Part 40
ผมขับรถกลับมาโรงแรมด้วยใจหงุดหงิด… เกือบจะชนคนตายอยู่หลายครั้ง เสียงบีบแตรไล่ตามมาข้างหลังไม่หยุดหย่อน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกสะเทือนอะไรได้เลย ขาก้าวฉับๆ กดลิฟท์ชั้นที่จองไว้อย่างเหม่อลอย…
เฮ้อออ ทำไม…อะไรมันเกิดขึ้นเร็วจนแทบไม่อยากจะเชื่อตัวเอง นี่กรูฝันไปเปล่าวะ รู้สึกเหมือนเมื่อวันก่อนยังนั่งคุยกับไอ้ไมล์ ยังบอกลาเจ้าหนูที่วิ่งออกนอกห้องไป หันหน้าขาวๆ นั่นมายิ้มให้ผมจนแทบจะเห็นฟันครบ 32 ซี่ ตัวเองยังหัวใจพองโตเมื่อหยิบจับเลือกของให้อีกฝ่าย
ใจดวงนี้… ยังแอบคิดว่า มิกกี้จะดีใจแค่ไหนนะเมื่อได้แกะของขวัญชิ้นนี้ ยิ่งไปกว่านั้น จะดีใจแค่ไหนที่ได้เห็นหน้ากัน
แต่ทำไมวันนี้…. มันเหมือนทุกอย่างพังครืนลงมา ตั้งตัวแทบไม่ติด
ใบหน้าซีดขาวและริมฝีปากซูบเซียวพยายามขยับขึ้นลง…พูดอะไรสักอย่าง แต่ไม่มีเสียงออกมา ผมไม่มีกะจิตกะใจจะไปเฝ้ารอให้อีกฝ่ายคั้นคำพูด… เอ หรือคำแก้ตัวมากกว่าออกมา
ที่จริงอยากจะบอกไปมากกว่านี้ด้วยซ้ำ… ทำไมจะไม่เข้าล่ะ เรื่อง ผู้หญิงเนี่ย อยากคบสาวทำไมไม่บอก มันเป็นเรื่องปกติสินะสำหรับวัยนี้ ผู้หญิงไม่ขาด เหล้าไม่เคยห่างมือ มันเป็นเรื่องปกติ… เรื่องปกติไอ้แดน
ผมรู้สึกถึงแรงสั่นในกระเป๋ากางเกง อาจจะเพราะด้วยความโมโหจึงไม่ได้สังเกตมาก่อนว่ามันสั่นมานานขนาดไหนแล้ว ผมควักมันออกมาด้วยความรำคาญ…
“หึ…” คนที่โทรเข้ามาเป็นคนเดิมอย่างที่คาดไว้ไม่มีผิด ผมมองดูชื่อที่ขึ้นหน้าจออยู่แบบนั้น จนกระทั่งมันตัดไป ขึ้นเป็นเบอร์ที่ไม่ได้รับประมาณเกือบสิบครั้ง …จะโทรมาทำไมอีกวะ
โทรศัพท์สั่นขึ้นอีกครั้งหลังจากตัดสายไปได้ไม่นานนัก… ผมไม่อยากจะหยิบขึ้นมาดูเท่าไรนัก แต่ก็อดไม่ได้ มือเอื้อมไปหยิบมา และล้มตัวลงนอนบนเตียงกว้างที่จองเอาไว้เผื่อว่าจะได้ใช้หรับสองคน
รับ….หรือไม่รับดี
สุดท้ายผมก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่รับ… ทำตัวยังกับผู้หญิงงอนเลยว่ะกรู ก็รับๆ ไปสิวะ ไม่เห็นจะมีอะไรน่าเสียหาย… ก็แค่หัวใจดวงนี้ กลัวอะไร
“มีอะไร?”
((…..)) เสียงปลายสายไปเงียบสักพัก คงเพราะตกใจกับน้ำเสียงของผมก็เป็นได้
“….ถามว่ามีอะไร” ผมยังคงย้ำลงไปอีกครั้ง ด้วยเสียงแบบเดิม
((เฮีย…เฮียอยู่ไหน ฮึก))
“อยู่โรงแรม….”
ผมกลืนน้ำลายตัวเอง ลุกขึ้นยืนแล้วมองวิวออกไปนอกหน้าต่าง ชายทะเลกับหาดทรายสีขาวยามเย็น…ชวนให้ดูและหลงใหล แต่ตอนนี้สิ่งตรงหน้าไม่ได้ทำให้จิตใจผมสงบเลยแม้แต่น้อยนิด มันร้อนรุ่มราวกับโดนเผาด้วยไฟ… ยิ่งเสียงเครือน้อยๆ ของอีกฝ่าย ชวนให้จินตนาการไปถึงใบหน้าในตอนนี้… โอ๊ยยย ปัดโธ่เว้ย!
((เฮียมาหาผมหน่อยได้มั้ย…))
“….” ที่ไม่พูด เพราะไม่รู้ว่าจะตอบไปว่าอะไรดี ผมซบหน้าลงกับผนังห้อง มือก็ทุบเบาๆ เพื่อเตือนใจตัวเอง
((เฮีย…ผมไปหาเฮียก็ได้ เฮียอยู่ที่ไหน…อึก))
“…ไม่ต้องมาหรอก เดี๋ยวจะกลับกรุงเทพแล้ว”
((….เฮีย ผมอยากเจอเฮีย จริงๆ นะ…ขอร้องล่ะ เจอกันก่อนได้มั้ย ผมไม่อยากคุยโทรศัพท์แล้ว)) อีกฝ่ายตอบเสียงสั่นกลับมา ตอนนี้เงียบแล้ว…ไม่มีเสียงรอบข้างให้รำคาญใจแบบที่ผ่านๆ มา คาดว่าเจ้าหนูคงแอบไปโทรที่ไหนไกลๆ คนเดียว
“มิกกี้…” ผมสูดหายใจหนึ่งเฮือกก่อนจะตัดสินใจพูดบางอย่างออกไป
“ไปเที่ยวกับเพื่อนซะ แล้วไม่ต้องโทรมาอีก…เข้าใจมั้ย”
ว่าแล้วก็ตัดใจกดสายทิ้ง…โยนลงบนเตียง และเดินหนีออกไปข้างนอก ไหนๆ ก็มาทะเลแล้ว ก็ขอไปเที่ยวทะเลหน่อยแล้วกันวะ เค้าว่ากันว่าอกหักแล้วต้องหนีมาย้อมใจที่ทะเล แต่นี่กรูไม่ต้องหนี….ก็ดันเสือกมาโดนหักอกที่ทะเลซะเลย เออ…สะดวกดี
วันนั้นทั้งวันผมใช้เวลากับตัวเองให้มากที่สุด…. เดินเล่นริมชายหาด ซื้อของมากินเล็กน้อยแต่กูสึกว่าเสียเงินไปเปล่าๆ มากกว่าเพราะสุดท้ายก็ต้องแช่เอาไว้แบบนั้น ความรู้สึกแบบนี้ไม่ได้แวะเวียนมาหานานเท่าไรแล้วนะ
… เหงา…
น่าแปลก… ทั้งๆ ที่ยืนอยู่บนแผ่นดินผืนเดียวกันแท้ๆ ไม่แน่…ตอนนี้อาจจะบนผืนทรายแผ่นเดียวกันด้วยซ้ำ แต่ทำไมถึงรู้สึกห่างไกลได้ขนาดนี้นะ
ไอ้แดนเอ้ย…เป็นฝ่ายปฏิเสธเค้าไปหยกๆ ทีตอนนี้มาทำเป็นเศร้า ให้ตายเถอะ ไม่แมนเลย แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างนะ ไอ้ตัวยุ่ง… จะร้องไห้หนักกว่าเดิมรึเปล่า เมื่อกี้เสียงในสายก็เครือซะเหมือนกำลังจะร้องมะรอมมะร่อ ก็แค่กลัวแหล่ะ… เหมือนเด็กโดนผู้ใหญ่ดุ กลัวโดนโกรธ
ไม่แน่…ตอนนี้อาจจะลืมแล้วก็ได้น่ะ ลืมคนๆ นี้ไปแล้ว…
“เที่ยวให้สนุกงั้นเหรอ….หึ คิดไปได้ไงวะเรา” ผมหัวเราะกับคำพูดตัวเอง โดนซะขนาดนั้นคงจ๋อยหมดสนุกไปแล้วล่ะมั้ง
จะว่าไปก็น่ารักดีนะ….สองคนนั้น ดูเหมาะสมกันดี ผู้หญิงก็ดูเป็นลักษณะนิยมของวัยรุ่นสมัยนี้ หน้าตาแบบนี้คงจะ ‘น่ารัก’ ในสายตาเจ้าหนู อายุแค่นี้ ตัวก็แค่นี้ใครจะมาพิสมัยไอ้ลุงแก่ๆ มีดีแค่ดุล่ะวะ คราวหน้าหาแฟนใหม่สงสัยต้องลดดีกรีความเข้มลงบ้างแล้ว ไม่งั้นมีหวังได้โดนทิ้งอยู่อย่างงี้
‘แฟนใหม่’ เฮ้อออ….คิดแล้วก็ขำ ที่จริงพวกเราไม่ได้แม้แต่จะทำให้มันเคลียร์ด้วยซ้ำว่าเป็นแฟนกันตอนไหน มีแต่เราที่ทึกทักไปเองว่า แฟนๆ เคยพูดมั้ยไอ้แดน…เคยมั้ยว่าตกลงปลงใจเป็นอะไรกัน ก็คิดว่าการกระทำและหลายๆ อย่างมันชัดเจนแล้ว คำพูดคงไม่ต้อง… เป็นไงล่ะ สะใจดีมั้ย
ผมยืนรับลมอยู่บนหาดทราย มองทะเลกว้างใหญ่ข้างหน้าอยู่แบบนั้น… มีหลายคนที่เดินเข้ามาพยายามเหมือนจะทักทาย แต่ก็ต้องเดินจากไปเมื่อผมไม่เล่นด้วย จนกระทั่งท้องฟ้ากลายเป็นสีส้ม…ดวงอาทิตย์ใกล้จะลับขอบทะเลไปแล้ว แต่ผมก็ยังคงยืนนิ่งอยู่แบบนั้น
ผมกลับมาถึงห้อง…ในใจก็คิดจะขับรถกลับกรุงเทพคืนนี้ เดินเข้าไปหยิบกระเป๋าใบเล็กวางไว้อย่างไรตอนมาก็ยังคงอยู่แบบนั้น ของข้างในไม่ได้แม้แต่จะออกมาเชยชมบรรยากาศทะเลข้างนอก
ผมสะพายกระเป๋าขึ้นพาดบ่า….มองไปรอบห้องว่าลืมอะไรไว้บ้าง แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าทิ้งมือถือเอาไว้บนเตียงในห้องนอน จึงเดินเข้าไปดู….เสียงมือถือเตือนแบตหมดดังขึ้นมาทันทีที่อยู่ในมือผม
เบอร์ที่ไม่ได้รับสายและข้อความเข้ามาใหม่อีกมากมาย…ผมไล่กดดู มีทั้งชื่อที่คุ้นเคยและเบอร์แปลกหน้า
มันอดใจไม่ได้ที่จะกดเปิดข้อความหลายแหล่ที่ส่งมา… และสะดุดกับข้อความล่าสุด ส่งมาเมื่อราวๆ 4 โมงเย็น มันสั้นๆ…และเรียบง่าย ได้ใจความ
‘ไม่รักผมแล้วใช่มั้ย’
ปัดโธ่เว้ย!! ผมยืนถือโทรศัพท์เหวี่ยงไปเหวี่ยงมาอยู่แบบนั้น…. ให้ตายเถอะ ไม่รักงั้นเหรอ ไม่รักแล้วจะทน จะทรมานอยู่แบบนี้มั้ยเล่า! ผมกัดฟันจนเจ็บปากไปหมด อยากจะบีบไอ้เครื่องอิเล็กโทรนิกส์เครื่องเล็กในมือให้แหลก
แต่แล้ว…อยู่ๆ ก็มีสายเข้ามากะทันหัน ผมสูดหายใจเฮือก ก่อนจะพลิกมันขึ้นมาดู
เบอร์ไม่คุ้น…. ใคร?
“…ครับ”
((โอ๊ยยยย รับซะที…หายไปไหนมาเฮีย รู้มั้ยว่าฝั่งนี้เค้าวุ่นขนาดไหน!)) สมองผมรีบประมวลเสียงตามสายทันที
“….มีอะไร”
((ยังจะมาถามอีก เฮียทะเลาะอะไรกับไอ้กี้มันวะ แมร่งเอ้ย…เฮ้ยๆ ใครปล่อยมันไปวะ เฮ้ยยยยย ไอ้เป้ไปจับมันมา))
เสียงทางอีกฝั่งหนึ่งของโทรศัพท์ดูวุ่นวาย…ผู้ชายหลายๆ คนร้องเสียงดัง พร้อมกับไอ้นัทที่กำลังคุยกับผมอยู่ถึงกับต้องผละโทรศัพท์ไปโหวกเหวกสองสามประโยค ก่อนที่จะกลับมาหอบแฮ่กๆ คุยกับผมต่อ
((เฮีย รีบมาเลยนะ…ผมเอามันไม่อยู่แล้ว เชี่ยนี่เมาเรื้อนชิบ วิ่งลงทะเลตลอดเวลา))
ผมยังไม่ทันที่จะได้พูดอะไรออกไป ไอ้นัทก็รีบบอกพิกัดที่กลุ่มตัวเองอยู่แล้วตัดสายทิ้งทันที…เมางั้นเหรอ วิ่งลงทะเล ผมมองดูนาฬิกา… สองทุ่มแล้ว ทะเลตอนนี้คงมืดสนิท ห่าเอ้ย!!
ไม่นานนักหลังจากที่รีบบึ่งรถมา…ผมก็มาจอดลงแถวหน้าบังกะโล ไฟช่วงนั้นเปิดอยู่ไม่มากเพราะออกมานอกใจกลางเมืองไม่น้อย เสียงคลื่นกระทบเข้ากับชายฝั่งยิ่งทำให้ใจผมมันร้อนรน….
ผมเดินเข้าไปในตัวห้องโถงที่เอาไว้เช็กอินห้องพัก…หมายจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดไปยังเบอร์ไอ้นัท แต่ก็เห็นเด็กผู้หญิงกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาด้วยความเร่งรีบ
“พี่แดนคะ…” หนึ่งในนั้นส่งเสียงทักผมอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“ครับ” ผมพยักหน้ารับ
“เอ่อ…ทางนี้ค่ะ” ผมเพิ่งจะมาสังเกตเห็นว่าในกลุ่มนี้มี น้อง ‘กวาง’ อยู่ด้วย …เธอมองผมด้วยแววตาฉงนปนเกรงๆ แต่ในตอนนั้น…ผมไม่มีอารมณ์จะมาสนว่าใครเป็นใคร เพราะใจมันลอยไปหาใครบางคนเสียแล้ว
สาวๆ กลุ่มนั้นเดินนำผมลัดเลาะไปตามบังกะโลหลังต่างๆ จนกระทั่งสุดรั้ว…คาดว่าห้องที่พวกนี้เช่ากันคงอยู่ติดริมทะเลกันเลย เพราะยิ่งผมเดินเข้าไปมากเท่าไร เสียงน้ำทะเลครืนๆ ก็ยิ่งดังมากขึ้นเท่านั้น…นอกจากนี้ยังมีเสียงกลุ่มคนที่เริ่มส่งเสียงชัดเจนมากขึ้นเรื่อย
“มาแล้วๆ” ผู้หญิงคนหนึ่งรีบวิ่งไปบอกกลุ่มที่ยืนระเกะระกะกันบนหาดทราย มีเสื่อปูและกองขวดเหล้าขวดเบียร์ล้มอยู่เกลื่อนกลาด
ทุกสายตาจับจ้องมายังผม…. เป็นห่าไรกันวะ ผมคิดในใจ แต่ตัวเองก็ยังคงกราดมองไปรอบๆ มองหาไอ้ต้นตอที่ทำให้ต้องถ่อมาถึงที่นี่ ….อยู่ไหน?
และแล้วก็ไม่ต้องถามให้ยากเย็น เมื่อเสียงโวยวายดังมาจากในทะเล…ผมรีบเดินดุ่มเข้าไปทันที คนประมาณสองคนกำลังจับตัวใครบางคนในความมืด… ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าใคร…. ทันทีที่ผมเข้าไปถึง ไอ้สองคนนั้นก็รีบหันมามองทันที ทำให้ผมได้รู้ว่านั่นคือ ไอ้โจ้และไอ้เป้
“เกิดอะไรขึ้น” เสียงผมคงโหดจนเกินบรรยาย ไอ้สองตัวนั่นถึงได้ทำหน้าเจื่อนสุดฤทธิ์
“…อ่า เฮีย ไอ้กี้มัน…” ไอ้เป้พูดขึ้นแบบเก้ๆ กังๆ มือมันยังคงจับคนที่เอ่ยถึง
ผมเห็นสภาพอีกฝ่ายแล้วก็อดถอนหายใจไม่ได้….มันนั่งลงแหมะกับพื้นทราย น่ำท่วมถึงเอว คลื่นก็ซัดมาเข้าฝั่งกระแทกกับร่างนั้นโอนเอนไปมา ก้มหน้าก้มตาไม่พูดจากับใคร…และท่าทางจะยังไม่เห็นผม
“ปล่อย…จัดการเอง” ผมบอกไอ้สองคนนั้นเบาๆ และเอื้อมมือเข้าไปดึงแขนไอ้ตัวยุ่งให้ลุกขึ้นตามแรงกระชาก แต่ดูท่าจะไม่เป็นผล มันคงนั่งหัวโงนเงนอยู่แบบนั้น ท่าจะเมาจัด…
“เฮีย…เอ่อ จะให้พวกผมอยู่ช่วยมั้ย?” ไอ้เป้ถามขึ้น ทำให้ผมหันไปมองเหล่ากลุ่มเพื่อนมันที่ยืนสลอนมองตาแป๋วอยู่ข้างหลัง
“ไม่ต้อง ไปพักผ่อนกันเถอะ” พวกนั้นจึงมองหน้ากัน แล้วค่อยๆ แยกย้ายกันไปเข้าที่พัก
ผมรอจนกระทั่งตรงนั้นไม่มีคน…ลมเย็นพัดเอื่อยเข้ามาจนสะท้าน แสงไฟริบหรี่ที่สาดส่องมาเฉพาะจากบ้านพักยิ่งทำให้ตรงนี้เปลี่ยวจนน่ากลัว
เฮ้ออออ…ยิ่งก้มลงมองไอ้คนที่นั่งจุ้มปุ๊กไม่ยอมลุกไปไหนกลางทะเลแบบนี้ยิ่งหมดแรง… จะอะไรกันนักกันหนาวะ สุดท้ายก็ต้องมาเจอทั้งๆ ที่ไม่อยากเท่าไรนัก
“นี่…มิกกี้…ลุกเร็ว” ผมก้มลงบอกอีกฝ่าย… ไม่รู้ว่ามันยังมีสติเหลืออยู่มั้ย
“…ไม่”
“มิกกี้”
“ปล่อยกู!”
ปัดโธ่เว้ย! ไอ้หนูทำเอาผมสติแทบขาดกระเจิง…โดยเฉพาะเวลาที่มันขึ้นมึงกับกูเนี่ย ไม่รู้ทำไม ผมอยากจะจับตบปากเสียให้ได้
“มิกกี้! ลืมตาเดี๋ยวนี้!” จะว่ารุนแรงก็ได้ ผมล้มลงนั่งชันเข่า แล้วใช้มือบีบกรามเจ้าหนูให้เงยหน้าขึ้น อีกฝ่ายทำตามอย่างช่วยไม่ได้ มันค่อยๆ ลืมตาแดงก่ำนั่น…และเงียบไปนาน…
“ฮะ…ฮ่าๆ…หึหึ ฮึก…ไอ้เฮียบ้า อึก…”
มือน้อยนั่นเกาะเสื้อผมหมับ…หลังจากที่ทำตัวราวกับคนขาดสติ มันหัวเราะผสมร้องไห้ไปด้วยเมื่อเห็นหน้า ตัวน้อยสั่นเทาด้วยแรงสะอื้น เปลี่ยนมานั่งกอดเข่าตัวเองแทน แต่มือยังคงจับเสื้อผมอยู่…
“เอาล่ะ ลุกขึ้น แล้วไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าซะ” ผมพยายามพยุงร่างอีกฝ่ายให้ลุกตาม แต่ก็ไม่เป็นผลเมื่อเจ้าหนูไม่ทำตามด้วย
“เร็วเข้า…มิกกี้”
“ไม่เอา…อย่าไป”
ผมเริ่มเอือมกับไอ้คนขี้เมา บังคับให้ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนตาม….มันเองก็ยืนอย่างสะโงนสะเงน จะล้มแหล่ไม่ล้มแหล่…สองมือเกาะตัวผมไว้แน่น
“เฮ้อ…ทำตัวแบบนี้จะไปดูแลใครได้หืมเรา?” ผมอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมา… พยายามประคองให้อีกฝ่ายเดินเข้าฝั่ง
“ไม่เอา ไม่ดูใครทั้งนั้น…เฮียอย่าทิ้งผมไปนะ ฮึก” เจ้าหนูพูดหน้าแดง ตาแดง…ทิ้งน้ำหนักตัวลงบนแขนผมจนเดินไม่ได้ทั้งคู่
“พอ หยุดพูดได้แล้ว…ไป”
“เฮียไม่รักผมแล้วใช่มั้ย!”
ผมแค่ตั้งใจจะพาไอ้หนูเข้าไปพักในห้อง เพราะยังไงเสียตอนนี้คนเมาก็พูดอะไรไม่รู้เรื่องแล้ว แต่อยู่ๆ มันก็ไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนไม่รู้…สะบัดจนหลุดจากการกอบกุมของผม มองหน้าด้วยความเคียดแค้น…คิ้วเรียวเข้มคู่นั้นขมวดจนแทบจะเป็นเส้นเดียวกัน จมูกหายใจฟึดฟัดจนสังเกตเห็นได้…กลีบปากคู่สวยที่ปกติเป็นสีชมพู ยามนี้ซีดเซียวราวกับไร้เลือดไปหล่อเลี้ยงเม้มแน่น ขาสองข้างก้าวถอยหลังไปเรื่อย
ด้วยความมึนงง ผสมตกใจ…ทำให้ผมได้เพียงแต่มองดูว่ามันจะทำอะไร และเพียงไม่กี่ชั่ววินาที…ที่ร่างนั้นถอยหลังไปเรื่อย และหันหลังกระโจนเข้าไปในผืนน้ำที่มีคลื่นซัดแรง ผมตาโต….ทำอะไรเกือบไม่ถูก ก้าวเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างอัติโนมัติ แต่กว่าจะเข้าไปดึงได้คนตรงหน้าก็ลงทะเลไปจนแทบมิดแล้ว
น่ากลัว….ทะเลตอนกลางคืนว่ามืดแล้ว ยิ่งในคืนที่แสงจันทร์รำไรแบบนี้ยิ่งทำให้มองอะไรรอบข้างแทบไม่เห็นเลยสักนิด ผมมองร่างตรงหน้าที่ยังไม่หยุดก้าวลึกลงไปเรื่อย
“มิกกี้! หยุดเดี๋ยวนี้นะ มิกกี้!” ผมตะโกน น้ำสูงจนเลยเอวเข้าไปแล้ว อีกฝ่ายก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะหยุด จนสุดท้าย…ผมต้องกระโจนไปข้างหน้าอย่างไม่คิดชีวิต คลื่นทะเลก็โต้เข้าหูเข้าตาจนแสบไปหมด…และคว้าร่างเอาไว้ได้ในที่สุด
“แค่ก…อึก” เจ้าหนูหันหน้ามาทางผม ผมมันเปียกจนลู่ไปข้างหลัง ตาปรือเหมือนคนเหม่อลอย ไอสองสามที ไม่อยากจะนึกว่าถ้าผมไม่คว้าเอาไว้ทัน ร่างตรงหน้าจะเป็นอย่างไร
“เฮีย…เกลียดผมแล้วใช่มั้ย” ให้ตายเถอะ ดูมันสิ! ยังมีหน้ามาถามอะไรตอนนี้วะ!
“ไม่รักผมแล้วใช่มั้ย…”
ไอ้ตัวยุ่งยังคงถามผมซ้ำซากอยู่แบบนั้นเหมือนกับหุ่นยนต์ที่โดนบันทึกข้อมูลเดิมๆ ไว้….วนไปเวียนมา ขาผมถอยเข้าใกล้ฝั่งโดยที่ไม่ได้สนใจคำพูดของคนตรงหน้า ทั้งๆ ที่อยากจะตอบแทบตาย
“ไม่รักผม…ไม่รักแล้วใช่มั้ย ฮึก…”
“ใครกันแน่ที่ไม่รัก!” ในที่สุดความอดทนก็หมดลง เมื่อน้ำทะเลลดระดับลงแค่เอว ผมก็จับต้นแขนของเจ้าหนูแน่นทั้งสองข้างเพื่อให้หันมาเผชิญหน้า ถึงจะเสียงดังแค่ไหนก็คาดว่าคนแถวนั้นจะไม่ได้ยินแน่นอน เพราะเสียงคลื่นนั้นดังกลบจนเกือบหมด
“…อึก”
“หะ มิกกี้! ใครกันแน่ที่ยืนจับมือกระหนุงกระหนิงกับผู้หญิง….ใครกันแน่ที่เป็นฝ่ายลืม ใครกันแน่ที่ไม่รัก! บอกหน่อยซิ!” ผมตะโกนจนเจ็บคอ…อีกฝ่ายเองก็ดูจะตกใจไม่แพ้กัน สองตานั่นเบิกโพลง แล้วค่อยๆ หรี่ลง ฟันกระทบกันด้วยความหนาวเหน็บ…ส่ายหน้าไปมาช้าๆ
“ผมกับกวางไม่ได้…”
“พอเถอะมิกกี้! มันเห็นอยู่ตำตา ถ้าเค้าจับฝ่ายเดียวก็ไม่เท่าไหร่ แต่นี่ชั้นไม่ได้ตาบอด! เข้าใจมั้ยว่าไม่ได้ตาบอด!”
ผมเผลอรุนแรงกับเจ้าหนู…มือที่จับแขนคนตรงหน้าผลักออกอย่างไม่ได้ตั้งใจด้วยแรงอารมณ์ …ทันทีที่ร่างหลุดลอยออกไป อีกฝ่ายก็ตะโกนกลับมาทันที
“แต่ผมไม่ได้รักเค้า! ผมรักเฮีย… ได้ยินมั้ย ผมรักเฮีย! ทำไมไม่ฟังกันบ้าง!”
ในหัวผมโหวงไปชั่วขณะ…พยายามจับทุกคำพูดที่ร่างเปียกตรงหน้าพูดออกมา… รักงั้นเหรอ แล้วทำไม… ทำไม! แต่ไม่ทันที่จะได้ถามอะไรออกไป มันก็สะบัดหน้า วิ่งลงทะเลอีกรอบ คราวนี้ด้วยแรงฮึดมาจากไหนไม่ทราบ อีกฝ่ายตะกุยลงทะเลโต้คลื่นที่พัดเข้ามาฝั่งมาอย่างรวดเร็ว
ด้วยความที่หันไปเจอกับคลื่นใหญ่พอดี….ร่างนั้นหายไปกับท้องทะเลโดยที่ผมไม่รู้ตัว!
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ไร้รูป...ไร้คำบรรยาย 