จะว่ายังไงดีล่ะ… จากที่บอกไปครั้งที่แล้วว่าช่วงนี้งานผมยุ่งมากครับ ไฮซีซั่นทีไรแทบจะวิ่งชนกันทั้งในและนอกบริษัท ผมเองก็ปวดหัวใช่ย่อยเพราะมีเรื่องต้องคิดต้องทำ และที่สำคัญปัญหามันตามมาจ่อก้นซะไม่เว้นวัน ช่วงนี้เลยส่งผลให้ทำงานไม่เป็นเวลา บางทีก็กลับดึก… ไม่สิเรียกว่ากลับเช้ามากกว่า แต่ในรอบสองสัปดาห์นี้ถือว่าวิกฤตสุดๆ เพราะมีวันที่ต้องนอนค้างกันในบริษัทด้วย
สำหรับผมไม่เท่าไหร่หรอก ถามว่าเหนื่อยมั้ย… เหนื่อยสิ เหนื่อยมากๆ ด้วย แต่เหนื่อยกายแค่นี้นอนสักคืนสองคืนให้เต็มอิ่มสักนิดก็หาย แต่ไอ้เหนื่อยใจนี่สิ… ก็มีอยู่เรื่องเดียว พักนี้ไอ้คนข้างๆ ผมก็เริ่มงอแงแล้ว จากตอนแรกที่บ่นกระปอดกระแปดทำไมช่วงนี้งานเยอะจังนะ มีการเสนอมาว่าจะให้ช่วยมั้ย… แต่ยังไงเสียตอนนี้มันก็เหมือนคนนอก บอกให้เข้ามาทำงานกับผมก็ยังอาลัยอาวรณ์กับที่ทำงานตัวเอง เลยทำให้มันไม่ค่อยจะมีส่วนร่วมในงานของผมเท่าไหร่ เผินๆ ก็พอช่วยได้ แต่เรื่องเนื้องานส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอกครับ
“เฮีย…คืนนี้ไม่กลับอีกแล้วเหรอ?” เสียงเหงาๆ ลอยเข้ามาตามสาย ทำเอามือผมที่หยิบนู่นจับนี่อยู่ต้องชะงักลง คิ้วขมวดเข้าหากันโดยไม่ตั้งใจ
“อาจจะกลับ แต่คงดึกหน่อย ยังไม่แน่ใจเลย” ผมมองกองเอกสารข้างหน้าแล้วก็ต้องถอนหายใจ… เฮ้ออออ เหนื่อยชะมัด คิดถึงไอ้เจ้าของเสียงนี่ด้วย คิดถึงวันหยุดแล้วได้นอนกอดกันไปก่ายกันมาบนเตียง กินข้าวเช้าต้อนรับแสงตะวันด้วยกัน และนอนดูหนังอยู่บ้านชิวๆ
“ให้ผมไปอยู่เป็นเพื่อนมั้ย…มีใครอยู่ด้วยรึเปล่า?”
“ไม่ต้องหรอก นอนอยู่บ้านนั่นแหล่ะดีแล้ว พรุ่งนี้ก็ต้องไปทำงานอีก” ไม่อยากให้มันมาครับ เพราะที่ทำงานของผมกับมันค่อนข้างอยู่คนละทางกันเลย ถ้ามันมานอนที่นี่ด้วย ก็ต้องตื่นแต่เช้าลุกลี้ลุกลนไปเข้างานอีก
“แต่…”
“เอาน่า ไม่เป็นไรหรอกนะ ไอ้ทษก็อยู่ด้วย” ทษนี่เป็นรองฯ ผมเองครับ ร่วมทุกข์กันมาตั้งแต่เปิดบริษัทใหม่ๆ ตอนแรกมันประจำสาขาที่อเมริกา แต่ตอนนี้เปลี่ยนมาประจำผมแทน ที่จริงมันอยากกลับมาหาเมียมากกว่า ก็อ้างไปงั้น -*-
“เฮีย ถ้าดึกมากไม่ต้องฝืนขับรถมานะ เดี๋ยวจะอันตราย… แต่ผมก็คิดถึงเฮียนะ” แหน่ะ เป็นห่วงแต่ก็มีการตบท้ายด้วยอาการอ้อนอีกต่างหาก ไม่ให้อยากฟัดมันยังไงไหว..
“อืม รู้แล้ว เราก็รีบนอนซะล่ะ”
คุยกันอีกนิดหน่อยก็ล่ำลา กว่าจะวางโทรศัพท์ได้ก็ใช้เวลาซะนาน ต่างคนต่างไม่เต็มใจจะวางเท่าไหร่นัก
….เฮ้ออออออออออออ…
“คุณชายโทรมาอีกล่ะสิ” ไอ้ทษเดินเข้ามาในห้อง เห็นผมกำลังจ้องโทรศัพท์ที่วางสายไปแล้วก็เป็นต้องเอ่ยปากแซว
“เออ แมร่งเอ้ย ไม่มีเวลาให้เลยว่ะช่วงนี้” ผมก้มหน้า เอามือขึ้นมากุมขมับแล้วนวดเบาๆ เผลอไปคิดถึงฝีมือนวดกวนโอ๊ยของอีกฝ่ายขึ้นมาแล้วก็ต้องถอนหายใจอีกครั้ง จะแก่เร็วยิ่วกว่าเดิมมั้ยเนี่ยกรู -*-
“มรึงก็กลับบ้านกลับช่องซะบ้าง กลับไปให้เห็นหน้าซัก ชม. สองชม. ก็ยังดี” มันว่างั้น แต่วางกองเอกสารอะไรอีกไม่รู้เป็นปึกดังปึ๊งลงบนโต๊ะ นี่มรึงประชดกรูป่ะวะ
“อยากอยู่… แต่พอทำทีไรแล้วมันติดลม มารู้ตัวอีกทีก็หมดเวลาแล้วว่ะ”
“อย่ามาอ้าง ระวังคุณชายจะน้อยใจ นอนแห้งตายคาเตียงรอเฮียสุดที่รัก หึหึ”
ผมมองไอ้ทษแล้วทำหน้าเซ็งๆ ไม่ต้องบอกก็รู้… เพราะแค่ได้ยินเสียงก็รู้แล้วว่าเหงาขนาดไหน เพิ่งจะมาดีใจที่มีไอ้หมาตัวนั่นมาคอยบรรเทาให้เจ้ามิกกี้มันได้ยิ้มออกบ้าง แต่ยังไงซะมันก็คงอยากให้ผมกลับไปมากกว่า
เอาเถอะ ถ้าจะเอาเวลามาคิดมากมายล่ะก็รีบสะสางงานให้มันเสร็จไวๆ ดีกว่า เผื่อว่าคืนนี้จะไปแอบกลับไปบ้าน กอดไอ้หนูซักสองสามชั่วโมงก่อนเช้าก็ยังดีวะ!
ผมก้มหน้าก้มตาเคลียร์งาน คิ้วขมวดเคร่งเครียดจนลืมทุกอย่างรอบข้างไปหมด มารู้อีกทีเมื่อมีคนเคาะประตู… ไอ้ทษยังอยู่เหรอวะเนี่ย ปกติมันจะอยู่จะไปไม่ค่อยบอกผมเท่าไหร่หรอกครับ เพราะจะรู้กันดี ไม่ต้องรอกันและกัน แค่ให้มันมาอยู่ด้วยดึกๆ ดื่นๆ หลายคืนแบบนี้ก็เกรงใจเมียมันมากแล้ว
“มีไรไอ้ทษ เคาะอยู่ได้ เข้ามาสิวะ” ผมบ่นออกมาด้วยความรำคาญ ก็มันดันเคาะสามทีแล้วเงียบ… สักพักก็เคาะอีกสามที อะไรจะมารยาทงามปานนั้น ปกติทรามหัวจรดตรีน -*-
“…ครับ”
เสียงคุ้นหูนั่นทำเอาผมรีบเงยหน้าขึ้นมามองทันที ไอ้มิกกี้…ไอ้หนูตัวเป็นๆ กำลังยืนหลังบานประตูที่แง้มออกมาเบาๆ โผล่แค่หัวเข้ามาประมาณว่าไม่ค่อยกล้าเข้ามาเท่าไหร่ มันมองผมกล้าๆ กลัวๆ เหมือนเด็กที่ไม่เชื่อฟัง แล้วมายอมรับผิดทำนองนั้น
“มิกกี้…มาทำไมเนี่ย” ผมงัดตัวเองออกจากโต๊ะทำงาน แอบปวดหลังเล็กน้อย นี่กรูนั่งตรงนี้มานานขนาดไหนแล้ววะ
“ก็… เป็นห่วงเฮียอ่ะ แล้วที่สำคัญ…”
“หืม?” ผมเดินเข้าไปประกบอีกฝ่าย แล้วดึงให้เข้ามาข้างในห้อง ปิดประตูเรียบร้อย
“ผมนอนไม่หลับ…”
เจ้าตัวแสบยืนทำหน้าประหลาด ยกมือขึ้นมาเกาหูตัวเองแก้เขิน หรือแก้ตัวก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ ผมยิ้มออกมาด้วยความสงสาร เลยเผลอลูบหัวมันไปและก้มลงจูบที่หน้าผากทีนึง
“ขอโทษนะ…” ผมรีบเกี่ยวคออีกฝ่ายเข้ามากอด แล้วหอมหัวเน่าไปหลายๆ ที
“เอ้ยยย ขอโทษไรเล่าเฮีย! ขอโทษทำไม ไม่ได้ทำไรผิดซักหน่อย อ๊ะๆๆๆ หรือว่าแอบซุกกิ๊กไว้ที่นี่ถึงไม่ยอมกลับบ้านหลับช่อง ใช่มั้ย หะๆๆๆ เอามีดเสียบพุงไส้ไหลเลย!” มันไม่ได้พูดเปล่า แต่เอากำปั้นมาทำท่าชกที่หน้าท้องผมเหมือนจะเป็นการยืนยันว่าถ้ามรึงทำจริงกรูเสียบแน่ เล่นเอาเสียวเลยกรู -*-
“เพ้อเจ้อละ ขอโทษที่ทำงานหนัก ไม่มีเวลาให้ต่างหากล่ะ”
“อ๋อ งั้นไม่เป็นไรครับ.. ค่อยซื้อเกมส์เพลย์ให้ตอนหายยุ่งก็พอละ” ไอ้มิกกี้ยิ้มยิงฟัน ทำหน้ากวนๆ สไตล์มันที่ผมแสนจะคิดถึงให้ดู มันน่าดีดติ่งหูชะมัด
“แสบเอ้ย…ว่าแต่กินไรมา กลิ่นอะไรเนี่ย?”
ผมทำท่าสูดจมูกไปตามตัวไอ้หนูฟึดๆ แต่ก็โดนอีกฝ่ายห้ามไว้
“หยุดดดด กลิ่นนี่ต่างหาก” เจ้าตัวพูดพร้อมกับชูถุงพลาสติกที่ข้างในเป็นกล่องโฟมสามกล่องตั้งเรียงกันไว้ นี่มันหิ้วอะไรมาด้วยเหรอวะ ไม่ทันสังเกตเลย
“ซื้ออะไรมาน่ะ”
“กระเพราหมูไข่ดาว หอมกรุ่น ร้อนๆ จากตลาด” มันว่าแล้วยักคิ้วด้วยความมั่นใจ
เหมือนมันจะรู้ว่าผมกำลังหิว เพราะทันทีที่เจ้ามิกกี้พูดจบ ท้องผมก็ร้องระกอบฉากขึ้นมาซะงั้น เล่นเอาหัวเราะกันงอหงาย ว่าแล้วเลยไปช่วยกันเคลียร์โต๊ะจัดอาหาร พูดไปงั้น… ก็แค่เปิดกล่องออกมาแล้วกินทั้งอย่างนั้นเลย ขี้เกียจล้างจาน -*-
“แล้วพี่ทษล่ะเฮีย อุตส่าห์ซื้อมา 3 กล่อง” มันว่าพร้อมกับเอาพริกน้ำปลามาปรุงให้ผม
“สงสัยกลับบ้านไปแล้ว ไปตอนไหนก็ไม่รู้เหมือนกัน ตอนเราเข้ามาก็ไม่เห็นใช่มั้ยล่ะ?” ผมตอบไป นั่งทำงานไปด้วย กระดิกเท้า รอกิน
“หึ๊ ไม่เห็นใครซักคน น่ากลัวจะตาย นึกว่าเข้าตึกผีสิง เฮียอยู่คนเดียวไปได้ไงเนี่ย”
ผมได้แต่หัวเราะ แล้วก้มลงมองดูกระเพราหมูไข่ดาวหอมกรุ่น มีพริกสีแดงกับสีเขียวซอยเป็นชิ้นเล็กๆ โรยทั่วหน้า กลืนน้ำลายดังเอื้อกเลยทีเดียว
เรานั่งคุยกันไปกินไป ไอ้มิกกี้ก็เล่าเรื่องนู่นเรื่องนี่ไปเรื่อยตามประสา ผมเองก็ฟังเสียงเจื้อยแจ้วนั่นแต่ตาก็แอบลอบมองเอกสารไปเรื่อย
“เฮียกินดีๆ ดิ กินให้อิ่มก่อนแล้วทำก็ได้” สงสัยจะเป็นภาพที่แปลกตาน่าดู… ไอ้มิกกี้กำลังดุผม
“ก็ป้อนสิ หึหึ” และภาพผมกำลังอ้อนไอ้มิกกี้ หาดูยากกว่าเมียงูอีก-*- ทำไปได้ไงวะตรู
ดูเจ้าหนูเองก็อึ้งไปชั่วครู่เหมือนกัน… ก่อนจะยิ้มหน้าแปลกๆ เหมือนจะกลั้นไม่ให้เผลอยิ้มออกมาแต่ก็อดไม่ได้ มันรีบดึงช้อนในกล่องโฟมของผม แล้วตักข้าวผสมกระเพราบวกกับไข่ดาวนิดหน่อย แล้วยื่นมาจ่อปาก
“เอ้า อ้ามอ้ามมมม” ผมอ้าปากรับ มองดูไอ้คนป้อนทำท่าทำทางเหมือนจะชอบอกชอบใจนักล่ะ
“อร่อยมั้ย?” มีการหันมาถามเหมือนเป็นคนทำเองซะอีกนั่น
“อืม…” มารยาทดีครับ ไม่พูดระหว่างทานข้าว
“งั้นกินเยอะๆ เคี้ยวเอื้องอีกเฮียนิ”
อ้าว คุ้นๆ นะเคี้ยวเอื้องเนี่ย คลับคล้ายคลับคลาเหมือนสัตว์จำพวกซักอย่าง -*- ว่าแล้วเลยทำท่าจะหยิบเอาขวดน้ำฟาดหัวมัน ไอ้มิกกี้หัวเราะเอิ้กอ้ากทำท่าหลบเอามือป้องใหญ่
“เอ้า กินอีกๆ จะได้โตไวๆ น้า”
คราวนี้ไม่เหลือละ ผมเบิ้ดกะโหลกมันไปทีนึง ไอ้นี่ลามปามๆ ไม่ต้องห่วงมันหรอกครับ แค่นี้มันไม่เจ็บ…คาดว่าคงชินแล้ว นั่นไงล่ะ หัวเราะใหญ่ กินกันไป ป้อนกันมาจนหมดจานเกลี้ยงไม่เหลือข้าวซักเม็ด จนอดแซวไม่ได้ว่าที่นอนไม่หลับเนี่ยเพราะหิวใช่มั้ย… มีการรับมุขพยักหน้าอีกนะ เลยบอกไปว่า “ยกจานขึ้นมาเลียเลยสิ” ดูมันครับดูมัน มีเหรอจะพลาดรายนี้ ไอ้มิกกี้ยกจานขึ้นมาเลียจริงๆ แล้วยักคิ้วให้ผม -*-
หลังจากนั้นผมก็นั่งทำงานไปอะไรไปเหมือนเดิม… เจ้าหนูก็หาวแล้วหาวอีกเลยจำต้องไล่ไปนอนซะ ผมไม่ได้มีห้องนอนส่วนตัวอะไรหรูหราในที่ทำงานหรอกครับ จะนอนก็เอาโซฟาตัวยาวที่พับพนักพิงลงมากลายเป็นเตียงจำเป็นก็แค่นั้น วันนี้ท่าทางมันต้องรับน้ำหนักผู้ชายตัวใหญ่ๆ สองคน ไม่รู้จะไหวรึเปล่า
มองดูนาฬิกาอีกที…อืม จะตี 4 แล้ว เหลือบไปดูไอ้ตัวยุ่งซักหน่อย นอนตะแคงบนที่นอนมือกอดผ้าห่มหลับไปแล้ว ผมเลยตัดสินใจละจากงาน เดินไปล้างหน้าแปรงฟันและค่อยๆ ลงตัวลงนอนไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องตื่น แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล เพราะทันทีที่ผมยื่นมือออกไปหมายจะกอดคนข้างๆ ไว้ มันก็รีบฉวยมือผมไปให้กอดเข้าที่เอวตัวเอง และกำไว้อย่างนั้น
“ยังไม่นอนเหรอ…” ผมกระซิบถาม พร้อมกับกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น
“ก็บอกว่านอนไม่หลับ” มันพูดทั้งๆ ที่ยังหลับตาในความมืด
“งั้นหลับซะ คนเก่ง”
ไม่รู้คิดไปเองรึเปล่า ทันทีที่ผมพูดออกไป… ไอ้แสบของผมก็หายใจฟี้ๆ จะขยับยังไงก็ไม่รู้สึกตัวแล้ว นี่ผมทำมันลำบากไปด้วยรึเปล่านะเนี่ย แต่เอาเถอะ.. จะพยายามทำงานให้เสร็จเร็วที่สุดนะ แล้วเดี๋ยวจะชดเชยจนเต็มอิ่มไปเลย เข้าใจมั้ย ไอ้ตัวยุ่ง
ผมหอมแก้มมันไปทีนึงด้วยความเอ็นดู เฮ้อ เด็กน้อยเอ้ย…
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++
