Part 39
สองสัปดาห์…. กับอีกกี่วันนะ สาม ไม่สิ สี่มากกว่า…. ถ้านับเมื่อคืนด้วยก็เป็นสี่
ผมนั่งเอาปากกาเคาะแฟ้มเอกสาร นับจำนวนวันทั้งหมดที่ไม่ได้เจอใครบางคน ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด แม้ว่าจะพยายามปลอบใจตัวเองว่าไม่ได้คิดถึง แต่ไอ้อาการร้อนรน นั่งอยู่กับที่ไม่ค่อยจะติดเนี่ย…มันน่าอายจะตายน่ะสิ
เสียงก็ได้ยินแค่แป๊บๆ… ตัวนี่หายแว่บไปกับสายลมซะแล้ว
อย่างวันก่อน…
“นี่…จะไปไหนน่ะเรา?” ผมหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กขึ้นมาเช็ดหัวหลังจากที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จหมาดๆ ได้ยินเสียงวุ่นวายอยู่ในห้องนั่งเล่นก็รีบเดินออกมาดู ปรากฏว่าเป็นเจ้าหนูกำลังเก็บของอะไรมากมายของมันอยู่ มันหันมามองตามเสียงผมเล็กน้อย ก่อนที่จะหันไปเก็บขอตัวเองตามเดิมอย่างไม่สนใจ
“ไปทำงานที่หมาลัย”
“ยังไม่เสร็จอีกเหรอ?” ที่ถามแบบนี้เพราะมันทำมาหลายวันแล้ว
“ยัง….ช่วงนี้ส่งโปรฯ จะไฟนอลแล้วเฮีย ไม่รอดก็ไม่ต้องมาเผาผีกันงวดนี้” ฟังแล้วน่ากลัวพิลึก ไอ้พวกเด็กสินกำเนี่ยมันน่ากลัวครับ อย่าให้เกิดเชียวลูกฮึดอะไรเนี่ย…ไม่กินไม่หลับไม่นอน ทำงานที่คณะได้เป็นสัปดาห์ ยิ่งไอ้ตัวนี้มันผู้ชายด้วย (ซึ่งผมก็เกือบลืมไปว่ามันวัยรุ่น) ถึงไหนถึงกัน
“แล้วกินอะไรรึยัง หน้าก็ดูเซียวๆ ทำงานได้พักได้ผ่อนกันบ้างมั้ยเนี่ย?” รู้ตัวว่าบ่นเหมือนพ่อ แต่มันอดไม่ได้นี่ครับ ก็คนมันเป็นห่วง….ดูมันสิ… ทำหน้าเซ็งๆ อีกต่างหาก มันน่านัก!
“กินแล้วน่า ผมไปล่ะนะป๋า”
“เดี๋ยวเหอะ!” ไอ้ตัวยุ่งกระโดดหอมแก้มผมหนึ่งที ก่อนที่จะทำหน้าตาทะเล้นทะลึ่งใส่ ก็รู้ว่าไม่ชอบให้เรียกแบบนี้…แต่พอมันแซวผมทีไรเผลอไม่ได้เรียกป๋าๆ ทุกที
“นี่…” ผมยักคิ้วขึ้นข้างนึงมองดูตามเสียงเรียกหน้าประตู
“คืนนี้ค้างคณะนะ”
“ห…หะ!? เฮ้! เดี๋ยว มิกกี้!...”

นู่นนนนน….วิ่งปร๋อไปไกลแล้ว ไอ้ลิงของผม สองมือหิ้วข้าวของพะรุงพะรังแต่ตัวไวเหมือนเดิม คิดดูสิครับ นี่คือบทสนทนาของคนรักที่ไม่ได้เจอกันสัปดาห์นึง กี่ประโยคกันเชียวลองขึ้นไปนับดูสิ….แถมยังไม่มีการลูบไล้เนื้อตัวให้กระชุ่มกระชวยหัวใจด้วย กะอีแค่หอมแก้มนิดเดียวจะไปทันได้รู้สึกอะไร
ผมยืนเอาหัวพิงขอบประตูหน้าห้องตัวเอง แล้วยกมือขึ้นลูบแก้มที่เพิ่งโดนกระโดดจุ๊บเมื่อครู่…. ริมฝีปากสีชมพูนุ่มค่อยๆ บรรจงทาบลงบนแก้มสาก เมื่อผละออกไปก็คลี่ยิ้มกว้าง….ยิ้มที่แทบจะทำให้ทั้งโลกกลายเป็นสีชมพู อยากจะอ้าแขนทั้งสองข้างไปกอดรัดไอ้ตัวแสบตรงหน้า แล้วดึงเข้ามาฟัดนัวเนียให้หายซ่า
เฮ้อออ มายืนจินตนาการอะไรอยู่คนเดียววะไอ้แดน อนาถดีแท้… ความเป็นจริงโคตรแตกต่าง ชิ
“โรคจิตว่ะ”
“เฮ้ย!”
อยู่ๆ หน้าคนที่ไม่คิดว่าจะมายืนอยู่ตรงหน้าก็ทำเอาผมตกใจตื่นจากภวังค์… ฮึ่ม ไอ้ห่าไมล์
“เดี๋ยวก็ทำหน้าเคลิ้ม ซักพักก็ทำหน้าเครียด มึงเป็นเชี้ยไรเนี่ย??”
“…เรื่องของกรู มาทำไมวะ ตกอกตกใจหมด” ผมรีบกลืนน้ำลายหนึ่งอึก จัดระเบียบหน้าให้หล่อเหมือนเดิม
“โห เพื่อนมาหาล่ะทำไล่ แล้วนี่ตกใจเพราะมัวแต่เหม่อน่ะสิวะ กรูมายืนตรงหน้าตั้งนานสองนานแล้ว”
ผมแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินเสียงไอ้ไมล์บ่น เดินกลับเข้ามาในห้องแบบไม่ยี่หระ มันเองก็เดินตามเข้ามาและปิดประตู พูดคุยเสียงโฉ้งเฉ้งๆ วางกับข้าวที่ซื้อมาฝากลงบนโต๊ะในครัว
“ว่าไง เป็นไรของมึง หน้าบึ้งยังกับโดนทิ้ง หึหึ”
“โดนทิ้งเหี้ยไรล่ะ ยังอยู่ดีมีสุขเว้ย” ผมส่ายหน้าด้วยความระอา…ถึงจะไม่โดนทิ้ง แต่อารมณ์ก็ใกล้เคียงกันล่ะวะตอนนี้
“แล้วน้องมิกกี้ของกรูอยู่ไหนแล้วล่ะ ยู้ฮู~~~~มิกกี้คร้าบบบ พี่ไมล์สุดหล่อมาหา”
“ไม่อยู่ สวนกันไปเมื่อกี้ไม่เห็นรึไง” ผมตอบอย่างหงุดหงิด หยิบรีโมททีวีขึ้นมาเปิดไล่ช่องดูจนตาลาย
“อ้าว ไม่ยักกะเจอ…ไปตอนไหนวะ”
“สักพักนึงละ”
“อ้ออออ….ถึงว่า มีใคราบางคนยืนทำหน้าละห้อยคิดถึงไอ้ลิงน้อยอยู่หน้าประตู ไอ้เราก็นึกว่าเป็นบ้าอะไร ที่แท้….โรค อะ อะ ไอ มิส ยู กร๊ากกกกกก”
….โครม!....
“เฮ้ยยยยย” เสียงรีโมททีวีปะทะเข้ากับชั้นวางของบวกกับสีหน้าเคร่งเครียดของคนปายิ่งทำให้เพื่อนตัวดีไม่กล้าแซวอะไรอีก
“เป็นอะไรวะ ทะเลาะกันรึยังไงไอ้แดน?” ไมล์เลื่อนเก้าอี้เข้ามาใกล้
“…เปล่า”
“แล้วมรึงเป็นเชรี่ยอะไรเนี่ย??”
ผมหันไปมองหน้ามันสองสามที…ก่อนที่จะตัดสินใจเล่าเรื่องทุกอย่างให้อีกฝ่ายฟังจนหมดเปลือก ไอ้ไมล์ได้แต่หัวเราะจนงอหงาย บอกว่าที่แท้ปัญหาก็คือคิดถึงเมียจนทำอะไรไม่ถูกนั่นเอง ห่านี่ -*-
“มรึงใจเย็นๆ สิวะแดน…มิกกี้เค้ายังวัยรุ่นนะเว้ย สำหรับวัยนี้น่ะ เพื่อนสำคัญที่สุด สำคัญกว่าพ่อแม่อีก”
“สำคัญกว่าแฟนด้วยงั้นสิ” ผมทำเสียงเรียบ แต่ในปากนี่กัดสันกรามแน่น
“…เฮ้ย ใจเย็นๆ นี่เค้าก็ไม่ได้ไปออกนอกลู่นอกทางที่ไหนนี่หว่า เจ้าตัวก็บอกแล้วว่ามันเป็นงานชิ้นสำคัญต้องส่งก่อนสอบ มรึงนี่นะก็จะไปอะไรยังไงอยู่ได้”
“กรูก็ไม่ได้อะไรยังไงซะหน่อยเว้ย! ก็แค่….”
“ก็แค่คิดถึง?”
ผมเงียบ….ยกมือขึ้นบิดขี้เกียจแก้ขัด ก็แค่…คิดถึง… คงใช่แล้วล่ะ ก็แค่คิดถึงนี่วะ จะให้ทำไง อยากกอด อยากฟัด อยากจูบให้หนำใจ แล้วจะกัดเนื้อขาวๆ นั่นให้เขียวเลยคอยดู ฮึ่ม…
“เฮ้ยๆ อย่าเพิ่งคิดไปไกล ไอ้แดน” เพื่อนรักรีบปลุกผมจากภวังค์ สายตามันดูมีแววขำขัน เมื่อกี้ผมคงหลุดทำหน้าอะไรไปสักอย่างแน่ๆ
“เออ”
“ก็..ถ้าคิดถึงมึงก็หัดทำอะไรสักอย่างสิวะ” ไอ้ไมล์ทำหน้าทำตา ยกมือขึ้นโอบไหล่ผม
“ทำไร?”
“เอ้าาาา…แค่นี้ก็คิดเองไม่ได้ อย่างหาเรื่องเซอร์ไพรส์ซักอย่าง ให้ชีวิตมันมีเรื่องแปลกใหม่บ้างอะไรอย่างงี้ วู้…ไอ้แดนคนเจ้าชู้ ลูกเล่นแพรวพราวแบบเมื่อก่อนหายไปไหนแล้ววะ เจอเด็กน้อยคนเดียวหงอยยยยยยยซะ”
ไม่อยากจะบอกว่าไอ้เพื่อนตัวดีมันทำเป็นลากเสียงยาวตรงท้ายประโยคจนผมอดเขกกะโหลกมันไปไม่ได้…แต่พอลองมาคิดตามมันดู อืมมม เซอร์ไพรส์งั้นเหรอ ก็ดีนะ เพราะผมกับมันอยู่ด้วยกันแทบจะตลอดเวลา เรื่องให้ตื่นเต้นมันก็ไม่ค่อยจะมียกเว้นแค่ตอนผมจะปล้ำมันเท่านั้นแหล่ะ วิ่งหนีได้ทั่วคอนโด…ไอ้เด็กแสบ
ว่าแล้วหลังจากวันนั้น ผมใช้ช่วงเวลาที่เจ้าหนูมันไม่ได้กลับมาค้างที่ห้องไปเดินห้างเพื่อหาซื้อของขวัญให้…เอ แต่จะบอกว่าซื้อให้เนื่องในโอกาสอะไรดี โอกาสอยากจะให้? ไม่เอาๆ น่าจะหาคำพูดที่มันดูดีหน่อย อย่างวันเกิด? จะบ้ารึไงไอ้แดน ไม่มีใครเกิดช่วงนี้ซะหน่อย…วันครบรอบ? ครบรอบอะไรวะ กรูยังจำวันที่คบกันไม่ได้เลย เหมือนมาคบกันแบบงงๆ ซะมากกว่า
นี่ไง…บอกว่า ‘ยินดีด้วยที่สอบเสร็จ’ …น่าจะโออยู่ เพราะกว่าผมกับมันจะได้เจอกันอีกทีคงหลังสอบนู่นนนน แล้วผมก็จะพามันไปเที่ยวที่ไหนไกลๆ สักที่ จองโรงแรงห้องสวีทกันสองคน แล้วชมวิวจู๋จี๋ให้ความหวานมันจุกอกตายเลยคอยดู
ผมยิ้มไปคิดไปเหมือนคนบ้า…ใกล้แล้วว่ะตู มือก็ไล่หยิบของที่คิดว่าจะให้เป็นของขวัญไอ้ตัวยุ่งสุดน่ารักของผมซะหน่อย ซื้ออะไรดีวะ… พอดีว่าผมเป็นพวกที่ไม่ชอบซื้อของใช้จุกจิกไร้สาระ พวกของขวัญที่ซื้อให้เพื่อนหรือแฟนเก่านี่จะเป็นของที่ใช้ได้ในชีวิตประจำวันทั้งสิ้น เพราะถ้าซื้อไปแล้วตั้งโชว์หรือปล่อยให้ฝุ่นเกาะมันคงไม่มีประโยชน์…
และนี่ก็เช่นกัน….หลังจากที่เดินเลือกอยู่นาน ผมลังเลระหว่างกล่องสีที่ใช้วาดรูปสำหรับพวกศิลปกรรมกับหนังสือรวมดีไซน์ชื่อดังที่เพิ่งออกใหม่ ราคาพอๆ กันเลยแหะ….
สุดท้ายผมก็เลือกหนังสือ เพราะเห็นเจ้าหนูเคยดิ้นเร่าๆ เปิดเน็ตเพื่อรอให้หนังสือเล่มนี้ออก… บอกว่าจะไปต่อคิวซื้อเป็นคนแรกให้ได้คอยดู ผมยังหัวเราะร่วนกับอาการของอีกฝ่าย ดูมันสิ คิดว่าหนังสือที่ตัวเองอยากได้เป็น Harry Potter รึยังไง ไม่มีใครเค้าอยากได้ขนาดนั้นหรอก…ใจเย็นๆ ก็ได้ มันหันมาทำปากยื่นใส่ผม บอกว่าเฮียน่ะไม่รู้อะไร เล่มนี้มันเหมือนไบเบิลของเด็กสินกำเลยนะเว้ย แล้วทำท่าขยับแว่น (ปลอมๆ) ของมันใส่ผมอีกต่างหาก ดูมันสิ…ซ่าขนาดไหน
ผมรับหนังสือที่ถูกห่ออย่างดีมาไว้ในมือ จะเลือกลายน่ารักๆ ก็กระไรอยู่ เลยเลือกกระดาษห่อสีน้ำตาลเข้มที่เป็นลายแผนที่โลก ไอ้มิกกี้มันแพ้อะไรแบบนี้ครับ…อะไรเก่าๆ ดูขลังๆ มันจะชอบมาก ติสต์แตกจริงๆ แฟนกรู
หลังจากที่ได้ของขวัญให้ที่รักเรียบร้อยแล้ว ผมก็เดินลัลล้าอยู่ในห้างกินนู่น ดูนี่ไปเรื่อย แล้วจึงค่อยตัดสินใจกลับบ้านด้วยจิตใจเบิกบาน ขนาดตอนขับรถยังคอยมองไอ้ห่อของขวัญไปเกือบตลอด เป็นเอามากว่ะกรู….

ไม่อยากจะคิดเลยว่ามันจะดีใจขนาดไหนตอนที่ผมยื่นของให้ เจ้าหนูคงทำตาโตเท่าไข่ห่าน แล้วรีบหยิบของขวัญไปหมายจะแกะอย่างรวดเร็ว แต่พอเห็นกระดาษห่อลายโปรดแล้วก็ต้องค่อยๆ บรรจงแกะออก สายตาลุกลี้ลุกลนนั่นยิ่งทำให้ผมพอใจ… พอมันเห็นของขวัญแล้ว แน่นอน…มันจะต้องกระโจนเข้ามากอดแล้วร้องบอก ขอบคุณครับๆ หลังจากนั้นผมก็จะปล่อยให้ไอ้ตัวยุ่งได้เชยชมรางวัล ก่อนที่ผมจะยึดตัวมันมาเชยชมเสียเอง หึหึ
แค่คิดก็มีความสุขแล้ว…. ผมผิวปากเดินเข้าคอนโดอย่างอารมณ์ดี

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
คนแต่งฝากบอกว่า เอามาให้ย่ามใจเล่น หมาฟามว่างัยฟะ 