Part 54
จากที่นอนอยู่งัวเงียกลับต้องเกือบสะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงกดออดติดกันถึง 4-5 ที …บ้าชะมัด…ยังเช้าอยู่เลย ใครวะมันช่างขยันมาหาจริงๆ ว่าแล้วก็ค่อยขยับตัว ดึงแขนตัวเองออกจากใต้ท้ายทอยไอ้คนที่นอนหลับปุ๋ยข้างๆ ทีละนิด ห่าเอ้ย…ตะคริวแดรก
ผมเดินบิดแขนไปมาหลายรอบ แล้วจึงเปิดประตูดู แต่เพียงแค่แง้มมาเห็นไอ้หน้าตี๋ดูคุ้นๆ ยืนยิ้มร่าโชว์ฟันสีขาวราวโฆษณาดาร์ลี่ก็ต้องรีบดันประตูปิดทันที!
“เฮียยยยยยแดนนนนนคร้าบบบบบ” ไอ้เด็กเปรตนั่นตะโกนเรียกเสียงใส ไปคึกมาจากไหนวะสาดเอ้ย -*-
“มึงมาทำหอกไรวะ!” ผมพูดโดยที่พยายามใช้ฝ่าตรีนเตะกระเป๋าแบนๆ ที่ไอ้ไผ่มันสอดเข้ามาคั่นระหว่างประตูเอาไว้
“อ้าว นึกว่าบ้านเฮีย นี่โรงเหล็กหรอกเหรอ ให้ทำหอกด้วย อิอิ” โห…มุขสมัยไหนของมัน แถมยังไอ้เสียงหัวเราะปิดท้ายน่าสะอิดสะเอียนนั่นอีก กรูจะบ้า -*-
“ไปไกลๆ ตรีนกรูเลย”
“ไม่…เฮียคร้าบบบบ”
“ไม่ต้องมาเรียกเว้ยยย เอากระเป๋ามึงออกไป!”
“สงสัยเราจะมารบกวนเค้าน่ะลูก…แม่ว่ากลับกันก่อนเถอะ”
เท่านั้นแหล่ะครับ…มือไม้ผมอ่อนลงทันที ปากอ้าค้างเมื่อได้ยินเสียงหญิงที่น่าจะอายุกลางคนได้ แถมยังเหมือนจะเคยได้ยินมาแล้วด้วย ด้วยเหตุนี้จึงเปิดโอกาสให้ไอ้ไผ่ดันประตูเข้ามาในที่สุด
“ไม่เป็นไรหรอกแม่ เฮียแกก็แบบนี้แหล่ะ ปากไม่ตรงกับใจ หึหึ” มันไม่ได้พูดเปล่า แต่รีบเดินนำเข้ามาในห้อง พร้อมกับกวักมือเรียกแม่ตัวเองเข้ามาด้วย
“…สวัสดีครับ” ผมรีบยกมือไหว้คุณนายแม่ทันที ก็เล่นเล่นตัวซะเต็มยศมาเชียว แม่กรูยังไม่ขนาดนี้เลย -*-
“ดีจ๊ะ น้ามารบกวนรึเปล่าแดน?”
“เอ่อ…ไม่เลยครับ เมื่อกี้พอดีผม…” ไอ้เราก็พยายามจะหาข้อแก้ตัวที่พูดจาไม่กับลูกคุณนายแกไป แต่ไอ้ตัวลูกนี่ก็แทรกเข้ามาก่อนทุกที
“ไม่เป็นไรหรอก ผมกับเฮียแดนสนิทกันน่ะแม่ พูดเล่นกันแบบนี้ประจำ” สาดดด…สำหรับมรึงนะพูดเล่น แต่กรูน่ะพูดจริง! แล้วเราไปสนิทกันตอนไหนวะ จำได้ว่าเพิ่งเคยเห็นหน้ามรึงเมื่อไม่กี่วันมานี่เอง ปวดกบาล!-*-
“อ้าวเหรอจ๊ะ ดีจังนะ…แม่ตามวัยรุ่นเค้าไม่ทันเลย นึกว่าแดนโกรธจริงๆ” เธอพูด สายตาก็มองไปทั่วห้องผมด้วย นิ้วเหี่ยวแต่ทาเล็บสีสดลูบไปตามแจกันแก้วใสบนชั้นติดประตู อยากจะตะโกนบอกจริงๆ ว่าเอามือออกไปด้วยเว้ย! เดี๋ยวเป็นรอย!
“เอ่อ…มีอะไรเหรอครับ?” ผมรีบถาม ยิ่งเห็นไอ้ไผ่มันเดินไปเดินมาสบายใจราวกับเป็นห้องตัวเองแล้วก็อยากจะไล่ออกไปชะมัด
“ก็…น้าจะมาคุยธุระนิดหน่อยน่ะแดน ขอนั่งคุยกันได้มั้ย?”
“…อ่า ก็ได้ครับ” ใครจะไปปฏิเสธได้ฟะ -*-
“อ้อ นี่จ๊ะ ลืมให้เลย น้าซื้อมาฝากนะ เอาไว้กินเล่นกัน”
เสร็จแล้วเธอก็ส่งเสียงเรียกผู้ชายคนนึงให้เดินเข้าในห้อง โห…นี่มาออกันอยู่กี่คนวะเนี่ย พร้อมกับยื่นถุงใส่ผลไม้นานาชนิดให้ผม คาดว่ารวมทั้งหมดคงไม่ต่ำกว่า 4-5 โลได้แหล่ะครับ
“ขอบคุณครับ ไม่น่าลำบากเลย เยอะแยะแบบนี้” ผมยิ้มรับ และเอาของเหล่านั้นรีบเข้าไปวางในในโต๊ะห้องครัว
“ไม่เป็นไร เพราะเดี๋ยวน้ามีเรื่องมารบกวนเราหลายอย่าง” เท่านั้นแหล่ะ…ผมล่ะไม่อยากนึกเลยว่าอะไรจะตามมา เฮ้ออออ
แต่ไอ้เรื่องที่ตามมาก่อนอันดับแรกเลยคือ…ไอ้มิกกี้มันเดินงัวเงียออกมาจากห้องนอน มือข้างนึงยังลูบข้างแก้มตัวเองอยู่อย่างมึนๆ หัวฟูฟ่องชี้โด่เด่ไปคนละทิศคนละทาง ตานี่ห้อยได้อีกยังกับอดนอนมาเป็นสัปดาห์

ไม่ต้องให้แนะนำอะไร ไอ้หนูมันมืออ่อนอยู่แล้ว พอเห็นใครไม่รู้ท่าทางมีอายุเข้ามาในห้องก็ยกมือไหว้ไว้ก่อน แม่ไอ้ไผ่ก็ยกมือรับ แต่ตาก็ไม่วายมองอีกฝ่ายด้วยความสงสัยว่าไอ้เด็กคนนี้เป็นใคร
“อ้าว ดีเว้ยกี้” ไอ้ไผ่เดินออกมาจากครัว หยิบไอติมถ้วยเดิมที่มันมากินคราวที่แล้วออกมาคาบไว้ที่ปากอีกครั้ง ไอ้หนูยืนพะงาบๆ ไม่ได้ออกเสียง แต่หน้าตามันนี่สิ…ช็อกสุดขีด เพราะเพิ่งซื้อมาแทนอันเก่าไปหมาดๆ โดนงาบอีกแล้ว
“..ด..ดี” มิกกี้ทักตอบเสียงเบา พร้อมกับเบนหน้ามามองผมเป็นเชิงถามว่า ‘เกิดอะไรขึ้น?’
“นี่ใครเหรอแดน?” แม่ไอ้ไผ่ถามผม
“เอ่อ น้องผมเองครับ เราอยู่ด้วยกัน”
“ไม่ได้อยู่ด้วยกันหรอก ไอ้กี้มันอยู่ห้องข้างๆ แต่มันดันมาอยู่ห้องเฮียซะงั้น” ไม่มีใครถามก็ไม่ต้องตอบก็ได้ไอ้เด็กเหี้ย
“แล้วทำไมไม่อยู่ห้องตัวเองล่ะจ๊ะ แปลกนะ เด็กสมัยนี้เค้าอยากจะอยู่คนเดียวจะตาย ความลับเยอะแยะเต็มไปหมด เหมือนไผ่ลูกแม่นี่แหล่ะ เข้าห้องทีไรล็อคกลอนแน่นทุกที ไม่รู้แอบทำอะไร” ไม่อยากจะบอกว่าแอบไปว่าวชัวร์ครับแม่ -*-
“…มิกกี้ติดผมน่ะครับ” ผมพูดพร้อมกับดึงมันเข้ามากอดไหล่หลวมๆ แต่ไอ้ตัวยุ่งนี่สิ ยืนก้มหน้างุดๆ ไม่ยอมพูดอะไร
“แล้วไปรู้จักกันได้ยังไงล่ะ ไผ่กับมิกกี้น่ะ?” คุณนายแม่แกยังสัมภาษณ์ไม่เลิก
“ก็อยู่มหาลัยเดียวกันอ่ะแม่ เคยแข่งบาสกัน”
คุณหญิงแกทำหน้าอ๋อ ส่วนผมไม่ปล่อยให้บทสนทนายืดเยื้อไปกว่านี้ หลังจากนั้นก็พาเธอและไอ้เด็กเปรตมานั่งที่โต๊ะรับแขก ไอ้ไผ่ตอนแรกทำท่าจะเดินมานั่งฝั่งผม แต่ก็โดนแม่ตัวเองดุและให้ไปนั่งข้างนั้นแทน…เฮ้ออ โล่งไปเปราะ ยิ่งดูไอ้มิกกี้ที่ยืนทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่แล้วยิ่งรู้สึกไม่ดีเอาซะเลย
“เดี๋ยวผมเอาน้ำให้นะครับ” ตัวยุ่งของผมว่า แล้วเดินงุดๆ หายเข้าไปในครัว
ผมมองตามร่างนั้น…แต่ก็ต้องรีบหันกลับมาเมื่อได้ยินเสียงกระแอมดังมาจากไอ้ตี๋ที่นั่งฝั่งตรงข้าม

“แดน…ยังไงน้าก็ขอโทษอีกครั้งนะที่มารบกวนเสียแต่เช้า” แม่ไอ้ไผ่พูดเสียงเรียบ แฝงแววเกรงใจ
“ไม่เป็นไรครับ…”
“ก็อย่างที่น้าเคยบอกกับแดนไปแล้วว่าจะไอ้ไผ่เค้าไปเรียนต่อโทที่อเมริกา”
“ครับ ผมจำได้”
“แต่คิดไปคิดมา…แม่เองก็มีกิจการที่บ้านของพ่อไผ่เค้าน่ะ กลัวว่ารออีก 2 ปีมันจะช้าไป เพราะตอนนี้ที่บ้านขาดคนมากๆ อีกอย่างไผ่เค้าก็ไม่ได้อยากเป็นวิศวกรอยู่แล้ว เรียนไปก็เพื่อเอาใจแม่ พอเมื่อวาน…ไผ่เค้ามาคุยกับแม่ว่าอยากไปเรียนด้านบริหารธุรกิจที่อเมริกาต่อเลย ทำให้น้าต้องมาตัดสินใจใหม่”
“เอ่อ…ครับ ก็ดีครับ เพราะที่นั่นมีคอร์สเรียน BBA หรือ MBA ดังๆ เยอะ” ผมยิ้ม ใจไม่ค่อยจะจดจ่อกับคำพูดของคนตรงข้ามสักเท่าไร
สักพักมิกกี้ก็เดินถือถาดใส่น้ำมา 3 แก้ว และค่อยๆ วางไว้บนโต๊ะ หน้าใสแจ๋วมาเชียวนะ สงสัยจะไปล้างหน้าแปรงฟันมาด้วย เออว่ะ…ตรูก็ยังไม่ได้ทำสักอย่างนี่หว่า เอาวะ หอมอยู่แล้ว พอเสิร์ฟเสร็จ ไอ้ตัวยุ่งก็ทำท่าจะหันหนี แต่โดนผมรั้งเอาไว้ก่อนจึงจำใจต้องมานั่งมองซ้ายทีขวาทีข้างๆ กัน
“ผมว่าเรียนด้านนี้ก็ดีครับถ้าที่บ้านมีกิจการส่วนตัว…ถ้ามีอะไรสงสัยเดี๋ยวให้ลองคุยกับน้องผมอีกคนได้ รายนั้นเค้าจบด้านบริหารจากอเมริกามาเลย เกียรตินิยมด้วยครับ” ผมเปิดประเด็นต่อเมื่อนึกไปถึงมาร์ช ได้เวลาปล่อยภาระออกจากตัวแล้วเว้ย ไปซวยกันต่ออีกทอดเอาเองนะ หึหึ
“จริงเหรอ…แล้วตอนนี้น้องของแดนคนนี้อยู่อเมริการึเปล่าจ๊ะ?”
“เปล่าครับ จบแล้ว กลับมาเปิดบริษัทของตัวเองที่นี่แล้วครับ”
“อ้าวเหรอ…งั้นก็ไม่ได้น่ะสิ ยังไงน้าก็ต้อพึ่งแดนอยู่ดีแหล่ะ” ผมเงียบ…รอฟังว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร
“ทำไมเหรอครับ?”
“น้าฟังจากไผ่ แล้วก็คุยกับทิพย์แล้วเลยรู้ว่าเดี๋ยวแดนต้องไปทำงานที่อเมริกาใช่มั้ย?” ผมอึ้งไปชั่วครู่
“…ใช่ครับ” จะปฏิเสธก็ไม่ได้เพราะมันก็เป็นเรื่องที่อาจจะกำลังเกิดขึ้นจริง แถมยังดักทางแม่ผมมาแล้วอีกต่างหาก
“น้าเลยอยากจะขอร้องแดน…ช่วยดูแลเจ้าไผ่หน่อย อาจะให้มันดร็อปเรียนที่นี่แล้วไปเรียนต่อที่อเมริกาพร้อมกับแดน แดนจะช่วยดูแลน้องได้มั้ยจ๊ะ?”
ไม่ใช่แค่ผมนะครับที่นั่งช็อก อ้าปากค้าง แต่ไอ้คนข้างๆ นี่สิ…ตามันถลึงโตจนแทบจะล้นออกมาจากเบ้า ผมแอบเห็นว่ามือทั้งสองข้างของเจ้าหนูกำขากางเกงวอร์มตัวเองแน่นจนเส้นเอ็นปูดนูน

“เอ่อ…ผมเกรงว่าจะไม่สะดวกน่ะครับ เพราะผมไปทำงาน น้องก็ไปเรียน ทำไมไม่ลองปรึกษาพวกสถาบันต่างๆ ดูล่ะครับ ผมว่าเค้าน่าจะมีคำแนะนำที่ดีกว่า อย่างพวกหอพักภายในมหาลัยอะไรอย่างนี้” ต้องรีบส่ายหน้าไว้ก่อนแหล่ะครับ ผมไม่อยากจะเอาเรื่องยุ่งเข้าตัว อีกอย่าง…สงสารไอ้คนที่นั่นข้างๆ นี่ด้วย น่าจะปล่อยให้มันไปทำบ้าทำบอ ไม่ต้องมารับรู้แบบนี้
“ไม่ได้หรอก น้าพยายามแล้ว แต่ไผ่ไม่ชอบอยู่ร่วมกับเพื่อนๆ เค้ามีโลกส่วนตัวสูงน่ะ”
“แล้วจะมาอยู่กับผมได้ยังไงล่ะครับ!” ตอนนี้ผมเองก็เริ่มจะหงุดหงิดแล้วเหมือนกัน จะมาโบ้ยกันอย่างงี้ได้ไงวะ

“แดน…น้าเข้าใจ แต่มันจำเป็นจริงๆ เนี่ยไผ่ก็ทำเรื่องใบสมัครอะไรต่อมิอะไรส่งไปที่นู่นเรียบร้อยแล้ว ไม่รู้จะรีบอะไรนักหนา น้าก็บอกให้มาถามแดนก่อน แต่เจ้าตัวไม่ยอม…บอกแค่ว่าอยากไป แล้วยังไงก็อยากอยู่กับแดนให้ได้” ไอ้คนที่ถูกพูดถึงนั่งนิ่ง แต่แอบเผยรอยยิ้มเล็กๆ น่าหมั่นไส้
“ผมขอโทษด้วยจริงๆ ยังไงทางผมก็ไม่สะดวก…ขอโทษด้วยนะครับ”
ไอ้ไผ่ทำท่าจะพูดอะไรออกมา แต่ก็โดนแม่หันไปปรามเสียงดุเอาไว้ ท่าทางจะมันจะไม่ค่อยกล้าหือเท่าไหร่หรอกครับ…เธอหันมาถามผมเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง แต่คราวนี้…ไม่มีคำตอบ นอกจากอาหารนั่งนิ่ง แผ่นหลังยืดตรง และสายตาแน่วแน่ของผม เมื่ออีกฝ่ายเห็นอย่างนั้นแล้วจึงไม่กล้าที่จะเอื้อนเอ่ยคำขอใดๆ อีก
“เดี๋ยวผมขอตัวก่อนนะครับ เพราะมีธุระต้องจัดการอีกหลายอย่าง…” เมื่อไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นท่ามกลางความเงียบนี้ จึงตัดสินใจตัดปัญหาซะ ก่อนที่จะเกิดขึ้นมาใหม่
“…จ๊ะ น้าขอโทษด้วยนะ” แม่ไอ้ไผ่ลุกขึ้นยืน พร้อมกับหันมาหาลูกตัวเองเป็นเชิงบอกว่าให้ลุกตาม ไอ้ไผ่เองก็ทำตามอย่างว่าง่าย มันทำหน้าเซ็งเล็กน้อยคงเป็นเพราะแผนพาแม่มาล้มเหลวนั่นเอง
“ไม่เป็นไรครับ ผมเองก็ต้องขอโทษที่ช่วยน้าไม่ได้เช่นกัน”
ไม่มีคำพูดใดๆ หลงเหลืออีกเมื่อทั้งสองออกจากห้องไป…พอส่งแขกเสร็จผมก็เดินกลับมา แต่ก็แทบผงะเมื่อเจอกับร่างไอ้มิกกี้ที่ยืนแทบจะชนกันอยู่แล้ว

“เฮีย…เฮียจะไม่ไปกับไผ่ใช่มั้ย” ตัวยุ่งพูดเสียงอ่อย หน้ามันตอนนี้เหมือนหมาเศร้าเลยครับ ตาปูดๆ โตๆ มองช้อนขึ้นมาข้างบน แถมยังเอามือบิดไปบิดมาเหมือนไม่ค่อยอยากจะถามเท่าไหร่
“ก็ไม่ไปน่ะสิ บอกไปแล้วเมื่อกี้ไม่ได้ยินรึไงหืม?”
“แน่นะ?”
“แน่สิ เรื่องอะไรจะไปอยู่กับหมอนั่น น่ารำคาญจะตาย” ผมก้มลงหอมขมับไอ้หนูทีนึง มันเองก็ซุกหน้าลงกับบ่าผม รู้สึกทำไมช่วงนี้มันขี้อ้อนจังเลยวะ
“แล้วทำไมไผ่ถึงอยากอยู่กับเฮียจัง มันแปลกๆ ไงไม่รู้”
“เอ้อ…ไม่หรอกมั้ง คิดมากไปเอง ก็อย่างที่เค้าบอกแหล่ะ คงเห็นว่าจะมาเกาะด้วยได้เลยหวังล่ะมั้ง” ผมรีบแก้ตัว ที่จริงผมก็ไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองเท่าไหร่นะ…ไอ้ไผ่ไม่รู้มันจะแอบชอบผมหรือเปล่า มันก็ดูเป็นเด็กผู้ชายธรรมดานะ ไม่มีวี่แววจะเบี่ยงเบนตรงไหน รึแค่อยากมายั่วให้กวนอารมณ์เท่านั้น
“แล้วทำไมไผ่ถึงรู้ว่าเฮียจะไปเมกาฯ ก่อนผม?”
คำถามนี้เล่นเอาผมเงียบไปเลยครับ…คือไม่ได้ตั้งใจจะปิดมันนะ และไม่คิดว่ามันจะจับใจความตอนที่ผมคุยกับแม่ไผ่ได้มากขนาดนี้ ที่เห็นนั่งเงียบๆ นี่คือฟังตลอดเลยใช่มั้ย ผมเลยจำเป็นต้องเล่าให้มันฟังว่าหลังจากที่มันออกไปเล่นบาส ไผ่ก็มาเอาเสื้อคืน และดันเห็นซองจดหมายฉบับเดียวกับที่มันเห็นมาส่งพอดี แต่ไม่รู้ว่ามันไปเอามาจากไหนที่ว่าผมต้องไปเร็วๆ นี้ สงสัยถามจากแม่เอา เพราะเมื่อวานผมก็รายงานแม่ไปแล้วว่าทุกอย่างกำลังจะเสร็จเรียบร้อย
“…แล้วเฮียคิดจะบอกผมเมื่อไหร่ ถ้าผมไม่ไปเจอจดหมายนั่นซะก่อน” เอาแล้วไงล่ะกรู งานเข้า -*-
“ก็…ยังไงก็ต้องบอกอยู่แล้วล่ะ แต่ชั้นเองก็ยังอึ้งเหมือนกัน ไอ้ตอนที่รอก็รอนานจนทรมาน ไอ้ตอนที่ไม่รอนี่สิ…ดันได้มาแบบเซอร์ไพรส์ซะงั้น” ผมพยายามทำน้ำเสียงกึ่งหยอกกึ่งเล่นไม่ให้อีกฝ่ายในอ้อมกอดคิดมาก แต่ดูเหมือนก็ไม่ค่อยจะเป็นผลเท่าไหร่
“อือ เซอร์ไพรส์สุดๆ”
เฮ้ออออ…เอาไงกับชีวิตดีวะ บ้าชะมัดเลย! ผมไม่ได้พูดต่อเพราะเห็นว่ายังไงเสียก็คงไม่ได้ทำให้ไอ้คนตรงหน้ารู้สึกดีขึ้น เลยสวมกอดเจ้าหนูแน่น มันเองก็คงรับรู้ได้เพราะเริ่มกอดผมตอบเช่นเดียวกัน

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เดกเปรตไผ่ ให้แม่มาขอเรยทีเดียว 