Chapter 14: Kiss me, please
เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้นมันรบกวนจิตใจของเด็กหนุ่มเป็นอย่างมาก เขาไม่สามารถจะแสร้งทำตัวเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้อย่างที่ออสตินทำ ต่อให้มันจะผ่านมาหลายวันและออสตินจะไม่พูดถึงเรื่องนี้เลยก็ตามที แต่ในหัวของกานต์กลับมีภาพนั้นฉายซ้ำไม่จบสิ้น
อีกฝ่ายจูบเขา...
ออสตินจูบเขา...
ภาพความทรงจำในวันนั้นฉายซ้ำวนไปวนมา กานต์อึดอัดกับการเผชิญหน้าออสตินโดยที่พูดถึงเรื่องนี้ไม่ได้เหลือเกิน ยิ่งอีกฝ่ายทำทุกอย่างตามปกติ เขาก็ยิ่งอึดอัด
ให้ตายเถอะ! จะเป็นแบบนี้ไปถึงเมื่อไร!
กานต์คว้าหมอนมาปิดใบหน้า ส่งเสียงร้องโวยวายอัดใส่เป็นการระบายอารมณ์ เมื่อครู่นี้ก็เพิ่งเจอหน้ากับออสตินที่ชั้นล่างมา วันนี้อีกฝ่ายก็ยังวางท่าทางปกติ ไม่พูดถึงเรื่องจูบในวันนั้นสักนิด
เขาจะทนไม่ไหวแล้วนะ!
ไม่ใช่ว่าจะทนไม่ไหว เขาทนไม่ไหวแล้วต่างหาก
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากหมอน ตั้งใจมั่นว่าไม่ว่าอย่างไร วันนี้ก็ต้องคุยเรื่องนี้ให้รู้เรื่อง!
คิดได้ดังนั้นก็รีบก้าวออกจากห้อง ลงมายังชั้นล่างก็เห็นออสตินกำลังนั่งพับแขนเสื้ออยู่ที่โซฟา กานต์ยืนมองชายหนุ่มอยู่ที่บันไดนิ่ง ในใจหวั่นเล็กน้อยที่จะต้องพูดเรื่องนั้นออกไป จึงใช้เวลาเตรียมตัวเตรียมใจในการพูดอยู่นานพอสมควร
นาน...จนทำให้ออสตินต้องเหลือบมามอง
“มีอะไรกานต์”
เป็นออสตินที่ออกปากเสียอย่างนั้น ดวงตาคู่สวยที่จับจ้องมาทำให้กานต์ต้องกลืนน้ำลายเอื้อก แต่ก็ยังไม่พูดอยู่ดี
“ถ้าไม่พูด ฉันจะเข้าครัวละนะ”
ไม่พูดเปล่า ออสตินยังผุดลุกขึ้นจากโซฟา ทำให้กานต์ต้องรีบโพล่งออกมาทันใด
“พูดครับพูด” จากนั้นก็รีบก้าวเร็วๆ ลงมายืนข้างล่าง ตรงเข้าไปหยุดอยู่หน้าออสติน “คือ...ผม...”
“คืออะไร”
ท่าทางอึกๆ อักๆ นั่นทำให้ออสตินต้องเค้นถาม กานต์หลุบสายตาไปทางอื่นเล็กน้อย ก่อนที่ปากจะเอ่ยออกมา
“ผมอยากคุยเรื่องวันนั้น”
วันนั้นคือวันไหน ออสตินรู้อยู่แก่ใจ เขารู้อยู่แล้วด้วยซ้ำว่าสักวัน เด็กหนุ่มตรงหน้าจะต้องมาพูดเรื่องนี้ ทว่าเขากลับ...
“เรื่องวันไหน”
...แสร้งทำเป็นไม่รู้
กานต์เบือนสายตามามองทันควัน “เรื่องวันนั้นไงครับ”
“ฉันไม่รู้ว่าเธอพูดถึงเรื่องอะไร”
เด็กหนุ่มเม้มริมฝีปาก กะไว้อยู่แล้วเชียวว่าพ่อเลี้ยงของเขาจะต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องอย่างนี้ ถ้าอย่างนั้นเขาจะพูดตรงๆ แล้วกัน
“เรื่องที่เราจูบกันวันที่แด๊ดดี้สอนผมเรื่องเซฟเซ็กซ์ จำได้หรือยังครับ”
ออสตินดูนิ่งเฉย แต่แววตาของเขากระตุกวูบไปแวบหนึ่งด้วยไม่คิดว่าเด็กอย่างกานต์จะกล้าพูดออกมาตรงๆ ทว่าก็แค่ครู่เดียวเท่านั้นก่อนจะหายไปโดยที่คนตรงหน้าเขาไม่ทันได้สังเกตเลยแม้แต่น้อย
“ฉันจำไม่ได้ เธอก็ควรจะลืมมันไปได้แล้ว คิดซะว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น ฉันจะเข้าครัว จะได้กินมื้อเย็นกัน”
พูดจบก็ผุดลุกจากโซฟา เดินผ่านร่างเด็กหนุ่มไป ทำเอากานต์กำมือแน่น กรุ่นโกรธอยู่ในอกที่ถูกเมินเฉยใส่แบบนี้
อะไรไม่ว่า...ให้เขาลืมมันไป ให้คิดว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้นเหรอ?
ตัวเองเป็นคนเริ่มแท้ๆ อย่ามาทำเป็นไม่รู้เรื่องได้ไหม ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ต้องรับผิดชอบที่ทำให้กานต์ว้าวุ่นใจอยู่ตลอดหลายวันที่ผ่านมาอย่างนี้!
“อย่าเดินหนีผมได้ไหม ยังไงเราก็ต้องคุยกันนะ แด๊ดดี้จะมาจูบผมแล้วทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างนี้ไม่ได้ ในเมื่อระหว่างเรามันมีเรื่องนั้นเกิดขึ้น! เราจูบกัน!”
กานต์โวยวาย ไม่ยอมเชื่อฟังอย่างเคย เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่เด็กหนุ่มเสียงดังใส่ผู้มีอุปการคุณ ทำเอาออสตินที่กำลังจะเดินเข้าครัวหันขวับกลับมามองสีหน้าไม่พอใจของอีกฝ่ายทันที
“งั้นก็ว่ามา อยากจะคุยอะไร”
แขนทั้งสองข้างยกขึ้นกอดอก ปรายตามองเด็กหนุ่มนิ่งจนคนที่ตั้งใจจะพูดต้องกลืนน้ำลายลงคอเอื้อกด้วยความหวาดหวั่น ทุกครั้งที่ถูกออสตินมองด้วยสายตาแบบนี้ อะไรที่ตั้งใจจะพูดจะทำก็เป็นอันต้องมลายหายไปทุกที
แต่ไม่ใช่กับครั้งนี้ ไม่ว่าอย่างไร กานต์ก็จะต้องพูด!
“เรื่องที่เราจูบกันวันนั้น แด๊ดดี้จะทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ เหรอครับ”
กานต์ผ่อนเสียงลงมาแล้ว และการถูกถามตรงๆ ก็ทำให้ออสตินสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่
“ใช่”
เขาก็ไม่ได้อยากทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก แต่มันต้องเป็นอย่างนั้น ระหว่างเขากับเด็กหนุ่มตรงหน้ามันไม่สามารถเกินเลยอะไรไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว แค่การพลั้งเผลอไปเป็นครั้งที่สองก็ทำให้เขาคิดโน่นคิดนี่มากมายจนปวดหัวมาถึงวันนี้แล้วล่ะ
หากแต่คำตอบของออสตินกลับไม่เข้าหูกานต์เลยแม้แต่น้อย เด็กหนุ่มชักสีหน้า โวยวายออกมาน้อยๆ
“ทั้งๆ ที่แด๊ดดี้เป็นคนจูบผมน่ะนะ เป็นคนเริ่มก่อนด้วย”
เรื่องนั้นก็จริง ออสตินรู้สึกราวกับถูกพูดแทงใจดำอยู่ไม่น้อย แต่ก็ตอบรับไปอีกครั้ง
“ใช่”
กานต์ไม่เคยหงุดหงิดกับท่าทางเฉยเมยของพ่อเลี้ยงตนมาก่อนเลย เขาหัวเสียมากกว่าเดิมแล้ว จนเผลอกัดริมฝีปาก กำมือแน่นโดยไม่รู้ตัว
ทำไมออสตินจะต้องทำอย่างนี้กับเขาด้วย!
ความกรุ่นโกรธพร่างพรายไปทั่วร่าง ลมหายใจหอบหนักขึ้นมาน้อยๆ ราวกับกำลังจะระงับอารมณ์ หลังจากที่ถูกจูบในวันนั้น กานต์ก็เอาแต่คิดครุ่นเรื่องความสัมพันธ์และความรู้สึกระหว่างเขากับออสตินแทบจะตลอดเวลา จะมีก็แต่ออสตินเท่านั้นที่แสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยิ่งได้ยินสิ่งที่เขาพูดเมื่อครู่นี้ เขาก็ยิ่งโกรธ
ทำไมถึงไม่ยอมเข้าใจอะไรบ้างเลยว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้นนั้น มันไม่ใช่เรื่องที่จะให้เขาทำตัวเป็นปกติได้ ออสตินเองก็รู้ว่ากานต์คิดอย่างไรกับตน มาจูบเขาแล้วจะให้ทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นเนี่ยนะ ให้ตายเถอะ! นี่มันแกล้งกันชัดๆ!
ถ้าจะทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วจะจูบเขาทำไมตั้งแต่แรก!
“แด๊ดดี้ไม่คิด แต่ผมคิด!”
เสียงของเด็กหนุ่มที่โพล่งออกมาในคราวนี้ดังกว่าปกติ เรียกรอยย่นที่ระหว่างคิ้วให้กับออสตินเป็นอย่างดี
“คิดอะไร”
“ยังจะต้องถามอีกเหรอครับ”
ออสตินไม่ตอบ เขารู้แต่ทำเพียงยืนมองกานต์สูดลมหายใจเข้าปอดอีกครั้ง ก่อนจะว่า
“ผมคิดอะไร แด๊ดดี้ก็น่าจะรู้ แล้วก็คงจะรู้ด้วยว่าผมมองแด๊ดดี้ยังไง ผมเป็นเกย์ ผมชอบผู้ชาย แล้วผู้ชายคนที่ผมชอบในตอนนี้ก็คือแด๊ดดี้ แด๊ดดี้รู้ใช่ไหม”
“ฉันไม่รู้ ไม่รู้ด้วยว่าเธอกำลังพูดเรื่องอะไร” ออสตินยังคงแกล้งเฉไฉ
“ให้ตาย! เข้าใจสถานการณ์หน่อยสิครับ”
แต่กานต์ไม่ยอมอีกแล้ว เขาทนอยู่กับสถานการณ์นี้ไม่ไหวอีกต่อไป ทุกวันต้องคิดถึงรสจูบนั้น ทุกคืนต้องโหยหาไออุ่นจากผู้ชายคนนี้ มันทำให้เขาทรมานเจียนจะขาดใจตายอยู่แล้ว
เขาทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว!
เด็กหนุ่มที่ไม่เคยดื้อรั้นเลยสักครั้ง ทว่าตอนนี้กลับกำลังขึ้นเสียงใส่เขาอยู่ ทำให้ออสตินเลิกที่จะแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น อีกอย่าง ถึงคนตรงหน้าจะยังเป็นเด็ก แต่ก็ไม่ใช่เด็กอมมือที่จะหลอกอะไรง่ายๆ เขาจึงยอมที่จะตามเกมของอีกฝ่าย
“ถ้าฉันเข้าใจ แล้วเธออยากจะพูดอะไร”
ในที่สุดก็เข้าเรื่อง เท่านั้นกานต์ก็รีบว่าเร็วๆ ทันที
“ผมอยากจะรู้ว่าทำไมแด๊ดดี้ถึงจูบผม”
ทำไมน่ะเหรอ? นั่นสิ... ออสตินคิดครุ่นไปครู่ ก่อนจะได้คำตอบให้กับตัวเองว่านั่นก็เพราะ...เขารอคอยอีกฝ่ายมานานแล้ว
รอที่จะเจอ...
รอที่จะได้เห็นรอยยิ้ม...
รอที่จะได้ฟังเสียงหัวเราะ...
และตอนนี้ก็รอ...ที่จะได้สัมผัส
หากแต่ไม่พูดออกไป ทำให้กานต์ต้องถามออกมาอีก
“ว่าไงล่ะครับ จูบผมทำไม”
ถามไปก็ใจเต้นไป ขณะที่ออสตินไม่คิดที่จะเอ่ยปากบอกเรื่องที่อยู่ในใจตัวเอง
“รู้แล้วได้ประโยชน์อะไรไหม”
สุดท้ายก็ถามกลับ กานต์ชักสีหน้าทันที ก่อนจะพยักหน้ารับ
“ได้สิครับ ได้แน่”
“ประโยชน์อะไร”
“เพราะผมจะได้รู้ว่าผมจะมีโอกาสได้จูบกับแด๊ดดี้อีกไหม”
พอพูดออกไปตรงๆ อย่างนี้ ออสตินก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกของเด็กหนุ่มที่มีต่อเขาได้อย่างชัดเจน ที่เคยคิดว่าการที่กานต์รู้สึกกับเขาเกินเลยเป็นเรื่องของความอยากรู้อยากลอง ตอนนี้ดูท่าแล้วไม่น่าจะใช่ เพราะทั้งคำพูด สีหน้า และแววตาที่กานต์เผยออกมา มันชัดเจนมากทีเดียวว่าต้องการเขาแค่ไหน
“ขอร้องล่ะครับแด๊ดดี้ ตอบผมหน่อย”
เห็นออสตินไม่พูดสักที น้ำเสียงอ้อนวอนก็หลุดออกจากปาก ออสตินลำบากใจที่จะตอบไป ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากทำ เขาอยากทำจะแย่ แต่ว่า...
"แต่ฉันเป็นพ่อของเธอ เราทำเรื่องแบบนั้นไม่ได้ เลิกคิดเรื่องนี้ซะ"
พอพูดไปอย่างนั้น ความเงียบก็เข้าครอบงำทั้งคู่ เด็กหนุ่มเหลือบมอง หัวเราะในลำคอขึ้นมาราวกับเดาได้ว่าออสตินจะต้องพูดอย่างนี้
"ก็แค่พ่อเลี้ยงหรือเปล่า ไม่ได้เลี้ยงผมมาด้วยซ้ำ เพิ่งจะรู้จักตอนที่แม่ตายแล้ว"
"อย่างน้อยฉันก็ถือว่าเป็นผู้ปกครอง"
"ผมอยากให้แด๊ดดี้จูบผมนี่ครับ"
“เธอกลายเป็นเด็กดื้ออย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไร”
ออสตินไม่ชอบเลยที่กานต์มาต่อล้อต่อเถียงแบบนี้ แต่จริงๆ แล้วมันก็เป็นความผิดของเขาเองนั่นแหละที่ไม่รู้จักระงับอารมณ์ในวันนั้น พอเห็นว่ากานต์เงียบไปแล้วพร้อมกับสีหน้าสลด เขาก็ถอนหายใจออกมา
“โอเคกานต์ บอกฉันว่าเธอต้องการอะไร”
“ผมอยากให้แด๊ดดี้จูบผม” กานต์ว่าเสียงแผ่ว แต่เป็นความต้องการจากใจจริง
ออสตินขบกรามแน่น เห็นดวงตาเว้าวอนคู่นั้นแล้วก็ต้องสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ
อยากให้เขาจูบอย่างนั้นเหรอ?
แล้วคิดหรือไงว่าเขาไม่อยากครอบครองริมฝีปากสีเชอร์รี่นั่น?
แต่ที่ทำไม่ได้เป็นเพราะอะไร ทั้งเขาและกานต์ก็รู้ดีอยู่แก่ใจ...
“ฉันเป็นพ่อเลี้ยงของเธอ เธอเป็นลูกเลี้ยง เป็นลูกของภรรยาที่ล่วงลับของฉัน เราเป็นครอบครัวเดียวกัน ยังจำได้ใช่ไหม”
พอพูดย้ำออกมาอย่างนี้ กานต์ที่รอคอยคำตอบอยู่ก็รู้สึกผิดขึ้นมาน้อยๆ ไม่ได้ที่มาคาดคั้นเอาคำตอบจากอีกฝ่าย ก่อนจะพยักหน้ารับพลางตอบเสียงแผ่ว
“ครับ จำได้ แต่ว่า...”
“แต่อะไร”
“ผมไม่ได้รู้สึกว่าแด๊ดดี้เป็นครอบครัวเดียวกับผมนี่ครับ”
ออสตินพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรงอย่างไม่ปกปิด
พระเจ้า! พระเจ้า! พระเจ้า!
เขาพยายามแทบตายที่จะมองเด็กคนนี้เป็นครอบครัวเดียวกันกับเขา พยายามบอกตัวเองว่าอย่าได้ทำอะไรพลาดพลั้ง แต่พออีกฝ่ายพูดมาอย่างนี้ ทุกอย่างที่เขาตั้งใจไว้ก็พังทลายลงไม่เป็นท่า
ก็อย่างว่า...เขาเคยเห็นเด็กหนุ่มตรงหน้าเป็นครอบครัวเดียวกันกับเขาที่ไหนกันล่ะ!
“เธอรู้ตัวไหมว่าพูดอะไรออกมา”
กานต์พยักหน้า เขามั่นใจว่ามีสติสัมปชัญญะครบถ้วนทุกครั้งที่พูดแต่ละประโยคออกไป
“แน่ใจแล้วใช่ไหมที่พูดอย่างนี้”
กานต์พยักหน้าอีก แต่ในใจกลับหวั่นขึ้นมาน้อยๆ กับสายตาของออสตินที่จับจ้องมาอย่างดุดัน
“รู้ใช่ไหมว่าสถานะทางสังคมเราเป็นยังไง รู้ใช่ไหมว่ามันผิด”
ยิ่งถูกถาม กานต์ก็ยิ่งใจเสีย จนเขาต้องเป็นฝ่ายปริปาก
“แด๊ดดี้จะไล่ผมกลับไทยหรือเปล่าครับ”
น้ำเสียงนั้นฟังแล้วช่างน่าสงสาร ในขณะเดียวกันก็ฟังดูน่าขบขันกับความโง่เขลาของเด็กหนุ่มที่เพิ่งจะมาสำนึกในการกระทำของตัวเองในตอนนี้ หากแต่ออสตินเก็บทุกความรู้สึกนั้นไว้ในใจ ค่อยๆ ก้าวเข้าไปใกล้จนกานต์ต้องถอยหลังหนี จนกระทั่งแผ่นหลังถอยไปชนกับกำแพงซึ่งอยู่แถวนั้น
ตอนนี้ออสตินอยู่ห่างเพียงแค่ช่วงแขนเท่านั้น กานต์เพิ่งจะสำนึกในตอนนี้เองว่าร่างกายของออสตินสูงใหญ่กว่าเขาอยู่โข ถึงเขาจะสูงถึงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้าเซนติเมตร แต่พอเทียบกับออสตินแล้ว เขาสูงแค่ปลายคางของคนตรงหน้าเท่านั้น
ทว่านั่นก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญที่จะนึกถึง ตอนนี้กานต์รู้เพียงแต่ว่าก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความกลัว ตื่นเต้น หรืออะไรกันแน่ ที่รู้ๆ คือมันทำให้เขาปั่นป่วนในช่องท้องไปหมด
“ฉันไม่ไล่เธอกลับไทยหรอก” ออสตินตอบออกมาหลังจากเงียบไปครู่ “แต่ฉันจะถามอะไรเธอสักอย่าง ขอให้เธอตอบออกมาให้ชัดเจน เข้าใจไหม”
เด็กหนุ่มพยักหน้าหงึกหงัก เขาไม่ตอบได้ด้วยเหรอ? พลันสูดหายใจเข้าเต็มปอด รอให้ออสตินถาม
“เมื่อกี้เธอพูดว่าอยากให้ฉันทำอะไร”
ถามออกมาแล้ว... กานต์ค่อยๆ เปิดปากว่าเสียงแผ่ว
“ผม...อยากให้แด๊ดดี้จูบครับ”
“อยากให้ฉันจูบ...แสดงว่าเธอไม่สนใจว่าฉันจะเป็นพ่อเลี้ยงของเธอใช่ไหม”
คราวนี้ไม่ได้ตอบออกมาเป็นคำพูด กานต์พยักหน้ารับแทน
“ในสายตาของเธอ เธอไม่ได้มองว่าฉันเป็นพ่อเลี้ยงเลยใช่ไหม”
สำหรับคำถามนี้ กานต์นิ่งไปครู่ เหลือบมองหน้าคนตรงหน้าแล้วก็พยักหน้ารับช้าๆ
ออสตินไม่พูดอะไร มีเพียงรอยย่นระหว่างคิ้วที่ปรากฏให้เห็น กานต์เข้าใจว่าอีกฝ่ายคงจะไม่พอใจ จึงรีบเอ่ยปาก
“ผมขอโทษครับ”
แล้วก็ก้มหน้างุด รู้สึกแย่กับตัวเองไม่น้อยที่เอาแต่ใจ ไม่คิดถึงความเหมาะสมหรือถูกผิด จนทำให้ออสตินต้องลำบากใจ
ออสตินเอื้อมมือไปเชยปลายคางของอีกฝ่ายขึ้นให้สบตา เขาพอจะรู้ว่ากานต์รู้สึกอย่างไร แต่ในเมื่อเป็นคนพูดออกมาเองอย่างนั้น เขาก็จะถือว่าไม่ใช่เขาที่เริ่ม
"เธอไม่เห็นฉันเป็นพ่อเลี้ยง”
“...”
“ไม่เคยเห็นฉันเป็นพ่อเลี้ยงเลย”
“ผม...”
“แล้วอย่ามาเสียใจทีหลัง”
ทั้งๆ ที่กานต์พยายามจะหาข้อแก้ตัวแท้ๆ แต่ออสตินก็ไม่เปิดโอกาสให้พูด โพล่งแทรกขึ้นมาอย่างเดียวไม่พอ ยังถลาเข้ามาหา ประกบริมฝีปากลงไปบนเรียวปากนุ่ม เข้าครอบครองอย่างกระหาย
กานต์ออกจะตกใจอยู่ไม่น้อย ดวงตาเบิกโพลงมองใบหน้าคร้ามคมที่อยู่ใกล้เพียงปลายจมูก มือทั้งสองยกขึ้นผลักไสตามสัญชาตญาณ หากแต่กลับถูกออสตินจับข้อมือทั้งสองข้างไว้มั่น ก่อนจะขึงพืดไปบนกำแพงขณะที่ริมฝีปากยังบดจูบไม่หยุด
เสี้ยววินาทีนี้เองที่กานต์เริ่มตั้งสติได้แล้ว เขาไม่ขัดขืนอีกต่อไป เผยอริมฝีปากตอบรับรสจูบนั้นอย่างโหยหา ปล่อยให้ออสตินได้แทรกปลายลิ้นเข้ามาด้านใน เกี่ยวกระหวัดราวกับจะผสานเป็นหนึ่งเดียว
ออสตินคลายข้อมือทั้งสองข้างของกานต์ออก เลื่อนมาคว้าเอวสอบของคนตรงหน้าแทน ก่อนที่จะดึงเข้าหาตัว กระบดเบียดแนบชิดจนกานต์สัมผัสได้ถึงไออุ่นจากร่างกายของคนตรงหน้าผ่านเนื้อผ้า จากนั้นก็ต้องตกใจเมื่อจู่ๆ ร่างของตนเองก็ลอยหวือขึ้นจากพื้น
ออสตินดึงเขาไปที่โต๊ะอาหาร อุ้มขึ้นไปนั่งแล้วจูบบดเบียดไม่หยุดหย่อน มือของเขากวาดเอาข้าวของที่เกะกะอยู่แถวนั้นลงพื้น เสียงขวดพริกไทยและเกลือแตกดังมาให้ได้ยิน หากแต่ไม่มีใครสนใจที่จะไปเก็บกวาด นอกจากจะจดจ่อกับการจูบหนักหน่วงนี้เท่านั้น
ออสตินถอนริมฝีปากออกมา สายตาดูจะพึงใจที่เห็นเรียวปากนุ่มของกานต์บวมแดงขึ้นมาน้อยๆ จากการรุกรานของเขา ก่อนที่จะประทับจูบลงไปบนซอกคอหอมกรุ่น กานต์เงยหน้าขึ้นตอบรับสัมผัสนั้น แต่เพียงครู่เดียว ริมฝีปากของกานต์ก็ถูกครอบครองอีกครั้ง
กานต์พอใจมาก... มือเอื้อมไปแกะกระดุมเสื้อของชายหนุ่มตรงหน้าอย่างร้อนรน พลันสอดฝ่ามือเข้าไปลูบไล้แผ่นอกแกร่งด้วยความปรารถนา
ยิ่งจูบ...ยิ่งลึกซึ้ง...
ยิ่งจูบ...ยิ่งได้สัมผัส...
ยิ่งจูบ...ความปรารถนาในกายของเด็กหนุ่มก็ยิ่งพุ่งทะยานจนถึงขีดสุด...
เขาไม่ต้องการแค่จูบแล้ว เขาอยากได้มากกว่านี้
อยากให้ออสตินสัมผัส...
ทำอะไรก็ได้ ทำตามที่ใจปรารถนาได้เลย เขายอมหมดทุกอย่างแล้ว...
หากแต่ความหวังนั้นก็ต้องมลายหายไปเมื่อออสตินถอนริมฝีปากออกมาในที่สุด เขาจ้องมองใบหน้าของเด็กหนุ่มที่ดูจะยั่วยวนให้เขาทำต่อครู่หนึ่ง ก่อนจะใช้ปลายนิ้วหัวแม่มือแตะลงไปเบาๆ บนริมฝีปากที่ขึ้นสีแดงกว่าปกติ พลางว่าเสียงเบา
“วันนี้พอแค่นี้”
ดั่งเป็นคำเตือนให้เด็กหนุ่มหยุดคิดที่จะให้เขาทำอะไรเกินกว่านั้น กานต์เม้มริมฝีปาก หัวคิ้วย่นยู่อย่างขัดใจ
“พอกานต์ แค่จูบ เธอขอฉันแค่จูบ”
ออสตินว่าเหมือนกับรู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไร กานต์ถึงได้ยอมจำนน
“ครับ” แต่ก็ใช่ว่าจะยอมจำนนง่ายๆ ถามขึ้นมาอีก “ถ้าวันหลัง ผมไม่ได้ขอแด๊ดดี้แค่จูบ...”
ถามไม่จบ ไม่กล้าพูดต่อ แต่ออสตินเข้าใจชัดเจนว่าหมายถึงอะไร
“แค่จูบ”
เขาย้ำไป กานต์เลยถอนหายใจออกมา ท่าทางนั้นทำให้ออสตินเอ็นดูอยู่ไม่น้อยจนต้องวางมือลงบนกระหม่อมแล้วออกแรงยีเบาๆ
“แต่จะให้จูบทุกวัน โอเคไหม”
คนฟังถึงกับเบิกตาโต “ผมไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหมครับ?”
“ใช่” ออสตินหัวเราะในลำคอ แต่กานต์ก็ยังไม่เข้าใจสักเท่าไรนักว่าทำไมออสตินถึงยอมง่ายๆ
“แต่แด๊ดดี้บอกว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ผมเป็นลูกเลี้ยง ส่วนแด๊ดดี้เป็น...”
“ในเมื่อเธอไม่ได้มองว่าฉันเป็นพ่อเลี้ยง แล้วฉันจะบังคับเธอทำไม เพราะจริงๆ แล้ว ฉันเองก็ไม่ได้มองว่าเธอเป็นลูกเลี้ยงเหมือนกัน”
ออสตินว่าสวน กานต์พอจะเข้าใจได้แล้วว่าทำไมอีกฝ่ายถึงยอมจูบเขา แม้ว่าจะไม่เข้าใจลึกซึ้งสักเท่าไรก็ตามว่าจริงๆ แล้ว ออสตินคิดอะไรอยู่
“แต่เรื่องนี้จะต้องเก็บเป็นความลับ ยังไงเราก็ต้องรักษาสถานะทางสังคม ฉันไม่ได้เป็นพ่อเลี้ยงในสายตาเธอแล้วก็จริง แต่คนนอกยังเห็นเป็นอย่างนั้น ยังไงฉันก็เป็นผู้ปกครอง เธอเองก็ยังเป็นเยาวชน ถึงจะไม่อยากให้ฉันเป็นพ่อเลี้ยงแต่เธอก็ต้องทำ เพื่อตัวเธอเอง เข้าใจที่ฉันพูดใช่ไหม”
เข้าใจสิ กานต์เข้าใจดีเลย ถึงในตอนนี้เขากับออสตินจะไม่ได้มองกันในฐานะพ่อเลี้ยงกับลูกเลี้ยงแล้ว แต่พวกเขาก็หลีกเลี่ยงสายตาของคนอื่นไม่ได้ ถ้าเขาแสดงออกว่าไม่ได้มองออสตินแค่พ่อเลี้ยง มีหวังออสตินได้เดือดร้อนแน่
เอาเถอะ แค่นี้ก็ถือว่าดีสำหรับกานต์มากแล้ว ไว้เขาบรรลุนิติภาวะเมื่อไร คงทำอะไรได้มากกว่าที่ต้องการตอนนี้
“ถ้าอย่างนั้น ผมคงจะต้องเรียกว่าแด๊ดดี้เหมือนเดิม เรียกคุณสเวนหรือออสตินก็ไม่ได้?”
ออสตินยิ้มรับ “อืม”
“เรียกออสตินเฉยๆ ไม่ได้เหรอ”
“ไม่ได้”
“ถ้าผมอยากเรียกล่ะ”
“เอาไว้เธอบรรลุนิติภาวะก่อน”
“ทำไมล่ะครับ”
“กานต์...อย่าเซ้าซี้”
ถามเยอะๆ เข้าก็ถูกดุจนได้ กานต์เม้มริมฝีปากด้วยความเสียดาย เขาอยากเรียกแบบสนิทสนมว่าออสตินมากกว่า แต่...อันที่จริงเรียกแด๊ดดี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน
“ฉันว่าฉันเก็บกวาดพื้นก่อนดีกว่า เกลือหกเต็มพื้นเลย”
เห็นว่ากานต์ไม่พูดอะไรอีก ออสตินก็ว่าขึ้น พลางเหลือบมองผลงานของตัวเองที่ระเนระนาดอยู่บนพื้น แต่พอเขากำลังจะผละออกไป กานต์ก็คว้าแขนเขาไว้ พอหันกลับมาก็เห็นสายตาเว้าวอนเข้าอย่างจัง
“ผม...ขอจูบอีกรอบได้ไหมครับ”
ครั้งเดียวไม่พอแน่ๆ สำหรับเด็กวัยรุ่นที่อยากรู้อยากเห็นในเรื่องเพศอย่างนี้ ออสตินคิดว่าตัวเองควรจะปฏิเสธ การจูบนี่อนุญาตให้ทำได้เพียงวันละครั้งก็พอ แต่วันนี้เป็นวันแรก ถ้าอย่างนั้น...
“ได้สิ”
...จะยอมอะลุ่มอล่วยให้
ดวงหน้าอ่อนเยาว์ถูกประคองไว้ในมือหนา ริมฝีปากของออสตินประทับลงมาบนเรียวปากของกานต์อีกครั้ง ละเลียดไล่ปลายลิ้นไปเกาะเกี่ยวปลายลิ้นของอีกฝ่ายอย่างนุ่มนวล จุมพิตในครั้งนี้ช่างอ่อนหวาน ต่างจากจูบครั้งก่อนหน้า
เชื่องช้า...เนิบนาบ...
ราวกับหลอกล่อให้ทั้งคู่ได้หลงละเมอเคลิบเคลิ้มไปกับความหอมหวานของกันและกันจนกระทั่งดำดิ่งลึกสู่หุบเหวของบาปแห่งความราคะ
แต่...ต่อให้ถูกไฟอเวจีแผดเผาจนไม่เหลือซาก ทั้งสองก็คงจะไม่สนใจอะไรอีกแล้วนอกจากดื่มด่ำกับความปรารถนาในตัวของกันและกันอย่างนี้ ขณะที่ออสตินอดคิดไม่ได้เลยว่าสิ่งที่เขาทำอยู่นั้น ช่างเป็นความผิดพลาดที่ถอยหลังกลับไม่ได้เลยแม้แต่น้อย...
-------------------------------
กลับมาแล้วค่ะ ช่วงนี้จะอัปช้านิดนึงนะ ไม่ได้ป่วยไม่ได้อะไร แต่ติดปิดต้นฉบับเรื่องอื่นๆ ให้ทันงานหนังสือค่ะ ฮืออออ รอกันก่อนนะ หลังวันที่ 15 คงจะได้กลับมาอัปถี่ๆ เหมือนเดิมค่ะ
ฝากฟีดแบ็กล่วยจ้า