เรื่องเล่าจากอังกฤษกับชีวิตของผม ...
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องเล่าจากอังกฤษกับชีวิตของผม ...  (อ่าน 180071 ครั้ง)

คุณเพื่อน

  • บุคคลทั่วไป
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามโพสต์ข้อความที่ไม่เหมาะสมและเกิดความขัดแย้ง
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



----------------------------------------------------------

ตอนที่ 1

ผมมาใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองเล็ก ๆ ในอังกฤษ
เรียนภาษาที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง ที่นี่มีคนไทยแค่ 4 คน
เป็นผู้หญิง 1 คน ชื่อ หนิง
แต่คนที่ผมสนิทที่สุดคือ นนท์ เพราะอยู่บ้าน (host family) ใกล้กัน
แต่ขอบอกว่าไกลจากโรงเรียนมากกกกกก ต้องเดินประมาณ 20-30 นาที
ส่วน กาย บ้านอยู่ใกล้กับโรงเรียนและใกล้กับบ้านของหนิง
พวกเรา 4 คนค่อนข้างสนิทกันพอสมควรเพราะเมืองนี้ก็มีคนไทยอยู่แค่นี้

วันแรกที่ไปถึงเป็นวันอาทิตย์ พวกเรานัดกันว่าจะไปกินข้าวร้านอาหารไทยที่มีอยู่แห่งเดียวในเมือง
ก็อุตส่าห์ถ่อสังขารเดินไปถึงอีกด้านหนึ่งของเมืองปรากฏว่า ......
.... ร้านปิด .....
คนที่นี่ไม่ค่อยทำงานกันวันอาทิตย์ เพราะเมืองนี้เป็นเมืองเล็ก ๆ
ไม่ใช่ลอนดอนที่เปิดตลอด ซึ่งก็จะคล้ายกับเมืองไทย

สุดท้ายก็ต้องกินแมคโดนัล
“มาอังกฤษแต่ต้องมากินอาหารเมกัน” ผมบ่นออกมาดัง ๆ ก็ผมไม่ค่อยชอบอาหารจั๊งฟูดซักเท่าไหร่
ราคาก็แพงแถมคลอเรสเตอรอลก็สูง
“เมิงแปลกกว่าอีก ... มาถึงอังกฤษวันแรก เรียกร้องจะกินอาหารไทย” กายด่าผม แต่ยิ้ม ๆ ผมว่ามันคงแกล้งด่าผมมากกว่า กายเป็นผู้ชายรูปร่างไม่ค่อยสูงมากเท่าไหร่ ก็สูงพอ ๆ กับผมเนี่ยแหละ

หลังจากกินอาหารเย็นเรียบร้อยพวกเราก็แยกย้ายกันกลับบ้าน กายกับหนิงไปทางเดียวกัน
ส่วนผมกับนนท์ก็กลับบ้านทางเดียวกัน บ้านของนนท์อยู่เลยบ้านของผมไปอีกค่อนข้างไกล
ก็ต้องเดินประมาณ 15 นาที นนท์มาส่งผมที่หน้าบ้าน
“พรุ่งนี้จะเดินมารับตอน 8 โมง” นนท์พูดแล้วก็เดินกลับบ้าน ผมพยักหน้าแล้วเดินเข้าบ้าน

เช้าวันจันทร์ แปดโมงตรง เสียงกริ่งดังที่หน้าบ้าน
ผมรีบบอกลาโฮสมาเตอร์
ผมลืมบอกไปว่าบ้านที่ผมอยู่ มีโฮสมาเตอร์อยู่กับลูกสาว
โฮสมาเตอร์ ชื่อ แคธี่ และลูกสาวชื่อแคทรีน่า อายุ 14  
พอผมลาแคธี่แล้ว ผมก็รีบคว้าผลไม้ที่แคธี่เตรียมไว้ให้แล้ววิ่งออกมาหานนท์
เห็นมันยืนยิ้มรออยู่ แต่ปากมันก็เร่งผมว่าให้เร็ว ๆ เดี๋ยวไปโรงเรียนสาย

การเดินไปโรงเรียนวันแรกมันแสนทรมาน
ก็คนไม่เคยเดินทางไกลขนาดนี้ อีกอย่างลมแรงมาก เพราะเมืองที่เราอยู่มีทะเล
แถมอากาศก็เย็นมาก พระอาทิตย์ก็ยังไม่ขึ้นดีเลย คงเพราะเป็นหน้าหนาว
พระอาทิตย์ขึ้นช้าตกเร็ว
มืดมากกว่าสว่าง

นนท์ตัวสูงมาก สูง 185 ขามันก็เลยยาวกว่าผมเยอะ ผม 2 ก้าวมันก้าวเดียวเองก็เลยเดินนำผมไปไกล
   “รอด้วยดิวะ”
   “ก็เดินเร็ว ๆ สิ ก้าวให้มันยาว ๆ ” มันหันมามองหน้าผมแว๊บนึง แล้วก็ยังก้าวยาว ๆ ต่อไป
กว่าจะไปถึงโรงเรียนเล่นเอาหอบ ผมเห็นนนท์นั่งคุยกับหนิงและกายแล้วอยู่ที่สนามหน้าโรงเรียนแล้ว
   “ไม่รอเลยนะเมิง” ผมด่านนท์ มันก็เอาแต่หัวเราะ
   “เมิงอะ ขาสั้น”
   “ไม่สั้นโว๊ย ... สมส่วน” ผมโวยวาย ก็นนท์สูงกว่าผมตั้งเกือบ 20 เซนต์จะให้ขายาวเท่ามัน
ก็ไม่สมประกอบกันพอดี แต่ถึงจะไม่สูงมากแต่ก็มั่นใจในรูปร่างหน้าตาพอสมควร ถึงบางคนจะบอกว่า
ถ้าผมเป็นผู้หญิงจะจีบ เพราะคงจะน่ารัก แต่ผมก็เชื่อว่าถึงผมเป็นผู้ชาย ก็เป็นผู้ชายที่น่าตาน่ารักเหมือนกันนะ

หลังจากคุยกันนิดหน่อย พวกเราก็เข้าสอบจัดระดับ ผมได้เรียนคลาสขั้นสูง
ส่วนนนท์กับหนิงเรียนขั้นกลาง และกายเรียนขั้นต้น หลังจากที่พวกเราได้รับตารางเรียนของวันพรุ่งนี้แล้ว
ก็แยกย้ายกันกลับบ้าน นนท์บอกผมว่าให้กลับเอง เพราะมันต้องไปเป็นเพื่อนเบรานีส
เพื่อนผู้หญิงที่อยู่บ้านเดียวกันกับมัน เป็นคนฝรั่งเศสก็สวยดี พูดภาษาอังกฤษเก่งมาก
ไปหาเพื่อนที่ถนนอะไรก็ไม่รู้ผมไม่ได้สนใจจะฟัง ผมก็บอกมันว่า    
   “ไม่เป็นไร ... กูกลับเองได้” ผมบอกมันไปอย่างงั้น เพราะมั่นใจว่าจำทางได้
แต่ก่อนกลับนนท์ก็ส่งแผนที่เมืองให้ผม แล้วชี้ทางบอกว่าให้เดินไปทางไหน
ผมก็มั่นใจแหละนะว่าพอจะจำทางได้ อยู่เมืองไทยก็ไม่เคยหลง จำทางแม่น มั่นใจมาก

ผมเดินทางกลับบ้านด้วยความมั่นใจ แต่หลังจาก 45 นาทีแล้วยังเดินไม่ถึงบ้าน บวกกับมันมืดมาก
แม้จะเป็นเวลาแค่ 5 โมงเย็นก็ตาม ทำให้จำทิศทางไม่ได้ ผมก็เริ่มปอด (แหก) ทำไงดีวะ
ใจเสียสิครับ “นี่กูหลงทางเหรอ ไม่อยากจะเชื่อ”
ตอนนั้น ... อยากบอกว่ากลัวมาก คงไม่มีใครช่วยเราได้นอกจากตัวเราเอง
ผมเริ่มหาทางไปแมคโดนัล ร้านที่เมื่อวานเพิ่งไปกินกัน
ถ้าเจอแมคฯ  ผมก็มั่นใจว่าผมต้องกลับบ้านได้แน่ ...

หลังจากเดินหาทางอยู่อีก 20 นาที
ฝนก็เริ่มตกปรอย ๆ หนาวก็หนาว มืดก็มืด กลัวก็กลัว
ถึงผมจะเป็นผู้ชายก็ใช่ว่าผมจะไม่กลัว เพราะมันก็อยู่ต่างบ้านต่างเมือง
ผมจะโดนปล้นมั๊ยเนี่ย ก็คิดไปต่างๆ แหละครับ
สุดท้ายก็เห็นป้ายชี้ทางบอกทางไปแมคฯ
ผมใจชื้นขึ้นเยอะ พอเห็นแมคฯ ผมก็รีบเดินขึ้นเขาเพื่อกลับบ้าน (บ้านผมต้องเดินขึ้นเขาไปเล็กน้อย)

สุดท้ายก็ใช้เวลาเดินทางกลับบ้าน 1 ชั่วโมงครึ่ง
กลับมาถึงบ้าน แคธี่ทักว่าทำไมหน้าแดงจังเลย ก็แหงแหละหนาวขนาดนั้น หน้าแดง
หูแดงไปหมดเลย เย็นจนเหมือนกับว่าหูจะหลุดซะให้ได้ มันชาไปหมด แต่ในบ้านอุ่นมาก
... พอทานอาหารเย็นเสร็จผมก็นอนหลับเป็นตายเลย เหนื่อยจากการผจญภัย

บางคนอาจบอกว่าแค่นี้ก็เรียกว่าผจญภัยแล้วเหรอ
ก็ที่บ้านผมที่เมืองไทยน่ะ ผมไม่เคยต้องทำอะไรเลย
ไม่เคยต้องกลัวอะไร เพราะพ่อกับแม่จะคอยปกป้องทุกอย่าง
และที่สำคัญไม่เคยต้องเดินไกลขนาดนี้
มีรถคอยรับส่งตลอด
จะว่าไปการมาอยู่ที่นี่ก็ดีตรงที่ว่าเราจะได้ทำอะไรเองบ้างก็ดีเหมือนกัน อย่างวันนี้ …

หลังจากวันนั้นผมก็ไม่เคยต้องเดินกลับบ้านคนเดียวอีก
เพราะนนท์กลับพร้อมผมตลอด ...
นอกจากเดินกลับบ้านพร้อมกัน นนท์ยังเดินมารับผมที่บ้านทุกเช้าด้วย
ผมก็ไม่เคยเล่าให้มันฟังหรอกนะว่าวันนั้นผมหลงทางน่ะ เสียฟอร์ม

ตอนเย็นก่อนกลับบ้าน พวกเรา 4 คนมักจะแวะไปมั่วสุมกันที่บ้านของกาย
ไม่ได้ทำอะไรไม่ดีหรอก ... เรามาเล่นเกม  Play Station กันน่ะ ...
นอกจากพวกเราคนไทย 4 คนแล้ว ยังมีเพื่อนชาวเกาหลีและญี่ปุ่นอีกหลายคน
มาเล่นเกมแข่งกัน ก็พวกเกมต่อสู้ชิงความเป็นยอดฝีมือ ชาติไหนเก่งที่สุด
กายกับนนท์เล่นเก่งมาก ส่วนพวกเกาหลีกับญี่ปุ่นก็เป็นยอดฝีมืออยู่แล้ว
เพราะที่เกาหลีกับญี่ปุ่นนี่มีการแข่งขันชิงแชมป์กันเลยทีเดียว
ผมรู้แล้วก็ทึ่ง ... ในความบ้าเกมของคนพวกนี้มาก
เกิดมาผมก็ไม่เคยเล่นมาก่อน ... เลยได้แต่ดูอย่างเดียว แต่แค่ดูก็สนุกมาก
พอเล่นเกมเสร็จได้เวลาต้องกลับบ้าน
คนบ้าเกมอย่างนนท์กลับเป็นคนชวนผมกลับบ้าน
ได้เวลาไปกินข้าวเย็นแล้ว เดี๋ยวแคธี่รอ ... นนท์ต้องเป็นคนเตือนผมทุกที
   
ทุกวันที่กลับบ้านพร้อมกัน นนท์ก็จะแวะเข้ามาที่บ้านผมทุกครั้ง
ทำความรู้จักกับแคธี่และแคททรีน่า
แคธี่จะชอบมันมาก เพราะนนท์เป็นคนคุยเก่ง เอาใจผู้ใหญ่เก่ง ชอบเสนอตัวช่วยโน่น ช่วยนี่ ซ่อมถังขยะ แบกของ สารพัด แคธี่มักจะพูดกับผมเสมอว่า “นนท์เป็น คนมีน้ำใจมาก ... ชั้นชอบเค้ามาก” ผมก็ได้แต่ค้านในใจ เพราะผมก็ไม่เคยเห็นมันทำอะไรให้ผมเห็นว่ามันมีน้ำใจซักที
 
อยู่มาวันหนึ่ง ... เราสองคนไปห้องสมุดของเมือง (public library) ขณะที่กำลังคุยกับบรรณารักษ์
ผมก็เห็นคนตาบอดเดินผ่านหน้าผมไปกำลังจะเดินไปที่ประตูเพื่อออกจากห้องสมุด
ผมแค่คิดในใจว่าน่าจะมีคนเปิดประตูให้คนตาบอดนะ ...
แต่ที่เร็วกว่าความคิดของผมก็คือ ไอ้นนท์ ... วิ่งไปเปิดประตูให้คนตาบอดเรียบร้อยแล้ว
บรรณารักษ์ยิ้มให้มันแล้วหันมาพูดกับผมว่า “He’s very sweet - เค้าน่ารักมาเลยนะ”
ตอนนั้นผมก็ได้แต่ยืนอึ้ง .. ก็ทึ่งนิด ๆ แหละ พอนนท์เดินกลับมาผมก็บอกว่า
   “บรรณารักษ์ชมเมิงด้วย ... ”
   “กูทำชื่อเสียงให้ประเทศชาติเลยนะเนี่ย” นนท์อวดเสียงภูมิใจ แล้วก็ตบหัวผม
“ไม่เหมือนเมิง .. อย่างว่าขาเมิงสั้นก็ต้องใช้เวลาวิ่งนานกว่าจะถึงประตู ... กูแค่ 3 ก้าวก็ถึงแล้ว”
มันหัวเราะเยาะผมเสียงดัง นี่มาว่าผมเตี้ยอีกแระ แถมเดี๋ยวนี้พูดคำตบหัวคำ มันเจ็บนะ
เกิดมาไม่เคยโดนใครตบหัว มีมันเนี่ยแหละ
   
ส่วนแคทรีน่าลูกสาวของแคธี่ก็ท่าทางชอบนท์มาก เพราะแคทรีน่าบอกว่า
   “He’s so cute - เค้าหล่อจัง”
และชอบมาถามผมว่านนท์มีแฟนรึยัง
ผมก็ไม่รู้ว่า ... ผู้ชายเอเชียตัวสูง ๆ หน้าตี๋ ๆ ตาเล็ก ๆ ยิ้มกว้าง ๆ นี่เป็นสเปคของฝรั่งด้วยเหรอ
เพราะเวลาเดินไปไหนมักจะมีฝรั่งผู้หญิง (ส่วนมากจะวัยรุ่น) มองแล้วยิ้มให้มันเสมอ
บางคนก็ถึงกับทักทาย บางคนขอเบอร์เลยก็มี

ส่วนผมเหรอไม่อยากจะคุย ..
ไม่เลย ไม่เคยเลย ไม่เคยมีใครมามองเลย
บางทีผมก็อิจฉามันนะ บางทีก็แอบหมั่นไส้มันเหมือนกัน

บางวันที่เรียนแค่ครึ่งวัน พวกเราก็มักมานั่งทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหารจีน
อาหารจีนร้านนี้อร่อยมาก ชื่อร้าน เปี๋ยจิง
ขายไม่แพง เฉพาะมื้อกลางวันขายให้กับนักเรียน ... จานละ 3.5 ปอนด์
อาหารก็จะเป็น Egg Fried Rice with Chicken in Black Bean Sauce
(ข้าวผัดไข่กับไก่ผัดซ้อสถั่วดำ) หรือ sweet and sour sauce (ผัดเปรี้ยวหวาน) หรือ
Chicken Fried Noodle (ก๋วยเตี๋ยวผัดใส่ไก่ – เส้นก่วยเตี๋ยวจะเป็นแบบจีนเส้นกลม ๆ หนาๆ )
ทุกเมนูอร่อยมาก ... และจานใหญ่มาก ขนาดเท่ากับจานเปลที่เมืองไทย วันแรก ๆ ผมกินไม่หมดหรอก
เหลือกว่าครึ่ง ก็แบ่งให้นนท์แหละ ก็ตัวมันใหญ่ กินเยอะ
    “แล้วเมื่อไหร่เมิงจะโต ...” นนท์พูด พลางตบหัว (อีกแระ) แต่ก็ตักกินจากจานของผม

   
เวลาผ่านไปประมาณ 1 เดือน
นนท์ ชวนหนิง กาย และผมไปลอนดอน
มันบอกว่าเพื่อนมาจากเยอรมันเป็นผู้หญิง ผมกับกายก็กระตือรือร้นอยากไปเจอหน้าเพื่อนของนนท์
เพราะนนท์บอกว่าไม่สวยหรอก แค่น่ารัก …
ทริปนี้หนิงไม่ไปเพราะจะต้องไปรอรับญาติที่มาจากเมืองไทย

เพื่อนของนนท์ชื่อ บี เรียนวิศวะอยู่ที่เยอรมัน บีมาเยี่ยมเพื่อนที่ลอนดอนก็เลยขอนัดเจอกับนนท์
บีเป็นผู้หญิง น่าตาน่ารัก ตัวเล็ก ตา-กลมโต ผมยาวประบ่า มีลักยิ้มเวลายิ้มเห็นฟันเรียงสวย
บีพาพวกเราไปทานอาหารเย็นที่ร้านอาหารอิตาเลียนแห่งหนึ่งในลอนดอน อาหารอิตาเลียนอร่อยดี
ผมชอบ แต่กายทำหน้าไม่อร่อย เบ้หน้าบอกว่า “เลี่ยนสมชื่อ”
พอทานเสร็จ เชพชาวอิตาเลียนเดินมาถามว่า
“อาหารอร่อยมั๊ย”
“Very nice – อร่อยมาก” บีตอบพลางส่งยิ้มหวานให้เชพ ส่วนผมแอบเห็นกายทำหน้าเซ็ง
   
บี เป็นคนคุยเก่ง แต่คุยกับนนท์คนเดียวเท่านั้น และเดินกับนนท์ตลอด
ไม่ค่อยหันมาคุยกับผมกับกายเท่าไหร่
ส่วนผมก็เดินเกาะติดอยู่กับกายไม่ค่อยได้คุยกับนนท์
แต่บางทีก็รู้สึกเซ็ง ๆ เหมือนกัน ไม่รู้เป็นอะไร ...

เกือบ 1 ทุ่ม พวกเราเดินมาหยุดที่หน้าโรงละครที่คืนนี้จะมีการแสดงเรื่อง “มิสไซง่อน”
   “อยากดูเรื่องนี้จังเลย” พูดพลางเอียงคอเกาะแขนนนท์ ทำหน้าเว้าวอน นนท์หันมามองพวกผม
   “พวกเมิงอะ อยากดูเปล่า” นนท์ส่งซิกบอกว่าให้พวกผมปฏิเสธ
   “กูอยากดู ... แต่มันต้องจองล่วงหน้าไม่ใช่เหรอ” ผมไม่สนใจที่นนท์หันมามองตาขวาง
ประโยคหลังหันมาถามบี ส่วนกายหัวเราะเสียงดัง คงจะขำที่ผมทำเป็นไม่สนใจซิกที่นนท์ส่งมาให้
“ยังไงก็ได้ ... ถ้าดูพวกเราก็ต้องค้างที่นี่ รถไฟจะหมดแล้ว” กายตอบพลางเอามือมาเกาะไหล่ผม
“เออ .. ดูก็ได้” ประโยคนี้นนท์หันไปพูดกับบี
บียิ้มดีใจ หันไปมองที่คนต่อแถวกันหน้าโรง “ต่อแถวหน้าโรงก็ได้ ไม่ต้องจองหรอก ... เราน่ะอยากให้นนท์ดูมากรู้มั้ย มาถึงลอนดอนก็ต้องดูเพล” ประโยคแรกพูดกับผม แต่ประโยคหลังหันไปพูดกับนนท์  (เพล – play คือ ละครเวที)

ระหว่างที่นนท์กับบีกำลังต่อแถวรอเพื่อซื้อตั๋ว ผมกับกายก็นั่งริมฟุตบาทคุยกัน
“เมิงว่าบีชอบไอ้นนท์ปะ” กายถาม
“ไม่รู้” ผมตอบ
“กูว่าชอบชัวร์ ไม่งั้นคงไม่วางแผนพาไปโน่นไปนี่หรอก” กายยังยืนยันความคิดตัวเอง
“กูไม่รู้ ... แต่บีก็น่าจะรู้ว่านนท์มันมีแฟนแล้ว” ผมตอบ
“แต่แฟนมันอยู่เมืองไทยนะเว้ย”
ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ ... นนท์เดินมาเรียกพวกผมบอกว่าตั๋วขายหมดแล้ว ต้องมาดูพรุ่งนี้แทน  
   “ดึกแล้วไปหาที่พักกันเถอะ ...”

หลังจากส่งบีที่หอพักของเพื่อนบีที่อยู่แถว ๆ South Kensington
พวกเราสามคนก็นั่ง underground มาเชคอินที่ BB (คือ Bed and Breakfast ก็คือ เตียงกับอาหารเช้า เหมือนโรงแรมแต่ไม่ใช่โรงแรม เพราะราคาถูกว่า) อยู่แถวย่าน Earl’s Court ราคาไม่แพงห้องสามคน ตกคนละ 15 ปอนด์เท่านั้น แถมอาหารเช้าด้วย  
“พรุ่งนี้เมิงจะดูเหรอ ... กูขอกลับบ้านนะ วันจันทร์มีเรียนเช้า” กายถามนนท์ พลางรื้อของออกจากเป้
 “กูคงบอกบีว่า ... พวกเราคงดูกันไม่ได้ เพราะวันจันทร์มีเรียน” นนท์ตอบ
   “... บีคงเสียใจแย่ ... เห็นเค้าอยากพาเมิงไปดูเพล” ผมบอกนนท์
   “ถ้าเมิงอยากดูนะ ... เมิงไปเลย” นนท์ด่า พร้อมเดินมาตบหัวผม
   “ไมเมิงชอบตบหัวกูจังวะ ... ไมไม่ตบหัวไอ้กายบ้าง”
   “ก็เมิงตัวเล็กดี ... น่าแกล้ง” นนท์พูดยิ้ม ๆ แล้วเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ
   “ไอ้กายก็ตัวพอ ๆ กับกู ... วันนี้กูแอบดีใจที่ทั้งวันเมิงไม่ตบหัวกูเลย …” ผมบ่นพร้อมลูบหัว
ผมไม่ชอบให้ใครมาตบหัว นอกจากมันเจ็บแล้ว ผมว่า ... มันยังแสดงออกถึงความไม่มีมารยาทเลย ... แต่...........ผมรู้สึกแปลก ๆ ที่วันนี้ตอนที่นนท์อยู่กับบี ผมอยากให้มันเล่นตบหัวเหมือนเดิม  
   “... พรุ่งนี้กูคงไม่ไปเจอเค้าแระ กลับบ้านดีกว่า ... เดี๋ยวกูจะโทรไปบอกเค้า” นนท์ตะโกนออกมาจากห้องน้ำ พูดไม่ทันขาดคำเสียงโทรศัพท์มือถือของนนท์ก็ดังขึ้น    
“ใครก็ได้รับโทรศัพท์ให้ที”
   “บี ... แค่โทรมาถามว่าเมิงถึงโรงแรมเรียบร้อยปลอดภัยดีแล้วใช่มั๊ย ... แล้วเค้าจะโทรมาใหม่พรุ่งนี้” กายซึ่งเป็นคนรับโทรศัพท์ ... เดินไปบอกนนท์หน้าห้องน้ำ
   “บี ... นี่เค้าใส่ใจเมิงเกินไปเปล่า ...” กายถามคำถามที่คาใจมาตั้งแต่อยู่หน้าโรงละคร
   “เฮ้ย เพื่อนกัน ... เพื่อนกันตั้งแต่ประถม ... ไม่มีไร”

หลังจากวันนั้นพวกผมก็เรียน ๆ เล่น ๆ เหมือนเดิม ... ผ่านไปอีก 1 เดือน พวกเราวางแผนว่าจะไปสก็อตแลนด์กัน ... งานนี้มีคนไทย 4 คน และเพื่อนของหนิงที่เป็นคนญี่ปุ่นอีกคนชื่อเคียวโกะ ... ตอนขาไปก็ไม่มีเรื่องอะไรหรอกครับ ... เรื่องราวมันเกิดขึ้นตอนขากลับนี่แหละ ...

... วันนั้นเป็นวันสุดท้ายที่พวกเราจะอยู่ที่สก็อตแลนด์ และจะเดินทางกลับพรุ่งนี้ ... เราแวะเดินเล่นกันที่ห้างแห่งหนึ่ง ...

ผมเดินไปกับเคียวโกะ ... ผมเห็นกระป๋าเป้ไปหนึ่งเท่ห์มากเป็นหนาม ๆ เหมือนขนเม่น .... ปกติผมดูเป็นคนเรียบร้อย ไม่ค่อยหวือหวาเท่าไหร่ ไม่น่าที่จะอยากได้ของแบบนี้ ... เคียวโกะยุให้ผมซื้อ บอกว่าดู rock ดูบ้าดี อารมณ์นั้นผมก็อยากหลุดโลก อยากจะมัน ๆ อยากจะบ้า ๆ ... ไม่รู้อะไรเข้าสิง ยอมจ่ายเงิน 150 ปอนด์ซื้อกระเป๋าเป้ที่ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะใช้  ... เพราะปกติผมเป็นคนค่อนข้างเนี๊ยบ นิดนึง ... ในใจตื่นเต้นมากอยากเอาไปอวดเพื่อน  ก็เลยรีบซื้อ เพราะกลัวเพื่อนมาเห้นก่อนจะไม่เซอร์ไพร ... ผมรีบจ่ายตังค์ แล้วเอามาแบกเดินไปเดินมา อารมณ์นั้นขอบอกว่าภูมิใจมาก เท่ห์โคตร ...
  
พอเดินมาเจอกับเพื่อน ๆ ก็ได้รับการทักทาย โห่ ฮา กันอย่างที่คาดคิดไว้แหละครับ ... เกือบทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า
“So cool !”    

 ยกเว้นคนเดียว ... ไอ้นนท์ ... มันไม่แม้แต่จะมองหน้าผมเลย ... ผมรู้ว่ามันกำลังโกรธ แต่ไม่เข้าใจว่าโกรธอะไร ... ผมรีบเดินไปหามัน ... แต่มันเดินหนีผม ...
   “เป้กูไม่เท่ห์เหรอ ไม่เห็นชม” ผมเดินไปข้าง ๆ มัน แต่มันเหมือนไม่เห็น
   “กลับโรงแรมเหอะ ... เดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นสาย” มันหันไปบอกทุกคน แล้วเดินลิ่วไปเลย ผมงง ไม่เข้าใจว่านนท์โกรธอะไร ... ทำไมไม่บอก เพื่อนทุกคนต่างก็อึ้ง ... แต่ก็ได้แต่เดินตามมันไป ....
   “เมิงโกรธไรกูเปล่า” ผมถามนนท์หลังจากกลับถึงโรงแรมแล้ว
   “เปล่า ... กูจะโกรธไร”   
“ทำไมกูจะไม่รู้ว่าเมิงโกรธ ... สองเดือนมานี่กูอยู่กับเมิงวันละ 20 ชั่วโมง เจอกันทุกวัน ไมกูจะไม่รู้ว่าเมิงเป็นไร ... ถ้าทำไรผิดก็ขอโทษด้วยละกัน” ผมถามนนท์ไม่ตอบ ... ผมก็เลยห่มผ้านอน ไม่สนใจแระ ... ผมได้ยินเสียงปิดประตูห้อง ปัง ...
“มันเป็นไรวะ ... กูว่า ... เมิงไปเคลียร์กับมันดีกว่า” กายพูด
“ไม่ได้ทำไรผิดนี่หว่า ... ช่างมันเดี๋ยวก็หาย … ถ้ามันไม่อยากคุยก็ช่าง … ง่วงแระ” พูดจบผมก็หลับตาทำท่าจะหลับ ... แต่คืนนั้นทั้งคืนผมนอนไม่หลับ ... คิดแต่ผมทำอะไรให้นนท์โกรธขนาดนั้นเลยหรือ ...  
[/color]
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-09-2010 12:13:29 โดย THIP »

SunLoveMoon

  • บุคคลทั่วไป
มาเจิม
พร้อมให่กำลังใจ(+1)
 :L2:

ออฟไลน์ watermoonj

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 643
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +307/-1
มาต้อนรับเรื่องใหม่  :mc4:


ประสบการณ์จากต่างแดน เป็นแนวเรื่องที่ชอบอ่านมากๆ  :impress2:

เป็นกำลังใจให้ค่ะ  :L2: :L2:

abcd

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ krappom

  • 人は誰でもそれぞれに悩みを抱えて生きる
  • เป็ดนักโพสมือดี
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7395
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1182/-23

เจิมก่อนไปนอน

 :mc4:


sky-cafe

  • บุคคลทั่วไป
นนท์เป็นไรอ่าาาาาา เพื่อนซื้อเป้ใหม่ ทำไมนนท์ต้อง upset ล่ะนั้น :m15:

YO DEA

  • บุคคลทั่วไป
 :impress3:


มาให้กำลังใจจ้า

ออฟไลน์ [N]€ẃÿ{k}uñĢ

  • ~ῲเจ้าแม่Dramaῴ~
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5186
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +740/-5
จิม เรื่องใหม่คราบ  :mc4: :mc4:

คือว่าเรื่องนี้นี่ เขียนจากชีวิต จริง ปะ อิๆ แล้วระรออ่านต่อนะคราบ

การเล่าเรื่องอ่านลื่นมาก ชอบ คำเดียวพอ

 o13

ออฟไลน์ melody

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 346
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
เรื่องนี้น่าสนุกอีกแล้ว...

มาจิ้มเรื่องใหม่คะ

ขึ้นว่าเป็นนิยาย...แต่เหมือนเป็นเรื่องจริงนะเนี่ย o18

ออฟไลน์ ï_Kiss_U♥

  • รักไม่ได้
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1132
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-2
อ่ะๆ
 มาให้ลังใจ
ต่อเร็วๆนะค่ะ
อย่าให้ค้างคา....ใจ
อิอิ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ artday

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1

muhan

  • บุคคลทั่วไป
 :pig2:เรื่องใหม่...

จะรออ่านต่อนะคะ

 :L2: :L2:

ออฟไลน์ ||WiTHOuT_YoU||

  • ที่รักของใครสักคน
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2633
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +170/-6
    • MoSHI
 :mc4: เรื่องใหม่ๆ วู้ฮู  :mc4:

palpouverny

  • บุคคลทั่วไป
เจิมมมมมมม

ออฟไลน์ ผักกาด

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 44
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
เจิม

และ

รอค่ะ

 :impress3:

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
มาให้กำลังใจเรื่องใหม่จ้า  :L2:

ออฟไลน์ nana

  • 아주마 애기 두명 ㅋㅋ
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2759
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-2
เป็นกำลังใจให้นะค่ะ :L2:

ออฟไลน์ mist

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4505
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +263/-3
ต้อนรับเรื่องใหม่จ้า  :L2:

Jeremy_F

  • บุคคลทั่วไป
ให้กำลังใจต้อนรับเรื่องใหม่  :L2:

ไอ้นนท์โกรธไรว่ะ กระเป๋ากับgreen peace

มาอัพบ่อยๆนะครับ ลงยาวๆแบบนี้ชอบๆ o13

 :bye2:

sooyuu

  • บุคคลทั่วไป
สงสัยว่าจะโกดเรื่องทำตัวร๊อคไปหน่อยแน่ๆ
นนท์คงไม่ค่อยชอบ ชอบแบบเนี๊ยบๆ น่าเเกล้งเหมือนเดิมมากกว่า
เป็นกำลังใจให้เรื่องใหม่จ๊า แล้วรีบมาต่อเร็วๆ น่า

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ken_krub

  • บุคคลทั่วไป
เป็นกำลังใจให้ครับ

ออฟไลน์ FÂntastic 1st™

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
                                                          หุหุหุ ... 'ผู้ชาย'ขี้งอน

                                                           ชอบคับชอบ   :L2:

โจ๊กกุ้ง

  • บุคคลทั่วไป
สงสัยนนท์โกรธที่ไปเดินเที่ยวกะสาวอิอิ ต่อเร็วๆน้า o13

zeazaiz

  • บุคคลทั่วไป
 o13 ให้กำลังใจจ่ะ

มาต่อเร็วๆนะจ๊ะ

ออฟไลน์ snoopy

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 726
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-1
มาให้กำลังใจ และก็รออ่านด้วย
มาต่อไวไวน๊า :L2:

คุณเพื่อน

  • บุคคลทั่วไป
ตอนที่ 2

ตอนเช้า ... ผมตื่นมาเห็นนนท์นั่งดูแผนที่อยู่บนเตียง ...
ผมยังไม่อยากคุยกับนนท์ ... ผมมีนิสัยอย่างหนึ่งคือ ไม่ค่อยโกรธใคร (ให้คนอื่นรู้สึก) ซักเท่าไหร่
แต่ถ้าโกรธแล้วจะหายยากมาก ... ผมเดินถือผ้าเช็ดตัวเตรียมตัวจะเข้าห้องน้ำ ... ผ่านหน้านนท์
           “ตื่นแล้วเหรอ” นนท์เงยหน้าจากแผนที่ ทักผม แต่ผมทำเป็นไม่ได้ยิน .. เดินเข้าห้องน้ำ  ...
กำลังโกรธกันอยู่ไม่รู้รึไง ไม่อยากคุยด้วยเข้าใจไม๊  ... เมื่อคืนไม่ยอมคุยกับผม เป็นไรก็ไม่บอก
ตอนนี้จะมาพูดดีด้วย ไม่พูดด้วยหรอก .... ให้มันรู้ซะบ้าง คนอื่นพูดด้วยแล้วไม่พูดด้วย ... มันเซ็ง ....
เข้าใจมั๊ย ...
   “อาบน้ำเสร็จแล้วเหรอ” นนท์ทักผมอีก หลังจากที่ผมอาบน้ำเสร็จแล้วเดินออกมาจากห้องน้ำ
‘เมิงจะทักไรเนี่ย ไร้สาระ’ อันนี้ผมคิดในใจ ... ตั้งใจว่าจะไม่พูดกับมัน กลับไปจะเลิกคบกับมันแระ คนไม่มีเหตุผล ...
   “เป็นไรหน้าบึ้ง” นนท์ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ถามยิ้ม ๆ
   “เปล่า” ผมพูดสั้นที่สุดเท่าที่จะทำได้

พวกเราเดินทางกลับจาก สก๊อตแลนด์โดยเครื่องบินมาลงที่สนามบิน Stansted Airport
เครื่องบินที่พวกเราขึ้นเป็นเครื่องบินขนาดเล็ก ของสายการบิน low cost สายการบินหนึ่ง
เหตุที่เลือกนั่งเครื่องบินเพราะใช้เวลาเดินทางไม่นาน และราคาไม่แพงมาก
ที่นั่งบนเครื่องบินแบ่งเป็นสองฝั่ง ฝั่งละ 2 ที่นั่ง ผมเลือกนั่งริมหน้าต่าง
โดยนั่งติดกับหนิงและนั่งหลับตาตลอดทาง ในใจคิดอย่างเดียวว่าเลิกคบกับนนท์แน่นอน
ผมไม่ชอบคนที่ไม่มีเหตุผล ... แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่ผมไม่เข้าใจก็คือ ทำไมผมต้องโกรธมันขนาดนี้ ...
ทำไมต้องคิดถึงขั้นเลิกคบกัน
 
ตลอดทางผมได้ยินเสียงเพื่อน ๆ กระซิบกระซาบกันแต่ไม่รู้ว่าพูดอะไรกัน ซักพักหนิงก็สะกิดผม
ผมเฉยไม่ตอบ ซักพักหนิงก็สะกิดผมอีก ผมลืมตาแกล้งทำงัวเงีย .. ไม่ใช่หนิง
คนที่นั่งข้างผมตอนนี้คือ ... นนท์

“เป็นไร …” นนท์ถามผม
“เปล่า” ผมตอบแล้วหลับตา
“เป็นดิ ... อยู่กันมานาน ทำไมจะไม่รู้” นนท์ยังคงเซ้าซี้ต่อ ทำเสียงทะเล้น
“นายแหละเป็นไร” ในที่สุดผมก็โพล่งคำถามที่คาใจออกมา
“โกรธจริง ๆ ด้วย ... ไม่งั้นไม่พูด ‘นาย’ หรอก” นนท์ยิ้ม ทำหน้าเป็น ผมหมั่นไส้อาการไม่รู้ว่าตัวผิดนี้ซะจริง ๆ 
“จะตอบไม่ตอบ ...” ผมพูดทำหน้าเซ็ง ก็เซ็งจริง ๆ มีไรทำไมไม่บอก นนท์ก้มหน้า ... เงียบไปพักนึง ...
“ก็แค่ไม่ชอบที่นายซื้อของไม่คิด”
ผมมองหน้านนท์ “เรื่องแค่เนี้ยต้องโกรธด้วย”
“เออ … ก็แค่ไม่ชอบ ใช้เงินไร้สาระ”
“เกี่ยวไรด้วย เงินเรา” ผมพูดห้วน ๆ
“ถ้าพ่อแม่นายรู้คงไม่ชอบ ... ไร้สาระ ใช้เงินไม่เป็น” ผมก็งงกันนท์ นนท์ลูกคนเดียว พ่อแม่ทำรีสอร์ท
อยู่ที่กระบี่ เรียกว่ามีตังค์แหละ ทำไมเรื่องแค่นี้ถึงได้มาย่งวุ่นวายกับผมเหลือเกิน
“ ... ตอนนี้ ... เงินหมดแล้วใช้มั๊ย” ด่าเสร็จหันมาถาม
“เออ ... เดี๋ยวกลับถึงเมืองว่าจะกดจากเมืองไทยซัก 600 ปอนด์” ผมตอบ
แต่อารมณ์ตอนนั้นรู้สึกผิด
“นายอะ ใช้เงินไม่คิด ... เรา .... รู้สึก .... ผิดหวังนิดหน่อย ... ก็เลยโกรธ ... แค่นั้นแหละ ....
ตอนนี้หายแล้ว ... ต่อไปนี้เวลาจะใช้เงินต้องมาขอทุกครั้งเข้าใจมะ” นนท์พูด พลางเอามือมาขยี้หัวผม
ผมพยักหน้า ยิ้มให้มัน คิดว่า ... ก็มันหวังดี ... ผมใช้เงินไม่ค่อยเป็นจริง ๆ แหละ ... อยู่ที่เมืองไทย
แม่จะให้เงินก่อนออกจากบ้านเสมอ ไม่เคยเข้าแบงค์ ไม่เคยมี ATM กดเงินก็ไม่เป็น
ในชีวิตเพิ่งเคยกดเงินครั้งแรกก็ตอนก่อนมาอังกฤษไม่กี่วัน ....
ตอนทำบัตรบัวหลวงพรีเมียร์ ของธนาคารกรุงเทพ แล้วลองกดเงินหน้าธนาคาร
(นั่นเป็นการกดเงินจากตู้ ATM ครั้งแรกในชีวิต)

บัตรบัวหลวงพรีเมียร์เป็นบัตร ATM ประเภทหนึ่ง
(ธนาคารอื่นก็มีนะ เช่นของกสิกรฯ นนท์ใช้ของกสิกรฯ
กดได้ครั้งละ 100,000 บาท เสียค่ากดครั้งละ 100 บาท)
ด้านหลังบัตรมีเครื่องหมาย plus+ ที่แสดงว่าสามารถกดเงินได้จากตู้ที่มีเครื่องหมาย plus + ได้ทั่วโลก
เสียค่ากดเงินครั้งละ 75 บาท แต่กดได้ครั้งละประมาณ 50,000 บาท ...
แต่จะว่าไปจำนวนเงินที่แน่นอนก็จำไม่ค่อยได้ เพราะเวลาจะกดเงินจากตู้ของธนาคารในอังกฤษ
แต่ละตู้ก็มักจะจำกัดให้กดได้ครั้งละไม่เกิน 600 ปอนด์ (ประมาณ 40,000 บาท) สุดท้ายก็เลยไม่รู้ว่าจริง ๆ
กดเงินได้ครั้งละเท่าไหร่กันแน่ ทุกครั้งที่กดเงินจากแบงค์ที่เมืองไทย ... ผมก็จะนำเงินก้อนนั้นไปฝากที่ธนาคาร
บาเคลย์ (Barclays bank) ซึ่งเป็นธนาคารที่โรงเรียนติดต่อให้มาเปิดบัญชีให้กับนักเรียนในโรงเรียน ...
การเปิดบัญชีของธนาคารที่นี่ค่อนข้างยากมากเพราะว่าต้องมีหนังสือรับรองจากทางโรงเรียนถึงจะเปิดได้ ...
รู้สึกว่าเมืองไทยจะเปิดง่ายกว่ามาก แค่มีบัตรประชาชนเท่านั้น ...

วันแรกที่มาถึงสก๊อตแลนด์ ... ผมก็กดเงินจากตู้ ATM ของ Barclays Bank ประมาณ 50 ปอนด์
เพื่อเอาไว้เป็นกองกลางในการเดินทาง ... ผมจำไม่ได้ว่า เงินในธนาคารของผมเหลืออยู่เท่าไหร่ ...
แต่ประมาณว่าน่าจะเหลือซัก 40-50 ปอนด์ กายบอกว่า ถ้าเงินเหลือไม่ถึงจำนวนที่กดเงินก็จะไม่ออกมา
แต่นี่เงินออกมาตามจำนวนที่กด ก็เลยเข้าใจว่าน่าจะเหลือพอดี
   “เคยจำบ้างมั๊ยว่าเหลือเงินในแบงค์เท่าไหร่” นนท์ถาม
   “ไม่” ผมตอบแล้วก็นับเงิน
   “แล้วทำไมไม่กด mini statement มาดู ...”
   “เออ ... ลืม ... ช่างเถอะถ้ามีเงินไม่พอ เงินมันก็ไม่ออกมา” ผมตอบ
   “รู้ได้ไง”
   “กายบอก ...”
   “เคยอ่านเอกสารบ้างมั๊ยเนี่ย” นนท์พูดพลางขยี้หัวผม
   “เอกสารไร” ก็ผมไม่รู้หนิ
   “ก็ของแบงค์ไง ... มัน overdraw (ถอนเงินเกินบัญชี) ได้โว้ย … โดนดอกเบี้ยบานแน่”
นนท์พูดแล้วตบหัวผม (อีกแระ)
   “ทำไมต้องรุนแรงด้วยวะ ซาดิสรึไง”

กลับมาเรื่องบนเครื่องบินต่อ … ตอนนี้ผมหายโกรธนนท์แระ (ง่ายจัง) ...
ก็นนท์เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของผมที่นี่นี่นา ... และนนท์ก็เป็นห่วงผมด้วย หลังจากลงจากเครื่องบิน
พวกเราก็ขึ้น underground เพื่อไปต่อรถไฟกลับเมือง ... ระหว่างรอรถไฟ เห้นว่ามีเวลาเหลือเกือบชั่วโมง ...
ผมก็เลยเดินไปกดเงินจากเมืองไทย 600 ปอนด์ ... แล้วโทรบอกแม่ว่ากำลังจะกลับเมืองและกดตังค์มา 600 ปอนด์ ......นนท์เดินมาหาผมที่ตู้ ATM แบะมือ
   “เอาเงินมา ... เก็บให้ เดี๋ยวหาย พอไปถึงเมืองค่อยเอาไปฝากแบงค์ ... ทำไมกดเงินตอนนี้นะ
น่าจะไปกดที่เมือง” นนท์บ่นแล้วตบหัวผมอีก
   'เออ ... กูผิดอีกแระ' ผมคิด แต่ก็ยื่นเงินให้นนท์แต่โดยดี ... คราวนี้พอผมจะซื้ออะไรก็ต้องขอนนท์
   “หิวน้ำ .. ขอตังค์”
   “อยากกินชอคโกแลต ... ขอตังค์”
ทุกครั้งที่ผมขอ ผมก็จะทำท่าน่าสงสาร (ทำไมฟระ) แววตาเว้าวอน ... ก็กลัวมันไม่ให้ (เงินใครกันแน่)
ก่อนจะให้นนท์จะทำท่าแสตมป์ที่หัวผมแล้วบอกว่า “Approve … (อนุญาต) ...”

   ระหว่างที่เดินทางกลับเมือง …. รถไฟว่างมาก ... ผม หนิงและเคียวโกะ นั่งด้วยกันที่นั่งตอนหน้า .... ส่วนกายกับนนท์นั่งด้วยกันที่ที่นั่งตอนหลัง หนิงถามผมว่า
   “ทำไม ... ต้องยอมให้นนท์เก็บเงินด้วยหละ”
   “นนท์บอกว่า เราใช้เงินไร้สาระ” ผมตอบพลางแกะชอคโกแลตกิน
   “ไร้สาระอะไร ....... แค่ซื้อกระเป๋าเป้บ้า ๆ บอ ๆ เนี่ยนะ” หนิงพูดยิ้ม ๆ
   “ไม่รู้ดิ … นนท์บอกว่า ... เราใช้เงินไม่เป็น”
เคียวโกะสวนขึ้นมาทำหน้าจริงจัง “ไม่รู้สิ ... ชั้นว่าคุณก็โตพอที่จะดูแลตัวเองได้แล้วนะ …
ทำไมเราจะใช้เงินของเราเองไม่ได้ ... คนเราความชอบไม่เหมือนกัน”

ผมก็ได้แต่นั่งฟัง ก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน ทำไมต้องให้นนท์เก็บเงินให้ ทำไมเวลาซื้อของต้องขอ ... 
เวลาจะซื้ออะไรต้องให้มันอนุญาตก่อน .... แปลก .. ที่ผมก็รู้สึกดี ... ผมชอบให้มีใครมาดูแล ...
เหมือนแม่มั้ง

 
เมื่อกลับถึงเมือง หนิง เคียวโกะ และกายลงก่อน 1 สถานี เพราะเป็นสถานีที่ใกล้บ้านมากกว่า ส่วนผมกับนนท์
ลงสถานีถัดไป
   “เอาของไปเก็บที่บ้านแล้วค่อยไปแบงค์” นนท์บอก แล้วเราก็เดินกับบ้าน เมื่อกลับถึงบ้านผมก็เห็น
กองจดหมายที่จ่าหน้าซองถึงผมหลายซอง ซองหนึ่งเป็นของ Barclays Bank ผมรีบเปิดออกอ่านถึงกับชะงัก
   “ว่าไง” นนท์ยื่นหน้ามาถาม
   “เรา ... overdraw จริงๆ ด้วย ... ถอนเกินไป 10 ปอนด์ ... โดนดอกเบี้ยอีก 10 ปอนด์ โหย ... แพงว่ะ”
   “บอกแล้ว ... ชอบใช้เงินไร้สาระ ... เสียดายมั๊ยล่ะ ... ต่อไป ... จะใช้ไรต้องมาถามก่อน เข้าใจมั๊ย” นนท์สั่งเสียงเด็ดขาด ผมพยักหน้า
   “เข็ดแล้ว ... เสียดายตังค์ว่ะ” ผมบ่น เพิ่งเบิกเงินไปเมื่อ 6 วันก่อนโดนดอกเบี้ยสิบปอนด์ ...
ถ้านานกว่านี้คงท่วมหนี้แน่
   “ไปแบงค์กัน ... ไปฝากเงินแล้วก็เคลียร์หนี้กับแบงค์ ได้บทเรียนแล้วนะ คราวหลังต้องรอบคอบ”
นนท์พูดแล้วเอามือขยี้หัวผม
   “ค๊าบบบบบบบ .. พี่คร๊าบบบบบบ” ผมตอบ
   นนท์ตบหัวผม (อีกแระ)
 
หลังจากวันนั้นพวกผมก็ไปเรียนกันตามปกติ ... อยู่มาวันหนึ่ง แคธี่บอกว่า ... จะมีนักเรียนชาวเม๊กซิโกมาอยู่
ร่วมบ้านกับผม ... เป็นผู้หญิง ... เธอชื่อริต้า ... ริต้าเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ผิวสีน้ำผึ้ง ตาโต ริมฝีปากอวบอิ่ม ...
ที่สำคัญ ... ตลกมาก .... แม้ริต้าพูดภาษอังกฤษยังไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่ แต่เธอทำให้ผมหัวเราะได้ตลอดเวลา .... ห้องของเราอยู่ติดกัน เธอมักจะเข้ามาคุยกับผมอยู่เสมอ เวลาไปโรงเรียนตอนเช้า ...
นนท์ก็จะเดินมารับผมกับริต้าเพื่อเดินไปเรียนด้วยกัน .... ถ้าวันไหนที่ตอนเช้าผมไม่มีเรียน
แต่ริต้าและนนท์มีเรียน นนท์ก็จะแวะมารอรับริต้าด้วย
 
เช้าวันเสาร์ ริต้าเข้ามานั่งในห้องของผม เพราะผมกำลังรื้อของในเป้เพื่อหาบัตร Young person rail card (บัตรลดราคาค่าตั๋วรถไฟสำหรับนักเรียน (หรือคนที่อายุไม่ถึง 26 ปี)) พวกเราสามคนคือ ผม ริต้า นนท์
ตกลงกันว่าจะไปเที่ยวที่ Brighton เมืองท่องเที่ยวริมทะเล ที่อยู่ไม่ห่างจากเมืองที่ผมอยู่ซักเท่าไหร่
อยู่ ๆ ริต้าก็ถามว่า

“นนท์... เป็น your boy friend หรือเปล่า”
“จะบ้าเหรอ ... ผมเป็นผู้ชายนะ” ผมตอบเสียงตกใจ
“แล้วไง ... ไม่เห็นแปลก” ริต้าขยิบตาแล้วถามต่อ “คุณชอบเค้ารึเปล่าล่ะ”
“ชอบ ........... แบบเพื่อน ... best friend น่ะ รู้จักเปล่า” ผมตอบ
“วู้ .... best friend ....” ริต้ายักคิ้ว
ไม่ทันได้คุยอะไรมากกว่านี้ ... แคธี่ตะโกนขึ้นมาเรียกผมให้รับโทรศัพท์ ... ผมก็เลยรีบวิ่งลงไปรับ
   “หนิงนะ ... วันนี้ว่างมั๊ย” เสียงหนิงดังมาตามสาย
   “เรากำลังจะไป Brighton กับนนท์แล้วก็ริต้าอะ ...ไปด้วยกันป่ะ”
   “คงไม่ไปหรอก .... ไม่เป็นไร ......... เราแค่เหงา .. อยากคุยกับนายอะ”
   “เราเหรอ …” ผมตอบแบบงงงงว่าทำไมหนิงไม่ชวนกายล่ะเห็นสนิทกัน …. หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง    หนิงก็ถามว่า “ไม่ไป brighton ได้ป่ะ อยากคุยด้วยมาก”
จะว่าไปผมก็เคยไปมาหลายทีแระ ... คราวนี้ที่ไปก็เพราะริต้ายังไม่เคยไป ก็เลยจะพาไป อีกอย่าง ...
ผมเห็นว่าหนิงคงมีเรื่องทุกข์ใจจริง ๆ ก็เลยรับปาก
   “งั้นเราไปหามั๊ย ...” ผมถาม
   “เดี๋ยวเราไปหานายเอง” หนิงตอบ
หลังจากวางโทรศัพท์จากหนิง ... ผมก็ขึ้นไปบอกริต้าว่าผมไปไม่ได้แล้ว ... ต้องอยู่เป็นเพื่อนหนิง ........
ซักพัก ... นนท์มาถึง นนท์กับริต้าก็ออกไปด้วยกัน นนท์ถามผมก่อนไ ป
   “เอาอะไรเปล่า ... ผมส่ายหน้า เคยไปมาตั้งหลายหนแระ เอาเหอะ ขอให้หนุกนะ”
            “Bye …”
          “มีไร ... ก็รีบโทรหาเราเลยนะ” นนท์สั่งก่อนออกจากบ้าน

 
ผมนั่งรอหนิงอยู่ในห้อง ซักพักหนิงก็มา ท่าทางร่าเริง
“เมื่อกี้เสียเศร้าเชียว ... ตอนนี้หายแล้วเหรอ” ผมถาม
“เปล่า ... แค่พยายามน่ะ” แล้วหนิงก็ทำหน้าสลดลง จนผมตกใจ ... หนิงร้องไห้ ...
   “เป็นไร ...” ผมดึงหนิงเข้ามากอดปลอบใจ (ผมไม่ได้ฉวยโอกาสนะค๊าบ)
หนิงร้องไห้เงียบ ๆ อยู่แป๊บนึง หนิงปาดน้ำตา แล้วพูดว่า
“หายแระ ...”
‘... ไรว่ะ ... ผู้หญิงเป็นอะไรที่เข้าใจยาก’ ผมคิดนะแต่ไม่ได้พูด
“แค่รู้สึกเศร้า ๆ น่ะ ....... วันนี้ ......... เป็นวันครบรอบ 1 ปี ......... ที่ ........... คู่หมั้นเราเสีย ...”
ผมอึ้ง ตกใจนิด ๆ ... ผมไม่เคยรู้เลยว่าหนิงเคยมีแฟน ... ไม่ใช่สิ ... คู่หมั้น ...
(คู่หมั้นเชียวนะ คู่หมั้นแปลว่าคนที่เรากำลังจะแต่งงานด้วย ... ) แล้ว ... ก็เสียไปแล้ว
หนิงเล่าให้ผมฟังคร่าว ๆ ผมไม่ได้ถามอะไรเลย นอกจากนั่งจับมือหนิงอยู่อย่างนั้น
หนิงเล่าว่าที่มาที่นี่เพราะทำใจไม่ได้ เห็นแต่ของเดิม ๆ ที่เดิม ๆ ที่ที่เคยไป ...
มันเศร้า .... ต้องกินยานอนหลับทุกคืน ไม่งั้นจะนอนไม่หลับ ... แต่พอมาที่นี่อาการก็ดีขึ้น ....
หนิงที่ผมรู้จัก 3 เดือนมานี้ ทั้งตลกและร่าเริง .... ผมรู้สึกเศร้าจัง ... รู้สึกหดหู่อย่างบอกไม่ถูก
ในเวลาที่เรากำลังจะไปเที่ยว ในเวลาที่เรากำลังมีความสุข มีคนที่กำลังมีความทุกข์อยู่เต็มไปหมด
... แต่เราไม่รู้
 
หนิงกลับบ้านไปแล้ว .... ผมยังนั่งนิ่งอยู่ที่โซฟาในห้อง มองออกไปนอกหน้าต่าง ...
ผมนั่งอยู่นานแค่ไหนก็ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีตอนที่ริต้าเปิดประตูห้องเข้ามา นนท์ก็มาด้วย หัวเราะร่าเริงกันมาเชียว
แต่จิตใจผมยังหดหู่เหมือนเดิม ...
‘ยังสนุกอยู่ได้ไม่รู้รึไง ... มีคนกำลังเศร้า’ นนท์กับริต้าผลัดกันเล่าเรื่องที่ไปเจอมาวันนี้อย่างสนุกสนาน
หัวเราะเสียงดัง ... ผมมองหน้านนท์แล้วถามนนท์ว่า
   “จะกลับบ้านได้รึยัง”
นนท์กับริต้าเงียบ หันมามองผม ... ผมเห็นนนท์กำหมัดแน่น แล้วบอกลาริต้า เดินออกจากห้องไปไม่มองหน้าผมเลยด้วยซ้ำ ... ปัง ... นนท์กระแทกประตู
 
ผมนั่งอยู่อย่างนั้นไม่รู้นานเท่าไหร่ มารู้ตัวอีกที ... ริต้าเคาะประตูเข้ามาในห้องแล้วยื่นหนังสือให้ ...
   “หนังสืออะไร” ผมถามงงงง
   “นนท์ซื้อมาฝาก .. นนท์บอกว่า ... คุณอยากได้”
ผมมองไปที่หนังสือ ในมือริต้า ... เป็นหนังสือที่ผมเคยบ่นอยากได้อยู่บ่อยๆ เป็นเล่ม First Edition
(พิมพ์ครั้งแรก) หายากและแพง ... ผมอึ้งที่นนท์ยังจำได้
   “เราไปร้านขายหนังสือเก่าตั้งหลายร้าน ... นนท์บอกว่าอยากหาให้คุณ ...
เพราะคุณชอบหนังสือเรื่องนี้มาก .... เค้านึกถึงคุณตลอดเลยนะ เดินไปไหนเค้าก็บอกว่าคราวที่แล้ว
ที่มาด้วยกันพวกคุณไปร้านไหนกันมาบ้าง”
ริต้าพูดไม่หยุด ได้ฟังถึงตอนนี้ ผมรู้สึกอึ้ง ... น้ำตามาจากไหนไม่รู้ ... คลอเต็มตาไปหมด …
ทำไมผมต้องโกรธนนท์ด้วย ... ตอนนี้ผมรู้สึกผิดต่อนนท์มาก .... ผมมันคนไม่มีเหตุผล ...
ผมเป็นอะไร … ผมรีบลุกออกจากห้อง ... คว้าเสื้อแจ๊กเกตกันหนาว เดินออกจากห้อง ...
ผมจะไปหานนท์ที่บ้าน ...
 
ผมกดกริ่งหน้าบ้านนนท์ ... รอซักพัก เบรานิส (house mate ของนนท์) เดินมาเปิดประตูให้ ยิ้มหวาน
   “มาหานนท์เหรอ อยู่ในห้องแหนะ” สาวฝรั่งเศสคนสวยพูด
   “Thanks” ผมกล่าวขอบคุณ เธอบอกว่า “ขึ้นบันได ห้องแรกซ้ายมือ” ผมก็เดินขึ้นบันได
ไปที่ห้องนนท์แล้วเคาะประตู
   “Yes” (แปลว่า เชิญ) นนท์ตอบ คงนึกว่าผมเป็นใครซักคนในบ้าน ผมก็เลยผลักประตูเข้าไป ...
นนท์กำลังนั่งยู่บนเตียงเขียนไดอารี่ ... เงยหน้ามองผมแวบนึง ผมเดินเข้าไปใกล้นนท์แล้วพูดเบา ๆ
   “ขอโทษ”
   นนท์เงียบ
   “ขอโทษ”
นนท์ยังเงียบเหมือนเดิม ก้มหน้าเขียนไดอารี่เหมือนไม่มีผมอยู่ในห้อง ... ตอนนี้ในใจคิดว่ากลับดีกว่า
ทำไมต้องทนคนที่ไม่มีเหตุผล อุตส่าห์ขอโทษแล้วนะ (ใครกันแน่ไม่มีเหตุผล) ...
ผมทำท่าจะเดินออกจากห้อง
   “นายอะ เป็นไร ...” นนท์พูดออกมา (จนได้) (เดี๋ยวนี้เราเปลี่ยนสรรพนามเรียกกันว่า
นายกับเราตั้งแต่เมื่อไหร่จำไม่ได้ )
   “เปล่า ... แค่หดหู่” ผมตอบพลางเดินไปนั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือ
   “เรื่องอะไร”  นนท์ถาม พร้อมวางไดอารี่ลง .... ผมเล่าเรื่องหนิงให้ฟัง ...
เรื่องของหนิงทำให้ผมเศร้า ผมคิดว่าทุกคนควรเศร้ากับเรื่องของหนิง ...
พอผมเห็นนนท์กับริต้ากลับมาจาก Brighton หัวเราะกันอย่างมีความสุข ผมเลยโกรธ ....
ผมคิดว่า .. ผมคงโกรธที่ทำไมไม่มีใครเข้าใจคนอื่น คนอื่นกำลังมีความทุกข์นะ

   “คราวหลังไม่ต้องไปฟังเรื่องของหนิงแล้วนะ” นนท์ออกคำสั่งเสียงเด็ดขาด
ผมงงกับคำสั่งของนนท์ ...    นนท์ยังพูดต่อ
             “ … ถ้า ... ยังชอบแบกเรื่องของคนอื่นไว้อย่างนี้ ... นายน่ะ ช่วยได้ก็แค่รับฟัง ...
ไม่ใช่รับมาเป็นความทุกข์ของตัวเอง” ผมมองหน้านนท์ เข้าใจสิ่งที่นนท์พูด นนท์ลุกจากเตียงเดินมาใกล้ ...
ลูบหัวผม
   “เด็กเอ้ยยยย”
   “ขอโทษ ... คราวหลังไม่ทำอีกแล้ว”
   “รู้มั๊ย ... ตอนที่นายไล่เรากลับบ้านน่ะ เราโกรธมากเลย ... ถ้าเป็นคนอื่นเราคงต่อยไปแล้ว ... ”
   “ขอบใจนะ”
   “อะไร” นนท์ทำหน้างง
   “ก็ที่นายไม่ต่อยเราไง ... ไม่งั้นเราคงตาย ...” ผมพูด
   “ไป ... กลับบ้าน เดี๋ยวเดินไปส่ง” นนท์พูดเอื้อมมือมาขยี้หัว (อีกแระ)
   “ค๊าบบบบบบ”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-12-2008 00:35:56 โดย คุณเพื่อน »

Jeremy_F

  • บุคคลทั่วไป
น่ารักครับ ทั้งสองคนอ่ะ  :impress: :impress:

 :bye2:

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
แนวหลงรักเพื่อนรึยัง มานคงแบบว่าเริ่มๆซึมทีละนิดๆ มารู้ตัวอีกที หมดใจไปแล้ว

รออ่านต่อนะ  :กอด1:

ออฟไลน์ ||WiTHOuT_YoU||

  • ที่รักของใครสักคน
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2633
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +170/-6
    • MoSHI
เพื่อนสนิท(คิดไม่ซื่อ) หรือเปล่าเนี่ย
 :z2: :z2: :z2:

sky-cafe

  • บุคคลทั่วไป
แหมมม นนท์โกรธเพราะใช้เงินไม่เป็นน่ะเอง
ทำไมนิสัยดีอย่างงี้เนี้ยยยยย :-[

แถมทำตัวน่ารักโดยการไปหาหนังสือ first edition ให้เพื่อนด้วยเป็นเรา เราดีใจตายเลยนะเนี้ยยย

รอตอนต่อไปนะค่ะ  :impress2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด