แฮะ เสร็จแล้ว ถ้าอ่านแล้วมึนๆก็ขอประทานโทษด้วยค่า
======================================
2008-06-12 สามีคุยเล่นกับภรรยา by J-LawTranslated by Chee
======================================
ผมเพิ่งได้รับข้อความสั้นๆจากภรรยาผู้น่ารัก
“ผมได้อ่านบันทึกของคุณที่เขียนไว้ในบล็อกล่าสุดบนอินเตอร์เน็ต โดยเฉพาะที่อยู่ในสเปชเอ็มเอสเอ็มอันเก่าทั้งเก้าหน้านั้นแล้วนะ คนอื่นหลับกันหมดแล้ว ผมกำลังสวมหูฟังฟังเพลงที่คุณใส่ไว้และอ่านทุกตัวอักษรอย่างละเอียดจนจบเลยล่ะ เรื่องราวที่ผ่านตานั้นมันทำให้ผมรู้สึกตัวชา ผมไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรกับคุณดี เพียงแค่อยากบอกให้คุณรู้ว่านับแต่นี้ไปผมพร้อมจะมอบความรักทั้งหมดที่มีให้แก่คุณ”
พอคิดว่าตอนนี้เขาคงไม่สบายใจอยู่ ผมก็เลยกดโทรศัพท์ไปหา
ผม : “นายอ่านหมดแล้วเหรอ? ฮ่าฮ่า หดหู่มั๊ยล่ะ?”
เขา : “ทั้งหมดนั่นเป็นเรื่องจริงเหรอครับ?”
ผม : “แน่นอนสิ เรื่องพวกนั้นไม่เคยมีใครเขียนมาก่อนนะ แล้วฉันก็ไม่คิดจะก๊อปปี้ใครมาด้วย”
เขา : “คุณว่าตัวเองเขียนดีมั๊ย?
ผม : “ดีมากเลยล่ะ”
เขา : “แต่ปกติผมไม่เห็นคุณอ่านนิยายเลยนี่”
ผม: “ฉันไม่ใช่คนที่ชอบอ่านหนังสือเลยจริงๆ สิ่งที่เขียนล้วนมาจากความทรงจำของฉัน พิมพ์มันรวดเดียวจนจบโดยไม่ได้ร่างไว้ก่อนเลย ขี้เกียจต้องมาคอยแก้คำผิดน่ะ”
เขา : “คุณไม่กลัวว่าคนอื่นจะรู้เรื่องส่วนตัวของคุณเหรอ”
ผม: “ฉันคิดดีแล้ว เพราะเรื่องราวทั้งหมดมันก็คือความทรงจำของฉัน ไว้พอ 80 ฉันก็จะได้คิดย้อนกลับไปทบทวนความทรงจำเหล่านั้นไงล่ะ มีให้คิดถึงมากมายเลยนะ”
เขา: “แล้วทุกคนเชื่อไหมว่ามันเป็นเรื่องจริง?”
ผม: “ส่วนใหญ่ก็เชื่ออ่ะนะ พวกเขาไม่ได้โง่นี่ ไม่มีใครมีเวลาว่างมานั่งอ่านเรื่องหลอกลวงอยู่ได้ตั้ง 3 ปีหรอก”
เขา : “แล้วกว่าจะโตมาได้ขนาดนี้คุณลำบากมากไหม”
ผม: “เด็กโง่ ที่จริงก็ไม่ได้ลำบากอะไรหรอกนะ ความเจ็บปวดทำให้ได้เรียนรู้ ความยุ่งยากในตอนนั้นมันผ่านไปแล้วล่ะ”
เขา: “คุณคิดถึงแม่ไหมครับ?”
ฉัน: “ไม่คิดถึงแล้วล่ะ คิดว่าฉันชั่วร้ายมั้ยล่ะ? ฮ่าฮ่า”
เขา: “ผมไม่รู้หรอก แต่ผมอ่านเรื่องแม่ของคุณ โตโตก็ได้อ่านด้วย เราสองคนต่างก็ร้องไห้ล่ะ”
ผม: “อือ... พระเจ้าทรงกำหนดมาให้เป็นแบบนั้น เหมือนกับเด็กน้อยไร้เดียงสาคนหนึ่งนั่งเล่าให้คนอื่นๆ ฟังว่า ทำไมเขาถึงไม่มีแม่ ซึ่งเขาก็เล่าอย่างต่อเนื่องไม่มีสะดุด แต่ทุกคนที่ได้ฟังนั้นต่างก็ร้องไห้”
เขา: “เหมือนกับว่าเรื่องราวที่คุณเขียนน่ะ ใช้น้ำเสียงยังกับเด็กเป็นคนเล่าเลย”
ผม: “ฉันไม่มีอำนาจไปควบคุมสิ่งที่ผ่านมาแล้วได้ ใจจริงฉันอยากย้อนกลับไปตั้งแต่ตอนแรกเริ่ม แม้อาจจะดูไร้เดียงสาไปสักหน่อย แต่นั่นก็คืออารมณ์ที่แท้จริง ถ้าหากพวกผู้ใหญ่ได้อ่านแล้วคิดว่าเด็กเขียนก็คงจะร้องไห้”
เขา: “แต่รูปถ่ายก็ให้ความรู้สึกมากเลยนะ ไม่สงสัยเลยทำไมทุกๆวันคุณเอาแต่ดูหนัง”
ผม: “ถูกแล้ว เพราะฉันไม่ค่อยได้อ่านหนังสือสักเท่าไหร่ ก็เลยเลียนแบบการเล่าด้วยภาพแบบหนังแทนไง”
เขา: “คุณเลียนแบบใครมาล่ะ?”
ผม: “Abbas (Abbas Kiarostami) ผู้กำกับหนังชาวอิหร่าน หนังที่เค้ากำกับล้วนบอกเล่าเกี่ยวกับชีวิตของเด็กทั้งสิ้น แต่แฝงพลังและความน่าเกรงขามไว้ได้อย่างน่าประหลาด”
เขา: “ผมยังไม่เคยดูหนังของเขาเลยอ่ะ สุดสัปดาห์นี้คุณเอาให้ผมดูนะ”
ผม: “ได้สิ ไว้จะเลือกเรื่องที่ดีๆ มาให้นะ ฉันดูหนังอาร์ตยุโรปกับญี่ปุ่นมาตั้งแต่เด็กๆ ชอบมากเลยล่ะ เลยดูตลอดมาจนถึงเดี๋ยวนี้ ได้รับอิทธิพลจากหนังพวกนี้มาเยอะมาก อย่างรูปถ่ายที่ดูแล้วเศร้าๆนั่นน่ะ ใช้่ฟิล์มขาวดำแล้วมาปรับแต่งสีใหม่นะ มันทำให้ฉันบ้าศิลปะแนวนี้ไปเลย”
เขา: “อาจารย์ก็เคยเลือกเรื่องที่ฉายบ่อยๆ ให้เราแสดงในคาบเรียนเหมือนกัน”
ผม:“แล้วพวกเขาก็กลายเป็นปรมาจารย์หนัง เจ๋งสุดๆเลย พวกเขาถ่ายทำหนังอย่างไม่กลัวอะไร ในเรื่องแสดงถึงความเลวร้ายของมนุษย์ออกมาอย่างถึงแก่น แม้จะไม่ได้รับคำวิจารณ์หรือคำสรรเสริญใดๆ ไม่ได้มีการใช้สเปเชี่ยลเอฟเฟคท์ให้หนังตื่นตา แต่ความชำนาญทางศิลปะก็เป็นพื้นฐานที่สำคัญ ที่ทำให้ภาพที่ปรากฏออกมานั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึก น่าชื่นชม สุดๆเลยเนอะ”
เขา: “ฮ่าฮ่า คุณกระตือรือร้นอย่างนี้ทุกทีเหรอ”
ผม: “เปล่านะ ฉันน่ะพอได้ยินชื่อปรมาจารย์ทุกคนก็จะรู้สึกเดือดขึ้นมาทันที ฉันชื่นชมพวกเค้ามากนะ กลัวว่าคนอื่นจะไม่รู้น่ะสิว่าพวกเขายิ่งใหญ่แค่ไหน”
เขา: “ผู้หญิงมีอายุหน่อยที่ร่วมงานกับจางอี้โหม่วชื่ออะไรนะ”
ผม: “เถียนฮุ่ยเหม่ย! นายนี่นะ เพราะหนังของจางอี้โหม่วหลายเรื่องไม่ประสบความสำเร็จก็เลยไม่สนใจเธอเหรอ เธอน่ะเคยติดตามปรมาจารย์มาหลายยุคหลายสมัยเลยนะ ตั้งแต่อากิระ คุโรซาว่า หนังฮ่องกง ยันหนังฮอลลีวู๊ดอีกหลายเรื่อง เธอถือว่าเป็นเจ้าแม่วงการหนังอาร์ตเชียวนะ โลกสมควรให้การคาราวะเธอ”
เขา: “ที่รัก ยังไม่ง่วงใช่มั้ย? จริงจังไปแล้ว! อย่าจริงจังมากนักเลย”
ผม: “ตื่นเต้นไปหน่อย พอคุยเรื่องหนังฉันรู้สึกว่าไม่ใช่คนนอก เพราะฉันใกล้ชิดกับพวกเขา และคอยซึบซับความรู้สึกเหล่านั้นมาน่ะสิ”
เขา: “ยังมีเรื่องแฟชั่นอีกนี่ ใช่มั๊ยล่ะ? ฮ่าฮ่า”
ผม : “ไม่อยากคุยเรื่องแฟชั่นแล้ว เดี๋ยวนี้คนใส่แต่ของมียี่ห้อมาอวดกัน ที่รู้เรื่องจริงๆมีน้อย เลยไม่อยากคุยกับใคร อย่าง B น่ะ จำชื่อยี่ห้อดังๆ ไหนได้ก็ใส่อยู่แต่ยี่ห้อนั้น คิดง่ายๆ แบบนี้ พูดไปก็จะไปทำเขาหน้าแตก ฉันเลยไม่คุยดีกว่า”
เขา: “ฮ่าๆ คุณนี่มั่นใจในตัวเองจริงๆเลย”
ผม: “ที่ไหนล่ะ! ฉันซื้อ ELLE มาอ่านตั้งแต่อายุ 13 แล้วนะ เอามาดูว่าพวกนายแบบเขาใส่อะไรกัน จนป่านนี้ยังไม่ค่อยมั่นใจเลย ใครมั่นใจกันล่ะ?”
เขา: “xxxxx ชอบคุยกับคุณเรื่องนี้ไม่ใช่เหรอ?”
ผม : “xxxxx เนี่ยรู้เรื่องเหรอ รู้แต่ว่าจะหาเงินที่ไหนมาซื้อ Gucci ต่างหาก หรือไม่ก็ดูพวกคนรวยๆ ว่าใช้แบบไหน ไม่ได้รู้หรอกว่าออกแบบมาไง เคยบอกเขาเหมือนกันว่าแบบไหนมันของแท้แบบรับประกันได้ กับแบบไหนแค่รออีกหน่อยก็จะมีของเลียนแบบออกมากองขาย แต่ก็ไม่ฟัง รู้แต่ต้องซื้อแบบมียี่ห้อเท่านั้นแหล่ะ ไม่มีรสนิยมเล๊ย!”
เขา: “อือ รู้แล้ว ว่าคุณน่ะเป็นคนมีรสนิยม ฮ่าฮ่า”
ผม: “ฮ่าฮ่า ไปนอนได้แล้วไป ดึกแล้ว”
เขา: “พรุ่งนี้มาหาผมที่โรงเรียนนะ”
ผม: “เดี๋ยวมะรืนนายก็กลับมาแล้วไม่ใช่เหรอ?”
เขา: “แต่พรุ่งนี้ผมอยากเจอคุณนี่!”
ผม: “ฉันไม่ชอบโรงเรียนเท่าไหร่อ่ะ ตั้งแต่จบมายังไม่เคยย่างเท้ากลับเข้าไปอีกเลย”
เขา: “ทำไมล่ะ?”
ผม: “ก็มันเขินนี่!”
เขา : “จะเขินอะไรล่ะ? ใช่ว่าทุกคนที่โรงเรียนจะรู้จักคุณซะหน่อย ไม่ต้องกลัวเจอแฟนคลับหรอกน่า”
ผม: “ใช่ที่ไหนกันเล่า! ฉันมีแฟนคลับซะที่ไหน?”
เขา: “ในอินเตอร์เน็ตนั่นล่ะ? ตั้งเยอะแยะไม่ใช่เหรอ?
ผม: “ทุกคนเข้ามาเล่นเน็ต พิมพ์นั่นนี่คุยเรื่อยเปื่อย ใครจะเอามาเป็นจริงเป็นจังกันล่ะ?”
เขา: “พรุ่งนี้มาเถอะน้า! ผมคิดถึง”
ผม: “ได้ๆ ไปก็ได้ แต่ฉันไม่ไปกินข้าวในโรงอาหารนะ!”
เขา: “คุณรังเกียจที่อาหารไม่น่ากินเหรอ?”
ผม: “เปล่า รังเกียจที่ไหนล่ะ? ฉันไม่ชอบโรงอาหารเพราะว่าเวลาใครไปใครมา ทุกสายตาก็จะต้องมองมาที่เรา”
เขา: “คุณก็มีตอนที่รู้สึกอายแบบนี้ด้วยเหรอ? ไม่สมกับเป็นคุณเลยอ่ะ ฮ่า?
ผม: “ฉันก็เป็นงี๊แหล่ะน่า!”
เขา: “พรุ่งนี้เจอกัน ฮ่าฮ่า”
ผม: “คร้าบ ถึงแล้วจะโทรหานะ ไปนอนไป”
เขา: “ราตรีสวัสดิ์ จุ๊บๆ”
( ผมกับภรรยาคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้กันทุกวัน มีความสุขมาก โคตรมีความสุขจริงๆเลย )
หมายเหตุ: เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากคิริโอไปอ่านบล็อกทุกบล็อกของเจแล้ว ถ้านับจากวันที่ ที่โพส entry ล่าสุดตอนนั้นจะเป็นเรื่องแม่น่ะค่ะ