My First Boyfriend Part 3:By Katesnk
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: My First Boyfriend Part 3:By Katesnk  (อ่าน 172287 ครั้ง)

abcd

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่15 17/1/09
«ตอบ #120 เมื่อ17-01-2009 20:37:50 »

 :z13: จิ้มพี่แอนสุดสวย

kimagain

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่15 17/1/09
«ตอบ #121 เมื่อ17-01-2009 20:52:06 »

เรียวใจร้าย  :o12:


รับโทสัพได้ก็ตะคอกเลย นี่ถ้าเปนเดียร์โทรมานะคงเสียใจอย่างมากกกกกกกกก  :serius2:

anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่15 17/1/09
«ตอบ #122 เมื่อ17-01-2009 21:23:35 »

 :กอด1: คิดถึงทุกคนน้าาาาาาาา
+1 ให้เป็นกำลังใจ
 :z3:ก็รู้นะ ว่าอ่านแล้วตาลาย
ตัวหนังสือแยอะมากๆ o2

psychological

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่15 17/1/09
«ตอบ #123 เมื่อ17-01-2009 21:41:32 »

^
^
^
 :z13:ตามมาจิ้มไต๋

nanalonely

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่15 17/1/09
«ตอบ #124 เมื่อ17-01-2009 21:53:51 »

กว่าเรียวจะรู้นะว่าการมีเดียร์อยู่ข้างๆๆแล้วรู้สึกยังไง

พอไม่มีเดียร์แล้วรู้สึกเลยใช่ไหมว่าอะไรคือสิ่งที่ขาด

กว่าจะรู้ตัวจะสายไปไหมเนี่ย

สงสารเดียร์ที่ซู้ดดดดดด

เดียร์จะเป็นอะไรไหมเนี่ย

อยากอ่านต่อจัง

พี่แอนคนสวย มาลงต่ออีกตอนจิคะ

มาลงต่อน๊า พลีสส เด๋วแนนจะไปกินยานอนแล้ว

แต่อยากอ่านต่ออีกอะ

ออฟไลน์ the_pooh9

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 941
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-3
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่15 17/1/09
«ตอบ #125 เมื่อ18-01-2009 00:34:29 »

^
^
^
จิ้มตูดน้องแนน
^

^

กว่าเรียวจะรู้นะว่าการมีเดียร์อยู่ข้างๆๆแล้วรู้สึกยังไง

พอไม่มีเดียร์แล้วรู้สึกเลยใช่ไหมว่าอะไรคือสิ่งที่ขาด

กว่าจะรู้ตัวจะสายไปไหมเนี่ย สงสารเดียร์ที่ซู้ดดดดดด

เดียร์จะเป็นอะไรไหมเนี่ย  อยากอ่านต่อจัง พี่แอนคนสวย มาลงต่ออีกตอนจิคะ

มาลงต่อน๊า พลีสส เด๋วแนนจะไปกินยานอนแล้ว  แต่อยากอ่านต่ออีกอะ


 เห็นด้วยทุกประการเลย สงสารเดียร์จัง เป็นไงบ้างมะรู้

แต่บางทีกว่าเราจะรู้ว่ารัก ก็เกือบจะสายไป ขอให้เรียวแค่เพียง

เกือบ ก็พอนะ อย่าให้มันสายเกินไปกว่านี้เลย

ว่าแต่นู๋แนน ก็ไปกินยานอนได้แล้ว ไป๊ :z2:

เดี๋ยวเค้ากลิ้งรอพี่แอน ให้แทน (จะได้แอบอ่านก่อนนู๋แนน อิอิ)

อยากอ่านต่อจัง พี่แอนคนสวย มาลงต่ออีกตอนนะจ๊ะ

+1 :pig4: ขอบคุณนะคะพี่แอน สำหรับความขยัน + การแบ่งปัน  :L2:

fayossy

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่15 17/1/09
«ตอบ #126 เมื่อ18-01-2009 00:58:45 »

เดียร์เป็นอะไรมากป่าวเนี่ย 

วันใดขาดเดียร์แล้วเรียวจะรู้สึก 
คงรู้สึกเหมือนขาดอะไรไปบางอย่างนะ
หวังว่าจะได้ยินคำบอกรักจากปากเรียวมากๆเลย

อยากอ่านต่อแล้วอ่ะ

anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่16 18/1/09
«ตอบ #127 เมื่อ18-01-2009 15:42:18 »

บทที่ 16

ผมตกใจมากกับสิ่งที่ได้ยิน แต่เสียงทางนั้นขาดหายไปแล้ว ผมเลยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ผมรออยู่สักครู่ ก็ไม่มีโทรศัพท์เรียกเข้ามาอีก ชั่งใจอยู่นาน ก่อนตัดสินใจโทรเข้าไปที่มือถือของเดียร์

แต่เสียงตอบรับอัตโนมัติตอบกลับมาว่าไม่สามารถติดต่อได้ ณ ขณะนี้ ไม่รู้ว่าเพราะอยู่ในทีไม่มีสัญญาณ แบตหมด หรือว่าเกิดเหตุขัดข้องอะไร ถึงทำให้ติดต่อไม่ได้ ผมรู้สึกหงุดหงิดมาก เพราะข่าวสารที่ได้ฟังจากน้อย มันสร้างความงุนงงให้ผมไม่ใช่เล่น
เกิดอุบัติเหตุขึ้นกับเจ้าเด็กนั่นเหรอ อุบัติเหตุแบบไหนกัน ที่ไหน เมื่อไหร่ เกิดได้ยังไง ตอนนี้เขาเป็นไงบ้าง บาดเจ็บมากน้อยแค่ไหน เป็นอะไรมากไหม กระดูกแตกหัก หรือแค่ถลอกปอกเปิก

ตอนนี้อยู่โรงพยาบาล หรืออยู่ที่ไหน อยู่จังหวัดอะไร ใกล้ไกลจากกรุงเทพหรือเปล่า มีใครอยู่กับเขาด้วยไหม.......
คำถามมากมายผุดขึ้นมาในความคิด แต่ไม่มีคำตอบให้กับผม เพราะโทรศัพท์นั่นสายดันตัดไปเสียก่อน ทำให้ผมไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าเด็กบ้านั่น

หวังว่าเรื่องนี้คงไม่ใช่เรื่องที่อำกันเล่นเพื่อให้ผมหายโกรธเดียร์หรอกนะ ถ้าเป็นอย่างงั้นจริงๆ ผมจะไม่พูดกับเขาอีกเลย เล่นกับความรู้สึกของคนแบบนี้มันใช้ได้ที่ไหน แต่จากน้ำเสียงตื่นตระหนกของน้อยที่ได้ยิน มันชวนให้คิดว่าเป็นเรื่องจริง
ความกังวลใจกับสิ่งที่ได้ยินเพียงครึ่งๆกลางๆทำให้ผมนอนไม่หลับเข้าไปใหญ่ นึกโทษตัวเอง ที่พูดไม่ดีออกไป โดยไม่ฟังให้ชัดเจนเสียก่อนว่าเด็กนั่นโทรมาเพื่ออะไร

ไม่รู้ว่าอยู่ดีๆทำไมถึงโกรธขึ้นมาแบบนั้น จะว่าเป็นเพราะอารมณ์ยังค้างอยู่กับความโกรธที่ได้รู้ว่าเขาวางแผนกับเพื่อนจับตัวผมหรือก็เปล่า นึกขุ่นใจนิดหน่อย แต่ก็เลิกโกรธไปนานแล้ว

งั้นผมโกรธเรื่องอะไรล่ะ โกรธที่เขาหายไป หรือโกรธที่เขาอยู่ในความคิดคำนึงของผมตลอดเวลา
เป็นเรื่องหลังนี่แน่นอน ผมพยายามจะสลัดเขาออกไปจากชีวิต แต่ยิ่งพยายามเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งคิดถึงเขามากขึ้นทุกที เขาทำให้ผมนอนไม่หลับ เขาทำให้ผมเคยชินกับชีวิตที่มีเขามาคอยดูแล เขาทำให้ความรู้สึกของผมเปลี่ยนแปลงไป

เมื่อตอนเย็น มีช่วงหนึ่งที่ผมคิดไปถึงเรื่องของเดียร์ ตอนที่พวกเราพากันโกหกคุณทรงพล ถึงแม้ผมจะไม่ได้เป็นคนพูด แต่การนิ่งเฉยคือการยอมรับ ทำให้คนเข้าใจผิดได้ สิ่งที่ผมทำลงไป เพื่อช่วยให้ตัวเองรอดพ้นจากสถานการณ์ที่ตนเองไม่ปรารถนา มันทำให้ผมฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า ผมเองก็ไม่ต่างอะไรจากเดียร์เลย คือทำผิดเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ

ผมต้องต่อสู้กับความคิดของตัวเอง ระหว่างคุณธรรมและความชอบใจ ผมโกหก ผมก็ผิดอยู่แล้ว แต่ที่ปล่อยให้เกิดขึ้น เพราะมันเป็นความพึงพอใจที่จะไม่ต้องเห็นตัวเองถูกแทะโลม พอผมคิดแบบนี้ ผมก็เลยรู้สึกโกรธขึ้นมาที่เผลอด่วนไปด่าว่าเขา ลงโทษเขา ในสิ่งที่เด็กนั่นทำ ในขณะที่ตัวเองก็ทำผิดเสียเอง
ผมเองยังไม่มีความยับยั้งชั่งใจเลย แล้วผมจะไปตัดสินว่าใครผิดใครถูกอย่างไรได้ เขาทำให้ผมรู้สึกแย่ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ผมโกรธตัวเองแล้วก็โกรธที่เดียร์ทำให้ผมรู้สึกแย่ ถ้าเขาไม่ทำแบบนี้กับผม ผมก็คงไม่โกรธเขา แล้วเวลาที่ผมทำผิด ผมก็ดันไปนึกถึงที่ว่าเขาไว้

นี่กระมังคือเรื่องที่ทำให้ผมไม่สบายใจ จนกระทั่งเผลอต่อว่าเขาไปเมื่อกี้ เหมือนผมกำลังหาแพะรับบาปให้กับความผิดของตัวเอง พอสายของเขาก็เข้ามา ผมก็ขาดความยั้งใจ ต่อว่าเขาออกไปจนได้

แต่กาลกลับกลายเป็นว่า ความโมโหของผมกลับทำให้ผมหงุดหงิดมากขึ้นกว่าเดิม
ตั้งใจจะว่าเขาเจ็บๆแสบๆ แต่ ผมกลับได้รับข่าวร้ายเรื่องอุบัติเหตุของเด็กนั่น ผมไม่รู้เลย ว่าตอนนี้เขาเป็นอย่างไร ติดต่อไม่ได้ กดโทรศัพท์จนมือแทบหงิก ก็ไม่มีการตอบกลับมา ความห่วงในตัวของเดียร์ทำให้ผมนอนไม่หลับจนรุ่งเช้า
ผมไปทำงานในสภาพที่เรียกได้ว่าไม่พร้อมจะรับรู้อะไรทั้งสิ้น วันนี้มีประชุมตั้งแต่สิบโมงเกี่ยวกับเรื่องสินค้าตัวใหม่ที่ยังถกเถียงกันไม่จบด้วยรูปแบบของผลประโยชน์ จำนวนเงินที่ลูกค้าต้องจ่ายและเงื่อนไขการรับประกัน

ผมนั่งฟังแต่ละคนถกเถียงกันไปมา ด้วยความรู้สึกปวดหัวมาก พอถึงตาผมพรีเซ็นต์ ผมก็ทำได้ไม่ค่อยดีนัก จนเจ้าสันต์ออกปากถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม

ตอนบ่ายหลังจากเริ่มต้นทำงานได้สองชั่วโมง ผมก็มีประชุมเกี่ยวกับเรื่องงานปีใหม่ของบริษัท ซึ่งจะจัดขึ้นในปลายเดือนธันวาคม เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ รวมถึงเป็นรางวัลให้กับพนักงานด้วย พวกเขาทำงานหนักมาทั้งปี สมควรจะได้รับสิ่งตอบแทนกันบ้าง
งานนี้บริษัททุ่มงบลงไปห้าล้านบาทสำหรับงานครั้งนี้ เงินจำนวนนี้ เป็นค่าสถานที่จัดงาน ค่าโชว์บนเวที และค่าของรางวัลที่จะให้กับพนักงานด้วย

ผมได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในคณะกรรมการจัดงาน โชคดีข้อแรกที่ผมไม่ได้เป็นประธานในการจัด และโชคดีซ้ำสองที่เขาเลือกคุณแคทลียามาเป็นกรรมการด้วย จึงทำให้ผมซึ่งไม่อยู่ในสภาพที่จะออกไอเดียในการจัดงานทำหน้าที่เป็นเพียงผู้ฟัง และให้ความเห็นว่าชอบหรือไม่ชอบเท่านั้น

พวกเขาถกเถียงกันด้วยรูปแบบของงาน และเลือกโชว์ที่จะมาแสดง ผมฟังบ้างไม่ฟังบ้าง ใจลอยไปถึงเด็กหนุ่มนั่น นึกกังวลในตัวเขา เพราะผมติดต่ออะไรใครไม่ได้เลย
เบอร์โทรของน้อยผมก็ไม่มีด้วย เบอร์โทรของแดนเซอร์ก็ไม่มี เลยไม่รู้ว่าตอนนี้พวกเขาเต้นโชว์คอนเสิร์ตกันอยู่ที่ไหน เดียร์คุยให้ผมฟังว่าเขาเดินสายไปทั่ว เริ่มจากภาคเหนือ มาภาคอีสาน เข้าภาคตะวันออก แล้วก็จะลงใต้ ก่อนจะย้อนมาทางภาคตะวันตก ภาคกลาง แล้วก็กรุงเทพ นี่เขาหายไปสิบกว่าวันแล้ว เขาน่าจะอยู่ตรงไหนหนอ

“คุณเรียวครับ พวกเราคิดว่า อยากจะจ้างนักร้องสาวที่กำลังดังอยู่ตอนนี้ พร้อมโชว์ของคณะแดนเซอร์ที่เขาเต้นให้กับศิลปินในค่ายเพลงยักษ์ใหญ่นะครับ เขามีนักเต้นฝีมือดีหลายคน นักเต้นพวกนี้ ก็เต้นให้นักร้องสาวคนที่กำลังดังนี่ด้วย มิวสิควิดีโอเปิดทั่วประเทศ แดนเซอร์แต่ละคนทั้งสวยทั้งหล่อ หุ่นดีกันทั้งนั้น คุณเรียวเห็นว่าไงครับ”
“เอ้อ ....เอาสิครับ”

เสียงถามจากผู้ร่วมประชุม ทำให้ผมสะดุ้ง ผมฟังไม่ถนัดว่าเขาพูดว่าอะไร เพราะมัวแต่ใจลอยคิดถึงเรื่องของเดียร์อยู่ แต่ไม่อยากถาม เพราะมันจะฟ้องเอาได้ ว่าผมไม่ใส่ใจการประชุม
ผมจึงพยักหน้ารับ และบอกกับพวกเขาไปว่า ลองให้ออร์แกนไนเซอร์เอามางานของนักร้องคนนี้มาพรีเซ็นต์ แต่ขอเป็นหลายๆเจ้า แล้วเรามาตกลงกันอีกที

พวกนั้นมองผมอย่างงงๆ ผมไม่รู้ตัวหรอกว่า ผมพูดจาไม่รู้เรื่อง จนกระทั่งคุณแคทลียา มาบอกผมตอนช่วงเบรกสิบห้านาที
ผมขอโทษขอโพย แล้วก็เสพูดไปว่า ผมไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับการแสดงมากนัก แต่อยากให้แต่ละออร์แกนไนซ์เซอร์ที่จะจัดงานให้เรา นำเสนอรูปแบบงานมาให้ดู และนำงานของดารานักร้องที่จะจ้างมาให้ดูด้วย พร้อมทั้งเสนอราคามาเสร็จสรรพ เราจะได้พิจารณาได้
คุณแคทลียาทำหน้าเข้าใจ จากนั้นเราก็กลับเข้าที่ประชุมต่อ

วันนี้ ผมรีบกลับบ้านแต่วัน ใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ทำงานไม่ได้ คิดวุ่นวายใจไปหมด นึกเป็นห่วงเจ้าเด็กนั่น ไม่รู้ว่าจะเป็นตายร้ายดียังไง นับจากที่ผมรู้เรื่องอุบัติเหตุของเขา มันก็ทำให้ผมอยู่ไม่เป็นสุข
เดียร์มีอิทธิพลกับผมถึงเพียงนี้เลยหรือ แค่รับรู้ว่าเขาเกิดอุบัติเหตุก็เล่นเอาผมกินไม่ได้นอนไม่หลับเลยทีเดียว ผมพยายามหาเหตุผลว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม มันน่าจะเพราะว่าเด็กนี่ดีกับผม ตลอดเวลา พอเขาเดือดร้อน ผมก็เลยต้องห่วงใยเขาใช่ไหม หรือว่าเพราะ.........เพราะผมรักเขา.......

ไม่นะ คงไม่ใช่หรอก ผมไม่อยากคิดต่อแล้ว เจ้าเด็กนั่นก็แค่คนๆหนึ่งที่มาทำให้ผมวุ่นวายใจ ผมไม่มีทางรักเขา ผมเป็นผู้ชาย จะมารักคนเพศเดียวกันได้ไง บางทีมันอาจจะเป็นแค่ความสงสารก็ได้มั๊ง เหมือนว่าเราได้ยินข่าวว่าเพื่อนเราถูกรถชน เราก็อดห่วง อดกังวลไม่ได้ ผมคงคิดกับเขาแค่แง่มุมนั้น ไม่มีอย่างอื่น
ก็แล้วทำไม ผมถึงทำอะไรไม่ถูกเลย นี่ก็เดินวนเวียนอยู่ในห้องรับแขกเป็นหนูติดจั่นหลายรอบแล้ว มือก็กดโทรศัพท์เป็นระวิง แต่ก็ไม่ยักมีเสียงตอบรับจากเลขหมายปลายทาง

เจ้าบ้านี่ เป็นอะไรมากหรือเปล่านะ ไม่ชอบเลย หายไปแบบนี้ แถมยังมีข่าวไม่ดีอีก ชักโกรธแล้วนะ อย่าให้เจอตัวเชียว จะจับเขย่าๆ เขกกบาลให้บวมปูดเลย

แต่เอ...... ถ้าไอ้เจ้านั่นมันเจ็บหนักล่ะ เกิดรถที่ขนแดนซ์เซอร์ดันไปประสานงาเข้ากับรถสิบล้อ ทำให้แดนเซอร์เจ็บหนักล่ะ
เกิดตอนนี้อยู่ห้องไอซียู สมองกระทบกระเทือน หรือไม่แขนขาด ขาขาดไปจะว่าไง พิการ เสื่อมสมรรถนะทางเพศ ตาบอด โอ๊ย ทำไมผมถึงคิดแต่เรื่องร้ายๆในหัวได้นะ คงไม่ถึงขนาดนั้นมั๊ง

สมองกระทบกระเทือนจำอะไรไม่ได้เหรอ ก็ดีสิ สัญญาจะได้โมฆะเพราะเขาจำอะไรไม่ได้ แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น เดียร์คงจะลืมผมไป แล้ว มันจะดีจริงๆเหรอ ถ้าเขาฟื้นขึ้นมา แล้วเขาไม่รู้ว่าผมคือใคร ถ้าผมรู้จักเขา แต่เขาไม่มีความทรงจำเรื่องของผมเหลืออยู่เลย ผมยังจะรู้สึกสบายใจเหรอ

โธ่เว้ยยยยยย ........รับโทรศัพท์ซักทีสิ ใครก็ได้ น้อย หรือ เดียร์ ช่วยโทรมาบอกข่าวได้ไหม บอกมาว่านี่คือเรื่องโกหกกัน ผมไม่โกรธก็ได้ อย่าหายไปอย่างนี้ ผมไม่สบายใจ ไอ้เด็กบ้า ฉันบอกไม่ให้โทรมา ถ้ามันเรื่องไร้สาระ แต่เรื่องร้ายแรงแบบนี้ ต้องโทรมาบอกกันสิ

“ไอ้เด็กบ้า.....ไปไหนวะ”

อดไม่ได้ที่จะตะโกนดังๆ ด้วยความโมโห เจ้าหญิงเห่าผมดังขรม คงแปลกใจว่าทำไมผมถึงตะโกนลั่นบ้านขนาดนั้น ผมเดินไปหาเจ้าหญิงโอบกอดมัน มีกลิ่นสาบนิดหน่อยมาจากตัวเจ้าหญิง มันไม่ได้อาบน้ำมาหลายวันแล้ว
นับตั้งแต่เดียร์ไม่อยู่ ผมมัวแต่ทำงาน ไม่มีเวลาให้เจ้าหญิงเลย พอเดียร์ไม่อยู่สักคน บ้านก็ดูเหมือนไม่ได้รับการดูแล ผ้าผมก็ยังไม่ได้ซักเลย บ้านก็ยังไม่ได้กวาดถู

ผมกลับมาก็เหนื่อยจากการทำงาน เลยไม่ได้ลงมือทำงานบ้านเลย ถ้าหากผมเลิกรากับเดียร์แล้ว คงจะต้องจ้างแม่บ้านสักคนมาคอยดูแลทำความสะอาดให้แล้ว
เจ้าเด็กบ้านั่นทำให้ผมนิสัยเสีย เมื่อก่อนผมดูแลทำความสะอาดบ้านเอง พอเขามาแย่งทำจนหมด ผมไม่มีอะไรทำก็เลยขี้เกียจขึ้นมา
ตอนนี้เขาไม่อยู่แล้ว บ้านช่องก็พลันสกปรก สุนัขของผมก็ตัวเหม็น เริ่มผอมกว่าตอนที่เดียร์มา ผมสงสารเจ้าหญิงของผมมาก ที่ละเลยไม่ดูแลมัน

ต่อจากนี้ผมคงต้องปลีกเวลามาเอาใจใส่มันให้มากขึ้นกว่าเดิมแล้ว เพราะหากว่าเดียร์ไม่อยู่กับผมจริงๆ จะได้ไม่เกิดปัญหาขึ้นกับทั้งสุนัขและบ้านที่ผมครอบครองอยู่
เจ้าหญิงกระดิกหางให้ผม แล้วเอาหน้าซุก มันครางหงิงออดอ้อนออเซาะ ตอนที่ผมพามันไปอาบน้ำ เช็ดตัว แล้วเอาอาหารให้มันกิน ดูท่าทางมันดีใจที่ผมเอาใจใส่ต่อมัน ผมลูบหัวเจ้าหญิงและพูดกับมันถึงเด็กเดียร์นั่น รู้สึกได้ว่าเสียงตัวเองสั่นๆ

“เจ้าหญิง เจ้าเด็กนั่น ได้รับอุบัติเหตุ ไม่รู้เป็นไงบ้างนะ ติดต่อไม่ได้เลย เจ้าหญิงคิดถึงเขาไหม เด็กนั่นน่ะ ถึงจะวุ่นวายและรบกวนฉันมากไปหน่อย แต่เขาก็ทำเรื่องดีๆไว้หลายอย่างนะ บางทีเขาก็น่ารักดี ฉันชอบเขาเหมือนกัน ไม่อยากให้เขาเจออะไรรุนแรงเลย หวังว่าเขาคงปลอดภัยนะ”

ผมทรุดตัวลงนั่งกับโซฟาอย่างเหนื่อยอ่อน หลังจากเอาอาหารให้เจ้าหญิงทาน และกวาดบ้านถูบ้านแล้ว สมองครุ่นคิดถึงแต่เรื่องของเดียร์
จะว่าไปแล้ว เดียร์ก็ดีต่อผมมากเสียจริง เขาทำอะไรให้ผมมากมาย แต่ผมไม่เคยตอบแทนเขาเลย คิดแล้วก็สงสารเขา นอกจากผมจะไม่เคยสำนึกในความดีที่เขาทำให้ผม ผมยังมักต่อว่าเขาแรงๆอีกด้วย
หลังจากนั่งซึมอยู่เกือบชั่วโมง นึกโมโหที่ติดต่อเขาไม่ได้ สลับกับนั่งโทษตัวเองไปร้อยแปด ความที่ครุ่นคิดกังวลอยู่กับเด็กบ้านั่น ส่งผลให้ผมทำอะไรประหลาดๆที่ไม่เคยทำ

อยู่ๆผมก็เดินไปที่ชั้นวางทีวี เอื้อมมือไปยังที่วางพวกซีดี และ ดีวีดีที่เก็บไว้ เดียร์ทิ้งหนังให้ผมดูต่างหน้า บอกว่าอยากให้ผมดูด้วยกันกับเขา แต่ผมเพิ่งได้ดูไปกับเด็กนั่นแค่เรื่องเดียวเอง

เขาบอกว่าถ้าผมดูแล้วมันจะทำให้ผมเข้าใจพวกเขาได้มากขึ้น เดียร์อยากบอกอะไรผมนะ ถ้าผมดูหนังพวกนี้ ผมจะเข้าใจความรู้สึกของเดียร์มากยิ่งขึ้นหรือเปล่า แล้วถ้าผมได้ดูแล้ว ใจของผมที่ห่วงกังวลถึงตัวเขาในตอนนี้มันจะสงบลงบ้างไหม

ผมเลือกหนังแผ่นเรื่องหนึ่งมาดู เป็นหนังจีน เดียร์เคยแนะนำว่าเรื่องนี้ เป็นหนังดีที่ผมควรดู เขาว่าตัวเขาเองก็คล้ายๆกับตัวเอกที่ชื่อหลันอี้ (หลันยู่) ในเรื่องนี้ จำได้ว่าผมหัวเราะเขาที่เอาหนังแผ่นมาสาธยายให้ผมฟัง ว่าแต่ละเรื่อง มันดียังไง บอกเรื่องย่อคร่าวๆมาเสร็จสรรพ แต่ผมก็ไม่ใส่ใจ
จนกระทั่งเวลาที่เดียร์ไม่อยู่ นึกถึงเขาขึ้นมาทีไร ผมก็ไล่เปิดหนังที่เขาทิ้งไว้ให้ดูทีละเรื่อง ตอนนี้ผมก็คิดถึงเดียร์อีกแล้ว ความกลัดกลุ้มที่ไม่สามารถจะติดต่อเขาได้ ทำให้ผมต้องหาอะไรบางอย่างมาทำเพื่อบรรเทาความรู้สึกอัดอั้นที่อยู่ภายในใจ

Lan Yu เป็นเรื่องราวของ Chen Handong นักธรุกิจหนุ่มใหญ่ที่บังเอิญไปมีเพศสัมพันธ์กับ Lan Yu เด็กหนุ่มบ้านนอก ที่เข้ามาเรียนสถาปัตยกรรม ทั้งคู่ได้พบกันในคลับแห่งหนึ่ง Lan Yu เป็นเด็กหนุ่มที่ยึดมั่นในรักแท้ ในขณะที่ Handong เป็นคนเจ้าชู้ไม่รู้จักพอ วันหนึ่งเด็กหนุ่มได้พบภาพบาดตาระหว่าง Handong กับเด็กหนุ่มอีกคน ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็มีอันต้องแยกจากกัน

Handong ได้พบกับ Lan Yu อีกครั้งเมื่อทางการยกกำลังไปกวาดล้างพวกนักศึกษาที่ประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ทั้งสองจึงกลับมาสร้างความสัมพันธ์กันใหม่อีกครั้ง เศรษฐีหนุ่มได้ซื้อบ้านหลังใหม่ไว้ให้ Lan Yu เพื่อที่ทั้งสองจะได้อยู่ด้วยกัน แต่เวลาไม่นานเขาก็ได้เจอกับผู้ร่วมงานสาวคนหนึ่งซึ่งสามารถพูดคุยกันถูกคอ จึงตัดสินใจที่จะแต่งงานกับหญิงสาวคนนั้น ทำให้ Lan Yuต้องเสียใจและต้องเป็นฝ่ายจากไป แต่ในที่สุดการแต่งงานครั้งนั้นก็ไปไม่รอด ต้องลงเอยด้วยการหย่ากัน ทำให้ เศรษฐีกับหนุ่มนักศึกษาได้กลับมาพบกันใหม่ และใช้ชีวิตคู่ร่วมกันดังเดิมอีกครั้ง

เด็กหนุ่มได้ขายบ้านที่ได้รับมาจาก Handong และนำเงินเก็บที่ตนมีอยู่ไปประกันตัวเศรษฐีหนุ่มที่ถูกจับเนื่องจากมีปัญหาเกิดขึ้นในธุรกิจ ทั้งสองก็กลับมาใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุขอีกครั้ง แต่แล้วก็เหมือนสวรรค์แกล้ง ความสุขที่กำลังก่อตัวขึ้นพังทลายลงเมื่อ Handong ได้รับโทรศัพท์แจ้งข่าวร้าย

ร่างที่นอนอย่างสงบอยู่บนเตียงของคนที่เขารักมาก ทำให้น้ำตาของ Handong ทะลัก
ทะลายออกมาอย่างไม่ขาดสาย คนที่เขารักได้จากไปแล้ว อย่างไม่มีวันกลับ พร้อมๆกับที่ตัวละครร้องไห้ น้ำตามากมายจากไหนไม่รู้ก็พรั่งพรูออกมาจากนัยน์ตาผม จนภาพที่อยู่บนจอทีวีพร่าเลือนไปหมด แต่กระนั้น หูของผมก็ได้ยินเสียงเพลงประกอบภาพยนตร์ที่ทำให้ผมปวดร้าวเข้าไปอีก

“Everyday I miss you so
But I’m lonely and you don’t know
When will my beautiful dream come true?
My darling I wish to see you
Autumn ‘s come, the wind’s blowing on my face.
I remember our past when we were in the autumn day
What are you thinking?
Why did you leave me alone?
You are the only one I love
How could you leave me in sorrow?
When I need you most
You left me silently
You are the only one I love
How could you leave me in sorrow?
I’ve been so good to you
But you’ve never been moved…”

ไม่อาจจะเรียกได้ว่าเรื่องราวของคนสองคนที่เห็นในภาพยนตร์ กับเรื่องระหว่างผมกับเดียร์จะเหมือนกันเสียทีเดียวนัก ผมอาจจะมีอะไรกับผู้หญิงมาหลายคน แต่นั่นก็เป็นไปตามการเรียกร้องจากธรรมชาติ ผมไม่ใช่คนเจ้าชู้ แล้วผมก็ไม่เคยมีอะไรกับผู้ชายมากหน้าหลายตา จะมีก็กับเดียร์เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น แต่ผมก็ยอมรับว่าชีวิตของเดียร์ก็คล้ายกับ หลันอี้ ตรงที่ เขารักผมมากมาย และทำทุกอย่างเพื่อผม ในขณะที่ผมแทบไม่เห็นค่าของเขาเลย

ผมปาดน้ำตาทิ้ง เดินไปปิดทีวี แล้วกลับมานั่งที่โซฟาใหม่ ผมร้องไห้เพื่ออะไรกันนะ คงเพราะหนังมันเศร้ากระมัง แต่ว่า มันเศร้า ที่ตัวหนัง หรือที่มันเศร้า เพราะว่าผมดันเอาชีวิตของเดียร์เข้าไปเปรียบด้วยกับหนังเรื่องนี้ ผมรู้ว่าวันหนึ่ง เราสองคนต้องเลิกร้างห่างกันไกล แต่ในใจผมก็ไม่อยากให้เราสองคนต้องจากตายแบบในหนัง อยากให้แยกจากกันด้วยความสุขทั้งสองฝ่าย มากกว่าที่จะจบลงแบบสะเทือนใจ

บ้าที่สุด ไม่น่าเชื่อเจ้าเด็กบ้านั่น แล้วหยิบหนังเรื่องนี้ขึ้นมาดูเลย ทำไมตอนจบถึงเป็นแบบนี้ไปได้นะ จะจบให้มันดีกว่านี้ไม่ได้หรือไง ผมยิ่งเครียดเข้าไปใหญ่ เพราะตอนนี้ผมไม่รู้ข่าวคราวของเดียร์เลย จะเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้างก็ไม่รู้ แล้วผมจะไปตามเขาได้ที่ไหนล่ะ ผมไม่รู้จักเพื่อนๆ หรือญาติของเดียร์เลย รู้จักแต่น้อยกับ โสภิตนภา และ สมฤทัยเท่านั้น

ผมเด้งตัวจากที่นั่งขึ้นมาอย่างอัตโนมัติ เออ จริงสิ บางทีโสภิตนภา กับ สมฤทัยอาจจะรู้ก็ได้ ถ้าผมไปถามเขา เขาจะตอบไหมนะ วันก่อน ผมไปด่าว่าพวกเขา ไม่รู้ว่าเขาโกรธผมหรือเปล่า แล้วถ้าเขาไม่พอใจ รวมหัวกันไม่บอกล่ะ บางทีเขาอาจจะไม่อยากยุ่ง เพราะผมแสดงออกให้รู้ว่าผมไม่พอใจแค่ไหน ผมควรจะไปหาพวกเขาถามในสิ่งที่กังวลใจดี หรือว่าควรจะอยู่เฉยๆ รอให้เดียร์หรือน้อยโทรมาหาเอง ถ้าผมไปแล้ว เขาเกิดไม่รู้เรื่อง หรือไม่อยู่ล่ะ แล้วผมจะทำไงดี ปวดหัวไปหมดแล้ว เจ้าเด็กบ้านี่ หาเรื่องให้ผมไม่หยุดหย่อนเลย

เมื่อรู้ตัวว่าไม่อาจจะทนอยู่เฉยๆกับบ้านได้แล้ว ผมก็แต่งตัวแล้วก็ขับรถไปที่สีลมทันที สองคนนั้นทำงานอยู่ที่บาร์ไหนสักแห่ง วันนั้นผมก็ลืมถามชื่อไป แต่เอาเถอะ ถึงจะต้องเดินหามันทั้งคืน ผมก็ต้องทำ ผมจอดรถไว้ในที่ที่เคยจอดประจำ แล้วรีบเร่งเดินออกจากซอย เพราะได้เวลาที่บาร์จะเลิกแล้ว ผมกลัวว่าจะหาใครไม่เจอ



anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่16 18/1/09
«ตอบ #128 เมื่อ18-01-2009 15:43:05 »

จังหวะที่ผมกำลังจะเดินเข้าไปในซอยสอง ผมก็ปะทะเข้ากับใครคนหนึ่งพอดี ด้วยความที่มัวแต่ก้มหน้าก้มตาเดิน ไม่มองหน้าใคร เลยไม่ทันเห็นว่าเขาเดินสวนมา ผมเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นใบหน้าของคนที่คุ้นเคย เราต่างคนต่างตกใจที่ได้เจอกันในสถานที่ อโคจรแบบนี้
พี่สมชายเดินออกมาจากซอยสอง ในขณะที่ผมกำลังเดินเข้าไปพอดี เขายิ้มเจื่อนๆให้ผม แบบเดียวกับที่ผมยิ้มให้เขา เราต่างคนต่างอึ้ง มองหน้ากันไปมา รอให้อีกฝ่ายพูดขึ้นก่อน เมื่อไม่มีใครพูด ผมก็เลยเป็นฝ่ายเริ่ม

“มาเที่ยวหรือครับพี่สมชาย”

เพื่อนบ้านของผมหน้าแดงก่ำ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอาย หรือ ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ที่เขาดื่มเข้าไปกันแน่ ถ้าเป็นอย่างแรก ผมก็เข้าใจความรู้สึกของเขา เพราะผมเองก็อายเหมือนกัน

การที่เราต้องมาเจอคนรู้จักในสถานที่ซึ่งผู้ชายทั่วไปไม่มาเที่ยวกัน ทำให้เกิดความรู้สึกประดักประเดิดบอกไม่ถูก ด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะเข้าใจผิดว่าเราเป็นพวกเดียวกับคนที่มาเที่ยว ผมน่ะแน่ใจตัวเองว่าไม่ใช่แน่ แต่ก็ยังแอบสงสัยอยู่ว่า พี่สมชายจะเป็นแบบเดียวกับผม หรือ เป็นคนละพวกกับผม

“เอ้อ พอดี วันนี้ มากับเพื่อนน่ะ เขาอยากให้เปิดหูเปิดตา รับรู้ความเป็นไปของโลกบ้าง ว่ามีอะไรเกิดขึ้น นี่ก็กำลังจะกลับล่ะ เป็นห่วงบ้านอ่ะ แฟนอยู่คนเดียว”

พี่สมชายตอบเร็วปรื๋อ แต่ให้ตายสิ ฟังดูน้ำเสียงก็รู้ว่าเขากำลังแก้ตัวอยู่ คงกลัวว่าผมจะเข้าใจว่าเขาเป็นเกย์กระมัง แต่ช่างเถอะ ถึงจะสงสัย มันก็ไม่ใช่เรื่องอะไรของผม ปัญหาของตัวเองก็มีมากพออยู่แล้ว ไม่อยากรับรู้เรื่องของใครให้ปวดหัว

“อื้อ หรือครับ นี่ผมก็กำลังจะเข้าไปหาเพื่อนพอดี เจ้าสันต์นะครับ พี่สมชายคงเคยเห็นมั๊ง เขาชอบมาเที่ยวที่นี่”

ผมเองก็โกหกเหมือนกัน รู้สึกรับไม่ได้ ถ้าคนอื่นจะมารู้วัตถุประสงค์ที่แท้จริงในการเข้าไปในบาร์ที่มีแต่เกย์พรึ่บพรั่บไปหมด เราต่างยิ้มให้กันแบบคนที่เข้าใจกันดี ไม่ต้องพูดอะไร ก็รับรู้ได้ถึงสิ่งเราสองคนซ่อนเร้นไม่ให้อีกฝ่ายหนึ่งรู้
พี่สมชายผงกศีรษะให้ผม จากนั้นก็ขอตัวเพื่อจะกลับบ้าน จากนั้นเขาก็เดินจากไปในขณะที่ผมยืนมองเขาตรงปากซอยสอง จนกระทั่งเห็นเขาเดินลับตาไปแล้ว ผมจึงเดินเข้าไปข้างในบ้าง

โสภิตนภา และ สมฤทัย ไม่อยู่ตรงด้านหน้าบาร์อย่างที่เขาบอก ผมเดินเข้าไปข้างใน ด้อมๆมองๆหาสองคนนั่น มีคนเดินผ่านไปผ่านมามากมาย บางคนก็จ้องผม บ้างก็เดินเฉียดกรายมาใกล้ ส่งยิ้มเชิญชวน

ผู้ชายบางคนก็จงใจเดินมากระแซะผม แต่ผมก็เดินหลบ พยายามที่จะไม่มองพวกเขาเหล่านั้น ไม่ใช่ว่าหยิ่ง แต่ผมไม่ได้มีจุดประสงค์ในการมาหาแฟนที่นี่ ผมมาตามหาคนที่น่าจะรู้เบาะแสของเดียร์เท่านั้น
ผู้คนทยอยออกมาจากบาร์เรื่อยๆ เพราะบาร์ปิดแล้ว ผมยืนหลบมุมอยู่ในเงามืด คอยสังเกตคนที่เดินออกมา แต่ถึงแม้จะพยายามชะเง้อชะแง้อย่างไร ผมก็ไม่เห็นเงาของสองคนนั้น

ยืนรออยู่ประมาณเกือบชั่วโมง จนกระทั่งคนเริ่มบางตา โสภิตนภา และ สมฤทัยก็ไม่โผล่ออกมาให้เห็น จนผมเริ่มท้อใจ คิดว่าวันนี้ ผมคงไม่ได้เจอสองคนนั่นแล้ว โง่จริงที่รีบผลุนผลันออกมา โดยลืมไปว่า

ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสองคนนั่นเลย ทำงานที่บาร์ไหน เข้างานกี่โมง วันนี้เป็นวันหยุดของเขาหรือเปล่า ผมก็ไม่ได้เช็คให้ละเอียด อารามรีบร้อนเพราะ อยากรู้เรื่องของเดียร์ทำให้ผมรีบออกจากบ้าน
ในขณะที่ผมเดินคอตกกลับออกมา ผมก็ต้องพบกับความแปลกใจซ้ำสอง เมื่อในกลุ่มคนที่ยืนออกันอยู่ตรงหน้าซอยมีคนที่ผมรู้จักยืนอยู่ด้วย
แคทลียา สาวสวยหลานประธานบริษัท กำลังถูกหิ้วปีกโดยผู้ชายสองคน คนหนึ่งร่างเตี้ย อีกคนร่างสูงใหญ่ หน้าตาโหดเหี้ยม ผมปราดเข้าไปหาทันที

โสภิตนภา และสมฤทัยพากันถอยกรูดเมื่อเห็นผมเดินทำหน้าเคร่งเครียดเข้าไปหา แต่ผมเดินไปขวางทางพวกนั้นแล้วดึงแคทลียาที่มีทีท่ามึนเมาเข้ามาหาตัว แต่ชายร่างใหญ่รั้งเอาไว้ เราจึงยืนยื้อกันอยุ่อย่างนั้น ผมถามเขาด้วยเสียงห้วนๆ รู้สึกไม่ไว้ใจพวกเขาสักเท่าไหร่

“จะพาผู้หญิงคนนี้ไปไหน”

“จะพาเธอไปเรียกแท็กซี่ แต่เธอเมามากไปไม่ไหว พูดอะไร ถามอะไรก็ไม่รู้เรื่อง เลยจะพาไปนั่งในร้านกาแฟนะครับ เผื่อว่าเธอจะหายเมา ”

ชายร่างใหญ่ ประคองคุณแคทลียาไว้ในวงแขน แล้วพาออกเดิน ความห่วงใยในตัวของเพื่อนร่วมงานสาว ทำให้ผมทนนิ่งเฉยให้เธอไปกับสองคนนี้ตามลำพังไม่ได้ ต้องยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

“เธอมาคนเดียวเหรอ หรือมากับเพื่อน”

“เห็นมากับผู้ชายคนหนึ่ง ท่าทางเป็นคู่รักกัน ตอนแรกเธอก็ไม่ได้เมามากขนาดนี้หรอกครับ แต่ก่อน สงสัยจะทะเลาะกัน ฝ่ายผู้ชายเลยผลุนผลันออกไป คุณคนนี้ ก็เลยดื่มเสียหนักเลย

ร้านเลิก เรากำลังจะกลับ เห็นเธอฟุบอยู่ แต่ไม่มีใครสนใจ เพราะนี่มันบาร์เกย์ หนุ่มๆทั้งหลายเขาพากันควงคู่ออกไปต่อกันที่อื่น หรือไม่ก็กลับบ้านกัน ไม่มีใครสนชะนีที่ถึงแม้จะสวยและเซ็กซี่ขนาดนี้หรอกครับ

พวกเราเห็นเธอถูกทอดทิ้งอยู่คนเดียว ก็เลยเข้าไปถามไถ่ แต่ก็อย่างที่เห็นเธอเมามายไม่ได้สติ ไม่รู้นึกไง มาเมาเหล้าอยู่ในบาร์เกย์แบบนี้ ถามอะไรก็ไม่รู้เรื่อง แฟนเธอก็ไม่รู้อยุ่ไหน เลยจะพาขึ้นแท็กซี่กลับบ้านกันนะครับ”

“อ้าว เป็นแฟนกันแล้วทำไมมาทิ้งกันแบบนี้ล่ะ ใช้ได้ที่ไหนกัน ....เอ้อ ....ไม่เป็นไร ส่งตัวมาให้ผมเถอะ ผมรู้จักผู้หญิงคนนี้ ผมจะพาไปส่งเอง”

บอกไปงั้นเอง ไม่รู้หรอกว่าบ้านเธออยู่ที่ไหน แต่ที่รับอาสาพาเธอกลับบ้าน ดีกว่าปล่อยให้เธอมาหมดสติในสถานที่แบบนี้
นึกหาเหตุผลว่า ทำไมคนที่เป็นแฟนกันจึงปล่อยคนรักของตัวไว้เพียงลำพัง แล้วให้คนแปลกหน้าพาไปส่งถึงรถแท็กซี่ สองคนนี้ถึงจะเป็นเกย์ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ทำอะไรกับผู้หญิงนี่

โดยเฉพาะในขณะที่เธอกำลังเมามายไม่ได้สติ แค่ยืนก็จะไม่ไหวอยู่แล้ว หรือถ้าเขาสองคนเป็นคนดี แต่แท็กซี่ล่ะ จะไว้ใจได้ไง
ผมเคยเห็นเธอขับรถมาเที่ยวแถวนี้ครั้งหนึ่ง แต่ในสภาพที่เมาแประแบบนี้ คงขับรถไม่ได้ ผมอาจจะพาเธอไปที่บ้านผมก่อน รอจนกว่าจะฟื้นแล้วค่อยส่งเธอกลับบ้าน รถคงทิ้งไว้แถวนี้ก่อน เพราะผมคงไม่มีปัญญามาเดินตามหารถของเธอ โดยทิ้งเธอไว้ในรถผมหรอก มันอันตรายเกินไป

“เหรอครับ งั้นก็ดีสิ พวกผมสองคนจะได้กลับบ้านกันเสียที ฝากด้วยนะครับ”

สมฤทัยชายหน้าเหี้ยมส่งตัวคุณแคทลียาซึ่งยังคงไม่ได้สติมาให้ผม แล้วทำท่าจะเดินจากไปทว่าต้องหยุดชะงัก เมื่อผมเรียกเขาด้วยเสียงอันดัง

“เดี๋ยวสิ เดินไปด้วยกันที่รถผมหน่อยได้ไหม ผมมีบางอย่างจะถามพวกคุณ”

“มีอะไรเหรอ.....”
โสภิตนภาถามผมด้วยความสงสัย ผมยังไม่ตอบ แต่ประคองคุณแคทลียาเดินออกไปจากตรงนั้น สมฤทัยเห็นท่าทางเก้ๆกังๆของผม ก็เลยอาสาแบกสาวสวยขึ้นหลัง และเดินตามผมไปยังที่จอดรถ

ระหว่างทางผมถามพวกเขาว่า เดียร์ได้ติดต่อมาบ้างไหม สองคนนั่นมองหน้ากัน และสั่นหน้าปฏิเสธ ทำให้ผมผิดหวังมาก ไม่รู้ว่าอากัปกริยาแบบนั้นของพวกเขามันแปลว่า พวกเขาไม่ได้รับการติดต่อจากเดียร์ หรือ ไม่อยากพูดคุยกับผมด้วยเรื่องของเดียร์กันแน่

พอผมถามเขาสองคนเกี่ยวกับเรื่องอุบัติเหตุของเดียร์ว่าพวกเขาทราบกันไหม พวกนั้นกลับทำหน้าตกใจได้อย่างแนบเนียนมาก

พวกเขาทำเหมือนไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน จนผมเองก็ไม่แน่ใจว่า คนพวกนี้ กำลังเล่นมุขอะไรกับผมอยู่ พวกเขาไม่รู้เรื่องของเดียร์จริงๆ หรือว่าแกล้งทำเป็นไม่รู้กันนะ โกรธที่ผมต่อว่าพวกเขาเมื่อคราวก่อนหรือเปล่า

ผมซักไซ้อีกสองสามคำถาม ก็รู้แน่แล้วว่า สองคนนี้ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอุบัติเหตุของเดียร์เลย เดียร์ไม่ได้ติดต่อกับพวกเขา แล้วก็ไม่มีใครสามารถติดต่อได้ ผมถามถึงน้อย เพราะน้อยเป็นคนโทรมาหาผม

พวกเขาก็บอกว่า เมื่อสองสามวันก่อน เห็นโทรมาหาพวกเขาถามไถ่เกี่ยวกับเรื่องเดียร์ว่ามีอะไรที่ทำให้ไม่สบายใจหรือเปล่า เพราะเดียร์โทรไปหาน้อย ท่าทางมีเรื่องกลัดกลุ้ม แต่ไม่ยอมบอกน้อยว่าเรื่องอะไร

น้อยคิดว่า สมฤทัยกับโสภิตนภาน่าจะรู้ดีว่า อะไรคือสิ่งที่เดียร์กังวล เพราะสองคนนี้ เช่าบ้านอยุ่ร่วมกันกับเดียร์น่าจะรู้อะไรดีๆ แต่ทั้งสองปฏิเสธ บอกว่า ตั้งแต่เดียร์ออกไปทัวร์คอนเสิร์ตกับนักร้องสาวชื่อดัง ก็แทบจะไม่ได้เจอกันเลย นั่นคือครั้งสุดท้ายที่ได้คุยกับน้อย

จากหน้าตา และคำพูดซื่อๆ ของพวกเขา ทำให้ผมรู้ว่า เขาไม่ได้โกหกผม เดียร์กับน้อยคงไม่ได้บอกเรื่องการเกิดอุบัติเหตุให้สองคนนี่รับรู้ หรือไม่อีกทีอุบัติเหตุก็ไม่ได้เกิดขึ้นตั้งแต่แรก น้อยกับเดียร์แค่สมคบคิดกันเพื่อหลอกลวงผมเท่านั้น

แม้จะลังเลไม่แน่ใจ ผมก็เชื่อไว้ก่อนว่าเกิดเหตุขึ้นจริง คงไม่มีใครกล้าแช่งตัวเองโดยการกุเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อให้คนสงสาร เพราะนอกจากมันจะไม่ได้ผล ผมยังจะเกลียดเขาไปจนวันตาย เดียร์น่าจะรู้ข้อมูลนี้ดี เขาคงไม่ทำแบบนี้กับผมหรอก

ฟังคำตอบที่ทำให้ผมรู้สึกว่าไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันไปแล้วก็ให้รู้สึกเซ็งขึ้นมา นี่ผมอุตส่าห์ออกจากบ้าน มาที่บาร์เกย์ตามลำพัง เสี่ยงต่อการถูกแทะโลมลวนลามทั้งคำพูดและสายตา

รีบร้อนจนกระทั่งไม่ได้ระวังว่าจะเจอคนรู้จัก สิ่งเหล่านี้กลับไม่มีประโยชน์อะไรทั้งสิ้น โสภิตนภา และสมฤทัย ไม่รู้อะไรเลยแม้แต่น้อย

ผมขอเบอร์โทรศัพท์ของน้อยจากคนเหล่านั้น เขาก็ดันจำไม่ได้ เลยตัดสินใจให้เบอร์ผมกับพวกเขาแล้วบอกว่าหากมีข่าวเกี่ยวกับตัวเดียร์ให้โทรแจ้งผมด้วย
หลังจากที่พยายามปลุกคุณแคทลียาหลายครั้ง เธอก็ไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมา ผมเลยตัดสินใจพาเธอกลับมาที่บ้าน เพราะไม่รู้ว่าจะพาเธอไปส่งที่ไหนดี

จะโทรไปที่บ้านของนายทรงพล เพื่อถามทางไปบ้านของคุณแคทลียา ก็กลัวว่าจะเป็นที่เอิกเกริก เดี๋ยวคุณแคทลียาจะเสียหาย แล้วไม่รู้ว่าเธอแอบออกมาเที่ยวโดยไม่บอกกล่าวหรือเปล่า

แต่โตเป็นผู้ใหญ่ขนาดนี้ จะทำอะไรก็คงไม่มีใครว่ากระมัง ยิ่งเคยร่ำเรียนเมืองนอกเมืองนามาก่อน แถมเป็นลูกครึ่งฝรั่ง อาจจะเคยชินกับธรรมเนียมปฏิบัติสมัยอยุ่เมืองนอกก็ได้

หลังจากคิดไปคิดมาหลายตลบ ผมก็เลยคิดว่า บ้านของผมน่าจะเหมาะสำหรับให้เธอได้พัก ก่อนจะฟื้นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น สภาพอย่างนี้ ไม่รู้ไปทำงานได้หรือเปล่า แต่คงไม่เป็นไร เพราะผมก็เหมือนเป็นหัวหน้าของเธอกลายๆ

ตำแหน่งเราต่างกันเพียงแค่ระดับเดียว แล้วเราก็ทำงานร่วมกันเหมือนเพื่อนร่วมงานคนหนึ่ง มากกว่าเจ้านายกับลูกน้อง ในเมื่อผมเห็นเธอเป็นอย่างนี้ ผมจะบังคับเธอให้ไปทำงานทั้งๆที่ไม่พร้อมได้ยังไง

ผมประคองร่างโงนเงนไม่ได้สติของเธอไปนอนในห้องนอนของตัวเองเนื่องจากห้องพักรับรองแขกของผมกลายเป็นห้องเก็บของไปแล้ว จากนั้นหอบหมอนกับผ้าห่มที่เคยให้เดียร์ใช้ ลงไปนอนที่โซฟาข้างล่างแทน รู้สึกเหนื่อยอ่อนกับเรื่องต่างๆที่ได้เผชิญมาในวันนี้
ปรารถนาที่จะหลับเพื่อที่จะได้ไม่ต้องคิดถึงสิ่งที่ทำให้เป็นกังวล แต่ผมก็สลัดเรื่องของเดียร์ออกไปจากใจได้ไม่หมด เมื่อล้มตัวลงนอนบนโซฟา นอนบนหมอนที่เคยให้เดียร์หนุน และผ้าห่มที่เด็กนั่นใช้คลุมกายกันหนาว

อุปาทานหรือเปล่าไม่รู้ ผมคิดว่า ผมได้กลิ่นกายของเดียร์แทรกอยู่ในทุกอณูของเส้นใยเนื้อผ้า เป็นกลิ่นหนุ่มที่เร้ารึงใจจนเผลอที่จะสูดเข้าปอดไม่ได้

คืนนั้นผมสามารถหลับได้จริงๆ แต่หลับไปโดยที่มีเดียร์ติดตามผมไปในความฝันด้วย ผมฝันว่าเดียร์เกิดอุบัติเหตุร้ายแรง เลือดท่วมตัว และกำลังยืนหน้าเศร้ามองผมซึ่งกำลังตกตะลึงกับภาพตรงหน้า

ในฝัน ผมวิ่งไล่ตามเดียร์ แต่เขาก็หนีห่างผมไปเรื่อยๆ ผมตะโกนก้องแทบขาดใจ เพื่ออ้อนวอนขอให้เดียร์อยู่กับผม อย่าไปไหน แต่เดียร์กลับหายไปต่อหน้าต่อตา ในฝัน ผมเห็นตัวเองหลั่งน้ำตาด้วยความเสียใจ แต่ไม่ว่าจะร้องจนน้ำตาเป็นสายเลือดแค่ไหน เดียร์ก็ไม่กลับมาหาผมอีกแล้ว

เช้าวันรุ่งขึ้น ผมตื่นนอนขึ้นมา พร้อมกับอาการปวดหัวตุ๊บๆ ไม่รู้ว่าเกิดจากการนอนไม่พอ หรือ เพราะปัญหาที่ทำให้ผมต้องคิดหนัก
ผมไม่อาจจะทนนอนต่อไปได้อีก จึงเก็บผ้าห่มและหมอน เดินขึ้นไปบนห้อง เคาะประตูเสียงดัง เพื่อเป็นการเตือนคนข้างในให้รู้ตัว ว่าผมกำลังจะเข้าไป ถึงแม้จะเป็นห้องนอนของตนเอง แต่ตอนนี้ มีคนอื่นมาใช้อยู่ เป็นผู้หญิงเสียด้วย ผมจึงไม่อยากละลาบละล้วง ตอนนี้ เธออาจจะอยู่ในสภาพไม่พร้อมที่จะให้ใครเห็นก็ได้

มีเสียงตอบรับจากข้างใน แสดงว่าคุณแคทลียาตื่นแล้ว ผมเปิดประตูเข้าไป ก็เห็นเพื่อนร่วมงานของผม ในชุดเสื้อผ้าชุดเดิม ยืนอยู่ตรงริมหน้าต่าง ตามองออกไปข้างนอก ตรงทิศทางที่เป็นบ้านตรงข้าม หน้าของเธอซีดเผือด แม้เนื้อตัวจะสะอาดสะอ้าน ผมเผ้าการแต่งเนื้อแต่งตัวเรียบร้อย แต่ท่าทางของเธอยังดูอิดโรย คล้ายสติยังไม่ฟื้นคืนจากการเมาเหล้าเมื่อวาน


b_hihi

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่16 18/1/09
«ตอบ #129 เมื่อ18-01-2009 20:20:01 »

รีบมาต่อเลยห้ามค้าง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่16 18/1/09
« ตอบ #129 เมื่อ: 18-01-2009 20:20:01 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






va_yu

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่16 18/1/09
«ตอบ #130 เมื่อ18-01-2009 20:34:35 »

ขอบคุณค่ะ ยาวได้ใจมาก  :L2:

ออฟไลน์ โน๊อา

  • อยู่เป็นคู่ เช่น ฉันคู่เธอ
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1419
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-1
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่16 18/1/09
«ตอบ #131 เมื่อ19-01-2009 12:10:43 »

มา กระดี๊ กระด๊า อ่ะ   :o8:

fayossy

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่16 18/1/09
«ตอบ #132 เมื่อ19-01-2009 17:07:46 »

ตกลงเดียร์เป็นไรป่าวเนี่ย
โอ๊ย!!!! ลุ้นๆ

รอตอนต่อไปอยู่นะคะ

anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่17 19/1/09
«ตอบ #133 เมื่อ19-01-2009 21:26:13 »

บทที่ 17


เธอถามผมโดยไม่หันมามองหน้าว่า ผมเป็นคนพาเธอมาที่นี่เหรอ พอผมบอกว่าใช่ เธอก็หมุนตัวกลับมา นัยน์ตาแดงก่ำเหมือนคนที่ผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก

ผมงุนงงกับภาพที่ได้เห็น ไม่เข้าใจว่าทำไมคุณแคทลียาจึงต้องร้องไห้ด้วย หรือว่าเธอยังคงเศร้าอยู่กับเรื่องเมื่อคืน จริงสินะ เห็นสองคนนั่นบอกว่าเธอทะเลาะกันแฟน แต่นั่นมันเป็นเรื่องของเธอไม่ใช่เรื่องผม หากเธอไม่อยากเล่า ผมจะไปถามเธอทำไม
คุณแคทลียากล่าวขอบคุณผมเสียงเบาที่ผมเป็นธุระพาเธอมา เมื่อคืนนี้เธอเมามากไปหน่อย มีปัญหาบางอย่างที่ทำให้เครียดหนัก ผมพยักหน้าอย่างเข้าใจ แล้วอนุญาตให้เธอลาพักได้ 1 วัน

เธอกล่าวขอบคุณผมอีกครั้ง แต่เธอยืนยันกับผมว่า เธอสามารถไปทำงานได้ เพียงแต่ขอเข้าสายหน่อย เพราะต้องกลับบ้าน เธอไม่อยากให้เรื่องส่วนตัวมาทำให้งานเสีย

เห็นเธอพูดแข็งขันแบบนั้นว่าตัวเองไม่เป็นไร ผมเลยไม่ขัด ได้แต่บอกกับเธอไปว่า ผมจะไปส่งเธอที่บ้าน ก่อนไปทำงาน แล้วก็ขอใช้ห้องเพื่ออาบน้ำแต่งตัว

สาวสวยหลานประธานบริษัท ทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ ขอโทษ ขอโพยผมที่มายึดห้อง จากนั้นเธอก็ลงไปรอข้างล่าง
เสร็จธุระจากการส่งคุณแคทลียาที่บ้านพักแล้ว ผมก็ขับรถมาทำงาน ช่วงเวลาเช้าของผมผ่านไปอย่างวุ่นวายพอควร เพราะมีงานเข้ามาให้ต้องพิจารณาเป็นระยะ กว่าจะได้โงหัวขึ้นจากโต๊ะก็เกือบเที่ยง

วันนี้ ผมแว่บไปทานข้าวที่ร้านป้าเพียงลำพัง โดยไม่ได้ชวนเจ้าสันต์ เพราะเจตนาจะสอบถามคนในร้านเกี่ยวกับเรื่องของเดียร์ เผื่อว่า จะมีคนทราบบ้าง แต่ผมก็ต้องพบกับความผิดหวัง เพราะไม่มีใครรู้เลย

เด็กเสิร์ฟซึ่งเป็นเพื่อนร่วมงานของเดียร์รับรู้เพียงแค่ ผู้ช่วยพ่อครัวของร้าน ลางานไปทำธุระสามอาทิตย์ ไม่มีใครได้รับการติดต่อใดๆจากเขา แม้กระทั่งคุณป้าเจ้าของร้าน ซึ่งวันนี้ ลงมาทำอาหารด้วยตนเอง เพราะเดียร์ไม่อยู่ ทำให้คนทำครัวไม่พอ
อาหารมื้อนั้น ผมกินแทบไม่ลง เนื่องจากฝีมือคนปรุงที่ต่างออกไป ไม่คุ้นลิ้น จริงอยู่ ผมทานอาหารโดยฝีมือใครทำก็ได้ เพราะถึงไม่มาร้านนี้ ผมก็ไปร้านอื่น แต่เมื่อมาที่นี่ทีไร คนที่ลงมือทำอาหารให้ผมทุกครั้ง ก็คือ เด็กที่หายไปโดยไม่ทราบข่าวคราวคนนั้น

เขาจะแถมอาหารจานพิเศษมาให้ผม แถมซ้ำกับข้าวก็ให้มากกว่าใครๆ รสชาติก็แสนอร่อย จากที่ไม่ชอบ ผมก็เริ่มเคยตัวแล้วกับการเอาอกเอาใจจากเขา พอมันกลับคืนสู่สภาพเดิม ผมก็เลยรู้สึกแปลกทั้งที่ไม่ควรจะรู้สึกอย่างนั้นเลยแม้แต่น้อย
คุณแคทลียามาเข้างานตอนบ่าย เธอแต่งตัวเรียบร้อยสวยงามเหมือนเดิม ไม่มีคราบเมรีขี้เมาให้เห็น มาถึงก็ก้มหน้าก้มตาทำงาน ไม่พูดไม่จากับใคร

จนกระทั่งตกเย็น ทุกคนกลับบ้านไปหมดแล้ว เหลือแค่เธอกับผมสองคนที่ยังนั่งทำงาน อยู่ๆคุณแคทลียาก็เดินเข้ามาในห้องของผม บอกมีบางอย่างที่จะขอพูดคุย พอผมอนุญาต เธอก็เปิดฉากเจรจา เล่นเอาผมอ้าปากค้างเพราะคาดไม่ถึง
เธอขอให้ผมเป็นแฟนกับเธอ ท่าทางเอาจริงเอาจังมาก ผมหงายหน้าหัวเราะ คิดว่าเธอเล่นตลกยามเย็น แต่สีหน้าและแววตาที่เธอแสดงออก มันบอกให้รู้ว่าเธอไม่ได้กำลังมาอำผม เธออยากให้เป็นเช่นที่พูดจริงๆ ผมหยุดหัวเราะ แล้วถามถึงเหตุผลว่าทำไมเธอจึงมาขอผมแบบนี้
คุณแคทลียา ยิ้มเครียดๆแล้วบอกว่า เธอมีเหตุผลบางอย่างที่พูดให้ผมฟังไม่ได้ แต่นี่เป็นการขอร้องของเธอ เธออยากให้ผมแสดงตัวเป็นแฟนกับเธอ คิดเสียว่าเป็นการช่วยเหลือกัน

แล้วอีกอย่าง เธอก็รับรู้มาว่า ผม สันต์ และศักดิ์ชาย ก็เที่ยวเอาไปโพนทะนาว่าเธอกับผมเป็นแฟนกัน อย่างน้อยเมื่อเรื่องนี้มันออกไป เธอก็ได้รับความเสียหาย เพราะคนส่วนใหญ่ก็เชื่อตามนั้น

ผมรู้สึกตกใจที่ได้ยินคำพูดนั้นจากปากเธอ ถามว่าเธอรู้มาได้ไง เธอก็บอกว่า นายทรงพลไปเล่าให้พ่อแม่ของเธอฟังว่าเธอมีแฟนอยู่แล้วในที่ทำงาน

ไม่ใช่แค่พ่อแม่เท่านั้น แต่รวมถึงลุงของเธอที่ประธานบริษัทด้วย แล้วทั้งหมดก็มาคะยั้นคะยอ ถามว่าจริงหรือไม่ ซึ่งเธอก็ได้บ่ายเบี่ยงไป แล้วคิดจะมาถามผมให้รู้เรื่อง แต่ตอนนี้ เธอเปลี่ยนใจที่จะไม่ถาม และไม่ปฏิเสธเรื่องเหล่านั้น เธออยากให้ผมแสดงตัวเป็นแฟนกับเธอจริงๆ
เรื่องที่เธอเล่า ทำให้ผมรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง นายทรงพล นำเรื่องที่เราโกหกกันในวันนั้น ไปขยายจนเป็นเรื่องใหญ่จนได้ แล้วผมจะทำอย่างไรดี

อันที่จริง ผมไม่ได้เป็นคนพูดเสียด้วยซ้ำ ไอ้เพื่อนตัวดีมันกุขึ้นมา นึกโกรธมันนักที่ทำให้ผมประสบความยุ่งยากซ้ำสองอีกแล้ว ครั้นจะกล่าวโทษมันทั้งหมด แล้วลากตัวมันให้มารับผิดชอบคำพูดพล่อยๆของมัน ผมก็ทำได้ไม่ถนัด เพราะวันนั้น เจ้าสันต์มันก็ทำเพื่อช่วยผมให้รอดพ้นจากการถูกแทะโลมของตาเฒ่าเจ้าเล่ห์นั่น

ใครเลยจะรู้ว่านายทรงพลรู้จักกับครอบครัวของคุณแคทลียาเป็นอย่างดี จะพูดความจริงไปก็ไม่ได้ เพราะมีผลต่อหน้าที่การงานอย่างแน่นอน แต่จะรับปากเลยก็ใช่ที เพราะผมไม่ได้มีจิตพิศวาสในตัวของคุณแคทลียาแม้แต่น้อย
เห็นเธอเป็นแค่เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งเท่านั้น เรื่องวุ่นๆของตัวเองก็ยังไม่จบ สัญญาเป็นแฟนกับเดียร์ก็ยังคาราคาซัง เหลืออีกตั้งหลายเดือนกว่าที่จะเลิกร้างกันไป

ตอนนี้เด็กนั่นเป็นตายร้ายดียังไง ผมก็ไม่อาจจะรู้ได้ นี่ยังต้องมาแก้ปัญหาเรื่องการโกหกของผมและเพื่อนอีก ไม่ได้พูด ก็เหมือนว่าพูด เพราะผมนิ่งเฉย จนทำให้นายทรงพลเข้าใจไปแบบนั้น แล้วเอาไปขยายจนคุณแคทลียา และครอบครัวของเธอรู้อีกด้วย แถมซ้ำนายใหญ่ประธานบริษัท ก็ดันรู้เรื่องไปด้วย หากผมไม่คิดหาหนทางจัดการให้รอบคอบ มีหวังถูกเด้งออกจากงานกันเป็นแถว

หลังจากขอร้องแกมบังคับผมให้รับปากเป็นแฟนกับเธอ โดยไม่บอกเหตุผลให้แน่ชัด เธอก็ขอตัวกลับ โดยบอกว่าให้ผมไปคิดก่อนก็ได้
เธอไม่เร่งรัดเอาคำตอบตอนนี้ แต่ถึงอย่างไร ผมก็ควรจะให้คำตอบกับเธอภายในอาทิตย์นี้ ก่อนที่เรื่องราวมันจะเข้าหูคนไปกันใหญ่ ผมพยักหน้าให้กับคุณแคทลียา แล้วก็นั่งทำหน้าเซ็งๆอยู่ที่โต๊ะ รู้สึกเหมือนถูกแบล็คเมล์อีกครั้ง

ไอ้ตัวการต้องรับผิดชอบ ผมนึกถึงเจ้าสันต์ขึ้นมาทันที มันเป็นคนก่อเรื่อง ดังนั้นมันต้องมาแก้ ผมรีบหมุนโทรศัพท์หามันทันที โชคดีที่มันยังไม่กลับบ้าน ผมเลยเชิญให้ไอ้คนเจ้าคิดย้ายก้นมาหาผมที่ห้องทันทีทันใด
ไม่ถึง 10 นาที เจ้าสันต์ก็ทำหน้ายุ่งๆเดินเข้าห้องผมมา มันอ้าปากจะด่าผมตามสไตล์แต่ผมไวกว่า ผมต่อว่ามันที่หวังดีจนผมต้องมารับเคราะห์
ตอนแรกมันงงงัน ที่อยู่ๆผมก็เปิดฉากด่ามันก่อน แล้วก็แปรเปลี่ยนเป็นหัวร่องอหาย เมื่อผมเล่าเรื่องทั้งหมดให้มันฟังจนจบ
ไม่สิ ผมกั๊กเรื่องที่ผมไปเจอคุณแคทลียาแถวบาร์เกย์เอาไว้ ไม่เล่าให้มันฟัง ไอ้นี่มันเป็นมนุษย์เจ้าปัญหา ลองให้มันได้รู้ว่าผมไปเผ่นผ่านแถวบาร์เกย์ ตอนตีหนึ่งตีสอง ไม่ยอมหลับยอมนอน มันต้องซักไซ้ไล่เลียงผมดุจทนายซักจำเลยเป็นแน่

“ดีแล้วไง คุณแคทไม่ดีตรงไหนวะ รูปสวย รวยทรัพย์ สติปัญญาดี เชื่อฉันเถอะ แกชอบเขา แกก็จะสบายไปทั้งชาติ”

ฟังคำพูดของเพื่อนรัก แล้วอยากจะเตะก้นมันสักป๊าบ ไอ้นี่มันคิดว่าผมเป็นคนประเภทไหนกัน ผมไม่ใช่พวกสิ้นคิดรักความสบาย จนขายศักดิ์ศรีของตัวเองอย่างนั้นหรอก

“ไอ้บ้า ฉันไม่ใช่คนที่หวังรวยทางลัดนะโว้ย อีกอย่างฉันไม่ได้ชอบคุณแคทด้วย ฉันรู้ว่าเขาดีเพียบพร้อมทุกอย่าง แต่เราไม่จำเป็นต้องชอบคนดีที่คนที่เข้ามาในชีวิตนี่ สมัยก่อนฉันจำได้ว่า มีผู้หญิงในออฟฟิศเรา ซึ่งทั้งสวย และแสนดี มาชอบแก แต่ทำไมไม่เห็นแกไปชอบเขาเล่า พอตาฉันจะมาบังคับกันได้ไง”

ผมโวยวายใส่มันอย่างนึกฉุน

“โอ๊ย ไอ้บ้านี่ ฉันกับแกมันเหมือนกันที่ไหนวะ ฉันเป็นเกย์ แค่ผู้หญิงเข้าใกล้ ก็ขนลุกตายห่ะ แล้ว แต่แกมันผู้ชาย ชอบผู้หญิงที่สวยแบบนี้ ก็ไม่เห็นจะน่าเสียหายตรงไหน
คนไม่ชอบสิ น่าแปลก บางทีฉันยังแอบสงสัยเลยว่าแกเป็นแบบฉันหรือเปล่าวะ แต่พอเห็นว่าแกยังไม่เลิกรักยัยอรจิรานั่น ฉันก็คิดว่าแกคงไม่ใช่ บางทีแกอาจจะไม่ชอบผู้หญิงดีๆ อาจจะชอบคนที่ร้ายกาจเห็นแก่ตัว อย่างยัยอรนั่นก็ได้”

เจ้าสันต์พูดประชดผมเห็นๆ ไอ้เพื่อนบ้า มันน่าเตะก้นนัก มันก็รู้ว่าผมเลิกคิดถึงอรจิราไปนานแล้ว เพียงแต่เวลาเจอหน้ากันผมไม่รู้จะพูดอะไรกับเธอต่างหาก เพราะอรจิราระวังตัวเหลือเกิน จนแม้กระทั่งคำว่าเพื่อน เธอก็ให้ผมไม่ได้
ผมจึงพยายามหลีกเลี่ยงที่จะเจออรจิราทุกครั้ง เพราะไม่สนิทใจที่จะพูดคุยกับเธออีก แต่คนทำงานอยู่บริษัทเดียวกัน ถึงยังไงก็ต้องเจอวันยังค่ำ เจ้าสันต์รู้ดี แต่มันก็ยังแหย่ผม

ผมไม่โต้ตอบมัน หากแต่บอกเจ้าสันต์ไปว่า ผมจะขอโทษคุณแคทลียา และเล่าเรื่องทุกอย่างให้เธอฟัง บอกว่าเราไม่ได้ตั้งใจที่จะให้มันเกิดเรื่องราวแบบนี้ขึ้น และอาจจะต้องตามแก้ข่าวให้เธอกับคุณทรงพล และท่านประธานด้วยหากเธอต้องการ แต่ผมจะไม่ยอมตกกระไดพลอยโจน ยอมเป็นแฟนของเธอทั้งๆที่ไม่ได้รัก

เจ้าสันต์ด่าผม หาว่าผมจะทำให้ทุกคนเดือดร้อนกันหมด เรื่องแบบนี้มาพูดพล่อยๆในขณะที่พวกเราก็มีหน้าที่การงานใหญ่โตกันได้อย่างไร ประธานบริษัทคงไม่พอใจแน่ เมื่อเรียนผูกแล้วก็ต้องเรียนแก้ โดยผมต้องยอมเป็นแฟนกับคุณแคทลียาไปสักพัก แล้วค่อยหาทางเลิกรากัน
ฟังคำพูดของมันแล้วผมถึงกับอ่อนอกอ่อนใจ นึกอยู่แล้ว ว่ามันต้องไม่เห็นด้วย ที่จะให้ผมสารภาพกับคุณแคทลียา ดูเหมือนมันจะยุยงให้ผมชอบกับเธอด้วยซ้ำ

มันพูดเหมือนกันว่าทุกอย่างเป็นเรื่องง่ายๆ เพราะไม่ใช่ตัวมันนี่ที่ต้องมารับกรรม แต่กลายเป็นผมซึ่งไม่เต็มใจในเรื่องที่เกิดขึ้น

“นายไม่รู้สึกแปลกอะไรบ้างเลยหรือวะ เรียว ทำไมคนสวยๆอย่างคุณแคทนี่ จึงมาขอร้องให้นายเป็นแฟนกับเขา มันต้องมีอะไรมากกว่าการกลัวเสียชื่อเสียงเป็นแน่ น่าจะลองสืบหาเหตุผลดูนะ บางทีเราอาจจะได้เจอเรื่องตื่นเต้นที่คาดไม่ถึงก็ได้”

เจ้าสันต์ทำท่ากระเหี้ยนกระหือรือ จนผมอยากจะยันโครม หนอยแน่ะ อยากเป็นนักสืบ แล้วให้ผมเป็นตัวล่อให้ความจริงเปิดเผยนี่นะ จะบ้าไปหน่อยแล้วมั๊ง

ผมขยับปากจะด่ามัน แต่เจ้าสันต์ซึ่งสังเกตท่าทีผมอยู่ก่อนแล้วรีบชิงพูดขึ้นมาทันที ราวกับจะรู้ว่าผมจะพูดอะไรต่อ

“ไม่ต้องพูดเลย ไอ้เรียว ห้ามปฏิเสธอะไรนะโว้ย ตอนนี้ ฉันเห็นว่าเราควรทำแบบนี้ไปก่อน เพื่อความสงบสุขของพวกเราทั้งหมด
ฉันรู้ว่าฉันมันปากพล่อยทำให้นายเดือดร้อน แต่ฉันก็คิดอะไรที่ดีนอกเหนือไปจากวิธีการนี้ไม่ได้แล้ว ถึงอย่างไรฉันก็ไม่ปล่อยให้นายฝืนใจทำสิ่งที่ไม่ชอบไปนานๆหรอก ฉันจะพยายามหาทางออกที่ดีให้

ไม่แน่นะ บางทีกว่าที่ฉันจะคิดออก นายอาจจะชอบคุณแคทขึ้นมาจริงๆก็ได้ หากเป็นแบบนี้จริงๆ นายเองก็เท่ากับตกถังข้าวสาร แล้วยายอรจิราหน้าบ้านั่น จะได้รู้สึกเสียดายที่ปล่อยให้นายหลุดมือไป....”

เจ้าสันต์กรอกตาไปมา เหมือนมีบางสิ่งบางอย่างอยู่ในใจ เพื่อนซี้ของผมทำตาโตใส่ ท่าทางเหมือนคนที่บังเอิญไปรู้ความลับอะไรบางอย่าง แล้วต้องการมาขยายให้คนอื่นๆรู้

“นี่...มีอีกอย่างหนึ่งนะ ที่ฉันคิดได้........ฉันว่าเรื่องนี้มันมีกลิ่นแม่งๆนะโว้ย หากนายยอมเออออไปก่อน จนกระทั่งเรารู้ความจริงว่ามันคืออะไร
บางทีสิ่งที่เราได้รู้มันอาจจะทำให้เราสามารถช่วยเหลือคุณแคทคนสวยได้ ทั้งนายและฉันก็อาจจะได้ความดีความชอบไปด้วย ได้ทั้งกุศล ได้ทั้งผลประโยชน์เชียวนะโว้ย”

ไอ้เพื่อนตัวดีพยายามหว่านล้อม เวลาที่มันอยากให้ผมทำอะไร มันจะเรียกแทนชื่อผมว่านาย แต่ถ้ามันอยากจะด่าเมื่อไหร่ มันจะขึ้นว่า “แก”
แต่ก็ยังดีที่มันไม่เคยขึ้น กู ขึ้น มึง กับผมสักครั้ง อาจจะเป็นเพราะเรารู้จักกันในหน้าที่การงาน และพวกเราก็จำเป็นต้องรักษาภาพลักษณ์ เพราะต่างคนต่างมีตำแหน่ง จะมาด่ากันหยาบคายใช้ภาษาพ่อขุนไม่ได้

ผมฟังสิ่งที่มันพูดแล้วรู้สึกทึ่ง แม้ไม่เห็นด้วยที่มันพยายามจะโน้มน้าวให้ผมทำตามที่มันบอก แต่ก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าเจ้าสันต์นี่มันช่างจินตนาการเสียจริง

ความที่มันทำงานฝ่ายตรวจสอบมาก่อน ทำให้มันคิดนั่นคิดนี่มากกว่าคนอื่น แม้กระทั่งกรณีของคุณแคทลียาที่อยู่ดีๆมาขอร้องผมให้เป็นแฟนของเขา มันก็ช่างคิดไปได้ไกลว่าอาจจะมีบางสิ่งบางอย่างเคลือบแฝง

ตัวผมเองก็รู้สึกว่ามันแปลกๆเช่นกัน เพียงแต่เพราะผมรู้สึกเห็นใจ และไม่คิดว่าเพื่อนร่วมงานสาวของผมจะใช้ผมเป็นเครื่องมือในการทำอะไรบางอย่าง ผมจึงไม่เคยนึกระแวงสงสัยในตัวเธอ จนกระทั่งมันมาพูดสะกิดใจผมอีกครั้ง ผมเลยอดคิดตามไม่ได้
“แกก็พูดง่ายสิวะ ไอ้สันต์ ไม่ใช่ตัวแกนี่หว่า แล้วทำไมแกไม่อาสาเองล่ะ”

ผมโวยวายใส่มัน ถึงยังไง ก็ยังไม่ยอมรับเป็นแฟนคุณแคทลียาอยู่ดี ผมคิดว่า มันน่าจะมีวิธีอื่นที่ดีกว่านี่น่า

“บ้าหรือไง เขาสนใจนายไม่ใช่ฉัน ช่วยไม่ได้ อยากเกิดมาหน้าตาดีเองทำไม นี่แหละที่เขาเรียกว่าทุกขลาภล่ะ สมน้ำหน้า ใครต่อใครก็มามะรุมมะตุ้ม รุมรักนาย ทั้งผู้หญิงทั้งเกย์

ทีหลังเวลาจะเกิด ก็อธิษฐานให้หน้าตาแบบฉันสิ สบายใจดี ไม่ต้องไปกลุ้มใจว่าใครจะมาชอบ เพราะเป็นฝ่ายไปชอบเขาซะเอง หุหุหุ”

พูดจบมันก็หัวเราะอย่างชอบใจ ผมเลยขี้เกียจคุยกับมัน บอกมันไปแค่ว่า ผมยังไม่ตัดสินใจที่จะเป็นแฟนกับคุณแคทลียา เพราะไม่ใช่เรื่องที่ผมจะต้องไปทำแบบนั้น ผมจะพยายามหาทางออกอย่างอื่น

ถ้าไม่ได้จริงๆ ผมจะสารภาพกับเธอว่าพวกเราทำไปเพราะอะไร หวังว่าเธอคงจะเห็นใจและให้อภัยพวกเราที่ดึงเธอมาเกี่ยวข้อง แต่ผมจะไม่ยอมอยู่ในสถานการณ์แบบเดียวกับที่เดียร์ทำกับผมอีกแล้ว

เจ้าสันต์ทำท่าจะโวยวาย แต่เมื่อเห็นหน้าตาซีเรียสของผม มันก็รู้ว่าผมไม่พอใจจริงๆ คนฉลาดอย่างเจ้าสันต์จึงหุบปากเงียบ ไม่เซ้าซี้ผมต่อ
หลังจากพูดคุยด้วยเรื่องทั่วไปที่ไม่เกี่ยวกับคุณแคทลียาได้สักพัก มันก็ขอตัวกลับก่อน เพราะมีนัดกับหนุ่มหล่อ นายเบนเจ้าเก่า
ผมแซวมันว่าเดี๋ยวนี้หายใจหายคอเป็นเบนแล้วเหรอ แล้วคนรักเก่าเอาไว้ใหน มันก็ยักไหล่แล้วบอกว่า มันยังคงรักน้องแซ่บอยู่ แต่มันคงให้ในสิ่งที่น้องแซ่บต้องการไม่ได้ จึงต้องปล่อยน้องแซ่บไป

หลังจากที่ผมแยกย้ายกับเจ้าสันต์แล้ว ผมไม่ได้กลับบ้านอย่างที่เคยทำประจำ แต่ขับรถไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมาย ไม่อยากจะกลับบ้าน
เดี๋ยวนี้ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร บ้านที่ผมเคยอยู่เคยนอน มันถึงดูอ้างว้างหงอยเหงาอย่างประหลาด เหมือนว่ากำลังรอคอยใครบางคนมาทำให้บ้านทั้งหลังกลับมามีชีวิตชีวาเหมือนเดิม ไม่ใช่แค่บ้านเท่านั้น มันยังรวมถึงตัวผมเองด้วย

ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุผลใดแน่ชัด ทำให้ผมขับรถเลยจนมาถึงเอกมัย แล้วเลี้ยวรถเข้าไปจอดในร้านบ้านไร่กาแฟ ร้านที่ผมมานั่งกับเดียร์หลังจากที่ถูกจับไป ที่นี่เป็นที่ที่ผมกับเดียร์ได้ทำสัญญาตกลงเป็นแฟนกัน

ผมจอดรถ แล้วเดินขึ้นไปนั่งที่ชั้นสอง ซึ่งแบ่งเป็นลานกว้าง ไม่มีหลังคา มีเพียงโต๊ะให้นั่งสำหรับสั่งกาแฟ เครื่องดื่ม หรืออาหารมารับประทาน และส่วนที่ใช้สำหรับเป็นที่สัมมนาย่อยๆ มีหลังคาคลุมเพียงครึ่ง ผมเลือกเดินเข้าไปนั่งเงียบๆคนเดียวที่ส่วนในสุด
หลังจากสั่งกาแฟ และ อาหารว่างสำหรับทานเล่นแล้ว ผมก็นั่งทอดกายไปตามความยาวของเก้าอี้ สายตามองเหม่อออกไป ใจครุ่นคิดถึงเรื่องต่างๆไปเรื่อยเปื่อย จนกระทั่งไปหยุดลงที่เรื่องของเด็กหนุ่มคนที่ผมไม่เห็นหน้าเขามาหลายวันแล้ว

เดียร์เป็นอะไรมากหรือเปล่านะ ไม่น่าไปพูดพล่อยๆแบบนั้นเลย ที่เดียร์เอารูปภาพขาวดำมาแปะเต็มบ้านแล้วผมว่าเหมือนงานศพ มันจะกลายเป็นลางอะไรหรือเปล่านะ
ไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองนั่งเหม่ออยู่นานเท่าไหร่ จนกระทั่งได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ผมรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เห็นเป็นเบอร์แปลกๆ ภาวนาขอให้เป็นโสภิตนภา หรือ สมฤทัยโทรมาทีเถอะ

แต่แล้วผมก็ต้องผิดหวัง เพราะคนที่โทรมาคือตัวแทนที่ถามปัญหาเกี่ยวกับเคสที่เขาส่งมาว่าผ่านหรือไม่ ติดขัดอะไรตรงไหน ถึงผมจะหัวเสียที่ไม่ใช่คนที่ต้องการให้โทรมา แต่ผมก็ต้องเก็บอารมณ์ แล้วตอบคำถามไปอย่างสุภาพ

ผมเหมือนกับคนบ้าที่ไม่สามารถบังคับจิตใจให้สงบลงได้ ยิ่งเด็กหนุ่มหายไปหลายวันแบบนี้ ทิ้งปริศนาค้างคาให้ผมต้องครุ่นคิดถึงการเกิดอุบัติเหตุของเขา มันยิ่งทำให้ผมเริ่มกังวลใจมากขึ้นเรื่อยๆ ติดต่อใครก็ไม่ได้ จะไปตามก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน เพราะเดียร์เดินสายไปทั่วประเทศ ตอนนี้อาจจะอยู่ที่จังหวัดไหนสักแห่ง

จริงสิ น้อยเป็นคนโทรมาหาผม เป็นไปได้ไหมว่า น้อยไปเจอกับเดียร์ที่คอนเสิร์ตทางภาคตะวันออก อาจจะอยู่บริเวณพัทยา ชลบุรี หรือไม่ก็สัตหีบ

หากไกลกว่านั้น น้อยคงไม่สามารถตามไปดูเพื่อนของตัวเองได้ เนื่องจากต้องคุมร้านอาหาร ถ้าการสันนิษฐานของผมเป็นจริง เดียร์อาจจะประสบอุบัติเหตุและนอนอยู่ที่โรงพยาบาลแถวพัทยาอยู่ก็ได้

ทำยังไง ผมถึงจะรู้ได้นะ ว่าเด็กนั่นอยู่ที่พัทยาตามที่ผมคิดหรือเปล่า นับตั้งแต่วันที่ได้ทราบข่าวอุบัติเหตุของเดียร์ ผมก็พยายามตามข่าวสารทั้งในหน้าหนังสือพิมพ์และอินเตอร์เนต ดูว่ามีข่าวคราวเกี่ยวกับอุบัติเหตุหรือไม่

เพราะนักร้องดังขนาดนั้น หากมีการเกิดอุบัติเหตุขึ้น กับ คาราวานที่ขนนักร้องนักแสดงไป ก็น่าจะมีข่าวบ้างสิ แต่นี่ไม่มี ผมก็เลยไม่แน่ใจว่าการเกิดเหตุนั้นเกิดขึ้นกับเจ้าเด็กนั่นเพียงคนเดียวหรือเปล่า การไม่รู้อะไรสักอย่างเลยนี่มันสร้างความหงุดหงิดให้ผมเสียจริงๆ



anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่17 19/1/09
«ตอบ #134 เมื่อ19-01-2009 21:26:54 »

ขณะที่ผมกำลังจะก้าวออกจากร้านเพื่อกลับบ้านไปนอน เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีก เป็นเบอร์ที่ไม่คุ้นตาอีกเช่นเคย แต่คราวนี้แปลกแฮะ เป็นโทรศัพท์ที่เป็นหมายเลขจากต่างจังหวัด ขึ้นต้นด้วย 043 น่าจะเป็นทางภาคอีสาน

ตัวแทนแถบนั้นไม่ค่อยจะได้โทรมาหาผมสักเท่าไหร่ เพราะผมมีลูกน้องที่ดูแลพื้นที่แทนผม แต่หากเมื่อใดก็ตามที่เรื่องมาถึงผม มันมักจะเป็นเคสใหญ่ที่มีปัญหาเกือบทั้งสิ้น

ผมกดโทรศัพท์ แล้วกรอกเสียงสุภาพลงไป เสียงทางปลายสายฟังดูไม่ค่อยชัดเจนนัก เหมือนโทรอยู่ข้างถนน ได้ยินเสียงรถราและเสียงพูดคุยของผู้คนดังแทรกเข้ามาเป็นระยะ ผมพยายามเงี่ยหูฟังอยู่ตั้งนาน ว่าคนปลายสายต้องการอะไร แต่แล้วเสียงที่ได้ยิน กลับทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก

“คุณเรียวหรือเปล่าคะ ...นี่น้อยเอง น้อยโทรไปหาพี่สมฤทัย แล้วเขาบอกว่าคุณอยากคุยกับน้อย มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ”

“เดียร์เป็นไงบ้าง.......”

ประโยคแรกที่ผมถามออกไป แล้วก็ต้องหลับตากลั้นใจ กลัวจะได้ยินข่าวที่ไม่เป็นมงคล

“อยู่ที่โรงพยาบาลค่ะ”

“ที่ไหน”
“เอ้อ.....ขอนแก่นค่ะ”

“ทำไมถึงอยู่ที่นั่น........”

“ตู้ด ดด ดดดดดดดดดดดดดด”

โทรศัพท์ตัดลงอย่างฉับพลัน เนื่องจากทางปลายสายหลุดไปก่อน ผมเดาเอาว่า น้อยคงโทรจากตู้สาธารณะ แล้วเหรียญคงหมด เลยทำให้ไม่สามารถคุยกับผมได้อีก

ผมกำโทรศัพท์แน่น รู้สึกหัวหมุน เจ้าเด็กบ้านั่น นอนอยู่ที่โรงพยาบาลที่ขอนแก่น แล้วอยู่ตรงไหนกันล่ะ ในตัวเมือง หรือ นอกเมือง ถ้าในเมืองมันก็มีโรงพยาบาลตั้งหลายแห่ง ผมจะไปเยี่ยมเขาได้ไงล่ะ

เยี่ยมเหรอ ผมทวนคำในใจ ผมกังวลถึงขนาดที่ว่าจะไปหาเจ้าเด็กนั่นถึงที่เลยหรือไงเนี่ยขอนแก่น ไกลจากกรุงเทพมาก อย่างน้อยๆก็ต้องลางานสัก 1 วันเพื่อขับรถไป

แล้วก็ยังไม่รู้ว่าจะต้องอยู่อีกนานไหม เผื่อเจ้านั่นเป็นอะไรมาก ผมอาจจะต้องอยู่เพื่อดูแลเขา ดูแล.......เอ๊....ทำไมผมถึงต้องดูแลเจ้าบ้านั่นด้วย เพราะว่าเขาดีกับผมงั้นหรือ

แล้วผมต้องดูแลเขาตอบแทนใช่ไหม นี่คงเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมไม่ค่อยสบายใจ คงไม่ใช่เพราะผมมีใจรักใคร่ใยดีในตัวเขาหรอก
ผมเกือบจะหมดความอดทนอยู่แล้ว ระหว่างรอโทรศัพท์ของน้อย หลังจาก 1 ชั่วโมงผ่านไป น้อยก็โทรเข้ามาหาผมใหม่บอกว่าตอนนี้เดียร์อยู่ในโรงพยาบาล หมอกำลังตรวจอาการอยู่

น้อยบอกชื่อโรงพยาบาลให้กับผม และบอกเบอร์ห้องที่เดียร์อยู่ แต่ไม่ได้ให้ข้อมูลอะไรไปมากกว่านั้น เนื่องจากเหรียญที่แลกมามีไม่พอ แต่แค่นั้นก็พอแล้ว

ไม่ต้องลังเลอะไรกันมากเลย ผมตัดสินใจได้ในทันทีที่จะขับรถไปขอนแก่นเพื่อดูอาการของเด็กหนุ่ม ระหว่างทางผมก็หยุดเพื่อโทรศัพท์ไปแจ้งจุ๋มเลขาของผมว่าผมมีธุระด่วนที่จะไปจัดการ จะไม่เข้าออฟฟิศวันหนึ่ง หรืออาจมากกว่านั้น ซึ่งผมจะแจ้งให้ทราบในภายหลัง หากมีอะไรด่วนก็ให้โทรเข้ามา หรือส่งอีเมล์มาก็ได้

ผมแวะกลับบ้านเพื่อเอาโน้ตบุคส์ และ เสื้อผ้าของใช้จำเป็นติดรถไปด้วย รวมทั้งเงินสดติดกระเป๋าไปจำนวนหนึ่งเผื่อจำเป็นจะต้องใช้ อย่างน้อยๆก็ค่ารักษาพยาบาล เผื่อว่าเจ้าเด็กนั่นไม่สามารถจ่ายได้

ผมขับรถตลอดทั้งคืน โดยไม่ได้นอนเลย กว่าจะไปถึงขอนแก่นก็รุ่งเช้าพอดี ใช้เวลาในการเดินทาง 5-6 ชั่วโมง เพราะผมไม่ค่อยชำนาญเส้นทางนัก ต้องแวะพักตามปั๊มน้ำมันเพื่อดูแผนที่ที่มักจะติดรถเอาไว้ด้วยไปพร้อมๆกับการเข้าห้องน้ำ เติมน้ำมันรถ หรือทานกาแฟแก้ง่วง
จากการสอบถามเอากับคนท้องถิ่นถึงสถานที่ที่ผมต้องการไป ได้ความว่า ผมต้องขับรถไปตามถนนสายมิตรภาพวิ่งตรงเข้าสู่ตัวเมืองขอนแก่น จะไปเจอสี่แยกไฟแดงที่ใหญ่ที่สุดใจกลางเมือง ด้านขวามือเป็นสวนสาธารณะ และซุ้มประตูเมืองซึ่งขณะนี้กำลังก่อสร้างอยู่

ตรงไปจะเป็นมหาวิทยาลัยขอนแก่น ให้เลี้ยวซ้ายที่แยกไฟแดงนั้น ตัวโรงพยาบาลจะอยู่ห่างไปจากสี่แยกประมาณ 100 เมตร แต่ไม่ต้องห่วง ผมสามารถที่จะเห็นตัวโรงพยาบาลได้แต่ไกล เพราะเป็นตึกสูงหลายชั้น อยู่ทางด้านขวามือของถนน โรงพยาบาลชื่อ ขอนแก่นราม
ผมจอดรถไว้ข้างตึกผู้ป่วย 1 แล้วเดินมาเข้าทางด้านหน้า ประตูทางเข้าเป็นกระจกใสสูง มีเจ้าหน้าที่คอยเปิดประตูให้ ตรงหน้าประตูมีป้าย ยินดีต้อนรับ ซึ่งเขียนเป็นสามภาษาด้วยกัน คือ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และ ภาษาลาว

ผมเดินตรงไปทางด้านซ้ายมือซึ่งเป็นส่วนประชาสัมพันธ์ เพื่อสอบถามทางไปห้องพักผู้ป่วย พีอาร์สาวสวย หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ช่วยอธิบายให้ผมจนเข้าใจ ผมกล่าวขอบคุณแล้วก็เดินตรงไปที่ลิฟท์ กดขึ้นไปยังชั้นที่ต้องการทันที

ตลอดเวลาที่เดินทางแม้กระทั่งตอนที่อยู่ในลิฟท์ ผมภาวนาอยู่ในใจขออย่าให้เดียร์เป็นอะไรมากเลย จริงอยู่ผมอาจจะไม่พอใจเจ้าเด็กลามกนั่นหลายอย่าง แต่ผมก็อดที่จะนึกถึงสิ่งดีๆที่เขาทำให้ผมไม่ได้

ถึงเจ้าเด็กนั่นจะร้ายกาจเอาแต่ใจตัวเอง แต่ผมก็รู้ซึ้งถึงความรักมากมายที่เขามีให้ผม มันเป็นความรักที่บริสุทธิ์ รักที่มีแต่การให้ แม้มันจะแฝงไปด้วยความต้องการยึดครอง อยากได้ผมเป็นของตัวเอง แต่เขาก็ปฏิบัติต่อผมอย่างดี เอาอกเอาใจ ทำทุกอย่างให้สารพัด
ใบหน้าอ่อนเยาวน์นั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้มเสมอ ดวงตาวาววามสุกใส มีความรักความภักดีให้เห็นอยู่ตลอดเวลา ท่าทางออดอ้อนออเซาะ ชอบมาอยู่ใกล้ๆ พูดหวานๆใส่ คอยเป็นเพื่อนอยู่เคียงข้างทำให้ผมหายเหงา

ผมยอมรับโดยไม่ลังเลใจเลยว่าเดียร์ทำให้ช่วงเวลาที่ผมได้อยู่กับเขาเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขอย่างแท้จริง
เจ้าเด็กนั่นจะเป็นอะไรมากหรือเปล่าหนอ ผมใจคอไม่ดีเลย อยากเจอหน้าเขาเร็วๆ อยากรู้ว่าอาการเป็นอย่างไรบ้าง
ผมพยายามจะทำใจ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขา ผมจะพยายามรับมันให้ได้ คิดดูแล้ว ผมก็โมโหตัวเอง ที่ไม่น่าไปพูดจาไม่ดีใส่เขา
ตอนที่เขาโทรมาหาครั้งสุดท้าย ตอนนั้น ผมโกรธมาก อยากขับไล่ใสส่งเขาออกไปจากชีวิต แต่ตอนนี้ ผมไม่ได้รู้สึกอย่างที่พูดเลยแม้แต่น้อย

ลิฟท์มาจอดตรงชั้นที่ผมกดเลือกไว้ ผมเดินออกจากลิฟท์ด้วยแข้งขาที่มีอาการสั่นเล็กน้อย ไม่รู้ว่ามันเกิดจากอาการเพลียเพราะอดนอนหรือเพราะผมจิตใจว้าวุ่นไม่เป็นสุขเพราะห่วงใยกันแน่

รู้แต่ว่า การจะบังคับขาตัวเอง เดินไปยังห้องผู้ป่วยที่เดียร์นอนรักษาตัวอยุ่ มันช่างยากเย็นเสียจริง แต่ในที่สุดผมกับฝืนให้ตัวเองเดินไปหยุดอยู่หน้าห้องผู้ป่วยรวมที่จนได้ หมายเลขห้องตรงกับที่น้อยบอกทุกอย่าง แต่ผมยังไม่กล้าที่จะเข้าไปเผชิญหน้ากับเดียร์ กลัวจะเห็นในสิ่งที่ทำให้ตัวเองรับไม่ได้

หลังจากยืนนิ่งทำใจหน้าห้องอยู่นานพอสมควร ผมก็ตัดสินใจผลักบานประตูเข้าไป ผมหลับตานิ่ง สำรวมจิตใจด้วยความรู้สึกทรมานเหลือเกิน จากนั้นก็ค่อยๆลืมตาขึ้นมาช้าๆ แล้วเลื่อนสายตากวาดไปทั่วห้องทีละน้อย

ห้องสีขาวขนาดใหญ่ ถูกกั้นออกเป็นสองส่วน เพื่อแยกผู้ป่วยออกเป็นสองเตียง โดยมีผ้าม่านกั้น ส่วนที่อยุ่ลึกเข้าไปมีผ้าม่านรูดปิดไว้ และอยู่ในแสงสลัวลาง แต่ส่วนที่ไม่ได้กั้นนี่สิ ที่ทำให้ผมต้องผงะ รู้สึกเหมือนมีอะไรมาจุกที่ลำคอ น้ำตารื้นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

ที่เตียงนอนด้านนอกสุด ไม่ได้มีผ้าม่านกั้นรอบ ร่างของชายคนหนึ่ง นอนอยู่บนนั้น ผิวของเขาสีน้ำตาล ร่างสูงใหญ่ จนแทบจะเต็มเตียงพยาบาล ศีรษะบวมโตเพราะมีผ้าก๊อตพันแผลอยู่เต็ม เหลือช่องว่างเพียงแค่จมูก ปากและตาเท่านั้น มีถุงน้ำเกลือ และ ถุงให้เลือดห้อยระโยงระยาง
ผมเดินเข้าไปหาร่างนั้นอย่างเชื่องช้า ใจมันจะขาดเสียให้ได้ เมื่อเห็นความเสียหายที่เกิดกับร่างนั้น ตามลำตัวเต็มไปด้วยแผลถลอกปอกเปิกช้ำเลือดช้ำหนอง ซึ่งกินพื้นที่ผิวหนังไปมากมาย ขาสองข้างเข้าเฝือกไว้ เหมือนว่าจะล็อคไม่ให้คนไข้เคลื่อนไหวร่างกายไปไหน

ดูมันยับเยินเกินกว่าจะรับได้ ผมพยายามบังคับตัวเองไม่ให้ทรุดฮวบลงไป นึกในใจว่า โชคดีแค่ไหนแล้ว ที่เจ้าเด็กบ้านี่ ไม่เสียชีวิตไป
ร่างที่นอนนิ่งไม่ไหวติงนั้นมีใบหน้าบวมผิดรูปผิดร่างจากบาดแผล จนแทบจะจำเค้าโครงเดิมไม่ได้ อุบัติเหตุที่รุนแรงทำให้ร่างกายของเขาดูผิดแผกไปจากที่เคยเห็น

ภาพที่อยู่ในสายตาของผม ทำเอาผมหมดแรง จนต้องทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆกับเตียง ผมนั่งซึมมองใบหน้าที่บิดเบี้ยวนั้น รู้สึกสงสารจับใจ

ทำไมเจ้าเด็กบ้านี่ถึงได้โชคร้ายเสียจริง เกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่นะ จากสภาพที่เห็น น่าจะร้ายแรงไม่ใช่เล่น รถชน หรือว่าไปโดนอะไรมา
น้อยเห็นเหตุการณ์ด้วยหรือเปล่า เขาเป็นคนแจ้งข่าวเรื่องเดียร์ น่าที่น้อยจะรู้ดีเกี่ยวกับเรื่องนี้ ว่าแต่น้อยตามเดียร์มาที่นี่ด้วยหรือ แล้วนี่ ไปไหนเสียล่ะ อยากเจอน้อยเหลือเกิน อยากรับรู้ว่าเดียร์เกิดอุบัติเหตุได้อย่างไร

ทำไมน้อยถึงได้ทิ้งเดียร์ปล่อยให้อยู่คนเดียว หากเขาต้องการอะไรขึ้นมา แล้วจะทำอย่างไร นี่เขาฟื้นตัวหรือยังก็ไม่รู้ หมอก็ยังไม่มาเลย ใจผมอยากจะเดินไปตามหมอหรือพยาบาล มาถามให้รู้เรื่อง แต่ก็กลัวว่าระหว่างที่เดินออกไปจากห้อง เดียร์จะตื่นขึ้นมาแล้วไม่เจอใคร จะยิ่งกระทบกระเทือนใจไปใหญ่

ขณะที่ผมนั่งซึมอยู่นั้น พยาบาลสาวหน้าตาเป็นคนท้องถิ่น ก็เดินเข้ามาหา ผมได้ยินแว่วๆว่าเธอเรียกผมสองสามครั้ง แต่ผมไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ เพราะสมองอื้ออึงไปหมด จนกระทั่งเธอขึ้นเสียงใส่ผมซะดังลั่น ผมจึงได้สติ

“ยังไม่ใช่เวลาให้เยี่ยมได้นะคะ ทำไมเดินเข้ามาเองอย่างนี้ล่ะ ออกไปก่อนได้ไหม ไปรออยู่ข้างนอก ได้เวลาแล้วค่อยเข้ามา”

“ขอผมเฝ้าคนไข้หน่อยได้ไหม”

ผมขอร้องเธอ ใจอยากจะอยู่เป็นเพื่อนเด็กหนุ่ม อยากให้เขาเห็นผมตอนเขาตื่นขึ้นมา

“เป็นญาติหรือเปล่าคะ.....”

เธอย้อนถาม ผมพยักหน้า เธอมองผมด้วยสายตาแปลกๆ คงเห็นเป็นเรื่องประหลาดที่เห็นผู้ชายมาดูแลเฝ้าไข้ผู้ชายด้วยกันอย่างใกล้ชิดแบบนี้ ในสังคมชนบทคงเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยเคยเห็น

แต่ช่างเถอะ จะมองยังไงก็ได้ ถึงอย่างไร ถ้าเดียร์ฟื้นขึ้นมา ผมก็ตั้งใจว่า จะเอาตัวเขากลับไปรักษาที่กรุงเทพ เพื่อที่ผมจะได้มีเวลามาเยี่ยมเขาได้บ่อยกว่านี้ โดยไม่ต้องลางาน

“ไม่ได้ค่ะ ถึงเป็นญาติก็ต้องให้ถึงเวลาก่อนค่ะ เพราะเราอยากให้คนไข้ได้พักผ่อนก่อน อีกอย่างพอคนไข้ฟื้นขึ้นมา เราก็ต้องเช็ดเนื้อเช็ดตัว แล้วหมอก็ต้องมาตรวจอาการเขาอีก”

นางพยาบาลชุดขาวปฏิเสธ แต่มีหรือผมจะยอม

“ผมเช็ดตัวให้เขาก็ได้ คุณพยาบาลไม่ต้องเป็นห่วง ผมเคยทำเวลาที่เขาไม่สบาย ผมทำได้”
“มันเป็นกฎค่ะคุณ นี่มันยังเช้ามากอยู่เลย คนไข้ต้องการพักผ่อน อย่าให้ดิฉันลำบากใจเลยค่ะ กรุณาออกไปเถอะ”

เธอเริ่มทำเสียงเขียวใส่ผม แต่ผมไม่ละความพยายาม ผมอยากดูแลเด็กหนุ่มคนนี้ ทดแทนที่ผมทำไม่ดีกับเขาไว้เยอะมาก ในเมื่อเดียร์ดีกับผม เวลาที่เขาลำบาก ผมควรจะช่วยเหลืออย่างเต็มที่

“ผมขอนั่งเฝ้าเฉยๆ รับรองจะไม่ทำเสียงรบกวนอะไรเลยครับ”

“ไม่ได้ค่ะ โธ่ พูดรู้เรื่องหน่อยสิคะคุณ ถ้าดิฉันใจอ่อน อนุญาตให้คุณเฝ้าได้ ญาติคนไข้คนอื่นๆ ก็จะต้องเข้ามาด้วย ทีนี้ มันจะเกิดความวุ่นวายกับผู้ป่วยคนอื่นๆนะคะ คุณไม่เห็นหรือว่าที่นี่มันเป็นห้องผู้ป่วยรวม

เราไม่อนุญาตให้ญาติเข้ามาเฝ้า เพราะอาจจะทำเสียงดัง และทำให้คนไข้อีกเตียงถูกรบกวนเวลาพักผ่อนได้ ดิฉันเห็นใจคุณนะคะ แต่คุณก็ต้องเห็นใจพวกนางพยาบาลอย่างดิฉันด้วย เรามีหวังโดนดุแน่ถ้าปล่อยให้คุณนั่งเฝ้านอกเวลาเยี่ยมแบบนี้”

เมื่อไม่อาจจะขอร้องนางพยาบาลให้ใจอ่อนยอมให้ผมเฝ้าเดียร์ได้ ผมก็เลยจำใจต้องออกไปรอด้านนอกเสียแต่โดยดี

ผมมองเด็กหนุ่มบนเตียงแว่บหนึ่ง สวดอ้อนวอนเทพยดาฟ้าดินสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในใจให้คุ้มครองเด็กลามกเอาแต่ใจตัวคนนี้ของผมด้วย ขออย่าให้เขาเป็นอะไรเลย ผมคงไม่สามารถอยู่อย่างเป็นสุขได้แน่

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า กว่าเข็มวินาที จะกระดิกไปแต่ละทีมันนานมากเสียจนผมแทบคลั่ง การรอคอยมันทุกข์ทรมานแบบนี้เอง ระหว่างผมกับเดียร์ มีกำแพงที่ขวางกั้นเราแค่ประตูห้องผู้ป่วยเท่านั้น แต่ใจของผมโลดแล่นไปอยู่ใกล้ๆคนที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงแล้ว

ผมซบหน้าลงบนฝ่ามือ อยากจะร้องไห้ แต่ก็ร้องไม่ออก ได้แต่นั่งนิ่งอยู่ในท่านั้น รู้สึกอัดอั้นตันใจ เหมือนเวลาที่เราต้องการจะทำอะไร แล้วถูกขัดขวาง ไม่สามารถทำได้

เดียร์อยู่ใกล้แค่เอื้อมนี้เอง แค่ผลักประตูเข้าไปเท่านั้น แต่ผมกลับต้องรออยุ่ด้านนอก เพื่อให้ถึงเวลาที่เหมาะสมที่จะได้ไปนั่งเคียงข้างเขาเพื่อเป็นกำลังใจ

ถ้าเดียร์ตื่นมา แล้วเห็นหน้าผมเป็นคนแรก เขาจะดีใจไหมนะ เด็กน่ารัก จิตใจดี เข้มแข็งอย่างเดียร์คงไม่เป็นอะไรมากหรอก รักษาตัวสักระยะก็คงจะกลับมาหายได้เป็นปกติ

แต่ถ้าไม่หาย พิกลพิการขึ้นมา ผมก็จะดูแลเขาไปตลอดทดแทนที่เขาเองก็ดูแลผมมาในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
นาฬิกาข้อมือบอกเวลา 9 โมงเช้าแล้ว 2 ชั่วโมงเต็มๆที่ผมนั่งแกร่วรออยู่หน้าห้อง อย่างไม่รู้จะทำอะไรดี บัดนี้ได้เวลาเยี่ยมแล้ว คงไม่มีใครมาห้ามไม่ให้ผมนั่งเฝ้าเดียร์ได้อีก

ผมเปิดประตูเข้าไปในห้อง เดินตรงไปนั่งเก้าอี้ที่อยุ่ข้างเตียง เดียร์ยังคงหลับอยู่ ผมนั่งมองเขาและเอื้อมไปกุมมือเขาไว้ หวังให้สิ่งที่อยู่ในใจของผมถ่ายทอดไปสู่เขา ให้เขารับรู้ว่า

ผมมาหาเขาแล้ว มาอยู่ตรงนี้เป็นเพื่อนเขา ขอให้เขาแข็งแรง หายป่วยไวๆ แล้วเราจะได้กลับมาอยู่ด้วยกัน
มีเสียงประตูเปิด ผมหันไปมองก็เห็นผู้ชายในร่างหญิง ใส่เสื้อสีส้มแปร๊ดเดินเข้ามา น้อยทำตาโต ยกมือทาบอกเมื่อเห็นหน้าผม ร้องทักทายอย่างดีใจ แล้วถามผมว่า มาทำไม พอผมบอกมาเยี่ยมเดียร์ น้อยก็ทำเสียงแหลมใส่ผม


ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่17 19/1/09
«ตอบ #135 เมื่อ19-01-2009 21:38:06 »

หุหุ กว่าจะรู้สึก  :serius2: :serius2:

ออฟไลน์ โน๊อา

  • อยู่เป็นคู่ เช่น ฉันคู่เธอ
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1419
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-1
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่17 19/1/09
«ตอบ #136 เมื่อ20-01-2009 07:57:37 »

^

^


ขอจิ้ม พี่ทิพย์ ทีนะ  อิอิ  :z13:

va_yu

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่17 19/1/09
«ตอบ #137 เมื่อ20-01-2009 17:03:07 »

ภาวนาให้ผิดเตียง  :call:

ไม่อยากให้เดียร์เจ็บหนักอ่ะ

anna1234

  • บุคคลทั่วไป
บทที่ 18-19


“แล้วทำไมถึงไปนั่งอยู่ตรงนั้นล่ะคะ”

ผมทำหน้าเหรอหรา แล้วชี้ไปที่ร่างที่นอนอยู่บนเตียง น้อยมองตาม แล้วก็หันมามองผม จากนั้นดูเหมือนว่าน้อยจะเข้าใจในสิ่งที่ผมสื่อให้เธอรู้ อยู่ๆน้อยก็หัวเราะดังลั่นขึ้นมา

“หัวเราะอะไรกัน คนจะเป็นจะตาย เป็นเรื่องน่าขำนักเหรอ”

รู้สึกฉุนขึ้นมาแล้ว ทำไมน้อยต้องมาหัวเราะผมที่มาเฝ้าเดียร์ด้วย ถึงแม้ว่าผมจะทำเหมือนขับไล่ใสส่งเดียร์อยู่ตลอดเวลา
แต่ตอนนี้เขาป่วย ผมก็ควรจะดูแลเขาบ้าง นี่คงคิดว่าผมมีใจกับเจ้าเด็กบ้านี่ล่ะสิ ถึงได้ขำผมนักหนา เอาเถอะ จะขำก็ขำไป รอเดียร์หายก่อน
ผมจะทำให้รู้ว่า ผมแค่ห่วงเขาในฐานะคนรู้จักกันเท่านั้น น้อยรีบโบกมือปฏิเสธ คงกลัวว่าผมจะเข้าใจเขาผิด เขารีบพูดขึ้นมาทันที

“เปล่าค่ะ น้องไม่ได้หัวเราะเรื่องความเป็นความตายอะไรนั่นหรอก แต่ที่น้อยหัวเราะก็เพราะว่า คนที่นอนอยู่บนเตียงนั่น ใช่เดียร์ซะเมื่อไหร่ละคะ เจ้าหนูคนที่คุณดั้นด้นมาหาถึงขอนแก่นนี่ เขานอนหลับอุตุอยู่ที่เตียงด้านในโน่นต่างหาก”

“หา.......จริงหรือนี่”

ผมคลายมือออกแล้วรีบผลุดลุกขึ้นยืนทันทีทันใด ขาก้าวถอยห่างออกจากเตียงโดยอัตโนมัติ ไม่ใช่เดียร์หรอกหรือ มิน่า ผมถึงได้รู้สึกว่ามันแปลกๆ เขาสูงเขาสูงผิวเข้มก็จริง แต่ดูดีๆแล้วผิวเขากร้านกว่า แล้วก็ตัวล่ำกว่า

แต่เพราะความห่วงกังวลในตัวเขา เลยทำให้ผมไม่ทันคิดไตร่ตรองให้ดี รับรู้ข้อมูลเพียงว่าเดียร์เกิดอุบัติเหตุ พอเห็นร่างที่บาดเจ็บนอนอยู่อย่างนั้นก็เลยเหมาเอาว่าเป็นไอ้เด็กทะลึ่งนั่น รู้สึกขายหน้าอย่างไรชอบกล

“แล้วเดียร์เป็นอะไรมากหรือเปล่า”

ถึงแม้จะโล่งใจที่คนที่นอนอยู่ไม่ใช่เดียร์ แต่ก็ยังไม่วายกังวลใจอยู่ดี น้อยไม่ตอบ เพราะยังไม่หยุดขำ แต่ก็เดินนำหน้าผมมาหยุดที่เตียงผู้ป่วยด้านใน แล้วรวบผ้าม่านออกไปอีกทาง

“ดูเอาเองแล้วกัน”

ภาพที่ผมเห็นตรงหน้า คือ เด็กหนุ่มหน้าทะเล้นที่มองผมออกมาจากเตียงด้วยดวงตาแป๋วแหวว ผมรีบกวาดตาสำรวจไปทั่วร่างกายเดียร์อย่างรวดเร็ว ที่ศีรษะได้รูปสวยนั้น มีผ้าก๊อตแปะติดแถวขมับด้านซ้าย หน้าอก แขน ลำตัว อยู่ในสภาพปกติ มีเพียงแต่ขาข้างหนึ่งเท่านั้นที่ใส่เฝือกเอาไว้

นั่นไง ผมเจอเจ้าเด็กบ้าที่รบกวนความคิดและจิตใจของผมตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมาแล้ว เขาไม่เป็นอะไรมาก นั่งตาใสแจ๋วมองหน้าผม เขาพยายามจะยิ้มหวานให้ แต่คงเห็นหน้าดุๆของผม รอยยิ้มก็เลยดูแหยๆ ผมตวาดใส่เขาเสียงดังลั่น ด้วยความโมโห

“ไอ้เด็กบ้า....”
เดียร์ทำท่าหงอๆเมื่อเห็นกริยาอาการโกรธของผม เขาขยับตัวไปมาอยู่บนเตียงพยายามจะลุกขึ้นนั่ง น้อยสอดหมอนไว้รองหลังให้ เดียร์มองตาผมปริบๆ อย่างนึกหวั่นเกรงในโทสะของผม

“เนี่ยเหรอ ที่บอกว่าเกิดอุบัติเหตุ แค่นี้เองเหรอ ถึงได้โทรมาหา รบกวนชาวบ้าน ทำให้คนอื่นกังวลใจเป็นทุกข์เนี่ยมันดีนักหรือไง”

“ครับๆๆๆ....... เรียวอยากให้ผมเป็นหนักว่านี้ อยากให้พิการหรือไม่ก็ถึงตายเลยเหรอ ครับเกลียดผมนักใช่ไหม ไม่ให้อภัยในความผิดของผมบ้างเลยหรือไง”

เด็กหนุ่มทำตาแดงๆ ถามผมเสียงเครือ ผมเห็นหน้าเขา แล้วใจไหววูบ เจ้าเด็กบ้า ใครจะไปคิดถึงขนาดนั้น ผมยกมือจะเขกหัวเขา ตามที่ตั้งใจไว้แต่แรก แต่แล้วมือก็ตกลง เปลี่ยนเป็นลูบศีรษะแทน ผมบอกเขาเสียงสั่น

“ดีแล้ว............ ที่ไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่านี้.......”

เด็กหนุ่มสบตาผม แล้วก็เอื้อมมืออย่างกล้าๆกลัวๆมาคว้ามือผมไว้ พอเห็นผมเฉยๆ ไม่มีทีท่าขัดขืน เขาก็ดึงมือผมไปจูบ แล้วเอามาแนบแก้มเขา

“คิดถึงจังเลยครับ....ดีใจมากที่สุดเลยครับที่เรียวมาหาผม”

เดียร์ทำเสียงอ้อนอีกแล้ว ท่าทางน่ารักน่าสงสารนั่นทำให้ผมใจอ่อนเหมือนทุกทีที่เขามาออดออเซาะ ทั้งที่เมื่อกี้ผมนึกโกรธเมื่อเห็นเด็กหนุ่มไม่ได้มีอาการร้ายแรงอย่างที่กังวล

อันที่จริงผมก็ไม่แน่ใจนักว่าตนเองรู้สึกอย่างไรกันแน่ ผมมานี่ ด้วยความรู้สึกวิตกจริต ห่วงใยเดียร์ไปสารพัด ตอนที่นึกว่าเขาคือผู้ชายที่นอนอยู่บนเตียงคนนั้น ผมก็รู้สึกเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก

เมื่อรู้ว่าไม่ใช่ คนที่ผมห่วง กลับเพียงแค่เข้าเฝือกที่ขากับหัวแตก ผมก็รู้สึกโกรธ ที่เหมือนถูกปั่นหัวให้งุ่นง่าน เป็นทุกข์ ในขณะที่รู้สึกโล่งใจที่เจ้าเด็กทะเล้นปลอดภัยดี ไม่สาหัสอย่างที่นึกกลัว อารมณ์ผมมันสลับไปมาจนตัวเองยังงง

“เรียวครับ มาตามผมถึงนี่เลย เพราะว่าเรียวเป็นห่วงผมใช่ไหมครับ.....”

“....”

ผมนิ่งขึง ขี้เกียจตอบเจ้าเด็กบ้านี่ พอใจดีเข้าหน่อย ก็ทำเป็นออเซาะขึ้นมาเชียว น่าจะเกิดอุบัติเหตุจนพูดไม่ได้ไปเลยด้วยซ้ำ

“ผมรู้นะ...... ว่าเรียวก็รู้สึกดีๆกับผมเหมือนกันใช่ไหม คิดถึงผม เวลาผมไม่อยู่ใช่หรือเปล่า
บ้านมันเงียบเหงา ขาดสีสันไปใช่ไหม พอผมไม่โทรไป เรียวก็คิดว่า เจ้าเด็กบ้านั่นมันไปอยู่ที่ไหนกันนะ คิดอย่างนี้ใช่หรือเปล่าครับ”

ผมไม่ตอบอีก จะตอบทำไม ในเมื่อเด็กนี่ก็รู้ทันผมไปเสียหมดทุกอย่าง

“เรียวหายโกรธผมแล้วใช่ไหมครับ เรียวคงเข้าใจผมแล้ว ว่าผมทำทุกอย่างลงไปเพราะรักเรียวจริงๆ ไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร ทำไปเพราะหมดหนทางแล้วก็รู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่ผมสัญญาว่าจะไม่ทำแบบนี้กับเรียวอีกแล้วนะครับ เรียวเชื่อผมได้เลยนะ”
เด็กหนุ่มให้คำมั่นสัญญากับผม เขายิ้มหวานให้ ดวงตาของเขาที่มองมา ฉายแววความรักและเทิดทูนในตัวผม มันทำให้ผมหวั่นไหว ยามมองหน้าอ่อนเยาว์นั่น เดียร์คิดกังวลใจเรื่องผมอยู่ตลอดเวลา พอเจอหน้ากันก็รีบพูดเพื่ออธิบายสิ่งที่ตัวเองทำลงไป เขาคงหวังว่าจะให้ผมเลิกโกรธเขา

“เรียวออกเดินทางมาหาผมตั้งแต่เมื่อคืนหรือครับ เลิกงานก็มาตามเลยเหรอ”

เดียร์ถามเสียงใส

“รู้ได้ไง”

“ก็เรียวยังอยู่ในชุดทำงานอยู่เลยนี่ครับ”

เกลียดนักพวกชอบสังเกตคนอื่นนี่ ผมนึกในใจ ไม่ยอมตอบคำถามเจ้าเด็กบ้านี่ เรื่องอะไรจะไปยอมรับกับเขากลายๆล่ะ ว่าตัวเองห่วงเขาจนต้องรีบมาหาถึงขนาดนี้

เดียร์หัวเราะเบาๆ สบตาผมแล้วยิ้มให้ เขากระตุกมือผมสองสามครั้ง แต่ผมยังไม่เข้าใจสัญญาณของเขา จึงมองหน้าอย่างงงๆ
เขามองตอบอย่างอ้อนวอน จากนั้นก็ดึงผมให้ลงนั่งบนเตียงเดียวกับเขา แล้วก็กระเถิบเข้ามาใกล้ มือแข็งแรงโอบไปรอบเอวผมอย่างรวดเร็ว และรั้งให้เข้ามาหา ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตั้งตัว เดียร์ก็ขโมยหอมแก้มของผมแรงๆไปแล้ว 1 ที

“ชื่นใจจังเลย ชอบกลิ่นเนื้อของเรียวมากเลย ไม่ได้กลิ่นนี้มาตั้งเกือบสองอาทิตย์แล้ว คิดถึงมากที่สุดเลยครับ”

“นี่นี่นี่ พอแล้ว เลิกเลย เจ็บขนาดนี้ ยังจะมาลวนลามคนอื่นได้อีก”

ผมพยายามแกะมือที่โอบผมออกด้วยรู้สึกอายที่เด็กหนุ่มจาบจ้วงผมต่อหน้าเพื่อนของเขา น้อยยิ้มแล้วยิ้มอีก ดูท่าทางพึงพอใจด้วยซ้ำที่เห็นเดียร์กอดผมเสียแน่น

“ก็มันคิดถึงนี่นา ไม่ได้เจอ ไม่ได้เห็นหน้าเลย คิดว่าเรียวคงโกรธผม จนไม่อยากจะมองหน้าผมด้วยซ้ำ แต่พอเห็นเรียวมาหาผมถึงที่นี่ ผมก็ยิ่งรู้สึกดีใจมากเลยนะครับ ว่าแต่น้อยโทรไปบอกคุณเหรอ”

“อื้มใช่ บอกรายละเอียดก็ไม่หมด ถ้ารู้ว่าไม่เป็นไร ฉันไม่ถ่อมาถึงนี่หรอก”

เดียร์กอดผมแน่นเข้าไปอีก แล้วซุกหน้าตรงซอกคอของผม

“ตอนแรกผมก็โกรธน้อยเขาเหมือนกัน ที่เขาโทรไปรบกวนคุณ ยิ่งคุณห้ามไม่ให้ผมโทรหาโดยไม่จำเป็น ผมก็เลยไม่อยากทำให้คุณไม่พอใจ อันที่จริงก็ไม่ได้เจ็บอะไรมาก แต่น้อยเขาอยากให้คุณรู้ แต่ผมไม่เห็นด้วยหรอกครับ กลัวคุณจะยิ่งรำคาญผมเข้าไปใหญ่ แต่ถึงตอนนี้ ผมรู้แล้วว่า คุณไม่ได้คิดอย่างนั้นเลยใช่ไหมครับ”

เด็กหนุ่มถามผมเสียงอ่อนเสียงหวาน

“คิดแล้ว....ทีแรกไม่คิด แต่เห็นคนเจ็บหน้าบานเป็นจานดาวเทียมแบบนี้ เลยคิดขึ้นมาทันที คิดว่า นายกับน้อยสมคบคิดกันหลอกลวงฉันหรือเปล่า”

ผมแสร้งทำเป็นตั้งข้อสงสัย น้อยร้องเสียงหลง
“อุ้ย เปล่านะคะ ไม่ใช่อย่างที่คุณคิด น้อยต้องขอโทษด้วย ที่โทรไปหาครั้งแรกนั้นเพราะตกใจ แล้วก็เป็นห่วงเดียร์มาก ไม่รู้ว่าเขาจะเป็นไร ก็เลยรีบไปแจ้งให้คุณรู้ไว้ก่อน แต่เดียร์ห้าม แล้วก็ดึงมือถือไป บอกน้อยไม่ให้โทร แล้วเขาก็ปิดมือถือเลย

จนกระทั่งวันก่อน น้อยโทรไปหาพี่สมฤทัยกับพี่โสภิตนภา แกก็เล่าให้น้อยฟังว่าคุณอยากให้น้อยโทรไปหา แต่ไม่บอกว่าเรื่องอะไร น้อยถึงได้โทรไปหาคุณนั่นแหละ ขอโทษนะคะที่บอกข้อมูลไม่หมด ไม่คิดว่าคุณจะตามมาถึงนี่”

เป็นอย่างนี้นี่เอง เจ้าเด็กนั่นจำสิ่งที่ผมสั่งเขาไว้ ว่าห้ามโทรหา ทำให้เขาปิดมือถือเพราะไม่อยากรบกวน ผมเลยติดต่อเขาไม่ได้ แต่เรื่องที่ผมสงสัยไม่ได้มีอยู่แค่นั้น ผมยิงคำถามใส่น้อยและเดียร์อย่างมากมาย ด้วยความอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วทำไมน้อยถึงมาอยู่ที่นี่ด้วย
เดียร์เล่าให้ฟังว่า หลังจากซ้อมเต้นเรียบร้อย ก็ถึงเวลาออกงานคอนเสิร์ต พวกเขาตะเวนไปตามหัวเมืองต่างๆในแต่ละภาค เพื่อเต้นประกอบการแสดงสดของนักร้องหญิงยอดนิยมอันดับหนึ่ง ขวัญใจมหาชน โดยเริ่มจากใต้ขึ้นมาก่อน แล้วไปที่ภาคตะวันออก

โดยในวันที่เจอกันนั้น มีการแสดงที่ชายหาดเมืองพัทยา น้อยได้ไปดูการแสดงด้วย แต่ไม่ได้ดูนักร้อง แต่อยากจะเจอ เพื่อนรักมากว่า หลังจากแสดงจบ วันรุ่งขึ้นเดียร์ก็ประสบอุบัติเหตุ น้อยพูดเสริมขึ้นมาบ้างว่า

“ไม่รู้เกิดบ้าอะไรขึ้นมา พอแสดงเสร็จ เดียร์ก็อ้อนน้อยให้พาไปเที่ยวบาร์ เพราะเขาอายุไม่ถึงเลยมาขอให้น้อยใช้เส้น พอดีน้อยรู้จักกับเพื่อนๆที่ทำงานบาร์เยอะ ก็เลยไปด้วย

จากนั้นเดียร์ก็สั่งเหล้ามาดื่มอย่างไม่บันยะบันยัง ไม่รู้ไปเสียอกเสียใจอะไรนักหนา ถามทีไร ก็เอาแต่ร้องไห้ หลอกถามอยู่นาน ถึงได้รู้ว่า เพราะทะเลาะกับคุณแล้วคุณก็ไม่เข้าใจเขา เกลียดเขา......โอ๊ยยยย อะไรกันเนี่ย”

น้อยพูดยังไม่ทันจบ ก็ถูกเดียร์หยิบหมอนขว้างใส่หน้าเป็นเชิงให้หยุดพูด ผมหันไปทำตาดุใส่เด็กหนุ่ม ก่อนจะหันไปหาน้อยพยักหน้าให้เล่าต่อไป น้อยหันมาสบตาเดียร์ จากนั้นปากที่ช่างเจรจาก็ขยับเผาเพื่อนต่อ

“เดียร์กินเหล้าจนฟุบ น้อยก็เลยต้องไปส่งเดียร์ที่โรงแรมที่พัก แล้วก็ค้างคืนที่ห้องของเขากับเพื่อนแหละ วันรุ่งขึ้นเดียร์ยังไม่ทันสร่างเมาดี ทางทีมงานก็ให้ย้ายเช็คเอาท์เพื่อที่จะไปแสดงต่อ มีงานเปิดแจกรางวัลประจำปีของบริษัทที่คนใหญ่โตแถวแปดริ้วเป็นเจ้าของ
เขาว่าจ้างให้นักร้องคนนี้ไปแสดงตอนเที่ยงๆ ซึ่งเป็นรายการนอกโปรแกรม แต่ทางค่ายอนุญาตให้พาแดนเซอร์ไปเต้นด้วย น้อยเห็นเดียร์อาการไม่ดี นึกหวั่นใจยังไงไม่รู้ เลยลางานตามไปดู

แล้วสิ่งที่น้อยกังวลก็จริงด้วย เดียร์เต้นก้าวพลาดตกจากเวทีที่สูงมาก ลงมาข้อเท้าแพลง แต่ก็ยังมีสปิริตขึ้นไปเต้นต่อ โชดดีที่มันเป็นสองเพลงสุดท้าย แล้วท่าก็ไม่โลดโผยมาก เดียร์เลยประคับประคองตัวเองไปได้”

ผมเอี้ยวตัวมามองหน้าเดียร์ รู้สึกสงสารเขาขึ้นมาจับใจ คำพูดของผม มีอิทธิพลต่อความคิดของเด็กหนุ่มจริงๆด้วย เขาคงคิดมาก จนต้องไปดื่มเหล้าเสียเมามาย จนทำให้เกิดอุบัติเหตุ เพราะผมแท้ๆเชียว ที่มีส่วนทำให้เกิดเรื่องนี้ขึ้น
“น้อย พอเถอะ อย่าพูดเลย”

เดียร์ท้วง แต่ผมกลับบอกให้น้อยเล่าต่อ เพราะอยากรู้ว่าจากพัทยามาขอนแก่นนี่ มีอะไรเกิดขึ้นกับเขา จนทำให้ต้องมานอนแบ่บอยู่ในโรงพยาบาลแบบนี้

“ที่จริงเดียร์จะไม่ อยู่ในสภาพนี้ ถ้าหากพักผ่อนร่างกาย และดูแลขาของตัวเองให้ดี แต่เจ้าหนูของเรากลับฝืนค่ะ ไม่สงสารตัวเอง เดินทางไปกับทีมเต้นต่อ ทั้งๆที่ขาเจ็บ แต่ก็หลอกคนดูแลทีมว่าไม่เป็นไร ก็ฝืนเต้นไปเรื่อยๆ จากโคราช แล้วก็มาที่ขอนแก่น เมื่อคืนนี้เอง ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น

แล้วคงจะเป็นคราวเคราะห์ของพ่อเดียร์เขา นักร้องสาวเกิดอยากร้องเพลงจากในมิวสิคขึ้นมา ซึ่งเดียร์เขาเต้นด้วย ก็โยกย้ายทำท่าไปตามนั้น คนก็เฮๆ ชอบอกชอบใจกันใหญ่ โดยเฉพาะเด็กวัยรุ่นหนุ่มสาว

พอตอนจบ นักร้องกับแดนเซอร์ก็ไปโค้งคารวะคนดู แล้วก็ให้จับมือ แจกลายเซ็นต์ คนอื่นๆไม่เป็นไร แต่พ่อนี่ดันหล่อเกินหน้าคนอื่นๆ แล้วก็เต้นดี เต้นยั่วเสียด้วย มีคนกรี๊ดเยอะ พอไปยืนให้แฟนๆจับมือบ้าง ก็เลยถูกกระชากลงมาจนตกเวทีซึ่งสูงมาก ผลก็คือ ขาหัก หัวแตกอย่างที่เห็น”

น้อยเล่าอย่างยืดยาว แต่ก็ทำให้ผมพอเห็นภาพ ผมขยับปากจะต่อว่าเด็กหนุ่มที่ไม่ดูแลตัวเอง แต่เมื่อเห็นหน้าจ๋อยๆของเขาตอนที่น้อยเล่าจบก็รู้สึกสงสาร

“ขี้ฟ้อง...”

เด็กหนุ่มต่อว่าเพื่อน น้อยแลบลิ้น ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้

“ไปว่าน้อยเขาทำไม ดีแล้วที่บอกมาให้หมด ฉันจะได้รู้ เอาล่ะตัดประเด็นเรื่องสมคบคิดกันไปได้ นายสองคน คงไม่ยอมเจ็บตัวเพื่อทำให้เรื่องมันแนบเนียนแน่ เอาเป็นว่าฉันเชื่อว่าเกิดอุบัติเหตุจริงๆ คราวหน้าคราวหลัง ถ้าไม่สบายใจอะไรก็อย่าไปกินเหล้าเมายาจนทำให้เกิดเรื่องแบบนี้อีกนะ”

ผมทำเสียงดุใส่เดียร์ เด็กหนุ่มกอดผมแน่นเข้าไปอีก แล้วจูบที่แก้มผมเบาๆ พลางกระซิบเสียงอ้อน

“ไม่ทำแล้วครับ ตอนนั้นผมแค่น้อยใจ คิดว่าคุณรังเกียจผม เสียใจมาก อยากจะลืมๆคำที่คุณด่าว่า แต่ตอนนี้ผมจะไม่ทำแบบนั้นแล้ว เพราะผมรู้ว่านอกจากคุณจะไม่ได้เกลียดผมจริงๆ คุณยังห่วงใยผมอีกด้วย เพราะถ้าไม่ห่วงคุณจะตามมาหาผมเหรอ จริงไหมครับ”

“ใครบอก พอดีว่าฉันมีธุระแถวนี้ต่างหาก”

“ไม่จริงหรอก ผมได้ยินที่คุณพูดกับนางพยาบาล ตอนที่คุณไปนั่งเฝ้าคนไข้เตียงนั้นนะ คุณบอกว่า คุณจะเฝ้าไข้ผม แล้วก็เช็ดตัวให้ผมด้วย”
คนเจ็บขาเดี้ยง ทำหน้าเจ้าเล่ห์ จนน่าหมั่นไส้ สงสัยคงแอบฟังอยู่นานล่ะสิ

“บ้า เข้าใจอะไรผิดแล้ว ฉันแค่สงสารคนนั้นต่างหาก เขาเจ็บมากกว่านายอีก”

“แต่คุณโทรมาหาผมเป็นร้อยๆรอบเลยนี่ มันขึ้นมิสคอลล์อ่ะ”

หนอยแน่ะ เห็นแล้วยังไม่โทรกลับมาอีกเด็กบ้า .....ผมไม่ได้ตอบไปงั้นหรอก แต่สิ่งที่ผมตอบคือ ที่ผมโทรไปเพื่อจะด่าเขาต่างหาก
“ไม่จริงอ่ะ หลอกใครหลอกได้ แต่อย่าหลอกตัวเองสิครับ คุณห่วงผมมาก จนต้องไปตามหาข้อมูลของผมจากพี่ๆทั้งสองที่สีลมอ่ะ
พี่เขาบอกว่าท่าทางคุณหงุดหงิดด้วย กำชับพวกเขาตั้งหลายครั้งว่าถ้าติดต่อผมได้ให้โทรไป.......แล้วก็มาตามหาผมถึงที่นี่ ขับรถมาจากกรุงเทพไม่ใช่กิโลสองกิโล ทำถึงขนาดนี้ ไม่เรียกว่าห่วงแล้วจะเรียกว่าอะไรครับ”

เด็กหนุ่มพูดยิ้มๆ ผมนิ่งอย่างจนปัญญาเถียง สิ่งที่เดียร์พูดทั้งหมดมันคือเรื่องจริง แล้วมันฟ้องให้ผมได้รู้ว่า ผมคิดถึงและเป็นห่วงเด็กหนุ่มมากมายแค่ไหน แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ไม่อยากจะยอมรับความจริง เพราะมันเป็นสิ่งที่ฝืนกับความเชื่อของตัวเอง

“พูดเป็นต่อยหอยแบบนี้ คงกลับกรุงเทพฯเองได้กระมัง ฉันคงไม่ต้องพากลับ”

ผมเบี่ยงประเด็นไปเสีย ไม่อยากคุยด้วยเรื่องเดิมๆ ที่ผมไม่มีทางยอมรับ

“ไม่อาว กลับด้วยคนนะ..... นะ ครับ เรียวอุตส่าห์มารับผม จะให้เรียวกลับไปคนเดียวได้ไงจริงไหม แล้วผมอ่ะ ก็ไม่ได้แสดงคอนเสิร์ตแล้วล่ะ เพราะขาเป็นแบบนี้

ทางทีมงานเขาให้ผมพักก่อน แต่พวกเขาจะไปต่อ เขาให้น้อยจ้างรถพาผมกลับน่ะครับ แต่ถ้าผมได้กลับพร้อมกับเรียว ก็ยิ่งดีกว่า เพราะผมจะเดินทางกลับบ้านได้อย่างปลอดภัย แถมซ้ำยังอบอุ่นใจอีกด้วย”

ไม่พูดเปล่า เจ้าเด็กบ้านี่ยังซุกหน้าลงกับซอกคอของผม แล้วจูบเอาจูบเอาจนผมขนลุกซู่ เลือดสูบฉีดแล่นทั่วไปหน้าจนร้อนผ่าว ด้วยความอายที่เดียร์ล่วงเกินผมต่อหน้าเพื่อนโดยไม่อาย จะหนีก็ไม่ได้ เพราะอ้อมแขนที่รัดร่างผมนั้นแน่นหนาเหลือเกิน

แถมซ้ำในส่วนลึกของจิตใจ ผมกลับไม่ปรารถนาจะหลีกเร้นไปจากเขา อ้อมกอดที่สร้างความอบอุ่น กับจูบที่อ่อนหวานของเดียร์ทำให้หัวใจของผมพองโตอย่างมีความสุข

แล้วในที่สุดคนป่วยขาหักก็ถูกผมรับกลับมาบ้าน หลังจากที่ให้หมอตรวจอาการอีกครั้งและจ่ายค่ารักษาพยาบาลเรียบร้อยโดยที่ทางทีมงานค่ายเพลงออกค่ารักษาให้

อาการของเดียร์ไม่ได้หนักหนาสาหัสมากมายสามารถกลับไปรักษาตัวที่บ้านได้ แต่ต้องระมัดระวังในเรื่องการเดินเหิน และการออกกำลังกายในช่วงนี้ คาดว่า ไม่เกินสองอาทิตย์ ขาของเดียร์ก็จะหายเป็นปกติ

เด็กหนุ่มบ่นอุบ บอกว่าอยากหายก่อนวันที่ 25 วันเกิดของเขา ไม่งั้นแล้ว คงไม่ได้ ฉลองวันเกิดกับผมแน่ ผมหมั่นไส้ เลยเขกหัวคนเจ็บไปหนึ่งที

บอกว่ารักษาร่างกายเสียก่อนเถอะ วันเกิดฉลองย้อนหลังก็ได้ ถึงอย่างไรผมก็รักษาคำพูดที่ให้เขาไว้ ว่าจะไปฉลองกับเขาสองคนอยู่แล้ว
เสียงคุยเจื้อยแจ้ว ดังมาไม่ขาดปาก จากคนที่นอนหนุนตักผมอยู่ขณะนี้ ผมไม่ได้ขับรถเอง เพราะรู้สึกเพลียจากการขับรถมาทั้งคืน น้อยเลยอาสาขับแทน

ผมให้กุญแจน้อยไป โดยไม่ได้เกี่ยงงอน เพราะคิดว่าน้อยคงจะขับรถพาผมกับเดียร์กลับบ้านโดยปลอดภัย ส่วนตัวผมเองก็นั่งข้างหลังกับเดียร์ เด็กหนุ่มอ้อนขอนอนหนุนตักผม อ้างว่าเพลีย และจะได้วางขาสบายๆ

ผมเห็นหน้าอ้อนๆนั้นก็อดสงสารไม่ได้อีก เลยยอมตามใจเจ้าเด็กบ้าให้หนุนตักได้ตามที่ขอ พอได้ที่เหมาะๆ เดียร์ก็เริ่มซุกซน เขาจับมือผมไปกอดจูบลูบคลำ ปากก็คุยไปเรื่อยถึงการไปแสดงคอนเสิร์ตของเขา เด็กหนุ่มเล่าให้ผมฟังอย่างมีความสุข ดูท่าทางเขาจะชอบอาชีพของเขามาก
สักพักเสียงคนคุยก็ค่อยๆแผ่วหาย พร้อมๆกับมีเสียงลมหายใจที่ดังสม่ำเสมอ เข้ามาแทนที่ ผมก้มลงมองใบหน้าอ่อนเยาว์บนตัก แล้วอมยิ้ม
เดียร์หลับตาพริ้มโดยที่เกาะกุมมือข้างหนึ่งของผมวางไว้ที่หน้าอกด้านซ้ายตรงตำแหน่งที่เป็นหัวใจของเขา ผมไม่ได้ดึงมือออกปล่อยให้มันอยู่ตรงนั้นตามเดิม แต่ใช้มือข้างที่ว่าง ลูบไล้เรือนผมหนานุ่มหยิกสลวยนั้นอย่างแผ่วเบา



anna1234

  • บุคคลทั่วไป
เด็กหนอเด็ก ทำเป็นอวดดี เข้มแข็งให้คนที่ตัวเองรักเห็น เพื่อที่จะได้ถือสิทธิ์ในการปกป้องดูแล แต่กลับกลายมาเป็นคนอ่อนแอให้ผมต้องเอาใจใส่ซะเอง

ผมรู้สึกตัวอีกที เมื่อน้อยปลุกผม บอกว่าถึงกรุงเทพแล้ว น้อยจะขับไปส่งให้ถึงบ้าน แต่ต้องบอกมาว่าไปทางไหน
ผมบอกน้อยไปถึงสถานที่อยู่ของผม จากนั้นก็หันมามองคนที่นอนหนุนตักเมื่อครู่ ซึ่งบัดนี้ ลุกขึ้นมานั่งตัวตรงเคียงข้างผมแล้ว เขายิ้มตาหวานเยิ้มให้ผม ทำท่าประจบประแจง

“เรียวคงเมื่อยขาแย่เลย ที่ผมนอนหนุนตักตั้งหลายชั่วโมง กลับไปถึงบ้าน แล้วผมจะนวดให้นะ เรียวจะได้หายปวดเมื่อย”

“ไม่ต้องหรอก ขายังไม่หาย อย่ามาทำซ่าส์หน่อยเลย”

“นี่ เลยอดเลย อดทำกับข้าวให้เรียวทานเลย....ขามาเดี้ยงแบบนี้แล้วอ่ะ”

เด็กหนุ่มรำพึงรำพัน ท่าทางเสียดายจริงๆ ผมแตะมือของเดียร์เบาๆ เป็นเชิงบอกให้เขารู้ว่า ไม่เป็นไร ผมไม่ได้ซีเรียสกับเรื่องนี้
ใจผมอยากจะบอกเขาเหลือเกินว่า แค่เขาไม่เป็นไรมาก หายดีกลับมาเป็นเด็กร่าเริงแจ่มใสตามเดิม ผมก็ดีใจมากแล้ว แต่ผมกลัวว่าเขาจะเข้าใจว่าผมรักเขา จึงเป็นการดีที่ผมจะไม่พูดออกไป

พวกเราถึงบ้านกันตอนสามทุ่มกว่า ผมชวนน้อยให้ค้างคืนที่บ้านด้วย แต่น้อยขอตัวบอกจะรีบกลับไปที่พัทยา เพราะฝากร้านให้ลูกน้องดูแล เนื่องจากเป็นห่วงเดียร์เลยติดสอยห้อยตามไปจนถึงขอนแก่นด้วย

ชายในร่างสาวรีบปฎิเสธเมื่อผมอาสาว่าจะไปส่งที่ท่ารถทัวร์ น้อยขอร้องให้ผมอยู่เป็นเพื่อนเดียร์ เพราะเจ้าเด็กหน้าทะเล้น เดินเหินไม่ถนัดต้องใช้ไม้ค้ำยัน อาจจะทำอะไรได้ไม่สะดวก น้อยไปเรียกแท็กซี่เองก็ได้

ผมจำนนด้วยเหตุผลที่น้อยให้มา จึงกล่าวขอบคุณเขาที่ช่วยดูแลเดียร์อย่างดี น้อยบอกว่าไม่เป็นไร มันเป็นหน้าที่ของเพื่อน
น้อยรู้จักกับเดียร์มาตั้งแต่สมัยเรียน รักและดูแลกันมาตลอด แต่น้อยก็ทำได้แค่นี้ ส่วนคนที่เดียร์อยากให้อยู่เคียงข้างมากที่สุดคือผมต่างหาก
ก่อนจะจากกัน น้อยก็พูดถึงเดียร์ให้ผมฟังอีกครั้ง ว่าเขาทุกข์ใจเพียงใดที่เป็นคนทำให้ผมไม่สบายใจ เขากลัวมากว่าจะเสียผมไป จึงกินเหล้าเมายาร้องไห้ฟูมฟายจนไปเกิดอุบัติเหตุ

น้อยหวังว่า ความเข้าอกเข้าใจที่ผมมีต่อเดียร์ในวันนี้ จะทำให้เด็กหนุ่มมีความสุขมากขึ้น

“น้อยขอนะคะ ขอให้คุณเรียว ใช้หัวใจของตัวเองมองให้ลึกซึ้งลงไปถึงความรักที่เดียร์มีต่อคุณ ตอนนี้ชีวิตของเขามีแค่คุณเพียงคนเดียวเท่านั้น

ถ้าหากมันไม่เลวร้ายสำหรับคุณจนเกินไปนักที่จะยอมรับความรู้สึกของตัวเอง น้อยก็อยากให้คุณเปิดใจรับเดียร์เข้ามาในชีวิตค่ะ เพื่อความสุขทั้งตัวคุณเอง แล้วก็เจ้าหนูจอมลีลาของน้อยด้วย

เดียร์เขาน่าสงสารมากๆ แล้วเขาก็รักคุณจริงๆค่ะน้อยคงไม่มีเวลาได้ดูแลเขาเหมือนคุณ....ฝากเพื่อนน้อยคนนี้สักคนนะคะ”
น้อยกลับไปแล้วแต่ทิ้งคำพูดให้ผมต้องครุ่นคิด

“ถ้าหากมันไม่เลวร้ายสำหรับคุณจนเกินไปนักที่จะยอมรับความรู้สึกของตัวเอง น้อยก็อยากให้คุณเปิดใจรับเดียร์เข้ามาในชีวิตค่ะ”

เลวร้ายหรือเปล่านะ ที่จะรับเจ้านี่เข้ามา ผมไม่อาจจะรู้ได้ รู้เพียงว่ารู้สึกดีกับเด็กทะลึ่งทะเล้นคนนี้มาก เป็นห่วงเป็นใยเขา คิดถึงเขาแทบตลอดเวลา

แต่อะไรบางอย่างมันบอกกับผมว่าความรู้สึกนี้ไม่ใช่เรื่องน่ายินดี หรือควรเปิดเผยสักเท่าไหร่ มันควรถูกเก็บงำไว้ในซอกลึกที่สุดของหัวใจ ไม่ควรแสดงออกมาให้ใครรู้เห็น

ขณะที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ ร่างของผมก็ปลิวเข้าไปสู่อ้อมอกแข็งแรงที่แสนจะคุ้นเคย เดียร์ใช้แขนข้างที่ว่าง รัดร่างผมเข้ามากอดเสียแน่น แล้วซุกจมูกลงที่ซอกคอของผมพลางกระซิบเสียงอ่อนหวาน

“มาทำอะไรอยู่หน้าบ้านอย่างนี้ละครับ เข้าบ้านได้แล้วนะ ข้างนอกยุงเยอะ เดี๋ยวผิวขาวๆของเรียวจะลายพร้อยกันพอดี”

“ก็ปล่อยก่อนสิ นี่ขนาดมีแค่แขนเดียวนะ ขาก็เดี้ยง ยังไม่วายทำตัวรุ่มร่ามอีก”

ผมดุเขา เดียร์หัวเราะ เขาจูบผมที่ข้างแก้มอีกครั้ง ก่อนจะปล่อยแขนที่รัดร่างผมออก พลางเดินโขยกเขยกนำหน้าไป
ผมส่ายหน้าที่เห็นคนไม่เจียมตัวที่ใช้ไม้ค้ำยันรักแร้ เพื่อพยุงร่างกายไม่ให้ล้ม ท่วงท่าการเดินที่ยากลำบากบอกให้รู้ว่าเจ้าเด็กบ้านี่เจ็บปวดเพียงไร ในที่สุดผมก็ทนเห็นเขาเดินไปแบบนั้นไม่ได้ ต้องรีบเข้าไปประคองเขาให้มานั่งที่โซฟา

“ใส่เฝือกขาแบบนี้ จะเดินขึ้นไปนอนข้างบนคงไม่สะดวก เห็นทีจะต้องนอนอยู่ที่ตรงโซฟาในห้องรับแขกนี่แหละ”

ผมสรุป เพราะมันน่าจะสะดวกดีต่อการที่จะทำอะไรต่อมิอะไร ห้องน้ำ ห้องครัว โต๊ะทานข้าวก็อยู่ใกล้ ไม่ต้องตะกายขึ้นบันไดไปให้ลำบาก
สภาพเจ้านี่ไม่พร้อมที่จะใช้ขาไปในกิจกรรมที่ไม่จำเป็นอยู่แล้ว ให้นั่งๆนอนๆตรงโซฟานี้ไปสักระยะหนึ่ง ไม่ต้องขึ้นๆลงๆให้เจ็บตัวไปมากกว่าเดิม แต่ดูเหมือนสิ่งที่ผมพูด เดียร์จะไม่ค่อยเห็นด้วยสักเท่าไหร่ เขาทำหน้าอ้อนๆ ส่งสายตาวิงวอนมาหาผม

“ถ้าผมนอนตรงนี้ แล้วเรียวจะอยู่เป็นเพื่อนกับผมหรือเปล่าครับ ผมไม่อยากอยู่คนเดียว เวลาไม่สบายแบบนี้ อยากให้เรียวมาอยู่ใกล้ชิดกับผมน่ะครับ

แต่ถ้าเรียวไม่สะดวกใจ เราขึ้นไปนอนกันข้างบนก็ได้นะครับ ผมขึ้นไปได้ แค่ใส่เฝือกแค่นี้ ไม่ถึงตายหรอกครับ แต่ถ้าไม่ได้อยู่ใกล้ๆเรียว ผมกลัวว่าจะขาดใจตายมากกว่า ”

ฟังเหตุผลของคนเจ้าเล่ห์ที่ยกมาอ้าง เพื่อขออยู่ใกล้ชิดกับผม มันทั้งน่าปลื้ม และน่าหมั่นไส้ระคนกัน แต่ถึงกระนั้น ผมก็ยอมตามใจเขาอีกจนได้

ผมหอบที่นอน หมอน ผ้าห่ม มาจากข้างบน 2 ชุด สำหรับเดียร์และตัวเอง ผมจัดแจงเอาหมอนและผ้าห่มวางไว้ที่โซฟาตัวยาว แล้วบังคับให้เดียร์นอน

ส่วนตัวเองจัดการเอาโซฟาเดี่ยว ตัวใหญ่สองตัว หันหน้ามาชนกัน ทำให้เกิดแอ่งที่ว่าง สามารถลงไปนอนได้แต่จะคับแคบหน่อย ผมวางหมอนและผ้าห่มลงไป
คนป่วยนั่งจ้องผมตาแป๋ว เมื่อเห็นผมไม่นอน เขาก็ยังนั่งเฉย จนผมต้องหันมาดุ เขาก็บอกว่าเขานอนไม่หลับ มันเหนียวตัว
ผมเลยนึกขึ้นได้ว่าตั้งแต่เดินทางมา เรายังไม่ได้อาบน้ำอาบท่ากันเลย ผมเลยเดินเข้าไปในครัว แล้ว เอากาละมังรองน้ำใส่ครึ่งหนึ่ง แล้วหยิบผ้าขนหนูผืนสีขาวสะอาดสะอ้านผืนเล็กติดมือมาด้วย

เดียร์นั่งมองผมที่เดินถือกาละมังเข้ามาหา ทำตาโตหน้าระริกรื่น จนผมรู้สึกหมั่นไส้ เขาคงรู้ว่า ผมจะช่วยเขาเช็ดเนื้อเช็ดตัว จึงรีบวางไม้ค้ำยันไว้ข้างโซฟา พลางเอนกายลงนอน ปลดเสื้อออกจากตัว แต่ตายังคงจ้องผมเขม็ง
ผมบิดผ้าขนหนูที่ชุบน้ำจนชุ่ม แล้วเช็ดไปทั่วหน้าก่อนจะเลื่อนมาที่ตรงซอกคอและแผ่นอกกว้างที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม พยายามไม่มองสบตาใบหน้าทะเล้นที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างสุขใจ

ผมเช็ดตัวต่ำลงไปเรื่อยๆ พอถึงขอบกางเกงเล (เดียร์ใส่กลับมาเนื่องจากนุ่งกางเกงปกติไม่ได้ เพราะเขาเข้าเฝือกขา) ผมรู้สึกลังเลใจไม่กล้าเช็ดร่างกายที่อยู่ต่ำกว่านั้น เลือดอุ่นๆฉีดพล่านไปทั่ว

อารมณ์วาบไหวเมื่อนึกถึงว่าภายใต้ผ้าที่ปกปิดเอาไว้มีบางส่วนของร่างกายของเดียร์ที่เคยแนบชิดเป็นหนึ่งเดียวกับร่างกายของผมมาหลายครา มีเสียงหัวเราะคิกคักดังมาให้ได้ยินจนผมต้องหันไปมอง

“เรียวครับ.....ทำไมต้องหน้าแดงแบบนั้นด้วยล่ะ เรียวก็เห็นร่างกายของผมหมดทุกซอกทุกมุมแล้วนี่นา เรียวยังจะเขินอีกเหรอครับ หรือว่าเรียวมีความรู้สึกยามที่จับต้องตัวผม เรียวชอบเหมือนที่ผมชอบจับต้องเนื้อตัวเรียวใช่ไหม ”

เจ้าบ้าเอ๊ย อวดทำเป็นรู้ดีไปได้ เรื่องอะไรผมจะต้องมาตอบคำถามแบบนี้ด้วย อยากดึงลิ้นคนพูดออกมาตัด จะได้เลิกพูดจาที่ทำให้คนอื่นได้อายแบบนี้สักที

“อายที่จะพูดหรือครับ ไม่เห็นต้องอายเลย ผมน่ะ ชอบทุกครั้งที่ได้สัมผัสตัวของเรียว ชอบที่จะได้กอด ลูบไล้ ได้หอม ได้จูบ
รู้ไหมครับ อากาศที่ผมสูดผ่านจากเนื้อตัวของเรียวมันช่างหอมเย้ายวนจริงๆตรึงใจไม่รู้ลืม แล้วไหนจะยังปากนุ่มๆของเรียวอีก
เวลาที่สอดลิ้นเข้าไป ให้อารมณ์ที่สุด เหมือนได้ลิ้มรสของหวานที่ทานไม่รู้เบื่อ.....ผมน่ะคิดถึงเรียวทีไร ก็นึกอยากทำแบบนี้กับเรียวทุกวัน ทุกๆสถานที่ และทุกเวลาเลย โอ้ยยยยย .....อย่าแกล้งกันแบบนี้สิครับ”

ผมหยุดเสียงพร่ำเจื้อยแจ้วของเดียร์ที่พูดถึงความปรารนาที่เขามีต่อตัวผม ด้วยการเช็ดถูเนื้อตัวเขาแรงๆ เด็กหนุ่มร้องอุทธรณ์
เมื่อเห็นผมหัวเราะอย่างสะใจ เขาก็ดึงตัวผมเข้าไปหาตัว แล้วกอดผมแน่น พลางกดหน้าผมให้จมูกแนบกับแผ่นอกของตัวเอง คงอยากแกล้งให้ผมได้สัมผัสกับตัวเขาบ้าง

แต่ผมพยายามดิ้นหนี ช่วงนี้เป็นโอกาสดีที่ผมจะแข็งข้อ เพราะเด็กหนุ่มบาดเจ็บ จนใช้แรงได้ไม่มากเหมือนเดิม สิ่งที่ผมคิดมันตรงข้ามกับความเป็นจริง

เดียร์ขาเจ็บ แต่แขนสองข้างนั้นทรงพลังเหมือนเดิม เขาขยับกายลุกขึ้นนั่ง แล้วลากผมเข้าไปกอดจูบ สัมผัสของเขาเรียกอารมณ์ผมให้ลุกโพลงขึ้นอย่างช่วยไม่ได้

เวลาสองอาทิตย์ที่ห่างหายกันไปแทนที่จะทำให้ผมลืมเขาโดยง่าย แต่กลายเป็นว่าทั้งร่างกายและจิตใจผมกลับเรียกร้องหาเดียร์อยู่ตลอดเวลา

ผมปรารถนาที่จะให้เขาสัมผัสร่างกายของผม อยากซบลงในอ้อมกอดนั่น ให้เขาทำอย่างที่เคยทำโดยไม่เกี่ยงงอนอะไรอีกต่อไปแล้ว
หลังจากเดียร์กอดจูบลูบคลำผมจนหนำใจ โดยปราศจากการต่อต้าน เดียร์ก็ขอให้ผมลุกขึ้น ซึ่งผมก็ทำตามอย่างว่าง่าย โดยมายืนอยู่ตรงหน้าเขา

เดียร์ขยับนั่งตัวตรง มองหน้าผม ส่งยิ้มอ่อนหวานที่แฝงนัยความหมายที่รู้กันดีระหว่างเราสองคน เขาเอื้อมมือมาที่เข็มขัดของผม แล้วปลดออกจากนั้นก็ปลดตะขอ แล้วรูดซิบกางเกงผมลง พลางแนบหน้าเข้ามาใกล้

ผมผงะออกเมื่อสำนึกได้ว่า เดียร์กำลังจะทำอะไรกับน้องชายของผม แต่เด็กหนุ่มรีบคว้าเอวผมไว้ แล้วใช้มืออีกข้าง ดึงกางเกงนอกและกางเกงในของผมลงพร้อมกัน ก่อนที่มือใหญ่นั้นจะสอดเข้าไปกอบกุมแก่นกายของผมไว้ และลูบไล้อย่างนุ่มนวล

“อย่านะเดียร์.....อย่าทำเลย.....มัน....ไม่สะอาดเท่าไหร่ ...เอ้อ....ฉัน...ฉันยังไม่ได้อาบน้ำ...”

ผมบอกเขาเสียงพร่า เริ่มหวั่นไหวไปกับแรงมือที่คลึงเคล้าไม่ยอมหยุด เดียร์ก้มหน้าลงไปสูดดมของหวงของผม แล้วก็เงยหน้าขึ้นมายิ้ม

“ผมไม่รังเกียจหรอก กลิ่นนี้เป็นกลิ่นของเรียว ร่างกายนี้เป็นของคนที่ผมรัก ถึงอย่างไรก็หอมหวานสำหรับผมเสมอ...”

“ไม่นะ....ฉัน...ไม่อยากทำแบบนี้....เอ้อ ...ในตอนนี้”

ประท้วงพลางใช้สองมือยันไหล่เขาไว้ เด็กหนุ่มค่อยๆแกะมือสองข้างของผมออกจากบ่า แล้วรวบมากุมไว้ ยกขึ้นจูบ พลางทำเสียงกระซิบกระซาบออดอ้อน

“ให้ผมทำเถอะนะครับ ยอดรัก สองอาทิตย์แล้วที่เราไม่ได้เจอกันเลย ผมคิดถึงเรียวมาก แล้วผมก็รู้ว่าเรียวรู้สึกอย่างเดียวกับผม
ตอนที่ผมไม่อยู่ เรียวเองก็คงไม่ได้ทำอะไรเพื่อปลดปล่อยตัวเองใช่ไหม ตอนนี้ผมอยู่ที่นี่แล้ว ผมอยากช่วยทำให้เรียวมีความสุข อนุญาตให้ผมทำเถอะนะคนดี ผมสัญญาว่าจะทำให้วันเวลาเก่าๆที่เราอยู่แนบชิดกัน กลับมามีความสุขเหมือนเดิม”

เดียร์ทำท่าจะก้มลงไปจัดการกับน้องชายของผมเหมือนเคย แต่ผมไม่มั่นใจในตัวเอง เลยขืนตัวไว้ เด็กหนุ่มเหมือนจะรับรู้ว่าผมกังวลใจอยู่ เขาก็เลยหาทางแก้ปัญหา โดยการดึงผ้าขนหนูจากมือผมที่ถือค้างเอาไว้ แล้วเอามาเช็ดทำความสะอาดเนื้อตัวส่วนนั้นให้

“แบบนี้ก็สะอาดแล้ว แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะหมดจดหรือเปล่า ต้องให้ผมจัดการเป็นขั้นตอนสุดท้าย”

ยังไม่ทันที่ผมจะทันขัดขืน เดียร์ก็กอบกุมน้องชายของผมไว้ พลางเลื่อนริมฝีปากอุ่นเข้าครอบครองแก่นกายของผม สองมือก็ดันสะโพกเข้าหาใบหน้าของเขา ผมส่งเสียงครางอื้ออึง เมื่อเดียร์ใช้ลิ้นโลมเลียและดูดเน้นไปทั่ว

ความวาบหวามที่ได้รับ ทำให้ผมขยับสะโพกอย่างเผลอตัว สองมือสอดเข้าไปในเรือนผมหยิกสลวยนั่นแล้วลูบไล้แผ่วเบา ก่อนจะกดหน้าของเขาแนบชิดเรือนกายท่อนล่างของผมยิ่งขึ้นไปอีก

ในเวลาไม่นานนักร่างกายที่ขมึงตึงของผมก็ปลดปล่อยธารรักออกมาจนชุ่มปากของเดียร์ ผมตัวสั่นระริก ก้มลงใบหน้าที่อยู่ต่ำลงไปมองเห็นริมฝีปากของเดียร์ยังครอบครองน้องชายของผมอยู่

ปลายลิ้นของเขาแลบเลียของเหลวที่ไหลออกมาจากส่วนปลายของแก่นกายที่ขึงเขม็ง เด็กหนุ่มดูดกลืนจนหมดสิ้นพลางใช้ลิ้นแลบเลียทำความสะอาดให้ผมจนทั่ว
“เห็นไหมครับ ร่างกายของเรียวตอบรับสัมผัสจากผม แล้วเรียวก็มีความสุขมากๆด้วย แสดงว่าเรียวก็คิดถึงผมมากๆเหมือนกัน
ถ้าเราต่างคนต่างคิดถึงกันแบบนี้ คราวหลังเราอย่าทะเลาะกันอีกเลยนะครับ เรามาดีกันเถอะนะ ผมสัญญาว่าจะไม่เกเรกับเรียวอีกแล้ว แล้วเรียวก็อย่าหงุดหงิดเอากับผมง่ายๆอีกนะครับ

อยากให้ผมทำอะไรก็บอกมาได้เลย ผมยินดีทำเพื่อเรียวครับ ขอแค่สองอย่างเท่านั้น คือ อย่าห้ามไม่ให้ผมยุ่งเกี่ยวกับร่างกายของเรียว แล้วก็อย่าเพิ่งเลิกรากันไปก่อนเวลา นะครับ นอกนั้นผมให้เรียวได้ทุกอย่าง แม้แต่ชีวิตของผม”

คำพูดที่อ่อนหวานและจริงจังของเดียร์ ทำให้ผมเต็มตื้นในหัวใจ รู้ตัวว่าหน้าตนเองต้องแดงก่ำแน่ๆเมื่อเด็กหนุ่มเดาใจผมถูก
เขารู้ว่าผมคิดถึงและปรารถนาในตัวเขาเช่นกัน ความอายที่มีคนมาล่วงรู้สิ่งที่ตัวเองพยายามปกปิด ทำให้ผมแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับคำพูดนั้น
เสไปจัดการสวมใส่กางเกงให้กับตัวเอง แต่มือไม้ก็สั่นเทาจากอารมณ์ปรารถนาที่เพิ่งถูกดับไปสดๆร้อนๆ มันฟ้องว่าผมรู้สึกอย่างไร

เพื่อไม่ให้เดียร์จับสังเกตอาการของผม แล้วเอามาพูดไปมากกว่านี้ ผมจึงขอตัวขึ้นไปอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวนอน แล้วบอกให้เขาพักผ่อนได้แล้ว เดียร์ยิ้มให้ผมทั้งปากและตา จากนั้นก็ล้มตัวลงนอนบนโซฟาแล้วหลับตาลง

เด็กหนุ่มหลับไปแล้ว ตอนที่ผมอาบน้ำแล้วเดินลงมา ผมมองหนุ่มน้อยที่นอนเอาขาดทั้งสองพาดไปตามแนวยาวของโซฟา แล้วให้รู้สึกสงสาร เห็นใจ

ขาเจ็บแบบนี้ แล้วนอนในที่คับแคบ คงจะไม่ค่อยสบายสักเท่าไหร่ แต่ผมจะแบกเขาขึ้นไปข้างบนด้วยก็ไม่ไหว
อีกอย่างเวลาที่ผมไม่อยู่ ไปทำงาน จะมีใครคอยพาเขาขึ้นลง ให้นอนแบบนี้ไปชั่วคราวก่อนแล้วกัน

เดี๋ยวพรุ่งนี้ ผมจะแว่บไปซื้อโซฟาที่พับเป็นเตียงนอนได้มาไว้ เจ้าเด็กนี่จะได้นอนหลับสบายๆ ขาจะได้หายเร็วๆ
ผมไม่ปล่อยให้เดียร์ต้องรอนาน ในตอนเย็นของวันต่อมา โซฟาขนาดใหญ่ก็ถูกนำมาส่งที่บ้านของผม เดียร์มองอย่างคาดไม่ถึง
เขาดีใจมากเมื่อทราบว่าผมจัดการซื้อโซฟาตัวนี้มาเพื่อเขา แม้ผมจะแกล้งพูดว่าผมอยากเปลี่ยนมาแทนโซฟาตัวเก่า แต่เดียร์ก็ทำหน้ารู้ทัน
หลังจากที่ผมจ่ายเงินให้กับพนักงานที่มาส่งของเรียบร้อย และคนพวกนั้นกลับไปแล้ว เด็กหนุ่มก็รั้งตัวผมไปกอดในอ้อมแขน แล้วระดมจูบผมไม่ยั้ง

อาทิตย์หนึ่งผ่านไปด้วยความราบรื่น งานของผมไม่มีอะไรติดขัด สันต์ก็ไม่มากวนใจ ได้ข่าวว่ามันกำลังลุ่มหลงหนุ่มเบนอย่างหนัก
ศักดิ์ชายก็ไปต่างจังหวัดเนื่องจากมีเคสใหญ่ที่ต้องไปตรวจสอบ จะมีก็แต่เรื่องของคุณแคทลียาเท่านั้นที่ผมยังไม่ได้ให้คำตอบ แล้วเธอก็ไม่ได้เร่งเร้าอะไรผมมากจนกระทั่งผมคิดว่าเธอคงลืมความตั้งใจไปแล้ว

ซึ่งมันก็เป็นเรื่องดี เพราะตอนนี้ เดียร์ก็เข้ามาอยู่บ้านผมแล้วด้วย เป็นการอยู่ชั่วคราว พอเขาหายแล้วต้องกลับไปอยู่บ้านเช่าตัวเองดังเดิม
เด็กหนุ่มหายวันหายคืนอย่างน่าพอใจ เขาทำตัวว่าง่ายยอมเชื่อฟังผม นอนพักฟื้น ทานยาที่หมอให้มา แล้วไม่พยายามทำอะไรที่ต้องใช้เรี่ยวแรงมากมาย เดียร์ยังคงช่วยผมกวาดบ้าน ถูบ้านบ้าง แต่งานซักผ้า เอาข้าวให้เจ้าหญิง และล้างชาม ผมแย่งเอามาทำจนหมด
เราไม่ได้ทำกับข้าวกินกันอย่างเคย หากแต่ผมซื้อกับข้าวสำเร็จรูปมาไว้ แล้วจะอุ่นให้เดียร์ทานตอนเช้าก่อนออกจากบ้านไปทำงาน
ตลอดสัปดาห์ที่อยู่ด้วยกัน เดียร์ทำตัวน่ารัก ไม่งอแง หรือเอาแต่ใจให้เห็น ผมยอมลงมานอนที่โซฟาข้างล่างเป็นเพื่อนกับเขา ปล่อยให้เดียร์นอนบนโซฟาตัวใหม่ที่ผมวางไว้ชิดผนัง ส่วนผมนอนบนโซฟาตัวเดิม

แรกๆเดียร์ทำท่าไม่ยอมอยากให้ผมนอนเตียงเดียวกับเขาด้วย แต่พอผมขู่ว่าจะหนีขึ้นไปนอนบนห้อง เขาก็ยอมให้ผมนอนแยกกับเขาโดยดี ถึงอย่างไร ก็ยังได้อยู่ใกล้ๆผม ดีกว่านอนกันคนละที่ เดียร์บอกกับผมแบบนั้น

เช้าวันที่ 25 ธันวาคม อากาศหนาวเย็นยะเยือกเริ่มพัดผ่านเข้าสู่กรุงเทพฯ ผมตื่นนอนแต่เช้ามืดกะตั้งใจว่าจะพาเดียร์ไปใส่บาตร แล้วพาเขาไปทานอาหารซักหน่อย

เด็กหนุ่มตื่นและอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาตื่นก่อนผมร่วมชั่วโมง แล้วนั่งมองผมที่ยังนอนหลับคุดคู้อยู่บนโซฟา เราสองคนยังไม่ได้ย้ายขึ้นไปนอนข้างบน เพราะเดียร์ยังไม่ได้ถอดเฝือกออกเลย

แต่ร่างกายที่แข็งแรงของเดียร์ทำให้เขาฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว เดินเหินได้คล่องกว่าแต่ก่อน จะมีอาการปวดขาเพียงเล็กน้อย แต่ไม่มาก
ทันทีที่ผมเห็นเขา ผมก็กล่าวอวยพรขอให้เขามีความสุข ได้พบเจอกับสิ่งดีๆ และขอให้ได้ในทุกสิ่งที่ต้องการ เดียร์กล่าวขอบคุณพลางยิ้มกว้างให้ผม

เขาบอกกับผมว่า ขอให้คำอวยพรของผมเป็นจริง เพราะสิ่งที่เขาต้องการคือความรักจากผม และทุกอย่างมันสามารถเป็นจริงได้ หากนางฟ้าซึ่งก็คือตัวผม จะร่วมมือทำให้มันเกิดขึ้น

หลังจากพาเดียร์ไปวัด ทำบุญ ใส่บาตร ทำสังฆทาน ไถ่ชีวิตโคกระบือ แล้วก็บริจาคโลงศพแล้ว เดียร์ก็ขอร้องให้ผมพาไปโรงพยาบาล เพื่อผ่าตัดเอาเฝือกออกด้วย

เขายืนยันว่าเขาหายดีแล้ว สามารถเดินได้ วันนี้ เป็นวันพิเศษของเขา เดียร์ไม่อยากใช้ไม้ค้ำยันในการพาตัวไปไหนต่อไหนกับผม เขายินดีให้หมอตรวจอาการอีกครั้ง หากหมอบอกว่า เขายังไม่ควรจะเดินมาก เขาก็จะเคารพในกติกานั้น

เมื่อขัดเดียร์ไม่ได้ ผมเลยต้องจำใจพาเดียร์ไปหานายแพทย์ที่ผมรู้จักดีที่โรงพยาบาล เนื่องจากผมทำงานทางด้านพิจารณารับประกัน จำเป็นต้องมีการแต่งตั้งแพทย์ของบริษัท เพื่อคอยตรวจสุขภาพลูกค้าที่มาทำประกัน และผมต้องเข้าไปทำสัญญากับนายแพทย์แต่ละท่าน รวมถึงการเข้าพบเพื่อตรวจสอบข้อมูลลูกค้าบ่อยครั้ง ทำให้ผมสนิทกับแพทย์หลายคน

นายแพทย์สอบถามข้อมูลและตรวจอาการของเดียร์ จากนั้นก็ตัดสินใจผ่าเฝือกออกให้ เพราะเดียร์ค่อยยังชั่วแล้ว แถมซ้ำเจ้าตัวยังบอกอย่างแข็งขันว่าหายดีแล้ว ไม่เป็นอะไรมาก

แต่กระนั้น หมอก็ยังคงพันผ้าให้ เพื่อที่จะยึดเอาไว้ ไม่ให้ขาได้รับความกระทบกระเทือนจากกิจกรรมต่างๆ แต่แค่นั้นเดียร์ก็พอใจ เขาแค่อยากเดินเหินเป็นอิสระ ไม่ต้องขโยกเขยกไปพร้อมกับไม้ยันรักแร้ อยากให้วันเกิดของเขาเป็นวันที่ได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข

เราสองคนตกลงกันว่าจะไปทานอาหารที่เมืองชายทะเล เดียร์จากบ้านมานานแล้ว เขาเคยกินกุ้งหอยปูปลาสดๆมาก่อน พอมาอยู่กรุงเทพของที่นำมาใช้ทำอาหารก็ไม่สดเหมือนเดิม รสชาติจึงอร่อยสู้ไปกินถึงที่ไม่ได้ ผมเลยอยากพาเขาไปรำลึกถึงบรรยากาศเก่าๆ
ในตอนแรกผมตั้งใจไว้แบบนั้น ว่าจะพาเดียร์ไปริมทะเล แถว บางแสนหรือไม่ก็แถวพัทยา แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าผมเคยสัญญากับเด็กหนุ่มคนนี้ ว่าผมจะพาเขาไปเที่ยวเพื่อตอบแทนสิ่งดีๆที่เขาทำให้ผม

ก็เลยคิดว่าครั้งนี้น่าจะเป็นโอกาสดีที่จะไปด้วยกัน เพราะวันนี้เป็นวันเกิดของเดียร์แถมซ้ำตรงกับวันหยุดสุดสัปดาห์อีกด้วย
เดียร์บอกกับผมว่า มีสถานที่หนึ่งที่เขาอยากไปมานาน แต่ไม่เคยไปเสียที นั่นก็คือ เกาะเสม็ดซึ่งอยู่ในจังหวัดระยอง ใกล้กับบ้านเกิดของเขา
แต่ว่าตั้งแต่หนีออกจากบ้านมา จนเข้ามาทำงานในกรุงเทพ เขาก็ยังไม่เคยได้ไปที่นั่น เพื่อนๆเล่าให้ฟังว่าที่เกาะเสม็ดสามารถเที่ยวและพักได้รอบเกาะ มีหาดทรายสวยๆ และสามารถลงเล่นน้ำได้ด้วย

ผมก็ถามเขาว่า เป็นแบบนี้ แล้วจะเดินทางไปไกลขนาดนั้นได้เหรอ แถมซ้ำยังมีลงน้ำด้วย ขาอาจจะเจ็บมากกว่าเดิมก็ได้ แต่เดียร์ก็บอกว่า เขารู้สึกสบายดีทุกอย่าง ขาก็หายปวดแล้ว หมอกังวลมากไปเอง ตัวเขาย่อมรู้แก่ใจตัวเองดี ว่าร่างกายของตัวเองเป็นอย่างไร หมอจะมารู้มากไปกว่าเขาได้ไง

เห็นท่าทางดื้อดึงจะไปให้ได้แบบนั้นของเดียร์ ผมก็เริ่มใจอ่อนยอมตกลงไปพักค้างคืนบนเกาะกับเขา บอกไม่ถูกว่าทำไมถึงเกิดอยากตามใจเด็กบ้านี่นักหนา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะต้องการชดเชยความผิดที่ผมพูดไม่ดีใส่เขาจนทำให้เดียร์เกิดอุบัติเหตุ หรือว่าเป็นเพราะผมเองก็อยากไปเที่ยวกับเขาเหมือนกัน

นานแล้วที่ผมไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหน หมกตัวอยู่กับการงาน บางทีการได้ปลดปล่อยตัวเองออกจากภารกิจประจำวันที่ยุ่งเหยิง อาจจะช่วยทำให้ชีวิตผมมีความสุขมากกว่าเดิมก็ได้

ในคู่มือการท่องเที่ยวจังหวัดระยองที่ผมได้มาจากการแวะร้านสะดวกซื้อตอนไปเติมน้ำมันระบุว่า เกาะเสม็ดหรือ เกาะแก้วพิสดาร เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อแห่งหนึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลเพ อำเภอเมือง จังหวัดระยอง

เป็นเกาะที่มีรูปทรงสามเหลี่ยม ส่วนฐานของเกาะอยู่ด้านทิศเหนือ ซึ่งหันเข้าสู่ฝั่งบ้านเพ มีภูเขาสลับซับซ้อนกันอยู่ 2-3 ลูก มีที่ราบอยู่ตามริมฝั่งชายหาด ส่วนใหญ่จะอยู่ทางด้านเหนือและตะวันออก อยู่ห่างจากชายฝั่งบ้านเพประมาณ 6.5 กิโลเมตร มีเนื้อที่ประมาณ 3,125 ไร่
ชื่อเสม็ด มาจากการที่เกาะแห่งนี้ มีต้นเสม็ดขาว เสม็ดแดงขึ้นอยู่เต็ม ซึ่งในอดีตที่ผ่านมา ชาวบ้านมักจะนำไปใช้ทำเป็นไต้จุดไฟ
ส่วนชื่อเกาะแก้วพิสดารนั้น มาจากชื่อเกาะที่ท่านสุนทรภู่กวีเอกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ซึ่งมีบ้านเกิดอยู่ที่ระยองรจนาไว้ในวรรณคดีเรื่องพระอภัยมณี

สันนิษฐานว่าท่านคงจะเคยมาเที่ยวที่เกาะเสม็ดแห่งนี้ แล้วเกิดติดใจในความงามของธรรมชาติและหาดทรายที่ขาวบริสุทธิ์จึงนำไปประพันธ์เรื่องพระอภัยมณีขึ้นโดยมีฉากหลังที่สำคัญตอนหนึ่งที่เกาะแก้วแห่งนี้


บนเกาะเสม็ดไม่มีแม่น้ำลำคลอง ประมาณ 80% ของพื้นที่ เป็นภูเขาและป่าไม้เบญจพรรณ ฤดูฝนเริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-กันยายน ช่วงเดือนพฤษภาคมมีมรสุมและคลื่นลมจัดมาก เดือนสิงหาคมมีฝนตกชุก

ผมกับเดียร์เดินทางกันเดือนธันวาคม ซึ่งมันอยู่ในช่วงหน้าหนาวแล้ว ไม่แน่ใจนักว่าจะเจอพายุหรือเปล่า แต่คาดว่า น่าจะไม่มีแล้ว ถึงอย่างไรเราสองคนก็ตั้งใจจะลองเสี่ยงดู บางทีสภาพอากาศอาจจะไม่เลวร้ายอย่างที่คิดก็ได้

เกาะเสม็ดมีหาดทรายที่สวยงามหลากหลายหาด ผมเคยมาเที่ยวกับเพื่อนๆสมัยเรียนมหาวิทยาลัยซึ่งก็นานเกือบ 10 ปี หาดที่ผมไปมาแล้วคืออ่าวลุงหวัง และอ่าววงเดือน

ตอนที่ผมเข้าปีหนึ่งได้ถูกรับน้องมหาวิทยาลัยที่อ่าวลุงหวัง ซึ่งอยู่ถัดจากอ่าวนวล และอยู่ติดกับอ่าววงเดือน เป็นอ่าวขนาดกลางที่ นิสิตนักศึกษาหลายสถาบันหลายยุคสมัยกว่า 30 ปีรู้จักคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีในชื่อหาดลุงหวังหรืออ่าวลุงหวัง โดยนิยมมาจัดกิจกรรม รับน้องกัน
และมีกลุ่มนักศึกษาศิลปะจากเพาะช่าง ช่างศิลป์ ศิลปากร นิยมมาอาศัยเขียนรูปกันอยู่เป็นแรมเดือน สมัยนั้นนักท่องเที่ยวต้องมาใช้น้ำจืดจากบ่อบาดาลของลุงหวัง เนื่องจากบนเกาะมีบ่อน้ำบาดาลอยู่เพียงไม่กี่แห่ง

ลุงหวัง เป็นหนึ่งในสี่ “ผู้เฒ่าทะเล แห่งเกาะเสม็ด “ที่ชื่อของแก สืบทอดมาเป็นชื่ออ่าวเล็ก ๆ อ่าวนี้ ที่นี่มีต้นไม้ใหญ่อายุยืนต้นหนึ่งริมหาด ที่มีอายุอยู่มาหลายชั่วคนแล้ว

มีสะพานไม้ขนาดใหญ่ทอดยาวจากกลางอ่าวยื่นออกไปในทะเล หน้าหาดที่นี่สวยงาม หาดทรายสีขาวละเอียด น้ำไม่ลึก เหมาะแก่การเล่นน้ำอย่างยิ่ง ปัจจุบันนี้คนอาจจะรู้จักกันอีกชื่อหนึ่งว่า อ่าวช่อ



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่18-19 20/1/09
« ตอบ #139 เมื่อ: 20-01-2009 20:14:44 »





anna1234

  • บุคคลทั่วไป
สำหรับอ่าววงเดือนนั้น รูปร่างของชายหาด เว้าโค้งเข้าไปดั่งพระจันทร์ครึ่งดวง ทำให้อ่าวนี้ชื่อว่า “ อ่าววงเดือน “ เป็นอ่าวที่ไม่เคยหลับ เช่นเดียวกับหาดทรายแก้ว

เราสามารถทำกิจกรรมต่างๆได้มากมายตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ที่อ่าววงเดือน มีสถานที่พักผ่อนหย่อนใจให้เลือกได้หลายบรรยากาศ
ถ้าต้องการความสงบเงียบ สันโดษไม่ชอบความพลุกพล่านก็ต้องพักทางด้านริมอ่าว ส่วนคนที่ชอบความคึกครื้นหน่อยก็ต้องมาพักแถวๆกลางอ่าว กีฬาทางน้ำที่นี่ก็มีให้เลือกมากมายเช่นกัน

ผมมาเที่ยวที่อ่าวนี้กับเพื่อนหลังจากขึ้นปีสองแล้ว ตอนนั้นผมกำลังอินเลิฟกับนักศึกษารุ่นน้อง พอเพื่อนๆชวนให้มาเที่ยวที่เสม็ดอีกครั้งผมก็เลยพาแฟนสาวตามมาด้วย

แต่ทว่าหลังจบจาก ทริปเกาะเสม็ด ผมและแฟนสาวคนนั้นก็มีอันต้องเลิกรากันไป เพราะเธอไปเจอคนที่รวยกว่าผม จึงผละจากผมไปโดยง่าย
ระยะหลังผมได้ข่าวเพียงแค่ว่า เธอกับสามีแยกทางกันเรียบร้อยแล้วต่างคนต่างแบ่งลูกแบ่งสมบัติ และอยู่กันแบบตัดขาดจากกันแบบไม่เผาผี เธอหอบลูกไปตั้งรกรากอยู่เมืองนอกไม่กลับมาเมืองไทยอีก ทำให้ผมไม่มีโอกาสได้เจอหรือได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเธออีกเลย
เส้นทางสายตะวันออกเป็นเส้นทางที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดี เพราะตอนที่ผมมาทำงานที่บริษัทนี้ใหม่ๆ ผมรับผิดชอบดูแลพื้นที่ ตั้งแต่ฉะเชิงเทรา ไปจนถึงตราด และปราจีนบุรี เคยลงมาปฏิบัติงานในภาคสนามบ่อยๆ

ดังนั้นผมจึงสามารถที่จะขับโดยกะเวลาที่จะไปให้ทันขึ้นเรือไปเกาะเสม็ดได้อย่างสบาย ผมขับรถไปตามทางหลวงหมายเลข 34 บางนา-ตราด ขึ้นทางยกระดับโทลเวย์ 40 กว่ากิโลเมตร ทางสิ้นสุดที่บางปะกง

เมื่อลงทางยกระดับแล้ว ผมก็เลี้ยวเข้าเส้นทาง “ชลบุรีเลี่ยงเมือง" ขับตามป้าย "พัทยา-ระยอง" เรื่อยมาจนสุดทาง ชลบุรีเลี่ยงเมืองจะมาชนกับทางหลวงหมายเลข 36 เลี้ยวไปตามป้ายระยอง

จากจุดนั้นห่างจากตัวเมืองระยองประมาณ 60 กิโลเมตร ขับมาเรื่อย ๆ ผ่านห้างบิ๊กซีที่อยู่ทางซ้ายมือเพื่อแวะซื้อขนมขบเคี้ยว และของใช้บางอย่างที่จะเอาไปใช้ที่เกาะ จากนั้นก็ขับรถขึ้นสะพานข้ามแยกตรงมาตามเส้น "จันทบุรี-ตราด" มาเรื่อย ๆ เพื่อตรงมายัง บ้านเพ ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองระยอง 19 กิโลเมตร

ผมขับตรงไปเรื่อย ๆ จนถึงสี่แยกหาดแม่รำพึง เลี้ยวขวาเข้าบ้านเพประมาณ 2 กิโลเมตร พอเห็นป้ายสวนสนทางด้านซ้าย ผมก็เลี้ยวไปตามนั้น จากจุดนั้นตรงมาอีกประมาณ 2 กิโลเมตร เจอโค้งหักศอก ผมขับตามโค้งนั้นมาจนกระทั่งเจอสามแยกศรีบ้านเพ ก็ขับเลี้ยวซ้ายอีกที และตรงมาประมาณ 2 กิโลเมตร ก็ถึงท่าเรือ ในเวลาประมาณ 4 โมงเย็น

หลังจากที่แวะเอารถเข้าไปฝากและพักทานข้าวเสร็จเรียบร้อย เดียร์กับผมก็นั่งดูรายละเอียดเกี่ยวกับสถานที่พัก เพราะยังไม่แน่ใจว่าจะไปพักที่รีสอร์ทไหนดี ผมอนุญาตให้เดียร์เป็นคนเลือก เพราะเขาเพิ่งมาครั้งแรก ส่วนผมอย่างไรก็ได้เพราะเคยไปมาแล้ว

เดียร์ตัดสินใจเลือกที่จะพักที่อ่าวทับทิม เขาเคยได้ยินเพื่อนเกย์ของเขาเล่าให้ฟังว่าหาดที่นี่สวยดี นอกจากนี้ยังมีเรื่องให้น่าตื่นเต้นด้วย เดียร์เคยถามพวกนั้นว่าเป็นเรื่องอะไร แต่เพื่อนของเขาก็ไม่ยอมบอก เขาได้เก็บความสงสัยขึ้นมา แล้วอยากจะไปสัมผัสกับความน่าตื่นเต้นนั้นด้วยตนเอง

คำอธิบายในคู่มือการท่องเที่ยวจังหวัดระยองมีเพียงย่อๆ ใจความว่า “อ่าวทับทิม” เป็นหาดทรายขาวทอดยาวตลอดด้านเหนือของเกาะตั้งแต่แหลมน้อยหน่าซึ่งอยู่บริเวณมุมเกาะด้านตะวันตกจนถึงแหลมเจ้าทับทิมซึ่งมองเห็นจากฝั่งเพด้านหลังเป็นแนวเขากระโจนติดต่อเขาพลอยแหวน ซึ่งกำบังลมทำให้มีผู้คนมาตั้งบ้านเรือนอยู่จำนวนมาก เรียกว่า "หมู่บ้านเกาะเสม็ด"

ทางด้านแหลมทับทิมมีโขดหินขนาดใหญ่สลับซับซ้อนเหมาะสำหรับนั่งชมธรรมชาติของท้องทะเลยามเย็น อ่าวนี้เล็กๆ ที่มีพื้นที่ติดกันหรือ จะเรียกว่าเป็นพื้นที่เดียวกับอ่าวพุทราก็ว่าได้

รวมๆ แล้ว ก็เป็นอ่าวเล็กๆ ที่เงียบสงบน่าพัก สำหรับหาดทรายและสถานที่เล่นน้ำทะเลแล้ว ที่อ่าวทับทิม เรียกว่าสะอาดพอสมควร คนที่มาพักที่อ่าวทับทิม ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติเสียเยอะ เพราะเงียบสงบ เป็นอีกอ่าวหนึ่งที่น่าพักผ่อนในวันหยุด

จากบ้านเพ มีเรือโดยสารข้ามไปเกาะเสม็ด โดยสามารถลงเรือได้ จากท่าเรือที่มีอยู่ 3 ท่าด้วยกัน อัตราค่าโดยสารไม่แพงนักราคาประมาณ 20-50 บาท สำหรับการเดินทางเพียงแค่เที่ยวเดียว แต่ใช้เวลานานมากกว่าจะไปถึง
ถ้าเราอยากจะไปให้ถึงอย่างรวดเร็วก็เลือกไปสปีดโบทดีกว่า เพราะสามารถจะเข้าไปจอดหน้าอ่าวที่เราต้องการได้ เนื่องจากผมกังวลใจเกี่ยวกับขาของเดียร์ ไม่อยากให้เขาลำบากในการเดินทาง จึงตัดสินใจที่จะขึ้นเรือสปีดโบทโดยให้ไปจอดที่หน้าหาดเลย

แต่เนื่องจากผมกับเดียร์ไปกันแค่สองคน เราจึงจำเป็นต้องรอผู้โดยสารคนอื่นๆด้วยที่จะไปพร้อมกันกับเรา ระหว่างนี้ผมกับเขาเลยไปนั่งรอเรียกขึ้นเรืออยู่ตรงซุ้มกาแฟใกล้ๆ



ประมาณ 10 นาทีให้หลัง เจ้าหน้าที่ก็ประกาศเรียกให้ผู้โดยสารที่จะไปสปีดโบทลงเรือ ผมคว้าสัมภาระมาถือเอาไว้ แล้วจูงมือเดียร์พาไปขึ้นเรือเพราะกลัวว่าเขาจะเดินตามผมมาไม่ทันเนื่องจากเจ็บขา เด็กหนุ่มหน้าบานยิ้มกริ่มไปตลอด ท่าทางจะมีความสุขมากๆเมื่ออยู่ใกล้ๆผม
แต่แล้วก็เหมือนสรรค์แสร้ง ทำให้การเดินทางครั้งนี้ของเราเจอเข้ากับอุปสรรคที่คิดไม่ถึง เมื่อผู้ที่ลงเรือมาด้วยในจำนวน 4-5 คนนั้น คือคนที่เดียร์คุ้นเคยเป็นอย่างดี

ผมเห็นเดียร์ทำหน้าตกใจเมื่อเห็นคนพวกนั้น เลยมองตามสายตาของเขาที่จับจ้องไปที่ชายหนุ่มวัยประมาณ 20 ต้นๆ คนหนึ่ง ซึ่งย้อมผมสีทอง ร่างกายล่ำสัน มีรอยสักที่แขนทั้งสองข้าง น่าจะสูงสัก 170 เห็นจะได้ เพราะเตี้ยกว่าเดียร์และผม

หน้าตายียวนกวนประสาทนั้นมีรอยยิ้มแสยะอยู่ตลอดเวลา เขาเจาะคิ้วด้านซ้ายใส่ห่วงไว้ ที่หูก็มีอีกสองสามรู เขามากับเด็กหนุ่มท่าทางอ้อนแอ้น ดูก็รู้ว่าเป็นกระเทย ส่วนอีกสามคนที่เหลือ เป็นหนุ่มกล้ามใหญ่ แต่ท่าทางตุ้งติ้งคล้ายผู้หญิง

เด็กหนุ่มโอบแขนเข้ารอบเอวผมโดยอัตโนมัติ ตาก็มองไปที่ชายคนนั้นไม่วางตา ตอนแรกคนพวกนั้นไม่ทันเห็นเราสองคน จนกระทั่งลงมาในเรือลำเดียวกันแล้ว พวกเขาจึงสังเกตเห็น ชายวัยรุ่นผมทองสะแหยะยิ้ม เมื่อเห็นพวกเราเข้า

“ว้าววววววว.......ไม่นึกไม่ฝัน ว่าจะได้เจอน้องเดียร์สุดหล่อที่นี่ มาเที่ยวหรือจ๊ะ มากับใครน่ะ หน้าตาคุ้นๆ หน้าหวานดีนี่ แนะนำให้รู้จักบ้างได้ไหม”

“อย่ามายุ่งเรื่องของชาวบ้าน แล้วก็ไม่ต้องมาเรียกฉันว่าน้องดงน้องเดียร์อะไรนั่น แกกับฉันตัดขาดจากกันไปนานแล้ว”

เดียร์ส่งเสียงดุดันโต้ตอบ หน้าของเด็กหนุ่มบึ้งตึงไม่เป็นมิตร ผมมองหน้าผู้ชายคนนั้น พยายามนึกให้ออกว่าเป็นใคร ด้วยรู้สึกคุ้นหน้าเหมือนเคยเห็นที่ไหนสักแห่งมาก่อน

“อะไรกันเล่า ....น้องเดียร์ จะโกรธพี่ไปใย ที่พี่ทำไปก็เพราะรักเดียร์นะ รักมานานแล้ว จนอดใจไม่ไหว ก็เลยออกจะทำอะไรเกินเลยไปหน่อย.....”

ชายคนนั้นเดินเข้ามาหา เดียร์เลยผลักผมไปทางด้านหลัง แต่ผมตระหนักในอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ จึงยืนอยู่ข้างๆเด็กหนุ่ม ถ้าอยู่ในสภาพที่แข็งแรง ลำพังเดียร์คนเดียวก็อาจจะล้มคนพวกนี้ได้
ถ้าเกิดการวิวาทขึ้นมา แต่นี่เดียร์เจ็บขา ยังไม่หายดี อาจจะเพลี่ยงพล้ำ ผมเลยยืนเคียงข้างเขา หากมีอะไรที่ต้องช่วย จะได้จัดการได้ทันที

“ไม่หน่อยละมั๊ง.....สิ่งที่แกทำกับฉันมันเรียกว่า “ความเลว” แต่แกคงไม่รู้จักหรอก เพราะมันเป็นคำสามัญสำหรับแกไปแล้ว คนอย่างแกคุ้นกับคำนี้ จนไม่รู้จักว่า “ความดี”มันเป็นอย่างไร ทำให้แยกไม่ออกยังไงล่ะ”

เดียร์ยืนนิ่ง ไม่มีอาการตื่นกลัวชายคนนั้นกับพวกที่เดินล้อมเข้ามา จากพื้นที่ในเรือที่แคบทำให้เราไม่สามารถถอยไปไหนได้ ต้องเผชิญหน้ากันอยู่อย่างนั้น

“โอ้โฮ ด่าได้เจ็บปวดมาก ไม่นึกเลย ว่าน้องน้อยของฉัน โตขึ้นนอกจากจะหล่อเหลาเร้าใจได้ถึงขนาดนี้ แล้วยังปากดีอีกต่างหาก น่าสนใจกว่าแต่ก่อนอีก.....”



“หยุดเห่า หอน แล้วไปนั่งที่ได้แล้ว อย่ามาทำให้คนอื่นเขาต้องเดือดร้อนรำคาญใจเพราะแกเลยไอ้บอย.....”

“โอ้ย....ด่าอีกแล้ว เจ็บจริงๆ ....แต่ก็ดีใจนะ ที่น้องเดียร์ยังจำชื่อพี่ชายสุดที่รัก คนนี้ได้ แสดงว่ารสสวาทที่พี่ทำไว้ให้มันยังตราตรึงอยู่ในหัวใจใช่ไหม”

พูดจบนายบอยก็แหงนหน้าหัวเราะ เพื่อนที่มาด้วยอีก 4-5 คนก็หัวเราะตาม ผมสะดุดใจกับชื่อที่เดียร์เรียกชายผมทองคนนั้น ชื่อบอยเหรอ ผมมองหน้าผู้ชายที่หัวเราะราวกับขำเสียเต็มประดานั่น แล้วครุ่นคิด

สักพักผมก็นึกออก ใช่แล้วนายบอยพี่ชายที่คิดจะข่มขืนเดียร์คนนั้นนั่นเอง มิน่าผมถึงได้คุ้นหน้าเขานัก เหตุการณ์ที่มันผ่านไป 4 ปีกว่า มันนานมากจนทำให้ผมจำเขาไม่ได้ในทันที

“ฉันจำความเลวของแกได้ต่างหาก ไอ้สิ่งที่แกทำกับฉันน่ะ มันเรียกว่าความกักขฬะ ฉันไม่มีอารมณ์ร่วมไปกับแกหรอก มีแต่จะรู้สึกสังเวช และขยะแขยงตัวแกมากที่สุด แช่งชักหักกระดูกให้แกตายทุกวัน ไม่นึกไม่ฝันว่าจะมาเจอแกที่นี่ คนเลวๆแบบนี้มีแต่จะทำให้คนดีๆต้องเป็นทุกข์ใจ”

“แหมๆๆๆ....... ดูพูดเข้า ถึงพี่จะเลว จะชั่วอย่างไร แต่อย่างน้อยพี่ก็สามารถทำให้น้องเดียร์ได้รู้ใจตัวเองใช่ไหม ว่าจะเลือกทิศทางไหน
ตอนนี้เดียร์เองก็คงเป็นแบบเดียวกับพวกพี่ใช่ไหมล่ะ แถมซ้ำยังคบกับคนหน้าหวานได้ใจอีกต่างหาก นี่เมียหรือผัวของน้องเดียร์เล่าจ๊ะ……..
อย่าปฎิเสธเชียวนะ ผู้ชายสองคนที่ไปไหนด้วยกัน แถมยืนกอดกันกลมแบบนั้น ให้คิดเป็นอื่นไปไม่ได้หรอกนอกจากเป็นคู่เกย์กัน แต่น้องเดียร์ก็ตาแหลมมากนะที่คว้าคนหล่อๆแบบนี้มาได้”

ชายคนนั้นไม่พูดเปล่ากลับยื่นมือหมายจะสัมผัสใบหน้าผม แต่ก่อนจะทันถึงหน้า แขนนั้นก็ถูกจับบิดอย่างแรงด้วยมือของเดียร์ที่คว้าหมับทันควัน พร้อมตวาดดังลั่น
“อย่า เสื...ก ถ้าไม่อยากเจ็บตัว”

“โห ดุจริงๆเลย ปล่อยเถอะเดียร์ พี่บอยเจ็บนะจ๊ะ”

พี่ชั่วของเดียร์ทำหน้าเหยเก เหมือนเจ็บปวดแสนสาหัส เพื่อนๆคนอื่น ถลันจะเข้ามาช่วย แต่เมื่อเห็นหน้าถมึงทึงของเดียร์ก็หยุดชะงัก
เดียร์จับมือของนายบอยแล้วบิดไขว้ไปด้านหลัง เด็กหนุ่มอาจจะทำอะไรมากกว่านั้น หากไม่มีชายหนุ่มหญิงสาวอีกสองคู่เดินตรงมาที่เรือสปีดโบทที่จอดอยู่ ทำท่าเหมือนจะลงเรือเข้ามานั่งกับพวกเราด้วย

เดียร์เลยผลักชายผมทองจนเซถลาไปกระแทกเพื่อนๆจนเรือโคลง นายบอยรีบถลันลุกขึ้นมา ก็พอดีกับที่หนุ่มสาวสี่คนนั้นก้าวลงมาในเรือพอดี พี่ชายจิตทรามของเดียร์จึงได้แต่จ้องมองอย่างอาฆาตแค้น

เดียร์พาผมไปนั่งด้านในสุดทางด้านหัวเรือ แยกจากพวกนายบอย เขาพยายามเดินให้เหมือนปกติ คงเพราะไม่อยากให้พี่ชั่วของเขารู้ถึงอาการบาดเจ็บของตัวเอง เดี๋ยวจะกลายเป็นจุดอ่อนให้บอยกับพวกโจมตีเอาได้

เขาโอบกอดเอวผมไว้ด้วยแขนข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้าง เกาะกุมมือผมไว้แน่น เหมือนจะปลอบประโลมผมว่าไม่ต้องกลัวคนชั่วคนนั้น เขาพร้อมจะปกป้องผม จะไม่มีใครทำอันตรายผมได้ น่าแปลกที่ผมเองก็รู้สึกได้ถึงความปลอดภัยเมื่ออยู่ใกล้เขา


เรือทยอยส่งผู้โดยสารไปเรื่อยๆ หนุ่มสาว 2 คู่ที่ลงเรือมาพร้อมกันกับเรา ลงที่หาดทรายแก้ว จึงเหลือผมกับเดียร์ และบอยกับเพื่อนนั่งเผชิญหน้ากัน ผมไม่รู้ว่าคนพวกนี้จะไปหาดเดียวกับเราหรือเปล่า ถ้าใช่การไปเที่ยวด้วยกันระหว่างผมกับเดียร์คงไม่สนุกแน่

สิ่งที่ผมกังวลใจ กลายเป็นเรื่องจริง เมื่อเรือจอดเทียบท่าที่อ่าวทับทิม กลุ่มนายบอย และเราสองคนก็ลงที่หาดนี้พร้อมๆกัน ผมเห็นนายบอยมองมาที่ผมอย่างมีเลศนัย

ผมรู้สึกไม่ชอบเลยกับแววตาแบบนั้น แต่ไม่ได้บอกให้เดียร์รู้ เพราะผมไม่อยากให้เด็กหนุ่มที่น่าสงสารนี้ไปมีเรื่องมีราวกับใครในวันเกิดของเขาเอง เขาควรจะฉลองวันเกิดอย่างมีความสุข

เมื่อขึ้นฝั่งได้ ผมกับเดียร์ก็เดินตรงไปที่บ้านพักที่ตั้งอยู่หน้าอ่าวทับทิม ก่อนจะขึ้นเรือเราโทรมาจองห้องไว้แล้ว มีห้องว่างเหลืออยู่หนึ่งห้องพอดี เพราะคนที่มาเช่าพักก่อนหน้านั้น ได้กลับออกไปตั้งแต่ตอนเที่ยง

ตอนที่ผมรับกุญแจจากพนักงานที่ดูแลเรื่องบ้านพักเพื่อไปเปิดห้อง พวกนายบอยก็เดินสวนเข้ามา ผมใจหายวาบนึกกังวลใจถ้าจะต้องพักใกล้ๆกับคนพวกนี้

แต่แล้วผมก็โล่งใจเมื่อพนักงานบอกว่า ห้องเต็มหมดแล้ว พวกนายบอยไม่ได้จองไว้ก่อน จึงไม่มีห้องให้ นายบอยถามว่า แถวนี้มีที่พักที่ไหนที่ยังไม่เต็มบ้าง พนักงานก็บอกว่าไม่รู้ ช่วงนี้ เป็นช่วงคริสต์มาสและใกล้ปีใหม่ แล้ว แต่ละหาดก็มีการจัดงานเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเที่ยวในช่วงปลายฝน ต้นหนาวเพื่อเม็ดเงินจำนวนมากจะได้หลั่งไหลไปหล่อเลี้ยงชีวิตของผู้คนบนเกาะ
ที่พักอาจจะเต็มก็ได้ ให้ไปลองไล่ถามดู แต่ถ้าไม่ได้ที่พักจริงๆก็อาจจะนอนเต๊นท์ หรือไม่ก็ไปกลับโดยเรียกให้สปีดโบทมารับก็ได้
นายบอยท่าทางหัวเสียมาก หันไปเอะอะเอ็ดตะโรกับหนุ่มรูปร่างอ้อนแอ้นอรชรที่มากับเขาด้วย เป็นทำนองว่า ทำไมไม่จองที่พักเอาไว้ตั้งแต่แรก แล้วเย็นแบบนี้จะไปหาที่ไหน มิต้องตระเวนถามไปเรื่อยๆหรือ

เด็กหนุ่มนั่นก็เถียงนายบอยไม่ลดละ หาว่าเป็นเพราะนายบอยเองที่มัวแต่ชักช้า ไม่ได้ความ นอนตื่นสาย แล้วยังออกมาสาย ยึกยักว่าจะมาบ้างไม่มาบ้าง เอาแน่เอานอนไม่ได้ เขาก็เลยไม่จองไว้ ความผิดของตัวเองก็มีส่วนหนึ่ง จะมาโทษเขาคนเดียวได้ไง

ทั้งผมและเดียร์ไม่อยู่ฟังคนพวกนั้นทะเลาะกัน เราเดินลัดเลาะไปตามชายหาดจนถึงบังกะโลห้องพัก ไขกุญแจประตูแล้วเอาของเข้าไปไว้ พอจัดวางเสื้อผ้าข้าวของเสร็จ เดียร์ก็ดึงตัวผมไปโอบกอดไว้ในวงแขน พลางกระซิบปลอบขวัญ

“อย่าไปกังวลใจกับคนพวกนั้นเลยนะครับ ผมอยู่นี่ทั้งคน รับรองว่าคุณจะไม่มีอันตรายใดๆมาแผ้วพาน ผมไม่ให้พวกเขาทำร้ายคุณได้หรอก ต้องข้ามศพผมไปก่อน”

“ไม่เอาเดียร์ จะไม่มีการข้ามศพใครทั้งนั้น เพราะเราสองคนจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคนพวกนั้น เข้าใจไหม ไม่คุ้มหรอกที่จะไปแลกกับคนพวกนั้น สู้อยู่ห่างๆดีกว่า เดี๋ยววันอาทิตย์ก็กลับแล้ว คงไม่ได้เจอหน้ากันอีกหรอก”

ผมตอบเดียร์ไปทั้งๆที่ใจหวาดหวั่น แต่ผมไม่อยากให้เดียร์รู้ว่าผมกังวลใจ เพราะเดียร์จะระมัดระวังมากขึ้นจนทำให้ไม่สนุก ผมอยากให้วันเกิดเขามีแต่ความทรงจำที่ดี เรามาอาศัยที่นี่เพียงแค่คืนเดียวแล้วก็กลับ ถ้าเราเลี่ยงที่จะไม่เจอกับคนพวกนั้น ปัญหาก็คงไม่น่าที่จะเกิด


“ไหน เจ้าของวันเกิด ลองบอกมาสิ วันนี้จะทำอะไร”

ผมเปลี่ยนเรื่อง ไม่อยากพูดถึงนายบอยอีก ใจคิดว่าพวกนั้นคงไปหาที่พักที่อื่นที่ไม่ใช่แถวบริเวณนี้แล้ว คงไม่มารบกวนเราสองคนอีก ดีไม่ดีหากหาที่พักกันไม่ได้ พวกนั้นอาจจะกลับกันคืนนี้เลยก็ได้

“เล่นน้ำ”

เดียร์ตอบกลับมา

“นี่มันมืดแล้วนะ ลงเล่นไม่กลัวเหรอ”

“ไม่หรอก ดีเสียอีก เล่นน้ำตอนมืดๆ จะได้แก้ผ้าเล่นสบายๆไม่ต้องอายใครเลย เรียวล่ะ อยากเล่นน้ำกับผมหรือเปล่า”

เด็กหนุ่มย้อนถามทำหน้ากรุ้มกริ่ม ผมหน้าแดงซ่านด้วยความอาย

“จะบ้าเหรอ ใครจะไปแก้ผ้าเล่นน้ำกับนาย ไม่ใช่เด็กๆ นายอยากทำก็ทำไปคนเดียวเถอะ”

พูดไปงั้นเอง ลงท้ายผมก็ต้องเดินตามเดียร์ต้อยๆลงทะเลไปอยู่ดี จริงๆแล้วไม่ได้นึกอยากจะเล่นน้ำตอนกลางคืนหรอก ผมคิดว่ามันอันตราย เนื่องจากมืด และมองไม่เห็น ไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ใต้น้ำบ้าง

ทั้งโขดหินเอย หรือแม้แต่สัตว์น้ำต่างๆอย่างเช่นพวกหอยเม่น แมงกะพรุนไฟ ซึ่งผมเองก็ไม่แน่ใจว่าจะมีหรือเปล่า เพราะห่างหายกับการเที่ยวทะเลมาเสียนาน

นอกจากนี้ยังอาจจะมีเศษสิ่งต่างๆที่ถูกน้ำทะเลซัดเข้าหาฝั่ง เช่นเปลือกหอยแตกๆ ปะการัง หรือขวดเบียร์ ขวดเหล้าที่ถูกโยนลงน้ำแล้วก็ลอยมาเกยชายหาด ความมืดอาจจะทำให้เราแยกแยะสิ่งต่างๆไม่ออก และก้าวพลาดไปเหยียบทำให้เกิดเป็นบาดแผล

ไหนจะความลึกตื้นของน้ำทะเลอีกล่ะ ชายหาดแต่ละที่ จะมีส่วนที่ตื้นลึกไม่เหมือนกัน ว่ายไปว่ายมาอยู่ดีๆ ขาอาจจะเหยียบไม่ถึงพื้น ผลุบหายไปเลยก็ได้

แต่เพราะใจนึกห่วงเจ้าเด็กลูกครึ่งเจ้าของวันเกิด ที่ทำตัวซ่าส์ไม่คำนึงถึงสังขารตัวเอง ทำให้ผมต้องยอมเล่นน้ำกับเขา กลัวว่าหากเจ้านี่เกิดเจ็บขาขึ้นมา หรือเป็นตะคริว แล้วใช้ขาสองข้างไม่ได้

เกิดจมน้ำทะเลไปจะว่าไง ยิ่งไม่มีใครเห็นก็จะขอความช่วยเหลือลำบาก ถ้าผมอยู่กับเขา เกิดอะไรขึ้นมา จะได้ช่วยกันทันท่วงที
น้ำทะเลตอนกลางคืนยามหน้าหนาว เย็นยะเยือก เล่นได้แป๊บเดียวก็ทนไม่ไหว ผมร้องบอกให้เดียร์หยุดเล่นแล้วกลับขึ้นบ้านพักไปอาบน้ำอาบท่า แล้วไปหาข้าวทานกัน

แต่เดียร์กลับติดลม ดำผุดดำว่าย ด้วยความสนุกสนาน ร้องบอกให้ผมว่ายไปกับเขาเหยงๆ ผมไม่ยอมตามไปกับเขาด้วย แต่เรียกให้เขากลับเข้ามา

พอเขาดื้อ ผมก็แสร้งทำเป็นงอนว่า จะหาเรือสปีดโบทกลับ ไม่อยากอยู่กับคนไม่เชื่อฟัง เด็กหนุ่มรีบโผเข้ามาหาผม แล้วกอดผมไว้แนบแน่น รีบอ้อนว่าขอแค่ห้านาที ให้เขาได้ดื่มด่ำกับการเล่นน้ำทะเลที่เกาะเสม็ดให้สาสมกับที่เขาอยากมาแต่ไม่มีโอกาส ครั้งนี้เป็นครั้งแรกของเขา รู้สึกตื่นเต้นมาก

ฟังเสียงอ้อนๆแบบนี้ กับได้เห็นท่าทีกระตือรือร้นแบบเด็กๆของเขา ผมก็ใจอ่อนในที่สุด เด็กหนุ่มเลยจูบผมเสียยกใหญ่เป็นการขอบคุณที่ผมใจดีกับเขา ผมตำหนิว่าเขาน่าไม่อายทำอะไรในที่สาธารณะ เขาบอกว่าไม่เห็นต้องอาย คนอื่นทำยิ่งกว่าเราสองคนอีก



พอเห็นผมทำหน้างงๆ เดียร์ก็เลยชี้ให้ผมดูเงาตะคุ่มๆในน้ำที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล ผมกวาดตามองตามมือชี้ ก็เห็นว่าที่ด้านขวามือของผม มีคู่รักหนุ่มสาวกำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่ในน้ำ ท่าทางไม่สนใจใคร เหมือนว่าในโลกนี้มีเพียงแค่เขาและเธอเท่านั้น

ผมเบือนหน้าหนี ไม่อยากมีส่วนรู้เห็นกับกิจกรรมทำรักในน้ำของคนทั้งสอง แต่พอหันไปด้านซ้ายมือ ผมก็ต้องตกใจ เมื่อเห็นชายคู่หนึ่งกำลังทำอะไรบางอย่างที่เกินเลยกว่าการกอดจูบกันธรรมดา

เสียงครวญครางดังลั่นทำให้ผมเข้าใจในทันทีว่าพวกเขากำลังปฏิบัติกามกิจร่วมกัน ฝ่ายหนึ่งเป็นคนไทย อีกคนเป็นฝรั่ง ผมรีบหันกลับมาทันที ไม่อยากจะเชื่อว่าพวกเขากล้าทำอะไรกันในที่โล่งแจ้งเช่นนี้ เดียร์หัวเราะเบาๆ พลางจูบผมที่ข้างแก้มและซอกคอ แต่ผมขืนตัวหนี

“ทำไมล่ะครับ แบบนี้มันตื่นเต้นดีนะ ต้องคอยลุ้นว่าจะมีใครมาเห็นหรือเปล่า”

“ชอบเหรอ.....”

“ถ้าเรียวชอบ ผมก็ชอบครับ”

“ฉันไม่ชอบ....”

“ก็คิดว่างั้นแหละ ไม่งั้นเรียวจะหันหน้าหนีทำไม...”

“ฉันว่ามันเป็นเรื่องของคนสองคน ไม่ควรจะให้ใครได้มารับรู้ ไม่เห็นจะน่าตื่นเต้นตรงไหนเลย น่าละอายใจมากกว่า ที่จะให้ใครมาเห็นเราเปลือยทำอะไรกันอยู่ แต่คนพวกนั้นดูท่าทางเขาไม่เห็นจะกลัวว่าใครมาเห็นเลยนี่ เห็นยังทำกันเฉยเลย”

“คนบางคนก็ชอบโชว์นะครับ การที่มีคนอื่นมารู้มาเห็นทำให้อารมณ์ของพวกเขาพลุ่งพล่านถึงขีดสุด เขามีความสุขที่มีคนมองอ่ะครับ”

จบคำพูด เดียร์ก็พยายามจะจูบผมอีก แต่ผมผลักเขาออก แล้วเดินลุยน้ำหนีเข้าฝั่ง

“นายก็เป็นพวกชอบโชว์ด้วยล่ะสิ งั้นทำไปคนเดียวเถอะ ฉันจะขึ้นแล้ว”

“โธ่ ล้อเล่นนะครับ รอด้วยสิ ผมไปด้วย”

เดียร์รีบลุยน้ำตีคู่ขึ้นมากับผมจนกระทั่งขึ้นมาบนชายหาด ที่ทอดยาวออกไปไกลจากฝั่งพอประมาณ ตั้งใจว่าจะกลับบ้านพักไปอาบน้ำ แล้วก็ลงมากินข้าว มื้อนี้ผมขอเป็นเจ้ามือเลี้ยงเอง แต่ยังไม่ทันถึงที่พัก เดียร์ก็ร้องเอะอะขึ้น มือลูบคลำที่คอตัวเอง

“สร้อย ....สร้อยที่เรียวให้ผม มันหายไปแล้วครับ สงสัยจะตกอยู่แถวชายหาดหรือไม่ก็ในน้ำ เดี๋ยวผมไปดูก่อน”

เด็กหนุ่มร้อนรน ทำท่าจะเดินจากไป

“ไม่เป็นไรหรอก แค่สร้อยเอง หายไปก็ช่างมันเถอะ”

“ไม่ได้หรอกครับ สร้อยเส้นนี้เป็นของที่แม่ของเรียวให้ไว้ แล้วเรียวก็ให้ผมมาอีกที เรียวบอกให้ผมรักษามันให้ดีๆเพราะเรียวรักมันมาก อย่าทำหาย ผมต้องรีบไปหามัน เพราะมันเป็นตัวแทนของเรียว คุณรอผมอยู่ที่นี่ก่อนนะครับ อย่าไปไหน เดี๋ยวผมมา แล้วเราค่อยกลับด้วยกัน”


nanalonely

  • บุคคลทั่วไป
:z13:พี่แอน


มีไปเทียวกันด้วย จะโรแมนติกป่าวว รอลุ้น

เอ๊ะ สร้อยของเรียวหายไปไหน

จะมีอะไรเกิดขึ้นไหมอ่ะ



fayossy

  • บุคคลทั่วไป
แล้วจะหาสร้อยเจอมั้ยเนี่ย
มันมืดนะนั่นหน่ะ

เดียร์ก็เพิ่งจะหายป่วยเองนะ

ออฟไลน์ the_pooh9

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 941
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-3
 :เฮ้อ: ดีกันแล้ว
แต่มีมารโผล่มาอีกละ

เดียร์นี่น่ารักดีอ่ะ ลองจิ้นว่าหนุ่มล่ำกับตาใส  :impress2: น่ารักๆ :z2:

SheRbEt

  • บุคคลทั่วไป

กำกำ ไปคนเดียว เดี๋ยวเกิดเรื่องแน่

สาธุ อย่าเจอไอ้บอยเลย

ออฟไลน์ โน๊อา

  • อยู่เป็นคู่ เช่น ฉันคู่เธอ
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1419
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-1
โห ไต๋ ให้อ่านสะใจมากมาย


ขอบคุณนะ  o13

va_yu

  • บุคคลทั่วไป
จะห่วงเรียวหรือเดียร์กันดีล่ะงานนี้ เจ้าบอยจะย้อนกลับมาไหมนะ

ลุ้นอีกแหล่ะ.....

anna1234

  • บุคคลทั่วไป
เอาคนนี้มาให้ดูพอจะเป็นเรียวได้ป่ะ ขอความคิดเห็นนะ :z3:
ตัดสินใจไม่ถูก



anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่20 22/1/09
«ตอบ #148 เมื่อ22-01-2009 15:25:02 »

บทที่ 20


เด็กหนุ่มเดินแกมวิ่งจากไป ผมเห็นเขาเดินไปทั่วหาดทรายแถวๆนั้น และเดินลึกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งแสงไฟจากชายหาดส่องผ่านไปไม่ถึง
ผมยืนมองจนกระทั่งเขาลับตาไป ตั้งใจว่า จะยืนรอจนกว่าเขาจะมาแล้วค่อยกลับบ้านพักพร้อมกัน แต่ลมทะเลที่พัดผ่านเสื้อยืดและกางเกงขาสั้นที่ชุ่มน้ำของผม มันทำให้เกิดความหนาวสั่นขึ้นมา

ผมทนยืนรออยู่ประมาณ ครึ่งชั่วโมง ก็ยังไม่มีวี่แววเด็กหนุ่มจะกลับขึ้นมา แต่ผมก็ยังมองเห็นร่างตะคุ่มๆของเดียร์เดินค้นหาอยู่บริเวณหาดทราย
ความหนาวเย็นที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้ผมตัดสินใจจะกลับบ้านพักไปอาบน้ำก่อน เดียร์คงไม่ว่าอะไร กว่าเดียร์จะขึ้นมา ผมก็คงอาบน้ำเสร็จแล้ว จะได้ไม่ต้องแย่งห้องน้ำกัน แล้วจะได้รีบลงไปทานข้าวก่อนที่ครัวจะปิด

ผมหันหลังเดินกลับขึ้นไป ตามทิศทางที่เป็นบ้านพัก รีสอร์ทที่พักของผมอยู่ห่างจากสถานที่ที่ลงมาเล่นน้ำพอสมควร ต้องเดินผ่านประมาณ 2 – 3 หาด

เสม็ดยามค่ำคืนมีกิจกรรมมากมายเหมือนเวลากลางวัน เพียงแต่ต่างกันออกไป บนหาดทราย มีร้านค้า เอาเสื้อมาปู มีเบาะนั่ง ตั้งโต๊ะเอาไว้ สำหรับให้คนมาพักรับประทานอาหาร

ในขณะที่เลยออกไปก็เป็นบาร์ชายฝั่ง ที่เปิดเพลงเสียงดังลั่นเพื่อเรียกนักท่องเที่ยวผู้รักเสียงเพลงและการเต้นรำ ให้เข้ามาร่วมสนุกกัน บางหาดเมื่อมองเข้าไปข้างใน จะเห็นร้านอาหารที่เปิดแบบโอเพ่นแอร์ ให้คนสัมผัสกับธรรมชาติ มีเพลงฟังเบาๆ แสงไฟสลัวลาง สร้างบรรยากาศ
ที่พักของผมอยู่ตรงหัวโค้งของหาด จะมีบางช่วงที่เวลาเดินผ่านมันจะมืดมิดไม่มีแสงไฟส่องมา ต้องอาศัยความสว่างของดวงจันทร์เพื่อนำทางไปสู่ตัวบ้าน

ผมเดินจ้ำอ้าวๆ ไปเรื่อยๆ ใจอยากไปให้ถึงที่พัก จังหวะที่ผมจะผ่านโขดหินที่อยู่ทางด้านซ้ายมือริมทะเล ซึ่งมืดพอสมควร เสียงกรีดร้องครวญครางดังลั่น ราวกับมีใครบางคนถูกทำร้ายก็ดังขึ้น ทำให้ผมต้องชะงักฝีเท้าที่กำลังจะเดินเงี่ยหูฟัง

สรรพสำเนียงที่ได้ยิน เป็นเสียงร้องของผู้ชาย ที่คร่ำครวญราวกับจะขาดใจ เสียงนั้นดังขึ้นเรื่อยๆและถี่ๆแต่กลับแปลกประหลาด แต่แรกผมคิดว่ามีใครขอความช่วยเหลือ

ทว่าหลังจากยืนฟังชั่วอึดใจหนึ่ง ผมกลับหน้าแดงก่ำ เมื่อรู้ว่า เสียงที่ได้ยิน เป็นเสียงครางของคนที่กำลังเสพสังวาสกัน ผมหันหน้าหนี แล้วรีบมุ่งตรงไปยังบ้านพัก แต่ระหว่างทางนั้น

ดูเหมือนเสียงร้องครวญครางเหมือนจะดังตามมาหลอกหลอน เพราะมันทำให้หูผมแว่ว ได้ยินเสียงคนครวญครางด้วยความสุขสมดังมาจากสองข้างทาง ตามโขดหิน พุ่มไม้ ไม่เว้นแม้แต่บนพื้นทราย ยิ่งทำให้ผมเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น อยากกลับคืนเรือนไวไว เพื่ออาบน้ำอาบท่า

ไม่อยากแอบดู ไม่อยากเห็นอะไรทั้งสิ้น นี่ถ้าผมเป็นคนขวัญอ่อนเสียหน่อย ได้ยินเสียงครวญครางแผ่วๆสลับกับโหยหวนดังลั่นในบางครั้ง ผมต้องวิ่งป่าราบเป็นแน่ เพราะนึกว่าเป็นเสียงผีป่า หรือภูติพราย
ยังไม่ทันจะถึงทางโค้ง ผมก็สวนเข้ากับคนคู่หนึ่งที่เดินตัดมาจากริมทะเลทางด้านซ้าย ซึ่งตรงนั้นมีโขดหินก้อนใหญ่บังตาอยู่
คาดว่าสองคนนี้ คงแอบไปทำกิจกรรมอย่างว่ากันและเพิ่งเสร็จ ผมเดินเลี่ยงคู่รักที่กำลังหยอกเย้ากระซิกกระซี้กันไปอีกทาง
ทว่าไม่พ้น เพราะสองคนนั้นปราดเข้ามาขวางทันที ผมชะงักกึก มองพวกเขาเขม็ง ดูจากท่าทางแล้วคงเมากันได้ที่ ทั้งเมาเหล้า และเมารัก

“จะเดินไปไหนหรือครับ.....เดินคนเดียวไม่เหงาเหรอ เราสองคนไปส่งให้ไหม”

หนึ่งในสองชาย ทักขึ้นด้วยเสียงที่บ่งบอกถึงอาการมึนเมา

“ไม่เป็นไรครับ จะถึงแล้ว ผมเดินไปเองได้”

ผมบอกออกไปอย่างสุภาพ ไม่อยากมีเรื่องมีราวกับคนเมา

“กลัวพวกผมสองคนเหรอ พวกผมใจดีนะ ...ไม่ต้องกลัวหรอก ผมไม่ทำอะไรหรอก”

อีกคนพูดขึ้นมา ท่าทางเมามายเหมือนกัน ผมปฏิเสธไปอีกครั้ง แล้วเดินเลี่ยงไปอีกทาง แต่มีมือหนึ่งมายื้อยุดฉุดแขนผมไว้

“โอ้โฮ ตัวเย็นเฉียบเลยนี่ครับ ไปลงเล่นน้ำมาเหรอ คงจะหนาวแย่ ไปกับพวกผมสองคนดีกว่านะครับ จะช่วยทำให้หายหนาว”

ชายขี้เมาคนแรกพยายามจะฉุดผมให้มาหาเขา แต่ผมสะบัดมือให้หลุดจากการเกาะกุม แต่มือเขาเหนียวยิ่งกว่ามือตุ๊กแกจับแน่นไม่ยอมปล่อย

“กรุณาทำตัวสุภาพหน่อยครับ ผมไม่ไปกับพวกคุณจะกลับบ้าน แฟนผมกำลังเดินตามมา หากมาเห็นพวกคุณทำตัวรุ่มร่ามกับผมแบบนี้ แฟนผมต่อยคุณน่วมแน่”

หลุดปากพูดออกไปแบบนั้น หวังจะขู่ให้ขี้เมาสองคนนี้กลัว ผมเม้มปากแน่น ลุ้นใจระทึกว่ามันจะได้ผลหรือไม่

“อื้ม มากับแฟนหนุ่มหรือครับ งั้นก็เป็นเกย์เหมือนพวกผมสิ ดีเลย กำลังหาคู่สวิงกิ้งกันพอดี มาร่วมกับพวกเราไหมครับ”

ชายคนที่ยื้อยุดฉุดแขนผมไว้ กล่าวเชิญชวนด้วยน้ำเสียงหื่นๆท่าทางจะไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว คงไม่ใช่พวกขี้เมาที่มาพลอดรักกันตามโขดหินธรรมดา อาจจะเป็นพวกคนร้ายอีกด้วย

ผมสะบัดมือหนี พร้อมดิ้นสุดแรง เมื่อไม่เป็นผล ผมจึงยกเท้าถีบคนที่จับมือผม จนกระเด็น ปล่อยมือออกทันที ผมรีบฉวยโอกาสนั้นหนีไปทางเรือนบ้านพัก พลางร้องตะโกนขอความช่วยเหลือ

มีเสียงวิ่งไล่กวดและร้องเอะอะตามหลัง แต่ผมไม่หันไปมองวิ่งใส่ตีนหมาเต็มที่ ด้วยกลัวพวกนั้นจะตามทัน อารามรีบร้อนจึงไม่ทันเห็นร่างสองร่างที่เลี้ยวมาจากมุมมืดของต้นไม้และหยุดยืนทะมึนขวางทางเอาไว้

แสงไฟจากหลอดไฟฉายนีออน สาดส่องเข้าเต็มหน้าผมอย่างกระทันหัน ทำให้ผมตาพร่าต้องยกมือขึ้นบังดวงตา มีเสียงหัวเราะหึหึดังมาจากผู้มาใหม่ จากนั้นไฟฉายก็เลื่อนไปส่องพวกที่ตามไล่ล่าผมมา

“เกิดอะไรขึ้นเหรอวะ”
หนึ่งในสองของผู้ที่ขวางทางผมไว้ พูดขึ้นด้วยเสียงอันดัง ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยิน เริ่มรับรู้ได้ถึงภัยอันตรายที่กำลังจะมาเยือน เพราะคนข้างหน้าผม คือ นายบอย พี่ชายใจทรามของเดียร์ กับเพื่อนหนุ่มร่างอ้อนแอ้น

“อ๋อ...เราสองคนกำลังจะชวนหนุ่มคนนี้ไปเล่นเซ็กส์หมู่ด้วย แต่เขาทำหยิ่ง ไม่เล่นด้วย แถมซ้ำทำร้ายฉันอีกแน่ะ”

ขี้เมาสองคนนั้น ตามมาทันพอดี เขายืนอยุ่ทางข้างหลังของผม เจ้าคนที่ถูกทำร้ายฟ้องนายบอย ด้วยน้ำเสียงโกรธๆ มีเสียงหัวเราะเยาะหยันดังขึ้นมาอีกจากปากของนายบอย

“รู้ไหมว่าแกไล่ล่าใครมา .....พวกแกนี่มันเก่งจริงๆ รู้ไหมคนที่แกจะชวนเขาไปร่วมกิจกรรมด้วยก็คือ หนุ่มหน้าหวาน แฟนของไอ้เดียร์น้องชายสุดแสบของฉันไง .....

ขอบคุณพวกนายนะโว้ย ที่ต้อนหนุ่มคนนี้มาให้ ฉันจะได้ถือโอกาสนี้แก้แค้นไอ้น้องระยำของฉันสักที มันทำกับฉันแสบนัก มันก็ต้องรับกรรมอันนั้นด้วย”

นายบอยพูดด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียมจนผมอดเสียวสันหลังไม่ได้ นึกโกรธตัวเอง ที่ไม่ยอมรอเดียร์เลยต้องเจอเรื่องแบบนี้ ถ้าหากมาพร้อมกับเขา คนพวกนี้คงไม่กล้าทำอะไรแน่

แต่นี่มาคนเดียว แล้วคนพวกนี้ ก็ยืนล้อมกรอบแบบปิดทางผมจนหมด ดูท่าจะหนีไปไหนได้ยาก แถมซ้ำนายบอยยังจะมาพูดเรื่องแก้แค้นอะไรอีกด้วย

เขาอยากจะทำร้ายเดียร์โดยใช้ผมเป็นเครื่องมือ ซึ่งน่าจะมีวิธีเดียวคือลงมือข่มขืนผม แต่ไม่มีวันหรอก ผมยอมตายดีกว่า

“แล้วผมไปเกี่ยวอะไรกับพวกคุณด้วย ผมไม่ได้รู้จักกับพวกคุณเสียหน่อย หลีกทางไปเถอะ ผมจะรีบกลับไปบ้าน”

ผมพยายามพูดดีๆ ไม่แสดงความโมโห หรือ หวั่นกลัวให้เห็น นายบอยหัวเราะเยาะหยันอีกครั้ง ยืนปักหลักมั่น ไม่ยอมถอยไปง่ายๆ

“ทำไมจะไม่เกี่ยว แกเป็นแฟนไอ้เดียร์ แล้วมันก็ท่าทางว่าหวงแกมาก สงสัยจะรักแกมาก สิ่งใดที่ไอ้เดียร์รัก กูจะทำลายมันให้สิ้นซาก ให้สาสมกับที่มันบังอาจทำร้ายกู ”

ชายล่ำ ผมทอง พูดอย่างเหี้ยมเกรียม

“คุณแค้นนายเดียร์ที่เขาทำกับคุณ แต่คุณก็ทำกับเขาเจ็บแสบเช่นกัน ก็น่าจะหายกันไปแล้วนี่ จะมาจองเวรกันทำไม”

ผมกล่าวเตือนสติด้วยเสียงเรียบๆให้ดูเหมือนว่าคำพูดของนายบอย ไม่มีผลกระทบอะไรกับตัวผม แล้วสิ่งที่เขากล่าวหาเดียร์นั้น ก็น่าจะทดแทนสมน้ำสมเนื้อกันไปแล้ว

ถึงแม้ท่าทางภายนอกผมจะแสดงออกว่าผมไม่ได้กลัวเขาเลย แต่ในใจนั้นหวาดวิตก พูดไปก็มองหาทางเล็ดลอดออกจากกลุ่มคนพวกนี้
อยากให้มีพวกนักท่องเที่ยวเดินผ่านมา ผมจะได้ไปขอความช่วยเหลือ หรือไม่ก็ให้เดียร์รีบมาหาผมก็ได้ มีกันสองคน ย่อมดีกว่าอยู่คนเดียว ท่ามกลางคนชั่วร้ายทั้งหลาย

แสงไฟจากในมือนายบอยถูกส่องมาต้องหน้าผมอีก สักครู่หนึ่งเสียงหัวร่องอหายก็ดังขึ้น
“ว้าววววว ไม่อยากจะเชื่อเลย มึงนี่เอง.... พ่อหนุ่มหน้าหวานขวัญใจของเดียร์ที่ร่วมกันสร้างรอยแค้นให้กับกู
ตอนแรกคิดว่าเป็นแค่แฟนกันเฉยๆ แต่รู้สึกว่าคุ้นหน้าอย่างบอกไม่ถูก

หลังจากพยายามนึกตั้งนานว่ามึงเป็นใคร หน้าหวานๆนี่เคยเห็นที่ไหน ตอนนี้กูนึกได้แล้ว ที่แท้มึงก็คือฮีโร่ที่มาช่วยเดียร์ให้รอดพ้นเงื้อมือของกูในวันนั้นนั่นเอง

กูอุตส่าห์จะลากเดียร์กลับไปปล้ำ แต่ไอ้คุณมึงก็ดันกลับมาขวางทางแล้วคว้ามันขึ้นรถไป....”

ในที่สุดนายบอยก็จำผมได้ขึ้นมา มันสำรากใส่ผม ขึ้นมึงขึ้นกูอย่างหยาบคาย ผมสังหรณ์ใจอย่างบอกไม่ถูก ว่าต้องมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นกับผมแน่ๆ

“แค้นมากเลยนะที่มึงเข้ามาสอดเรื่องของชาวบ้าน แล้วไง ช่วยกันจนได้เป็นผัวเป็นเมียกันเลยหรือไง คงจะไปส่งกันแล้วก็สานสัมพันธ์กันต่อล่ะสิ น้ำเน่ามากๆ...

ไม่คิดว่าจะได้มาเจอกันที่นี่อีก สวรรค์ช่วยจริงๆ ทำให้กูได้มีโอกาสที่จะแก้แค้นคนที่ทำกับกู เจ็บแล้วต้องจำ ใครทำอะไรไว้ ต้องได้รับบทเรียน
ในเมื่อมึงทำให้กูพลาดไม่ได้ไอ้เดียร์เป็นเมีย มึงก็ต้องชดใช้ด้วยการต้องยอมเป็นเมียกูซะเอง แต่กูเป็นคนใจบุญศุนทานโว้ย มีอะไรแบ่งปันคนอื่น กูจะไม่ยอมสนุกกับหนุ่มหน้าหวานน่ากินทั้งเนื้อทั้งตัวอย่างมึงคนเดียวหรอก

แต่จะให้เพื่อนๆร่วมสนุกด้วย ดีใจไหมที่กูจะทำให้มึงได้ประสบการณ์แปลกๆ เอาแต่กับไอ้เดียร์คนเดียวจะมันส์อะไร ต้องมีบทเรียนให้มันหลากหลาย จะได้เก่งๆ วันนี้จะสอนเรื่องเซ็กส์หมู่ให้ รับรองจะต้องติดใจลืมไอ้เดียร์มันไปเลย”

สิ้นคำของนายบอย พี่ชั่วของเดียร์ก็ย่างสามขุมเข้ามา โดยมีพรรคพวกของเขาเดินบีบวงล้อมกรอบผมเข้ามาด้วย ผมกวาดตามองคนเหล่านั้น หัวสมองครุ่นคิดถึงทางหนีทีไล่

อย่างรวดเร็ว ผมยกเท้าถีบหนุ่มร่างอ้อนแอ้นล้มกลิ้ง ใจหนึ่งก็รู้สึกสงสารที่ไปทำคนอ่อนแอแบบนั้น แต่นั่นเป็นทางเดียวที่ผมจะแหวกวงล้อมออกมาได้

ผมถลาวิ่งออกออกไป ปากก็ร้องตะโกนขอความช่วยเหลือไปพลาง ทว่าวิ่งไปได้สักระยะ ร่างหนาหนักร่างหนึ่งก็โถมเข้ามา จนผมผวากลิ้งไปตามพื้นทราย โดยมีร่างนั้นตามติดกอดรัดฟัดเหวี่ยงผมมาด้วย

ความที่กลัวว่าตัวเองจะตกเป็นเหยื่อความหื่นของนายบอยกับพวกทำให้ผมดิ้นรนต่อสู้เท่าที่แรงจะมีผมต่อย เตะถีบคนที่กอดผมพัลวัน
เมื่อไม่มีทางหลุดง่ายๆ ผมก็เงื้อมมือแล้วกำเป็นกำปั้นทุบลงที่เบ้าตาเพื่อนของนายบอย เจ้าหมอนั่นร้องโอ๊ย ปล่อยมือจากผมแล้วกุมเบ้าตาตัวเอง

ผมรีบถลันลุกขึ้น แต่ก็ต้องล้มฟาดลงกับพื้นอีกครั้ง เมื่อนายบอยพุ่งกระโจนเข้ารวบขาผมไว้ ผมพยายามยกเท้าถีบนายบอย แต่เขาก็ล็อคขาผมไว้แน่น

เพื่อนอีก 3 คนของเขาวิ่งกรูกันเข้ามา ชายตัวใหญ่คนที่ผมต่อยเบ้าตาเขายึดข้อมือผมไว้คนละข้างตรึงไว้กับเด็กหนุ่มร่างอ้อนแอ้นที่ก่นด่าผมไม่ขาดปาก อีกคนตรงเข้ามารวบขาผมไว้แทนนายบอย ซึ่งกำลังลุกขึ้น แล้วปลดกางเกงออกจากตัวอย่างรวดเร็ว

“ปล่อยนะ จะทำอะไรนะ ....พวกแกไม่มีสิทธิ์มาแตะต้องตัวฉันนะโว้ย”

ผมส่งเสียงดังลั่น พลางดิ้น เตะถีบเต็มที่ ความหวังที่จะมีคนมาช่วยเริ่มริบหรี่ เพราะผมทั้งวิ่งทั้งตะโกนตั้งนาน ก็ไม่เห็นว่าจะมีใครได้ยินและโผล่เข้ามาช่วยเหลือ
“จะร้องโวยวายไปทำไม ถึงยังไงก็ไม่มีใครสอดมือเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วยหรอก ไม่เห็นหรือไง หลายคนเขาก็ทำกิจกรรมอย่างเดียวกัน อย่างดีถ้ามีคนเข้ามาเห็นเขาก็คงนึกว่าเล่นเซ็กส์หมู่กันเท่านั้น ใครจะอยากยุ่งเรื่องของชาวบ้านวะ จริงไหมพวกเรา”

นายบอยหันไปถามพรรคพวก ซึ่งก็ได้ยินเสียงตอบรับเป็นเสียงเดียวกัน ซึ่งทำให้พี่ชายโฉดของเดียร์ย่ามใจ แหงนหงายหน้าหัวเราะเสียงดังลั่น ผมพยายามดิ้นรนอีก ปากก็ขู่พวกเขา

“เดียร์ไม่มีวันยอมให้แกกับพวกทำกับฉันแบบนี้หรอก”

“โอ๊ยยยยย งั้นเหรอ แล้วเดียร์สุดที่รักของแกไปไหนเสียล่ะ นอนอยู่ในบ้าน หรือไปคั่วหนุ่มคนอื่นแล้ว เห็นกอดกันกลมเมื่อตอนอยู่ในเรือ แต่ตอนนี้กลับมาทิ้งกัน

ป่านนี้คงนออยู่ในอ้อมกอดของใครแล้วมั้ง กว่าจะนึกขึ้นได้ ออกมาตามหา ก็สายไปเสียแล้ว แกคงเป็นเมียของฉันกับพวกไปเรียบร้อยแล้ว ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว คนละหลายรอบแน่”

พูดจบก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาอีก ท่าทางรุ่มรวยอารมณ์ขันเหลือเกิน นายบอยปลดกางเกงในลงไปกองอยู่ที่พื้น แล้วยืนจังก้าเปลือยท่อนล่างตรงหน้าผม

“ดูสิ ว่าสวยงามน่ากินกว่าของไอ้เดียร์ไหม”

น้ำเสียงหื่นๆ กับกริยาท่าทางที่กักขฬะนั่น ทำให้ผมต้องเบือนหน้าหนี พี่ชั่วของเดียร์หัวเราะแล้วก้มตัวต่ำลงมา จากนั้นก็เอื้อมมาที่กางเกงขาสั้นของผมทำท่าจะปลดกางเกงออกจากตัว แต่ผมดิ้น เหวี่ยงแขนเหวี่ยงขาไปมา

ในที่สุดผมก็ดิ้นจนขาสองข้างหลุดจากมือคนตัวใหญ่ที่ยึดเท้าผมอยู่ จากนั้นผมก็งอเข่าขึ้นแล้วยันเปรี้ยงไปที่ใบหน้าของนายบอยที่กำลังก้มต่ำลงมา

ในจังหวะที่ทุกคนกำลังตื่นตะลึงที่เห็นพี่ชั่วของเดียร์ดิ้นเร่าๆเอามือกุมหน้า ทำให้การยึดเหนี่ยวผมทำได้หละหลวมจนผมสามารถสะบัดหลุดได้

ผมรีบพลิกตัวลุกขึ้นแล้ววิ่งออกไปจากที่นั่นได้ยินเสียงพี่ชั่วของเดียร์กรีดร้องเสียงดังลั่นอย่างคั่งแค้น ร้องตะโกนให้พวกเพื่อนของตัวเองไล่จับผมมาให้ได้

ผมตะเกียกตะกายวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต หวังจะไปให้ถึงบ้านเร็วๆ แต่โชคร้ายเป็นของผม เมื่อวิ่งมาได้สักระยะหนึ่ง เห็นแสงไฟหน้าบ้านพักรำไร แต่ผมไปไม่ถึง เมื่อปะทะเข้ากับร่างใหญ่ร่างหนึ่งเต็มแรงจนผมกระดอนไปอีกทาง

มือใหญ่มือหนึ่งก็คว้าคอเสื้อผมไว้ แล้วดึงกลับมาอย่างรวดเร็ว ผมดิ้นอึกอัก แต่ก็ไม่สามารถผลักไสร่างนั้นได้ ชายคนนั้นเอาแขนสองข้าง ล็อคแขนของผมไว้แน่น แล้วยืนรอจนกระทั่ง นายบอยและพวกอีก 3 คนตามมาทัน

“ขอบใจโว้ยที่มาทันเวลาพอดี ร้ายนักนะมึง ทำกูได้ นึกว่าจะหนีพ้นเหรอ ทำกูเจ็บแบบเดียวกับที่ไอ้เดียร์ทำกับกูเลย อย่างนี้มันต้องโดนให้สาสม”

สิ้นเสียงนายบอย มือใหญ่ๆก็ฟาดโครมลงมาบนใบหน้าของผมจนหันไปตามแรงมือ รู้สึกได้ถึงเลือดอุ่นๆที่ไหลซึมเต็มปาก แก้มเจ็บจนชาไปทั้งแถบ

“นั่นสำหรับที่มึงถีบหน้ากู และนี่สำหรับการเสือกไม่เข้าเรื่องของมึง”

หมัดลุ่นๆของนายบอยตุ๊ยเข้าที่ท้องผมอย่างจัง เล่นเอาจุกจนตัวงอไปหมด
“ขออีกทีเถอะ สำหรับความหมั่นไส้คู่รักของมึง ไอ้เดียร์ไอ้น้องเหี้.....”

นายบอยง้างกำปั้นซัดเต็มเข้าที่ท้องผมอีกครา ผมถึงกับทรุดฮวบลงกับพื้น สิ้นเรี่ยวแรงที่จะเตะถีบ หรือต่อสู้เพื่อให้ตัวเองรอด

ผมเอามือกุมท้อง พยายามกัดฟันตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืน แต่ก็ถูกเตะล้มคว่ำลงไปอีก ผมลุกไม่ขึ้นอีกต่อไป ความเจ็บปวดรวดร้าวเกิดขึ้นทั่วสรรพางค์กาย จะร้องก็ร้องไม่ออก

ผมหลับตาลง น้ำตาไหลริน ไม่อยากรับรู้ชะตากรรมเลวร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้นกับตัวเอง

แขนขาของผมถูกจับแยกไปคนละทาง และถูกตรึงด้วยมือที่แข็งแรงของพวกเพื่อนๆนายบอย โดยมีไอ้คนชั่วนั่งคร่อมอยู่บนตัวผม



anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่20 22/1/09
«ตอบ #149 เมื่อ22-01-2009 15:27:09 »

เสื้อผ้าถูกฉีกทึ้งไปออกจากตัว กางเกงขาสั้นถูกปลดลงด้วยฝีมือของปีศาจร้าย นายบอยกระชากปราการด่านสุดท้ายของผมจนขาดติดมือมัน เสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งดังบาดลึกเข้าไปในความรู้สึก

ขาของผมถูกแยกกว้างและสะโพกถูกยกขึ้น พร้อมกับที่รับรู้ได้ว่ามีบางอย่างที่แข็งขึงเสียดสีอยู่กับซอกหลืบที่มีเพียงเดียร์เท่านั้นที่เคยได้สัมผัส และเจ้าสิ่งนั้นมันกำลังจะเข้ามาซ้ำรอยเดิมที่เด็กหนุ่มทำเอาไว้

ความรู้สึกอับอายที่ถูกหยามเกียรติโดยคนชั่วช้าสามานย์ ความเกลียดชัง ขยะแขยงที่ถูกผู้ร้ายใจทรามแตะต้องร่างกาย โดยไม่อาจจะต้านทานได้ทำให้ผมเป็นลมสิ้นสติ

แต่ก่อนที่สำนึกสุดท้ายจะจากหายไป ท่ามกลางม่านน้ำตาที่ทำให้ดวงตาพร่าเลือน ผมรู้สึกว่าร่างกายของผมถูกยกลอยขึ้น จากนั้นผมก็ไม่รับรู้อะไรอีกเลย

ตอนที่ผมลืมตาตื่นขึ้นมานั้น ผมเห็นเดียร์ฟุบหลับอยู่ข้างๆเตียงของผม โดยนั่งอยู่บนพื้นห้อง และซบศีรษะอยู่บนแขนของตนเอง

ผมขยับตัวลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบากด้วยจุกเสียดแถวบริเวณหน้าท้องและปวดเมื่อยเนื้อตัวไปหมด รู้สึกเจ็บบริเวณใบหน้าเมื่อลองเอามือคลำดูรู้สึกว่ามันบวมผิดปกติ แถมซ้ำยังมีความรู้สึกว่าตัวเองปากเจ่ออีกด้วย ผมสะอื้นในอก นายบอยกับพวกสร้างความเสียหายต่อร่างกายและจิตใจของผมอย่างยับเยิน

ผมนั่งซึมมองดูเดียร์อยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็เอื้อมมือมาลูบผมหยิกสลวยของเดียร์อย่างแผ่วเบาด้วยรู้สึกสงสารเขาจับใจ เด็กหนุ่มสะดุ้งเงยหน้าขึ้นมองเหมือนว่าเขาเตรียมพร้อมที่จะตื่นอยู่ตลอดเวลาที่มีการเคลื่อนไหวบนเตียง

“เรียวตื่นแล้วหรือครับ เป็นไงบ้าง หายปวดท้องหรือยังครับ”

เขาถามผมด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย ผมยิ้มให้เด็กหนุ่มแทนคำขอบใจที่เขาช่วยดูแลผม เดียร์ยิ้มตอบ แล้วลุกขึ้นมานั่งข้างๆผมบนเตียง

“ค่อยยังชั่วขึ้นมากแล้วล่ะ ปวดท้องหน่อยๆ แต่คงไม่เป็นอะไรมากแล้ว”

ผมโกหกเขา เพื่อให้เด็กหนุ่มสบายใจ แต่เดียร์ทำหน้าเหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่ผมพูด

“นี่กลับมาบ้านแล้วเหรอ ใครพาฉันมา นายเหรอเดียร์”

แสร้งถามเขาเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ ไม่ให้เขาห่วงใยผมมากนัก

“ครับ”

“ฉันหลับไปนานเท่าไหร่แล้วหือเดียร์”

“2 วันครับ”
“จริงหรือ นานขนาดนั้นเลยเหรอ ฉันนึกว่าแค่คืนเดียวเสียอีก เลยต้องรบกวนนายพาเข้ามากรุงเทพเลย ฉันนี่แย่จริงๆ”

เดียร์ใช้สองแขนรั้งตัวผมมากอด โดยให้ศีรษะผมซุกซบกับไหล่ของเขา

“อย่าโทษตัวเองเลยครับเรียว ผมยินดีทำเพื่อคุณทุกอย่าง แค่นี้ไม่เหลือบ่ากว่าแรงของผมหรอก”

“แล้วไอ้คนชั่วพวกนั้นล่ะ”

อดไม่ได้ที่จะถาม อย่างน้อยๆผมก็อยากรู้ว่า หลังจากนายบอยกับพวกย่ำยีผมจนสาแก่ใจแล้ว มีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขาบ้าง มีคนแจ้งตำรวจไหม พวกนั้นถูกจับตัวไปลงโทษหรือเปล่า หรือว่าเดียร์แก้แค้นให้ผมแล้ว

เด็กหนุ่มมองตาผม ใบหน้าของเขาดูเศร้าหมอง กรามบดกันจนแก้มเป็นสันนูน ริมฝีปากเม้มแน่น มือกำแล้วคลาย คลายแล้วกำ อย่างคนที่พยายามควบคุมสติอารมณ์ของตัวเอง ผมรู้สึกหวิวๆคล้ายจะเป็นลมด้วยความกลัวเรื่องที่กำลังจะได้ยินจากปากของเดียร์ นึกกลัวว่าเรื่องมันจะร้ายแรงสาหัส กลัวว่าเดียร์จะเดียดฉันท์ในตัวผม เขาอาจจะไม่ต้องการผมอีกต่อไปในเมื่อผมผ่านผุ้ชายคนอื่นๆนอกเหนือไปจากเขา แต่เหนือความกลัวทั้งหมด คือความยากรู้อยากเห็น ต้องการได้ยินแม้ว่าสิ่งที่ได้รับฟังจะสร้างความปวดร้าวให้ผมมากมาย อย่างน้อยๆจะได้จัดการกับตัวเองได้ถูกว่าจะใช้ชีวิตไปแบบไหน

หลังจากนิ่งเงียบงันไม่พูดไม่จา เดียร์ก็เปิดปากเล่าถึงเหตุการณ์ต่อจากตอนที่ผมสลบไป เด็กหนุ่มเล่าให้ฟังว่า เขาสาละวนหาสร้อยอยู่เป็นนาน แต่ไม่เจอ จึงตัดสินใจเดินขึ้นฝั่งมาหาผม แต่ก็พบว่า ผมไม่อยู่ในบริเวณนั้นแล้ว ก็คิดในใจว่าผมกลับบ้านแน่นอน จึงมุ่งตรงไปยังบ้านพัก ได้ยินเสียงคนร้องตะโกนให้ช่วย คิดว่าหูแว่ว กำลังจะเดินผ่านไป แต่เสียงร้องที่ดังขึ้นมาอีกครา ฟังดูคล้ายกับเสียงของผม เดียร์หยุดยืนมอง ก็เห็นเงาตะคุ่มๆวิ่งไล่กวดกันไปตามชายหาด ไม่รู้มีลางบอกเหตุอะไร ทำให้เด็กหนุ่มฉุกคิดแว่บไปถึงผม และเกรงกลัวว่าผมจะเป็นอันตราย จึงแอบตามคนพวกนั้นมา จนกระทั่งเห็นคน

กลุ่มหนึ่งกำลังจะลงมือข่มขืนคนบางคนที่ตรงหาดทราย ลับหลังโขดหิน เสียงข่มขู่ด่าทอของนายบอย ทำให้เดียร์รู้ว่า คนที่กำลังถูกเล่นงานคือใคร

ด้วยความที่พวกนั้นกำลังสนุกอยู่กับการได้เล่นงานผม กับเสียงคลื่นที่ดังอยู่ใกล้ๆ และความเมามายจากการดื่มสุรา จึงทำให้พวกนั้นประมาท หลงลืมเรื่องการระแวดระวังภัย ไม่ทันได้สังเกตว่ามีแขกที่ประสงค์ร้ายต่อคนทั้งกลุ่มกำลังมาเยือน

เด็กหนุ่มฉวยท่อนไม้ขนาดใหญ่ ที่หักลงจากพายุพัด เป็นอาวุธคู่มือ ตอนที่เดินย่องไปยังสถานที่เกิดเหตุ และก่อนที่นายบอยจะยัดเยียดสิ่งเลวร้ายให้กับผม เดียร์ก็ถีบพี่ชายแสนชั่วล้มกลิ้งโค่โร่ลงกับพื้น แล้วตามไปกระทืบที่ใบหน้าและลำตัวของนายบอยจนสลบเหมือด จากนั้นก็ใช้ไม้ไล่ฟาดทุบตีทำร้ายพวกเพื่อนๆของนายบอยทุกคน แรงโทสะที่มีอยู่ ทำให้เดียร์จัดการกับคนชั่วพวกนั้นอย่างรุนแรงจนหมอบกระแตริมชายหาด




หลังจากที่แก้แค้นเอากับคนที่มันทำร้ายผมแล้ว เดียร์ก็แบกร่างที่สลบไสลของผมขึ้นหลัง พามาบ้าน ทำความสะอาดร่างกาย และบาดแผลให้ผม สวมเสื้อผ้าให้เสร็จจากนั้น ก็เดินไปยังทีทำการของรีสอร์ท ไปยืนเรียกตั้งนาน เพื่อที่จะแจ้งให้คนดูแลทราบว่ามีการทำร้ายกันเกิดขึ้น และผู้ร้ายนอนสลบเหมือนอยู่ริมหาด ให้แจ้งความจับไปดำเนินคดีได้ เดียร์ยังขอให้ทางพนักงานช่วยเรียกเรือสปีดโบทให้ด้วย เพื่อพาผมกลับเข้าฝั่งในคืนนั้น

เดียร์ขับรถพาผมซึ่งหมดสติอยู่กลับเข้ากรุงเทพเพื่อไปรักษาตัว เขาไม่วางใจโรงพยาบาลต่างจังหวัดว่าจะรักษาผมดีหรือเปล่า แถมซ้ำยังไม่อยากอยู่ใกล้ๆคนชั่วร้าย เพราะกลัวอดใจไม่ไหว ที่จะจัดการกับคนพวกนั้นอีก เขาบอกผมว่า อยากจะฆ่าพวกนั้นให้ตายเนื่องจากทำกับผมถึงขนาดนี้ เขาโกรธคนพวกนั้นมาก ถ้าพวกนั้นลอยนวลรอดคุกตารางมาได้ เจอที่ไหนเขาจะจัดการทันที

อันที่จริงอาการบาดเจ็บของผมไม่มากอะไรมาก แต่ผมกลับเป็นไข้หนัก เพราะแช่น้ำนานไปหน่อย ตัวเปียกๆรับลมเย็นในหน้าหนาว แถมถูกทำร้ายร่างกายมาเสียน่วม หมอตรวจดูแล้วบอกว่าไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาล สั่งยาให้ไปทาน พักฟื้นสักวันสองวันก็คงหาย เดียร์จึงนำตัวผมกลับมาบ้าน แล้วก็อยู่ดูแลเฝ้าไข้ผมถึงสองวันสองคืนเนื่องจากผมนอนซมลุกไม่ขึ้น พร้อมกับโทรไปลางานให้ผมเสร็จสรรพ
สิ่งที่เดียร์บอกผม สร้างความรู้สึกโล่งใจให้อย่างบอกไม่ถูก ผมดีใจที่ตัวเองไม่ได้มีมลทินแปดเปื้อน ไอ้พวกบ้ากามนั้นยังไม่ทันได้ข่มขืนผมอย่างที่นึกกลัว เดียร์ช่วยผมไว้ได้ทัน แถมซ้ำยังเอาคืนคนพวกนั้นอย่างสาหัสพอกัน เขาช่างแข็งแรงเหลือเกิน ขนาดตัวเองบาดเจ็บอยู่ ยังซัดพวกนั้นเสียหมอบ หวังว่าพวกนั้นคงจะเข็ดและไม่กล้าตอแย เราสองคนอีก

“หิวไหมครับ เดี๋ยวผมทำอาหารอ่อนๆให้เรียวทานนะ เรียวทานแล้วจะได้ทานยา แล้วพักผ่อนต่อ จะได้หายไวๆไงครับ”

เสียงกระซิบแผ่วเบาของเดียร์ แม้มันจะดังแว่วๆอยู่ข้างหู แต่ก็สามารถปลุกให้ผมตื่นจากภวังค์

“ไม่ต้องลำบากหรอกเดียร์ เดี๋ยวโทรสั่งเขาเอาก็ได้ ขานายยังเจ็บอยู่ไม่ใช่เหรอ กะเผลกๆไปทำอาหารแบบนั้นได้ไง ขืนใช้ขามากๆ เดี๋ยวก็บวมไม่หายหรอก”

ผมบอกเดียร์ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน รู้สึกเกรงใจที่จะต้องรบกวนเจ้าเด็กบ้านี่ เนื่องจากตัวเขาเองก็ยังบาดเจ็บอยู่ แต่ยังมาพยาบาลผมอีก

“ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่นี้เอง ไม่เจ็บมากหรอก ผมทนได้ เรียวจำไม่ได้เหรอว่าผมแข็งแรงแค่ไหน ไม่งั้นผมจะแบกเรียวกลับมาที่กรุงเทพฯได้ไงล่ะ”

จริงสินะ เดียร์ต้องแบกผมขึ้นเรือทั้งๆที่ผมยังคงหมดสติอยู่ แล้วก็พาขึ้นฝั่ง จากนั้นก็ขับรถกลับมาส่งผมที่บ้านอีก เขาทำไปทั้งๆที่ขาเขายังเจ็บอยู่โดยไม่ได้นึกถึงตัวเองบ้างเลย เขาดีกับผมมากจริงๆ ไม่เคยมีใครดีกับผมเช่นนี้มาก่อนเลย

“โกหก.....ไหนดูข้อเท้าสิ”



“ไม่เป็นไรจริงๆนะ เชื่อสิ เดี๋ยวผมไปทำกับข้าวให้เรียวทานดีกว่าครับ สายแล้ว ”

เด็กหนุ่มรีบลุกขึ้น แล้วยืนเต็มฝ่าเท้า ผมเห็นเขาทำหน้านิ่วคิ้วขมวด เหมือนร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่งได้รับความเจ็บปวด แต่เมื่อเห็นผมจ้องมองอยู่ เดียร์ก็ทำเป็นฉีกยิ้มให้ผมเหมือนกับว่าเขาไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไร จากนั้นเขาก็ รีบเดินเร็วๆจากไป
ดึกแล้ว ผมยังนอนไม่หลับ บนเตียงกว้าง มีผมนอนอยู่เพียงแค่คนเดียว ส่วนเดียร์ลงไปนอนที่โซฟาข้างล่าง ดูเขาเจียมเนื้อเจียมตัวมาก คงกลัวว่าผมจะโกรธและเกลียดเขาหากเขาดื้อดึงที่จะนอนด้วย เพราะผมได้ลั่นวาจาไว้แล้วว่าห้ามขึ้นมารบกวน ผมรู้สึกเหงาหงอยอ้างว้าง นึกอยากให้เดียร์มาอยู่ใกล้ ๆ บอกไม่ถูกว่าทำไมผมถึงต้องการเขานักหนา บางทีอาจเป็นเพราะผมเพิ่งผ่านเรื่องร้ายๆ โดยที่รอดมาได้เพราะเด็กหนุ่มคนนี้ ผมจึงมีความประสงค์ที่จะอยู่ใกล้ๆเขาเพื่อความอุ่นใจ

ด้วยความที่คิดถึงเดียร์ ทำให้ผมย่องลงบันไดไปเพื่อดูว่าเดียร์นอนแล้วหรือยัง ไฟในห้องรับแขกปิดหมดแล้ว แต่ตรงโซฟาที่เดียร์นอนประจำ มีโคมไฟเปิดอยู่ ผมพยายามย่องอย่างเงียบกริบไปดูก็เห็นเดียร์นั่งเอาขาชันขึ้นมา บนโต๊ะกลางมีอ่างน้ำร้อนควันพวยพุ่ง ผมมองเห็นเขากำลังเอาผ้าชุบน้ำร้อน มาประคบตรงข้อเท้า ซึ่งบวมเป่งแดงก่ำ เดียร์คงจะเจ็บมากแต่ไม่ปริปากออกมาให้ผมได้ยิน ผมมองภาพนั้นด้วยความสงสารเด็กหนุ่ม ขอบตาของผมร้อนผ่าว รู้สึกสะเทือนใจต่อสิ่งที่พบเห็น ภาพของเดียร์ที่ต่อสู้กับคนโฉดทั้งห้าเพื่อปกป้องเกียรติของผมแว่บเข้ามาในความคิด เดียร์บอกว่าทั้งเตะ ทั้งกระทืบคนพวกนั้น แสดงว่าเขาต้องออกแรงขามาก แถมซ้ำต้องมาแบกผมขึ้นหลังอีก ทำให้ขาของเด็กหนุ่มระบมขึ้นมา

“ทำตัวเป็นนักสืบหรือครับ”

อยู่ๆเดียร์ก็พูดทำลายความเงียบขึ้นมา ทำเอาผมสะดุ้งที่เขารู้ว่าผมมายืนแอบมองเขาอยู่ ผมกระพริบตาปริบๆ ไล่น้ำตาที่ดูเหมือนจะพยายามซึมออกมาให้กลับเข้าไปข้างใน

“มาดูคนโกหก หลอกลวงตลอดเวลา”

ผมพยายามบังคับตัวเองไม่ให้เสียงสั่นขณะกล่าวหาเขา ด้วยกลัวว่าเด็กหนุ่มจะจับได้ ว่าผมกำลังหวั่นไหวกับสิ่งที่ได้เห็น เดียร์ทำหน้าอายๆ แล้วพูดอ้อนๆกับผม

“ขอโทษทีครับ ผมไม่อยากหลอกนะ แต่ว่า แค่ไม่อยากให้เรียวกังวลใจนะครับ”

“ เจ้าเด็กบ้า.......”
ผมทำเสียงดังใส่เขา แล้วเอื้อมมือหมายจะเขกกะโหลกเดียร์แรงๆอย่างที่เคยทำเวลาที่หมั่นไส้เขามากๆ เจ้าเด็กบ้านั่น ทำคอย่นก่อนที่มะเหงกของผมจะสัมผัสศีรษะเขาเสียอีก ผมเปลี่ยนใจไม่ทำร้ายเขา แต่เอามือลูบศีรษะที่ปกคลุมด้วยเรือนผมหนาหยิกสลวยนุ่มมือของเดียร์อย่างแผ่วเบา แล้วดึงเข้ามาหาตัว พลางพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“คราวหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะ ถึงฉันจะรู้สึกดีที่มีนายมาคอยดูแล แต่ถ้านายต้องเจ็บตัวเพราะฉันบ่อยๆ ฉันก็ไม่มีทางสบายใจได้หรอก”

ผมต่อว่าด้วยเสียงดุๆ เดียร์มองสบตาผมแล้วส่งยิ้มอ้อนๆมาหา



“สำหรับเรียวแล้ว ผมยินดีทำให้ทุกอย่างเลยครับ”

“ไม่ต้องพูดมาก ไหนดูขาสิ”

เด็กหนุ่มยื่นขามาให้ผมดูแต่โดยดี ผมมองขาที่บวมเป่งนั่นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะดุเขาอีก

“โห บวมขนาดนี้เชียว บอกแล้วว่าอย่าเดินมาก แล้วก็เลิกทำโน่นทำนี่เสียที นอนพักผ่อนซะบ้าง ขาจะได้หาย”

“ไม่ได้หรอกครับ นอนมากๆก็รู้สึกเบื่อ ทำโน่นทำนี่มันก็เพลินดี”

“เอาล่ะ เอาเป็นว่าฉันสั่งก็แล้วกัน”

ผมสรุป แต่เดียร์ทำท่าทางให้รู้ว่าไม่เห็นด้วย

“แล้วใครจะช่วยทำกับข้าว ให้เรียวอ่ะ ไหนจะงานบ้านอีก”

“แหม ฉันทำได้หรอกน่า ก่อนหน้านั้น ฉันก็ดูแลทำความสะอาดบ้านเอง ถึงตอนนี้จะมีนายมาคอยช่วยเหลือ แต่นายเป็นแบบนี้ แล้วฉันจะยังมาเห็นแก่ตัวใช้นายทำคนเดียวได้ยังไงกันล่ะ”

ผมบอกเขาด้วยความรู้สึกจากใจจริง เดียร์มองผมด้วยสายตาที่บ่งบอกถึงความรักอย่างลึกซึ้งที่มีต่อผม ก่อนจะพูดกับผมยืดยาว ทว่ากินใจ

“คร้าบบ ผมรู้ว่าเรียวเคยทำ และทำได้ แล้วเรื่องทำกับข้าวล่ะ เรียวทำกับข้าวกินเองไม่เป็นนิ่นา แล้วผมก็ชอบทำกับข้าวให้เรียวทานด้วย เรียวรู้ไหมครับ เวลาที่ผมเดินไปตลาด หรืออยู่ในซุปเปอร์มาร์เกต ผ่านร้านอาหาร หรือ ร้านขนมร้านไหน ผมจะคิดถึงเรียวตลอดเวลา อยากจะซื้อให้คุณได้ลองชิมลองทานบ้าง คิดในใจว่าจะอร่อยไหมน้า คุณจะชอบทานไหม ยามผ่านพวกของสด หมู เห็ด เป็ด ไก่ ใจก็จะคอยแต่คิดว่า มื้อกลางวัน หรือมื้อเย็นนี้จะทำอะไรให้คุณทานดี ต้ม ผัด แกง ทอด อะไรที่เรียวน่าจะอยากทานมากกว่ากัน..........

............ตอนที่ผ่านร้านหนังสือ ก็อดไม่ได้ที่จะตรงไปยังมุมหนังสือทำอาหาร จะไปเปิดดูว่า มีอาหารอะไรแปลกๆใหม่ๆบ้าง อันไหนหน้าตาท่าทางน่ากิน ผมก็จะจดสูตรเอาไว้ เอามาลองทำจนแน่ใจว่ามันอร่อยจริง ถึงได้ลงมือปรุงให้คุณกิน อยากทำโน่น อยากทำนี่ให้เรียวทานตลอดเลย ตอนที่ทำกับข้าว หน้าของเรียวจะลอยอยู่ตามกระทะ ตามหม้อแกง ตามอ่างล้างผัก ในจานในถ้วยก็มีหน้าเรียวลอยอยู่ ผมน่ะคิดถึงหน้าคุณเสมอ อยากรู้ว่า เมื่อผมทำอาหารให้คุณทานแล้ว มันจะถูกปากคุณไหมหนอ เรียวจะชอบสิ่งที่ผมทำไหม เรียวจะทานมันจนหมดหรือเปล่า ทานแล้วจะนึกถึงคนทำบ้างไหม เรียวจะรู้ไหมว่า ผมทำทุกอย่างให้เรียวด้วยความรัก ..........

.........อาหารทุกจาน ผมใส่หัวใจของผมลงไปด้วย ยิ่งรักเรียวมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องทุ่มเทฝีมือตัวเองลงไปมากยิ่งขึ้นเท่านั้น เพื่อที่ว่า ถ้าเรียวชอบอาหารที่ผมทำ เรียวจะได้เผื่อแผ่ความชอบนั้นมาถึงผมบ้าง ไม่ใช่แค่เฉพาะการทำอาหารให้คุณทานเท่านั้นนะครับ ทุกๆอย่างที่ผมทำให้เรียว ผมทำด้วยความเต็มใจ อยากเห็นคุณมีความสุข ถ้าคุณรู้สึกดีกับมัน ผมก็รู้สึกปลาบปลื้มตามไปด้วย นี่เป็นวิธีการแสดงออกในเรื่องความรักของผมที่มีต่อคุณ ว่าผมรักเรียวมากมายแค่ไหน....”


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด