Part 8
“เข้ามาเลยเฮียๆ” มันเดินนำผมเข้ามา… เตะพวกบรรดากล่องเปล่า และหนังสือสองสามเล่มให้พ้นทาง (ดูมัน…สอบตกแล้วจะหากรูไม่เตือน -*-)
“ทำไมไม่ทำความสะอาดห้องมั่งวะ” ที่พูดก็เพราะเหลือบไปเห็นสิ่งที่มันวางกองอยู่บนเตียง มีทั้งหนังสือเล่มเล็กเล่มโต รูปภาพใส่กรอบและวางแบะทิ้งไว้ โน้ตบุ๊คและเสื้อผ้ามากมาย จนผมอดแปลกใจไม่ได้ ทั้งๆ ที่มันดูเป็นแม่ศรีเรือนทำกับข้าวอร่อยขนาดนั้น แต่กลับไม่รู้จักดูแลความสะอาดห้องเสียเลย…หรือมันเป็นสไตล์เด็กอาร์ตวะ??
“ไม่เอาอ่ะ เก็บแล้วหาไม่เจอ”
“เฮ้ย! เค้ามีแต่ไม่เก็บแล้วหาไม่เจอ นี่เก็บแล้วหาไม่เจอ??” มันยืนงงกับวิถีชีวิตมันเหลือเกิน
“จริงๆ…เฮีย มาดูนี่ๆ”
มันเปลี่ยนเรื่องโดยการลากผมไปกลางห้อง ตรงห้องรับแขกของมันไม่มีอะไรเลยครับ มีแค่เก้าอี้ไม้หัวกลมไม่มีพนักตั้งอยู่ตัวเดียว ข้างหน้าเป็นกระดานวาดรูปขนาดใหญ่ที่สูงเกือบท่วมหัวพิงผนังห้องไว้ ถึงจะแปลกแต่ก็ดูเท่สมเด็กติสท์ดี
“โห ทำไมต้องกระดานใหญ่ขนาดนี้ด้วย?” ผมยืนเข้าไปดูใกล้ แต่ก็…
“แบบนี้ไง! เฮียถอยยยย”
“เฮ้ยยยยยย”
ไม่ทันที่ผมจะหลบได้ดีมากนัก ร่างของเจ้ามิกกี้ก็พุ่งเข้ามาแทรกผมไปอย่างเฉียดฉิว กระแทกเข้ากับกระดาน แต่ไม่แรงมาก ผมตกใจจนผงะ ตายังเบิกค้างกับการกระทำของอีกฝ่าย … ทะ ทำอะไรฟะ!?
“แล้วมันก็จะเป็นแบบนี้” เจ้าหนูค่อยๆ ยันตัวออกมา พร้อมกับชี้ไปที่แผ่นกระดาษที่มีรอยตัวมันอยู่เต็มๆ โหเฮะ เด็กติสท์เค้าสร้างสรรค์งานศิลปะกันแบบนี้เองเหรอวะ!? ถึงว่าเสียงโครมวันแรกที่ได้ยินมันคือเสียงสิ่งนี้นี่เอง…
“อะ…อืม” ผมยังยืนงงทำอะไรไม่ถูก ได้แต่พยักหน้าเออออไปกับมัน
“นี่เค้าเรียก ลงสีแบบอิสระ….เฮียลองทำดูสิ” เอ่อ… มันอิสระไปมั้ย?? ผมคิดในใจ
“เฮ้ย! ไม่เอาๆ” ส่ายหน้าจนหัวแทบหลุด
“น่า…นะ สนุกออก” ไม่ทันให้ผมได้ปฏิเสธ เจ้าหนูมิกกี้ก็เดินมาแล้วจัดการดึงเสื้อกล้ามผมออกทันที ด้วยความที่ไม่ทันตั้งตัวทำให้ผมจำต้องยกแขนขึ้น ปล่อยให้เสื้อหลุดจากตัว …ผมมองเสื้อตัวเองที่ถูกโยนลอยละลิ่วไปพาดกับเก้าอี้เสียแล้ว
“แล้วทำแบบนี้” ว่าแล้วมันก็เอาสีมาป้ายตามตัวผม จนเลอะเทอะไปหมด
“เฮ้ยๆ ล้างออกมั้ยเนี่ย”
“เอาน่า….เอ้า เสร็จแล้ว หนึ่ง สอง ซั่มมมม”
ในที่สุดเจ้าหนูมิกกี้ก็ดันผมให้เข้าใกล้กับกระดานใบโต แต่ผมเบรกไว้นิดนึง ไม่ได้พุ่งเข้าชนแบบไอ้หนูมัน… กลัวร่างกายจะแตกหักซะก่อน อายุอานามก็ไม่ใช่น้อยๆ กระดูกกระเดี้ยวเปราะขึ้นมาทำไง…(เว่อร์ไปละ)
แล้วผมก็ค่อยๆ ยกมือที่เปื้อนสีขึ้นแปะกับกระดาษจนเป็นรอยมือสีเหลือง แต่อยู่ๆ เจ้าหนูนั่นก็เข้ามากระแทกผมจากไหนไม่รู้ทำให้ผมรีบหันสีข้างของตัวเองเข้าไปชนกับกระดานจนเป็นรอยสีเหลืองประหลาดๆ ….
“โอ๊ยยย เล่นไรวะเนี่ย!” ผมรีบโวยวายไว้ก่อน
“ฮ่าๆ” มันหัวเราะไม่สนใจผม แล้วลงละเลงบนแผ่นกระดาษขาวอีกครั้ง
“เฮ้อออ”
“ทำอีกสิเฮีย…”
“เออๆ เฮ้ยยย!” เอาอีกละ พูดจาสองแง่สองง่ามอีกแล้ว… ไอ้เด็กน้อยเอ้ยยยย
มันก็สนุกดีไปอีกแบบนะครับ ที่ได้ใช้ชีวิตในอีกรูปแบบหนึ่งกับหมอนี่… มันสอนผมร่างแบบวาดรูป หลักการมากมายที่ผมจำไม่ได้ แถมภาคปฏิบัติก็ห่วยแตก คิดดูสิครับ สามารถวาดโดเรมอนออกมาเหมือนแมวติดยาได้ (ไอ้มิกกี้มันว่างั้น…เพราะโดเรม่อนผมผอมจนผิดสัดส่วน = =’’) บางทีผมก็นอนเล่นบนเตียง มองมันนั่งเก้าอี้ตัวโปรดฟังเพลงวาดรูปอะไรไปเรื่อย ไม่รู้ทำไม…ที่ผมคิดว่าเพลินจัง
ที่เหลือของวันนั้นผมเลยใช้เวลาขลุกอยู่กับเจ้าตัวยุ่งจนค่ำมืด… แล้วมันก็ทำสปาเก็ตตี้มีทบอลให้กินกันอีกมื้อ ถามไปถามมาทำไมมันถึงทำอาหารเก่งแบบนี้ เลยได้คำตอบว่า ‘ก็บ้านผมเป็นร้านอาหารน่ะสิ เลยทำเป็นมาตั้งแต่เด็กแล้ว’ ผมถึงค่อยเข้าใจ เพราะลุคมันไม่ได้เหมาะกับพ่อครัวเล้ย
ตอนค่ำ…มันถามผมอีกว่าขอนอนด้วยได้มั้ย ซึ่งผมก็คิดไว้อยู่แล้วล่ะว่ามันจะต้องพูด
“ไม่คิดจะนอนคนเดียวเลยหรือไง?” ผมแกล้งถาม หน้านิ่ง
“…ขอโทษครับ งั้นวันนี้ผม…” ไอ้เจ้าหนูมิกกี้หน้าหงอ มือถือหมอนข้างลายหมีพูห์อันเดิมกำลังจะเดินหันข้างไปที่ห้องตัวเอง
“มื้อเช้าขอเป็นแซนวิชกับกาแฟนะ กินข้าวแต่เช้ามันหนักเกินไป” ผมว่า แล้วยิ้มให้มัน พร้อมทั้งยื่นมือไปขยี้หัวหลอดแข็งๆ ของมันอย่างเอ็นดู… เอาวะ ไหนๆ ก็ดูแลเด็กมาตลอดทั้งชีวิตแล้ว แถมเด็กคนแรกนั้นมันก็หนีไปจากอ้อมอกแล้วเสียด้วย จะรับดูแลคนใหม่สักคนจะเป็นไรไป…
เจ้าเด็กน้อยข้างหน้าหันมายิ้มกว้างด้วยความดีใจ แล้วรีบแทรกตัวผ่านแขนผมเข้ามาในห้องทันที…
……………………………………………
ชีวิตของผมก็ดำเนินแบบนี้ไปเรื่อยๆ เจ้าหนูมิกกี้จากเป็นแค่คนข้างห้องก็กลายมาเป็นน้องชายคนสนิท แต่ก็ยังไม่ได้สนิทอะไรมากขนาดนั้นหรอกครับ บางทีก็ขลุกอยู่ด้วยกันทั้งวัน บางทีก็ไม่ได้เจอกันเกือบสัปดาห์ก็มีเพราะผมต้องไปๆ มาๆ ระหว่างไทยและอเมริกา… ผมน่ะไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจอะไรเท่าไหร่อยู่แล้ว ส่วนเจ้าหนูนั่นก็ดูใช้ชีวิตแบบชิลๆ ถึงมันจะติดผมหนึบ แต่ก็ไม่ได้ทำตัวน่ารำคาญอะไร…
หรือเพราะผมเห็นว่ามันไม่น่ารำคาญเองนะ?
มีบ้างทีทะเลาะกันเล็กน้อย… แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องหยุมหยิม เช่น เย็นนี้ผมอยากกินอย่างนี้ แต่มันอยากกินอย่างนึง สุดท้ายเลยต้องเป่ายิงฉุบกันเพื่อตัดสิน หรือไปเช่าหนังกัน แล้วทะเลาะกลางร้านเช่าดีวีดีว่าดาราคนนี้เคยมีอะไรกับคนนี้หรือเปล่า… มันดูงี่เง่า แต่ก็เป็นเรื่องงี่เง่าที่ผมไม่เคยทำมาก่อนในชีวิต
ผมเป็นลูกคนเดียว… ไม่มีพี่น้อง แม่บอกว่าผมอยากได้น้องมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว แต่ด้วยโรคประจำตัวของแม่ที่ทำให้มีลูกยาก… ความหวังของผมจึงพังทลาย แต่ก็เยียวยาได้เมื่อได้เจอกับลูกของลุงพล… เจ้าเด็กน้อยตัวแสบของผม มองเจ้ามิกกี้ทีไร ผมก็นึกถึงเขาทุกที ถึงนิสัยจะต่างกันคนละขั้วเลยก็ตาม
เมื่อสองวันก่อน… ผมได้รับโทรศัพท์จากเค้า น้องชายสุดที่รักของผม เขาบอกว่ากำลังจะกลับมาไทย และอยากมาเจอผม หลังจากที่สวนกันไปสวนกันมาหลายรอบ และไม่ได้เจอกันมาหลายเดือนแล้ว
พูดแล้วก็คิดถึง… ป่านนี้จะอยู่ส่วนไหนของโลกแล้วนะ จะใกล้กลับมาหรือยัง… จะรู้บ้างไหมว่าใครบางคน ที่มุมเล็กมุมหนึ่งของประเทศไทย..คนตรงนี้รักและคิดถึงน้องมากมายขนาดไหน
“เฮียๆ” เสียงเจ้าตัวยุ่งดังขึ้นมา ทำให้ผมตื่นขึ้นจากภวังค์
“…อืม ว่าไง”
“เหม่ออะไร” มันยื่นหน้าเข้ามาใกล้ จนผมต้องดันออกไป…รู้สึกหัวใจมันไหววูบชอบกล
“เปล่า”
“เถียงอีก ก็เหม่ออยู่ชัดๆ”
“ก็บอกว่าเปล่า” ผมยังคงเถียง มือก็จับผมไอ้หนูเล่น มันค่อยๆ เลื้อยมานอนตักผม… หลายคนอาจจะคิดว่ามันแปลก ตอนแรกผมก็คิดว่าแปลกเหมือนกันกับอาการถึงเนื้อถึงตัวของเจ้ามิกกี้ ว่างไม่ได้ชอบเอาส่วนใดส่วนนึงมาแปะไว้กับตัวผมทุกที ไม่แขนก็ขา… พอนานไปถึงรู้ว่ามันคืออาการอ้อนรูปแบบหนึ่ง ส่วนผมนะเหรอ… ชินแล้วล่ะ รู้สึกเหมือนเลี้ยงหมาตัวน้อยมากกว่า ตามใจหน่อยก็ลัลล้า ดุหน่อยก็หงอไปทั้งวัน น่ารักดี…
พวกเราสนิทกันจนขนาดไอ้ชิน ไอ้เกย์แร่ดข้างห้องผมยังแซวเลยว่า… ท่าทางผมจะได้เมียเด็กก็งานนี้… และผลก็คือ ผมง้างตรีนถีบไปกลางหลังมันเต็มๆ แต่มันไม่ยักกะโกรธ กลับหัวเราะชอบใจอยู่อย่างนั้น พอมันพูดก็ทำให้ผมเริ่มคิด การที่เราสนิทกับมันแบบนี้จะดีเหรอ?
มีบางครั้งที่ผมรู้สึกเอ็นดูเจ้าหมอนี่มากๆ เพราะมันอ้อนเสียเหลือเกิน… แต่ก็ยังมั่นใจว่าความรู้สึกนี้มันไม่เกินเลยคำว่า ‘พี่ชาย-น้องชาย’ แน่นอน …แต่การอยู่คนเดียวนานเกินนี่ทำให้คนเราหวั่นไหวได้รึเปล่านะ?
“เฮียยย พรุ่งนี้ไปมหาลัยผมนะ” ไอ้เจ้ามิกกี้ส่งเสียงดังขึ้น มันมองผมจากมุมต่ำเพราะกำลังหนุนตักนอนอ่านการ์ตูนอยู่
“ไปทำไม?”
“พรุ่งนี้มีแข่งบาส มาเชียร์หน่อยเด่ะ”
“แข่ง? ใครแข่ง?” ผมขมวดคิ้วถาม… มือก็ถือรีโมททีวีเปลี่ยนช่องไปเรื่อย มันคงน่ารำคาญไอ้เจ้าหนูถึงแย่งรีโมทไปกดปิดแทน ผมหันไปทำตาดุใส่เล็กน้อย แล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองรอบห้อง…ที่ประดับประดาไปด้วยงานศิลปะที่ทั้งผมและมัน หรือช่วยกันสรรค์สร้างขึ้นมา ดูตลกพิลึก..
“ผมดิ แข่งกับพวกวิดวะฯ เฮียมานะๆ” มันยังเขย่าแขนผมไม่เลิก แถมยังเอาหัวถูไปมากับหน้าตักอีก สาดด มันเสียวนะเว้ยยย!
“เออๆ กี่โมง?” ผมพูดไปด้วยดันหัวมันขึ้นไปด้วย…
“5 โมงครับผม”
สรุปแล้วผมก็เลยตามเลย เอาเถอะ ช่วงนี้งานยังไม่มีอะไรมาก ถึงจะโดนอาต๋อยที่บริษัทเก่าพยายามเรียกตัวกลับไปทำงานหลายครั้ง แต่ผมก็ยังลังเลไม่น้อยว่าจะเลือกทางไหน ระหว่างธุรกิจใหม่ที่ยังไม่เข้าที่เข้าทาง ปัญหากองท่วมหัว กับกลับไปงานเก่าที่เคยถนัด …ทั้งๆ ที่มันดูเลือกง่าย แต่ไม่รู้ทำไม จิตใจผมถึงยังว้าวุ่นได้ขนาดนี้
…………………………………………
ผมมองดูนาฬิกาเหนือทีวีในขณะที่ในมือก็กำลังถือโทรศัพท์คุยงานไปด้วย
“แม่ง 4 โมงกว่าแล้วว่ะ” ผมบ่น รีบลุกขึ้นเก็บเอกสารบนโต๊ะใส่แฟ้มให้เรียบร้อย
“เพิ่งจะ 4 โมงเอง รีบไปไหนวะ” ไอ้ไมล์ถามมาตามสาย…
“มีนัด”
“โหยยยยยยยยย ไอ้ป็อบบบบบบบ หมั่นไส้ว่ะ นัดสาวที่ไหนไว้ ฮิ้วววว” นั่น…อีกฝ่ายส่งเสียงร้องแซวเสียงดังลั่น นี่มึงทำงานอยู่จริงรึเปล่าวะ!?
“เตี่ยมึงเป็นนกหวีดรึไงสาด สาวเสิวที่ไหน… ไอ้ตัวยุ่งที่เล่าให้ฟังนั่นแหล่ะ มันแข่งบาสวันนี้ บังคับกูไปดูให้ได้เนี่ย” ผมว่า รีบปิดคอมทันที ไปช้าแม่งบ่นยาวไปจนดึกชัวร์
“อ๋อ หึหึ น้องมิกกี้น่ะเหรอ อยากเห็นหน้าว่ะ…ทำเอาพี่แดนรักพี่แดนหลงได้ขนาดนี้”
“รักหลงเชี้ยไรล่ะ มึงอย่าเลอะเทอะ นั่นน้องเว้ย! แล้วมันก็ไม่ได้หน้าตาน่ารักอะไรนักหนาหรอก ทำหัวเดดล็อกอย่างโหด แถมยังสกปรกซอมซ่ออีกต่างหาก” ผมเถียง พยายามอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจให้ถูกๆ หน่อย
“เหรอออออ”
“ครับบบบบ ไอ้สัด”
“เจ้ย แค่นี้ต้องหยาบคาย เค้ารับไม่ได้นะตัววว” ไอ้ไมล์ดัดเสียงเหมือนกะเทยรุ่นดึก(ดำบรรพ์) เส่นเอาผมขนลุกซู่ตั้งแต่หัวยันนิ้วตรีน
“เออๆ แค่นี้นะ ค่อยคุยกัน สายแล้วว่ะ ไปช้าแม่งบ่นอีก”
“คร้าบบบ มีอนาคตกลัวเมียนะมึง หึหึ…สงสัย..”
ตู้ด ตู้ด ตู้ด… อ่อ ผมตัดสายไปเองแหล่ะครับ รำคาญฟังไอ้ไมล์มันเพ้อ น่ารำคาญ ไม่งั้นวันนี้คงคุยไม่จบไม่สิ้น ผมรีบจัดเก็บเอกสารที่นั่งทำตั้งแต่เช้าให้เข้าที่… เงยหน้ามองนาฬิกา เหวยยย 4 โมงครึ่งแล้ว บึ่งรถจากนี่ไปมหาลัยเจ้าหนูก็คงไม่น่าเกิน 20 นาที เอาวะ!
ติ๊ง ต่อง…
สาดดด ใครมาตอนนี้อีกเนี่ย! คนยิ่งกำลังรนๆ รีบๆ อยู่
ผมรีบวิ่งไปเปิดประตู เหงื่อโทรมกาย… แต่พอเห็นคนที่ยืนยิ้มอยู่หน้าประตู ก็ต้องถึงกับเหงื่อแตกมากขึ้นกว่าเดิม
“….มาร์ช”
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
กรี๊ดดด สุดหล่อโผล่แล้ว อิอิ
