้ไก่ที่จับมือผมอยู่มองมาอย่างเป็นกังวลเพราะมือผมเย็นเฉียบ มันชาจนไร้ความรู้สึกไปเสียแล้ว



“ภูผาา !!!! ฟ้าครามมมมม !!! ” ปีสามทุกคนช่วยกันตะโกนเรียกไปตลอดทางพลางสาดส่องไฟฉายที่ห่อด้วยถุงพลาสติกไปรอบๆ



ผมพยายามกวาดตามองรอบด้านตลอดเวลา ลำคอแสบร้อนไปหมดเพราะตะโกนเรียกจนเสียงแหบ ผมเดินนำหน้าไก่ไปเรื่อยๆ อย่างระมัดระวัง ตอนนี้พวกเรากำลังจะขึ้นไปที่น้ำตกชั้นที่หก…



“โอ๊ย!” ผมร้อง เมื่อรู้สึกเจ็บที่น่องอย่างฉับพลัน ทุกคนหันมาตามเสียงร้องของผมทันที ผมพยายามไม่แสดงออกว่าตัวเองเจ็บก่อนจะก้มลงควานมือไปใต้น้ำ มันเป็นกิ่งไม้ที่แหลมเอามากๆ ผมพยายามดึงมันขึ้นมาแต่ก็ไม่สำเร็จ



“เฮ้ย ! เป็นไรป่าว ” ป๊อกที่ตามหลังมาส่องไฟฉายมาที่ผม ผมส่ายหน้าเบาๆ



“โดนกิ่งไม้บาดนิดหน่อย ทุกคน!! ตรงนี้มีกิ่งไม้แหลม อย่าเดินมานะ!!” ผมตะโกนบอกพวกที่ปีนตามมาแล้วยืนค้างอยู่กับที่จนทุกคนเดินนำไปหมดแล้วจึงเดินปิดท้ายคู่กับไอ้ไก่ ตอนแรกๆ พวกเรายังไม่รู้หลักก็เลยพากันปีนมั่วๆ ซั่วๆ เจ็บกันไปคนละเล็กคนละน้อย จนในที่สุดก็เริ่มรู้หลักว่าถ้าใครเดินเจออะไรที่มันอันตรายต้องตะโกนบอกและยืนค้างตรงนั้นจนกว่าทุกคนจะไปเพื่อบอกตำแหน่งให้ทุกคนทราบ ถ้าถามว่าทำไมไม่เดินไปตามทางที่พี่เจ้าหน้าที่นำน่ะเหรอ พี่สองคนเค้าเพิ่งย้ายมาประจำการที่นี่แค่เดือนเดียวแถมไม่เคยลุยน้ำตกชั้นสูงๆ แบบนี้ด้วย สรุปคือไม่ต่างจากพวกผม=_=



จู่ๆ ก็มีเสียงฮือฮาดังมาจากพวกที่นำหน้า ผมกับไอ้ไก่มองหน้ากันก่อนจะเร่งไต่ปุ่มหินที่มีมวลน้ำเย็นเฉียบไหล่ผ่าน



ภาพที่เห็นจากไฟฉายหลายกระบอกที่ส่องไปด้านหน้าทำให้ผมทั้งตกใจทั้งขนลุก น้ำตกชั้นหกเป็นเหมือนแอ่งน้ำกว้างๆ ไม่มีหินขึ้นตะปุ่มตะป่ำหรือซ้อนกันเป็นชั้นเหมือนที่แล้วมา กลางแอ่งมีเกาะกลางที่มีต้นไทรขนาดมหึมาแผ่กิ่งก้านปล่อยรากห้อยระย้าราวกับเส้นผม โคนต้นมีศาลเพียงตาเก่าๆ ที่สร้างจากไม้ และสิ่งที่ทำให้ผมตกใจแทบสิ้นสติก็คือร่างของภูผาและฟ้าครามที่นอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่ใต้ต้นไทรใกล้ศาลเพียงตานั้น



“ภูผา !! ฟ้าคราม!!” ผมร้องเรียกสุดเสียง …แต่สองคนนั้นคงไม่ได้ยิน







วันต่อมาผมถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล ผมไม่รู้ว่าตัวเองมาอยู่ที่โรงพยาบาลได้อย่างไร รู้แค่ว่าเมื่อวานพอตามหาสองคนนั้นจนเจอ ช่วยกันแบกกลับมาจนถึงวัดเสร็จแล้วผมก็จำอะไรไม่ได้อีก สงสัยผมคงวูบไปตอนนั้นล่ะมั้ง



“ที ตื่นแล้วหรอ เป็นไงมั่ง ” ก้อยที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างๆ ผมลุกขึ้นมาเกาะราวเตียงเมื่อเห็นผมลืมตา



“แสบคอ ขอน้ำหน่อย ” ผมตอบก้อยด้วยเสียงแหบๆ ผมคงเป็นไข้สูงแน่ๆ เพราะผมรู้สึกว่าลมหายใจตัวเองมันร้อนผ่าวไปหมด ดื่มน้ำก็ขมลิ้น หัวสมองก็เหมือนจะตื้อๆ ตันๆ คิดอะไรไม่ออกเลย ผมรู้สึกเหมือนลืมอะไรบางอย่างที่สำคัญมาก มันคืออะไรวะ ผมลืมอะไร ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว..



อา…นึกออกแล้ว



“ ภูผากับฟ้าครามล่ะ? ”



“อ๋อ จอมยุ่งสองคนนั้นน่ะหรอ… สบายดี เมื่อเช้าโดนจารย์ปกรณ์กับพวกปีสามเทศน์ซะหูบาน ตอนนี้คงโดนสั่งให้ทาสีอยู่มั้ง… ” ได้ฟังอย่างนั้นผมก็สบายใจอย่างประหลาด ก้อยกดปุ่มเรียกพยาบาล ผมถูกวัดไข้วัดความดัน จากนั้นหมอก็เข้ามาตรวจ หมอบอกว่าเมื่อคืนผมไข้ขึ้นสูงถึง 39.3 องศา ถ้าเพื่อนพามาส่งช้ากว่านี้อีกนิดเดียวผมอาจจะช็อกได้ ผมจำได้จากตอนเรียนมอปลายว่าระบบต่างๆ ภายในร่างกายของเราจะต้องทำงานโดยมีเอนไซม์กระตุ้นเสมอ ถ้าอุณหภูมิร่างกายสูงเกินไปเอนไซม์ซึ่งเป็นโปรตีนจะเสียสภาพ…ก็คงมีค่าเท่ากับตาย



ก้อยเล่าให้ฟังว่าเมื่อวานพอกลับมาถึงวัดตอนตีห้าผมก็วูบไป ส่วนภูผากับฟ้าครามอยู่ดีๆ พอเข้าเขตวัดก็สั่นเป็นเจ้าเข้า ร้องโหวกเหวกโวยวายพูดไม่รู้เรื่อง ไม่ยอมเข้าไปในเขตวัด พวกผู้ชายต้องช่วยกันล็อกถึงสี่คนถึงจะเอาอยู่ ตอนนั้นปีสามตกใจมากเพราะสองคนนั้นอาละวาดอย่างกับโดนผีเข้า โชคดีที่เจ้าอาวาสกลับจากกิจนิมนต์พอดีเลยมาช่วยพรมน้ำมนต์เเละพาไปขอขมาเจ้าที่ให้ถึงจะหาย



ถึงผมจะเรียนสายวิทย์มาและไม่เคยเชื่อในเรื่องสิ่งลี้ลับ แต่เหตุการณ์ในครั้งนี้ได้สั่นคลอนความเชื่อของผมอย่างมากเมื่อนึกขึ้นได้ว่าก่อนมาค่ายภูผากับฟ้าครามถอดสร้อยพระออกเพราะกลัวพระเสื่อมถ้ารุ่นพี่ให้เล่นหรือลอดอะไรที่ไม่ควรลอด…และคนที่บอกให้สองคนนั้นถอดเก็บไว้ที่ห้องก็คือผมเอง



น้องผิด…..ที่เล่นซนขึ้นไปปีนน้ำตกโดยไม่บอกรุ่นพี่



แต่ผมผิดกว่า….ที่วางใจให้คนอื่นดูแลสองคนนั้นแทน ผมลืมนึกไปว่าไม่มีใครไว้ใจได้มากที่สุดเท่ากับตัวเราเอง ถ้าผมไปเฝ้าเองก็คงไม่เกิดเรื่อง สองคนนั้นคงไม่มีโอกาสได้หายไป ปีสองคงไม่ต้องมานั่งกังวลว่าทำน้องหาย และพวกเพื่อนๆ คงจะไม่ต้องเหนื่อยปีนน้ำตกกันถึงตีสี่ตีห้า ผมจินตนาการไม่ออกเลยว่าถ้าสองคนนั้นหายตัวไปจริงๆ จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าพวกเราตามหาไม่เจอจะทำยังไง ถ้าสองคนนั้นตกหน้าผาหรือโดนสัตว์ป่าฆ่าตายล่ะ…ทุกคนในค่ายนี้คงต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้นร่วมกัน อาจารย์ปกรณ์คงเดือดร้อนที่สุด แล้วผมจะมองหน้าพ่อแม่ยังไง จะมองหน้าอาแอ๋มกับอาเขยยังไงในเมื่อเขาอุตส่าห์ไว้ใจฝากสองคนนั้นให้ผมดูแลแต่ผมกลับทำไม่ได้



ทั้งที่ผมควรจะโกรธสองคนนั้นที่เป็นตัวต้นเรื่อง แต่ไม่รู้ทำไมผมกลับโกรธตัวเองมากกว่า



เมื่อร่างกายอ่อนแอ สภาพจิตใจของผมก็ดูเหมือนจะทรุดไปด้วย ผมได้แต่ปล่อยให้กระแสความคิดอันร้ายกาจไหลหลากท่วมท้นสติอันเลือนราง



เกลียด…ทำไมต้องตามมาด้วย ทำไมต้องมาเรียนที่เดียวกัน มาเป็นภาระของผมทำไม!



ทำไมต้องมาอยู่ร่วมกันด้วย ! รำคาญ ไม่ชอบเลย ไม่เป็นส่วนตัวเลย อึดอัดจะแย่อยู่แล้ว



ทำไมต้องเป็นญาติกันด้วย



ทำไมต้องเจอกันด้วย



…ถ้าสองคนนั้นไม่เกิดมา…ก็คงจะดี อย่างน้อยผมก็คงไม่ต้องมีเรื่องให้คิดมากขนาดนี้ทั้งที่ปกติก็มีเรื่องให้คิดตั้งมากมายอยู่แล้วแท้ๆ



ใครก็ได้…เอาสองคนนั้นออกไปจากข้างตัวผมที



ก่อนที่ผมจะไม่สามารถละสายตาไปจากสองคนนั้นได้อีกเลย…





นี่เป็นค่ายที่ซวยที่สุดในชีวิตผม… ตอนมาก็เมารถ คืนแรกก็นอนไม่หลับ คืนต่อมาก็ต้องไปปีนน้ำตกกลับมาไข้ขึ้นเพื่อนต้องหามส่งโรงพยาบาลหลังจากนั้นก็อยู่ยาวจนถึงวันกลับ…ตกลงกูมาทำไม



ตลอดสามวันที่ผมนอนให้น้ำเกลืออยู่ที่โรงพยาบาลในตัวเมืองผมไม่ได้เห็นหน้าภูผาฟ้าครามแม้แต่วันเดียว ช่างเป็นลาภอันประเสริฐอะไรเช่นนี้หนอ…เปล่าหรอก ไอ้ก้อยเล่าให้ฟังว่าที่จริงมันสองตัวพยายามตื๊อขอมาเฝ้าผม แต่ไอ้พีทมันจำได้ว่าผมเคยพูดว่ารำคาญมันเลยไม่ยอมให้สองคนนั้นมาเฝ้า ( กลับไปกูจะตกรางวัลให้มึงอย่างงามเลยพีท!) แล้วสองคนนั้นก็งอแงตลอดทั้งวัน มีการจะแอบติดรถชาวบ้านหนีลงมาด้วยแต่ไอ้โซลมันจับได้…หลังจากนั้นตลอดสามวันไอ้โซลก็เอาเชือกกางเกงเลของมันผูกเชือกเกงเกงเลของสองคนนั้น ไอ้โซลไปไหนสองคนนั้นก็ต้องไปด้วย ไอ้ไก่ส่งรูปมาให้ผมดู อย่างกับหมาโดนล่าม โคตรฮา ทำเอาวันนั้นผมอารมณ์ดีทั้งวัน ในบรรดาปีสามผมว่าไอ้โซลโหดที่สุดแล้ว เจอของแข็งซะบ้างจะได้เข็ด หึๆ !



วันสุดท้ายผมนั่งรถคันเดียวกับอาจารย์ปกรณ์เหมือนเดิม กว่าจะกลับมาถึงกรุงเทพก็ปาเข้าไปเช้าของอีกวัน พอผมก้าวลงจากรถภูผากับฟ้าครามก็พุ่งเข้ามากอดผมแน่นราวกับไปไม่พบกันมานานนับสิบปี อะไรจะคิดถึงกูขนาดน้านนนนน-_-;;



ผมปล่อยให้ตัวเองถูกสองคนนั้นลากไปขึ้นแท็กซี่โดยไม่ขัดขืนหรือห้ามปรามใดๆ เพราะเพิ่งจะหายไข้ยังไม่ค่อยมีแรง



ไม่นานเราก็กลับมาถึงคอนโด ผมโดนลากไปนอนด้วยกันที่ห้องสองคนนั้น ที่จริงอยากจะขัดขืน แต่ไม่มีแรง ตั้งแต่ลงจากรถมาเชื่อมั้ยผมยังไม่ได้พูดสักคำ…เสียงไม่มี



ถึงจะนอนในรถมาจนเต็มอิ่มแล้ว แต่เมื่อล้มตัวลงบนเตียงผมก็ง่วงขึ้นมาอีก คงเป็นเพราะการเดินทางทำให้ผมอ่อนเพลียโดยไม่รู้ตัวบวกกับเพิ่งจะหายป่วยด้วย ผมได้แต่นอนอยู่ในอ้อมกอดของสองคนนั้นอย่างอ่อนเพลีย ตาจะปิดไม่ปิดแหล่ ผมคิดว่าตัวเองไม่น่ามาอยู่ตรงจุดๆ นี้ ผมไม่ควรยอมปล่อยให้สองคนนั้นมานอนกอด มันแปลก…แต่ว่า…





…เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยคิดละกัน…ง่วงชะมัดเลย zzz





อ้อ ยังไม่ลืมนะ เรื่องที่น้ำตกน่ะ เดี๋ยวต้องคุยกัน….…ยาว!







------------------------------------------



- สังเกตมั้ยว่าพี่ทีมีความคิดย้อนเเย้งกันเองตลอดเวลา เป็นธรรมชาติของมนุษย์นะ ...มนุษย์ประเภทคิดมาก



-เวลาง่วงมากๆ นี่ไม่อยากจะทำอะไรเลยจริงๆ นะ คนอ่านเคยเป็นมั้ย?



- ตอนตะกายน้ำตกนี่ เราเคยทำจริงๆ นะ ปีนเกือบถึงบนสุดเเล้ว เเต่ยิ่งสูงยิ่งน่ากลัวเลยไม่ไปค้นหาตาน้ำต่อ เห็นศาลด้วย...กลัววววว (ปล. ขอเตือนว่าอย่าทำเลย อันตราย หินบาดมือเจ็บมากTTแมลงน้ำก็เยอะ เเต่ถ้าจะทำ เเนะนำให้ปีนเป็นหมู่คณะเหมือนเราค่ะ รับประกันความมันเเละอันตราย-v-;)


ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6774
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
 :katai2-1:    :pig4:

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
แฝด รักทีมากกกกกกกกกกกก  :กอด1: :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ wanirahot

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 485
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
พี่จ๋าใจอ่อนทีเถอะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
 :z6: ขยันสร้างเรื่อง

ออฟไลน์ BABYBB

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
อยากตีแฝด!!!  :z6:

ออฟไลน์ candleguard

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 75
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-1

                                                               ตอนที่ 22  ทำบุญร่วมชาติ




........ยะถา วาริวะหา ปูรา

เอวะเมวะ อิโต ทินนัง

อิจฉิตัง ปัตถิตัง ตุมหัง

สัพเพ ปูเรนตุ สังกัปปา.........

.

ปะริปูเรนติ สาคะรัง

เปตานัง อุปะกัปปะติ

ขิปปะเมวะ สะมิชฌะตุ

จันโท ปัณณะระโส ยะถา

มะณิ โชติระโส ยะถาฯ



เมื่อน้ำหยาดสุดท้ายไหลลงไปในที่รองกรวดน้ำทองเหลือง ผม ภูผา และ ฟ้าครามปล่อยมือออกจากที่กรวดน้ำแล้วพนมมือรับพร

สัพพีติโย วิวัชชันตุ..........

มา เต ภะวัตวันตะราโย

สัพพีติโย วิวัชชันตุ

มา เต ภะวัตวันตะราโย

สัพพีติโย วิวัชชันตุ

มา เต ภะวัตวันตะราโย

อะภิวาทะนะสีลิสสะ

จัตตาโร ธัมมา วัฑฒันติ

สัพพะโรโค วินัสสะตุ

สุขี ทีฆายุโก ภะวะ

สัพพะโรโค วินัสสะตุ

สุขี ทีฆายุโก ภะวะ

สัพพะโรโค วินัสสะตุ

สุขี ทีฆายุโก ภะวะฯ

นิจจัง วุฑฒาปะจายิโน

อายุ วัณโณ สุขัง พะลังฯ





หลังจากนั้นพระท่านก็พรมน้ำมนตร์ให้พวกเราสามคนเป็นอันเสร็จพิธีถวายสังฆทาน หลังจากพวกเราก้มกราบสามครั้งแล้วท่านก็ชวนพวกเราสนทนาปราศรัยว่าเป็นอย่างไรมาอย่างไร ผมก็เลยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นตอนไปค่ายให้หลวงพ่อฟัง ท่านไม่ได้ว่าอะไรเพียงแค่หันไปมองภูผาฟ้าครามที่ดูจะสงบเสงี่ยมเป็นพิเศษ ใจจริงผมอยากจะถามว่าน้องถูกผีเข้าจริงหรือเปล่าครับหลวงพ่อแต่ก็ไม่ได้ถามออกไป ท่านมองสองแฝดอย่างพิจารณาครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มอย่างเมตตาแล้วเรียกสองคนนั้นเข้าไปใกล้ๆ เอาที่พรมน้ำมนตร์เคาะหัวให้อีกคนละสองที



“นี่คนพี่ใช่ไหม…เราน่ะมันตัวแสบ เพลาๆ ลงบ้างนะ จะทำอะไรต้องรู้จักคิดให้รอบคอบอย่าเอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง” หลวงพ่อพูดกับฟ้าครามขณะผูกสายสิญจน์ให้ น่าแปลกที่หลวงพ่อทักได้ถูกคนทั้งที่ผมยังไม่ได้บอกสักคำว่าใครพี่ใครน้อง บางทีท่านอาจจะแค่เดาเอาล่ะมั้ง



“ผมคนน้องต่างหากครับหลวงพ่อ” ฟ้าครามแย้ง เพราะถึงตัวเองจะเกิดก่อนแต่ทุกคนในบ้านถือว่าเขาเป็นน้องภูผาเพราะภูผาเสียสละให้ออกมาก่อน



“งั้นเหรอ…เอ้า คนน้อง…แสบพอกับพี่ชายนะ เห็นตัวอย่างที่ไม่ดีก็อย่าเอาอย่าง ให้รู้จักห้ามปรามไม่ใช่ร่วมด้วยช่วยส่งเสริมเข้าใจไหม” ถึงฟ้าครามจะแย้งว่าตัวเองเป็นน้องแต่หลวงพ่อก็ยังเรียกภูผาว่าคนน้องอยู่ดี ผมได้แต่นั่งนิ่งอย่างสงสัยไม่อยากจะคิดไปในทางที่ว่าท่านมีญาณวิเศษเพราะผมไม่ใช่คนเชื่อเรื่องพวกนี้ซึ่งต่างกับพ่อแม่ผมโดยสิ้นเชิง



“การที่คนเราได้เกิดมาเจอกันนั้นไม่ได้เป็นเพราะความบังเอิญ แต่เป็นเพราะบุญกรรมที่สั่งสมร่วมกันมาในอดีตชาติ โยมสามคนได้มีโอกาสทำบุญร่วมกันในวันนี้เป็นเพราะชาติก่อนๆ ก็เคยทำบุญร่วมกันมาเช่นกัน ขอให้ชักจูงกันไปในทางที่ดี ที่ถูก ที่ควร เป็นกัลยาณมิตรที่ดีต่อกันนะโยม” กล่าวจบท่านก็ลุกขึ้นจากอาสนะแล้วเดินจากไป



พระสงฆ์ผู้มากพรรษาหันกลับมามองภาพคนสามคนที่กำลังเดินลงไปเทน้ำที่โคนต้นไม้อีกครั้ง ภาพผู้ชายสามคนในชุดเครื่องแต่งกายสมัยก่อนซ้อนทับภาพที่เห็นในปัจจุบัน



“ในที่สุด…คำอธิษฐานของเจ้าทั้งสองก็เป็นจริงแล้วสินะ…”







หลังจากหายไม่สบาย ผมก็เทศนาสั่งสอนสองคนนั้นซะยกใหญ่เรื่องที่ทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อนกันไปทั่ว ดีที่สองคนนั้นไม่เถียงผมเลยสักแอะ ได้แต่นั่งจ๋องก้มหน้าก้มตารับผิด พอต่อว่าจนสาแก่ใจผมก็เลยไม่รู้จะขุดอะไรมาว่าต่อเพราะโดยนิสัยส่วนตัวแล้วผมก็ไม่ใช่คนชอบตำหนิติติงใคร เลยได้แต่พูดตบท้ายว่าคราวหลังห้ามหนีไปเล่นซนโดยไม่บอกกล่าวอีก ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดเป็นอะไรไปผมจะโกรธ…ตัวเองมาก



แค่นั้นแหละครับ แค่ผมบอกว่าผมจะโกรธตัวเองสองคนนั้นก็ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ จับมือผมไปคนละข้างแล้วเอาหน้าถูๆ ไถๆ บอกว่าไม่ทำแล้วๆ สัญญาๆ พอผมเผลอร้องโอ๊ยเพราะแผลแม่เพรียงบาดที่ฝ่ามือยังไม่หายไอ้สองคนนั้นก็ยิ่งทำหน้าสำนึกผิดเข้าไปใหญ่ หวังว่าจะเป็นครั้งสุดท้ายนะที่สองคนนี้จะก่อเรื่อง เฮ้อ



วันนี้อาจารย์ปกรณ์ยกคลาสเพราะเห็นใจนิสิตที่เพิ่งกลับมาจากค่าย ผมเลยถือโอกาสพาภูผากับฟ้าครามไปไหว้พระถวายสังฆทานแถวๆ วัดที่รุ่นน้องคนนึงเคยแนะนำมาเสียเลย ผมว่าพอภูผากับฟ้าครามฟังหลวงพ่อกล่าวตักเตือนสองคนนั้นก็ดูจะนิ่งขึ้นนิดนึง ผมยืนรับลมริมท่าน้ำวัดขณะมองดูภูผาและฟ้าครามให้อาหารปลากันอย่างสนุกสนาน…ไอ้ท่าทางสงบนิ่งเมื่อกี้มันหายไปไหนแล้ววะ



ซ่า!!!



“เฮ้ย!” ผมร้องอย่างตกใจเมื่อจู่ๆ น้ำก็กระเด็นมาโดนแขนเปียกไปทั้งแถบ หลักฐานยังคาตาสองคนนั้นคว่ำถังใส่อาหารเม็ดลงไปทีเดียวปลาก็แย่งกันกินอย่างดุเดือดฟาดหัวฟาดหางจนน้ำกระเซ็นมาโดนผม ให้ตายเถอะ! เขาให้ค่อยๆ โปรยไม่ใช่เรอะ ใครเค้าเทโครมลงไปทีเดียวหมดวะ



“แหะๆ ขอโทษคร้าบบบบบ” ผมถอนหายใจแล้วก็ส่ายหน้าอย่างไม่เอาความ อันที่จริงก็ไม่ได้เปียกอะไรมากแต่ตกใจเสียงน้ำที่เหมือนมีสงครามใต้บาดาลที่มีสองคนนั้นเป็นชนวนเหตุมากกว่า



คราวนี้ภูผาเดินไปซื้อขนมปังแถวมาแทน



“อ่ะพี่ที”



ผมส่ายหน้า “ภูกับครามให้ไปเถอะ”



“แม่บอกว่าทำบุญแล้วต้องทำทานนะพี่ เอาหน่อยหน่า เร็วๆ ปลาหิวแล้วเห็นป่าว” เอ่อ…ปลาหิวหรอ-_-;;



ในที่สุดผมก็รับขนมปังมาจากมือภูผาแล้วค่อยๆ ฉีกโยนให้ปลากิน เออ มันก็สนุกดีนะ ปลาสวายที่พยายามอ้าปากกว้างๆ รับขนมปังจากผมมองดูแล้วก็น่ารักแบบแปลกๆ ดีว่ะ



“ทำไมพี่ทีโยนไกลจัง” ฟ้าครามถาม



“…สงสารปลาที่อยู่ไกลๆ มันไม่ได้กิน” ผมตอบไปตามที่คิด



พี่ทีใจดีจัง…แม้แต่กับปลาก็ไม่เว้น…สองแฝดได้แต่คิดเช่นนี้อยู่ในใจ พวกเขาแน่ใจว่าคนที่มีจิตใจเผื่อแผ่แม้แต่กับสัตว์เล็กสัตว์น้อยย่อมไม่มีทางคิดร้ายต่อใครได้ ภูผากับฟ้าครามมั่นใจว่าถ้าได้อยู่กับคนแบบนี้พวกเขาจะต้องมีความสุขแน่นอน



“ดูนี่! ครามปาไกลกว่าอีก” ฟ้าครามฉีกขนมปังขยำเป็นก้อนกลมแล้วเหวี่ยงแขนปาสุดกำลัง แต่ปรากฏว่าขนมปังดันตกไม่ไกลจากจุดที่ทีโยนไปนัก



“โด่! อ่อนว่ะ ต้องกู” ภูผาทำท่าเหมือนนักเบสบอลจะโยนลูกมีการเก็บมือ บิดตัว ยกมือขึ้นเหนือหัว ลีลาเยอะจริงๆ พ่อคู๊ณณณณ บอกกูทีว่านี่คือการให้อาหารปลา



“อุ๊บ..ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ!!” ผมทนไม่ไหวระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ก็สองคนนี้มันเกรียนอ่ะ ใครไม่ฮาก็บ้าแล้ว



พอผมหัวเราะ ภูผากับฟ้าครามก็เหมือนจะเพิ่งรู้ตัวว่าทำอะไรลงไปเลยหัวเราะตามไปด้วย ผมกุมท้องแล้วทรุดตัวลงนั่งยองๆ โอ๊ย! หัวเราะจนปวดท้อง โอ๊ย! เหนื่อย ฮ่าๆ ๆ



พอขนมปังหมดฟ้าครามก็วิ่งดุ๊กๆ ไปซื้อมาอีก ผมรีบตะโกนไล่หลังไปว่าซื้อรอบสุดท้ายแล้วนะจะกลับบ้านแล้ว



“พี่ทีดูนี่ดิ วิธีให้อาหารแบบใหม่ของคราม” ผมหันไปมองอย่างสนใจ มันคงไม่เล่นพิเรนทร์อะไรกับปลาใช่มั้ย-_-;



ฟ้าครามหากิ่งไม้ยาวๆ มาอันหนึ่งแล้วฉีกขนมปังมาเสียบที่ปลายไม้ ยื่นไปใกล้ๆ ปากปลาตัวนึง ปลาตัวนั้นก็กระโดดงับขนมปังดังหงับแล้วอ้าปากขอกินอีก



ตอนแรกผมไม่เล่นด้วย แต่สองคนนั้นก็คะยั้นคะยอให้ลองดู ในที่สุดผมก็แพ้ลูกตื๊ออีกจนได้ แล้วผมก็ค้นพบว่าการให้อาหารปลาแบบนี้มันสนุกชะมัดเลย! เหมือนตักข้าวป้อนเด็กอ่ะครับ ปากมันกว้างมากๆ ไม่แน่ใจว่าใช่ปลาสวายหรือเปล่า พอยื่นอาหารไปจ่อปากมันก็จะอ้าปากงับเชื่องมากๆ ภูผาเอามือลูบหัวมันยังไม่ว่ายหนีเลย ขี้อ้อนด้วยนะมีการเอาหัวมาดุนมืออีกต่างหาก อันนี้ภูผาบอกมา (ผมห้ามแล้วนะ แต่ช้าไป…ภูผาเอื้อมมือไปลูบหัวปลาซะก่อน ดีนะที่มันไม่งับมือเอา)



“พี่ที”



“หืม?” ผมหันไปตามเสียงเรียกของฟ้าครามขณะที่เรากำลังยืนมองเหล่าปลาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะกลับ



“พี่ทีใจดีจังเลย…ขนาดปลาที่อยู่ไกลๆ พี่ก็ยังนึกถึงมัน”



“เหรอ” ผมตอบรับยิ้มๆ ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ได้แต่มองดวงอาทิตย์สีส้มที่กำลังจะลาลับขอบฟ้าเต็มที



“ครามชอบพี่ทีนะ” ผมหันไปสบตาฟ้าครามที่มองมาที่ผมด้วยสายตาแน่วแน่เป็นประกายร่าเริงกว่าครั้งไหนๆ ที่เคยเห็นมา



“ภูก็ชอบพี่ทีนะครับ ชอบมากๆ ชอบมากกว่าไอ้ครามอีก” ภูผาดึงแขนอีกข้าง ผมจึงต้องละสายตาจากฟ้าครามหันไปมองภูผา นัยน์ตาสีดำขลับเป็นประกายแน่วแน่หนักแน่น ผมไม่อาจละสายตาจากดวงตาที่แสนสุกใสงดงามนั้นได้ ทั้งๆ ที่ผมควรจะรู้สึกลำบากใจหรือรู้สึกแย่อย่างที่เคยจินตนาการเอาไว้แต่ผมกลับรู้สึกอิ่มเอมใจอย่างประหลาด มันมีความสุข ความรู้สึกปลาบปลื้มล้นปรี่อยู่ข้างใน ทั้งๆ ที่กลัวมาตลอดว่าจะได้ยินคำนี้ แต่พอได้ฟังโดยไม่ทันตั้งตัวผมกลับดีใจมาก ผมรู้สึกถึงเสียงหัวใจตัวเองที่ยังคงเต้นเป็นจังหวะคงเดิม หนักแน่น ไม่ได้เต้นถี่ขึ้นหรือช้าลง มันยังคงทำงานของมัน สูบฉีดเลือดอุ่นๆ ไปเลี้ยงทั่วร่างกาย ความรู้สึกของการรู้ว่าตัวเองเป็นที่รักของใครสักคนมันเป็นอย่างนี้นี่เอง



“อะไร กูชอบพี่ทีก่อนมึงอีก!”



“กูต่างหาก กูชอบก่อน!”



“หยุด” ผมพูดเบาๆ แต่สองคนนั้นก็หยุดจริงๆ



“ฟ้ามืดแล้ว กลับกันเถอะ” ผมพูดก่อนจะออกเดินนำ ภูผากับฟ้าครามรีบวิ่งตามมาทันที พลางส่งเสียงกระเง้ากระงอดไม่ได้หยุด อารมณ์เหมือนลูกหมาที่มันชอบส่งเสียงงี๊ดง๊าดพันแข้งพันขาเจ้าของน่ะครับ



“ระหว่างภูกับครามพี่ทีชอบใครมากกว่ากัน”



“ชอบเท่ากัน ก็เป็นน้องพี่ด้วยกันทั้งคู่”



“พี่ทีอ๊าาาาาา ไม่เอาๆ ไม่อยากเป็นน้องนะ” ฟ้าครามงอแง เออ ทำไมผมถึงกังวลไปได้นะเรื่องของสองคนนี้ ทั้งที่จริงๆ มันไม่ได้มีอะไรเลย สองคนนี้ก็แค่เด็กไม่รู้จักโต ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่ารักจริงๆ มันเป็นยังไง



ผมไม่เคยรู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบายขนาดนี้มาก่อนเลย



“ไม่อยากเป็นน้องแล้วอยากเป็นอะไรล่ะ” ผมถามอย่างลืมตัว แล้วก็แทบจะกัดลิ้นตัวเองเมื่อได้สติ



“อยากเป็นฟะ…/อยากเป็นฟะ…” ผมเอามือไปปิดปากสองคนนั้นไว้ทันที ก่อนจะพยายามยิ้มให้เหมือนพวกรีดไถเงินที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้…ยิ้มโหดๆ น่ะรู้จักกันมั้ยครับ







“เอาไว้ชาติหน้าตอนบ่ายๆ เถอะไอ้หนู!!”









**ขณะให้อาหารปลาไม่ควรยื่นมือลงไปในน้ำนะคะ อาจเกิดอันตรายได้ โปรดอย่าลอกเลียนเเบบนะคะ^^**


ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ได้อ่านเพิ่มอีกตอน ดีใจ~~~

ออฟไลน์ sompong

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 355
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
เด็กสองคนนี้ร้ายกาจมากๆๆ 555

ออฟไลน์ jimmyjimmy

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1966
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-17
พี่มีควรปล่อยให้เป็นเรื่องของ ใจ. นะ.. ใช้ใจนำ

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
หลวงพ่อเจ้าขาาาาาาาาาาา หลวงพ่อรู้เรื่องในอดีตชาติของทั้ง 3 คน ขอนิมนต์หลวงพ่อเล่าให้ฟังได้ไหมเจ้าคะ  :m5:

ออฟไลน์ Tiffany

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
ปวดหัวแทนพี่ทีเลย แต่สองแฝดก็มีมุมน่ารักนะ

ออฟไลน์ jimmyjimmy

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1966
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-17
เสร็จแน่พี่ที... งานนี้

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด