ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Ch.24: The top secret[24-4-18]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Ch.24: The top secret[24-4-18]  (อ่าน 34855 ครั้ง)

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะค่ะ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะค่ะ
สรุปข้อสำคัญดังนี้


1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้าม มิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอ ให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่ นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อ ความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0


******************************************************

การเสียชีวิตของมารดาอย่างกะทันหันทำให้ชีวิตของเด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดปีอย่าง ‘กานต์’ เปลี่ยนไปราวกับหน้ามือหลังมือ
ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาต้องอึ้งงันจนพูดไม่ออก นอกจากเรื่องการจากไปของมารดาแล้ว
ก็คือเรื่องที่เขามี ‘พ่อเลี้ยง’ โดยที่ตนไม่เคยรู้มาก่อน

‘ออสติน สเวน’ นักธุรกิจชาวอเมริกันก้าวเข้ามาในชีวิตของเขา
พร้อมกับข้อเสนอเพื่อให้เขาได้ศึกษาต่อจนกว่าจะบรรลุนิติภาวะ
เด็กหนุ่มที่สิ้นไร้ไม้ตอก ไม่เหลือใครนอกจากตนเองจะทำอะไรได้อีก
ได้แต่ตอบตกลงไปเสี่ยงโชคเอาข้างหน้า

สายสัมพันธ์ระหว่างเขาและผู้ชายตาสีฟ้าน้ำทะเลจึงเริ่มต้นขึ้น
ในฐานะ ‘เด็กในการดูแล’ และ ‘ผู้ปกครอง’

ทว่า...ออสติน สเวน มีเสน่ห์เหลือล้นมากเกินไปจนทำให้กานต์แทบไม่อาจห้ามใจให้ไม่คิดกับเขาเป็นอื่น
ขณะที่ชีวิตประสบกับจุดหักเห ความรู้สึกวุ่นวายที่พร่างพรายขึ้นมาในใจก็ทำให้กานต์สับสน

‘ผู้ปกครอง’ ที่ค่อยๆ กลายเป็น ‘เจ้าของหัวใจ’
ชักจะทำให้เด็กหนุ่มแสนดีคนนี้เกเรขึ้นทีละน้อยแล้วสิ...


 TALK


เรื่องนี้เป็นแนว E-Romance ค่ะ กำลังชาเลนจ์ตัวเอง
เขียนอะไรในสไตล์ที่ปรับเปลี่ยนไปจากเดิมเล็กน้อยในเรื่องของสำนวนกับการบรรยาย
พยายามเลี่ยงการใช้คำบอกเครื่องเพศหรือใช้ให้น้อยที่สุด
แต่อ่านแล้วจะได้อารมณ์ Sexy ในเรื่องของ Feeling มากกว่า Action
ตั้งใจจะเขียนให้ออกมาแบบนี้ค่ะ พนมมือรับซินรับพอร์นกันนะคะ
ใครอยากหวีด เชิญที่แฮชแท็ก #แด๊ดดี้ครับ เน้อ

******************************************************

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-04-2018 00:38:04 โดย NooDangzz »

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Like Daddy, Like Baby
 
Prologue

หากมารดาผู้บังเกิดก้าวไม่เสียชีวิตกะทันหัน เด็กหนุ่มก็คงจะไม่มีโอกาสได้เจอกับ ‘เขา’

…พ่อเลี้ยง
...ที่ไม่เคยรู้มาก่อนว่ามี

‘กานต์’ เด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดปีคิดว่าตนน่าจะหายตกใจเรื่องนี้แล้ว แต่เอาเข้าจริงๆ เขาก็ยังคงสับสนอยู่ ด้วยเรื่องราวทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเสียจนเขารับมือไม่ทัน ทุกอย่างมันเริ่มมาจากที่เมื่อปีที่แล้ว มารดาของเขาบอกกับเขาว่าจะไปทำงานเป็นแม่บ้านที่ร้านอาหารไทยในอเมริกาเพื่อหาเงินมาจุนเจือครอบครัวและส่งเสียเขาให้เรียนต่อ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้กานต์ต้องย้ายไปอยู่กับยายซึ่งแก่ชรามากแล้วที่ต่างจังหวัด ทว่าใครจะคิดว่าจู่ๆ วันหนึ่งก็มีข่าวว่ามารดาของเขาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์จนเสียชีวิต

ตั้งแต่ที่บิดามารดาแยกทางกันเมื่ออายุได้เพียงสิบปี กานต์ก็อยู่กับมารดามาตลอด บิดาไม่เคยเหลียวแลด้วยมีครอบครัวใหม่ไปแล้ว การสูญเสียทำให้ทั้งเขาและยายเสียศูนย์อยู่ไม่น้อย เขามืดแปดด้าน คิดไม่ออกว่าต่อจากนี้ตนจะใช้ชีวิตอย่างไร

แต่...หลังจากงานศพของมารดาเขา จู่ๆ ก็มีโทรศัพท์จากล่ามชาวไทยที่อาศัยอยู่ในอเมริกาติดต่อมา พร้อมกับส่งข่าวน่าตกใจให้เขากับยายรับรู้

มารดาของเขาแต่งงานใหม่กับชายชาวอเมริกัน...

กานต์ไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรนอกจากตกใจดี มารดาแต่งงานใหม่แต่ไม่เคยบอกกับเขา เท่าที่ได้ยินจากล่ามคนนั้น ดูเหมือนว่าจะแต่งงานกันมาเกือบปีแล้ว อะไรไม่ว่า ผู้ชายคนนั้นยังเสนอทางเลือกบางอย่างให้กับเขา

จะเป็นผู้ปกครองให้จนกว่ากานต์จะบรรลุนิติภาวะ...

แน่นอนว่าหมายถึงการส่งเสียเลี้ยงดูค่าใช้จ่ายต่างๆ ในชีวิตของเขาด้วย โดยมีเงื่อนไขเดียว

...กานต์ต้องย้ายไปอยู่ที่อเมริกากับผู้ชายคนนั้น

เด็กหนุ่มซึ่งเหลือยายเป็นญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวไม่มีวันที่จะทิ้งครอบครัวไปอยู่กับคนแปลกหน้าที่ไม่เคยเห็นแม้แต่หน้าตาแน่ ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะอ้างตัวว่าเป็นพ่อเลี้ยงและมีใบจดทะเบียนสมรสเป็นหลักฐานก็ตาม

แต่แล้ว...ความสูญเสียก็มาเยือนอีกครั้ง

ยายซึ่งเป็นที่พึ่งสุดท้ายตรอมใจจากการเสียลูกสาว อีกทั้งยังมีโรคชรา ทำให้จากไปอย่างปัจจุบันทันด่วนด้วยอีกคน ทำให้กานต์สิ้นไร้ไม้ตอก ในเมื่อหันไปทางไหนก็ไม่เห็นทางรอด เขาจึงจำเป็นต้องกลับคำ

...เขาจะย้ายไปอยู่ที่อเมริกากับพ่อเลี้ยงในฐานะ ‘เด็กในการดูแล’

ทันทีที่เขาตัดสินใจติดต่อไปทางล่ามของพ่อเลี้ยง ทุกอย่างก็ถูกตระเตรียมอย่างรวดเร็ว

กานต์มองไปรอบๆ ตัวอย่างประหม่า หลังจากวันนั้นที่เขายกหูโทรศัพท์ขึ้นโทรหาล่ามคนนั้น วันนี้เขาก็มายืนอยู่บนแผ่นดินแห่งเสรีภาพแล้ว

ดวงตากลมสีนิลฉายแววกังวลออกมาอย่างไม่ปกปิด มือข้างหนึ่งกำโทรศัพท์มือถือที่ต่อไวไฟสนามบิน ก่อนจะยกขึ้นมากดเข้าไปในโปรแกรมแชทเพื่อตรวจดูว่าเขาไม่ได้มาผิดสนามบิน

สนามบินนานาชาติจอห์น เอฟ เคนเนดี... ไม่ผิดแน่ อีกฝ่ายบอกให้เขาขึ้นเครื่องมาลงที่นี่

ไม่เพียงแต่บอก เป็นคนจองตั๋วให้ด้วยซ้ำ แล้วก็บอกให้เขามายืนรอที่แถวประตูทางออก สังเกตคนที่มายืนถือป้ายที่มีชื่อเขาให้ดี เพราะอีกฝ่ายจะส่งคนมารับ

แต่...ผ่านมาแล้วเกือบครึ่งชั่วโมง กานต์ยังไม่เห็นจะมีใครมายืนถือป้ายที่มีชื่อเขาเลยสักคน

ความกังวลพร่างพราย เรียวคิ้วเริ่มขมวดมุ่นเข้าหากัน

ถ้าพ่อเลี้ยงเขาไม่มาล่ะ ถ้าเขาถูกหลอกมาลอยแพที่อเมริกา เขาจะทำยังไง?

คิดเรื่อยเปื่อยไปเรื่อย ความกังวลไม่มีสิ้นสุด มีแต่จะทวีคูณ ในหัวคำนวณจำนวนเงินที่ได้รับมาจากผู้ชายคนนั้นเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางซึ่งพอจะมีติดตัวอยู่ทันควัน

ถ้าถูกเท อย่างน้อยก็มากพอที่จะไปเช่าโรงแรมแถวสนามบินนอน...มั้ง

คิดไปแล้วก็ไม่มั่นใจหรอก แต่เอาเถอะ อย่างน้อยเขาก็ท่องจำเบอร์โทรศัพท์ของสถานทูตไทยในอเมริกาได้ ถ้าเกิดปัญหาอะไรขึ้นมา ก็คงต้องโทรไปขอความช่วยเหลือจากที่นั่น

ทว่าก่อนที่จะคิดอะไรไปไกล อันดับแรกเขาควรจะโทรหาพ่อเลี้ยงของเขาก่อนต่างหาก เผื่อว่าอีกฝ่ายจะลืม

ปิ๊บ...

ยังไม่ทันที่จะได้ทำอะไร แค่ยกโทรศัพท์ขึ้นมาดู หน้าจอก็ดับไปทันควัน กานต์สบถออกมา

“บ้าฉิบ ทำไมแบตฯ จะต้องมาหมดตอนนี้ด้วยวะ”

รู้สึกได้ถึงลางร้าย ภาษาอังกฤษตัวเองก็พูดไม่คล่อง แม้ว่าก่อนหน้านั้น พ่อเลี้ยงของเขาจะส่งเงินมาให้ไปเรียนปรับพื้นฐานก่อนมาที่นี่บ้างแล้วก็เถอะ ที่สำคัญ เบอร์ของผู้ชายคนนั้นเขาก็จำไม่ได้ มิหนำซ้ำก็ยังไม่ได้จดเอาไว้

อะไรมันจะซวยขนาดนั้นวะไอ้กานต์...

อดไม่ได้เลยที่จะบ่นพึมพำกับตัวเอง ก่อนที่จะสูดลมหายใจเข้าปอดเต็มแรงเพื่อสงบสติอารมณ์

เอาล่ะ ใจเย็นๆ อย่างน้อยก็เดินหาอีกรอบก่อน เผื่อว่าจะมาแล้ว

คิดได้ก็ลากกระเป๋าใบเขื่องไปละแวกหน้าประตูทางออกอีกครั้ง สายตามองหาคนที่คาดว่าน่าจะเป็นคนที่พ่อเลี้ยงของเขาส่งมารับ แต่ก็นึกขึ้นมาได้ว่าเขาไม่ได้ถามไว้ว่าคนที่มารับมีหน้าตาท่าทางเป็นแบบไหน นึกโทษตัวเองที่สะเพร่าจนแทบอยากจะยีหัวให้ยุ่งนัก

ทว่า...ทุกความคิดก็ต้องยุติลงเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นผู้ชายคนหนึ่งก้าวผ่านประตูเข้ามา

เขาใส่สูทสีกรม แต่งตัวเนี้ยบสะอาดสะอ้านตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า มองปราดเดียวก็รู้ว่าเครื่องแต่งกายทุกอย่างบนตัวเขาเป็นของแบรนด์เนมราคาแพง แต่อะไรก็ไม่น่าดึงดูดใจเท่ากับเครื่องหน้าของเขา

คมเข้ม... มีไรหนวดเคราขึ้นเล็กน้อย เส้นผมสีน้ำตาลมะฮอกกานี และดวงตาสีฟ้าน้ำทะเล ล้วนแล้วทำให้เขาดูมีเสน่ห์เป็นอย่างมาก ขนาดกานต์ที่เห็นเขาครั้งแรกยังหยุดมองไม่ได้เลย

หล่อมาก... อย่างกับนายแบบหลุดออกมาจากนิตยสาร

ดูแล้วผู้ชายคนนั้นไม่น่าจะอายุอานามในวัยยี่สิบกว่าๆ หรอก น่าจะเข้าเลขสามแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ทำให้กานต์ละสายตาจากเขาไม่ได้เลยสักนิด

มอง...จนลืมไปแล้วว่ามีเรื่องสำคัญกว่านี้ต้องทำ

ผู้ชายคนนั้นมาหยุดยืนบริเวณเดียวกับที่พวกคนมารอรับผู้โดยสาร ก่อนที่จะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ หยิบโทรศัพท์ออกมากดโทรออก พลันก็ขมวดคิ้วยุ่งเหยิง จากนั้นก็กดโทรออกอีกครั้ง เมื่อปลายสายไม่มีการตอบสนอง เขาก็เก็บโทรศัพท์กลับเข้าที่เดิม ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อสูท คว้ากระดาษขนาดเอสี่ออกมากาง บนกระดาษนั้นเขียนว่า...

‘Kan’

เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว ไม่แน่ใจนักว่านั่นเป็นชื่อของเขาหรือเปล่า ชั่งใจอยู่ครู่ใหญ่ทีเดียวกว่าจะตัดสินใจเดินไปหยุดตรงหน้าแล้วเอ่ยปากถาม

“อะ...เอ็กซ์คิวส์มี...”

จากนั้นก็พูดต่อไม่ออก ทั้งนึกคำไม่ออกว่าควรจะถามว่าอะไรดี ทั้งพูดไม่ออกเพราะถูกดวงตาสีฟ้าคู่นั้นจ้องมอง

คุณมารอผมใช่ไหม... ภาษาอังกฤษพูดว่าอะไร

กานต์อึกๆ อักๆ ครู่หนึ่งทีเดียว คาดเดาได้เลยว่าพ่อเลี้ยงของเขาจะต้องเสียดายเงินที่ส่งเขาไปเรียนปรับพื้นฐานแน่ๆ ขนาดประโยคง่ายๆ ยังพูดไม่ได้ เอาไว้ถ้าถูกว่าเรื่องนี้ค่อยแก้ตัวไปแล้วกันว่าเพราะไม่ค่อยได้คุยกับชาวต่างชาติก็เลยประหม่า
ขณะที่ผู้ชายคนนั้นมองเด็กหนุ่มตรงหน้าตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แล้วก็รอให้อีกฝ่ายพูด แต่ในเมื่อคนตรงหน้าไม่พูด นอกจากส่งเสียง ‘เอ่อๆ อ่าๆ’ ไม่เลิก เขาเลยเป็นฝ่ายเปิดปากแทน

“กานต์ใช่ไหม”

คนถูกเรียกชื่อถึงกับเบิกตาโตทันควัน

ภาษาไทย!?

ไม่ทันจะได้ถาม ผู้ชายคนนั้นก็พูดขึ้นมาอีก

“ฉันมารับเธอ”

ได้ยินเท่านั้น ความกังวลของกานต์ก็มลายหายไปในพริบตา
“พ่อเลี้ยง... เอ่อ... คุณสเวนส่งคุณมารับผมเหรอครับ”

ในเมื่อพูดภาษาไทยมา เขาก็พูดภาษาไทยตอบ ถึงจะแปลกใจอยู่ไม่น้อยว่าทำไมฝรั่งตรงหน้าถึงพูดไทยได้ชัดขนาดนี้ แต่การไปให้พ้นจากสนามบินนี่ก็เป็นเรื่องสำคัญกว่า

คนถูกถามพยักหน้า ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ส่วนกานต์กลับยิ้มกว้าง

“ค่อยยังชั่ว ผมนึกว่าจะไม่มีใครมารับผมซะแล้ว”

“ประชุมเลิกช้ากว่ากำหนดน่ะ ขอโทษด้วย” เขาว่า “จะไปกันหรือยัง” แล้วก็ถามมาอีก

“ครับ”

มีเหตุผลอะไรจะต้องปฏิเสธอีก กานต์พยักหน้าตอบตกลงทันที ก่อนจะลากกระเป๋าเดินตามหลังผู้ชายคนนั้นไป ในใจก็ขบคิดไม่หยุด

ผู้ชายคนนี้... หรือจะเป็นลูกน้องของพ่อเลี้ยงเขา?

รู้ว่า ออสติน สเวน คนนั้นเป็นนักธุรกิจ แล้วก็รู้ด้วยว่าเป็นเจ้าของบริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่งในนิวยอร์ก ถ้าจะมีลูกน้องคอยทำงานให้ก็ไม่แปลก

“ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหม”

พอเดินออกมานอกสนามบินจนกระทั่งถึงลานจอดรถ ระหว่างที่รอให้ผู้ชายคนนั้นยกกระเป๋าใส่ท้ายรถให้ กานต์ก็ออกปากถาม อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมองพลางเลิกคิ้วเล็กน้อยเป็นเชิงให้ถามได้

“คุณทำงานให้คุณสเวนเหรอครับ”

เสียงปิดท้ายรถดังตามมาหลังจากนั้น ก่อนที่คนถูกถามจะยืดตัวขึ้น

“ฉันดูเหมือนลูกน้องของพ่อเลี้ยงเธอเหรอ”

กานต์เม้มริมฝีปากไปครู่ “เปล่าครับ แต่คุณสเวนบอกว่าจะส่งคนมารับผม ผมก็เลยเดาเอาว่าคงจะเป็นลูกน้อง”

คนฟังหัวเราะเบาๆ ในลำคอ “เขาไม่ได้ส่งคนมารับเธอหรอก”

สีหน้าของเด็กหนุ่มฉาบพรายไปด้วยความสงสัยทันที

ถ้าไม่ได้ส่งมา แล้วคนตรงหน้าเขาเป็นใครกันล่ะ

หรือว่า...

เกือบจะคิดไปแล้วว่าเป็นมิจฉาชีพแอบอ้างอะไรหรือเปล่า ทว่าผู้ชายตรงหน้าก็พูดขึ้นมาก่อน

“เพราะเขามารับเธอเอง”

!?

กานต์เบิกตาโต มองคนพูดอย่างไม่เชื่อสายตา

“งะ...งั้นก็แสดงว่าคุณคือ...”
“ออสติน สเวน”

พูดจบก็ยิ้มมุมปาก เป็นรอยยิ้มที่ทำให้คนมองตกตะลึงไปได้ไม่ยาก แต่ถึงจะไม่ยิ้ม กานต์ก็ตะลึงงันไปแล้ว

พ่อเลี้ยงของเขายังหนุ่มขนาดนี้เลยเหรอ!?

หนุ่มอย่างเดียวไม่พอ หล่อประหนึ่งนายแบบบนรันเวย์อีกด้วย ไม่น่าเชื่อว่าแม่ของเขาจะแต่งงานกับผู้ชายคนนี้

“ขึ้นรถได้แล้ว จะได้กลับบ้านกัน”

กานต์ได้สติคืนกลับมาในตอนนี้ พยักหน้ารับหงึกหงัก เดินไปเปิดประตูรถข้างคนขับ แทรกตัวเข้าไปนั่งท่ามกลางความรู้สึกสับสน
ออสติน สเวน... มีเรื่องทำให้เขาเซอร์ไพรส์ไม่หยุดหย่อนเลยจริงๆ
--------------------------
อยากเขียนอะไรอุ่นๆ ให้อ่านกันค่ะ เป็นฟีลกู้ดอ่านเรื่อยๆ แต่ก็จะบาปๆ นิดๆ หน่อยๆ 555
ใครจะหวีด ติดแท็ก #แด๊ดดี้ครับ นะคะ เรื่องนี้เอาไว้เขียนคลายเครียด แต่จะอัปเรื่อยๆ ฝากติดตามด้วยเน้อ
 

ออฟไลน์ unicorncolour

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1006
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
เห็นชื่อคนแต่ง...จิ้มรอเลย  :z13:

ออฟไลน์ catka12

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-0
 :-[ มันจะต้องบิดจนตะคริวกินแน่ๆ  :z1:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ท่าทางคุณพ่อคงจะดูอบอุ่นน่าดูชิมิ  :hao3:

ออฟไลน์ JUST_M

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 495
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0

ออฟไลน์ milin03

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 481
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1

ออฟไลน์ Indy555

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 10
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ปักจ้าาาาา   :o8: :o8:

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Chapter 1: Daddy

ออสติน สเวน ต่างจากการคาดเดาของกานต์ไปมากอยู่โข ตอนแรกเขานึกว่าพ่อเลี้ยงของเขาจะเป็นตาลุงวัยกลางคน ไม่หัวล้านก็พุงโลตัวใหญ่อะไรแบบนี้มากกว่าเสียอีก ใครจะไปคาดคิดกันล่ะว่าตัวจริงจะเป็นชายหนุ่มหน้าตาดีขนาดนี้

ระหว่างทางที่ออสตินขับรถ เด็กหนุ่มอดไม่ได้ที่จะลอบมองเป็นระยะ ขนาดซีกหน้าด้านข้าง ออสตินยังดูหล่อจนแทบละสายตาไม่ได้ สันกรามเป็นแนวชัดเจนรับกับหนวดเคราที่ได้รับการตัดแต่งมาอย่างดีบ่งบอกชัดเจนว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนเจ้าสำอางขนาดไหน เมื่อไล่สายตาไปตามเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ก็พอจะเดาได้ว่าน่าจะเป็นคนระเบียบจัด ไม่อย่างนั้นคงไม่แต่งตัวเนี้ยบถึงขนาดนี้ ส่วนนาฬิกาสีเงินแวววาวที่เขาสวมเป็นเครื่องประดับ นั่นก็บอกถึงความมีรสนิยม

เรียกได้ว่าทุกอย่างของ ออสติน สเวน เพอร์เฟ็กต์ไปทุกกระเบียดนิ้ว เคยเห็นพระเอกหนังฝรั่งในมาดนักธุรกิจหล่อเหลายังไง ตัวจริงของพ่อเลี้ยงเขาก็เป็นอย่างนั้นเลย กานต์ไม่แปลกใจถ้าแม่ของเขาจะตกหลุมรักผู้ชายคนนี้ภายในระยะเวลาอันสั้น

แต่...ก็น่าจะบอกเขาสักหน่อยนะว่าแต่งงานใหม่แล้ว ไม่ใช่จดทะเบียนไปโดยที่ไม่มีใครรู้ แล้วก็มาจากโลกนี้ไปก่อนที่จะได้บอกเรื่องสำคัญนี่ให้เขารู้ด้วย

ทว่าจะกล่าวโทษมารดาไปก็ป่วยการ ในตอนนี้เขามาอยู่บนแผ่นดินที่สามีของแม่เกิดแล้วเป็นที่เรียบร้อย อย่างน้อยก็ถือว่าดีอย่างหนึ่งตรงที่ผู้ชายคนนี้ยังคิดเป็นห่วงเขา เป็นห่วงลูกชายของภรรยาทั้งที่ไม่เคยเจอหน้าค่าตากันมาก่อน ไม่อย่างนั้นล่ะก็ กานต์ต้องแย่แน่ๆ

“ถึงแล้ว”

เสียงทุ้มดังขึ้นเมื่อรถขับมาจอดเทียบฟุตปาธที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง กานต์มองออกไปนอกหน้าต่างก็เห็นว่าเป็นบ้านเดี่ยวหลังใหญ่
อันที่จริง...ก็ไม่ได้ใหญ่นักหรอกสำหรับออสติน เขามีบ้านที่หลังใหญ่กว่านี้อีกหลายหลัง หลังที่พากานต์มาอยู่เรียกได้ว่าเป็นหลังเล็กที่สุดแล้ว

“โทษทีนะที่พามาอยู่บ้านหลังเล็ก ฉันเห็นว่ามันใกล้กับโรงเรียนใหม่ของเธอ เลยให้มาอยู่ที่นี่”

ชายหนุ่มว่าพลางทอดสายตามองไปทางบ้านหลังนั้นด้วย ทำเอากานต์รีบหันมาส่ายศีรษะให้กับเขา

“ไม่เล็กเลยครับ ใหญ่มาก ใหญ่กว่าบ้านยายของผมเยอะเลย”

เขาว่าไปตามความจริง มองจากสายตาแล้ว สนามหญ้าหน้าบ้านน่าจะกว้างกว่าตัวบ้านของยายเขาด้วยซ้ำ แล้วราคาก็น่าจะแพงหูฉี่ด้วย ก็นี่มันหมู่บ้านจัดสรรในละแวกแมนฮัตตันที่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งธุรกิจเลยนี่นา ขนาดแมนชั่นยังแพง แล้วประสาอะไรกับบ้านเป็นหลังๆ กันล่ะ

“งั้นเหรอ” ออสตินครางรับเสียงแผ่ว “ถ้างั้นก็ไปเอากระเป๋าเถอะ ฉันจะได้พาเธอไปดูข้างในบ้าน”

พูดจบ กานต์ก็ไม่รอช้า ลงจากรถไปคว้ากระเป๋าออกจากท้าย ลากเข้าบ้านตามหลังออสตินไป

ภายนอกบ้านก็ว่าใหญ่แล้ว พอเปิดประตูเข้าไป ภายในกลับใหญ่กว่า มิหนำซ้ำยังตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์เข้าเซ็ตกันเป็นอย่างดี ทำเอากานต์ที่อยู่บ้านปูนชั้นเดียวในต่างจังหวัดมาโดยตลอดถึงกับอ้าปากค้าง มองนั่น สำรวจนี่ด้วยความสนใจ

“ห้องของเธออยู่ชั้นบน” ออสตินทำลายความเงียบ “ห้องฉันก็อยู่ข้างๆ เธอ ที่ชั้นบนมีห้องน้ำอยู่อีกห้อง” เขาเสริมขึ้นมาอีก
พอกานต์หันไปมอง ออสตินก็ชี้นิ้วไปทางห้องหนึ่งที่อยู่หลังบ้าน

“ห้องที่ถัดจากห้องนั่งเล่นเป็นห้องครัว ตรงนั้นห้องน้ำ ถ้าจะซักผ้าก็ห้องนี้ ปกติแล้วแม่เธอจะเป็นคนทำความสะอาดที่นี่ แต่พอแม่เธอประสบอุบัติเหตุ ฉันก็เลยไม่ได้มาอยู่พักใหญ่ อาจจะมีฝุ่นสักหน่อย แต่ฉันให้แม่บ้านมาทำความสะอาดให้เมื่อเช้าแล้ว”

กานต์พยักหน้า

บ้านหลังนี้...แม่ก็เคยอยู่เหรอ?

“ห้องที่เธอนอนคือห้องของแม่เธอ”
ออสตินพูดราวกับรู้ว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าคิดอะไร แต่ไม่ทันที่จะได้พูดเอ่ยอะไร ออสตินก็สรุปรวบรัด

“เอากระเป๋าขึ้นไปเก็บแล้วอาบน้ำพักผ่อนให้เรียบร้อย มื้อเย็นค่อยลงมาร่วมโต๊ะกับฉัน วันนี้ฉันจะเลี้ยงต้อนรับเธอ สักหกโมงเย็นค่อยลงมา”

“ครับ” กานต์ว่าเสียงแผ่ว ในใจรู้สึกประหลาดอยู่ไม่น้อยที่พ่อเลี้ยงมาเลี้ยงต้อนรับเขาในวันที่แม่ไม่อยู่

ถ้าเขาได้เจอกับออสตินในวันที่แม่มีชีวิตอยู่ มันน่าจะดีกว่านี้...

แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ก้าวขึ้นไปยังชั้นบน ทำตามที่ออสตินบอก ภายในห้องนั้นที่ออสตินบอกว่าเป็นห้องเดิมของแม่เขา ตอนนี้มันไม่มีข้าวของเครื่องใช้ของมารดาเขาอยู่แล้ว ห้องถูกจัดเก็บทำความสะอาดใหม่ทั้งหมด ที่หลงเหลืออยู่ก็จะมีแค่รูปถ่ายต่างหน้าที่มารดาเขาพกติดตัวมาด้วย

มันเป็นรูปของเธอในวัยสาวที่อุ้มลูกชายวัยกระเตาะไว้ในอ้อมแขน กานต์เดินไปหยิบกรอบรูปที่วางอยู่บนชั้นขึ้นมาดู พลันความคิดถึงก็แผ่กำจาย ก่อนที่จะวางรูปนั้นลงที่เดิมเมื่อตระหนักขึ้นมาได้ว่าผู้ชายที่อยู่ข้างล่างสั่งให้เขาทำอะไร



 
เพราะเดินทางอย่างยาวนานทำให้เด็กหนุ่มเหนื่อยอ่อนเกินกว่าจะลุกขึ้นไปจัดข้าวของ เขาทำได้แค่เตรียมเสื้อผ้าไปอาบน้ำแล้วก็กลับมาทิ้งตัวลงนอนที่เตียง ก่อนจะผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว รู้สึกตัวตื่นอีกทีก็เลยเวลามื้อเย็นแล้ว

กานต์กระเด้งตัวผึง ตกใจอยู่ไม่น้อยที่มาตื่นเอาในเวลานี้ เขาพอจะรู้อยู่บ้างว่าคนอเมริกันค่อนข้างจริงจังกับเรื่องเวลา การที่เขาผิดนัดเป็นเรื่องที่เสียมารยาทเป็นอย่างมาก และมันก็เสียมารยาทสุดๆ ไปเลยสำหรับผู้มีพระคุณอย่างออสติน

เด็กหนุ่มหุนหันออกจากห้อง รีบลงไปที่ชั้นล่างอย่างรวดเร็ว ก่อนจะต้องชะงักขาเมื่อเห็นว่าออสตินนั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟา สายตาจับจ้องอยู่ยังหน้าจอโน้ตบุ๊กที่วางบนตัก

“ตื่นแล้วเหรอ”

อีกฝ่ายรับรู้ถึงการมาของกานต์ ก่อนจะเบนหน้าหันไปถาม ตอนนี้เขาไม่ได้ใส่สูทแล้ว แต่ก็ยังอยู่ในชุดเดิม เพียงแต่ไม่ได้สวมเนคไทและสูท มีเพียงเสื้อเชิ้ตสีขาวที่ปลดกระดุมสองสามเม็ดกับกางเกงสแล็กที่สวมอยู่เท่านั้น

ดูอย่างไรก็มีเสน่ห์...

แต่ไม่ใช่เวลาที่กานต์จะมาชื่นชม...

“ขอโทษครับ พอดีผมผล็อยหลับไป”

อันดับแรกเลยต้องขอโทษ จิตใต้สำนึกของกานต์บอกว่าอย่างนั้น

“ฉันรู้แล้ว เห็นอยู่” ออสตินว่า “ฉันขึ้นไปเรียกเธอที่ห้องมา แต่เห็นเธอหลับอยู่ก็เลยปล่อยให้นอน”

กานต์ได้ยินแล้วก็นิ่ง ขณะที่อีกฝ่ายยิ้มขึ้นมาบางๆ

“เตียงนอนสบายดีไหม”

ไม่รู้จะตอบยังไงก็เลยได้แต่พยักหน้า

“สบายครับ”

“ฉันเพิ่งไปซื้อมาเปลี่ยนให้เธอเมื่อวานนี้เอง ฟูกเก่ามันมีกลิ่นอับ” ออสตินว่าสบายๆ ยกโน้ตบุ๊กจากตักไปวางบนโต๊ะกระจกข้างหน้าแล้วลุกขึ้นยืน “หิวหรือยัง ฉันจะได้ไปเตรียมอาหาร”

กานต์พยักหน้า ไม่หิวก็ต้องหิวแล้วล่ะ นี่จะสองทุ่มอยู่แล้ว

“งั้นไปนั่งรอในครัว ฉันก็หิวแล้ว”

เด็กหนุ่มเดินไปตามคำสั่ง ขณะที่ออสตินเองก็เข้าไปในครัวเช่นกัน แต่เขาไม่ได้ตรงไปนั่งที่เก้าอี้ เดินไปคว้าผ้ากันเปื้อนสีดำมาสวม ถลกแขนเสื้อขึ้นสูง จากนั้นก็เดินไปเปิดตู้เย็น คว้าเอาวัตถุดิบสำหรับประกอบอาหารออกมา จากนั้นก็สาละวนกับการทำอาหารโดยปล่อยให้ลูกเลี้ยงได้นั่งมอง

ผู้ชายคนนี้...นอกจากจะมีเสน่ห์มากๆ แล้ว ยังจะใจดีอีก แล้วที่เป็นเจ้าของบริษัทหลักทรัพย์ นั่นก็คงเพราะเก่งน่าดู

เป็นผู้ชายที่เพียบพร้อมไปทุกด้าน แถมอันตรายต่อใจผู้หญิงจริงๆ...

กานต์อดคิดอย่างนั้นไม่ได้เลย ขนาดเขาเพิ่งเจอกับออสตินแท้ๆ ยังชื่นชมเขาไม่หยุด แต่ในความชื่นชมนั้นก็เต็มไปด้วยความประหม่า ทั้งประหม่าเพราะไม่คุ้นชิน ประหม่าเพราะเป็นชาวต่างชาติ ประหม่าเพราะเขาเพียบพร้อมเกินไป ที่สำคัญ... เขาดูมีอำนาจบางอย่างแฝงอยู่ภายใน ซึ่งมันทำให้กานต์ทั้งเกรงใจ ทั้งหวาดเกรงเขามากเลยทีเดียว

“กินเนื้อวัวได้ใช่ไหม”

จู่ๆ ออสตินก็ร้องถามขึ้นมา กานต์สะดุ้งเล็กน้อย ก่อนรีบตอบรับไป

“ได้ครับ”

“ค่อยยังชั่ว ฉันทำจนเสร็จแล้วเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าแม่เธอเคยบอกว่าคนไทยบางคนไม่กินเนื้อวัว”

“ผมกินได้ครับ ไม่ต้องห่วง”

ได้ยินอย่างนั้น ออสตินก็พยักหน้า พลันยกจานอาหารที่เพิ่งเตรียมเสร็จมาเสิร์ฟลงบนโต๊ะ

มื้อเย็นสำหรับงานเลี้ยงต้อนรับลูกเลี้ยงของเขานั้นเป็นอาหารแบบง่ายๆ ...สเต็กเนื้อ ออสตินคิดว่ามันง่ายในการปรุงและทำมากที่สุดสำหรับเขาแล้ว

“ถ้าไม่ถูกปากหรือจืดเกินไปก็เอาซอสพริกราดแล้วกัน ฉันไปซื้อมาจากไชน่าทาวน์ เผื่อว่าเธอจะยังไม่คุ้นชินกับอาหารตะวันตก”
พูดพลางเอาขวดซอสพริกเมดอินไทยแลนด์วางลงตรงหน้า เด็กหนุ่มมองแล้วก็อมยิ้มขึ้นมา

“ซอสพริกศรีราชา”

ออสตินเลิกคิ้ว

“ผมชอบกินซอสยี่ห้อนี้นะครับ”

“แม่เธอก็ชอบ”

เขาตอบรับ ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ก่อนจะคว้าเอาส้อมและมีดมาถือในมือ ปล่อยให้เด็กหนุ่มมองเขาพลางเม้มริมฝีปาก
ทุกครั้งที่กานต์พูดอะไรก็ตาม ออสตินมักจะเสริมขึ้นมาว่าแม่เขาอย่างนั้น แม่เขาอย่างนี้ ดูท่าแล้วอีกฝ่ายก็คงจะคิดถึงภรรยาตัวเองเหมือนกัน

“กินกันเถอะครับ”

กานต์ตัดบท ไม่ค่อยอยากพูดถึงมารดาตัวเองสักเท่าไหร่ เพราะเขาค่อนข้างจะรู้สึกแปลกๆ ที่มีผู้ชายคนอื่นที่ไม่ใช่พ่อให้ความสนใจแม่ของเขาแบบนี้ แม้ว่าจะไม่ใช่ครั้งแรกที่มีผู้ชายมาติดพันมารดา เพราะแม่เขาก็ไม่ใช่ผู้หญิงขี้ริ้วขี้เหร่อะไร ต่อให้อายุย่างเข้าวัยสี่สิบกว่าแล้วก็ยังดูเหมือนอยู่ในวัยสามสิบ รูปร่างก็ยังสมส่วน ถึงจะไม่ได้หุ่นดีเหมือนสมัยสาวๆ แต่ก็เรียกได้ว่าเป็นผู้หญิงที่ดูดีคนหนึ่งเลยทีเดียว

ทว่า...ก็ไม่ได้ดูดีหรือเหมาะสมกับออสตินหรอก ผู้ชายอย่างออสตินดูดีมากเกินไปจนกานต์นึกไม่ออกเหมือนกันว่าผู้หญิงที่สวยสมกับความหล่อของเขาจะต้องเป็นแบบไหน บางทีอาจจะต้องเป็นนางฟ้าหรือเทพธิดา เพราะออสตินดูหล่อเหลาราวกับเทพบุตรปูนปั้นตามปฏิมากรรมกรีกโรมันอย่างไรอย่างนั้น

“กินสิ มองอะไรอยู่”

มัวแต่มองจ้องหน้าอีกฝ่ายจนคนถูกมองเอ่ยปาก กานต์ได้สติ พยักหน้ารับเร็วๆ

“ครับคุณสเวน”

พอได้ยินสรรพนามเรียกแทนตัวเอง ออสตินก็เหลือบมอง

“ยังจะเรียกฉันว่าคุณสเวนอยู่อีกเหรอ”

เป็นกานต์บ้างแล้วที่ชะงัก มองหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจบ้าง

“ไม่ต้องเรียกว่าคุณสเวนหรอก” ออสตินว่า ขณะที่เริ่มลงมือหั่นสเต็กเนื้อในจาน

“ถ้าไม่ให้ผมเรียกว่าคุณสเวน แล้วจะให้เรียกคุณว่าอะไรล่ะครับ”

“เธอคิดว่าควรจะเรียกฉันว่าอะไรดี”

“ออสติน”

นึกถึงชื่อของเขาได้ขึ้นมาก็เลยพูดออกไป เท่านั้นคนถูกเรียกก็ชะงัก เหลือบขึ้นมามองเล็กน้อย

“ฉันไม่ชอบ”

“ไม่ชอบ?”

“ใช่ ไม่อยากให้เรียกชื่อ”

“งั้นก็กลับไปเรียกคุณสเวนเหมือนเดิมดีไหมครับ”

“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ต้องเรียกว่าคุณสเวน ซึ่งมันหมายความว่าฉันไม่ต้องการให้เธอเรียกว่าคุณสเวน เข้าใจหรือเปล่า มันฟังดูไม่สนิทสนมกัน ฉันต้องการที่จะสนิทสนมกับเธอ ถึงได้ให้เปลี่ยนวิธีการเรียก”

น้ำเสียงราบเรียบไม่ได้บ่งบอกว่าโกรธหรือไม่พอใจเลย แต่ไม่รู้ทำไม กานต์กลับรู้สึกหวาดเกรงในสายตาที่อีกฝ่ายจับจ้องมา มันดูมีอำนาจบางอย่างที่เขาไม่กล้าต่อกรด้วย จึงได้แต่เงียบไปจนกระทั่งออสตินเอ่ยขึ้นมาอีก

“ลองคิดดูว่าอยากเรียกฉันว่าอะไร”

กานต์ไม่มีคำตอบให้หรอก เขาไม่รู้ว่าในวัฒนธรรมฝรั่ง ถ้าไม่เรียกด้วยชื่อหรือนามสกุล ควรจะเรียกพ่อเลี้ยงว่าอะไร ถ้าเป็นคนไทยก็คงจะเรียกน้า อา ลุง หรืออะไรก็ตามแต่ที่เป็นศัพท์ในเครือญาตไปแล้ว แต่นี่...เป็นฝรั่ง

คิดเสียจนหัวแทบแตก นั่งเงียบไปพักใหญ่เลยทีเดียว จนกระทั่งออสตินหั่นสเต็กในจานตรงหน้าเสร็จถึงได้เหลือบขึ้นมามองอีกครั้ง

“ว่าไง คิดออกหรือยัง”

กานต์เม้มริมฝีปาก ไม่ตอบรับ ไม่ปฏิเสธ ท่าทางประหม่านั่นทำให้ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอขึ้นมาหน่อยๆ

“เรียกว่าพ่อดีไหม”

คนถูกถามถึงกับมองหน้า
“พ่อ?”

“ถ้ารู้สึกว่ามันมากเกินไปก็ไม่ต้องเรียกก็ได้”

มากไปจริงๆ แหละ จะให้มาเรียกผู้ชายที่เพิ่งรู้จักกันไม่นาน มิหนำซ้ำยังไม่คุ้นเคยกันเท่าไหร่ว่าพ่อ มันก็ฟังดูแปลกๆ อยู่
ก็ไม่ได้ผูกพัน ไม่ใช่พ่อลูกแท้ๆ นี่นา...

“ลำบากใจสินะ”

กานต์ไม่ปฏิเสธ ผงกศีรษะเล็กน้อยให้อีกฝ่ายได้พูดต่อ

“งั้นเรียกแด๊ดดี้ก็แล้วกัน ง่ายดี ฟังดูสนิทสนมกันด้วย เธอคงไม่ตะขิดตะขวงใจอะไรใช่ไหม”

ถึงจะมีความหมายว่าพ่อเหมือนกัน แต่คำภาษาอังกฤษก็ทำให้กานต์พอที่จะผ่อนคลายความตึงเครียดลงมาได้

“ครับ”
ตอบรับไปเรียบร้อยแล้วด้วย ออสตินเลยได้ทีออกคำสั่ง

“ไหนลองเรียกฉันหน่อยสิ”

“เรียกคุณ?”

“เรียกว่าแด๊ดดี้ไง”

ถึงตอนนี้ กานต์ก็กลับมาอึกอักอีกครั้ง แต่พอถูกสายตาคมของออสตินจับจ้อง เขาก็เหมือนต้องมนตร์สะกด ปากเผยออ้าเปล่งเสียงออกไป

“ดะ...แด๊ดดี้”

เสียงเบาจนแทบจะกลายเป็นกระซิบ แต่ออสตินกลับได้ยินเต็มสองหู แล้วเขาก็พอใจมากเสียด้วย จนต้องเอ่ยปากชม

“เด็กดี”

มุมปากยกขึ้น รอยยิ้มเต็มไปด้วยเสน่ห์ผุดพราย กานต์เหลือบมองแล้วก็ต้องรีบหลุบสายตาหนี คราวนี้ไม่ใช่แค่เพราะประหม่าอย่างเดียว เขาเขินอายขึ้นมาหน่อยๆ ด้วย รู้สึกได้เลยว่าตอนนี้หน้าของเขาเห่อร้อนไปหมด

กับแค่คำว่า ‘เด็กดี’ มันทำให้เขาเป็นไปได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอ?

เลือกผู้ชายมาแต่งงานได้อันตรายมากเลยแม่...

พลันก็ต้องรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติก่อนที่จะถูกออสตินจับได้ว่าเป็นอะไร

“กินต่อเถอะ”

ถูกสั่งอีกครั้ง กานต์ก็พยักหน้า คว้ามีดกับส้อมบนโต๊ะขึ้นมาถือในมือ เตรียมตัวจะหั่นสเต็กบ้าง แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อจู่ๆ คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเขาเอื้อมมือมายกจานสเต็กตรงหน้าของเขาไป ก่อนที่จะยกอีกจานซึ่งอยู่ตรงหน้าของตัวเองมาวางแทน

“จานนี้มันของคุณ...”

กานต์เอ่ย แล้วก็ต้องปิดปากฉับไปทันทีเมื่อถูกดวงตาสีฟ้าจ้องเขม็ง พลันว่าออกมาใหม่

“จานนี้มันของแด๊ดดี้”

คราวนี้ออสตินยิ้มออกมาน้อยๆ

“ฉันหั่นให้ จะได้กินง่าย” เขาว่า “เธอคงไม่ถนัดใช้มีด ใช้ส้อมจิ้มกินเลยง่ายกว่า เอ้า นี่ผ้า เอาวางรองบนตักซะ จะได้ไม่หกเปื้อน”
กานต์นิ่งงันไปเลย ไม่อยากจะเชื่อว่าอีกฝ่ายจะดูแลเขาประหนึ่งว่าเขาเป็นเด็กเล็กๆ ความจริงแล้วมันก็ดีอยู่หรอก แต่มันจะดีกว่าถ้าออสตินเป็นคุณลุงอ้วนฉุท่าทางใจดีเหมือนซานต้าคลอส ไม่ใช่ผู้ชายที่หล่อเหลามีเสน่ห์ขนาดนี้

เป็นผู้ชายที่อันตรายต่อสายตาและหัวใจมากจริงๆ นะแม่...

ร้องบอกมารดาที่อยู่บนสวรรค์ในใจไปอีกระลอก เดาได้เลยว่าป่านนี้เธอคงจะหัวเราะขบขันในความประหม่าของเจ้าลูกชายคนนี้เป็นที่เรียบร้อยไปแล้ว

เรียกแด๊ดดี้เพื่อความสนิทสนมเหรอ?

สนิทสนมอะไรล่ะ จะทำให้เกร็งมากขึ้นกว่าเดิมอีกน่ะสิ มันทั้งทะแม่งๆ ทั้งก่อให้เกิดบรรยากาศประหลาดๆ แต่พอกานต์ชำเลืองมองผู้ชายตรงหน้าที่นั่งหั่นสเต็กแล้วส่งชิ้นเนื้อหอมกรุ่นเข้าปากอีกครั้ง พลันก็ลอบระบายลมหายใจออกมา

แต่ถ้าแด๊ดดี้ของเขาเป็นผู้ชายคนนี้ เขาก็ไม่มีปัญหาอะไรนะ นิสัยดี ใจดี อัธยาศัยดี มิหนำซ้ำ...

...ยังเจริญหูเจริญตาดีอีกด้วย
 ----------------------------
มาต่อแล้วค่ะ เขาเรียกแด๊ดดี้กันแล้ว ฮา
ชอบกันมั้ยคะแนวนี้ ถ้าชอบก็ฝากติดตามกันด้วยนะคะ ^^

ออฟไลน์ milin03

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 481
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
ว๊ายยย daddy  :hao7: :hao7: :hao7:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ nunda

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3004
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
ดีแล้วค่ะ เรียกพ่อมันก็จะแปลกๆไปหน่อย คนไม่เคยรู้จักกัน

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Chapter 2: My good boy

กานต์พยายามปรับตัวให้เข้ากับบ้านใหม่และพ่อใหม่ให้เร็วที่สุดด้วยไม่ต้องการให้ตัวเองเป็นปัญหาของออสติน แค่อีกฝ่ายเมตตาเขาถึงขนาดนี้ก็นับว่าดีมากพอแล้ว เด็กกำพร้าอย่างเขาไม่ควรทำให้ผู้มีพระคุณต้องหนักใจไม่ว่าจะเรื่องไหนก็ตาม

หลังจากมื้ออาหารเมื่อวาน เด็กหนุ่มก็ขอบคุณเจ้าของบ้าน พูดคุยกันต่ออีกเล็กน้อย ก่อนจะแยกย้ายกันไปพักผ่อนที่ห้องใครห้องมัน เขาไม่ลืมที่จะตั้งนาฬิกาปลุกเอาไว้ ตั้งใจว่าจะรีบตื่นก่อนออสติน อย่างน้อยจะได้แสดงให้อีกฝ่ายเห็นว่าเขาไม่ใช่คนขี้เกียจที่จะนอนตื่นสายจนอีกฝ่ายต้องลุกขึ้นมาทำอาหารให้ พูดก็พูด กานต์ตั้งใจจะเป็นฝ่ายทำอาหารให้นั่นแหละ ในหัวก่อนนอนมีเมนูอาหารฝรั่งแบบง่ายๆ ผุดพรายขึ้นมาอยู่สองสามเมนู

ขนมปังปิ้ง ไข่ดาว เบคอนหรือไส้กรอกทอด กับกาแฟ แค่นี้ก็น่าจะเพียงพอ...

ทว่าพอถึงเวลาจริงๆ เขากลับไม่ตื่นตามเวลาที่คาดหวัง เพราะยังไม่คุ้นชินกับเวลาที่ดินแดนแห่งนี้ซึ่งแทบจะสลับกลางวันกลางคืนกับประเทศไทย รู้สึกตัวตื่นอีกทีก็ตอนที่ตะวันโด่งแล้ว

กานต์รีบกระเด้งลงจากเตียงทันทีที่เห็นว่านาฬิกาบนหน้าจอโทรศัพท์บอกเวลาเกือบเที่ยง เขารีบวิ่งลงไปด้านล่างก่อนเป็นอันดับแรก ในใจคาดหวังว่าออสตินอาจจะยังไม่ตื่น แต่แล้วก็ต้องผิดหวังเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนั่งไขว่ห้างอ่านอะไรบางอย่างในแท็บเล็ตอยู่ที่โซฟาใต้บันได

“ตื่นแล้วเหรอ”

ได้ยินเสียงตึงตัง ออสตินก็ละสายตาจากหน้าจอหันมามอง กานต์พยักหน้ารับ ไม่แน่ใจนักว่าควรจะทำสีหน้ายังไงดี วันแรกก็ตื่นสายเสียขนาดนี้ จะโดนดุหรือเปล่านะ

“ล้างหน้าแล้วหรือยัง”

แทนที่จะดุ ออสตินกลับถาม กานต์ซึ่งยังยืนค้างอยู่บนบันไดบ้านส่ายหน้า เท่านั้นก็ถูกไล่

“ไปล้างหน้าแปรงฟันซะ จะได้ลงมากินมื้อเที่ยง อ้อ ไม่สิ มื้อเช้าของเธอสินะ”

เหมือนจะเป็นประโยคหยอกล้อ แต่กลับทำให้คนฟังหน้าม้าน

วันแรกก็ตื่นสายโด่งเสียแล้ว ถึงจะคิดเข้าข้างตัวเองว่าเป็นเพราะเมื่อวานเขาเดินทางมาไกลเลยทำให้ร่างกายเหนื่อยล้ามากกว่าปกติ แต่มันก็ยากที่จะเอ่ยปากแก้ตัวออกไปอย่างนั้น

“ไปสิ ฉันจะไปเตรียมอาหารให้”

แล้วความฟุ้งซ่านของกานต์ก็สิ้นสุดลงเมื่อออสตินตัดบทขึ้นมา สุดท้ายแล้วก็เป็นพ่อเลี้ยงของเขาที่เป็นคนทำอาหารให้ กานต์ละอายใจอยู่ไม่น้อยที่ต้องรบกวนเขาถึงขนาดนี้ แต่ก็ไม่ได้โต้แย้งอะไร รีบวิ่งขึ้นไปข้างบนแล้วจัดการธุระของตัวเองให้เรียบร้อยในเวลาอันสั้น

ไม่นานนักก็กลับลงมาข้างล่างด้วยเสื้อผ้าชุดใหม่ ออสตินเตรียมอาหารเสร็จแล้ว มื้อกลางวันของพวกเขาเป็นอาหารง่ายๆ อย่างแซนด์วิซและสลัดผัก กานต์ไม่ค่อยชอบกินอาหารฝรั่งพวกนี้หรอก เขาชอบกินอาหารไทยมากกว่า แต่ก็ไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะเลือกมากได้ ออสตินทำให้กินก็ดีแล้ว อีกอย่าง อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับว่าบรรยากาศที่โต๊ะอาหารในตอนนี้มันเงียบเสียเหลือเกิน ออสตินไม่ใช่คนพูดมาก เขาจะพูดก็ต่อเมื่อจำเป็นเท่านั้น กานต์เองก็เช่นกัน ประกอบกับที่เขาไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองสักเท่าไหร่เลยทำให้การชวนใครคุยสักคนเป็นเรื่องยากพอสมควร แต่สำหรับพ่อเลี้ยงของเขา...เพื่อความสนิทสนมและไม่ให้บรรยากาศเงียบจนเกินไป คงต้องชวนคุยสินะ

“คุณสเวนไม่ไปทำงานเหรอครับ”

ในที่สุดก็รวบรวมความกล้าโพล่งออกมา ออสตินที่กำลังรินกาแฟดำใส่ถ้วยชะงัก เหลือบตามามองทันที

“คุณสเวน?”

แทนที่จะตอบ กลับพูดชื่อของตัวเองแทน กานต์เลยรีบเปลี่ยนคำพูดทันควัน

“แด๊ดดี้...เอ่อ...ไม่ไปทำงานเหรอครับ”

นึกขึ้นมาได้ว่าจริงๆ แล้วต้องเรียกผู้ชายตรงหน้าว่าแด๊ดดี้ ซึ่งก็ใช่ ที่ออสตินทวนชื่อของตัวเองก็เพราะต้องการให้เด็กหนุ่มเปลี่ยนสรรพนามแทนตัวนั่นแหละ

“ถามเหมือนไม่อยากให้ฉันอยู่บ้าน”
“เปล่าครับ พอดีผมเห็นว่าวันนี้เป็นวันจันทร์”

ออสตินหัวเราะเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้าเสีย

“ฉันจะเข้าบริษัทก็ต่อเมื่อมีประชุมหรือมีเอกสารสำคัญต้องจัดการเท่านั้น ซึ่งวันนี้ไม่มีอะไรสำคัญ อีกอย่าง ฉันควรจะอยู่บ้านเพราะต้องดูแลเธอ”

ได้ยินเหตุผลแล้ว คนฟังก็เกรงใจขึ้นมาทันที

“ขอโทษที่รบกวนนะครับ”

ออสตินเลิกคิ้วสูง “อย่าพูดอย่างนั้น ฉันรับปากเธอแล้วว่าจะดูแลก็ต้องดูแลให้ดีที่สุด ฉันเป็นผู้ปกครองเธอนี่”
เรื่องนั้นกานต์รู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมาก แต่การที่ออสตินแสดงออกชัดเจนว่าอยู่ในสถานะไหน มันทำให้กานต์ประหม่าขึ้นมาน้อยๆ

“แล้วก็รับปากแม่เธอแล้วด้วยว่าจะดูแลเธอเป็นอย่างดี จะปล่อยให้เธออยู่บ้านคนเดียวตั้งแต่วันแรกที่มาถึงนิวยอร์กได้ยังไงกัน”
อันที่จริงแล้วการที่เขาอยู่บ้านเพื่อดูแลเด็กในอาณัติน่าจะเป็นเพราะเหตุผลนี้มากกว่า บ่งบอกชัดเจนเลยว่าเขาเป็นคนรักษาสัญญาอยู่ไม่น้อย

“ขอบคุณครับ”

กานต์ซาบซึ้งในบุญคุณนี้ แต่ออสตินไม่สนหรอกว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าจะคิดอย่างไรกับเขา เอาแต่พูดสิ่งที่อยากจะพูดออกไป

“อยากถามอะไรฉันอีกไหม”

คนฟังเลิกคิ้วสูง... จริงๆ แล้วก็มีอยู่เหมือนกัน กานต์อยากรู้ว่าออสตินอายุเท่าไหร่ เพราะเขายังดูหนุ่มเกินกว่าที่จะเป็นพ่อเลี้ยงของเด็กอายุสิบเจ็ด แต่ถามออกไปตอนนี้คงจะไม่เหมาะสักเท่าไหร่จึงได้แต่ส่ายหน้า

“ถ้าเธอไม่ถาม งั้นฉันจะถามแล้วกัน”

กลายเป็นว่าเปิดโอกาสให้ออสตินได้ซักไซ้เสียอย่างนั้น กานต์นั่งเหยียดหลังตรงขึ้นมาราวกับเตรียมพร้อมต่อการถูกซัก ก่อนที่น้ำเสียงทุ้มของผู้เป็นเจ้าของบ้านจะดังขึ้น

“เธอคิดบ้างแล้วหรือยังว่าหลังจบไฮสกูลแล้ววางแผนยังไงต่อ”

จู่ๆ บทสนทนาก็กลายเป็นเรื่องนี้ กานต์ซึ่งไม่ทันจะได้เตรียมรับมือกับคำถามนี้นิ่งงันไปครู่

“คุณหมายถึง...”

“จะทำงานหรือเรียนต่อ หรือจะกลับไทย”

ออสตินขยายความให้ กานต์เลยเข้าใจขึ้นมาได้ ก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ ทำเอาออสตินเลิกคิ้วสูงขึ้นมาข้างหนึ่ง

“ไม่ได้คิดเลยเหรอ”

เด็กหนุ่มยังคงส่ายหน้าอีก

“ทั้งๆ ที่รู้ว่าฉันจะเป็นผู้ปกครองเธอแค่ปีเดียว เธอก็ยังไม่ได้วางแผนชีวิตตัวเองหลังจากนั้นเอาไว้?”
“ครับ”

กานต์ยอมรับอย่างจำนน ก็ก่อนหน้านั้นจนถึงตอนนี้ เขาเอาแต่คิดว่าจะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ยังไงกับผู้ชายแปลกหน้าที่เพิ่งจะรู้จักกันไม่นานอย่างเดียวนี่นา ใครจะไปคิดกันล่ะว่าจะต้องคิดเรื่องนั้นเร็วขนาดนี้

ออสตินยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบเล็กน้อย หลังจากวางมันลงบนโต๊ะ สายตาก็มองจ้องไปยังอีกฝ่ายเขม็ง

“ควรคิดได้แล้วนะ”
“แต่ผมเพิ่งจะมาอยู่ที่นี่ได้แค่วันเดียว”

ถ้านับวันนี้ด้วยก็เป็นวันที่สอง กานต์พยายามจะบอกเหตุผลเป็นนัยว่ามันไวเกินไปที่จะคิดเรื่องนั้น เขายังไม่รู้เลยว่าสังคมที่นี่เป็นอย่างไร เขาจะอยากเรียนต่อหรือทำงาน หรือจะกลับไทยก็ยังไม่รู้สักนิดเพราะเวลาที่ต้องเลือกมันยังมาไม่ถึง ออสตินไม่ใช่ว่าไม่รู้ เขารู้ แต่ว่ามันก็ควรต้องวางแผนไว้แต่เนิ่นๆ ไม่ใช่เหรอ

“เธอมาอยู่ที่นี่ได้แค่วันเดียวก็จริง แต่เธอก็รู้ตั้งแต่ก่อนมาแล้วว่าเธอจะอยู่ที่นี่แค่ปีเดียว ดังนั้นก็ควรที่จะมีแผนรองรับอนาคตตัวเองคร่าวๆ เพราะพอเธออายุครบสิบแปด ความเป็นผู้ปกครองของฉันก็จะสิ้นสุดลง”

กานต์สบตาอีกฝ่าย ตอนนี้เรื่องที่เขารู้เกี่ยวกับออสตินอีกอย่างก็คือผู้ชายคนนี้นอกจากจะเป็นคนที่เพียบพร้อมไปทุกอย่างแล้ว ยังเป็นคนตรงไปตรงมาอีกด้วย ตรงเสียจนสร้างความกดดันให้กับเด็กหนุ่มอย่างไม่ทันตั้งตัว ก่อนที่กานต์จะออกปากถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ

“หมายความว่าพอครบหนึ่งปีตามกำหนดแล้ว ผมควรจะกลับไทยเหรอครับ”

“ฉันไม่ใช่คนตัดสินใจ คนตัดสินใจคือเธอต่างหากว่าหลังจากบรรลุนิติภาวะแล้วจะเลือกทางเดินชีวิตแบบไหน แล้วที่ฉันถามก็ไม่ได้หมายความว่าจะให้เธอกลับไทย ทุกเรื่องหลังจากที่เธออายุครบสิบแปด เธอจะต้องตัดสินใจเอง ฉันถึงได้ถามไงว่าเธอวางแผนได้ยังไง จะเรียนต่อ ทำงาน หรือกลับไทย”

“แสดงว่าผมไม่ต้องกลับไทยก็ได้ใช่ไหม”

“บอกแล้วไงว่าคนตัดสินใจคือเธอ”

ถึงออสตินจะไม่ได้ดุ น้ำเสียงและสีหน้าราบเรียบ กานต์ไม่กล้าจะถามต่อเมี่อถูกเขาจ้องนิ่งๆ สายตาคู่นั้นมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาไม่กล้าที่จะมองตรงๆ หรือต่อกรด้วย และการที่นิ่งเงียบไปก็ทำให้ออสตินเป็นฝ่ายพูดขึ้นมา

“ที่ฉันพูดเรื่องนี้ขึ้นมาก็เพื่อจะย้ำเธอว่าเป้าหมายของฉันที่รับเธอมาอยู่ด้วยก็คือส่งเสียเธอเรียนให้จบไฮสกูล หลังจากนั้นเธอจะเรียนต่อ ฉันก็ยินดีสนับสนุน ถ้าอยากจะทำงาน ก็ไม่ว่ากัน อยากจะทำงานในบริษัทฉัน ฉันก็จะจัดคนมาดูแลให้ แต่ถ้าอยากจะไปจากที่นี่ มันก็สิทธิ์ของเธอ เพราะข้อตกลงของเรามันสิ้นสุดลงเมื่อเธออายุครบสิบแปดเท่านั้น” เขาว่ายาว พอเด็กหนุ่มสบตาก็เสริม “แต่ภายในหนึ่งปีที่ฉันเป็นผู้ปกครอง เธอจะต้องเชื่อฟังฉัน เข้าใจใช่ไหม ถึงจะเป็นพ่อเลี้ยงแต่ก็ให้คิดซะว่าฉันเป็นครอบครัวคนเดียวของเธอ”

ราวกับว่าจงใจแสดงสถานะระหว่างเขากับกานต์ให้ชัดเจนว่าใครอยู่ในสถานะไหน ซึ่งก็เป็นอย่างนั้น เพราะออสตินสังเกตท่าทางของเด็กหนุ่มมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วว่าค่อนข้างจะเกร็งกับเขาจนวางตัวไม่ถูก เขาก็พอจะเข้าใจอยู่ว่าเป็นเพราะกานต์ไม่คุ้นชินกับเขาซึ่งมีสถานะไม่ต่างอะไรจากคนแปลกหน้า แต่ในเมื่อตกลงปลงใจมาอยู่กับเขาแล้ว ดังนั้นก็ควรที่จะตระหนักไว้ตลอดว่าเขาไม่ใช่คนแปลกหน้าอย่างที่เด็กหนุ่มรู้สึก

ได้ยินแล้ว กานต์ตอบรับเสียงแผ่ว “ครับ”

“ส่วนเรื่องอนาคตของเธอ ฉันอาจจะถามเร็วไปหน่อย แต่ถ้าตัดสินใจได้แล้วก็มาบอกฉัน จะได้วางแผนเตรียมตัวล่วงหน้า”
“ผม...ขอคิดดูก่อนได้ไหมครับ”

กานต์รู้สึกว่าตัวเองถูกเร่งรัดอีกรอบก็ว่าเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน ในใจก็รู้สึกไม่มั่นคงไปด้วยเมื่อจู่ๆ ออสตินก็คุยเรื่องนี้ มิหนำซ้ำยังพูดวนเรื่องระยะเวลาที่ต้องอยู่ในอาณัติซ้ำไปซ้ำมา ราวกับว่าจริงๆ แล้ว ออสตินไม่ได้อยากให้เขามาอยู่ที่นี่สักเท่าไหร่ แต่ที่ยื่นข้อเสนอมาให้นั่นเป็นเพราะได้สัญญากับแม่ของเขาเอาไว้

ก็นะ ถึงออสตินจะไม่ได้อยากให้มาอยู่จริงๆ มันก็ไม่ใช่ความผิดของเขา เขาอาจจะอยากทำความต้องการของภรรยาที่เสียไปให้สำเร็จก็เป็นได้ แล้วกานต์เป็นคนตกปากรับคำมาเองนี่นา จะโทษใครก็ไม่ได้ อันที่จริงต้องขอบคุณออสตินเสียอีกที่ยื่นข้อเสนอนี้ให้เขา ไม่อย่างนั้นเขาคงจะเคว้งคว้าง ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดีต่อจากนี้หลังจากที่เหลือตัวคนเดียวแล้วแน่ๆ

“ได้ เธอยังมีเวลาอยู่อีกหนึ่งปี คิดให้ดีเพราะมันมีผลต่ออนาคตเธอ”

ออสตินไม่ยี่หระสักเท่าไหร่ ก่อนจะยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบอีกครั้งแล้วเหลือบมองอีกฝ่ายที่นั่งก้มหน้า ขมวดคิ้วราวกับขบคิดอะไรบางอย่าง

“แล้วก็ไม่ต้องห่วงว่าฉันจะไล่เธอไประหว่างที่เธออยู่ที่นี่ ทำใจให้สบายเถอะ ฉันรับปากกับแม่เธอไว้แล้วว่าถ้ามีโอกาสก็จะดูแลเธอเหมือนลูก” จากนั้นก็เผยอยิ้ม “ถึงฉันจะไม่เคยมีลูกมาก่อนก็เถอะนะ อาจจะดูแลได้ไม่ดีนัก แต่ฉันจะพยายาม แปลกดีนะ มีลูกทั้งที กระโดดข้ามเป็นหนุ่มวัยรุ่นเลย แต่ก็ยังดีกว่าต้องมาคอยเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ล่ะนะ”

กานต์หัวเราะออกมาเมื่อสัมผัสได้ว่าบรรยากาศเริ่มผ่อนคลาย เห็นอย่างนี้ ออสตินเองก็มีมุกตลกอยู่เหมือนกัน แต่ในหัวของเขาก็ยังคงขบคิดเรื่องที่ออสตินพูดไม่เลิก แล้วก็ต้องหยุดคิดไปเมื่อออสตินตบท้าย

“เหตุผลที่ฉันไม่อยากให้เธอเรียกชื่อก็เพราะอย่างนี้ เธอเป็นลูกฉัน เรียกว่าแด๊ดดี้แหละเหมาะสมที่สุดแล้ว”

เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรดี เอาเข้าจริงแล้วความรู้สึกเป็นพ่อเป็นลูกกับผู้ชายที่เป็นสามีของแม่ซึ่งเขาไม่ได้สนิทสนมด้วยเลยมันไม่มีแม้แต่น้อย ทว่าก็พยายามจะบอกตัวเองว่าการที่อีกฝ่ายเอ็นดูตนเองก็เป็นเรื่องที่ดีแล้ว ถึงแม้ว่าข้อเสนอในการดูแลของเขามันจะเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ ก็เถอะ

“แล้วเตรียมเอกสารสำหรับไปยื่นให้ทางโรงเรียนหรือยัง”

ฉับพลันหัวข้อสนทนาใหม่ก็เริ่มต้นขึ้น เรื่องนั้นกานต์เตรียมไว้หมดแล้ว

“เรียบร้อยแล้วครับ”

ออสตินยกยิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะว่าออกมานิ่งๆ

“my good boy”

เป็นครั้งแรกที่กานต์ได้ยินพ่อเลี้ยงของเขาพูดภาษาอังกฤษ แต่...ไม่นึกเลยว่าคำแรกที่อีกฝ่ายพูดจะเป็นคำนี้

“เป็นเด็กดีมาก”
“...”
“ถึงจะคิดเรื่องอนาคตตัวเองน้อยไปหน่อยแต่รู้จักรับผิดชอบดี ฉันชอบเด็กมีความรับผิดชอบ มันทำให้ฉันอยากจะใจดีด้วย”
“...”
“ถ้าเธอทำตัวเป็นเด็กดีอย่างนี้สม่ำเสมอ สักวันฉันจะให้รางวัล”

ออสตินชมมาอีก ไม่รู้ว่าชมจากใจจริงไหม กานต์รู้อย่างเดียวว่าคำพูดนั้นทำให้เขาเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว

แม่ครับ... ผมชอบพ่อคนนี้

แวบหนึ่งก็รู้สึกอย่างนั้นขึ้นมา ถึงออสตินจะทำให้เขาประหม่าในหลายๆ อิริยาบถ ทว่าก็ไม่ใช่คนเลวร้าย ออกจะดีมากๆ เลยด้วยซ้ำถ้าเทียบกับพ่อแท้ๆ ของเขาที่ทั้งทำร้ายแม่กับเขา มิหนำซ้ำยังมีผู้หญิงอื่นจนเป็นเหตุให้ครอบครัวของเขาต้องพังพินาศ แต่ก็ดีแล้วล่ะที่พ่อไปจากเขาและแม่ได้ ไม่อย่างนั้นชีวิตของเขาคงไม่ต่างจากตกนรก ทว่าออสตินกลับตรงกันข้ามกับพ่อแท้ๆ ของเขา...ทุกอย่างหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจนัก ที่แน่ๆ คือเรื่องความใจดี ออสตินชนะขาด

“รีบๆ กินซะ ขนมปังเริ่มแข็งแล้ว”

ออสตินโพล่งขึ้นมาเรียกความสนใจให้เด็กหนุ่มหันไปมอง กานต์หยิบเอาแซนด์วิซในจานตรงหน้าขึ้นมากัดเข้าปาก ออสตินลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินตรงไปเปิดตู้เย็น หยิบเอากล่องน้ำผลไม้ออกมาวางบนโต๊ะ พอเด็กหนุ่มหันไปมอง ศีรษะของเขาก็ถูกมือใหญ่วางลงมาเบาๆ แล้วออกแรงยีไม่แรงนัก

“กินเยอะๆ ตัวเล็กขนาดนี้ ถ้าถูกเพื่อนที่โรงเรียนใหม่แกล้งแล้วสู้ไม่ไหว อย่าหาว่าฉันไม่เตือน”

ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วร่าง นอกจากความใจดีแล้วก็ความอบอุ่นนี่แหละที่ออสตินมีเต็มเปี่ยมจนกานต์สัมผัสได้ในระยะเวลาอันนั้น

“ขอบคุณครับ” เด็กหนุ่มยกยิ้มรับ เขาชอบความใจดีของผู้ชายคนนี้จริงๆ

ออสตินกลับไปนั่งที่ ดื่มกาแฟและจับจ้องที่หน้าจอแท็บเล็ตอีกครั้ง มื้ออาหารมื้อนั้นดำเนินไปด้วยความเงียบอีกครั้ง แต่กานต์กลับรู้สึกว่าบรรยากาศไม่เหมือนกับตอนก่อนหน้า ความประหม่าที่มีมาตั้งแต่เมื่อวานยามอยู่ต่อหน้าผู้ชายคนนี้ค่อยๆ มลายหายไปทีละน้อย

หวังว่ามันจะหายไปหมดในเร็ววันนี้ ดูท่าเขาจะต้องทำตัวเป็นเด็กดีให้มากๆ เสียแล้ว ออสตินจะได้ใจดีกับเขามากๆ ไม่เผลอแผ่รังสีความกดดันใส่อีก

ต้องเป็นเด็กดีของแด๊ดดี้...

กานต์ท่องไว้ในใจ ปากกัดแซนด์วิซเคี้ยวตุ้ยๆ จนกระทั่งหมดชิ้น พอคว้าชิ้นใหม่ขึ้นมากัดกิน ออสตินก็เหลือบมองพลางยกยิ้ม จากนั้นก็หลุบตามองหน้าจอแท็บเล็ตอีกครั้ง ปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ
--------------------------
ตอนแรกว่าจะมาพรุ่งนี้ แต่ดันเขียนจบก่อน มาวันนี้เลยก็แล้วกันค่ะ
ฝากฟีดแบ็กไว้ด้วยนะคะ ^^

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
มีเวลาแค่ปีเดียว จะทำไงนี้ล่ะเนี่ย ลุ้น ๆ ว่ากานต์จะคิดอย่างไง  :กอด1:

ออฟไลน์ nunda

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3004
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
ถ้าเราเป็นกานต์นีืคงอึดอัดน่าดู เหอๆๆ

ออฟไลน์ Petit.K

  • Petit parapluie
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 840
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
แด๊ดดี้ ว้ายยยย ใครจะขย้ำใครก่อนเนี่ยย

ออฟไลน์ พันธุ์ไทย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ติดตามๆ

ออฟไลน์ Nov9th

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Chapter 3: Naughty child



ออสตินดูแลลูกเลี้ยงของตนเป็นอย่างดี ดีมากเสียจนกานต์ที่คิดว่าตัวเองน่าจะเริ่มไม่ค่อยเกร็งเวลาอยู่กับเขาเกร็งมากขึ้นไปอีก นอกจากการอาการเกร็ง ก็ยังจะมีความเกรงใจที่พร่างพรายขึ้นมาไม่หยุดหย่อน เพราะทุกสิ่งที่ออสตินทำนั้น ไม่ต่างอะไรจากการเป็นพ่อของใครสักคนเลยแม้แต่น้อย

เรียกได้ว่าดูแลเด็กหนุ่มดีกว่าพ่อแท้ๆ ของเขาอีก กานต์ซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่งเลยพยายามทำตัวดี ตั้งใจว่าจะเป็นเด็กดีของแด๊ดดี้อย่างที่เคยคิดไว้ในตอนแรก แต่ความเป็นเด็กดีของเขานั้นก็คงอยู่ไม่ได้นานสักเท่าไหร่ ชีวิตของเด็กวัยรุ่นแน่นอนว่าจะต้องมีบางครั้งที่ดื้อบ้าง ซึ่งการดื้อของการก็คือ...

“ตั้งแต่วันนี้ มาเรียจะแวะมาดูแลเธอในช่วงเก้าโมงเช้าถึงห้าโมงเย็น เธอจะได้มีเพื่อนเวลาฉันไม่อยู่บ้าน”

ออสตินว่าขณะที่แนะนำผู้หญิงชาวตะวันตกวัยกลางคนให้กับเด็กหนุ่มรู้จัก มาเรียเป็นผู้หญิงรูปร่างอ้วนท้วม หน้าตาและท่าทางใจดี เหมือนกับซานต้าคลอสในเวอร์ชันผู้หญิงก็ไม่ปาน เมื่อเห็นหล่อนยกยิ้มให้อย่างเป็นมิตร กานต์ก็ยิ้มตอบด้วยท่าทางประดักประเดิด

“อยู่กับมาเรียอย่าดื้อ” ออสตินบอกตบท้ายก่อนจะหันไปคุยกับผู้หญิงคนนั้นเป็นภาษาอังกฤษ “ฝากดูแลเขาด้วย”

“ได้ค่ะคุณสเวน”

จากนั้นชายหนุ่มก็หันมาบอกกับลูกเลี้ยงของตนด้วยภาษาเดียวกัน พักนี้ออสตินเริ่มพูดภาษาอังกฤษกับเด็กหนุ่มตรงหน้าแทนภาษาไทยมากขึ้นแล้ว ด้วยเหตุผลว่ากานต์จะได้ค่อยๆ ปรับตัวกับสังคมที่นี่

“ฉันไปล่ะ เจอกันมื้อเย็น”

มือคว้าเสื้อสูทมาสวม ก่อนจะวางมือลงบนศีรษะของเด็กหนุ่ม ออกแรงยีเบาๆ เป็นการบอกลาอย่างที่เคยทำ

ทุกครั้งที่ออสตินจะออกไปไหน เขามักจะทำอย่างนี้กับลูกเลี้ยงของตนเสมอ ประหนึ่งว่าเป็นการลูบหัวสุนัขเพื่อบอกให้เป็นเด็กดีอยู่เฝ้าบ้านอย่างไรอย่างนั้น

กานต์เองก็เห็นภาพตัวเองเช่นนั้นเหมือนกัน แต่เขาไม่ได้คิดอะไร ออกจะชอบเสียอีกที่อีกฝ่ายปฏิบัติกับตนเช่นนั้น เพราะฝ่ามือหยาบกร้านของพ่อเลี้ยงเขามันอบอุ่นมากจนไม่อาจปฏิเสธสัมผัสได้เลยแม้แต่น้อย

คล้อยหลังของชายหนุ่มไป มาเรียก็ออกปาก

“ไปที่ครัวกันเถอะ เดี๋ยวฉันจะทำมื้อเที่ยงให้”

กานต์นิ่งไปครู่หนึ่ง หัวสมองกำลังประมวลผลกับสำเนียงภาษาที่สองที่เขายังไม่คุ้นชินสักเท่าไหร่ ก่อนจะพยักหน้ารับในท้ายที่สุดเมื่อเข้าใจได้ว่าอีกฝ่ายพูดว่าอะไร

เด็กหนุ่มตรงไปนั่งยังเก้าอี้ประจำ สายตามองไปยังผู้หญิงคนนั้นที่สาละวนกับการทำมื้อเที่ยงให้เขา ทุกอย่างน่าจะเป็นไปด้วยดีถ้าหากว่ามาเรียนไม่พยายามชวนเขาคุย

“มาที่นี่แล้วเป็นไงบ้าง”

“ครับ?”

“ฉันถามว่าเป็นยังไงบ้าง หมายถึงเธอชอบที่นี่ไหมน่ะจ้ะ”

กานต์เข้าใจที่อีกฝ่ายพูดอย่างชัดเจน เขาไม่มีปัญหาเรื่องการฟัง แต่ปัญหาของเขาก็คือการพูดมากกว่า

“คือผม...”

แน่นอนว่าปัญหาเรื่องการพูดก็ไม่ใช่เพราะเขาเรียบเรียงประโยคไม่ได้ ต่อให้มันจะยากในตอนแรก แต่พอมาอยู่ที่นี่ได้ร่วมสัปดาห์ เขาก็ขยันหัดฟังสำเนียงภาษาจากภาพยนตร์บ้าง ซีรีส์บ้าง จนกระทั่งค่อนข้างมั่นใจว่าเขาไม่น่าจะมีปัญหาในส่วนนี้

“ว่ายังไงจ๊ะ เป็นยังไงบ้าง เธอชอบไหม”

มาเรียยังคงถาม หน้าที่ชวนคุยนั่นก็เป็นหน้าที่ซึ่งเธอได้รับมอบหมายจากผู้เป็นนาย ทว่ากานต์กลับอึกอักแล้วก้มหน้างุด

“ผม...” พลันก็ว่าเสียงแผ่ว “ครับ ผมชอบ”

“แล้วเธอตื่นเต้นไหมที่จะได้ไปโรงเรียนใหม่”

“ครับ”

“ทำไมล่ะ”

ดูก็รู้ว่าถ้าตอบไป มาเรียจะต้องเล่นเกมหนึ่งร้อยคำถามกับเขาแน่ เพราะทุกครั้งที่ตอบ เธอจะถามต่อเนื่องขึ้นมาทันที และนั่นมันทำให้กานต์กดดันเป็นอย่างมาก

“คือ...”

นอกจากตอบแค่ ‘ครับ’ กานต์ก็ไม่รู้ว่าจะพูดประโยคอื่นอย่างไรดี กับออสติน เขายังกล้าพูดเพราะเริ่มคุ้นชินบ้าง แต่พอต้องพูดประโยคยาวๆ กับคนอื่น เขากลับไม่มีความมั่นใจ

“ตกลงแล้วทำไมถึงตื่นเต้นล่ะ”

ทนไม่ไหวแล้ว...

“ผมขอตัวก่อนนะครับ”

เด็กหนุ่มตัดบทฉับพลัน เป็นประโยคที่ยาวที่สุดเท่าที่เขาคุยกับแม่บ้านคนนี้ ก่อนจะหุนหันลุกจากเก้าอี้แล้ววิ่งขึ้นไปหลบในห้องตัวเองที่ชั้นบน

เขาไม่ชอบ... ไม่ชอบเลยที่จะต้องถูกกดดัน

แต่การกระทำของเขานั้นก็ไม่ใช่มารยาทที่ดี การที่เดินหนีไปเฉยๆ อย่างนั้นทำให้มาเรียถึงกับขมวดคิ้วมุ่น เธอพอจะเข้าใจเรื่องความขี้อายของชาวเอเชีย แต่ก็ไม่เคยพบเคยเจอใครบางคนเดินหนีเธออย่างนี้มาก่อน เท่านั้นมืออวบอูมของเธอก็ล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง คว้าเอาโทรศัพท์มือถือออกมา กดโทรหาผู้เป็นนายทันที

“คุณสเวนคะ...”

[เขาดื้อใช่ไหม]

ปลายสายถามกลับมาอย่างรู้ทัน

“ค่ะ”

[ไม่ต้องไปตาม ปล่อยไว้ เดี๋ยวฉันจัดการเอง]

สิ้นเสียง ปลายสายก็ตัดไป โดยที่เด็กหนุ่มข้างบนบ้านไม่รู้ชะตากรรมของตัวเองเลยแม้แต่น้อย

 

ตกเย็น... มาเรียกลับไปแล้ว อันที่จริงกลับไปตั้งแต่ช่วงบ่ายเพราะออสตินสั่งให้กลับไป ตอนแรกเขาตั้งใจว่าจะให้มาเรียคอยดูท่าทีของกานต์ก่อน เผื่อว่าเด็กหนุ่มจะกลับลงมาเมื่อปรับตัวได้ แต่หลังจากที่อีกฝ่ายหนีขึ้นห้องไป กานต์ก็ไม่กลับลงมาเลย แม้แต่จะลงมาหาอะไรกินก็ไม่ทำ สิ่งนั้นทำให้ออสตินไม่ชอบใจสักเท่าไหร่นัก เพราะมันคือการหนี

ออสตินไม่ชอบการที่เด็กหนุ่มเปิดรับแต่เขาเพียงคนเดียว แล้วก็ไม่ชอบความไม่มั่นใจที่กานต์แสดงออกมาด้วย พอเขาถึงบ้าน ก็ไม่รอช้าที่จะร้องเรียกให้อีกฝ่ายลงมาข้างล่าง

กานต์ได้ยินเสียงทุ้มเรียกชื่อตนก็ลุกจากเตียงนอน ก้าวลงมาข้างล่างก็พบว่าคนเรียกกำลังนั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟา สูทที่สวมอย่างเรียบร้อยในตอนแรกถูกพาดอยู่บนพนักพิง บนตัวของออสตินมีเพียงเสื้อเชิ้ตสีขาวที่หลุดลุ่ยกับกางเกงสแล็กสีกรมท่าเท่านั้น

“มานั่งนี่สิ”

ออสตินพยักพเยิดไปยังโซฟาบุนวมตัวเดี่ยวที่อยู่ไม่ไกล กานต์ก้าวไปทรุดตัวนั่ง จากสถานการณ์ที่เขาเผชิญอยู่ก็พอจะรับรู้ได้ว่าเขาคงไปทำอะไรผิดมา ออสตินถึงได้เรียกเขาให้มานั่งแบบนี้ ซึ่งนั่นก็จริงเสียด้วยเมื่ออีกฝ่ายพูดขึ้น

“วันนี้เกเรอะไรมา”

ออสตินไม่พูดภาษาไทยอย่างเคยแล้ว ประโยคนี้ว่าออกมาด้วยภาษาอังกฤษ กานต์ชะงักไปครู่ก่อนจะตั้งสติได้

“เกเรอะไรครับ”

“เธอน่าจะรู้ดีแก่ใจ”

สมองของกานต์ประมวลผลทันที แต่ยังไม่ทันจะคิดออก ออสตินก็ปรายตามองพลางว่าเสียงเข้ม

“มาเรียบอกกับฉันว่าวันนี้เธอเดินหนีหล่อน”

ตอนนี้เข้าใจได้แล้วว่าเกเรที่ออสตินว่านั้นหมายถึงอะไร

“ทำไมถึงไม่คุยกับหล่อน?”

เขาถามมาอีก กานต์ตอบกลับมาเป็นภาษาไทย

“ผมไม่คุ้นกับเธอครับ”

“ฉันไม่เข้าใจ” ออสตินสวนด้วยภาษาอังกฤษทันที “พูดภาษาฉันสิ พูดภาษาเธอแล้วฉันจะเข้าใจได้ยังไง ฉันไม่ใช่คนไทย”

เป็นการประชดประชันที่ทำให้กานต์เข้าใจได้อย่างชัดเจน

ออสตินกำลังบีบให้เขาต้องพูดภาษาที่สอง...

ในหัวเรียบเรียงคำและประโยคฉับพลัน

“ผมไม่คุ้นกับเธอครับ พอถูกเธอถามมากๆ ก็เลยอึดอัด”

“เลยเดินหนีเธอว่าอย่างนั้น?”

ปฏิเสธไม่ได้จึงตอบรับ “ครับ”

“มันเหมาะสมเหรอ”

ถึงตอนนี้ กานต์ก็พูดไม่ออก

ไม่...มันไม่เหมาะสมหรอก เป็นการกระทำที่เสียมารยาทเป็นอย่างมาก อีกอย่าง มันเป็นการปฏิเสธความหวังดีของออสตินด้วย ซึ่งนั่นทำให้ออสตินไม่พอใจจนอดไม่ได้ที่จะดุออกมา

“ฉันไม่คิดเลยว่าเธอจะเป็นคนเสียมารยาทขนาดนี้ น่าผิดหวังนะ เธอคิดว่าที่ฉันส่งให้เธอไปเรียนปรับพื้นฐานก่อนมาที่นี่เป็นเพราะอะไรกัน”

“...”

“ก็เพื่อให้เธอได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกับคนอื่นในสังคมที่นี่ไม่ใช่เหรอ ฉันช่วยเธออย่างเต็มที่แล้ว ทำไมเธอถึงไม่รู้จักคิดที่จะพัฒนาตัวเอง”

“...”

“เรื่องอนาคตของตัวเองก็ไม่รู้จักวางแผน ไม่คิดที่จะพัฒนาตัวเอง ไม่ตอบรับความหวังดีของคนอื่น ฉันผิดหวังในตัวเธอจริงๆ”

พูดไป สายตาคมก็จ้องมองเด็กหนุ่มที่นั่งตัวลีบไปด้วย กรอบหน้าของกานต์มีเม็ดเหงื่อเล็กๆ ผุดพราย เป็นครั้งแรกเลยที่เขาถูกพ่อเลี้ยงดุ มันรู้สึกไม่ดีเลย ถึงมันจะเหมาะสมแล้วก็เถอะ แต่ออสตินจะรู้บ้างหรือเปล่าว่าแค่ตอนเวลาปกติ เขาก็ทำให้เด็กหนุ่มคนนี้หวาดเกรงได้มากพออยู่แล้ว ทว่าพอเอ่ยปากดุออกมาพร้อมกับปรายตามองอย่างตำหนิ ก็ยิ่งทำให้กานต์ทำอะไรต่อไม่ถูกจนได้แต่กำมือแน่นแล้วก้มหน้านิ่ง

“เป็นอะไร”

ออสตินถามเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าเอาแต่เงียบ และดูท่าทางจะปิดปากเงียบอีกนานแน่ เพราะตอนนี้กานต์เม้มปากแล้ว

“ฉันถามว่าเป็นอะไร”

คำถามที่หลุดออกจากริมฝีปากหนาอีกครั้งนั้นยังคงเรียบนิ่งเช่นเดิม แต่เมื่อกานต์สบตากับดวงตาสีฟ้าคู่สวยนั่น เขาก็ต้องหวาดหวั่นในใจขึ้นมา

ออสตินไม่เคยดุเขาด้วยคำพูดเลย แต่มักจะใช้สายตาข่มขู่ ซึ่ง...มันก็ไม่ใช่สายตาดุดันเช่นกัน เป็นการมองนิ่งๆ แต่กลับมาพลังอำนาจมหาศาลที่ทำให้เด็กหนุ่มต้องยอมศิโรราบ

“ว่ายังไง จะตอบคำถามฉันได้หรือยัง”

ออสตินประสานมือลงบนตัก ท่าทางนั้นคาดคั้นให้กานต์ต้องเปิดปากพูด

“ผมไม่ชอบ...”

“หืม?”

“ไม่ชอบครับ”

“ไม่ชอบอะไร”

“ไม่ชอบให้คุณดุผม”

กานต์ยอมรับออกไปตามตรงว่าสาเหตุที่เงียบคืออะไร

“แล้วทำอะไรผิดมาล่ะ”

“ผมเกเร”

“เกเรอะไรมา”

“ดื้อกับคุณ”

“ใช่ ขนาดตอนนี้ก็ยังดื้อ”

ออสตินว่า กานต์ครุ่นคิดเป็นพัลวันทันทีว่าทำอะไรผิดนอกเหนือจากการที่ดื้อไปก่อนหน้านั้น

“ฉันบอกอะไรไว้ทำไมถึงไม่รู้จักฝึกให้ชิน”

ตอนนี้เข้าใจชัดแจ้งเลยว่าออสตินหมายถึงเขาดื้อเรื่องอะไร

“ผมขอโทษครับแด๊ดดี้”

รอยยิ้มประดับพรายที่มุมปากของชายหนุ่มทันที

“ใช่ เธอต้องฝึกเรียกฉันว่าแด๊ดดี้ให้ชิน ไม่ใช่เรียกคุณอย่างนั้นอย่างนี้”

“ครับ”

“แล้วเมื่อเช้าทำอะไรผิดมา”

วกกลับเข้าเรื่องเดิมจนได้ กานต์เม้มริมฝีปากแน่นไปครู่ จากนั้นก็เปิดปากพูดก่อนที่จะถูกถามย้ำอีกครั้ง

“ผมไม่ยอมพูดภาษาอังกฤษกับมาเรีย”

“นั่นสินะ” ออสตินครางรับ “ไม่ยอมพูด มาเรียถามก็อึกๆ อักๆ เดินหนี เป็นอย่างนี้แล้วฉันจะให้เธอไปเรียนปรับพื้นฐานก่อนมาที่นี่ทำไม”

เดาได้ไม่ยากเลยว่าแม่บ้านคนนั้นไปฟ้องพ่อเลี้ยงของเขา อันที่จริงอาจจะเป็นออสตินนี่แหละที่สั่งให้มาเรียคอยสอดส่องแล้วไปรายงาน

“ฉันไม่ได้ให้มาเรียมาทำความสะอาดบ้านอย่างเดียวหรอกนะรู้ไหม” ชายหนุ่มว่าขึ้นมาอีก “แต่ให้หล่อนมาคอยเป็นเพื่อนฝึกภาษาให้เธอก่อนที่เธอจะไปโรงเรียนด้วย เข้าใจหรือยังว่าทำไมฉันถึงได้หัวเสียที่เธอเดินหนีหล่อน”

กานต์พยักหน้า เหลือบตามองอย่างสำนึกผิด

ผู้ชายคนนั้นหวังดีกับเขา ถึงจะดุไปบ้าง ทำเขาอึดอัดเป็นบางครั้ง แต่ทุกอย่างที่ทำให้คือความหวังดีจากใจจริง กานต์จึงเอ่ยออกมาเสียงแผ่ว

“ขอโทษครับแด๊ดดี้”

“อืม”

“แด๊ดดี้...ไม่โกรธผมนะครับ”

สิ่งนี้คือสิ่งที่กานต์กลัวมากที่สุด เพราะถ้าออสตินโกรธแล้ว นอกจากโดนดุ อาจจะถูกทำร้ายด้วยก็ได้เพราะเขาเองก็เรียกว่ายังไม่รู้จักกับออสตินดีพอ จึงไม่รู้ว่าเวลาที่เขาโกรธขึ้นมาจะปะทุอารมณ์ออกมาแบบไหน ทว่าพอสิ้นประโยคนั้น ออสตินกลับไม่แสดงท่าทีโกรธเกรี้ยวอะไร นอกจากยิ้มออกมาหน่อยๆ ด้วยความเอ็นดู

“ถ้าเธอเป็นเด็กดี ฉันก็ไม่โกรธหรอก”

กานต์โล่งใจขึ้นมาในวินาทีนั้น

“แต่วันนี้เธอดื้อใช่ไหม”

“ครับ”

สลดลงไปอีกแล้ว ขณะที่ออสตินว่าเนิบๆ

“เด็กดื้อต้องถูกทำโทษ รู้ใช่ไหม”

คนฟังกลืนน้ำลาย

ทำโทษ... ทำยังไง? ทำอะไร?

ในหัวคิดวุ่นวายไปหมด แต่แล้วก็ต้องโล่งใจอีกครั้งเมื่อได้ยินออสตินพูดขึ้น

“ห้ามใช้อินเทอร์เน็ตหนึ่งอาทิตย์”

“แค่นี้เหรอครับ?”

“อืม ตอนแรกว่าจะกักบริเวณเธอด้วย แต่เธอไม่ค่อยได้ออกนอกบ้าน ฉันเลยคิดว่าวิธีนั้นคงจะไม่ได้ทำให้เธอสำนึกสักเท่าไหร่ เธอดูไม่ได้เดือดร้อยถ้าจะต้องอยู่แต่ในบ้านทั้งอาทิตย์ งดเล่นอินเทอร์เน็ตแล้วกัน เธอจะได้มีเวลาปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์จริงๆ มากขึ้น”

กานต์ก็พอจะได้ยินมาอยู่บ้างว่าครอบครัวของชาวอเมริกันไม่นิยมตีลูกหลานเป็นการลงโทษหรือสั่งสอนเพราะมันเกี่ยวเนื่องกับกฎหมายการทารุณกรรมเด็ก ดังนั้นวิธีการทำโทษจึงเป็นไปในลักษณะของการจำกัดอิสระแทน

“อย่าให้จับได้ว่าแอบเล่นเชียว”

ออสตินว่าสั้นๆ แค่นี้ก็ทำให้กานต์พยักหน้าหงึกหงักแล้ว

“ผมไม่เล่นครับ สาบาน”

ออสตินพยักหน้ารับเล็กน้อย ลุกขึ้นจากเก้าอี้ คว้าเสื้อสูทที่วางพาดอยู่บนพนักขึ้นมาถือ

“ไปกินมื้อเย็นกัน มาเรียทำอาหารเตรียมไว้ให้แล้ว”

พูดจบก็ก้าวเข้ามาใกล้กับลูกเลี้ยง กานต์อยากจะเอาใจให้อีกฝ่ายหายหัวเสียเรื่องเขาเลยรีบยื่นมือไปคว้าเสื้อสูทเอาไว้ พอออสตินหันไปมอง ก็ว่าออกมา

“ผมเอาไปเก็บให้ครับ”

ออสตินมองอย่างชั่งใจ

“จะเอาใจฉันชดเชยความผิดเหรอ”

ถูกจับได้ กานต์ก็มีท่าทีอึกๆ อักๆ ขึ้นมา

“คือ...”

“ไม่ได้ผลหรอกนะ ความผิดก็ส่วนความผิด ไม่ได้ทำให้ฉันลดโทษเธอได้หรอก” ชายหนุ่มว่า “แต่ถ้าอยากจะเอาไปเก็บให้ก็ตามใจ เอาไปแขวนไว้ในตู้เสื้อผ้าในห้องฉัน พรุ่งนี้ฉันจะใส่มันอีก”

กานต์พยักหน้ารับ มือรับเอาเสื้อสูทมาแล้วก้าวไวๆ ขึ้นไปบนบ้าน ปล่อยให้คนเป็นพ่อเลี้ยงมองตามหลังครู่หนึ่งก่อนเดินเข้าไปในครัว

เด็กหนุ่มเข้ามาในห้องนอนของออสตินแล้ว เห็นสภาพห้องนอนแล้วก็ได้แต่ครางออกมา

“เนี้ยบมาก...”

ทุกส่วนถูกจัดเก็บอย่างเป็นระเบียบ บ่งบอกชัดเจนถึงลักษณะนิสัยโดดเด่นของออสติน แต่กานต์ก็ไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่ พอจะรู้อยู่แล้วว่าพ่อเลี้ยงเขาเป็นคนแบบนี้

ขาก้าวไปหยุดยังตู้เสื้อผ้า เปิดประตูแล้วตั้งใจว่าจะเอาเสื้อสูทแขวนเข้ากับไม้แขวนเก็บให้ ทว่าในจังหวะที่จัดเสื้อสูทให้เข้าที่ กลิ่นหอมบางอย่างก็ลอยมาเตะจมูกเขาเข้าอย่างจัง

มันเป็นกลิ่นน้ำหอม...

กลิ่นหอมแบบนุ่มนวล จะว่าเป็นกลิ่นดอกไม้ก็ไม่แน่ใจนัก เพราะในกลิ่นนุ่มนวลนั้นก็มีกลิ่นของไม้แห้งอบอวลอยู่ด้วย แต่จะเป็นกลิ่นของส่วนประกอบใดบ้าง กานต์ก็ไม่สนใจแล้ว เขารู้แต่เพียงอย่างเดียวว่ามันหอมเสียจนอดไม่ได้ที่จะเอาเสื้อสูทตัวนั้นขึ้นมาสูดดม

เปลือกตาหลับพริ้ม...

หอมมาก...

ขณะเดียวกันก็ให้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด

...เขาชอบกลิ่นนี้

กลิ่นของ ออสติน สเวน...

-------------------------

หน่องกานต์เริ่มแหล่วเด้อ เริ่มออกอาการหื่นแบบใสๆ 555

เรื่องนี้เขียนแล้วฮีลลิ่งมากจริงๆ ค่ะ ชอบคุณสเวนเป็นการส่วนตัว เป็นผู้ชายที่แด๊ดดี้มากๆ #ปาดน้ำลาย

ฝากฟีดแบ็กกันด้วยนะคะ จะพยายามมาอัปให้ได้วันละตอนนะ


ออฟไลน์ milin03

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 481
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
กานต์เริ่มหลงแดดดี้แล้ว แล้วอีกคนล่ะหลงลูกชายหรือยังเอย :hao3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Chapter 4: Favorite smell

พ่อเลี้ยงของกานต์...ไม่ใช่คนดุ แต่เป็นคนระเบียบจัด เขาไม่ชอบอะไรที่ไม่เป็นแบบแผน ไม่ชอบอะไรที่นอกกฎเกณฑ์ที่เขาวางไว้ และที่สำคัญ...ไม่ชอบเด็กดื้อ

เรื่องนี้กานต์ท่องจำขึ้นใจแล้ว ถึงจะไม่ได้โดนดุ แต่ก็ใช่ว่าอยากจะถูกดวงตาคู่สวยของออสตินจับจ้องอย่างจับผิดเท่าไหร่หรอก หลังจากที่โดนดุไปวันนั้น วันรุ่งขึ้นมาเรียก็ถูกสั่งให้มาดูแลเขาระหว่างที่พ่อเลี้ยงไม่อยู่อีกครั้ง คราวนี้กานต์ข่มความเกร็ง ไม่หนีไม่หลบ ยอมพูดคุยกับมาเรียตลอดทั้งวัน จนกระทั่งความขัดเขินระหว่างคนแปลกหน้าค่อยๆ มลายหายไปทีละน้อย ความจริงแล้ว แม่บ้านคนนี้ก็ไม่ใช่คนเลวร้าย ออกจะน่ารักเสียด้วยซ้ำ อย่างน้อยก็ทำให้เด็กหนุ่มกำพร้าอย่างเขารู้สึกว่าโชคดีแค่ไหนแล้วที่มีออสตินเป็นพ่อเลี้ยง

เหตุผลน่ะเหรอ?

เพราะออสตินเป็นคนใจกว้าง...

มาเรียพร่ำชมชายหนุ่มไม่หยุดว่าถึงจะเคร่งขรึม เต็มไปด้วยความลึกลับจนให้บรรยากาศเข้าถึงได้ยาก ทว่าตัวตนที่แท้จริงของเขากลับเมตตาใจดี เขาเป็นผู้อุปถัมภ์มูลนิธิเกี่ยวกับเด็กและสตรี มีการจัดตั้งกองทุนการศึกษาให้กับเด็กผู้ด้อยโอกาสในอเมริกามากมายหลายร้อยโครงการด้วยซ้ำ

ไม่ใช่แค่ใจกว้างแล้ว ยังใจดีอีกด้วย

กานต์เสริมในใจ จากนั้นก็พูดคุยเกี่ยวกับตัวออสตินโดยการเล่าเรื่องผ่านมาเรียตลอดทั้งวัน ข้อมูลใหม่เท่าที่กานต์รู้ในวันนี้นอกจากเรื่องข้างต้นก็คือ...ออสตินอายุสามสิบห้า ไม่เคยแต่งงานมาก่อน ไม่มีลูก ไม่มีครอบครัว เป็นหนุ่มโสดตัวคนเดียว ครอบครัวเก่าก็ไม่มี พอคิดจะสร้างครอบครัวกับผู้หญิงสักคนขึ้นมาบ้าง ผู้หญิงคนนั้นก็มาด่วนจากไปทั้งที่แต่งงานกันได้ไม่กี่เดือน

ซึ่งนั่นก็คือแม่ของเขานั่นเอง...

เด็กหนุ่มเสียดายอยู่สักหน่อยที่ไม่ได้อยู่พร้อมหน้าทั้งครอบครัว ถ้ามีแม่อยู่ด้วยในตอนนี้ ครอบครัวของเขาจะสมบูรณ์แค่ไหน กานต์ไม่อาจจะคาดเดาได้เลย แต่ถึงจะไม่มีแม่อยู่แล้ว เขาก็ยังชอบออสตินอยู่ดี และความนิยมชมชอบก็ทวีมากขึ้นด้วยเมื่อมาเรียว่า...

“ตอนแรกที่เขาตัดสินใจจะรับเธอมาอุปการะ มีแต่คนรอบข้างคัดค้าน แต่เขาไม่ฟังใครเลย พูดอยู่ประโยคเดียวว่าจะต้องรักษาสัญญา จากนั้นก็ไปรับเธอมาอย่างที่เห็น”

ถ้าฝรั่งรู้ว่าการกราบเบญจางคประดิษฐ์คืออะไร กานต์คงจะไม่รีรอที่จะทำอย่างนั้นกับออสติน แต่สำหรับชาวตะวันตก แค่ขอบคุณกับทำตัวเป็นเด็กดีอย่างสม่ำเสมอให้ออสตินสบายใจก็คงจะเป็นการขอบคุณที่เพียงพอแล้ว

“คุยอะไรกันอยู่ ดูท่าทางสนุกเชียว”

คุยกับมาเรียต่อได้อีกไม่นานเท่าไหร่ เสียงทุ้มก็ดังขึ้นหลังจากที่เสียงประตูบ้านถูกเปิดดังมาให้ได้ยินก่อนหน้า

สายตาของเด็กหนุ่มและแม่บ้านหันไปมองยังผู้มาใหม่ที่เดินเข้าบ้านมาในสภาพที่เนี้ยบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าเหมือนเมื่อเช้าไม่มีผิด ก่อนที่มาเรียจะยิ้มรับ

“กำลังคุยเรื่องของคุณค่ะ”

“เรื่องของฉัน?”

“ฉันเล่าให้คาร์ลฟังว่าคุณเป็นคนดีแค่ไหน”

คาร์ล...กลายเป็นชื่อที่คนอื่นใช้เรียกกานต์ ด้วยชื่อนี้มันออกเสียงคล้ายกับชื่อภาษาไทย ออสตินเลยตัดสินใจให้เขาใช้ชื่อนี้เป็นชื่อใหม่ ขณะที่มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่ยังคงเรียกเด็กหนุ่มด้วยชื่อภาษาไทย

“งั้นเหรอ... แต่ฉันกลับมาแล้ว พวกเธอคงหมดเวลาที่จะนินทาฉันต่อแล้วมั้ง”

ออสตินว่าทีเล่นทีจริงด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ หากกานต์อยู่คนเดียวคงจะทำหน้าไม่ถูกด้วยไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายพูดเล่นหรือจริงจัง ขณะที่มาเรียซึ่งทำงานกับชายหนุ่มมานานรับรู้ได้ ก่อนที่เธอจะหัวเราะร่วน

“ไม่ได้นินทาคุณสักหน่อย เล่าถึงความดีของคุณต่างหาก”

ออสตินยิ้มบางๆ

“งั้นก็เก็บเอาไว้เล่าวันอื่นบ้าง หมดเวลางานแล้ว กลับได้เลยมาเรีย”

ออสตินไม่ได้ไล่ เขาแค่เตือน อันที่จริงมาเรียยังอยากอยู่ต่อเพราะการพูดคุยกับกานต์ก็สนุกดีไม่น้อย แต่ออสตินนั้นเป็นเจ้านายที่เข้มงวดเรื่องเวลา ทั้งเวลาเข้างานและออกงาน ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องให้ตรงเป๊ะๆ ห้ามขาดห้ามเกิน

“ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะคะคุณสเวน เจอกันใหม่จ้ะคาร์ล”

โบกมือลาพ่อลูกคนละสายเลือดเรียบร้อยก็ผลุบหายออกไปจากบ้าน เสียงประตูปิดดังขึ้น ออสตินเดินตรงไปทรุดตัวนั่งที่โซฟาเพื่อพักเหนื่อยจากการขับรถ ขณะที่กานต์นึกอยากจะเอาใจพ่อเลี้ยงขึ้นมา จึงเดินตามไปหยุดตรงหน้า พอออสตินเหลือบมอง อีกฝ่ายก็เปิดปาก

“เหนื่อยไหมครับ”

“เธอจะเอาอะไร”

“ครับ?”

“ฉันถามว่าอยากได้อะไรถึงได้ถาม”

หัวสมองของกานต์ประมวลผลทันที เข้าใจได้ว่าออสตินหมายความว่าอะไร

“ผมไม่ได้ถามแด๊ดดี้เพราะอยากได้อะไรนะครับ”

“ฉันก็คิดว่าประจบเพราะอยากได้อะไร” ออสตินหัวเราะเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหน้าง้ำ ก่อนจะเสริมขึ้นมา “ไม่ต้องทำหน้าอย่างนั้น บางทีฉันก็อยากจะหยอกเธอเล่น แต่มุกของฉันอาจจะไม่ตลกสำหรับเธอ”

ใช่...ไม่ตลกเลย ไม่ตลกสักนิด

กานต์ปรับสีหน้าให้กลับมาเป็นปกติ ก่อนจะว่าพึมพำ

“ผมแค่อยากจะดูแลแด๊ดดี้เป็นการตอบแทนที่ใจดีกับผมเฉยๆ ไม่ได้อยากจะประจบประแจงอะไรหรอกครับ”

คนฟังพยักหน้า เข้าใจที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อ พลันยกขาขึ้นไขว่ห้าง แขนข้างหนึ่งวางราบไปกับพนักโซฟา ปรายตามองพลางถาม

“แล้วเธออยากจะดูฉันด้วยวิธีไหนดีล่ะ”

นั่นสิ ดูแลด้วยวิธีไหนดี จะบอกว่าทำงานบ้านก็ไม่ได้ เพราะบ้านนี้มีมาเรียมาดูแลทุกวัน

ถ้าอย่างนั้น...

“ให้ผมเอาเสื้อสูทไปเก็บให้ไหมครับ”

...วิธีเดิมก็แล้วกัน ได้ดูแลนิดๆ หน่อยๆ ก็ยังดี

“ก็เอาสิ” ออสตินไม่ปฏิเสธ ขยับตัวมาถอดเสื้อสูทออกแล้วส่งให้กับลูกเลี้ยง “แต่ครั้งนี้ไม่ต้องเอาไปแขวนในตู้นะ เอาไปใส่ตะกร้าที่ห้องน้ำไว้ ฉันจะให้มาเรียส่งไปร้านซักพรุ่งนี้”

กานต์พยักหน้า ถือเสื้อสูทเตรียมจะเอาไว้พับใส่ไว้ในตะกร้าที่หน้าห้องน้ำข้างๆ ครัว แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อจู่ๆ ออสตินก็ร้องเรียกไว้ พอหันไปก็เห็นว่าอีกฝ่ายลุกขึ้นยืน

“อันนั้นไม่ต้องซัก แต่อันนี้ต้องซัก เอาไปใส่เครื่องซักผ้า ปั่นแล้วอบให้แห้งด้วย”

ว่าพลางถอดเสื้อเชิ้ตสีขาวออกจากตัวโดยไม่รอให้เด็กหนุ่มตอบรับ กานต์ถึงกับเบิกตาโตเมื่อเห็นแผ่นอกที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของอีกฝ่าย เขารู้ว่าไม่สมควรจะมองจ้อง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะสำรวจไล่อย่างลืมตัว

ผิวสีบ่มแดดจนออกสีน้ำตาลและไรขนอ่อนๆ ที่ขึ้นประปรายบริเวณหน้าอกทำให้กานต์ต้องลอบกลืนน้ำลาย จากนั้นก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อออสตินก้าวเข้ามาใกล้พร้อมกับส่งเสื้อเชิ้ตให้

“ไปจัดการซะ เดี๋ยวฉันจะขึ้นไปอาบน้ำ ลงมาแล้วค่อยกินมื้อเย็นกัน”

จังหวะนี้เองที่กลิ่นหอมจากน้ำหอมซึ่งออสตินใช้ประจำลอยเข้ามาใสโสตสัมผัส

มันยังคง...หอม

หอมเย้ายวนเสียจนปลุกความฟุ้งซ่านของเด็กหนุ่มวัยรุ่นให้เตลิดเปิดเปิง

“มัวยืนมองอะไรอยู่ ไปสิ”

ได้สติกลับคืนมาในคราวนี้ กานต์พยักหน้ารับเร็วๆ

“คะ...ครับ”

สองขารีบก้าวไปโดยไว ออสตินมองตามหลังเล็กน้อย จากนั้นก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร ปลีกตัวขึ้นไปบนบ้านเพื่อทำธุระส่วนตัวของตัวเอง

 

กานต์ยืนอยู่หน้าเครื่องซักผ้า ศึกษาวิธีใช้ด้วยการอ่านปุ่มสวิตซ์ต่างๆ อยู่พักใหญ่ กดมั่วบ้างไม่มั่วบ้าง แต่สุดท้ายก็ใช้งานมันได้ เขาหยิบเสื้อผ้าทำงานของออสตินใส่ลงไปในเครื่องทีละตัว ก่อนจะต้องนิ่งงันไปเมื่อมือคว้าเอาเสื้อเชิ้ตที่ออสตินถอดส่งมาให้มาถือไว้ในมือ

ถึงตอนนี้...กลิ่นหอมนั่นก็ยังติดอยู่เลย

กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น ขณะเดียวกันก็มีกลิ่นของไม้แห้งที่ให้อารมณ์ผู้ชายแข็งกระด้างแต่เรียบง่าย กานต์ชอบกลิ่นนี้ มันทำให้หัวของเขารู้สึกโปร่งโล่งสบาย ไม่มีเหตุผลหรอกว่าทำไมถึงชอบ ที่รู้ๆ เขาอยากจะได้กลิ่นมันชัดๆ อีกครั้ง

มือยกเสื้อเชิ้ตตัวนั้นขึ้นจรดปลายจมูก สูดลมหายใจเข้าปอด กลิ่นสารสกัดดอกไม้สารพัดอบอวลอยู่ในโพรงจมูก เย้ายวนให้เด็กหนุ่มเคลิบเคลิ้มไปกับกลิ่นนั้นจนลืมไปสิ้นว่าตอนนี้ตัวเองต้องทำอะไร

กลิ่นที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น...

กลิ่นหอมยั่วยวน...

กลิ่นของความนิ่งขรึม ขณะเดียวกันก็ให้ความรู้สึกผ่อนคลายอ่อนโยน...

“ทำอะไร”

เสียงทุ้มทำให้กานต์สะดุ้งสุดตัว หลุดออกจากภวังค์ รีบลดมือลงทันใดก่อนจะหันไปเห็นเจ้าของเสียง เท่านั้นก็พลันก็หน้าซีดเผือดไปหมด

“มะ...ไม่ได้ทำอะไรครับ”

“เหรอ” ออสตินครางรับอย่างไม่เชื่อ เมื่อครู่นี้เขาเห็นอยู่เต็มๆ สองตาว่าเจ้าลูกเลี้ยงของเขาทำอะไร ก่อนจะเอนตัวพิงกับขอบประตู กอดอกว่าอย่างจับผิด “แต่เมื่อกี้ฉันเห็นเธอดมเสื้อของฉัน”

ได้ยินแค่นั้น คนถูกจับได้ก็เหงื่อแตกซิก คิดไม่ออกเลยว่าจะแก้ตัวอย่างไรดีเมื่อถูกจับได้คาหนังคาเขาแบบนั้น

“ดมทำไม”

เห็นว่ากานต์ไม่พูด ออสตินก็ถามออกมาอีก ขณะที่กานต์แสดงอาการลอกแลกออกมาอย่างไม่ปกปิด

จะให้เขาบอกได้ยังไงว่ากลิ่นที่ติดอยู่บนเสื้อของออสตินน่ะมันยั่วยวนใจจนทำให้เขาอดใจไม่ไหวขนาดนั้น

“ว่าไง มาแอบดมเสื้อของฉันทำไม”

คำถามคาดคั้นมาอีกแล้ว

“คือผม...”

กานต์หมดสิ้นคำแก้ตัว ก่อนจะสารภาพออกไปอย่างจำนน “ผมชอบกลิ่นของแด๊ดดี้ครับ”

“กลิ่นของฉัน?”

สีหน้าของออสตินมีเครื่องหมายคำถามอันใหญ่แปะหรา ขณะที่เด็กหนุ่มพยักหน้ารับ

“ใช่ครับ”

“เธอหมายถึงกลิ่นน้ำหอมใช่ไหม”

กานต์พยักหน้ารับไปอีกที คราวนี้ออสตินถึงกับหลุดหัวเราะออกมา

“แล้วทำไมไม่บอกว่าชอบกลิ่นน้ำหอมนี้ มาแอบยืนดมเสื้อฉันอย่างนั้น ไม่รู้สึกว่าแปลกๆ บ้างหรือไง”

แปลกสิ แปลกมากด้วย เขาก็ไม่คิดเหมือนกันว่าวันหนึ่งจะมายืนดมเสื้อของพ่อเลี้ยงเพราะทนต่อแรงต้านทานของกลิ่นหอมยวนใจไม่ไหวแบบนี้

“มาสิ ไปที่ห้องฉัน”

กานต์ถึงกับเบิกตาโพลง

จู่ๆ ก็ชวนไปที่ห้อง หรือว่า...!?

“ฉันจะได้เอาน้ำหอมให้เธอ”

โธ่...

ไม่รู้ว่ากานต์ควรจะโล่งใจหรือเสียดายดี แต่เขาก็พยักหน้ารับ

“ครับ”

จากนั้นก็บอกตัวเองว่าไม่ควรคิดอะไรไปไกลขนาดนั้น เพราะคนตรงหน้าเขาคือผู้มีพระคุณ และมีศักดิ์เป็นพ่อเลี้ยง แต่จิตใต้สำนึกที่พร่างพรายขึ้นมาชั่วครู่ของเขาก็คิดแบบนั้นจริงๆ กานต์ไม่เคยชื่นชมผู้ชายคนไหนมากถึงขนาดนี้มาก่อนเลย ทว่าการชื่นชมของเขาก็ทำให้สับสนอยู่ไม่น้อย

มันเป็นความชื่นชมหรืออะไรกันแน่... เพราะมันไม่ได้ทำให้เขารู้สึกเทิดทูนคนตรงหน้าอย่างเดียวเท่านั้น มันกลับทำให้เลือดในกายของเด็กวัยรุ่นอย่างเขาร้อนรุ่มอย่างไม่รู้สาเหตุไปด้วย

พอดึงสติตัวเองกลับมาได้ กานต์ก็อยากจะตบหน้าตัวเองนัก

กล้าคิดอย่างนั้นไปได้ยังไงกัน! อีกอย่างนะ พ่อเลี้ยงคงจะไม่คิดอะไรกับลูกเลี้ยงหรอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าลูกเลี้ยงเป็นผู้ชาย...

 

กานต์เดินตามออสตินขึ้นไปชั้นสอง ก้าวเข้าห้องนอนของเขาเมื่อเจ้าของห้องเชื้อเชิญ

“นั่งสิ”

เด็กหนุ่มทรุดตัวลงนั่งที่ปลายเตียง สายตาจับจองตามแผ่นหลังของอีกฝ่ายที่เดินไปเปิดประตูตู้เสื้อผ้า ก่อนที่จะหยิบน้ำหอมออกมาสองสามขวด

“กลิ่นที่เธอชอบ หมายถึงกลิ่นที่ฉันฉีดไปวันนี้ใช่ไหม”

กานต์พยักหน้า “แล้วก็กลิ่นที่คุณใช้เมื่อวานด้วยครับ”

ออสตินชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็นึกออก

“อืม กลิ่นเดียวกัน”

วางขวดน้ำหอมที่ไม่ใช่กลับคืนที่เดิม ถือเพียงขวดที่ใช่ออกมาเพียงขวดเดียวเท่านั้น จากนั้นก็มาทรุดตัวลงนั่งข้างๆ กับเด็กหนุ่ม

“กลิ่น ODIN OO AURIEL ของแบรนด์ ODIN เป็นกลิ่นที่ให้อารมณ์สัมผัสของวัฒนธรรมชาวตะวันออกกลางและเอเชีย มีกลิ่นที่มาจากสารสกัดของผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ กุหลาบและมะลิ บังเอิญฉันได้เชิญไปงานเปิดตัว ก็เลยได้กลับมาเป็นของขวัญชุดใหญ่ ฉันให้เธอขวดนึง มีที่ยังไม่ได้เปิดใช้อยู่ในตู้”

จากนั้นก็ทำท่าจะลุกไป ทว่ากานต์กลับโพล่งขึ้นมาก่อน

“เอาขวดนี้ก็ได้ครับ”

ออสตินเลิกคิ้วสูง “แต่ขวดนี้ ฉันใช้ไปแล้วนะ”

“ไม่เป็นไรครับ ผมคงไม่ได้ใช้อะไรมาก แค่ชอบกลิ่นมันเฉยๆ ไม่ได้คิดจะใช้”

คำพูดนั้นทำให้คนฟังขมวดคิ้วน้อยๆ ก่อนจะว่าสวนขึ้นมา

“น้ำหอมถ้าไม่ได้ใช้ก็ไม่เรียกว่าน้ำหอมสิ ส่งมือมา” พลันออกคำสั่ง

กานต์มองใบหน้าคร้ามอย่างชั่งใจ แต่แล้วก็ยอมยื่นมือข้างหนึ่งออกไปตรงหน้าโดยดี ออสตินคว้าข้อมืออีกฝ่าย ก่อนที่จะฉีดน้ำหอมลงบนข้อมือ ครู่หนึ่งก็ยกขึ้นจรดที่ปลายจมูก สูดดมกลิ่นหอมนั่น

ลมหายใจอุ่นร้อนจากจมูกโด่งเป็นสันระเรื่อยไปตามผิวเนื้อของเด็กหนุ่ม กานต์แทบจะหยุดหายใจ ยิ่งสายตาเหลือบมองสำรวจที่มือใหญ่ของออสตินซึ่งจับข้อมือเขาอยู่ กานต์ก็ต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากทีเดียวที่จะควบคุมสติของตัวเองให้ปกติ

มือข้างนั้น...เต็มไปด้วยแนวเส้นเลือดที่ดันผิวหนังขึ้นมา สิ่งนั้นขับให้เสน่ห์ความเป็นบุรุษเพศของออสตินกำจายไปทั่ว ยิ่งมอง กานต์ก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงเสน่ห์ของชายหนุ่มตรงหน้า พลันก็ต้องขบกรามแน่นเมื่อมีความรู้สึกประหลาดแวบขึ้นมาในหัว

อยากจะกัดแขนนั่นจัง...

“กลิ่นนี้เข้ากับเธอดี”

ก้อนเนื้อในอกของกานต์เต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงนุ่มทุ้ม ความรู้สึกอยากกัดนั่นไม่จางหายไปไหน แต่ก็คืนสติกลับมาได้อยู่บ้าง

“เธอไม่ชอบเหรอ?” ออสตินถามเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มข้างหน้าเอาแต่เงียบ

กานต์สบดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลที่จ้องมองเขานิ่งอย่างคาดคั้น ก่อนจะเผยอริมฝีปากตอบ

“ชอบครับ”

รู้สึกว่าทั้งริมฝีปากและลำคอของเขาแห้งผากไปหมดเพราะเอาแต่กลืนน้ำลายทุกครั้งที่มองออสติน ขณะที่คนถามไม่ได้สังเกตถึงความผิดปกติของเด็กหนุ่มเลย ถามออกมาอีกครั้ง

“แต่เธอทำท่าทางเหมือนไม่ชอบ”

“คือผม...”

“ความจริงมันก็เป็นกลิ่นเดียวกับฉันนั่นแหละ เพียงแต่เวลาที่น้ำหอมสัมผัสกับผิวหนังหรือเหงื่อ กลิ่นมันก็จะเพี้ยนไปบ้างตามแต่กลิ่นกายของแต่ละคน”

พูดไป ออสติสก็คลายฝ่ามือออกจากข้อมือของคนตรงหน้า ฉีดน้ำหอมใส่ข้อมือตัวเองบ้าง รอสักครู่แล้วก็ยื่นออกไปตรงหน้า

“กลิ่นอาจจะไม่เหมือนกันซะทีเดียว แต่มันก็คือกลิ่นเดียวกัน”

กานต์มองข้อมือของออสตินนิ่งสลับกับใบหน้าของเจ้าของด้วยความไม่เข้าใจ

“ดมสิ”

ตอนนี้เข้าใจแล้วว่าออสตินยื่นแขนมาข้างหน้าทำไม ก่อนที่เด็กหนุ่มจะใช้สองมือประคองมือใหญ่ข้างนั้นขึ้นไปจรดที่ปลายจมูก

กลิ่นหอมหวนยั่วยวนใจทำให้สติของเขาฟุ้งซ่านอีกครั้ง ความปรารถนาในส่วนลึกของจิตใจบางอย่างพลุ่งพล่าน เขาแทบจะอดใจไม่ไหวที่จะอ้าปากกัดท่อนแขนแน่นๆ นั้น สะกดความต้องการของตัวเองจนขบกรามเสียปวดไปหมด สิ่งที่ทำได้คือการไล้ปลายจมูกไปตามผิวเนื้อของออสติน

ตอนนี้กานต์เข้าใจได้แล้วว่ากลิ่นหอมที่ยั่วยวนเขาให้เผลอเคลิบเคลิ้มไป มันไม่ใช่กลิ่นของน้ำหอมยี่ห้อนี้หรอก แต่มันเป็นกลิ่นของผู้ชายตรงหน้า

เป็นกลิ่นของออสติน สเวน...

หอม...

กลิ่นของแด๊ดดี้หอม...

“กลิ่นเหมือนกันใช่ไหม”

สติถูกกระชากกลับมาอีกครั้งจนได้ กานต์สะดุ้งโหยง รีบปล่อยมือจากอีกฝ่ายทันที

“คะ...ครับ”

พอคิดได้ว่าเมื่อครู่เผลอทำอะไรลงไป ในใจก็ภาวนาต่อพระผู้เป็นเจ้าหลายต่อหลายครั้งว่าขออย่าให้ออสตินจับได้ว่าเขาคิดอะไรไปไกลกับพ่อเลี้ยงคนนี้

สวรรค์คงเห็นใจเด็กหนุ่มไม่ประสาต่อโลกอย่างเขาอยู่ไม่น้อย ออสตินถึงได้พูดขึ้นมา

“ถ้าอย่างนั้นฉันยกให้เธอขวดนึง ถือซะว่าเป็นของขวัญต้อนรับเธอแล้วกัน”

กานต์รับขวดน้ำหอมมาถือ เขาก้มหน้ามองขวดแก้วในมือที่บรรจุของเหลวเกือบเต็มพลางเม้มริมฝีปากแน่น ขณะที่ออสตินถามด้วยน้ำเสียงสบายๆ

“ชอบไหม”

“ชอบครับ”

“ชอบก็ดี กลิ่นโปรดของฉันเลย หวังว่ามันจะเป็นกลิ่นโปรดของเธอเหมือนกัน”

ใช่...ต่อจากนี้มันจะเป็นกลิ่นโปรดของเขา

กลิ่นของแด๊ดดี้...

จะเป็นน้ำหอมกลิ่นโปรดของเขาตั้งแต่วันนี้...

------------------------------

วันนี้มาดึกนิดนึงค่ะ พรุ่งนี้มาต่อตอนใหม่ให้นะ

แต่ลงตอนนี้แล้วก็คงจะรู้ละเนอะว่าใครหลงใครก่อน นุ้งกานต์เด็กใจแตกกก 555

สมควรใจแตกค่ะ แด๊ดดี้เซ็กซี่ขนาดนี้ ทนไหวก็ไปบวชเถอะลูก ฮา

ฝากฟีดแบ็กเป็นกำลังใจกันด้วยนะคะ ^^

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-02-2018 23:59:49 โดย NooDangzz »

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
คงจะโดนเขาจับได้เร็วๆนี้แน่ว่าชอบเขา

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
หลงกลิ่นพ่อเลี้ยงเต็ม ๆ เลยนะกานต์  :m17:

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
 

Chapter 5: Lust

ถ้าความร่าเริงสดใสเป็นเสน่ห์ของเด็กหนุ่มวัยรุ่น ความลึกลับน่าค้นหาก็คงจะเป็นเสน่ห์ของชายหนุ่มวัยกลัดมัน หากจะต้องตอบว่าอย่างไหนที่ดึงดูดความสนใจได้มากกว่ากัน สำหรับกานต์แล้ว เขาคงจะเลือกตอบอย่างที่สองโดยไม่ลังเล

ก็ดูพ่อเลี้ยงของเขาสิ... แม้แต่ผู้ชายรุ่นราวคราวเดียวกันกับออสติน กานต์ก็พูดได้เต็มปากเลยว่ายังไม่เคยเห็นใครมีเสน่ห์เท่ากับผู้ชายคนนี้เลยสักครั้งเดียว

และเพราะความที่มีเสน่ห์ดึงดูดอย่างเหลือล้น ประกอบกับการได้ใกล้ชิดทั้งทางประสาทการรับกลิ่นและการจับต้องโดยไม่ได้ตั้งใจ ก็ทำให้กานต์ไม่อาจละความสนใจไปจากออสตินได้เลย นับตั้งแต่คืนนั้น สายตาของเด็กหนุ่มก็ลอบมองออสตินทุกครั้งที่มีโอกาส สำรวจร่างกายของอีกฝ่ายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ว่าจะส่วนไหนของร่างกาย ออสตินก็ไม่มีจุดบกพร่องเลยสักนิด แม้กระทั่งรอยย่นบนหน้าผากหรือหางตาที่ปรากฏให้เห็นตามอายุวัย กานต์ก็ไม่คิดว่ามันเป็นตำหนิที่น่าเสียดายสักนิด คิดไปว่ามันเป็นหนึ่งในเสน่ห์ของอีกฝ่ายด้วยซ้ำ

หรือจะเป็นเพราะตกบ่วงของความเสน่หาไปแล้วถึงได้เห็นอีกฝ่ายดีงามไปทุกกระเบียดนิ้ว?

คงจะเป็นอย่างนั้น ตอนนี้กานต์ก็ยังชื่นชมออสตินในฐานะแบบอย่างที่ดี เทิดทูนในฐานะพ่อเลี้ยง เพียงแต่มีอีกความรู้สึกที่ผุดพรายขึ้นมา

หลงใหลอย่างถอนตัวไม่ขึ้น...

เด็กหนุ่มเม้มริมฝีปากเมื่อทอดสายตาจับจ้องไปยังชายหนุ่มที่กำลังถอดเสื้อสูทส่งให้เขาหลังจากที่เดินเข้าบ้านมาการนำเสื้อสูทไปเก็บให้ออสตินกลายเป็นหน้าที่ของกานต์ไปแล้ว ซึ่งเขาก็ยินดีที่จะรับหน้าที่นี้ด้วย เพราะเขาจะได้มีโอกาสลอบสูดดมกลิ่นน้ำหอมกลิ่นโปรดของเขาที่มีชื่อว่าออสติน สเวน

“มาเรียได้ทำมื้อเย็นทิ้งไว้ให้ไหม”

ออสตินถามขณะเดินไปทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟา

“ทำไว้ครับ”

“อืม ดีแล้ว เพราะถ้าไม่ทำ ฉันอาจจะต้องสั่งพิซซ่ามาเป็นมื้อเย็น”

คนฟังเลิกคิ้วสูง เขาจำได้ดีกว่าเมื่อหลายวันก่อน ออสตินเพิ่งจะบอกกับเขาไปเองว่าหากหลีกเลี่ยงการกินอาหารฟาสต์ฟู้ดได้ก็ควรเลี่ยง ดังนั้นจึงไม่แปลกถ้าจะเห็นเขาลงมือเข้าครัวเพื่อเตรียมอาหารเองบ่อยๆ

“ทำไมล่ะครับ”

เพราะสงสัยถึงได้ถาม ออสตินเอนหลังพิงพนักโซฟา ยกมือขึ้นคลึงที่ผิวหนังระหว่างคิ้วพลางหลับตาพริ้ม

“วันนี้ฉันเหนื่อยนิดหน่อย”

ดูจากท่าทางแล้วคงไม่น่าจะนิดหน่อย กานต์ไม่เคยเห็นเขาแสดงท่าทางเหนื่อยล้าอย่างนี้ออกมาให้เห็นเลย

“ประชุมวันนี้ทำฉันประสาทเสีย” ออสตินว่าออกมาอีก ทำให้ลูกเลี้ยงเลิกคิ้วสูง “ตั้งแต่เช้าจนเย็น ไมเกรนกินหัวฉันไปข้างแล้ว”

“ไปหาหมอดีไหมครับ”

ได้ยินอย่างนั้น กานต์ก็เป็นห่วงขึ้นมา ชายหนุ่มหยุดมือที่คลึงหน้าผากตนเอง เปิดเปลือกตามอง

“ไม่เป็นไร กินยาก่อนกลับมาแล้ว อีกสักพักก็คงหาย”

“ครับ”

“แต่เรื่องเจ็บคอนี่คงจะต้องใช้เวลาสักหน่อย”

เด็กหนุ่มขมวดคิ้วทันควัน “แด๊ดดี้เป็นหวัดเหรอครับ”

ความเป็นห่วงพร่างพราย เขาไม่อยากให้ผู้ปกครองของเขาต้องเจ็บไข้ได้ป่วย แต่แล้วก็ต้องโล่งอกเมื่อออสตินตอบ

“ใช้เสียงเยอะไปหน่อย มีเรื่องให้ต้องดีเบตกับพวกบอร์ดบริหาร”

คนฟังร้องอ๋อ ถ้าอย่างนั้นคืนนี้เขาคงจะต้องดูแลบริการออสตินเป็นอย่างดีให้อีกฝ่ายได้ผ่อนคลายเสียแล้ว

“งั้นเดี๋ยวผมเอาเสื้อสูทไปเก็บแล้วจะรีบลงมาอุ่นมื้อเย็นให้นะครับ”

พูดจบก็รีบก้าวขึ้นไปยังชั้นสองทันที ปล่อยให้ออสตินนั่งรออยู่ชั้นล่าง ไม่นานนัก กานต์ก็กลับลงมาอีกครั้ง มุ่งหน้าเข้าครัว นำอาหารที่มาเรียทำทิ้งไว้ให้ไปอุ่นในไมโครเวฟ จัดโต๊ะให้พร้อมรับประทาน เมื่อเสร็จสิ้นก็รีบก้าวออกมาเพื่อเรียกให้อีกฝ่ายไปกิน

“แด๊ดดี้ครับ ผมเตรียมอาหารเสร็จแล้ว”

“อืม”

“จะทานเลยไหมครับ”

“สักแป๊บนะ ฉันขอพักอีกหน่อย”

ท่าทางของออสตินในวันนี้ดูเหนื่อยล้ามากจริงๆ เพราะทันทีที่พูดจบ เขาก็แหงนหน้าขึ้นพลันหลับตาลง หายใจยาวออกมาเต็มแรง ทำเอาคนที่ยืนมองอยู่ไม่กล้าจะเอ่ยเสียงใดๆ ออกมารบกวน

คงจะต้องปล่อยให้พักก่อน...

กานต์คิดอย่างนั้น ใจคิดจะไปเปิดน้ำร้อนใส่อ่างเตรียมให้อีกฝ่ายแช่ คิดเอาเองว่าหากได้แช่น้ำอุ่น ความเหนื่อยล้าก็น่าจะทุเลาลงไปบ้าง

ทว่า...ยังไม่ทันจะได้เดินไปไหน กานต์ก็ต้องนิ่งงันราวกับสัตว์ที่ถูกสตัฟฟ์เมื่อออสตินส่งเสียงกระแอมไอออกมา

หากเป็นการส่งเสียงกระแอมไอแล้วจบไป เด็กหนุ่มก็คงจะไม่สะดุดใจอะไร ทว่าอีกฝ่ายกลับใช้มือข้างหนึ่งปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตออกสองสามเม็ดจนแผงอกเผยออกมาให้เห็น ก่อนที่จะใช้มือข้างหนึ่งลูบลากไปยังลำคอ

ท่าทางนั้น...ทำให้กานต์ต้องกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ภายในห้องนั่งเล่นที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายสบายตา บัดนี้กลับไม่สบายอย่างที่เจ้าของบ้านอยากให้เป็นเมื่อกลิ่นของความน่าหลงใหลที่ลอยออกมาจากร่างของออสตินอบอวลอยู่ภายในห้องเสียจนทำใครอีกคนหายใจแทบไม่ออก

กานต์หายใจติดขัด ความร้อนรุ่มบางอย่างแล่นพล่านไปทั่วทุกอณูของร่างกาย เขารู้ว่าการยืนมองอยู่อย่างนี้ไม่เป็นการดีกับเขาอย่างแน่นอน แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจละสายตาไปได้

ดวงตาจับจ้องยังลำคอแกร่งของออสติน เส้นเลือดที่ดุนดันอยู่ใต้ผิวหนังทำให้กานต์ต้องกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ยิ่งอีกฝ่ายยกมือขึ้นลูบตั้งแต่ปลายคางลากไล่ผ่านลูกกระเดือก กระทั่งลงมายังแนวไหปลาร้า ก็ยิ่งทำให้กานต์หายใจไม่คล่อง

ผู้ชายตรงหน้าเขาคนนี้มีอะไรบางอย่างที่กระตุ้นให้ความปรารถนาตามสัญชาตญาณมนุษย์ในกายของเด็กหนุ่มทำงานอย่างหนักหน่วง

มันเป็นแรงขับทางเพศ...

กานต์รู้สิ่งนั้นดี เขาเองก็ไม่ใช่เด็กที่ไม่ประสาอะไรขนาดนั้น ตั้งแต่ก้าวเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น เขาก็ค่อยๆ เรียนรู้เรื่องเกี่ยวกับร่างกายของตัวเอง จึงไม่มีทางที่จะไม่รู้เลยว่าความรู้สึกที่ก่อเกิดในตัวเขาเวลานี้มันคืออะไร

ร่างกายค่อยๆ ร้อนรุ่มขึ้นมาทีละน้อยจนแทบจะระเบิด อันที่จริงเขาควรจะรีบกำจัดความรู้สึกนั้นออกไปด้วยการไม่มองภาพของผู้ชายตรงหน้า ทว่าออสตินไม่ใช่ผู้ชายที่จะละสายตาได้ง่ายๆ ยิ่งมองก็ยิ่งลุ่มหลง มองมากเท่าไหร่ก็ยิ่งใจเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ

ผู้ชายคนนี้มีเสน่ห์เหลือร้าย...

สายตาไล่มองไปตามฝ่ามือหนาของออสตินที่ลูบคลำลำคอ ก่อนที่กานต์จะรู้สึกตัวเมื่อได้ยินเสียง

“ชงน้ำผึ้งใส่มะนาวให้ฉันสักแก้วได้ไหม”

ตอนนี้ออสตินลืมตาขึ้นมาแล้ว พลางมองจ้องมายังลูกเลี้ยงนิ่ง

“อะ...”

“ฉันถามว่าชงให้ฉันได้ไหม”

พอถูกอีกฝ่ายถามอีกครั้ง กานต์ก็รีบพยักหน้ารับ

“ดะ...ได้ครับ”

พลันก้าวไวๆ ออกไปจากบริเวณนั้นด้วยใจที่เต้นระส่ำ ขณะที่ตรงเข้าไปในครัว เขาก็พยายามควบคุมอารมณ์ที่ฟุ้งซ่านของตัวเองอย่างสุดความสามารถไปพร้อมๆ กัน หากแต่ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เพราะพอหยิบจับอุปกรณ์สำหรับชงน้ำผึ้งมะนาว การกระทำของเขาก็เป็นไปอย่างลุกลี้ลุกลนจนข้าวของหล่นหลุดมือไปหมด

เพล้ง!

“ฉิบ...”

เด็กหนุ่มสบถเมื่อทำแก้วมัคที่หยิบมาจากชั้นวางหล่นแตกบนพื้น เขาทิ้งตัวลงนั่งยอง ตั้งใจว่าจะเก็บเศษแก้วไปทิ้ง แต่แล้วก็ต้องขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเห็นว่าบริเวณกลางลำตัวของตนเองมีร่องรอยเป็นเนินนูนปรากฏให้เห็นรางๆ

เวรแล้ว!

ถึงกับเบิกตาโพลง เสียวสันหลังวาบไปทั้งตัว

มะ...เมื่อกี้แด๊ดดี้เห็นหรือเปล่า?

เห็นใช่ไหม!?

ไม่หรอกกานต์... ไม่น่าจะเห็น

เด็กหนุ่มคิดเข้าข้างตนเองไปอย่างนั้น กางเกงวอร์มที่เขาใส่อยู่ค่อนข้างตัวใหญ่และเนื้อผ้าหนา มันก็น่าจะพอปกปิดอะไรต่อมิอะไรที่ออสตินไม่สมควรเห็นได้

แต่ถึงอย่างนั้น กานต์ก็ไม่อาจวางใจ

แล้วถ้าแด๊ดดี้เห็นล่ะ?

คิดมาแค่นี้ สันหลังก็เสียววาบ เขากลัวเหลือเกิน... กลัวว่าออสตินจะเห็น ก่อนที่จะรีบเก็บกวาดเศษแก้วอย่างร้อนรน จากนั้นก็รีบชงน้ำผึ้งมะนาวตามสั่งด้วยคิดว่าการทำตัวให้วุ่นวายน่าจะทำให้อารมณ์ฟุ้งซ่านของเขาสงบได้โดยไว แต่เพราะรีบร้อนเกินไปหน่อย น้ำร้อนที่กดออกมาจากกาต้มน้ำจึงลวกเข้าที่มือ

“โอ๊ย”

เด็กหนุ่มร้องออกมา รีบวางแก้วลง พลันตรงไปที่ซิงค์ล้างมือ เปิดน้ำเย็นให้ไหลผ่านผิวเนื้อบริเวณที่ถูกน้ำร้อนลวก

ความเจ็บแสบเริ่มทุเลาลงแล้ว แต่ก็ทิ้งร่องรอยแดงเป็นปื้นเอาไว้ กานต์มองไปยังรอยนั้นแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาเต็มแรง

ถึงมันจะเจ็บ แต่ก็ทำให้ความกำหนัดที่ถูกปลุกโดยสัญชาตญาณดิบสงบลงอย่างได้ผลชะงัด

หวังว่าจะไม่เกิดขึ้นอีก...

กานต์วิงวอนต่อพระผู้เป็นเจ้า ขอให้เขาไม่ลุ่มหลงจนเผลอไผลไปกับบาปราคะนี้อีก พลันเดินกลับมาคว้าแก้วที่ชงน้ำผึ้งมะนาวเสร็จแล้วกลับออกไปยังห้องนั่งเล่น

“นี่ครับแด๊ดดี้”

มือวางแก้วมัคลงบนโต๊ะกระจก ออสตินขยับมาคว้าแก้วไปถือ ก่อนจะต้องชะงักเมื่อเห็นว่ามือของลูกเลี้ยงมีรอยเป็นปื้นแดง

“มือไปโดนอะไรมา”

กานต์เหลือบมองมือของตัวเอง ก่อนจะตอบไปตามตรง

“โดนน้ำร้อนลวกครับ”

คนฟังชำเลืองมองหน้า “เมื่อกี้เหรอ”

“ครับ”

“ทำไมไม่ระวัง”

เด็กหนุ่มเม้มปากเมื่อได้ยินคำถามนั้น... เขาจะถูกดุอีกหรือเปล่านะ?

“คือ...”

“มานั่งตรงนี้”

กำลังจะแก้ตัวถึงเหตุผลที่ไม่ทันได้ระวังตัวเลย เพราะแน่นอนว่าเขาไม่มีวันบอกออกไปอยู่แล้วว่าที่ไม่ทันระวังเป็นเพราะพยายามควบคุมกำหนัดบ้าๆ ให้สงบลง หากแต่ออสตินก็โพล่งมาก่อน ดังนั้นกานต์จึงไม่รอช้าที่จะหลีกเลี่ยงการตอบคำถามนั้นด้วยการทำตามคำสั่ง

พอทิ้งตัวนั่งลงได้ ออสตินก็ว่าออกมา

“ฉันจะไปเอายามาให้ รอก่อน”

สิ้นเสียงก็ลุกออกไป รออยู่ครู่หนึ่ง ออสตินก็กลับมาพร้อมกับหลอดยาเล็กๆ ในมือ จากนั้นก็ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ เด็กหนุ่ม

“ส่งมือมาสิ”

“เดี๋ยวผมทาเองก็ได้ครับ”

ไม่อยากให้แตะตัวสักเท่าไหร่ เพราะกานต์รู้ดีว่าหากอีกฝ่ายสัมผัสตัวเขาแม้เพียงปลายเล็บ ความรู้สึกร้อนรุ่มก่อนหน้านี้จะต้องบังเกิดขึ้นมาอีกแน่

“ฉันบอกให้ส่งมือมา”

แต่ออสตินไม่ฟัง ออกคำสั่งอีกครั้ง ดวงตาสีน้ำทะเลจับจ้องอย่างบังคับ ทำเอากานต์ต้องยอมศิโรราบโดยดี

มือยื่นออกไปตรงหน้า ออสตินคว้ามาวางบนตักของตน ก่อนจะบีบยาออกจากหลอดแล้วทาลงบนผิวเนื้อของลูกเลี้ยง

ปลายนิ้วสากและหนาลูบไล้ไปยังหลังมือของกานต์อย่างแผ่วเบา ความอบอุ่นแผ่กำจายไปทั่วบริเวณหลังมือนั้น ขณะเดียวกันก็แผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างของกานต์ เด็กหนุ่มเม้มปาก เขารู้ว่าอะไรบางอย่างกำลังเข้าครอบงำสัญชาตญาณตามธรรมชาติของเขาอีกแล้ว ในใจได้แต่พร่ำบอกกับตัวเองเป็นพัลวัน

อย่านะไอ้กานต์...อย่าเชียว...

แต่จะทานทนได้นานแค่ไหนกัน ไม่นานเขาก็ต้องรู้สึกอึดอัดที่บริเวณกลางลำตัว ยิ่งได้กลิ่นกายของออสตินลอยเข้ามาในจมูก กานต์ก็ไม่อาจทนไหว นั่งหนีบขา พยายามเบี่ยงตัวหลบด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะเห็นเข้าว่าเขามีอะไรบางอย่างที่ผิดแปลกไป

“เป็นอะไร”

การอยู่ไม่สุขของเด็กหนุ่มทำให้ออสตินต้องออกปากถาม กานต์ถึงกับสะดุ้งเฮือก มองหน้าคนถามอย่างตื่นๆ

“คือผม...”

“เจ็บเหรอ”

“คะ...ครับ”

ขอบคุณพระเจ้าที่ออสตินเข้าใจไปแบบนั้น ขณะที่อีกฝ่ายเบามือลงอีกหน่อย

“ขอโทษที ฉันคงจะมือหนักไปหน่อย”

ไม่หนักเลย... แต่ที่หนักน่ะคือความรู้สึกของกานต์ที่มีต่อออสตินต่างหาก ยิ่งปล่อยให้ออสตินสัมผัส แรงขับทางเพศก็ยิ่งรุมเร้าเข้าเล่นงานเขาเสียจนเลือดสูบฉีดไปที่หัวใจจนทำงานหนักหน่วง

ปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปคงไม่เป็นการดีแน่... เหนือสิ่งอื่นใด เขากลัวเหลือเกินว่าออสตินจะเห็นว่าอะไรต่อมิอะไรของเขามันไม่สงบ จึงรีบชักมือออกแล้วว่าเร็วๆ

“เดี๋ยวที่เหลือผมจัดการต่อเองดีกว่าครับ”

ออสตินดูแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร นอกจากจะส่งหลอดยาให้

“ถ้าอย่างนั้นก็เอายานี่ไว้ไปทา”

“ครับ” กานต์รับมา ก่อนจะว่าเร็วๆ “ผมขอตัวขึ้นห้องก่อนนะครับ”

“ไม่กินมื้อเย็นเหรอ”

“ผม...”

“เธอต้องกินอาหารให้ครบสามมื้อ”

พูดมาอย่างนี้ กานต์จะกล้าบอกได้อย่างไรล่ะว่าจะไม่กินน่ะ

“ผมว่าผมจะไปอาบน้ำก่อน วันนี้ช่วยมาเรียทำงานบ้านทั้งวัน ตัวเหนียวน่ะครับ”

ก็เลยบ่ายเบี่ยงไปเป็นเรื่องอื่นแทน ออสตินพยักหน้า ไม่ได้ขัดอะไร เท่านั้นเด็กหนุ่มก็รีบก้าวไปที่บันได หากแต่ขึ้นไปได้เพียงสองสามก้าวก็ชะงักขา ในใจเกิดกังวลอะไรบางอย่างขึ้นมาจึงได้ตัดสินใจที่จะเอ่ยปากถาม

“แด๊ดดี้ครับ”

“หืม?”

“คือ...เมื่อกี้แด๊ดดี้เห็น...”

พูดไปได้แค่นั้นก็เกิดใจฝ่อขึ้นมา ไม่กล้าถามต่อว่าเห็นหรือเปล่าว่าอวัยวะบางอย่างของเขามันอยู่ไม่สุข และเพราะการที่ไม่พูดต่อ ก็ทำให้ออสตินต้องออกปากถาม

“เห็นอะไร”

“ไม่มีอะไรครับ”

“ถ้าไม่มีอะไรก็รีบไปอาบน้ำ ฉันจะพักสายตาสักหน่อย เสร็จแล้วก็มาเรียกฉันแล้วกัน”

โดยปกติแล้ว ออสตินจะต้องเค้นถามด้วยเขาไม่ชอบให้ใครก็ตามมาพูดก้ำๆ กึ่งๆ ไม่จบประโยคแบบนี้ แต่ในครั้งนี้เขากลับยอมที่จะปล่อยให้กานต์หยุดพูดไปได้ง่ายๆ

กานต์ไม่อยากคิดในแง่ร้ายว่าออสตินเห็นแต่แสร้งทำเป็นไม่สนใจ จึงรีบก้าวขึ้นบ้านแล้วพุ่งเข้าห้องน้ำอย่างรวดเร็ว

 

ความร้อนรุ่มยังคงไม่จางหายไป เด็กหนุ่มเปิดน้ำจากฝักบัวให้ไหลรดร่างกายของตนเอง

หยดน้ำเย็นเยียบไหลผ่านเส้นผมสีดำสนิท ระเรื่อยลงไปตามใบหน้าและทุกส่วนของร่างกาย ก่อนที่จะชำระล้างเอาความรู้สึกผิดบาปของกานต์ให้ไหลไปตามพื้นกระเบื้อง พัดพาลงสู่ท่อระบายน้ำราวจนไม่เหลือคราบคาวใดๆ ที่เขาปลดปล่อยออกมาเมื่อครู่

กานต์ยื่นมือไปหมุนฝักบัวปิด ยกมือทั้งสองข้างขึ้นลูบใบหน้า ความรู้สึกเต็มตื้นที่ความอึดอัดอันเกิดจากแรงขับทางเพศได้ถูกระบายออกไปช่างทำให้เขาหัวสมองปลอดโปร่งเป็นอย่างยิ่ง แต่ในความอภิรมย์นั้น เขาก็รู้สึกผิดมหันต์ไม่น้อย

ออสติน...ทำให้เขาต้องกระทำบางอย่างไม่สมควรจนได้ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้กระทำกับอีกฝ่าย แต่การปลดเปลื้องด้วยตนเองก็เป็นสิ่งไม่สมควร

เด็กหนุ่มพิงหน้าผากตนเองเข้ากับผนังห้องน้ำ ถอนหายใจให้กับบาปอันบริสุทธิ์ที่ตัวเองไม่ได้ตั้งใจจะให้เกิด

ความผิดของคุณ...

มันเป็นความผิดของคุณที่ทำให้ผมลุ่มหลงขนาดนี้

เป็นความผิดของคุณคนเดียว...ออสติน

-------------------------------

ตอนนี้น้องกานต์บาปมากกกก บาปบริสุทธิ์มากกกกก แต่จะให้ทำยังไงได้ ก็แด๊ดดี้เซ็กซี่มากขนาดนี้อะเนอะ น้องเลยใจแตกเลย นุ้งกานต์ลูกกก ฮา ความผิดของแด๊ดดี้คนเดียวเลยข่ะ!

เรื่องนี้หนูแดงเปลี่ยนสไตล์การเขียนนิดหน่อยค่ะ พอดีกำลังชาเลนจ์ตัวเองหลังจากที่ไปเรียนเขียนนิยายมา ปกติจะชอบพร่ำเพ้อพรรณนา เรื่องนี้ก็พยายามที่จะลดทอนลงให้มันกระชับกับห้วนๆ ขึ้นหน่อย แต่ก็ยังมีติดสไตล์เดิมอยู่บ้าง

แล้วที่กำลังพยายามเปลี่ยนก็คือจะหัดเขียนฉากเลิฟซีนที่เน้น Feeling มากกว่า Action โดยการที่พยายามไม่เขียนหรือเลี่ยงเขียนคำศัพท์ที่บ่งบอกเครื่องเพศให้มากที่สุด มีฟีลอยากเขียนอะไรที่ทำให้คนอ่านจินตนาการเตลิดมากกว่าเขียนเล่าให้ฟังตรงๆ เหมือนเรื่องก่อนๆ ที่เคยเขียนๆ มาค่ะ

หวังว่าคงจะชอบกันนะคะ

ฝากฟีดแบ็กให้ด้วยนะ ^^

ออฟไลน์ fullfinale

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 687
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
หลงรัก แด๊ดดี๊ มากกกกกก ฮือออละมุนหัวใจเหลือเกิน

สู้ๆนะคะ ติดตามค่าท :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส กานต์หลงไปหมดทุกอย่างเลย อันตรายนะเนี่ย  o18

ออฟไลน์ fahdekkom

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
หลงเสน่ห์แด๊ดดี้ดข้าเต็มเปาเลย แบบนี้มันอยู่ยากนะแด๊ด

ออฟไลน์ BAKA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3025
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-10
ก็แด๊ดดี้มีเสน่ห์ขนาดนี้นี่นะ

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Chapter 6: Pure sin

สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วนทั้งหมด กานต์ต้องยอมรับแล้วล่ะว่าเขาไม่ได้คิดกับผู้ชายคนนั้นเพียงแค่ผู้อุปการะ ไม่ว่าจะเพราะเสน่ห์ของออสตินหรือปัจจัยใดก็ตามที่ล่อลวงเขาให้เผลอคิดไปไกลกว่าสถานะที่ควรจะเป็น แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องยินยอมรับความรู้สึกที่ผุดพรายขึ้นมาในใจของตัวเองอย่างชัดเจนอยู่ดี

เขากำลังหลงใหลออสติน...

นอกจากจะสนใจฟังเรื่องราวของเขาผ่านปากของมาเรียแล้ว เด็กหนุ่มยังปลดปล่อยตัวเองโดยใช้ผู้ชายคนนั้นช่วยในการจินตนาการทุกครั้ง บางครั้งก็ลอบไปหยิบยืมเสื้อของออสตินที่แขวนอยู่ในตู้มากอดก่ายเป็นอุปกรณ์ช่วยสำเร็จความใคร่ เพ้อพกไปว่าเสื้อที่กอดอยู่ในอ้อมแขนนั้นคือร่างกายแกร่งของอีกฝ่าย บางครั้งก็ใช้น้ำหอมที่ออสตินให้เป็นของขวัญมาฉีดพรมบนร่างกายของตัวเองให้กลิ่นอันคุ้นเคยอบอวลอยู่รอบข้าง หลับตาพริ้มฝันละเมอไปว่าบนเตียงภายในห้องนอนของเขามีผู้ชายคนนั้นอยู่ด้วย จนทำให้พักนี้เด็กหนุ่มช่วยตัวเองบ่อยเกินกว่าปกติ

มันเป็นความบาปอันบริสุทธิ์ที่กานต์ไม่อาจหลีกเลี่ยง...

แต่ก็ยังดีกว่าจะต้องมาปล่อยให้กำหนัดพร่างพรายขณะที่อยู่ต่อหน้าอีกฝ่าย กานต์คิดเข้าข้างตัวเองว่าตราบใดที่สิ่งที่เขาจินตนาการไม่ได้ก่อให้เกิดความเดือดร้อนต่อผู้มีพระคุณ มันก็คงจะไม่เป็นอะไร

...คิดไปเองว่าไม่เป็นอะไร

เอาเข้าจริงแล้ว เด็กหนุ่มก็ไม่สามารถควบคุมจินตนาการของตัวเองได้ดีขนาดนั้น เผลอทีไรก็คิดเตลิดเปิดเปิงไปทุกที โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่ได้อยู่กับออสติน

บางทีเขาอาจจะต้องบอกออสตินแล้วว่ารสนิยมทางเพศของเขาเป็นแบบไหน เขารู้ว่าตัวเองชอบเพศเดียวกันมาตั้งแต่ตอนเรียนมัธยมต้นแล้ว แต่ไม่คิดว่ามันจะสำคัญจึงไม่ได้บอกกับออสตินไป หากแต่พอคิดจะบอกมันก็กลายเป็นเรื่องยาก จะให้บอกไปตามตรงก็กลัวเหลือเกินว่าออสตินจะรับไม่ได้ที่เด็กในอุปการะของเขามีรสนิยมทางเพศที่ผิดธรรมชาติไป ถึงในปัจจุบันนี้การที่เป็นเกย์มันจะไม่ผิด ทว่ากานต์ก็ไม่รู้ว่าออสตินจะมีมุมมองต่อกลุ่มคนเพศทางเลือกแบบไหน

ถ้าหากว่ารับไม่ได้ขึ้นมาล่ะ เขาจะทำยังไง?

เด็กหนุ่มครุ่นคิดอยู่หลายวัน ชั่งใจอยู่หลายที ตัดสินใจไม่ได้ว่าควรจะบอกหรือไม่บอกดี ทว่า...เขาก็ไม่สามารถที่จะเก็บงำแรงขับจากภายในของตัวเองได้เหมือนกัน

ไม่ว่ายังไงก็ต้องบอก...ต่อให้รับไม่ได้ก็ต้องบอก ถือเสียว่าเขาแสดงความจริงใจต่อคนที่เป็นสมาชิกในครอบครัวของเขาก็แล้วกัน

แต่ก็ยังหาโอกาสบอกไม่ได้สักที พอตัดสินใจจะบอก ทุกคำพูดก็ถูกกลืนลงคอไปทั้งหมดเมื่อถูกสายตานิ่งเรียบของออสตินจ้องมอง

เขายังคงหวาดเกรงสายตาที่เต็มไปด้วยอำนาจคู่นั้น... วันนี้ก็เช่นกัน ทั้งที่อุตส่าห์ตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วว่าไม่ว่าอย่างไรก็จะบอกให้ได้ หากแต่เมื่อพบกับออสตินในตอนเช้า กานต์ก็รู้สึกละอายใจขึ้นมากับสิ่งที่เขาทำลงไปลับหลังอีกฝ่าย จนสุดท้ายก็ไม่ได้พูดอยู่ดี ได้แต่ปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปเหมือนกับปกติทุกวัน

“อยากไปไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า”

ออสตินถามขณะที่ขับรถออกจากรั้วบ้าน วันนี้เป็นวันอาทิตย์ เขาสัญญากับลูกเลี้ยงเอาไว้ว่าทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ ทั้งคู่จะออกจากบ้านไปทำกิจกรรมพิเศษๆ ร่วมกัน ถือว่าวันนี้เป็นวันแห่งครอบครัว

กานต์ซึ่งนั่งอยู่ข้างคนขับส่ายหน้าน้อยๆ เขาไม่มีที่ไหนอยากไปเป็นพิเศษ จริงๆ แค่ได้อยู่บ้านกับออสตินตามลำพัง เท่านั้นเขาก็พอใจแล้ว

“ไม่อยากไปไหนเลยจริงๆ เหรอ”

ออสตินถามมาอีก กานต์มาอยู่ที่นี่ได้เกือบเดือนแล้ว แต่ไม่ค่อยได้ออกไปไหนสักเท่าไหร่ อันที่จริงก็เป็นความผิดของเขาที่ไม่ค่อยมีเวลาให้นอกจากช่วงอาทิตย์แรกที่กานต์มาอยู่ที่นี่

“ครับ”

“ไม่ต้องเกรงใจฉันหรอกนะ ฉันสัญญากับเธอแล้วว่าจะพาเธอไปเที่ยว อยากไปที่ไหนก็บอกฉัน”

“ผมไม่ได้มีที่ไหนอยากไปเป็นพิเศษจริงๆ ครับ”

แต่ผมอยากอยู่กับแด๊ดดี้มากกว่า...

กานต์อยากจะต่อประโยคนี้ ทว่าก็กลืนมันลงคอไปหมด ออสตินละสายตาจากถนนเบื้องหน้ามามองหน้าของเด็กหนุ่มเล็กน้อย

“เธอนี่แปลกดีนะ ปกติแล้วพวกวัยรุ่นน่าจะชอบไปเที่ยวเล่นสิ หรือจะเป็นพวกชอบเก็บตัว”

พูดมาอย่างนั้น กานต์ก็เลยพยักหน้ารับเลยตามเลย

“งั้นไปนั่งเล่นที่คาเฟ่แถวนี้แล้วกัน ไหนๆ ก็ออกมาแล้ว”

ออสตินตัดสินใจเอง ไม่บังคับเด็กหนุ่มหรอกในเมื่ออีกฝ่ายไม่อยากไป กานต์ก็ไม่ปฏิเสธ ปล่อยให้อีกฝ่ายได้ขับรถไปตามทางจนกระทั่งถึงที่หมาย

ร้านกาแฟขนาดย่อมถูกเลือกเป็นจุดหมายของวันนี้ ออสตินมาที่ร้านนี้ค่อนข้างบ่อยจนเรียกได้ว่าเป็นลูกค้าประจำ เขาชอบร้านนี้เพราะไม่มีคนพลุกพล่าน เหมาะสำหรับใช้เป็นที่พักผ่อนสมองยามเครียดๆ เพราะการตกแต่งของร้านให้บรรยากาศอบอุ่น เมื่อได้จิบกาแฟหอมๆ ระหว่างนั่งพัก ก็รู้สึกเหมือนกับได้ปลีกเข้าสู่โลกส่วนตัว ตัดขาดจากความวุ่นวายทันใด

แต่กานต์ไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นเลยสักนิด เขาเพียงปรายตาสำรวจบรรยากาศของร้านเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ก่อนที่จะเดินตรงไปนั่งยังเก้าอี้ในสวนข้างๆ ร้าน รับเมนูมาเลือกเครื่องดื่มและของหวานตามคำสั่งของผู้ปกครอง

“ถ้าเธอไม่ชอบดื่มกาแฟ ก็สั่งไอศกรีมหรือของหวานอะไรมากินเล่นก็ได้”

“ถ้างั้นผมเอาอันนี้ก็แล้วกันครับ”

นิ้วไล่ชี้ส่งๆ ไป ออสตินชำเลืองมองก่อนจะหันไปสั่งบริกร

“สตรอเบอร์รี่พายพาเฟ่ต์ที่นึง”

“รับวิปครีมด้วยไหมครับ” บริกรถามเมื่อเห็นว่าเมนูนี้มีออฟชั่นพิเศษเสริม

“ว่าไง เอาด้วยไหม” ออสตินถามคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

“ครับ” ทั้งที่ไม่ได้อยากกินแท้ๆ แต่ก็ตอบรับไป

ออสตินสั่งตามที่เด็กหนุ่มบอก ก่อนจะสั่งเมนูนั้นให้ตัวเองด้วย แต่ของเขาไม่ได้สั่งวิปครีมเพิ่มแต่อย่างใดเพราะเขาไม่ใช่คนที่ชอบกินของหวานสักเท่าไหร่นัก

รออยู่ครู่หนึ่ง ไอศกรีมน่าตาน่ารับประทานก็มาเสิร์ฟอยู่ตรงหน้า กานต์นั่งเหม่อจนไม่รับรู้ว่าตอนนี้เมนูที่เขาสั่งถูกยกมาวางเรียบร้อยแล้ว ได้สติก็ตอนที่ออสตินร้องเรียก

“กานต์”

“ครับ”

“กินสิ” ว่าพลางพยักพเยิด

กานต์มองถ้วยไอศกรีมแล้วพยักหน้า คว้าช้อนขึ้นมาถือในมือมั่น

เมื่อครู่นี้ที่เขาเหม่อ... เขาเผลอจินตนาการไปไกลอีกแล้ว

จินตนาการไปว่าจะเป็นยังไงถ้าไอศกรีมพวกนี้ถูกราดลงบนตัวของเขาแล้วออสตินมาละเลียดชิมความหวานเย็นจากตัวของเขา...

คิดแล้วก็ต้องมานั่งสำนึกผิด ขนาดอยู่ต่อหน้าออสติน เขายังไม่วายที่จะหมกมุ่นเรื่องอย่างว่าพวกนั้น

ความคิดลามกพวกนี้จะต้องเป็นความบาปที่ซาตานล่อลวงเขาให้คิดอย่างแน่นอน...

แต่มนุษย์เราจะทนทานต่อการล่อลวงของซาตานได้นานแค่ไหน?

คำถามนี้กานต์ตอบไม้ได้หรอก แม้แต่ตัวของอดัมและอีวาซึ่งเป็นบุตรแห่งพระเจ้าเองก็ยังเผลอไผลไปกับสิ่งเย้ายวนใจจนความปรารถนาผลักดันให้ต้องละเมิดกฎแห่งสวรรค์เลย

กานต์เองก็เช่นกัน...ความปรารถนาของเขาพุ่งทะยานขึ้นไม่มีหยุดหย่อนในทุกๆ วัน ไม่ต่างจากนักปีนเขาที่ดันทุรังจะไต่ไปให้ถึงยอดเขาเอเวอร์เรสต์ทั้งที่รู้ว่าข้างหน้ามีอุปสรรคนานัปการที่ทำอันตรายเขาถึงแก่ชีวิตได้ หากก้าวพลาดแม้แต่ก้าวเดียว มีหวังคงมีสภาพน่าอดสูมากเลยทีเดียว

ออสตินก็เหมือนยอดเขาลูกนั้น...สูงเสียดฟ้าตั้งตระหง่านไม่หวั่นต่อสิ่งใด ทำเอานักปีนเขาตัวเล็กๆ อย่างกานต์หวั่นใจทุกครั้งที่สับสลักปีนเขาไต่ขึ้นไปตามร่องหินสูงชัน

เขาจะพลาดตกลงมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้...ถ้ายังรักตัวกลัวตาย เห็นทีจะต้องหยุดพักแล้วไต่ลงมาเพื่อความปลอดภัย

เด็กหนุ่มลอบระบายลมหายใจ ตักไอศกรีมเข้าปากราวกับจะให้ความเย็นจากของหวานในถ้วยตรงหน้าบรรเทาความร้อนรุ่มใจ

ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลของออสตินจับจ้องคนตรงข้ามนิ่ง ท่าทางรีบร้อนผิดปกติของลูกเลี้ยงทำให้เขาต้องเอ่ยปากปราม

"ค่อยๆ กิน มันไม่ละลายหนีเธอไปไหนหรอก"

กานต์ชะงัก เหลือบมองแล้วตอบรับ "ครับ"

จากนั้นก็ผ่อนความเร่งรีบลง ออสตอนมองอย่างพอใจ ครู่หนึ่งก็ต้องหัวเราะในลำคอออกมาเมื่อเห็นว่าที่มุมปากของเด็กหนุ่มมีวิปครีมสีขาวเปรอะเปื้อนอยู่

"บอกให้ค่อยๆ กินไง"

พลันก็เอื้อมมือมาใช้ปลายนิ้วเช็ดคราบนั้นออกให้ สัมผัสอุ่นๆ บนปลายนิ้วสากทำให้กานต์ต้องชะงักงัน ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นตะลึงงันเมื่ออีกฝ่ายดึงมือกลับไปและแลบลิ้นเลียวิปครีมที่ติดปลายนิ้วนั่น

"แด๊ดดี้..."

ออสตินดูดปลายนิ้วเล็กน้อย ทำเอาคำพูดที่กานต์ตั้งใจจะพูดถูกกลืนหายไปในลำคอจนหมด

"อร่อยดี รู้อย่างนี้ฉันจะสั่งเพิ่มวิปครีมเหมือนกับเธอ"

คำพูดนั้นแทบไม่เข้าหูของเด็กหนุ่มเลย เขารู้สึกแต่เพียงว่าใบหน้าเห่อร้อนจนลามถึงลำคอไปหมด

แด๊ดดี้ของเขา...กำลังจะกลายร่างเป็นงูที่ล่อลวงอดัมกับอีวาให้ละเมิดกฎสวรรค์

เด็กหนุ่มกำช้อนในมือแน่น เขาไม่แน่ใจแล้วว่าควรเหวี่ยงสลักไปเกี่ยวหินเบื้องหน้าแล้วปีนสู่ยอดเขาต่อดีหรือไม่

"ขอฉันชิมสักคำ"

มีก็แต่ออสตินเท่านั้นที่ไม่ล่วงรู้ความคิดวุ่นวายของเด็กหนุ่มเลย ถือวิสาสะเอาช้อนของตัวเองตักเอาครีมเนื้อนุ่มในถ้วยไอศกรีมของกานต์เข้าปาก

"หวานไปหน่อยแต่ก็อร่อยดี"

กานต์จับจ้องไปยังริมฝีปากหยักนิ่ง

ออสตินก็กินเลอะปากเหมือนกัน...

เท่านั้นก็รู้สึกราวกับมีเสียงของซาตานมากระซิบที่ข้างหู บอกให้เขาทำในสิ่งที่ไม่ควรจะทำ

"แด๊ดดี้ครับ"

"หืม?"

"ปากเลอะครับ"

แทนที่จะส่งทิชชูให้ แต่กานต์เลือกที่จะทำแบบเดียวกับที่คนตรงหน้าทำกับเขา

ปลายนิ้วชี้ลากลูบไปบนขอบปากบนตรงรอยหยัก สัมผัสนุ่มทำให้กานต์ลากไล้อย่างอ้อยอิ่ง ก่อนจะกลืนน้ำลายลงคอด้วยความยากลำบาก

ริมฝีปากของออสตินเปรียบเสมือนกับผลแอปเปิลสีแดงสดที่เย้ายวนให้เด็ดชิมก็ไม่ปาน

กานต์อยากจะลองชิมดูสักคำ...

อยากสัมผัส...

อยากรับรส...

อยากรู้ว่ามันจะหวานฉ่ำแค่ไหน…

แต่คงจะทำเช่นนั้นไม่ได้ เด็กหนุ่มถอดใจจากเรื่องนั้น ก่อนจะปาดเอาคราบวิปครีมออก ดึงมือกลับมาแล้วสอดนิ้วชี้นั้นเข้าไปในปาก ดูดดุนกลืนกินวิปครีมเข้าไปพลางทอดสายตาจับจ้องใบหน้าคร้ามของอีกฝ่ายนิ่ง

สายตานั้นฉ่ำเยิ้ม... ราวกับจะยั่วยวนให้คนตรงหน้าหลงใหลในตัวเขา การกระทำนั้นทำให้กานต์แปรเปลี่ยนจากมนุษย์อันเป็นที่รักของพระผู้เป็นเจ้าเป็นเจ้าอสรพิษร้ายที่หมายจะล่อลวงออสตินแทน

หากแต่ออสตินนิ่ง...

ดวงตาสีฟ้านั้นประกายวูบไหวเล็กน้อยเมื่อกานต์ดึงนิ้วออกจากปาก และเมื่อได้ยินเสียงของเด็กหนุ่มดังตามมา...

"อร่อยดีนะครับ"

...เขาก็ว่าเสียงเรียบ

"รีบๆ กินซะ จะได้กลับบ้านกัน ในเมื่อไม่มีโปรแกรมจะไปไหนก็ไปนั่งเล่นที่บ้านดีกว่า"

เท่านั้นความผิดหวังพร่างพรายขึ้นมาในใจของกานต์ดั่งพายุถาโถม

แค่นี้เองเหรอ?

แล้วเขาคาดหวังให้ออสตินมีปฏิกิริยาอะไรกันล่ะ?

เด็กหนุ่มรู้ดีว่าปรารถนาอะไร เขาอยากให้ออสตินแสดงท่าทีอะไรออกมาก็ได้ จะตอบสนองเขาหรือเกรี้ยวกราดใส่ เขาก็ยินดีทั้งนั้น ไม่ใช่นิ่งเฉยราวกับไม่รู้สึกรู้สาอะไรอย่างนี้ ทว่าก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากจะตอบเสียงแผ่ว

“ครับ”

ตั้งหน้าตั้งตากินไอศกรีมถ้วยนั้นจนหมด...

ช่างเป็นของหวานที่...ขมมากทีเดียว

 

ออสตินขับรถมุ่งหน้ากลับบ้าน ทั้งสองไม่พูดอะไรกันสักคำตั้งแต่ตอนนั้น บรรยากาศในขณะขับรถกลับต่างจากตอนมาโดยสิ้นเชิง มันชวนให้อึดอัด แม้ออสตินจะไม่พูดอะไรแต่ก็ทำให้กานต์หายใจแทบไม่ออก

เด็กหนุ่มชักอยู่ไม่สุข กระสับกระส่ายจนแสดงท่าทางออกมาให้อีกฝ่ายได้เห็นด้วยการขยับไปมาบ่อยครั้ง ออสตินเหล่มอง แล้วในที่สุดเขาก็เป็นคนทำลายความเงียบ

“นั่งไม่สบายเหรอ”

เท่านั้นกานต์ก็ใจชื้น ในที่สุดความเงียบอันน่าอึดอัดนี้ก็บรรเทาลงเสียที

“เปล่าครับ”

“แล้วขยับไปมาทำไมบ่อยๆ”

กานต์ไม่รู้จะตอบคำถามนี้อย่างไรดี เพราะในความเป็นจริงแล้ว ที่เขาขยับไปมาไม่หยุดไม่ใช่เพราะนั่งไม่สบาย แต่เป็นใจของเขาที่ไม่สบายจนกระอักกระอ่วนมากกว่า

“คือผม...”

แวบหนึ่งก็คิดว่าจะบอกไปว่าตัวเองเป็นเกย์ แต่พูดได้แค่นั้นก็เงียบไปอีก

กลัวอีกแล้ว...

“เธอทำไม” เห็นอีกฝ่ายเงียบไป ออสตินก็ถามขึ้น

“ไม่มีอะไรครับ”

ไม่ใช่ครั้งแรกที่กานต์เอ่ยขึ้นมาแล้วก็เงียบไป ออสตินรับรู้ได้ถึงความหัวเสียของเด็กหนุ่มที่มีต่อตัวเองจึงไม่ได้สนใจที่จะถามต่อ ทำเพียงบอกเสียงเรียบเท่านั้น

“ถ้าเธอมีอะไรไม่สบายใจแล้วอยากจะบอกฉัน เอาไว้บอกตอนที่เธอพร้อมก็แล้วกัน”

ในเวลาอย่างนี้ ความเข้าใจเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด อย่างน้อยก็ทำให้กานต์ได้รู้สึกว่าออสตินไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เขาคิด

“ครับ”

 

รถเคลื่อนเข้าสู่โรงรถภายในรั้วบ้าน ออสตินดับเครื่อง ปลดล็อกประตู แล้วหันไปมองยังคนข้างกาย

“เข้าบ้านกันเถอะ จะได้พักผ่อน”

กานต์ควรจะพยักหน้าตอบรับ แต่เขากำลังเตรียมใจอยู่

เตรียมใจว่าจะบอก... เขาคิดมาตั้งแต่ที่เอ่ยประโยคสุดท้ายกับออสตินแล้ว ทว่าคงจะเว้นจังหวะนานไปหน่อย ออสตินเห็นว่ายังเงียบอยู่ก็เลยเตรียมตัวจะลงจากรถ แต่แล้วกานต์ก็โพล่งขึ้นมา

“แด๊ดดี้ครับ”

คนถูกเรียกชะงัก หันไปมองก็พบว่ากานต์กำลังสบตาเขาอยู่

“ผมมีเรื่องจะบอก”

เท่านั้นออสตินก็จัดท่านั่งให้เป็นปกติทันใด

“เรื่องอะไร”

“เรื่องของผม”

“ว่ามาสิ”

อีกฝ่ายรอฟังอย่างเต็มที่ กานต์สูดหายใจเข้าเต็มปอด แม้ว่าความหวาดกลัวในปฏิกิริยาของออสตินหลังจากรับรู้ว่ารสนิยมของเขาเป็นอย่างไรจะเกาะกุมจิตใจ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ปริปากออกมาจนได้

“ผมเป็นเกย์ครับ”

ไม่มีเสียงใดหลุดออกมาจากริมฝีปากหยักของออสติน มีเพียงดวงตาที่จับจ้องไปยังใบหน้าอ่อนเยาว์

ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เลย... แต่กลับทำให้กานต์หวั่นใจอย่างถึงที่สุด

แล้วก็ยิ่งทวีเพิ่มมากขึ้นเมื่อจู่ๆ ออสตินก็ลงจากรถ เดินเข้าไปในบ้านโดยไม่ได้หันหลังมามองลูกเลี้ยงแต่อย่างใด

หัวใจของกานต์ร่วงหล่นไปยังตาตุ่ม รีบลงจากรถแล้วก้าวไวๆ ตามอีกคนเข้าไปข้างใน มองซ้ายขวาหาว่าออสตินอยู่ที่ไหน ก่อนหูจะได้ยินเสียงดังก๊อกแก๊กออกมาจากห้องครัว พอโผล่เข้าไปก็เห็นว่าออสตินกำลังล้างมืออยู่

“แด๊ดดี้ครับ...”

ริมฝีปากบางเอ่ยเรียก ออสตินไม่ได้หันมา เอื้อมมือไปกดขวดปั๊มของสบู่เหลวฟอกไปทั่วทั้งมือ

“แด๊ดดี้...”

ยังไม่หันมาอยู่ดี ล้างฟองสบู่เหล่านั้นออกด้วยน้ำสะอาดจากก๊อก ท่าทางนิ่งเฉยนั้นทำให้คนมองใจไม่ดีหนัก

กำลังโกรธอยู่หรือเปล่า? โกรธใช่ไหม?

คิดวุ่นวายสับสนไปหมด มือทั้งสองข้างบีบเข้าหากัน ในใจหวั่นเหลือเกินว่าอีกฝ่ายจะโกรธจนไม่ยอมมองหน้าหรือพูดด้วยอย่างเคย ขณะที่ออสตินเดินมาดึงกระดาษทิชชูบนโต๊ะเช็ดมือก่อนจะโยนลงถังขยะ แล้วเอ่ยขึ้นมา

“เธอบอกว่าเธอเป็นเกย์เหรอ”

กานต์หันขวับไปมองทันที

“คะ...ครับ”

“แล้วมันทำไมล่ะ”

ได้ยินคำถามนี้ กานต์ก็อึกๆ อักๆ ไปต่อไม่ถูก

“กะ...ก็ผม...”

“มันทำไม”

“ผมกลัวว่าแด๊ดดี้จะรับไม่ได้”

“อืม” ออสตินครางออกมาแค่นั้น ก่อนจะก้าวเข้าหาจนกระทั่งมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเด็กหนุ่ม “เธอก็เลยกังวลล่ะสินะ”

กานต์ไม่ปฏิเสธ ตอบรับด้วยการพยักหน้าทันที

“กังวลว่าฉันจะดุหรือเกลียดเธอใช่ไหม”

กานต์พยักหน้ารับไปอีกที ตอนนี้เขามีสภาพไม่ต่างจากเด็กเล็กๆ เลยแม้แต่น้อย มองใบหน้าคร้ามด้วยสายตาใสซื่อ รอให้ออสตินพูดประโยคอะไรก็ได้ออกมาอีกเพื่อให้เขาสบายใจขึ้นกว่าเดิม หากแต่ออสตินไม่พูดอะไรสักคำ นอกจากจะยกมือขึ้นจับปลายคางมนของเด็กหนุ่มให้เงยขึ้นสบตาเขา

ดวงตากลมสีนิลสบประสานกับนัยน์ตาอัลมอนด์สีน้ำทะเล ความเงียบงันทำให้เวลาภายในห้องครัวหยุดนิ่ง จะมีก็แต่ออสตินเท่านั้นที่ไม่ได้หยุดตาม เขาใช้ปลายนิ้วโป้งแตะลงไปเบาๆ บนกลีบปากสีเชอร์รี่ของเด็กหนุ่ม กดและลูบเบาๆ ไปทั่วทั้งริมฝีปากบนและล่าง

กานต์ตกใจอยู่ไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้ขยับไปไหน ทำเพียงเบิกตาโตขึ้นมา แต่แล้วก็ต้องแปรเปลี่ยนเป็นรู้สึกร้อนรุ่มแทนเมื่อออสตินออกแรงกดปลายนิ้วสากลงมาอีก

กด...และดุนดันเข้าไปในปาก ลากไปตามแนวฟันขาว

วูบหนึ่งกานต์ก็รู้สึกมันเขี้ยวขึ้นมา ปากอ้าขึ้นโดยอัตโนมัติ ก่อนจะใช้ฟันคมๆ งับลงมาบนนิ้วนั้นไม่แรงนัก งับแล้วก็เหลือบมองสีหน้าของอีกฝ่ายว่าออสตินอนุญาตให้เขาทำแบบนี้ได้หรือไม่ ทว่าออสตินกลับไม่พูดอะไร ดันปลายนิ้วเข้าไปด้านในอีกก่อนจะวางมันลงบนลิ้นนุ่ม

ถือว่าเป็นการอนุญาตก็แล้วกัน...

เด็กหนุ่มขยับปลายลิ้นโลมไล้นิ้วโป้งข้างนั้น ดูดดุนอย่างกระหาย ความรู้สึกอัดแน่นที่อยู่ภายในจิตใจปะทุขึ้นมาในตอนนี้ เขาแสดงออกอย่างชัดเจนว่าต้องการให้ออสตินสัมผัสแค่ไหน เมื่อออสตินถอดถอนนิ้วออกมาจากโพรงปากแล้ว เด็กหนุ่มก็ใช้สองมือยกขึ้นมาจับมือของคนตรงหน้าเอาไว้ อิงแอบแนบแก้มลงไป หลับตาพริ้มราวกับว่าทุกความปรารถนาได้รับการตอบสนองในตอนนี้อย่างหมดสิ้น

ออสตินปล่อยให้กานต์ได้ทำอย่างนั้นอยู่อีกครู่ ก่อนที่จะเอ่ยออกมา

“กานต์”

กานต์ลืมตาขึ้นมอง มือยังคงไม่ปล่อยจากอีกฝ่าย

“ฉันรู้แล้วว่าเธอเป็นเกย์”

“...”

“แล้วฉันก็รู้ด้วยว่าเธอคิดอะไรกับฉัน ร่างกายของเธอบอกฉันหมดแล้วตั้งแต่วันนั้น”

วันนั้น...หรือว่าจะเป็นวัน...

“ถ้าฉันไม่รู้ ฉันคงจะไม่ใช้ให้เธอไปชงน้ำผึ้งมะนาวมาให้ฉันหรอก”

กานต์เบิกตาโตทันที “คุณรู้!?”

ออสตินไม่พูดอะไรในทันที ปล่อยให้กานต์ได้อึ้งงันอยู่อีกครู่ รับรู้ความอับอายจนใบหน้าร้อนฉ่าจนทำอะไรต่อไม่ถูก ก่อนที่จะว่าออกมา

“ฉันเข้าใจความรู้สึกของวัยรุ่นอย่างเธอดี มันเป็นช่วงที่ฮอร์โมนพลุ่งพล่าน จะคิดอะไรอย่างนั้นมันก็ไม่แปลก แต่ก็อยากจะบอกเธอเอาไว้อย่างหนึ่ง”

“...”

“เราเป็นครอบครัวเดียวกัน มันไม่ควรจะเกิดเรื่องแบบนี้”

เท่านั้นกานต์ก็พูดไม่ออก ออสตินไม่ได้พูดอะไรผิด มันถูกต้อง

เขาเป็นครอบครัวเดียวกัน... คนในครอบครัวเดียวกันไม่ควรจะมีความรู้สึกแบบนี้

“ฉันไม่ได้รังเกียจไม่ว่าเธอจะเป็นอะไร”

“...”

“แต่ความรู้สึกของเธอที่มีต่อฉัน...เก็บมันเอาไว้ สักวันเธอจะได้เจอคนที่มีความรู้สึกแบบนี้ด้วย สำหรับฉัน ขอแค่ความรู้สึกเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันก็พอแล้ว”

เป็นการปฏิเสธโดยอ้อมและถนอมน้ำใจที่สุด กานต์เข้าใจดี เขาไม่นึกโทษออสตินเลยที่จะพูดออกมาแบบนี้

ลงเอยแบบนี้ก็ดีแล้ว เขาจะได้หายคิดฟุ้งซ่านลงไปได้บ้าง

“ไปพักผ่อนเถอะ วันนี้เธอน่าจะเหนื่อย ไว้มื้อเย็นค่อยลงมา”

เป็นการไล่โดยอ้อมอีกเช่นกัน กานต์ก็ไม่โต้แย้งใดๆ พยักหน้ารับ ปล่อยมือออกจากฝ่ามือของคนตรงหน้า หมุนตัวกลับออกจากห้องครัวแล้วรีบวิ่งขึ้นไปที่ห้องตัวเองอย่างรวดเร็ว

ปิดประตูแล้วก็ยืนพิง ยกมือขึ้นลูบหน้า ในใจคิดวุ่นวายไม่ตกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่

ไม่น่าเลย...เขาไม่น่าทำแบบนั้นเลย

แม้สิ่งที่เขาทำมันจะเป็นบาปบริสุทธิ์ด้วยการกระทำทั้งหมดนั้น เขาไม่ได้ตั้งใจที่จะทำมันตั้งแต่แรก ทว่าเป็นเพราะจิตใต้สำนึกส่วนลึกผลักดันให้ความปรารถนาของเขาพวยพุ่ง ทุกอย่างมันถึงได้เลยเถิด

ทว่ากานต์ก็เลิกคิดถึงสัมผัสที่แตะลงมาบนริมฝีปากเขาไม่ได้เลย

เด็กหนุ่มเม้มริมฝีปาก เลียไปมาแผ่วเบา หลับตาคิดถึงช่วงเวลานั้นราวกับว่าไม่อยากให้มันหลุดลอยหายไป

รสชาตินี้...ถ้าเป็นไปได้ เขาก็อยากจะลิ้มลองมันไปทุกวัน...

บาปนี้...ไม่ว่าจะบริสุทธิ์เพียงใด แต่มันคงจะไม่บริสุทธิ์อีกแล้วถ้าหากเด็กหนุ่มยังหยุดคิดหมกมุ่นเรื่องของออสตินไม่ได้สักที

-----------------------------------

ที่เว็บอื่นอัปตอนนี้ไปแล้ว มาอัปในเล้าให้อีกทีค่ะ
หวังว่าจะชอบกันนะคะ ^^


ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
 
โธ่ แด๊ดดี้คะ การกระทำสวนทางจริงๆ เล่นอ่อยเด็กซะขนาดนั้นใครจะไม่เคลิ้มกันเนี่ย
สงสารก็แต่กานต์ จะเป็นยังไงต่อกัน จะเหมือนไม่มีไรเกิดขึ้น ต่างคนต่างอยู่ครอบครัวสุขสันต์หรือจะมีตัวแปรอย่างอื่นเข้ามาเพิ่ม

แต่แด๊ดดี้ก็เซ็กซี่จริงๆเลย ใครจะอดใจไหวล่ะนั่น  :hao6:
ขอบคุณค่ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด