Part 20
แล้วเจ้าหนูก็เดินลิ่วๆ ไม่รอผมเลยสักนิด ทิ้งให้สองสาวนั่งงงว่าเกิดอะไรขึ้น ส่วนผมน่ะเหรอ ก็อยากจะนั่งอยู่หรอกนะ… แต่อยากจะตามไอ้เด็กน้อยที่เดินงอนตูดสะบัดไปนู่นแล้วมากกว่า ว่าแล้วก็บอกลาน้องบัวกับน้องแต้วเสีย
“เฮ้ คนอื่นล่ะ” ผมถามไอ้หน้าตูดเมื่อเดินตามทัน มันหันมามองผมด้วยหางตานิดนึง ก่อนที่จะก้าวจ้ำๆ ไม่รอ
“อยู่ห้องปั้น” ไอ้ห้องที่ว่าเนี่ย ก็คือห้องที่เอาไว้สำหรับงานปั้นทั้งหลายครับ แต่ด้วยที่ว่ามันเป็นห้องเก่า ไม่ค่อยได้ใช้เท่าไหร่ แถมคนลงเรียนวิชานี้น้อย เลยแทบจะกลายเป็นร้าง และสุดท้าย…ก็เป็นแหล่งกบดานของพวกลิงค่างทั้งหลาย
ผมไม่ได้ทักท้วงหรือถามอะไรต่อ เพราะดูไอ้หนูมันอารมณ์บ่จอยเท่าไหร่นัก เลยได้แต่เดินตามๆ มันไป ไม่นานก็มาถึง ‘ห้องปูน’ ไอ้พวกค่างทั้งหลายประมาณ 5-6 คนจับกลุ่มปูเสื่อนั่งเปิบข้าวเที่ยงกันอย่างสบายใจ มิกกี้เดินสะบัดตรูดหนีผมไปหย่อนก้นลงข้างๆ ไอ้โจ้ทันทีโดยไม่แม้แต่เหลียวหางตามามองผม จะเข้าไปนั่งแทรกก็ยังไงอยู่เพราะตรงนั้นมันเต็มแล้ว
“นั่งๆ เฮีย นั่งนี่” ไอ้นัทกวักมือเรียกให้ไปนั่งข้างๆ มัน สุดท้ายเลยได้นั่งอีกสองคนถัดมาห่างจากเจ้าหนู ก็คือ ไอ้ปุ้น จิ๊บ และข้างขวาผมเป็นไอ้นัทนั่นเอง
“กินไรกันวะ?” ผมถาม มองดูเมนูต่างๆ ที่วางเกลื่อนบนเสื่อแล้วก็ต้องกลืนน้ำลายดังเอื้อก… ไม่ใช่น่ากินนะครับ สยองต่างหาก
“ของบ้านๆ น่ะเฮีย” ไอ้จิ๊บว่า
“กินเลยๆ ฟรี มื้อนี้ไอ้นัทเลี้ยงงง ฮิ้วววว” เสียงลูกคู่ของไอ้โจ้ดังขึ้น พร้อมกับเพื่อนๆ ที่ส่งเสียงร้องตาม มันยกมือทำท่าเล่นเวฟเฮฮาไปตามประสา ผมว่ามันคงแดร๊กเบียร์ไปได้พักหนึ่งแล้ว เพราะแต่ละคนเริ่มหน้าแดงเล็กๆ ยกเว้นไอ้มิกกี้ที่นั่งนิ่ง หน้าขาวเหมือนเดิม
ผมมองดูอาหารตรงหน้า…อีสานมาเชียวนะพวกมึง ส่วนใหญ่ก็เป็นของรสจัดๆ แกล้มเหล้าแกล้งเบียร์ครับ อย่าง ลาบ ส้มตำ น้ำตก พล่า แกงอ่อม แจ่วบอง แกงขี้เหล็ก (เอ่อ…นี่กรูอยู่ยโสธรรึเปล่า เริ่มไม่แน่ใจ) ผมถึงกับแปลกใจเพราะไอ้เด็กพวกนี้น่ะ มันเด็กกรุงเทพทั้งนั้นนะครับ ไม่น่าเชื่อว่ามันจะกินอาหารที่อีสานแท้ๆ ได้ถึงใจขนาดนี้….
ไอ้นัทพยักเพยิดให้ผมกินส้มตำปูปลาร้าตรงหน้า กลิ่นปลาเน่าโชยมาแต่ไกลแถมยังพริกสีแดงสลับเขียวที่ลอยประปรายยิ่งทำให้ผมอยากจะอ้อกเสียให้ได้…. เออ! ใช่! กรูกินปลาร้าไม่เป็น! และ….กรูกินเผ็ดไม่ได้! (ได้โปรดอย่าซ้ำเติม) ผมได้แต่ส่ายหน้าให้กับน้ำใจที่เกือบจะกลายเป็นยาพิษของไอ้เด็กข้างๆ
“เฮีย อย่ามาๆ กินเร็วเข้า” มันใช้มือเปล่าจกข้าวเหนียวใส่จานผม แล้วยื่นให้ ห่าเอ้ย…มือเกาหำมารึเปล่าเนี่ย มาควักล้วงของกินให้ตรู =__=ll
“เอ่อ…”
“ไรวะ เดี๋ยวนี้เล่นตัวเหรอเฮีย เค้าเสียใจนะ…ได้เค้าแล้วทิ้งแบบนี้ ฮึกๆ” ไอ้นัทมันยังไม่เลิก มือนึงถือจานใส่ข้าวเหนียวกับตำปูปลาร้า ยกขาขึ้นเปลี่ยนมานั่งพับเพียบ แล้วหยิบผ้าขี้ริ้ว (เน้นว่าผ้าขี้ริ้ว) มาซับน้ำตาสะอึกสะอื้น
“วางไว้ เดี๋ยวกินเอง” จะให้บอกว่ากรูกินไม่ได้ก็เสียฟอร์มหมดสิครับ เดี๋ยวโดนหาว่าอ่อน แม่งเอ้ยยย ไม่ทรมานกระเป๋าตังค์กรูก็ทำร้ายกระเพาะกรูกันจังเลยน้า ไอ้พวกเด็กเวร
ผมจึงหยิบเบียร์ขึ้นมาซดแทนเพื่อให้ไอ้นัทเห็นว่า ‘เฮ้ย กรูจะแดรกเบียร์ก่อน’ และเลิกคะยั้นคะยอผมเสียที ระหว่างนั้นคนอื่นๆ ก็คุยเล่นเฮฮาไปตามประสา วันนี้ผมอนุญาตให้พวกมันดื่มแอลกอฮอลล์กันได้ครับ เพราะมีผมคอยดูแลอยู่ (แต่ไม่รู้จะช่วยอะไรได้มากหรือเปล่า) พวกมันเลยสวรญเฮฮากันเต็มที่ ส่วนใหญ่ไอ้ปุ้นจะถูกแซว เพราะวันนี้มันดันไปพรีเซ้นต์งาน แล้วเสือกหยิบงานมาผิด เป็นรูปที่มันวาดสาวที่แอบชอบไว้ เลยตามน้ำ…ซะงั้น หน้าเอ๋อๆ กับความกะล่อนของมันทำเอาเพื่อนในชั้นหัวเราะจนแทบตกเก้าอี้ แต่คะแนนนี่สิ… สงสัยจะแทบตกเช่นเดียวกัน
ไอ้ผมก็หัวเราะไปตามพวกมัน ถึงจะรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง… มองเจ้าหนูที่นั่งยิ้ม นั่งขำกับมุขเสี่ยวๆ ของเพื่อน แต่ไม่รู้ทำไม ผมรู้สึกว่ามันหันมามองผมบ่อยเหลือเกิน แถมพอผมมองกลับ มันจะรีบหลบสายตาหันหัวไปพิงไอ้โจ้ทันที ….ตอนแรกก็ไม่คิดอะไรหรอกครับ หลังๆ มันเริ่มซัดเบียร์เหมือนสูบน้ำ แล้วเลื้อยไปตามตัวไอ้โจ้มากขึ้นๆ

“ไอ้กี้ มึงแดรกช้าๆ หน่อยก็ได้ ซดเอาๆ แบบนี้เดี๋ยวมีตายนะมึง” ไอ้ปุ่นสังเกตเห็นเลยเตือนเพื่อนด้วยความหวังดี ประมาณ ไอ้ห่านี่ แชร์ค่าเบียร์เท่ากัน เสือกแดรกมากกว่าชาวบ้าน -*-
เจ้าหนูไม่ตอบ ได้แต่หันหน้าหนีแล้วซบลงกับบ่าไอ้โจ้ ไอ้ห่าโจ้เองก็นิ่ง… นั่งยิ้มยอมให้อีกฝ่ายเสือกกระสนถูไถเถือกอยู่ได้ เยะแม่ง… แล้วทำไมกรูต้องโมโหด้วยวะ

“เฮียเป็นไร ทำหน้าดุชะมัด” ไอ้จิ๊บทักผม ทั้งๆ ที่ผมเองก็ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าตอนนี้กำลังทำหน้ายังไง รู้แค่มองไอ้คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามอย่างไม่ลดละแค่นั้นเอง
“…เปล่า” ผมว่า กระดกเบียร์ขึ้นซด แล้วมองตาไอ้มิกกี้ไปด้วย เอาซี้…มึงจะเล่นอะไรไอ้หนู
“ฮั่นแน่ แอบคิดถึงน้องบัวอ่ะสิ เมื่อกี้เห็นนะ นั่งคุยกันแจ้วๆๆๆๆ” เอาอีกแล้วครับ ไอ้ห่านัทยกประเด็นขึ้นมาให้มันระอุอีกแล้ว มรึงนี่พูดอะไรไม่ชัดเจนแล้วยังชอบพูดเรื่องไม่เป็นเรื่องเนอะ -*-
“ก็แค่คุย น้องเค้ามาทักก่อน” ผมยังคงนั่งสบตากับเจ้ามิกกี้ มันเองก็เอนหัวพิงไหล่โจ้ และมองผมคิ้วขมวดเช่นเดียวกัน
“บัวอ่ะ ดาวมหาลัยเลยนะเฮีย ไม่อยากจะบอก หุหุหุ” แล้วมรึงจะบอกกรูทำไม =__=
“เหรอ… ถึงว่าน่ารักดี” ผมตอบไอ้นัท คราวนี้ไอ้หนูหันหน้าหนีเลยครับ เหอๆ แอบสะใจ…เอ๊ะ แล้วกรูจะสะใจทำไมวะเนี่ย!?
“ใช่มั้ยล่ะ ไอ้ปุ้นแม่งตามจีบตั้งแต่ปี 1 น้องบัวไม่เค้ยไม่เคยจะเหลียวตามอง นี่เฮียมามหาลัยไม่กี่ครั้ง เจ๊แกถึงกับลงทุนมานั่งคุยด้วยเลย ฮ็อตว่ะเฮีย ฮ็อต” ไอ้นัทเลยคุยไม่เป็นภาษา ลิ้นพันกันมัวไปหมด
“ฮ็อตเหี้ยไรล่ะ” ผมหัวเราะเป็นเชิงถ่อมตัวนิดๆ จนไอ้พวกลิงค่างทั้งหลายต้องพากันส่งเสียงแซว ฮิ้วๆๆๆ ระนาว ส่วนไอ้ปุ้นเองท่าทางมันคงไม่ได้ชอบน้องบัวจริงจังหรอกครับ เพราะมันเองก็ไม่มีท่าทีแซดที่น้องบัวแกมาชอบผมเท่าไหร่

แต่ไอ้คนที่ดูแซดแปลกๆ กลับเป็นไอ้มิกกี้ มันเล่นซดเบียร์อดๆ ยังกับน้ำเปล่า ข้าวปลาไม่แตะแม้แต่น้อยถึงไอ้โจ้จะพยายามยื่นให้ขนาดไหนก็ตาม ผมกับมันสลับกันจ้องตาเป็นพักๆ ท่ามกลางเสียงล้งเล้งของพวกเพื่อนๆ ไอ้นัทกับไอ้จิ๊บก็ยังแซวผมเรื่องน้องบัวไม่หยุด จนน่ารำคาญ…หลังๆ เลยต้องหยิบผักยัดปากไอ้สองตัวนี้ให้เงียบลงบ้าง
จนเวลาล่วงเลยผ่านไป ผมก้มลงมองดูนาฬิกา…แม่งเอ้ย สองทุ่มแล้ว นี่นั่งร้องรำทำเพลงกันเอื่อยเปื่อยไปครึ่งวันกว่าๆ เลยเหรอวะเนี่ย… เริ่มมีศพนอนตายถอดเสื้อ ถอดผ้ากันเกลื่อนระเกะระกะ มีบางตัวที่ตายอนาถขอตัวกลับไปก่อนโดยเรียกคนขับรถมารับ…. พี่เสื้อฟ้า รถเขียวเหลืองนี่แหล่ะครับ คนขับรถส่วนตัว
สุดท้ายเลยเหลือแค่ผม ไอ้มิกกี้ ไอ้โจ้ และไอ้นัท…. สี่หน่อที่กินอึดที่สุด ไอ้กี้กับไอ้นัทนี่คอพับคออ่อนแล้วครับ ส่วนผมน่ะไม่เท่าไหร่เพราะไม่ได้กินอะไรมาก รู้ว่าต้องขับรถกลับ… แต่ไอ้โจ้นี่สิ เทพของแท้ ผมเห็นมันไม่ค่อยพูด แต่มือก็กระดกไม่หยุดทีละนิดๆ ผมว่ามันกินไปเยอะกว่าผมเกือบเท่านึงได้ แต่ดูแล้วไม่สะทกสะท้านสักนิด
“ไอ้นัท กลับบ้านไงวะ เมาเป็นหมาละมึง” ผมว่า พยายามดันหัวหลิมๆ ที่กำลังไซร้ไปทั่วแขนผมออก
“ครายเป็นหมาห้า เฮียแม่ง ปากหมาว่ะ” นั่นเมาแล้วซ่านะมึง เดี๋ยวโดนๆ
“หุบปากไปเลยมึง เริ่มเลอะเทอะละ ไปกลับบ้าน” มือผลักหัวไอ้นัทออก แต่ตานี่สิ…มองไอ้สองคนข้างหน้าที่คุยกันหงุงหงิงๆ เสียงเบาจนผมแทบไม่ได้
“ไอ้โจ้” ผมเอ่ยเรียกอีกฝ่าย คนที่โดนทักรีบเงยหน้าจากไอ้หนูขึ้นมามองผม ส่วนไอ้มิกกี้น่ะเหรอ….แน่ะ ทำหน้าขัดใจอีกต่างหาก
“ไปส่งไอ้นัทด้วย” ผมว่า ลุกขึ้น แล้วกระชากแขนไอ้นัทที่ยืนสะโหลสะเหลไปทางไอ้โจ้ มันเลยต้องรับเอื้อมมือมารับเพื่อนไว้ไม่ให้ล้ม
“แต่ผม…”
“ไม่มีแต่ ส่วนเรา…กลับบ้าน!”
ว่าแล้วผมก็รีบไปดึงแขนเจ้ามิกกี้ให้ลุกตามมาทันที มันขัดขืนไม่ยอมทำตามเล็กน้อย แต่ด้วยความมึนและเมาเลยทนการยื้อยุดฉุดกระชากไม่ไหว จำต้องเดินตามผมมาแต่โดยดี สักพักเราก็มาถึงที่รถ ผมก้มหัวขอบคุณพี่ยามทีนึง พี่ยามแกก็ไม่ได้สนใจไอ้ตัวที่เดินส่ายไปมาข้างหลังผมเท่าไหร่ คงจะชินที่เห็นไอ้พวกนี้เมาเป๋ซะแล้วล่ะครับ
“ขึ้นไปนั่งดีๆ” ผมว่า ดันตัวไอ้คนที่ไม่มีเรี่ยวแรงขึ้นนั่งฝั่งข้างคนขับ แล้วจึงย้ายตัวเองมาขึ้นหลังพวงมาลัย ขับรถออกไปทันที แต่ไอ้ตัวยุ่งกลับปีนข้ามเกียร์มานั่งฝั่งคนขับซะงั้น
“จะขับๆๆๆ” มันว่า แล้วจับพวงมาลัยทำท่าเหมือนเล่นแข่งรถ

“ไร้สาระ! ไปนั่งเบาะนู้นไป๊!” ผมดันหัว พร้อมกับดันตัวอีกฝ่ายให้ขยับไปนั่งที่เดิม ไอ้หนูงอแงเล็กน้อย ก่อนที่จะต้องคลานกระดึ๊บๆ กลับไปที่นั่งตัวเองในที่สุด
“…ไปไหน” มันพูดแบบพะอืดพะอม หลับตา คิ้วขมวดแน่น
“กลับบ้าน”
“ไม่เอา…ไม่ไป… ไม่กลับ” มันส่ายหัวไปมา ตายังคงหลับอยู่
“หยุดพูดได้แล้ว เมาแล้วพูดไม่รู้เรื่อง”
“เมาแล้วไง พูดไม่รู้เรื่องแล้วไง” ผมแอบหันไปมองก็เห็นเจ้าตัวดีทำหน้ายุ่งปากยื่น นอนตัวแผ่ไม่มีแรงอยู่บนเบาะ
“หลับซะ ถึงแล้วจะปลุก” ผมจัดการตัดปัญหาซะ ไม่งั้นเดี๋ยวมีทะเลาะแน่ๆ
“ไม่เอา ไม่หลับ จะลง”
“หะ!?”
“จะลง! จะลง! จะลง! จอดๆๆๆๆ” ไอ้มิกกี้เริ่มโวยวายเสียงดังขึ้น มันทุบคอนโซลรถไปมา พยายามที่จะเปิดประตูแต่ก็เปิดไม่ได้เพราะล็อกอยู่ จึงหันมาพุ่งเล่นงานผมแทน ถึงกับหักพวงมาลัยเป๋เลยทีเดียว
“เฮ้ย! ไอ้มิกกี้ เล่นบ้าไรวะ เดี๋ยวก็ตายกันทั้งคันหรอก แม่ง!”
“จอด! บอกให้จอด!”
สุดท้ายผมก็ต้องรีบเปิดไฟเลี้ยว แล้วหักหลบเข้าข้างทาง… ฝืนขับต่อไปมีหวังไม่ถึงบ้านแน่ๆ เจ้าหนูพยุงตัวเองมาปลดล็อกที่ข้างผม แล้วเปิดประตูเดินออกไปนอกรถทันที เดือดร้อนให้ผมวิ่งตามออกไปแทบไม่ทัน
“ไปไหน!?” ผมวิ่งเข้าไปคว้าแขนเล็กๆ ที่เดินลิ่วไปไม่รอทันที
“ไปข้างบน” มันว่า แล้วชี้ขึ้นไปบนเนินสูง… ตอนนี้พวกเรามาจอดกันอยู่ที่ริมสะพานปูนครับ มันจะมีทางเดินขึ้นไปบนสะพาน แล้วข้างบนนั้นจะเป็นเหมือนจุดพักรถ เนื่องจากว่าแถวนี้มันบ้านนอกมาก ไม่อยากจะเชื่อว่าชานเมืองกรุงเทพ บอกว่าชนบทยังจะน่าเชื่อเสียกว่า
“อย่ามางอแงนะ เมาแล้วชอบเป็นแบบนี้ทุกทีสิเรา กลับบ้าน!” ผมกระตุกแขนให้อีกฝ่ายเดินตามมา แต่ผลที่ได้กลับเป็นเจ้าหนูรีบล้มตัวลงนั่งยองๆ กับพื้นเพื่อประท้วง
“ฮืออ ไม่กลับ ไม่เอา…” มันส่งเสียงเหมือนคนร้องไห้ แต่ดูแล้วมารยามากกว่า แบบนี้แหล่ะครับคนเมา ผมล่ะอยากเอาหัวโขกปูนให้ตาย ไม่น่ายอมให้แดรกเหล้าเล้ยยย ลองคิดดู ถ้าไม่ได้อยู่ในสายตา ป่านนี้ไม่รู้เป็นยังไงบ้างแล้ว อาการเมาแล้วเพ้อของมันเนี่ย
“มิกกี้…”
“ไม่กลับ.. ฮือออ” มันยังคงนั่งเอาหัวซบลงกับเข่าตัวเองแบบนั้น
“จะขึ้นไปทำไม ข้างบนนั่นก็ไม่มีอะไร กลับบ้านกันเถอะ ไปนอนพักผ่อน เตียงสบายๆ นุ่มๆ โอเคมั้ย?” มันส่ายหน้าแทนคำตอบ จนผมต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่
“…ขึ้นไปนะ นะ นะ” มันเงยหน้าขึ้นมามองผมตาปริบๆ…. เฮ้อออ เอาวะ!
ผมตอบตกลง ไอ้หนูยิ้มร่าแล้วรีบลุกขึ้นทันที มันเดินโซเซนำหน้าผมไปเล็กน้อย สักพักก็เดินถอยหลังมาใหม่ ผมยืนดูมันทำแบบนั้นอยู่ซักพักแล้วก็คิด ชาตินี้คงไปไม่ถึงแน่… ว่าแล้วเลยเดินเข้าไปข้างหน้ามัน แล้วก้มลง คว้าร่างมันขึ้นหลังทันที ไอ้มิกกี้ตกใจร้องเหวออออ ออกมา จับบ่าผมแน่นกันตก พอมันรู้ตัวว่าโดนผมอุ้มขี่โก่งเท่านั้นแหล่ะหัวเราะชอบใจ รีบกอดคอผมแน่นใหญ่ แล้วเอาหน้ามาซุกกับท้ายทอย…. ใกล้เสียจนรู้สึกได้ถึงสัมผัสลมหายใจอุ่นแผ่วเบา
ไม่นานนักผมก็กับไอ้มิกกี้ที่นั่งนิ่งบนหลังผมก็มาถึงยอดสะพาน ลมเย็นอ่อนๆ ยามดึกพัดโชยไปมาไม่แรงมาก แต่ก็พอทำให้เราสะท้านได้บ้างเหมือนกัน วิวรอบข้างเป็นป่าไม้โล่งสลับทึบ แม่น้ำที่คาดว่าน่าจะสีขุ่นนิดๆ แต่ตอนนี้มืดสนิทเพราะไร้แสงไฟไหลเป็นทางระริน เบื้องหลังเป็นถนนใหญ่ที่มีรถวิ่งไปมา…. โชคดีที่ตรงนี้ห่างออกมามาก เลยไม่ค่อยมีเสียงเครื่องยนต์รบกวนเท่าไร
ความเงียบที่มีเพียงเสียงลมหายใจเข้าออกของสองคนยิ่งทำให้บรรยากาศรอบตัวดูโรแมนติกชอบกล… ผมค่อยๆ คลายแขนตัวเองออกจากขาเจ้าหนูเพื่อให้มันลงมายืนรับลมชมวิวอย่างที่งอแง
“ไม่เอาๆ …ไม่ลง” มันเอาขาเกี่ยวเอวผมไม้แน่นทั้งๆ ที่ผมปล่อยมือออกจากตัวมันแล้ว
“เฮ้ออ เป็นลูกลิงรึไงน่ะเรา” บ่นไปอย่างงั้น สุดท้ายก็ต้องหิ้วมันตามเดิม เพราะพอผมปล่อยแขนออก ไอ้มิกกี้ก็เกี่ยวคอผมแน่นจนหายใจแทบไม่ออกน่ะสิ =_=
“….อย่าปล่อยนะ อย่าปล่อยผมนะ”
เสียงนั้นเบาจนแทบจะล่องลอยไปกับสายลมเย็น จนผมอดกระชับแขนตัวเองที่หอบหิ้วตัวเจ้าหนูอยู่ให้แน่นขึ้น… ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน
“ถ้าไม่อยากให้ปล่อย… ก็จะไม่ปล่อย” เพียงเท่านั้น เสียงที่ได้ตอบกลับมา … คือ การสะอื้นเบาๆ ผมรู้สึกถึงของเหลวที่ไหลหล่นลงมาบริเวณต้นคอ หลังของเจ้าหนูสั่นเทากระเทือนมาถึงแผ่นหลังของผม
“จริงๆ นะ ห้ามปล่อยนะ” เสียงอีกฝ่ายถามตะกุกตะกักเหมือนหายใจไม่ทัน
“อืม… ไม่ปล่อยหรอก”
จังหวะนั้น ผมยิ้มให้กับอาการของเจ้าเด็กเอาแต่ใจคนนี้ หันหน้ากลับไปมองแก้มใสที่พาดหน้าตัวเองเข้ากับบ่าผม คางของมันเกยอยู่ที่ไหล่ผมพอดี เมื่อเอียงคอไปด้านข้าง…ใบหน้าของเราจึงอยู่ในระดับเดียวกัน
“พอใจรึยัง ไอ้เด็กดื้อ” ผมพูดปนหัวเราะเบาๆ แล้วแนบจมูกตัวเองลงบนแก้มขาวเพื่อช่วยซับน้ำตาที่ไหลเป็นทางให้ มิกกี้เองก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร กลับยิ่งซุกแก้มตัวเองเข้ากับจมูก… และปากของผม
“ยัง…. ต้องให้ผมขี่หลังได้คนเดียวนะ” มันยังทำหน้ายู่ ตาเบลอๆ แบบคนเมา มองมาที่ผม
“ฮ่าๆ ทำไมชั้นจะต้องให้คนอื่นขี่หลังด้วยล่ะ?” ผมหันหน้าไปดูวิว แล้วหัวเราะให้กับความคิดแปลกๆ ของไอ้เด็กคนนี้… ท่าทางจะเมาไม่รู้เรื่องซะแล้ว
“ห้ามไอ้นัท ไอ้จิ๊บ ไอ้ปุ้น ไอ้โจ้… ห้ามบัว ห้ามแต้ว…ห้าม….”
“ทำไมต้องพวกนั้นด้วย แถมยังน้องบัวกะน้องแต้วอีก เค้าเกี่ยวอะไรล่ะนั่น?”
“บอกว่าห้ามก็ห้ามสิ!”
“ครับๆๆ” ผมยังคงขำไอ้มิกกี้ไม่หาย รีบรับคำมันไปก่อนที่จะโมโหใส่อีก… นี่กะจะลิสต์รายชื่อคนรู้จักมาทั้งหมดเลยมั้ยเนี่ย
“ห้าม…พี่มาร์ชด้วย”
ผมยืนนิ่ง… หันหน้ากลับไปมองเจ้าหนู ที่ตอนนี้ก็กำลังจ้องหน้าผมอย่างไม่เกรงกลัวอยู่เช่นกัน ช่วงวินาทีหนึ่งที่เราสองคนราวกับกำลังชั่งใจบางสิ่งบางอย่างลึกๆ… ซึ่งผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร…
“อืม…” ผมส่งเสียงตอบในลำคอเบาๆ
“ของผมคนเดียวนะ…”
“หลังนี้… ให้ผมคนเดียว สัญญานะ”
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
โฮฮฮ น่ารักเกินไปแระน้องมิคกี้ของดั๊น อิอิ
ปอลอ. พี่ๆน้องๆเพื่อนๆคะ คือแบบว่าอยากจะขอความร่วมมือ ใครแอบอ่าน แอบซุ่ม มาเม้นให้กำลังใจกันหน่อยเถอะ แบบว่าอ่านหนังสือทำการบ้านมาเหนื้อยเหนื่อย รีบเอามาลงให้อ่านกันทันที แถมรูปน้องก็หายากมาก ได้มาก็ใช่ว่าแปะๆได้เลย ต้องเอามา crop แล้วอัพโลดใส่เวบอีก เหนื่อยมากๆๆๆๆๆ และที่สำคัญ เฮียคนเขียนช่วงนี้งานยุ่งมากแต่ก็เห็นว่าทุกคนอยากอ่าน เลยสละเวลานอนตี2-3ทำงานและเขียนนิยายส่งมาให้ พยายามไม่ให้ขาดตอนมาก เพราะฉะนั้นช่วยมาให้กำลังใจกนเยอะๆเถอะค่ะ ตัวเอ็นหน่ะไม่เปนไรหรอก แต่สงสารเฮียเค้า นะคะๆๆๆ ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ จะสู้ๆในการหารูปและเอาเรื่องมาลงให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้!
