Part 48

“เซอร์ไพรสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสส์”
ทันที่ที่ผมไขกุญแจเข้ามาในห้อง… เสียงกู่ร้องก็ดังขึ้นไปทั่วพร้อมกับแสงไฟที่ถูกเปิดขึ้น มองเห็นฝูงคนหน้าตาคุ้นเคยยืนเรียงกันด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม อื้อออ หือออ… มันมากันหมดเลยครับ พวกน้องๆ เพื่อนๆ ที่ทำงานเก่า ไอ้ชิน (ยังจำมันกันได้มั้ย) และแน่นอน… เจ้าหนูของผมที่ยืนยิ้มร่า สองมือถือเค้กก้อนโตหน้าแป้นอยู่
“โห…สุดยอด” ไอ้ไผ่โผล่หน้ามาจากข้างหลัง มันทำตาโตมองไปรอบๆ ด้วยความทึ่ง
“…อะไรเนี่ย” ตัวผมเองก็อุทานด้วยความอึ้งไม่แพ้กัน
คงเป็นเพราะความตื่นเต้นในการรอเซอร์ไพรส์และการรอดูปฏิกิริยาของผม ทำให้คนรอบข้างไม่ได้สังเกตถึงการปรากฏกายของไผ่เท่าไหร่ แต่ผมลอบเห็นว่า…คิ้วมิกกี้ดูกระตุกไปเล็กน้อย มันเหลือบมองคนที่ยืนข้างๆ ผมด้วยความสงสัย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

มันก้าวมาข้างหน้า พร้อมกับยื่นเค้กที่จุดเทียนไว้สามเล่ม
“สุขสันต์วันเกิดครับ”
ไอ้ตัวยุ่งยิ้ม ยื่นเค้กเข้ามาใกล้ จนผมอดยิ้มบ้างออกมาไม่ได้…ให้ตายเถอะ นี่สินะที่บอกว่าไม่ต้องรีบกลับมาก็ได้ ที่แท้ก็มีการเตรียมการเซอร์ไพรส์นี่เอง ซนจริงๆ เจ้าพวกนี้
“เป่าเทียนดิๆ” ดูมัน…มีการมาเร่งอีก

ด้วยความเขินเล็กๆ ทำให้ผมรีบเป่าเทียนตรงหน้าจนหมด ตามด้วยเสียงเฮและเสียงตกมือเกรียวกราว ผู้คนเดินเข้ามาทั้งยกมือไหว้ ตบหลัง ตบหัว -*- อวยพรวันเกิดให้ สาวน้อยสาวใหญ่เข้ามากอดเอย หอมแก้มบ้างเอย ถ้าเป็นปกติผมจะดุไปแล้ว แต่นี่ยกให้วันนึง (พูดไปงั้นแหล่ะ) แป๊ปเดียวก็แยกย้ายกันไปเดินกินขนม กินอาหารที่เตรียมไว้กลางห้อง
“…นี่ใครต้นคิด?” ผมเดินตามเข้ามาในห้อง ลืมไอ้ไผ่สนิทใจ
“จะใครอีกล่ะ” ไอ้ชินเข้ามากอดคอผม และยักคิ้วชี้ไปที่ไอ้หนู
“แหะๆ” ดูมัน…ทำหน้าทะเล้นใส่อีกต่างหาก น่าตีก้นชะมัด!
“เอาน่า ฉลองหน่อยสิ เดี๋ยวก็เลขสามแล้วจะฉลองไม่ออกนะ” ไอ้ชินยังคงกระแนะกระแหนด้วยคำพูดเสียดแทง
“นี่ก็ใกล้แล้ว ยังจะมาจัดงานอีก ไม่ใช่เด็กๆ นะเว้ย”
“งั้น…ก็ถือซะว่า จัดเป็นปีสุดท้าย ฉลองอำลาเลขสองละกัน ฮ่าๆๆ” ไอ้ชินหัวเราะสะใจ เออ ให้ตามึงมั่งละกัน -*-
“แล้วนี่แต่งตัวอะไรของมึงไอ้ชิน” ผมถอนหายใจ หันมามองคนข้างๆ มันใส่เสื้อซีทรูตาข่ายสีดำ กับกางเกงหนังรัดติ้ว เห็นแล้วจุกแทน
“พูดอะไรอย่างนั้นนนนนที่ร๊ากกกกก….ก็วันเกิดที่รักทั้งทีก็ต้องทำตัวให้มันเซ็กซี่หน่อย พอเสร็จงานเราก็จะได้…. หึหึหึ”
มันไม่ได้พูดเปล่า แต่ยกมือเขี่ยหน้าอกผมเล่น บวกกับทำหน้ากระลิ้มกระเลี่ยชวนคลื่นไส้ -*- เลยได้แต่ผลักหัวมันออกไป ไอ้ชินส่งเสียงหัวเราะอารมณ์ดี แต่ไอ้เสียงข้างๆ นี่สิ ไม่ใช่เสียงไอ้ชินนี่หว่า
“หัวเราะอะไร เดี๋ยวโดนนะเราน่ะ” ไอ้คนโดนขู่รีบหุบปากทันที แต่หลังที่สั่นไปมาทำให้รู้ว่าต้องพยายามกลั้นขนาดไหน
“คุณลุงโดนเซอร์ไพรส์ เขินอ่ะดิ๊”
“ใครลุง…เดี๋ยวหลานจะโดนลุงตื้บ คอยดูๆ” มิกกี้หัวเราะร่า รีบยกมือขึ้นกันลูกเตะหลอกๆ ของผมทันที
“ว่าแต่…ใครอ่ะเฮีย?”
เอ้ออออ…ลืมไปซะสนิท ผมมองดูตามสายตาเจ้าหนูที่มองไปที่ไอ้ไผ่ มันกำลังทักทายบรรดาพี่ๆ น้องๆ ด้วยความเนียน มือก็หยิบแซนวิชชิ้นเล็กกินอย่างสบายใจ
“อ้อ…” ในตอนแรกผมกะว่าจะเดินไปเรียกมัน แต่อยู่ๆ เหมือนมันรู้ เลยรีบเดินมาทางนี้ ด้วยรอยยิ้มที่ไม่ค่อยจะน่าไว้ใจสักเท่าไหร่
“ไง กี้” ไอ้ไผ่ยกมือทักทาย ทำหน้าพยักเพยิดใส่เจ้าหนู
“ง…ไง” มิกกี้ยกมือแบบกล้าๆ กลัว ทักตอบกลับบ้าง มันเหลือบมองคนตรงหน้า สลับกับมองผมแบบงงๆ
“แมทช์ล่าสุดก็โอนะ ใช้ได้ แต่ไม่ถึงกับดีเท่าไหร่หรอก” เอาล่ะครับ งงสิวะ…นี่รู้จักกันมาก่อน??
“หะ??”
“ก็แมทช์ล่าสุดไง วิดวะ-สินกำ พวกนายชนะไปแค่ 22 แต้ม อย่าคิดได้ใจนะเว้ย” ผมล่ะอยากจะหัวเราะ…22 นี่ถือว่าเยอะเลยนะเว้ย ไอ้นี่แพ้เค้าแล้วช่างกล้าพูด แต่เอ๊ะ..นี่แสดงว่ามันอยู่วิดวะ?
“อ้ออออ…อืมๆ” เจ้าหนูของผมพยักหน้าตอบรับอย่างงงๆ
“คราวหน้าเดี๋ยวพวกเราไปเอาคืน เตรียมตัวไว้ด้วยล่ะ” ไอ้ไผ่ชี้หน้ามิกกี้ด้วยความมั่นใจ แล้วยิ้มมุมปาก
“โอเค…ว่าแต่…” เจ้าหนูดูอึดอัดในการเลือดใช้สรรพนามเรียกคนตรงหน้า เลยได้แต่ชี้ไม้ชี้มือไปเป็นเชิงถามว่า ‘มึงคือใครวะ’
“อะไร จำไม่ได้เหรอวะ ไผ่ไง..ไผ่วิดวะไฟฟ้า อยู่ทีมวิดวะ เพิ่งจะแข่งกันไปเอง”
ทั้งผมและมิกกี้ต่างเงียบไปสักพักท่ามกลางเสียงเพลงและผู้คนที่เต้นไปมา ผมมองหน้าไอ้ตัวยุ่งเพื่อดูว่าสองคนนี้รู้จักกันจริงๆ รึเปล่า ว่าแล้วทำไมไอ้ไผ่มันถึงรู้จักผม ก็เป็นทีมคู่แข่งไอ้หนูแบบนี้ ก็ต้องเห็นผมไปนั่งเป็นโค้ชบ้าง ผู้จัดการข้างสนามยามจำเป็นบ้างแหล่ะวะ
“ไผ่…เหรอ?” เจ้าหนูดูใช้ความคิดอย่างหนัก ยกมือข้างนึงขึ้นเกาคาง ปากก็พึมพำขมุบขมิบไล่ชื่อทีมวิดวะที่มันรู้จักไปทีละคน
“เออ”
“อ้อออ ไผ่ๆ นึกออกแล้ว!”
“ปัดโธ่! กว่าจะนึกออกจะมึงงงง”
“ไผ่ที่ชอบนั่งเป็นตัวสำรองตลอดใช่มะ”
กร๊ากกก…ถ้ามีวงดนตรีที่พวกตลกชอบใช้กัน ตอนนี้คงมีเสียงดัง ตะลึ่ง ตึง โป๊ะ ประกอบชัวร์ๆ ผมยกมือขึ้นปิดปากกระแอมเพื่อกลั้นเสียงหัวเราะกลัวเสียมารยาท ไอ้หนูเองก็ทำหน้ายิ้มร่าดีใจประมาณว่า ในที่สุดกรูก็นึกออก! แต่ไอ้ไผ่นี่สิ…มันอ้าปากค้างเติ่ง พะงาบๆ แล้วค่อยสูดหายใจลึก พึมพำกับตัวเองว่า ‘กรูไม่ได้ชอบหรอกนะ’
“เออๆ นั่นแหล่ะ แมร่งเอ้ย”
“ไงๆ แล้วทำไมมากับเฮียอ่ะ? ไปรู้จักกันตอนไหน?” มิกกี้ยิงคำถามรัวเมื่อเริ่มรู้สึกสนิทใจกว่าใจตอนแรก
“ก็…แม่เค้าฝากฝังให้เฮียดูแลน่ะ”
ณ จุดนี้ผมถึงกับแทบกระอักน้ำลายตัวเองออกมา พูดตามตรงแม่มันก็ฝากผมไว้จริงๆ แหล่ะครับ แต่พอพูดว่าฝากฝังแล้วแมร่ง…ยังกะกรูต้องรับมึงมาดูแลงั้นแหล่ะ
เอาแล้วไง…ไอ้หนูเองก็เริ่มคิ้วกระตุก มองหน้าไอ้ไผ่แบบระแคะระคาย ปน งงๆ ดีนะที่มันมึน เฮ้อออ
“เอาล่ะ ไปได้แล้ว นี่เข้าห้องน้ำรึยัง” ผมรีบตัดบท พยายามทำหน้าให้เป็นปกติ
“เอ้อออ ลืมมมมมม” เวรกรรม -*-
“งั้นก็รีบไป เร็วเข้า ห้องน้ำอยู่นั่น”
“โอเคๆ ไล่จังเลยว่ะ…อยากอยู่ต่ออ่ะ” ไอ้ไผ่ทำหน้าออดอ้อน แต่เสียใจด้วยว่ะ กรูเห็นคนทำหน้าแบบนี้น่ารักแค่สองคน คือมาร์ชและไอ้หนู -*- นอกนั้นกรูอยากจับโบกหัวทิ่มดินหมด
“ไม่ต้องเลยรีบไป”
มันทำหน้าบูด แต่ไม่รู้ทำไมถึงลอบเห็นรอยยิ้มจางๆ โผล่บนใบหน้าเรียวนั่น… ไม่นานนัก อยู่ๆ ก็มีเสียงร้องขึ้นมากลางวงทันทีที่ผมหันหลังกลับ
“น้องไผ่ พี่ขอโทษษษษษ” เสียงของสา น้องสาวที่ทำงานเก่าของผมที่กำลังแดนซ์อย่างเมามันดังขึ้น
“ไม่เป็นไรครับพี่”
สิ่งที่ผมเห็นตรงหน้า คือเสื้อเชิ้ตสีขาวราคาแพงที่ด้านหน้าเต็มไปด้วยสีชมพูอมแดงของน้ำพันช์ พร้อมกับไอ้ไผ่ที่หันมายกมือสองข้างขึ้น ประมาณว่า ‘ช่วยไม่ได้ ไม่ใช่ความผิดผมนะ’ ทำให้ถึงกับต้องกรอกตาไปมาด้วยความเซ็งขั้นสุด ทำไมสะบัดไอ้หน้าตี๋ คิ้วดกนี่ไม่ได้ซักทีวะ!
“เดี๋ยวเอาเสื้อเราเปลี่ยนก็ได้” เจ้าหนูพูดหน้านิ่งแบบที่ผมเดาอารมณ์ไม่ค่อยจะถูก มันบอกให้อีกฝ่ายเดินตามเข้าไปในห้องนอนที่ถูปิดอยู่ เป็นเพียงโซนเดียวที่ห้ามไม่ให้คนอื่นได้เข้า
“ขอบใจ”
สองคนนั้นเดินหายเข้าไปในห้องนอน…ส่วนผมเองก็ส่ายหัวด้วยความเบื่อ แต่ก็ยังยิ้มให้คนอื่นที่อุตส่าห์มาร่วมงาน (ที่ไม่ได้อยากจะจัดสักเท่าไหร่ เฮ้อออ -*-)
สักพักเลยตามสองคนนั้นเข้าไปในห้อง…ภาพที่เห็นตรงหน้า คือ ไอ้ไผ่กำลังยืนซ้อนข้างหลังเจ้าหนู ทำหน้าตากรุ้มกริ่มโดยที่มีคนของผมกำลังค้นหาชุดในตู้เสื้อผ้าอยู่
“ได้รึยัง?” ผมยืนกอดอก พิงประตู
มิกกี้เลยค่อยเงยหน้าขึ้น… มันหยิบเสื้อยืดสีเหลืองอ๋อยขึ้นมายื่นให้อีกฝ่าย ไอ้ไผ่ดูอึ้งๆ ไปเล็กน้อย แต่ก็รับมาแต่โดยดี พร้อมหันซ้ายหันขวาหาห้องน้ำ และเดินเข้าไปเปลี่ยนเสื้อ
“เร็วๆ ล่ะ จะได้กลับซักที” ผมตะโกนตามหลังไอ้หมอนั่นไป มันตอบกลับมาว่า คร้าบๆ แล้วปิดประตูห้องน้ำดังปัง
และแล้วความเงียบก็เกิดขึ้นอีกครั้ง…ระหว่างผม และ มิกกี้
“โลกกลมดีนะ…ไม่คิดว่าจะรู้จักกัน” ผมยื่นมือออกไปลูบหัวเจ้าหนู
“ก็ไม่เชิงรู้จักกันหรอก…” มันตอบเสียงนิ่งเรียบ แล้วช้อนตาขึ้นมองผม
“อืม…หึหึ แล้วนี่เตรียมนานมั้ย หืม? เมื่อเช้ายังดูงงๆ อยู่เลย ไหงถึงเกิดอยากจัดปาร์ตี้ขึ้นมาซะได้ ไปจัดการตอนไหนเนี่ยเรา”
“ก็พี่ไมล์โทรมาบอกอ่ะ นี่พี่ไมล์เค้าก็เตรียมไว้ให้ ผมแค่จัดการเรื่องอาหารเอง”
“ไอ้ไมล์เนี่ยนะ?” ผมแอบงง แต่ในใจก็คิดสงสัยมันคงจะรู้สึกผิดที่ไม่ได้อยู่ในวันนี้ เลยเตรียมเซอร์ไพรส์ซะ…เนี่ยแหล่ะครับ อ่อนไหวผิดกับหน้าตาและท่าทาง ฮ่าๆ
“อือหึ… ว่าแต่ตกลงเฮียกับไผ่ไปรู้จักกันได้ไง?” ไอ้หนูเปลี่ยนหน้ามาเป็นเคร่งเครียดทันที แต่ผมเห็นแล้วก็อดขำไม่ได้ เครียดอะไรของมันวะ…ปากจู๋ซะ
“ก็ไปเจอในไอ้งานที่บอกน่ะแหล่ะ แล้วแม่เค้ารู้จักกับแม่ชั้น ก็แค่นั้น”
“แล้วทำไมต้องพามาอ่ะ” มันดิ้นเมื่อผมแอบดึงปากล่างของมันเล่นด้วยความเอ็นดู

“ทำไม?”
“ทำไมเล่า บอกมาดิ๊ ไอ้เฮียยย หยุดดด” หึหึ แกล้งใครก็ไม่สนุกเท่าแกล้งไอ้ตัวยุ่งนี่หรอก ว่าแล้วผมก็เลยเปลี่ยนจากดึงปากมันมาดึงแก้มเล่นแทน
“ถามทำไม…ไม่อยากให้พามางั้นสิ” ผมอมยิ้ม อยู่ๆ ก็รู้สึกหมั่นเขี้ยวไอ้คนตรงหน้าขึ้นมาตะหงิดๆ

“ก็บอกมาก่อนดิว่าพามาทำไม แหง่ะ” อีกฝ่ายพูดตะกุกตะกักไม่ค่อยชัดเพราะโดนดึงแก้มอยู่
“แม่มันบอกให้ไปส่งบ้าน แล้วมันก็ดันปวดเยี่ยวขึ้นมา เลยต้องพามาเข้าห้องน้ำ แล้วก็มาเจอเซอร์ไพรส์ซะก่อน ดูซิ…เลยโดนจับได้เลยว่ากำลังแอบมีชู้ หึหึ”
“เฮีย”
“เฮ้ย ล้อเล่นน่ะ ทำหน้าซะเครียดเชียว”
“ผมมีได้ แต่เฮียห้ามมี” ไอ้หนูพูดด้วยหน้าตาจริงจัง
“โห…”
“อ่ะล้อเล่นนนน”

ไอ้มิกกี้ทำหน้าตาทะเล้นทะลึ่ง แลบลิ้นให้ ทำเอาผมล่ะอยากจะจับมันลงเตียง แล้วขย้ำซะให้หนำใจข้อหากวนส้นตรีนได้โล่ห์ ตอนนี้ขอมัดจำก่อนละกัน ผมเลยก้มหัวลงไปหมายจะหอมหัวเน่ามันซักฟอด

“ใส่ได้พอดีเลยแหะ” ไอ้มือที่สามมือโผล่ออกมาจากห้องน้ำด้วยสไตล์เสื้อผ้าที่ดูไม่แมทช์กันเอาซะเลย เสื้อยืดสีเหลืองลายกราฟฟิคกับกางเกงสแล็คสีดำ แต่ไม่แน่นะ…สำหรับเด็กสมัยนี้มันอาจดูแนวก็ได้
การโผล่กะทันหันของมันทำเอาปากผมที่กำลังจะแตะหัวไอ้หนูต้องชะงักทันที เลยได้แต่ยืนเก้ๆ กังๆ เกาหัวไปมา พร้อมกับลอบถอนหายใจเล็กๆ
“ดีแล้ว…เอาล่ะ ไปได้แล้วใช่มั้ย”
“แล้วทำไงกับไอ้นี่อ่ะ แม่ผมเห็นแล้วด่ายับแน่ เพิ่งซื้อด้วย” ไผ่เดินออกมา ถือเสื้อเชิ้ตที่เปื้อนคราบน้ำหวานชูให้ดู ปากพูดว่าเดือดร้อนแต่หน้าตามันดูไม่ค่อยสนใจสักเท่าไหร่
“ข้างล่างมีร้านซักรีด เอาไปฝากไว้ก็ได้ เดี๋ยวเสร็จแล้วค่อยมาเอาวันหลัง”
ผมพูดไปแบบส่งๆ โดยไม่ทันได้คิดว่า ไอ้คำพูดนั่นจะทำให้อีกฝ่ายเอามาใช้เป็นข้ออ้างชวนปวดหัวในภายหลัง…
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
อะไรยังไง คนเขียนยังไม่ตาย คนโพสยังมีชีวิตอยู่ อิอิ
เนื่องจากว่าคนเขียนมีปัญหาชีวิตเล็กน้อยถึงได้หายไป แต่ตอนนี้เหมือนจะดีขึ้นแล้ว ฝากขอโทษทุกคนมาด้วยนะจ๊ะ จุ๊บๆ 