Part 46
อืมมมมม…..ผมอ้าปากกว้างหาวจนน้ำตาเล็ด พร้อมกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แต่สายตายังคงไม่ละจากถนนกว้าง ยอมรับว่ามีบางครั้งที่เหลือบไปมองไอ้คนที่นอนหลับปุ๋ยกอดเสื้อแจ็คเกตตัวเองด้วยความสบายใจข้างๆ มันน่านัก…ให้ตายเถอะ
เมื่อคืนนี่กว่าจะได้ขึ้นจากสระเล่นเอาผมแทบจะปวดเมื่อยไปทั้งตัว ไอ้ลิงน้ำพอเห็นว่าผมจะขึ้นหนีไปนอนเล่นบนเตียงไม้ก็รีบตามมากวนจนไม่ได้พักไม่ได้ผ่อน เล่นเอาตอนเช้า…ไม่สิ ตอนเที่ยงตื่นมาเช็กเอ้าท์แทบไม่ทัน ดีนะที่เค้าโทรขึ้นมาบอกไม่งั้นนอนกันสายโด่งแน่นอน
หลังจากที่ขับรถมาเกือบสองชั่วโมง…ผมก็เลี้ยวเข้าซอยที่คุ้นเคย และวกเข้าไปจอดที่ประจำใต้ตัวตึก จอดรถเรียบร้อยแล้วจึงหันไปปลุกไอ้คนที่ทำหน้ายุกยิกแต่ไม่ยอมลืมตาซะที
“ถึงแล้วครับคุณชาย” ผมยิ้ม…หึหึ ยังจะมาทำเป็นแกล้งหลับอีก ไอ้ตัวยุ่งเอ้ย
“อือ…ขี้เกียจลุกอ่ะ” เจ้าหนูว่างัวเงีย
“ไม่ลุกก็นอนในรถนี่แหล่ะ เฝ้าของด้วยนะ เดี๋ยวขึ้นไปนอนต่อละ” ผมไม่รอช้า หยิบกระเป๋าใบขนาดย่อมของตัวเองแล้วลุกออกจากเบาะคนขับทันที
“รู้แล้วๆ ไปด้วยยยย”
ผมถึงกับขำพรืดออกมา ไอ้มิกกี้รีบลุกขึ้น แต่ตัวมันยังติดกับเข็มขัดนิรภัยอยู่เลยทำให้เด้งกลับมาหลังติดเบาะอีกครั้ง ดูมันมึนๆ ไปสักครู่ เพราะตอนนั่งมามันไม่ได้คาด แต่ผมเป็นคนแอบคาดให้เอง
“หึหึ มานี่” ระหว่างที่ไอ้หนูกำลังส่ายหน้า เกาหัว และหมายจะเอื้อมไปแกะเข็มขัดตัวเองแบบงงๆ ผมก็เดินมาถึงเบาะมันพอดี
ก้มลงยื่นหัวเข้าไปตัวรถและปลดเข็มขัดออกให้พร้อมกับแอบจุ๊บแก้มหอมๆ นั่นไปหนึ่งที เจ้าหนูหัวเราะเอาหน้าหลบผมใหญ่ ได้ทีอย่างงั้นผมเลยแกล้งทำเป็นไม่หลบ แต่ทำท่าระดมจูบใส่หน้ามันไม่ยั้ง
“ฮ่าๆๆ เฮียอย่าเล่นดิ” มันว่า พลางเอามือดันหัวผมออกด้วยความจักจี้
“เอ้า…ลุกได้แล้ว”
ผมยันตัวขึ้นจากรถ แล้วหยิบกระเป๋าตัวเองขึ้นพาดบ่า กะว่าเดี๋ยวอีกฝ่ายคงจะลุกตาม…แต่ที่ไหนได้ หันมาอีกทียังเจอมันนั่งอยู่ในเบาะ ประตูรถเปิดทิ้งไว้ และยิ้มกว้าง
ว่าแล้วเลยยักคิ้วขึ้นข้างนึงเป็นเชิงถามว่า ‘มัวทำอะไรอยู่?’
“ไม่มีแรง…” ไม่ได้พูดอย่างเดียว มีการทำท่าป้อแป้ประกอบด้วย ถ้าคนอื่นทำอาจจะดูน่ารัก แต่ไหงหมอนี่มันเหมือนเด็กปัญญาอ่อนมากกว่าฟะ -*-
เฮ้ออออ…ดูซิใครมันน่าเตะมากกว่ากัน ผมเข้าไปดึงตัวมันลุกขึ้นจากเบาะรถ แล้วใช้เข่าดันประตูปิดเสีย ไอ้หนูยังคงทำท่าไม่มีแรง ส่ายไปส่ายมายังกับคนเมา พอจะปล่อยมือ ก็รีบทำท่าจะล้มคะมำคว้าตัวผมเกาะใหญ่
“เดี๋ยวเหอะๆ ใครเล่นกันแน่” ผมหัวเราะในลำคอ แล้วตบหัวมันไปหนึ่งฉาด สงสัยท่าจะเรียกสติให้กลับมาได้เล็กน้อย มันเลยทำท่าเหมือนไฟช็อตแล้วมีแรงขึ้นมาซะงั้น แถมยังปากยื่นปากยาวเอามือลูบหัวป้อยๆ เดินไปหยิบกระเป๋าตัวเองตามคำสั่ง


“เฮีย…นี่อะไรอ่ะ?”

อีกฝ่ายผลุดขึ้นมาจากเบาะหลังรถ แล้วหยิบสิ่งหนึ่งขึ้นมา….สิ่งที่ผมลืมไปตั้งนานแล้ว
“อ้อ…”
“ผมขอกระดาษห่อได้ป่ะ นะ นะ นะ” มิกกี้ทำตาใสปิ๊งๆ ใส่ พร้อมกับยื่นของสี่เหลี่ยมทรงผืนผ้านั่นไปมา
“เอาไปหมดเลยก็ได้” ผมยิ้ม แล้วเดินไปหยิบกระเป๋าของมันมาช่วยหิ้ว
“อ้าว ไม่เอาอ่ะ เอาแต่กระดาษ”
“…แล้วแต่”

ผมไม่ได้สนใจอะไรต่อ แต่ก็แอบอมยิ้มเล็กน้อยและเดินนำมันไปที่หน้าลิฟท์ แอบเหลือบไปมอง เจ้าหนูสะพายกระเป๋าแล้ววิ่งตามผมมาเหมือนลูกหมาน้อยตามเจ้าของอย่างไงอย่างงั้น
พอเข้ามาในลิฟท์มันก็เงยหน้าขึ้นมาถามผมทันที
“ขอเลยนะ”
ผมพยักหน้า พร้อมกับมองอีกฝ่ายที่ขะมักเขม้นบรรจงแกะกระดาษลายโบราณสีน้ำตาลแก่อย่างเบามือ มันใช้นิ้วกรีดต่างรอยพับ แล้วค่อยๆ คลี่ออกจนครบทุกด้าน
…ติ๊ง…
เสียงลิฟท์ดังเมื่อพวกเรามาถึงชั้นที่กดเอาไว้ ผมเดินออกมาข้างนอกแล้ว แต่ไอ้อีกตัวนี่สิ…ยังคงยืนทำตาโตอยู่ข้างในจนต้องเอื้อมมือไปคว้าคอเสื้อดึงให้เดินตามออกมาก่อนจะโดนประตูเหล็กหนีบตัว
“ฮ…เฮีย ใครให้เฮียมาอ่ะ?” ไอ้มิกกี้ทำตาประกาย ปากละล่ำละลั่กชี้นิ้วลงบนหนังสือหนาปกดีไซน์ลายที่ผมไม่ค่อยจะเข้าใจนักที่ถูกห่อหุ้มไว้ด้วยกระดาษสีน้ำตาลลายสวย
“เปล่า” ผมยักไหล่
“งั้น…งั้นเฮียซื้อให้ใครอ่ะ?”
“เปล่า”
“อ้าว...”
“กะว่าจะเอามาไว้ในห้องน้ำ ใช้เป็นกระดาษเช็ดตูดเล่น มันส์ดี” ผมดึงตัวอีกฝ่ายเข้ามาในห้องทันทีที่ไขกุญแจเสร็จ
“ฮ่าๆ อยากแสบตูดบอกก็ได้ เดี๋ยวเอาสก็อตไบรท์ขัดให้” ไม่อยากจะบอกว่าตอนนี้มันยิ่งทำตาประกายใสปิ๊งใส่ผมยิ่งกว่าเดิมซะอีก
“หึหึ…”
“ขอบคุณครับ” เจ้าหนูบอกพร้อมกับพนมมือขึ้นไหว้ตามประเพณีไทยเล็กน้อย แม้จะลวกๆ ก็ตามแต่นี่ก็เป็นจุดนึงที่ผมชอบ มันมักจะทำตัวน่ารักน่าเอ็นดูเสมอ

“ขอบคุณทำไม…ใครบอกจะให้” ผมยักคิ้ว ขยี้หัวไอ้มิกกี้เล่น
“ไม่ให้ก็จะเอา” มันยิ้มทะเล้นใส่
“โหๆ เดี๋ยวนี้เป็นคนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ยเรา หืม?”
“เอาน่า…ขอบคุณครับป๋า” มันทำมือไม้อ่อนกว่าเดิม แล้วก้มลงกราบที่อกผม บิดตูดไปบิดตูดมา ให้ตายเถอะทะลึ่งจริงๆ ไอ้เด็กคนนี้
“ไม่เป็นไรอีหนู”
“จะให้ดีกว่านี้ เย็นนี้ขอมื้อเย็นใหญ่ๆ อีกมื้อนะป๋า เบียร์ซักโหล สองโหลก็แซ่บอีหลีแล้วป๋า”
ไอ้มิกกี้เลียปากแผล่บ…ผมเลยบ้องกะโหลกมันแถมไปให้อีกทีจนอีกฝ่ายร้องโอดครวญ ทำเอากลับมาคิดว่า… เอ ที่มันเป็นแบบนี้เพราะกรูป่ะวะ ตบได้ตบดี -*-

ผมบอกให้มันเก็บของออกจากกระเป๋าไปใส่ตะกร้าให้เรียบร้อยก่อนที่จะไปทำอย่างอื่น ไอ้อย่างอื่นก็คือนั่งเห่อของใหม่ของมันนั่นแหล่ะ…ไอ้ตัวยุ่งก็ทำตามลวกๆ โยนผ้าออก โยนแปรงสีฟันยาสีฟันไว้ในห้องน้ำ ก่อนจะถอดถุงเท้า ถอดกางเกงยีนส์ เหลือแต่เสื้อยืดกับบ็อกเซอร์กระโดดลงเตียงกว้าง
ระหว่างนั้นผมก็เก็บของๆ ผมไป ที่นานเพราะสุดท้ายก็ต้องตามไปเก็บของอีกคนที่โยนไว้ทั่วห้องด้วย -*- ไม่แปลกใจเลยที่ห้องมันจะกลายสภาพเป็นรังหนูได้ขนาดนั้น ตอนนี้นี่หยากไย่ไม่ขึ้นเต็มกลายเป็นห้องผีสิงไปแล้วเหรอวะ
เข้ามาในห้องเย็นฉ่ำเพราะเครื่องปรับอากาศอีกทีก็เห็นไอ้ลูกลิงนอนหงาย หนังสือวางพาดไปด้านข้าง หลับปุ๋ยอ้าปากกว้างนำลายยืดไปอีกรอบซะแล้ว

ผมเลยเอาบ้าง เดินเข้าห้องน้ำไปล้างเนื้อล้างตัวอีกซักรอบหลังจากทำความสะอาดห้องไปนิดหน่อย แล้วจึงใส่เสื้อบางๆ กับบ็อกเซอร์เปล่ามุดตัวเข้ามาในผ้าห่มบ้าง
อืออออ…. ยืดแขนยืดขาสองสามที ก่อนที่จะหยิบหนังสือเล่มโตพอๆ กับแฮร์รี่ พอตเตอร์ออกมาวางไว้ข้างเตียง อ้าแขนพาดไปกลางลำตัวอีกฝ่ายและดึงเข้ามาใกล้
ค่อยๆ….หลับตาลง
ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งเพราะเสียงเมื่อได้ยินเสียงกดกริ่งที่หน้าประตู…. จึงค่อยๆ ดึงแขนออกจากท้ายทอยคนข้างๆ และลุกขึ้นนั่ง เดินไปเกาหัวไปมองดูตาแมวตรงประตูว่าใครมา
ไอ้เวรไมล์…
“มีไรวะ” ผมเปิดประตูออก หน้าตายังงัวเงียเล็กน้อยจนไอ้คนที่ยืนข้างนอกทำหน้าขำๆ
“หลับอะไรเวลานี้วะ ปกติเห็นมรึงไม่เคยจะนอนกลางวัน”
“เออ เหนื่อยนิดหน่อย…แล้วจะยืนแบบนั้นอีกเมื่อไหร่ ไม่เข้ามารึไง” ผมกะจะหันหลังเพื่อเดินเข้าไปข้างใน แต่ก็ต้องชะงักเท้าเสียก่อน
“ไม่ว่ะ เดี๋ยวมีธุระต้องรีบไป”
“ไรวะ…” ผมยืนท้าวแขนหน้าประตูมองอีกฝ่าย
“พอดีมีนัดกับเพื่อนกิ๊ก หุหุหุ”
“เวร มีกิ๊กไม่พอ แมร่งเอาเพื่อนกิ๊กอีก”
“แล้วตกลงมีไร?” ผมส่ายหัวด้วยความระอา พร้อมกับยืนท้าวสะเอวถามไอ้เพื่อนเลิฟไปด้วย
“กรูเอานี่มาให้ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะไม่อยู่กรุงเทพว่ะ เลยมาให้ก่อน”
ไอ้ไมล์ยื่นของบางอย่างใส่มือผม…ผมหยิบมันขึ้นมาดูแล้วถึงกับต้องกรอกตาไปมาด้วยความเซ็งขั้นสุดยอด…. แมร่งเอ้ย ลืมไปซะสนิท ที่จริงคืออยากจะลืมมากกว่า… พรุ่งนี้แล้วงั้นเหรอเนี่ย ให้ตายเถอะ!
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
คิดถึงน้องที่สุดในโลก