ห้องพักผู้ป่วยเงียบเหงาลงเมื่อแขกที่มาเยี่ยมต้องรีบกลับไปทำงาน ร่างบางบนเตียงนั่งทาบฝ่ามือกับแผ่นอกตัวเอง จังหวะการเต้นของหัวใจที่เต้นแรงและเร็วเมื่อครู่ค่อยๆ สงบลงจนเป็นปกติท่าทางที่ทำเหมือนคุ้นเคยกันมานานทำให้อีกคนใจสั่น คนที่ทำให้เขาเกิดอาการแบบนี้จะรู้ตัวบ้างไหม
"จอยสั่งให้เขามาเทปูนวันพรุ่งนี้นะ ตามแบบที่พี่มินบอกนั่นล่ะ อยากเปลี่ยนอะไรมั้ยจะได้บอกช่างไว้ก่อน"จอยมาเยี่ยมเนมินหลังจากจัดการธุระที่ร้านตามคำสั่งเจ้านายเรียบร้อย
"ไม่หรอก ตามที่บอกดีอยู่แล้ว"
"เป็นอะไร ดูซึมๆ เหนื่อยเหรอ"สาวรุ่นน้องวางมือจากแอปเปิ้ลที่กำลังนั่งปอกแล้วจ้องหน้าคนป่วยอย่างจับพิรุธ
"เปล่าหรอก เบื่อๆ น่ะ อยากออกวันนี้เลย หมอจะให้มั้ย"เนมินกล่าวตามจริง เขาไม่อยากนอนค้างคืนที่นี่เท่าไหร่ เสียงบรรยากาศรอบๆ ตัวมันเงียบจนน่าขนลุก และหนาวเหน็บจับขั้วหัวใจเลย
"ให้น่ะให้ แต่จอยไม่ยอมหรอก พอเลยเที่ยงเขาก็คิดเป็นวันใหม่แล้ว พี่มีสิทธิ์นอนได้ถึงพรุ่งนี้ก็นอนไป เอาให้คุ้ม"
"งก"
"เอ๊ะ! เขาเรียกรู้จักใช้ต่างหาก แล้วเรื่องพนักงานใหม่น่ะจอยหาได้แล้วนะ เป็นรุ่นน้องในหอเดียวกัน มันกำลังหางานพิเศษอยู่"
"ขอบใจนะ"
".....เป็นอะไรคะคุณพี่ ทำไมดูหงอยๆ แบบนี้ล่ะ เหงาเหรอ คืนนี้หนูนอนเป็นเพื่อนดีมั้ย"
"ได้ยังไง เป็นสาวเป็นนางมานอนเฝ้าผู้ชาย เดี๋ยวหมดเวลาเยี่ยมก็กลับได้แล้วนะ"
"รู้แล้วเจ้าค่ะ ตกลงพรุ่งนี้ไม่ให้มารับจริงๆ ใช่มั้ย รถพี่คงต้องรอสักอาทิตย์หน้าถึงได้ ร้านคงทำเสร็จพอดี"จอยนั่งชวนเนมินคุยอยู่อีกสักพักก็ถูกไล่กลับเมื่อหมดเวลาเยี่ยม แต่แขกที่ไม่คาดฝันเมื่อตอนบ่ายกลับมาทำให้แปลกใจอีกครั้ง ร่างสูงใหญ่หอบหิ้วกระเป๋าเอกสารและคอมพิวเตอร์พกพาเครื่องเล็กมาวางกองไว้ที่โต๊ะรับแขก
"พอดีสวนทางกับจอยเลยรู้ว่ามินนอนคนเดียว พี่เลยอาสามานอนเป็นเพื่อน"คำอธิบายโดยที่เขาไม่ต้องเอ่ยถาม
"มินเกรงใจ พี่ภูไม่น่าลำบากเลย"เนมินกล่าวด้วยสีหน้าท่าทางที่บ่งบอกว่าลำบากใจเต็มที่ เขาไม่ได้สนิทสนมกับอีกฝ่ายถึงขนาดที่คิดว่าจะมานอนเฝ้าไข้กันแบบนี้ แต่...ก็รู้สึกดีจนไม่อยากปฏิเสธหรือไล่กลับ
"ไม่เป็นไร พรุ่งนี้พี่หยุด กลับไปก็นอนว่างๆ อยู่ดี แล้วนี่มินกินข้าวเย็นแล้วใช่มั้ย พี่ยังไม่ได้กินเลย เมื่อกี้แวะกลับไปเอาของที่ห้องก็เลยแวะซื้อข้าวกับขนมมา มินกินได้หรือเปล่าครับ"ภูริเดินไปหยิบถุงขนมหวานชูให้คนป่วยบนเตียงดู เนมินยิ้มรับพร้อมพยักหน้าเบาๆ เพียงแค่นั้นคนเยี่ยมไข้ก็รีบจัดแจงใส่ถ้วยแล้วนำมาไว้ให้เรียบร้อย ส่วนเขาก็ไปนั่งแกะข้าวกล่องกินพร้อมชำเลืองมองร่างบางบนเตียงเป็นพักๆ
หลังจากเนมินทานขนมที่อีกฝ่ายซื้อมาฝากเสร็จก็หลับไปเพราะฤทธิ์ยา ภูรินั่งเตรียมงานที่ต้องไปสัมนาในวันหยุดที่จะถึง เขารับทั้งงานสอนและงานวิทยากร คราวก่อนที่หายหน้าไปหลายวันก็เพราะต้องไปอบรมให้กับพนักงานโรงแรมที่ต่างจังหวัดสองแห่ง แต่เขาก็รู้สึกสนุกกับงานและผู้คนที่ได้พบเจอ หากคราวนี้ต่างออกไป เขาเป็นห่วงร่างบางที่นอนหลับสนิทบนเตียงเกินกว่าจะห่างไปไหนนานๆ ถ้าคนที่สนิทชิดเชื้อมารู้เข้าคงได้หัวเราะกันท้องคัดท้องแข็ง ใครจะไปคิดล่ะว่าเขาจะมาตกหลุมรักง่ายๆ เอาแบบนี้ จะกลับตัวกลับใจก็ไม่ทันแล้ว
รุ่งเช้าหลังจากแพทย์เข้ามาตวรจอาการอีกครั้งพร้อมเซ็นต์เอกสารให้กลับไปพักที่ได้ ภูริจัดการเคลียร์ค่าใช้จ่ายด้วยเงินที่เนมินหยิบยื่นให้ หลังจากนั้นเขาก็ขับรถพาเนมินกลับบ้าน เส้นทางที่ถ่ายทอดให้คนขับฟังคือเส้นทางเดียวกับร้านกาแฟ หากแต่ลึกเข้าไปในซอยเพื่อทะลุไปอีกซอยหนึ่งที่อยู่ตรงข้ามถนนสายหลัก เลี้ยวเพียงไม่กี่ครั้งก็พบทาวเฮาส์หลังเล็กสองชั้น ชายหนุ่มจอดรถไว้หน้าบ้านแล้วช่วยถือกระเป๋าเสื้อผ้าเข้าไปด้านใน ต้นไม้ดอกไม้จัดตกแต่งในสวนเล็กๆ ดูเป็นสัดส่วนน่าพักพิง บ้านหลังเล็กตกแต่งง่ายๆ ด้วยวัสดุธรรมชาติเป็นส่วนใหญ่ หลอดไฟสีส้มไข่ช่วยให้บรรยากาศในบ้านอบอุ่นมากยิ่งขึ้น
"น้องมินอยู่คนเดียวเหรอครับ"ภูริถามด้วยความแปลกใจ ร่างกายก็ไม่แข็งแรง แต่ทำไมไม่มีญาติหรือครอบครัวไปเยี่ยมเลย
"ครับ พี่ภูจะดื่มกาแฟสักหน่อยมั้ยครับ"เนมินเดินตรงเข้าไปด้านหลังกำแพงที่แบ่งระหว่างห้องครัวกับห้องนั่งเล่น
"ขอน้ำเปล่าก็พอครับ"ภูริทิ้งตัวลงบนเก้าอี้หวายสานตัวใหญ่ที่มีเบาะนั่งและพนักพิงที่นุ่มจนไม่รู้สึกถึงความแข็งของเนื้อไม้
เนมินเดินกลับมาพร้อมกับน้ำสองแก้วและจานคุ้กกี้ที่เจ้าตัวทำเก็บไว้
"พี่เห็นที่ร้านมีช่างเต็มเลย จะขยายร้านเหรอครับ"
"ครับ หลังๆ ลูกค้ามาแล้วไม่ค่อยมีที่ให้นั่งกัน มินกับจอยเลยคิดว่าจะเช่าพื้นที่ข้างๆ ที่เขาเคยเอาไว้สำหรับจอดรถมาขยายน่ะครับ ตอนแรกแค่จะเช่า แต่เขาดันขายเสียนี่"ร่างเล็กอดบ่นเบาๆ ไม่ได้ ซื้อกับเช่ามันต่างกันที่มูลค่าเงินมากนัก จากที่คิดว่าจะเอาเงินเก็บที่เหลือกับกำไรที่ได้ไปปิดเงินที่กู้มาใช้เมื่อตอนเปิดร้านก็ต้องเอาไปจ่ายค่าที่ แล้วก็ต้องเริ่มเก็บเงินใหม่เพื่อปิดเงินกู้ธนาคารที่ยังค้างอยู่
"มีอะไรให้ช่วยก็บอกนะครับ ขยายร้านแบบนี้คงต้องหาพนักงานเพิ่มด้วยใช่มั้ย"ภูริเสนอตัวเต็มที่เมื่อเห็นสีหน้าครุ่นคิดอย่างหนักใจ เนมินเล่าเรื่องร้านและพนักงานใหม่ให้ฟังโดยไม่ปิดบัง จากคำบอกเล่าก็กลายเป็นการปรึกษา พนักงานใหม่ที่รุ่นน้องหาให้นั้นเพื่อมาทำหน้าที่แทนเขา แต่ร้านที่ขยายขึ้นก็ยังต้องการพนักงานเสิร์ฟอีกจำนวนหนึ่ง แต่ถ้าคำนวณรายได้ที่เพิ่มขึ้นแล้วก็คุ้มค่ากับการตัดสินใจครั้งนี้
สองร่างที่นั่งห่างกันด้วยเก้าอี้หวายคนละตัวก็เริ่มขยับมานั่งใกล้กันบนเก้าอี้ตัวยาวสำหรับสองคน หนังสือเมนูอาหารและขนมถูกกางออกเต็มโต๊ะ ภูริช่วยออกความเห็นเกี่ยวกับเมนูของร้านที่เนมินอยากเพิ่ม จากที่เคยคิดว่าไม่อยากให้ร้านกาแฟกลายเป็นร้านอาหารหรือเบเกอรี่ก็ต้องเปลี่ยนไปเมื่อเห็นความต้องการของลูกค้า ร้านกาแฟสมัยนี้ก็มักจะมีจุดขายอื่นๆ นอกเหนือจากกาแฟ ทั้งนี้ก็เพื่อแข่งขันกัน ร้านเล็กๆ ของเขาก็เลยต้องใช้กลยุทธิ์นี้ด้วยเหมือนกัน พื้นที่โล่งกว้างที่ซื้อติดกับบริเวณด้านข้าง เนมินจำเป็นต้องเสริมประตูกระจกเข้าไปเพื่อเป็นทางเข้าออกอีกทาง ด้านข้างถูกเทปูนยกพื้นขึ้นสำหรับเพิ่มที่นั่งเข้าไป ดินโล่งๆ จะถูกปูหญ้าและเทหินกรวดก้อนเล็กใหญ่เพื่อทำเป็นทางเดิน มีอีกหลายอย่างที่เขาต้องการจัด และอย่างน้อยเนมินก็รู้สึกเบาใจเมื่อได้พูดคุยและฟังความคิดเห็นจากอีกฝ่ายที่เป็นผู้ใหญ่กว่า ท่าทางแปลกๆ ในวันที่ได้เริ่มพูดคุยก็หายไป กลายเป็นชายหนุ่มที่ดูสุขุมเหมาะกับภาพลักษณ์เมื่อวันแรกที่เห็น
เสียงสนทนาถูกขัดจังหวะด้วยเสียงของสาวร่างบางที่เดินเข้ามาพร้อมอาหารเต็มมือ เธอค่อนข้างแปลกใจที่เห็นแขกคนนี้ยังอยู่ในบ้านรุ่นพี่ ท่าทีสนิทสนมอย่างไม่น่าไว้ใจ ถ้าเธอไม่ต้องไปคุมคนงานเธอคงได้มานั่งดูแลพูดคุยแทนที่จะเป็นลูกค้าประจำที่ไม่น่าไว้ใจคนนี้
"ตายจริง คุยกันจะลืมเวลาไปเลย บ่ายกว่าแล้วเหรอเนี่ย หิวมั้ยครับพี่ภู มินลืมบอกให้จอยซื้อข้าวมาเผื่อเลย"เนมินมองนาฬิาข้างผนังแล้วหันมาส่งยิ้มฝืนๆ ให้
"พี่ก็ลืมเวลาเหมือนกัน คุยกันน้องมินจนเพลินเลย แต่พี่ยังค่อยหิวหรอก"
"ได้ไงครับ เดี๋ยวกินข้าวด้วยกันดีกว่า ใกล้ๆ นี่มีร้านอาหารตามสั่งอยู่ เดี๋ยวมินไปสั่งกับข้าวมาเพิ่มให้"
"เดี๋ยวๆๆ ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้นล่ะ ที่ซื้อมานี่ก็เยอะพอแล้ว"จอยตะโกนออกมาจากในครัวให้สองคนที่โต้เถียงกันได้หยุดฟัง
"แต่พี่ไม่ได้ฝากนี่ จอยซื้อมาพอเหรอ"
"พอสิ จอยซื้อมาเผื่อมื้อเย็นน่ะ แต่ไว้ตอนเย็นค่อยไปซื้อใหม่ก็ได้ รอหุงข้าวก่อนละกัน"เสียงตะโกนอธิบายดังจากด้านใน ถึงจะไม่เต็มใจให้ร่วมมื้อด้วย แต่ก็ขัดใจเจ้าของบ้านแสนใจดีไม่ได้ ไม่รู้ว่าคุยกันอีท่าไหนถึงได้นั่งจะติดกันแนบแน่นขนาดนั้น
อาหารที่หญิงสาวซื้อมาดูจะมากพอสำหรับสามคนจริงๆ แต่เมื่อการทานเสร็จภูริก็ต้องขอตัวกลับเพื่อให้เนมินได้พักผ่อน หรืออีกนัยคือถูกไล่กลับแบบอ้อมๆ จากรุ่นน้องที่แสนจะหวงรุ่นพี่
"ไปสนิทสนมกันตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมจอยไม่รู้"จอยเริ่มต้นการสอบสวนเมื่อเจ้าของบ้านเดินกลับเข้ามาหลังจากยืนส่งแขก
"ก็ตั้งแต่ไปที่ร้านไง เมื่อคืนเขาก็ไปนอนเฝ้าด้วย"
"นอนเฝ้า!!"เธอร้องเสียงหลงกับสิ่งที่ไม่คาดคิดว่าจะได้ยิน เมื่อวานตอนที่ขับสวนกันอีกฝ่ายแค่เอ่ยถามว่ามีใครเฝ้าอยู่มั้ย บอกว่าเกรงใจถ้าเข้าไปเยี่ยมตอนนี้ เธอก็แค่เห็นว่าขับมาจนจะถึงอยู่แล้วเลยบอกว่าไม่มีใครเฝ้า ไม่คิดว่าคนเจ้าเล่ห์นั่นจะเสนอตัวมาเฝ้าเสียเสร็จสรรพ
"ไว้ใจได้ที่ไหน พี่มินไว้ใจคนง่ายเกินไปอีกแล้วนะ"
"ก็ไม่เห็นมีพิษภัยอะไร หน้าที่การงานเขาก็เชื่อถือได้ คิดมากไปน่าจอย"
"เขาตั้งใจทำดีหวังผลน่ะสิ มาจีบจริงๆ หรือเล่นๆ ก็ไม่รู้ ท่าทางเจ้าชู้จะตาย พี่มินอย่าไปยุ่งเกี่ยวให้มากล่ะ ไม่งั้นจะโทรไปฟ้องพี่เมธ"
"อย่าเชียวนะ รายนั้นบ่นทีน่ารำคาญจะตาย แล้วพี่ภูเขาก็ไม่ได้จีบหรอก...มั้ง"เนมินพูดคำสุดท้ายเบาๆ เพราะไม่แน่ใจท่าทีอีกฝ่ายเหมือนกัน การพูดคุยช่วงแรกๆ ก็พอจะเดาได้ภายหลังว่ามีเจตนาสร้างความสนิทสนมด้วย แต่ที่เขาไม่เข้าใจก็คือเพราะอะไรต่างหาก ท่าทางเจ้าชู้แบบที่จอยพูดก็เห็นจะจริง แต่เมื่อวานจนถึงวันนี้ก็ไม่มีท่าทางแบบนั้นให้เห็น ยกเว้นตอนที่มาทำตัวเป็นหมอแล้วขอฟังเสียงหัวใจนั่นล่ะ
****************************************************************
ช่วงหลังๆ มันหลายรีพลายอ่ะ แล้วแบบว่า...ขี้เกียจ...งดตอบแล้วกันนะ เอาไว้ขยันจะทำใหม่
คิดถึง...คนอ่าน