“ฮัลโหล พี่ใมล์!” ผมกรอกเสียงลงไปปลายสายเบาๆ แต่รุนแรง เพราะต้องก้มหัวแอบโทรบนโต๊ะทำงานของตัวเอง
“…ไรวะ ตกใจไรมาเนี่ย” อีกฝ่ายตอบเสียงดังราวกับกำลังแข่งกับไอ้เสียงเครื่องจักรกลที่แทรกเข้ามา
“พี่ไมล์รู้เรื่องเฮียป่ะเนี่ย!?”
“เฮียไหนอีกวะ…”
“เฮียไหนเล่า เฮียเพื่อนพี่น่ะแหล่ะ!” หงุดหงิดเว้ยหงุดหงิดดดด
“อ้อ…ไอ้แดนน่ะเหรอ ทำไม มันเป็นไรวะ?” อีกฝ่ายยังคงตอบมาแบบใจเย็น พร้อมกับตะโกนสั่งงานลูกน้องไปด้วย
"ก็เฮียกลับมาไทยแล้ว พี่ไมล์รู้เรื่องนี้ใช่มั้ย!”
“หะ อะไรนะ??”
“โธ่เว้ยยย เฮียอ่ะเดะ กลับมาไทยแล้ว เมื่อเช้ามาที่บริษัทผม มาจ้างทำโปรเจ็คโฆษณา แมร่งงง ตกใจเหี้ยๆ โผล่มาได้ไงวะ พี่ไมล์ทำไมไม่บอกผม!” ได้ทีก็ใส่ไปเป็นชุดเสียงดังจนน้องเดียร์หันมาทำเสียงชู่ๆ ใส่
“เฮ้ยๆ เดี๋ยวก่อน พี่ไม่รู้เรื่องนะเว้ยเฮ้ย! ครั้งล่าสุดที่คุยกับมันนี่เดือนที่แล้วได้มั้ง!?”
“…จริงดิ”
“เออสิวะ ไม่ได้เหมือนพวกแกที่ต้องโทรคุยกันทุกวันนะเว้ย ไม่งั้นเอารายชื่อพี่ไปรวมอยู่ในลิสต์ชู้ได้เลย เฮ้ยยยย สาดดด มึงยกเบาๆ สิวะ” พี่ใมล์บอกขำๆ แล้วหันไปสั่งคนงานต่อ ส่วนผมได้แต่นั่งนิ่งด้วยความมึนงง หรือเฮียแกจะมาเซอร์ไพรส์ผมวะ ไม่ขำนะเว้ยยยย
“…แค่นี้ก่อนนะพี่ไมล์”
ว่าแล้วผมก็รีบวางโทรศัพท์ มองดูนาฬิกาข้อมือ อีก 2 ชั่วโมงถึงเลิกงาน ใจมันกระสับกระส่ายไม่รู้จะทำยังไง อยากเจอเค้า อยากกลับบ้าน ไม่รู้จะทำยังไง เค้าจะรอผมอยู่ที่ห้องมั้ยนะ หรือว่าตอนนี้ทำอะไรอยู่
เวลาจ๋า ช่วยผ่านไปเร็วๆ หน่อยได้มั้ย 2 ชั่วโมงทำไมมันนานเหมือน 2 ปีได้อีกนะเนี่ย…
ในที่สุดก็ 4 โมงเย็นซะที ผมเด้งตัวออกจากโต๊ะ หยิบกระเป๋าที่เตรียมทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ววิ่งออกไปนอกห้องด้วยความรวดเร็ว ไอ้นัทโผล่หน้ามายิ้มแผล่ แต่ผมก็ตะโกนบอกไปว่า “วันนี้เมิงกลับบ้านเองนะ!” แล้วก็วิ่งสวนออกไปเลยพร้อมกับคำด่าไล่หลังตามมา
แม้แต่ลิฟท์ยังช้าไม่ทันใจ จนต้องกึ่งวิ่งกึ่งกระโดดลงทางบันไดแทน
สตาร์ทรถแล้วขับออกเร็วแบบไม่คิดชีวิต เป็นครั้งแรกที่ขึ้นทางด่วนเพราะปกติบริษัทกับคอนโดไม่ได้ไกลมาก ระหว่างขับก็กระวนกระวายใจ ไม่รู้จะติดต่ออีกฝ่ายยังไง…
ผมไม่ได้ฝันไปใช่มั้ย…
เค้าคงไม่มีฝาแฝดหรอกนะ… ทั้งหน้าตา ทั้งน้ำเสียง และชื่อยังเหมือนกันขนาดนี้ ต้องใช่สิ ต้องใช่แน่ๆ…
ในที่สุดผมก็มาถึงคอนโดด้วยความเร็วที่บึ่งมาแบบไม่คิดชีวิต สองขาก้าวฉับๆ ขึ้นลิฟท์ ระหว่างที่กำลังสิ่งตามทางเดินก็ควานหากุญแจห้องไปด้วย มือไม้มันสั่นไปหมด พอเปิดประตูได้เท่านั้นแหล่ะ รองเท้ากระเป๋าถูกถอดออกโยนกองไว้กับพื้นระเกะระกะ
วิ่งเข้าในห้องนั่งเล่น… ไม่มี
ห้องครัว… ไม่มี
ห้องน้ำ…
ห้องนอน…
ระเบียง…
ทำไม ทำไม ทำไม….อยู่ไหน หายไปไหน ขอร้องล่ะ อยู่ไหน…บอกผมทีเถอะ
ผมรู้สึกเหมือนคนบ้า สติหายไปไหนแล้วไม่รู้ มันไม่สามารถจะเรียบเรียงความคิดว่าควรจะทำอะไรก่อนหลัง ไม่สามารถแม้แต่จะก้าวขาให้ขยับไปได้อีก เปลือกตากระพริบขึ้นลงถี่ๆ พร้อมกับเสียงหายใจหอบหนัก มือไม้มันสั่นไปหมด
ยังไม่กลับมา… คงยังไม่กลับมามั้ง
ผมควักมือถือตัวเองออกมาทั้งๆ ที่ก็ไม่รู้จะโทรไปเบอร์ไหน ได้แต่ยืนมองมันแบบสิ้นหวังอย่างนั้น ขอร้องล่ะ อะไรก็ได้ จะให้ผมทำอะไรก็ได้ ขอแค่ให้ได้เห็นเค้าตอนนี้…ขอแค่นั้นก็พอ
ได้ไหม…
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
รู้ว่าขอบ่อย บ่อยจนเกินเข้าใจ
อยู่นานนานได้ไหม มาหากันบ้างสิ
ทั้งที่รู้อยู่ว่ามันดูไม่ดี แต่ความเหงาชนะทุกที
อยากให้เธอเข้าใจ
กลัวทุกอย่าง หวาดระแวงมันไปทุกอย่าง
เธอยิ่งห่าง ยิ่งโหดร้าย
อย่าปล่อยให้คนคนนึงคิดถึงเธอ
รอคอยจนเพ้อจนเหนื่อยจะขาดใจ
อยู่กับคำว่าเหงา ฉันกลัวเงาแห่งความหวั่นไหว
ได้ยินแต่เสียงหัวใจ
มันตะโกนใส่ร้ายว่าเธอไม่รักกัน
รู้ว่าเธอเหนื่อย เหนื่อยกับฉันทุกวัน
เหนื่อยกับความรำคาญ ผู้หญิงขี้เหงาไป
คิดถึงเธอบ่อย บ่อยเท่าลมหายใจ
อยู่คนเดียวก็ฟุ้งซ่านไป มันหลับตาไม่ลง
กลัวทุกอย่าง หวาดระแวงมันไปทุกอย่าง
เธอยิ่งห่าง ยิ่งโหดร้าย
อย่าปล่อยให้คนคนนึงคิดถึงเธอ
รอคอยจนเพ้อจนเหนื่อยจะขาดใจ
อยู่กับคำว่าเหงา ฉันกลัวเงาแห่งความหวั่นไหว
ได้ยินแต่เสียงหัวใจ
มันตะโกนใส่ร้ายว่าเธอ ไปอยู่กับใครไปทำอะไร
ทิ้งให้คนอ่อนไหว กอดความคิดถึง
จนนอนหลับไปกับใจปวดร้าว
อย่าปล่อยให้คนคนนึงคิดถึงเธอ
รอคอยจนเพ้อจนเหนื่อยจะขาดใจ
อยู่กับคำว่าเหงา ฉันกลัวเงาแห่งความหวั่นไหว
ได้ยินแต่เสียงหัวใจ
มันตะโกนใส่ร้ายว่าเธอไม่รักกัน
ได้ยินแต่เสียงหัวใจ
ถามว่าเธออยู่ไหน ทำไมถึงไม่มา