Part 59
“เดี๋ยว มีอะไรกันน่ะ!”
ทันทีที่หายตกใจ ผมรีบเข้าไปพยายามดึงตัวไอ้มิกกี้ออกมาจากอีกฝ่าย แต่ดูท่าจะหน้ามืดจัด สองมือนั่นกำปกเสื้อไอ้ไผ่แน่นจนเส้นเอ็นปูดนูน แถมยังหน้าเหี้ยมนั่นอีกทำเอาใจกระตุกชอบกล ถึงจะแอบหมั่นไส้ไอ้ไผ่มันมานานแต่ผมก็ไม่เคยคิดจะลงไม้ลงมือกับเด็กหรอกนะ ยิ่งเห็นสภาพมันตอนนี้แล้วยิ่งสยองพิลึก
กรูยังไม่อยากไปส่งข้าวส่งน้ำเมียในสถานกักกันนะเว้ยเฮ้ย!
“มิกกี้ ปล่อย!...ปล่อย หยุดเดี๋ยวนี้!”
ผมรีบแกะมือไอ้หนูออกจากคอไอ้ไผ่ ยากเย็นเล็กน้อยเพราะมันเล่นเกร็งแขนซะแน่น จนกระทั่งเจ้าตัวรู้สึกว่าจะต้านแรงผมไม่ไหวนั่นแหล่ะถึงยอมสะบัดมือหลุดออกมาอย่างอารมณ์เสีย
“โธ่เว้ย!”
“แค่ก…แค่ก ชิบหาย เวรเอ้ย อึก…” ไอ้ไผ่รีบยกมือขึ้นลูบคอตัวเองที่โดนสันมืออีกฝ่ายดันจนหายใจไม่ออก ไอสำลักค่อกแค่กเป็นการใหญ่ จากที่หน้าดูแดงเถือกตอนนี้เลยค่อยๆ เปลี่ยนสีเป็นปกติเหมือนเดิม
“เดี๋ยว จะไปไหนมิกกี้ บอกมาก่อนว่านี่มันอะไร!” ผมรีบดึงแขนไอ้หนูเอาไว้เพราะมันกำลังจะเดินหนีอย่างหัวเสีย ยิ่งพอรู้ว่าตัวเองโดนดึงไว้มันยิ่งทำท่าโมโหอย่างรุนแรง ส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอแสดงอาการไม่พอใจเท่าไรนัก
“ถามแมร่งเองสิวะ” เอาแล้วครับ ของขึ้นชัดๆ….งานเข้าแล้วไงกรู -*-
“มิกกี้…”
“เอออออออ เฮียก็ถามมันเองดิ!” เจ้าหนูเหมือนจะรู้ตัวว่าพูดไม่ค่อยดีเลยเปลี่ยนท่าทีใหม่ แต่หน้าตายังมู่ทู่เหมือนเดิม
ผมไม่ได้เอ่ยอะไรออกไป ได้แต่ส่งสายตาไปยังอีกฝ่ายที่ยืนพิงผนังห้องเหมือนคนหมดเรี่ยวแรงกะทันหัน ไอ้ไผ่ค่อยๆ ยันตัวเองขึ้นให้ทรงตัวดีๆ แล้วมองหน้าผมนิ่ง….ซักพักค่อยเปลี่ยนเป็นยิ้มมุมปากแบบขำๆ ห่าเอ้ย…โรคจิตป่ะวะมรึงอ่ะ
“แค่ล้อเล่นนิดเดียว เสือกเอาซะจริงเลยนะมึง ไอ้สาดกี้” มันหัวเราะหึๆ แล้วค่อยเช็คดูความเสียหายบนร่างกายตัวเองแบบไม่ยี่หระกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่
“ล้อเล่นเหี้ยไรของมรึง มรึงพูดแบบนั้นนี่ล้อเล่นรึไงวะ!” เอาแล้วครับ เจ้าเข้าอีกรอบ เฮ้อออ
“เออ”
“สัดเอ้ยยยย”
“เดี๋ยวๆ แล้วตกลงมันเกิดอะไร ไผ่ บอกมาเดี๋ยวนี้” ผมพยายามใจเย็นให้มากที่สุดเพราะไอ้คนข้างๆ นี่มันร้อนแบบสุดๆ กู่ไม่กลับแล้ว
“อะไรล่ะเฮีย ผมแค่บอกว่า…”
“เมิงหุบปากเมิงไปเลยนะไอ้เชี้ยไผ่ ถ้าเมิงพูดอีกครั้งล่ะได้แดรกตรีนกรูแน่!”
เดือดร้อนตรูต้องเข้าไปรั้งตัวไอ้มิกกี้ไว้อีกครั้ง เฮ้อออ วันนี้จะพูดกันรู้เรื่องมั้ยวะเนี่ยยยย…พอจะให้พูด อีกคนก็ดันไม่ให้พูด สงสัยถ้ากัดกันอีกได้เอาน้ำมาราดแน่ๆ ไหงถึงกลายพันธุ์เร็วขนาดนี้วะ -*-
“มิกกี้…มิกกี้! หยุด!” ผมพยายามจับมือทั้งสองข้างของมันเอาไว้ แต่อยู่ๆ ก็โดนมันปัดทิ้ง แถมยังมองมาด้วยหางตาอีกซ้ำ ประมาณว่า ’ห้ามทำไมฟะ’ เวงกำ…พาลมาโกรธกรูอีก
“เอาล่ะ พอเถอะ มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย! แค่แป๊บเดียวก็มีเรื่องกันแล้ว เป็นเด็กรึไงพวกเราน่ะ หะ!?” ถึคงคราวผมขึ้นบ้างแล้ว ว่าแล้วก็ยืนเก๊กอยู่ตรงกลางระหว่างไอ้เด็กสองตัวนี่ราวกับกรรมการห้ามมวย สองมือยกขึ้นท้าวสะเอวด้วยความระอา อีกคนก็วุ่นวาย อีกคนก็ใช่ย่อย ทำไมชีวิตต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วยวะ ไม่เข้าใจรึไงว่ากรูแพ้ทางเด็ก!!
เงียบ….แมร่งเสือกเงียบทั้งคู่ ชาตินี้กรูจะตรัสรู้มั้ยว่าอะไรเป็นอะไร ในเมื่อไม่มีใครพูดก็อย่าได้พูดกันอีกเลย ผมจัดการตัดไอ้ตัวปัญหาออกไปก่อนแล้วค่อยว่ากันทีหลัง
“ไผ่…กลับไปซะ”
“ไรวะ แมร่ง หมดหนุกเลย” มันยืนเกาหัวแบบไม่ได้ดั่งใจ แต่ก็ยอมเดินไปหยิบเป้ตัวเองสะพายบ่าเมื่อเห็นว่าผมไม่มีท่าทีใจอ่อนเหมือนเคย
ในขณะที่ผมกำลังอัญเชิญไอ้ตัวป่วนออกจากห้องนั้น อยู่ๆ มิกกี้ก็เดินเข้ามาขวางไอ้ไผ่ที่ประตูซะอย่างงั้น ไม่ใช่แค่ตัวอย่างเดียวนะครับที่ขวาง…ตาแมร่งยังขวางได้อีก -*-
มันยกแขนข้างนึงขั้นกั้นทางออกไว้…
“มรึงยังไม่ต้องกลับ” ผมได้แต่ยืนงงมองดูมันว่าจะทำอะไรต่อไป
ส่วนไอ้ไผ่นะเหรอครับ…ยกคิ้วข้างนึงขึ้นเป็นเชิงถามว่า ‘แล้วจะกรูอยู่ทำเหี้ยอะไร’
“วันนี้ไม่เคลียร์มรึงไม่ต้องกลับ”
“…ตกลงมรึงต้องการอะไรกันแน่ ไผ่”
เอาแล้วไงครับ ประโยคเด็ดที่แม้แต่ผมยังไม่กล้าถามออกมา เพราะจะถามมันว่ามันชอบผมหรือเหตุผลอะไรอย่างอื่นก็เดี๋ยวได้หน้าแตกกลับมา แถมยังรู้จักไม่กี่วัน มันมาตามตอแยมากแบบนี้…มันแปร่งๆ ชอบกล ซึ่งเจ้าหนูเองก็คงคิดไม่ต่างกัน
“หมายความว่าไง?” ดูมัน ยังไม่สำนึกครับ ท่าทางจะไม่ได้สะทกสะท้านซักกะนิด แถมยังยิ้มตอบแบบกวนตรีนจนเส้นเลือดตรงขมับไอ้มิกกี้กระตุกหงึกๆ
“อย่าอ้อมค้อม บอกกรูมาว่ามรึงเข้ามาในชีวิตพวกกรูทำไม บอกตามตรงว่ากรูไม่รู้จักกับมรึงเป็นการส่วนตัวมาก่อน จำไม่ได้ด้วยว่าเคยไปมีเรื่องบาดหมางรึอะไรทำให้ไม่พอใจรึเปล่า….ถ้ามี กรูก็ขอโทษ”
โห….เว้ยเฮ้ย แมนได้อีกไอ้หนูของกรู
“แต่เท่าที่จำได้ กรูว่าไม่มีว่ะ แม้แต่หน้ามรึงกรูยังไม่คิดอยากจะจำเลยด้วยซ้ำ” อืมมม แสบถึงทรวงใน…
“…” เงียบเลยครับ คราวนี้หน้าไอ้ไผ่นี่ไม่เหลือวี่แววความกวนตรีนแม้แต่น้อย
“แล้วถ้าเป็นเรื่องกรูกะเฮีย…อย่างงั้นยิ่งต้องเคลียร์ว่ะ มรึงมีปัญหาอะไรกับพวกกรูสองคนก็ว่ามาซะเดี๋ยวนี้ กรูไม่สนว่ามรึงจะไปเมกาฯ ห่าเหวไรนั่น…จะไปเรียนไปทำเหี้ยไรก็เรื่องของมรึงไม่เกี่ยวกับกรู เพราะกรูไม่ชอบเสือกเรื่อง ‘ชาวบ้าน’”
มันเน้นคำหลังซะแน่น เล่นเอาไอ้ไผ่สะอึกไปเล็กน้อยเหมือนกันครับ
“แต่กรูคงไม่ยอมให้มรึงไปกับเฮียสองคนแน่ ถ้ามรึงยังไม่บอกจุดประสงค์ที่แท้จริงมาว่าต้องการอะไร….ชอบเฮียใช่มั้ย”
“….เฮ้ย” ไอ้ไผ่อุทานเบาๆ แบบคนตกใจ
“แล้วอะไรล่ะวะ บอกมา กรูไม่ฆ่ามรึงหรอก หึหึ” ปากว่างั้น แต่หน้าตานี่ไม่ได้ตรงกันเล้ยยย
“….” เงียบไอ้อีกครับ เงียบได้อีก ปกติไอ้ไผ่มันจะปากดีแต่สงสัยเจอของจริงเข้าไปเลยได้แต่จ้องดูไอ้มิกกี้พูดจ้อๆ ด้วยมาดนิ่งๆ
“ไผ่…พูดมาตรงๆ เลยดีกว่า แบบลูกผู้ชายน่ะ รู้จักมั้ยวะคำนี้?”
เอาแล้วครับ…อารมณ์กวนส้นตริงแบบไอ้หนูที่ผมรู้จักมันค่อยๆ กลับคืนมาแล้ว คราวนี้มิกกี้ยักคิ้วให้มันบ้างเป็นเชิงเร่งว่า รีบตอบมาซิวะว่าจะเอายังไง
“ก็เพราะอย่างนี้น่ะแหล่ะ….”
ผมกับมิกกี้เงียบ….
“ก็เพราะอย่างงี้ไงล่ะกรูถึงหมั่นไส้มรึง ไอ้มิกกี้…”
เอาแล้วไงล่ะ งงได้อีก…
“แมร่ง ชอบทำตัวเด่น อะไรๆ ก็เหมือนง่ายไปหมด เพื่อนเยอะ มีแต่คนรัก หึ…รู้ตัวมั้ยว่ากรูมองมรึงมาตั้งแต่ปี 1 แล้ว แต่เสือกไม่รู้ห่าไรเลย”
“…เดี๋ยวๆๆ กรูตามไม่ทัน หมายความว่าไงวะ!?” ถึงตาไอ้หนูถามขึ้นมาบ้างครับ มันค่อยๆ ลดแขนที่ตั้งขวางทางประตูเอาไว้ลง แล้วทำคิ้วขมวดชนกัน
“จำได้มั้ย…ไม่สิ มรึงคงจำไม่ได้หรอก เพราะกรูมันไม่เคยอยู่ในสายตายังไงล่ะ ตอนแข่งบอลคณะปี 1 กรูประทับใจเกมส์มรึงมากเลยพยายามทุกวิถีทางสมัครเข้าทีมมหาลัยให้ได้เพื่อตามมรึง…กรูตามมรึงยิกๆ มรึงก็เหมือนจะเริ่มมาสนใจแล้ว แต่ที่ไหนได้ แมร่งเอ้ยยย ไม่ต่างจากตอนนี้เลย ผ่านไปวันสองวันมรึงก็ถามกรูทุกครั้งว่ากรูเป็นใคร ชื่ออะไร สมองมรึงนี่ไม่คิดจะเมมข้อมูลคนอื่นเข้าหัวบ้างเลยรึไงวะ!?”
ถึงตอนนี้ไอ้มิกกี้ทำหน้าประมาณว่า…’ตอนไหนวะ?’ ผมล่ะอยากจะขำกร๊ากออกมาจริงๆ
“พอกรูเข้าไปได้…แมร่ง เสือกดันออกมาลงทีมบาสคณะ กรูล่ะจะบ้าตาย!” ไอ้ไผ่มันเพ้อของมันเหมือนคนแค้นจัดเล่นเอาผมถึงกับถอนหายใจออกมาเสียงดังเพราะพอจะเดาทางได้ทะแม่งๆ
“อย่าบอกนะว่ามรึงก็เลยมาสมัครบาสคณะมรึงมั่ง….”
“….” ไอ้ไผ่ไม่ตอบ ได้แต่พยักหน้าตาม
“สาดดดดดดดดดดดดดดดด สมองมีแม่งคิดเองไม่ได้รึไงวะ ตามกรูทำเหี้ยไร ม้ามกรูติดกับมรึงรึไงวะ!” เหมือนไอ้หนูมันจะโมโหที่ตลอดมาไม่เคยรู้ตัวเอาซะเลยว่ามีคนแอบมอง แอบทำตามอยู่เงียบ…อย่าว่าแต่มันเถอะ ผมเองยังอึ้ง
“มรึงอย่ามาพูดเลยดีกว่า ขนาดกรูทำซะแบบนี้ มรึงยังจำกรูไม่ได้เลย แมร่งงงง ใครกันแน่วะไม่มีสมอง!”
อ้าวๆ เอาแล้วไงล่ะ….นี่ตกลงมันจะเคลียร์กันรึจะมีเรื่องกันแน่วะ ไอ้ไผ่นี่ก็ทะแม่งๆ ผมยังไม่เข้าใจเข้าใจที่มันแอบตามมิกกี้มาตั้งแต่ละอ่อนทำไม หรือว่ามัน…ไม่หรอกม้างงงง แมร่ง ไม่ว่าจะเหตุผลไหนก็งานเข้าทั้งขึ้นทั้งร่องเลยว่ะ เวรกำ
“ไอ้ไผ่…มรึง!” เอาแล้วไงล่ะ ผมรีบต้องเข้าไปผ่ากลางก่อนที่ไอ้สองคนนี้อยู่ๆ จะวางมวยกันซะงั้น
“เอาล่ะ ใจเย็นๆ….โธ่เว้ย ใจเย็นเว้ยยย!” ที่ต้องตะโกนก็เพราะว่าไอ้หนูน่ะสิครับ มันพยายามดันผมออกเพื่อเข้ามาคว้าตัวไอ้คู่อริให้ได้ ว่าแล้วเลยต้องถอยหลังดันมันเข้าผนังห้องแล้วกั้นมันไว้แบบนั้น ไม่งั้นมีหวังผมก็เอาแรงตอนมันโมโหไม่อยู่แน่ๆ
“แล้ว….เฮ้อออ ตกลงมันเกี่ยวกันยังไงวะ มรึงปลื้มมิกกี้ แล้วทำไมต้องตามชั้นต้อยๆ ด้วย”
“…ก็ที่จริงเคยเห็นเฮียมานานละ แว่บๆ ที่มหาลัย…เหมือนจะคอยมารับมาส่งไอ้กี้ ตอนแรกก็ไม่ได้คิดอะไรหรอก นึกว่าญาติกัน แต่หลังๆ สังเกตดูแล้วมันไม่น่าใช่ ที่สำคัญ…หึหึ วันนึงผมแอบเห็นเฮียจูบไอ้กี้ตอนก่อนลงจากรถด้วย” ไอ้ไผ่ยิ้มกริ่ม แต่เป็นยิ้มแปลกๆ บอกไม่ถูก เล่นเอาผมขนลุกพิลึก
ส่วนไอ้หนูได้ยินอย่างนั้นมันทำท่าฮึดฮัดแบบไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่….ไม่รู้ว่ามันหงุดหงิดไอ้ไผ่หรือผมกันแน่ เพราะยอมรับว่าผมเคยทำอย่างนั้นจริงๆ ตอนทั้งมารับและมาส่งเจ้าหนู ไอ้มิกกี้เองก็ไม่ค่อยชอบให้ผมทำเท่าไหร่ครับ ก็มันต้องเรียนต้องอยู่ที่นี่อีกนาน ส่วนผมไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับที่นั่นเลย
ตอนนั้นใจก็คิดว่าสะเพร่าเกินไปเพราะรถติดฟิล์มสีเข้ม บวกกับไม่คิดว่าจะมีใครมาเห็นมาสนใจอะไรเรา คนมีเป็นพันๆ หมื่นๆ ในมหาลัย …แสดงว่าไอ้ไผ่แมร่งโรคจิตของจริง
“ตอนนั้นก็เอาแล้วไงล่ะ หึหึ….มิกกี้คนดังของมหาลัยมีแฟนเป็นผู้ชาย แถมยัง….” ไอ้ไผ่ยิ้มมุมปาก คิดว่าถ้ามันยิ้มแบบนี้อีกทีมีได้เลือดแน่ๆ
“แถมยังไรวะ แมร่งเอ้ยยยยยย” เจ้าหนูที่ยืนฟึดฟัดหลังผิงผนังและมีตัวผมทับอยู่อีกชั้นนึงตะคอกขึ้นมาอย่างหัวเสีย
“ก็นะ…รู้ๆ กันอยู่ แอบตกใจเล็กน้อย นักกีฬา คาแร็กเตอร์ห่ามๆ แมนๆ เคยถักหัวเดดล็อกอย่างมรึงกลับ… แต่ถ้าเทียบกับเฮียแล้วก็ไม่ได้ผิดคาดอะไรเท่าไหร่” อีกฝ่ายมันยกมือขึ้นแบไปมาทำท่าประกอบประมาณว่า ‘ก็พอจะเข้าใจ’
“หุบปากไปเลย ไอ้เชี้ยยยย”
ไอ้ไผ่หัวเราะเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทีไม่พอใจของไอ้หนู แล้วจึงค่อยเล่าต่อ…
“ก็พอดี ดั๊นนนนได้ไปเจอกับเฮียแบบเต็มๆ ตอนงานวันเกิดที่โรงแรมนั่นแหล่ะ ไม่คิดว่าโลกมันจะกลมขนาดนี้ ก็เลยแค่อยากรู้จักเท่านั้นเอง” ไม่พูดเปล่า มันทำท่ายักไหล่ราวกับว่าทุกอย่างที่มันทำลงไปแค่ ‘เรื่องขำๆ’
“อยากรู้จักอะไรวะ…ถึงขั้นจะตามไปเมกาฯ ให้ได้เนี่ย จะเอาอะไร ยังไงว่ามาเลยดีกว่า”
คราวนี้ถึงตาผมออกโรงบ้างแล้วครับ ไอ้หนูเองที่ดิ้นยึกยักข้างหลังก็นิ่งไปแล้วเหมือนกับกำลังรอฟังคำตอบอยู่เช่นกัน ไอ้ไผ่พอได้ยินอย่างนั้นเลยเงียบไปสักพัก… แล้วอยู่ๆ ก็หัวเราะออกมาเบาๆ
“ก็แค่หมั่นไส้”
“หะ???”
“บอกไปแล้วไง…ก็แค่หมั่นไส้ พอเห็นไอ้มิกกี้เป็นแฟนกับเฮียเลยคิดว่าแมร่ง ในที่สุดก็หาจุดอ่อนได้แล้ว หึหึ แล้วก็จริงด้วยวุ้ย วิ่งเต้นกันเป็นระวิงเลยทีเดียวกะไอ้แค่กรูจะไปเมกาฯ ด้วยเนี่ย…”
โอโห…แทบไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองเลยทีเดียว ผมยืนค้างอยู่อย่างนั้น ไอ้มิกกี้ดูเหมือนจะไวกว่า มันฮึดฮัดด้วยความโมโหแล้วดิ้นพยายามจะหลุดจากตัวผมเพื่อไปฟัดกับไอ้คนตรงหน้าซักรอบ…
แต่ขอหน่อยเถอะ กรูก็ทนไม่ไหวแล้วนะเว้ยยย
ผั๊วะ!!
“โอ๊ยยยย” นั่นแหล่ะครับ จะเป็นเสียงใครได้อีก ก็ไอ้ไผ้ร้องเสียงเพลงเพราะโดนผมตบกะบาลไปแบบเต็มๆ ฝ่ามือจนมันหน้าทิ่ม แถมมีการลุกขึ้นมาสะบัดหัวสองสามทีประมาณว่ามึนชิบ
แมร่งเอ้ย….สนุกของมันแต่เล่นเอาพวกกรูเครียดกันแทบตาย สนุกมั้ยเนี่ยยย สนุกมั้ยยยยย
“อย่ามาทำร้อง แค่นี้มันยังน้อยไป เล่นเหี้ยอะไรไม่รู้จักดูนะมรึง ว่างนักรึไง ไอ้เด็กเวร!” ผมด่ามันเป็นชุดไม่ยอมปล่อยให้มีช่องว่างสวนคืน
“ไรว้า เฮีย….แค่นี้ต้องลงไม้ลงมือ”
“หรือว่ามรึงอยากให้ไอ้มิกกี้เป็นคงลง หะ!?”
“เหวอๆ ไม่เอาอ่ะ แมร่ง โหดชิบ” ไอ้ไผ่บอกแบบขยาด พร้อมกับถอยหลังไปก้าวสองก้าวเมื่อเห็นว่าผมปล่อยตัวไอ้หนูให้ออกมาจากด้านหลังแล้ว
“มรึงไม่ต้องหนีหรอกไอ้ไผ่ สัดเอ้ย! ยังไงวันนี้มรึงก็ต้องกินหมัดกรูซักหมัดแหล่ะวะ!”
ผมได้แต่ยืนมองไอ้สองคนนั้นด้วยความละเหี่ยใจ…ปวดกบาลชะมัด อะไรของมันวะเนี่ยยยยย จะปล่อยให้มีชีวิตสงบสุขไม่ได้เลยรึไงวะ อย่างนี้ต้องโทษแม่ลูกเดียว ไปเป็นหุ้นส่วนกับใครไม่เป็น เสือกไปเป็นกับแม่ไอ้เด็กเปรตนี่ซะงั้น ถ้าวันนั้นไม่ได้เจอมันคงไม่เป็นเรื่องวุ่นวายขนาดนี้ เฮ้อออ….
“โอ๊ยยยยย….โทษๆๆๆ ขอโทษษษษษค้าบบบบ” ผมยืนพิงขอบประตู สองมือล้วงกระเป๋าแล้วมองดูภาพตรงหน้า… ไอ้ไผ่นั่งลงกับพื้น ทำหน้ากึ่งกลัวกึ่งทะเล้นนิดๆ ตรงกันข้ามเป็นไอ้มิกกี้ที่กำลังเงื้อมหมัด หมายจะพุ่งเข้าใส่หน้าตี๋ๆ นั่น แต่ก็ต้องยกค้างเอาไว้แบบนั้นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยอมแพ้แล้ว
“ฮึ่ยยยยย!” เจ้าหนูร้องขึ้นมาอย่างอารมณ์เสีย แล้วสะบัดมือปล่อยปกเสื้อไอ้ไผ่ออก
อยู่ๆ มันก็เดินหนีไปเลยครับ
“เฮ้ออออ มรึงนะมรึง….” ผมแอบบ่นออกมาเบาๆ เมื่อเห็นท่าทีแต่ละคน ไอ้ไผ่นั่นก็ไม่ได้สะทกสะท้านอะไรเล้ยยย มันค่อยๆ ลุกขึ้นยืน แล้วยิ้มประมาณว่าดีใจซะเหลือเกินที่ทำให้พวกผมหงุดหงิดได้ขนาดนี้
คาดว่ามันคงเป็นพวกชอบเรียกร้องความสนใจจริงๆ ยิ่งจากไอ้มิกกี้แล้ว ยิ่งทำให้หงุดหงิดเท่าไหร่ ก็คงมีความสุขเท่านั้น
“ยิ้มทำเตี่ยไรวะ โรคจิตนะมรึง” ผมบอกมันไปอย่างเอือมระอา มันเองก็ยิ้มร่ารับซะงั้น -*-
“กลับก่อนดีกว่า….อยู่นานกว่านี้เดี๋ยวมีตาย” ว่าแล้วก็หัวเราะอีกครั้ง เฮ้ออ หน่ายยยย
ไอ้ไผ่หยิบเป้ตัวเองที่วางอยู่กับพื้นขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะออกไปชะเง้อคอมองหาไอ้มิกกี้ เห็นว่ามันออกไปยืนอยู่นอกระเบียงห้องเรียบร้อยแล้วครับ สงสัยกำลังพยายามสงบสติอารมณ์อยู่
“เฮีย…”
“รีบไสหัวไปเลยมรึง” ผมพูดไปด้วย ดันตัวมันออกนอกห้องไปด้วย
“โห ไล่จริงไล่จัง…แค่จะบอกว่า เรื่องเมกาฯ อ่ะ ยังไงผมก็ยังจะไปอยู่ดีนะ หึหึ”
“เออออ มรึงจะทำอะไรก็ทำไป สาดดด แต่ตอนนี้ออกไปก่อนเลยเข้าใจมั้ยวะ”
…ปัง…
ผมรู้สึกโล่งอย่างประหลาดเมื่อไอ้ตัวปัญหามันออกไปนอกห้องเสียที ว่าแล้วก็ลอบมองไอ้ปัญหาอีกตัวที่ตอนนี้ยืนรับลมอยู่นอกระเบียงห้อง ขาก้าวฉับๆ ตามไปทันที
“เฮ้อออออ….” เสียงถอนหายใจดังขึ้นเพื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่าผมมายืนอยู่ข้างๆ แล้วนะ ที่จริงแค่เสียงบานเลื่อนกระจกก็น่าจะรู้แล้วล่ะ

ลมเย็นๆ ทำให้สมองโปร่งโล่งมากขึ้นหลังจากที่ตึงเครียดมานาน… ผมค่อยๆ หยิบบุหรี่ที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อออกมาคาบและจุดไฟ ไอ้หนูหันหน้ามามองผมเล็กน้อย ท่าทางมันจะหงุดหงิดเพิ่มกว่าเดิมเพราะดันยืนอยู่ใต้ลมซะงั้น เวลาผมปล่อยควันออกมาที ไอ้ควันเจ้ากรรมเลยพัดไปใส่หัวใส่หูมันเต็มๆ
“เหม็น” มิกกี้ทำหน้ายู่ ปกติมันไม่ค่อยชอบบุหรี่อยู่แล้วครับ จึงไม่แปลกเลยที่มันจะบ่น
ว่าแล้วเลยรีบๆ สูบไปสองสามเฮือกแล้วบี้ลงกับกระถางต้นไม้ข้างๆ ผมรู้แหล่ะว่าอีกฝ่ายมองการกระทำทุกอย่างตลอดด้วยหางตา พอผมยืดตัวขึ้นมันก็แกล้งทำเป็นแบนตาหลบไปมองท้องฟ้ารอบๆ เสีย

“ไผ่กลับไปแล้ว” ผมบอกลอยๆ
“อืม…รู้แล้ว”
ผมเดินเข้าไปสวมกอดเจ้าหนูจากข้างหลังเบาๆ และดันเข้าไปแนบชิดจนตัวมิกกี้ติดกับลูกกรงระเบียง…จมูกก็ซุกลงเข้ากับขมับมัน และแนบจูบลงทีสองทีด้วยความเคยชิน
“ใจร้อนจริงนะเราน่ะ” เหมือนจะจี้ตรงจุด เพราะว่าทันทีที่พูดประโยคนี้ไป ไอ้มิกกี้ก็ฮึดฮึดดิ้นขึ้นมาทันที เสียงหายฟืดฟาดบ่งบอกว่าไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก
“มันน่ามั้ยล่ะ แมร่งเอ้ย…รู้งี้ต่อยไปซักหมัดน่าจะดี คันมือคันตรีนชิบ”
“ไม่เอาน่า…” ผมว่างั้น แล้วก็กระชับกอดให้แน่นมากกว่าเดิมเผื่อว่าจะช่วยให้อีกฝ่ายอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง
“ดูมันทำดิ เฮ้อออ สรุปทั้งหมดนั่น ที่มากวนบาทาก็เพราะหมั่นไส้ เหอะ…แมร่ง ทำกรูเครียดไม่เป็นอันกินอันนอนหลายวันเพราะเรื่องบ้าๆ” ท้ายประโยคเหมือนมันจะบ่นกับตัวเองมากกว่าให้ผมได้ยินครับ มิกกี้ยกมือขึ้นท้าวกับเหล็กริมระเบียงแล้วกุมขมับ
“หืม? นอนไม่หลับ? ก็เห็นหลับได้หลับดี ไปนอนไม่หลับตอนไหน?” ก็งงดิครับ ปกติพักหลังตั้งแต่มีเรื่องไอ้ไผ่และเรื่องที่ต้องไปอเมริกามาเนี่ย ไอ้มิกกี้มันเข้านอนก่อนผมตลอด แล้วพอผมเข้าไปทีหลังก็เห็นมันนอนแน่นิ่งเสียทุกครั้ง
“…เฮียมัวแต่นอนอุตุอ่ะดิเลยไม่รู้อะไร”
ที่จริงผมก็แอบสังเกตมันมาก่อนหน้านี้แล้วล่ะครับ….ช่วงนี้ตาไอ้หนูมันดูคล้ำชอบกล และก็มีท่าทางอิดโรยกว่าปกติซึ่งมันจะต้องไฮเปอร์เกินมนุษย์มนา บางทีเห็นมันนั่งนิ่งเหม่อคนเดียวยังมี

“เอาน่ะ ไม่เป็นไรนะ นี่ก็รู้แล้วไง…ว่าอย่างน้อยไอ้ไผ่มันก็ไม่ได้คิดอะไร…เอ่อ อย่างที่กังวลกัน…ล่ะมั้ง?” ไม่ค่อยจะกล้าพูดเต็มปากเท่าไหร่นัก แต่ก็เอาเถอะ…ผมดึงมือไอ้หนูทั้งสองข้างขึ้นมากุมไว้ ข้างนึงยกขึ้นมาแนบริมฝีปากเพื่อประทับจูบเบาๆ
“หึ…ขอให้เป็นอย่างงั้นเหอะ แมร่ง ประสาทว่ะ”
“น่า…ไปทำกับข้าวต่อได้แล้ว หิวชะมัด…ผักเหี่ยวหมดแล้วมั้งเนี่ย อุตส่าห์ตั้งใจล้าง” ผมหัวเราะจนไอ้มิกกี้ต้องหันขึ้นมามองแบบประมาณว่า กะอิแค่ผักยังต้องตั้งใจล้างด้วย
ผมเลยปล่อยมือจากมันแล้วเอาสองนิ้วไปจิ้มระหว่างหัวคิ้วไอ้หนู ถ่างให้มันอ้าออกจากกันก่อนที่จะเทรวมกันเหลือเส้นเดียวซะก่อน… ท่าทางมันจะไม่ค่อยอยากคลายเท่าไหร่นัก พอผมเอามือออก ไอ้คิ้วเจ้ากรรมก็ขมวดมารวมกันอีก เล่นเอาหัวเราะออกมาเสียงดังเลยครับ

ผมทำแบบนั้นอยู่สามสี่รอบจนเจ้าหนูมันเองก็เริ่มยิ้มตาม แล้วหัวเราะบ้าง… ยกมือขึ้นมาขยี้ๆ หน้าผากและคิ้วตัวเองไปมา แล้วจึงยิ้มให้ผม เฮ้ออออ…ค่อยมีกำลังใจหน่อย รอยยิ้มโลกสดใสแบบนี้สิที่ต้องการ
+++++++++++++++++++++++++++++++++
เหนื่อยใจกะอิไผ่ 