Part 22
ตัวเจ้าหนูสะท้านเล็กน้อยทันที่ที่ผมประกบปาก…. ผมรีบทาบทับตัวใหญ่ของตัวเองลงไปเพื่อล็อกไม่ให้อีกฝ่ายดิ้น มือหนึ่งยึดตัว มือหนึ่งยกขึ้นปิดตาคู่สวยนั้นไว้ซะ… หลงเหลือเพียงสัมผัสแผ่วเบาและเปียกชื้นที่ริมฝีปากนิ่ม
“อึ…ฮ..เฮีย ทำอะ…อื้มมม” สองมือน้อยพยายามทุบและดันตัวผมออก ผมไม่ได้ตอบอะไร… ยังคงถือวิสาสะรุกล้ำเข้าไปในโพลงปากของไอ้หนูแม้ว่าเจ้าตัวจะไม่อนุญาตก็ตาม
เมื่อค่อยๆ ละริมฝีปากออกจากร่างข้างใต้… แต่ฝ่ามือกร้านยังคงทาบที่ดวงตาเจ้าตัวน้อยไว้ มันตัวสั่นหายใจเข้าออกรุนแรงจนหน้าอกกระเพื่อม ปากสีแดงสดเนื่องจากถูกบดขยี้ขณะนี้อ้าเผยอ… โอ๊ยย ไอ้ร่างกายกับปฏิกิริยาแบบนี้ นี่มรึงจะฆ่ากรูให้ตายเลยใช่มั้ย!?
ผมเงียบ…รอให้ร่างข้างใต้ปรับตัวและหายใจเป็นปกติ ไม่นานนักเจ้าหนูก็เม้มปาก สูดลมเจ้าปอดอย่างรุนแรงสองสามที ก่อนที่จะยกมือตัวเองที่ถูกปลดพันธนาการออกแล้วมาจับที่ฝ่ามือผมบนใบหน้า… ผมไม่ได้ต้านอะไร ฝ่ามือจึงค่อยๆ ลดลง เผยให้เห็นดวงตาคู่นั้น…
ทันทีที่ลืมตา.. สายตาของเราทั้งคู่ก็ประสานกันอย่างตั้งใจ ผมเสียเองที่เป็นคนทำอะไรไม่ถูก เลยหลบสายตาไปมองที่ผม แก้ม จมูก หรือปากมันบ้าง มือปลี่ยนมาลูบแก้มขาว… สลับกับผมนิ่มๆ เล่น
ในใจก็คิด… ทำไมมิกกี้มันถึงไม่ว่าอะไรเลยนะ ถึงแม้สายตาของอีกฝ่ายจะแฝงความเคลือบแคลงใจไว้ไม่น้อย แต่ท่าทีเหมือนจะยอมให้ผมทำอะไรตามต้องการนี่มันอะไรกัน? หรือว่า…
ไม่ทันไร ผมก็ก้มหน้าลงเรื่อยๆ โดยที่สายตายังคงประสานกับดวงตาสีน้ำตาลเข้มนั้น เวลารอบข้างราวกับถูกจับให้หยุดเดิน เคยเป็นกันมั้ยครับที่เหมือนโลกมันหยุดหมุน… ความคิดและจิตสำนึกถูกปิดกั้นชั่วคราว ขณะที่ใบหน้าเราเคลื่อนไปใกล้กันมากขึ้น… มากขึ้น… เสียงลมหายใจที่แผ่วเบาเหมือนทั้งสองฝ่ายพยายามกลั้นไว้ค่อยรวยระรินออกมากระทบใบหน้า
ไม่ผิดแน่ …เจ้าหนูค่อยๆ ปิดเปลือกตาลงเพื่อรอรับสัมผัสอ่อนโยน…จนกระทั่งริมฝีปากเราคู่แตะกัน
…..ติ๊งต่องงง…..
เสียงนั่นเรียกให้สติผมกลับคืนมา ส่วนคนข้างใต้นั่นสะดุ้งจนตัวโยน มันเบิกตาโพลงและจ้องหน้าผมสลับกับมองซ้ายมองขวาอย่างระแวงร้อนรน
“ชู่ว… ไม่เป็นไร” ผมกระซิบบอกที่ใบหน้าขาวชื้นเหงื่อ… มันมองผม คิ้วสวยขมวดเข้าหากันจนแอบขำไม่ได้ …รอยยิ้มน่าจะทำให้คนตรงหน้าคลายความตกใจลงได้ ผมเลยได้แต่ทำอย่างนั้น พร้อมกับลูบหัวมันเบาๆ
ไอ้มิกกี้นิ่งลงแล้ว… เสียงจากภายนอกเองก็นิ่งลงเหมือนกัน ผมลูบไล้แก้มนิ่มของอีกฝ่ายไปมา… เพลินมือชะมัด เพียงแค่ฝ่ามือผมก็ใหญ่เท่าหน้ามันแล้ว… ไม่อยากจะคิดตอน…
“เฮ้ย! ไอ้แดน! หายหัว…” เสียงแขกไม่ได้รับเชิญดังขึ้นพร้อมกับประตูห้องที่ถูกเปิดออก…
ผมตกใจ… รีบผละออกจากตัวเจ้าหนูทันที ไอห่าไมล์ก็ยังคงยืนตาโตทำปากพะงาบๆ …มันเองก็คงตระหนกไม่แพ้กัน เพราะภาพตรงหน้ามันดูล่อแหลมมากมายครับ
“ทะ…โทษทีว่ะ เดี๋ยวกรูมาใหม่” มันรีบปิดประตูคืนให้เสียงดังปัง!
เฮ้ออออ อะไรวะเนี่ย! ทำไมมันต้องมาเอาตอนนี้ด้วย ผมไม่ผิดนะครับที่ไม่ลุกขึ้นไปเปิดประตู แต่ไอ้เหี้ยที่มันลอบเข้าห้องชาวบ้านเนี่ยแหล่ะผิดเต็มประตู (เต็มตาด้วย) ว่าแล้ว…ก็ก้มหน้าลงมองเจาหนูที่ตอนนี้นอนตะแคงยกมือขึ้นปิดหน้าปิดตาแดงๆ ของตัวเองอย่างเอียงอาย…
“ไม่เป็นไร…มันไปแล้วนะ” ผมว่า แล้วพยายามดึงมือที่ปิดหน้ามันออก
“ค..ใครอ่ะ” เสียงมันยังคงอู้อี้ นอนตัวงออยู่แบบนั้น
“ไอ้ไมล์… เพื่อนที่ทำงาน”
“เค้า…เค้าเห็นรึเปล่า?”
“อ่า คงงั้น” ก็ไม่รู้จะตอบยังไงนี่ครับ ไม่ใช่แค่เห็นธรรมดาด้วย..เห็นเต็มๆ เลย เฮ้ออ
“ฮือออ ปล่อยผมก่อน” เสียงนั่นคงไม่ใช่มันร้องไห้หรอกครับ แต่ออกมาเพราะความอายมากกว่า เจ้าหนูยกไม้ยกมือปิดหน้าตัวเอง ก่อนที่ผมจะลุกแล้วดึงร่างมันขึ้น คิดดูสิครับ… มือมันยังไม่ห่างจากหน้าของตัวเองเลย แดงไปถึงหูแล้วไอ้หนูเอ้ยยยย…
“เอามือออกก่อน…เร็ว” ผมว่า ..ดึงตัวอีกฝ่ายเข้ามาแนบชิดกันทั้งๆ ที่นั่งอยู่บนเตียงแบบนั้น
“….” มันส่ายหน้าแทนคำตอบ
“น่า…”
“….” เมื่อยังคงเงียบอบู่แบบนั้น ผมเลยคว้าร่างมันเข้ามาไว้ในอ้อมแขน มือหนึ่งล็อกที่เอวบางของมันแน่น ส่วนอีกมือก็ลูบไล้เรือนผมนิ่มไปมาเพื่อปลอบประโลม
“ขอโทษนะ ตกใจมั้ย?”
“…” มันนิ่งไปสักพัก ก่อนจะผงกหัวเบาๆ
“ไม่เป็นไร…ไม่เป็นไร”
เท่าที่จำได้… เหมือนผมได้แต่พร่ำบอกคำนี้กับมันเป็นล้านๆ ครั้ง เจ้าหนูเองที่ดูงกเงิ่น ตัวสั่นก็ทุเลาลงไปเยอะ สองมือน้อยนั่นค่อยๆ ลดลงแต่ยังไม่ยอมมองหน้าผม …มันเอนหัวลงซบที่บ่ากว้าง เกาะแขนผมแน่น…
“มิกกี้…” ผมกระซิบเบาที่ข้างหูจนอีกฝ่ายขนลุกซู่… คิดในใจ… ได้เวลาบอกแล้วล่ะมั้ง…มาทำให้มันเคลียร์กันเถอะ ไอ้ตัวยุ่ง
“เฮ้ย แดน กรูกินนี่ได้ป่ะวะ?” ไอ้เจือกไมล์ดันเปิดประตูเข้ามา แล้วชูถุงไส้กรอกชีสให้ผมดู!
“เออๆ ไม่กวนก็ได้ กรูนั่งรอที่ห้องนั่งเล่นนะเว้ย~”
คาดว่ามันคงได้สายตาเดือดดาลทิ่มแทงของผมไปนั่นแหล่ะ ถึงได้ทำหน้ายิ้มเจื่อนๆ แล้วผละออกจากประตูทันที โธ่เอ้ยยยยย! เสียฤกษ์หมด ให้ตายเถอะวะ! หมดอารมณ์เลยกรู!
“ฮ…เฮียไปหาเพื่อนเถอะ” คนในอ้อมแขนพูด โดยที่พยายามแกะมือผมออกไปด้วย
ผมลุกขึ้นอย่างเซ็งๆ เหี้ยไมล์เอ้ยยยยย แมร่งงงงงง ทำไมกรูต้องมาเจอแต่ไอ้พวกที่สะกดคำว่าเกรงใจไม่เป็นเลยวะ! ว่าแล้วผมก็เปิดประตูออกมา เห็นไอ้ห่าไมล์กำลังแกะเลย์และไส้กรอกกิน นั่งดูทีวีบนโซฟาอย่างสบายใจ
“อ้าว เสร็จแล้วเหรอวะ ไวจัง” มันหันมามองหน้าผมอย่างตกใจ ปากเต็มไปด้วยขนม
“ยัง! มรึงมีเชี้ยไรวะ!? เข้ามาห้องกรูได้ไงเนี่ย!?” ผมขึ้นเสียงดัง อารมณ์เสียถึงขีดสุด
“ก็มรึงลืมกุญแจไว้ที่กรูตั้งแต่ไปกินเหล้ากันคราวนู้นนนน ลืมคืนทุกที แหะๆ” โหหหห นานชาติเศษๆ มาแล้ว จำกันได้มั้ยครับ…ตั้งแต่ตอนแรกที่ผมเมาเข้าห้องไม่ได้ ต้องไปอ้วกแตกอ้วกแตนนอนที่ห้องไอ้มิกกี้แทน
“ฮึ่ย!”
“โถๆ แค่นี้ก็ต้องโมโห…ใจเย็นๆ สิคะพี่แดนขราาา” มันทำเสียงน่าขนลุก แล้วยกไม้ยกมือขึ้นสะบัดสะบิ้งไปมาน่าตบ
“มรึงมีอะไรว่ามา!” ผมเดินเข้าไปทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ มัน แล้วแย่งถุงขนมมากินแก้เครียด
“ทำเป็นลืมนะมรึงงงง กรูบอกแล้วว่าวันนี้จะนัดไปคุยกะคุณปอแก้ว จะไปกับกรูดีๆ มั้ยสาดดด”
แล้วผมก็นึกขึ้นได้… เออว่ะ จริงด้วย ลืมไปเสียสนิท..สนิทจริงๆ ครับ เรื่องนี้อาต๋อยแกขอร้องผมไว้ ถึงจะออกมาจากบริษัทแล้วแต่แกก็ยังรบกวนผมหลายๆ เรื่อง ซึ่งผมเองก็ยินดีนะ เพราะแกเป็นผู้มีพระคุณ เอ็นดูตอนผมทำงานไว้เยอะ และถ้าไม่ใช่กรณีจำเป็นหรือฉุกเฉินอย่างไอ้คุณหญิงปอแก้วนี่ล่ะก็…อาแกไม่มาขอร้องผมหรอกครับ
คุณปอแก้ว คือ ลูกค้าประจำบริษัทกระดาษของเราเองครับ เธอเป็นลูกสาวคนเก่งที่ได้สืบทอดเจตนารมณ์ของบิดาในธุรกิจนำเข้าและส่งออก ซึ่งหนึ่งในสินค้านั่นก็… แน่นอน กระดาษจากโรงงานของเรานั่นเอง ส่วนที่บอกว่าทำไมต้องให้ผมไปเจรจานั้น… เพราะตอนนี้มีสินค้าตัวใหม่ออกมา และต้องนำไปเสนอให้กับคุณเธอ ที่แย่กว่านั้นคือ… เธอยืนยันเสียงแข็งกร้าวว่าจะไม่รับการเจรจาใดๆ… ถ้าคนที่บริษัทส่งมาไม่ใช่ ‘ผม’
“เฮ้อออออ กรูลืมไปเลยว่ะ” ผมว่า แล้วหลับตาเอนหัวพิงกับโซฟาเพื่อให้อารมณ์เย็นมากขึ้น
“เออดิ… ว่าแต่ใครวะ?” ไอ้ไมล์หรี่เสียงตัวเองลง ยักคิ้วหลิ่วตาไปที่ประตูห้องนอนผม
“เฮ้ออออออ” ถอนหายใจกี่รอบแล้ววะตรูวันนี้
“เอ้า เป็นไรวะ แค่กรูถามว่าใคร ทำไมต้องทำหนาเซ็งกะบ๊วยแบบนั้นด้วย”
“…มิกกี้” ผมตอบเสียงเบา ยังคงเอนหลังหลับตา คิ้วขมวดพิงโซฟาอยู่แบบนั้น
“ห…หะ!? น..น้องมิกกี้นั่นน่ะนะ ที่มรึงเล่าให้ฟังน่ะนะ??” อีกฝ่ายทำหน้าตาเหรอหรา ยกไม้ยกมือประกอบไปมาให้วุ่น
“อืม”
“น้องมิกกี้ที่อยู่ข้างห้องมรึงอ่ะนะ??”
“เอออออออออออออออ ถามทำเหี้ยไรเยอะแยะวะ” ว่าแล้วก็จัดการโบกมันให้สติกลับคืนมาหนึ่งรอบ ไอ้เชี้ยไมล์ก็รับมุข ทำหน้าจากเอ๋อมาเป็นปิ๊งงงแบบคนคิดออกแล้ว แต่ไม่วายหันมาขย้ำคอเสื้อผม เขย่าไปมาเหมือนอยากจะถามอะไรสักอย่าง แต่พูดไม่ออก
“เอ่อ ผมกลับห้องก่อนนะ” เสียงจากหน้าประตูทำให้ทั้งผมและไอ้ไมล์หันไปมองเป็นตาเดียว เจ้าหนูยืนมือกำเสื้อแน่น ทำสีหน้าตกใจที่เห็นเราทั้งคู่มองมันอย่างสนอกสนใจ ไอ้มิกกี้ยกมือขึ้นไหว้ไอ้ไมล์แบบลวกๆ ก่อนที่จะกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกจากห้องไป
“ห่าแดนนนนนนนนนน ไหนมรึงบอกไม่น่ารักไงวะ สาดดดดดดดดดดด” ไอ้ไมล์ลุกขึ้น ชี้หน้าผมแบบลิเก
“ก็…”
“มรึงไม่ต้องพูดเหี้ยไรเลย! กับเพื่อนกับพ้องทำหวง ตายซะเถอะไอ้เลวววววว”
ก่อนที่ไอ้ไมล์จะมีโอกาสได้เข้าโรงพยาบาลเพราะผมประเคนสหบาทาไปให้ ผมก็รีบตบกบาลเรียกสติมันกลับมาอีกสักสองที อีกฝ่ายถึงเริ่มนิ่ง แต่ยังคงนั่งมองผมด้วยสายตาเครียดแค้นเกลียดชัง มรึงจะอะไรนักหนาเนี่ยยยย นี่กรูควรเป็นฝ่ายโกรธไม่ใช่เรอะ!?
“แล้วสรุป มรึงกะน้อง…” มันยังไม่เลิกครับ ทำไม้ทำมือสลับไปมาเป็นสัญญาณจึ๊กกะดึ๋ย
“อะไร” ผมหันไปตอบเสียงเซ็ง แมร่งหน้ามรึงก็เซ็งอยู่แล้ว อย่ามาทำให้กรูเซ็งหนักขึ้นได้มั้ยไอ้ห่าไมล์
“ก็แบบว่า…จึ๊กๆ จิ๊กๆ แจ๊กจั๊กกันแล้วอ่ะดิ” ภาษาเชี้ยไรของมันวะ จึ๊กๆ จิ๊กๆ แจ๊กจั๊ก เนี่ย -*-
“เปล่า..”
“อ้าว!”
“อ้าวตรงไหน กรูว่าลมก็เย็นดีนะ”
….ป๊าบบบ….
“สัด!” ผมรีบยกมือกุมหัวตัวเองที่เพิ่งโดนโบกกลับไปเมื่อครู่
“ยังจะมีอารมณ์นะมรึงงง บอกมาดีๆ!”
“ก็บอกว่าเปล่า ไม่ได้มีอะไรกัน… แค่จูบเอง” ผมว่า พอพูดแล้วก็นึกถึงจูบกลิ่นข้าวโพดนั่น.. โอยย อยากฟัดมันอีกว่ะแมร่งเอ้ยยย
“ว้าว…จูบก็ไปไกลแล้วว่ะกรูว่า”
“หมายความว่าไงฟะ?” ผมหันไปมองอีกฝ่ายงงๆ
“ก็เมื่อก่อนไม่เห็นมรึงจะแสดงที่ท่าว่าชอบน้องเค้ามาก เอาแต่บ่นๆ ว่ามันน่ารำคาญอย่างงู้นอย่างงี้ บลาๆ กรูล่ะไม่อยากจะบอกเล้ยยย ว่ามรึงต้องหลงน้องเค้าซักวัน หึหึ”
ไอ้เพื่อนตัวดีของผมหัวเราะในลำคอ ผมล่ะไม่คิดว่ามันจะคิดได้ไกลขนาดนั้น เพราะที่ผ่านมาผมเองก็ไม่ได้แสดงท่าทีว่าชอบเจ้าหนูสักเท่าไหร่จริงๆ เจอกับไอ้ไมล์ทีไร ปากก็เผลอบ่นนู่นบ่นนี้เรื่องไอ้มิกกี้ให้ฟังอยู่เรื่อย ก็คิดอยู่เหมือนว่าตัวเองปล่อยให้มันเข้ามามีส่วนสำคัญในชีวิตมากขึ้น ทั้งด้านบวกและด้านลบ…. จนจะมาแงะออกเอาตอนนี้คงไม่ทันเสียแล้ว
“เอาน่ะ อย่าคิดมาก มรึงรีบไปอาบน้ำอาบท่าเตรียมตัวเหอะว่ะ เน่าชิหายเลย” ไอ้ไมล์มันยกมือขึ้นไล่ผม อีกข้างปิดจมูกตัวเองแล้วส่ายหน้า
“แต่น้องมิกกี้แมร่งง โคดน่ารักอ่ะ ข๊าวขาว หน้าใสเด้ง โอ๊ยย…ยังกับดาราวัยรุ่นเกาหลี”
ไอ้เพื่อนเลวยังไม่เลิก มันทำหน้าตาเคลิ้มฝันจินตนาการถึงคนที่เพิ่งเดินออกไปจากห้องเมื่อกี้ จนผมต้องยกส้นเท้าหมายจะถีบมันอีกรอบนั่นแหล่ะ มันถึงเงียบ แล้วเปลี่ยนมาเป็นเสียงหัวเราะแทน
ไม่นานนักผมก็ชำระล้างร่างกาย แต่งตัวเสริมหล่อเสร็จเรียบร้อย วันนี้ก็แต่งให้ดูดีเป็นทางการแต่ก็แอบลำลองเล็กน้อยเพราะเป็นการคุยกันแบบเป็นส่วนตัว แค่เสื้อยืดสีขาวกับสูทแบบลำลองและกางเกงยีนส์ก็พอแล้ว เพราะคุณหนูปอแก้วเองก็ชอบเรียกร้องให้ผมแต่งแบบนี้มากกว่าสูทเต็มยศ… เพราะจะได้ดูสนิทสนมกันมากขึ้น เอาใจคุณเธอหน่อยละกัน เพื่อบริษัทวะ!
ผมตัดสินใจกับไอ้ไมล์ว่าจะไปหาอะไรกินที่ห้างก่อนที่จะไปเจอกับคุณหนู ผมเลยนึกถึงเจ้าหนูขั้นมาได้ ว่าแล้วก็เดินไปนอกห้อง และเคาะประตูที่ห้องไอ้มิกกี้เบาๆ

“ครับ?” มันพูดสุภาพมากกว่าตอนอยู่กับผมหน่อย เพราะสายตาเหลือบไปเห็นไอ้ไมล์ที่ยืนยิ้มให้อยู่ข้างหลัง
“อาบน้ำเสร็จแล้วใช่มั้ย?” ผมถามเพราะเห็นว่ามันใส่เสื้อยืดสีขาวแบบคอห่าน กับกางเกงขาสั้นแบบอยู่บ้าน อีกฝ่ายพยักหน้าแบบงงๆ
“ไปกินข้าวข้างนอกกัน”
“ตะ..แต่เฮียไปกับเพื่อน” ไอ้มิกกี้ตอบแบบเกรงใจ พร้อมกับหันหน้าไปมองไอ้ไมล์ที่ยืนยิ้มแฉ่งให้อย่างไม่อาย
“อ้อ ไมล์นี่มิกกี้ มิกกี้นี่ไมล์… ไม่ต้องไปสนมัน ไปกินข้าวกัน” ผมหันไปแนะนำอีกฝ่ายอย่างเป็นทางการอีกครั้ง
“จะดีเหรอ…ผมว่าผมอยู่ห้องดีกว่า” มันผงกหัวให้ไอ้ไมล์เป็นเชิงทักทายอย่างสุภาพก่อนที่จะลังเลๆ หันมามองผมแบบเคอะเขิน…เหมือนยังมองหน้าผมไม้ติดเท่าไหร่น่ะครับ
“ดีสิ อย่าเรื่องมาก ยังไม่ได้กินอะไรไม่ใช่เหรอเรา ไปเปลี่ยนกางเกงไป” ผมว่า แล้วผลักประตูให้มันรีบทำตามอย่างที่บอก
ไม่นานนัก… เจ้าหนูก็ออกมาพร้อมกับกางเกงยีนส์สีเข้ม กระเป๋าเป้ และร้องเท้าผ้าใบคู่โปรดตามสไตล์มัน เล่นเอาไอ้ไมล์ถึงกับผิวปากหวือ… เดินยิ้มน้ำหน้าผมไป… ‘น่ารักชะมัด’ คือคำบ่นของมันที่จงใจจะให้ผมได้ยินคนเดียว

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เกือบเสร็จแร้วม้ายยย อารมณ์เสีย!!!!!!!!!!!!!!!!!! 