My First Boyfriend Part 3:By Katesnk
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: My First Boyfriend Part 3:By Katesnk  (อ่าน 172319 ครั้ง)

anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่8 9/1/09
«ตอบ #60 เมื่อ09-01-2009 13:29:29 »

บทที่ 8

“ตาลุงทรงพลทำท่าแปลกๆ ว่ามั๊ย เหมือนเขาจะจีบๆเรียวยังไงไม่รู้”
ศักดิ์ชายเอ่ยขึ้น ขณะขับรถพาพวกเรามาส่งที่บริษัทตามเดิม หลังจากทานอาหารค่ำมื้อนั้นเสร็จเรียบร้อย ต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันกับ ผมกับเจ้าสันต์ซึ่งนั่งรถมากับศักดิ์ชายเลยต้องติดรถมาลงที่หน้าบริษัท เพื่อเอารถที่จอดทิ้งไว้
“แปลกยังไง ฉันว่าเขานิสัยดีออก ท่าทางจะชอบนายเรียวของเราอยู่ไม่น้อย
เจ้าสันต์หันมาลิ่วตาล้อเลียนผมทางด้านหลัง วันนี้เจ้าสันต์ทำตัวเป็นไม้กันหมา มันนั่งข้างหน้ากับศักดิ์ชายทั้งไปและกลับ เหมือนมันไม่ค่อยไว้ใจศักดิ์ชายยังไงไม่รู้
“นั่นแหละเห็นแล้วอยากจะอ้วก ตอนให้ของเรียว ทำตาหวานใส่ซะจนเอียน แก่แล้วยังจะตัณหากลับอีก เห็นหนุ่มหน้าหวานๆหน่อยไม่ได้ เรียวเองก็หน้าตาดีซะจนคนพวกนี้แทบคลั่ง นี่ถ้าตาแก่นั่นไม่บอกว่ามันมีแฟนแล้วนะ มันคงจ้องจะงาบเรียวเป็นแน่”
ศักดิ์ชายพูดอย่างโมโหโกรธา จนผมเองยังนึกงง เจ้าสันต์เอี้ยวตัวมามองผม แล้วยักไหล่ เมื่อเห็นผมทำหน้าเหวอๆ
“มันเป็นความผิดของฉันหรือวะ ที่หน้าตาแบบนี้ ฉันควรจะดีใจไหมเนี่ย ถ้าเป็นสาวๆมาชื่นชม ฉันจะปลื้มมากกว่าอีก”
“นั่นสิ ไอ้เรียวมันก็หน้าตาหล่อของมันแบบนี้มาตั้งแต่เกิด จะไปว่ามันก็ไม่ได้ ต้องไปโทษพ่อแม่มันโน่น ที่ทำไมไม่ให้กำเนิดลูกหน้าตาขี้เหร่แบบนายกับฉัน จะได้ไม่ต้องมีคนมาตอมมันหึ่งอย่างนี้ แต่ฉันก็ไม่เข้าใจว่า แกจะไปเดือดร้อนอะไรกับมันนักหนาวะเจ้าศักดิ์ชาย แกทำเป็นเดือดเป็นแค้นเสียจนฉันนึกว่าแกหึงหวงมันซะอีก”
“เฮ้ย…..”
ผมกับศักดิ์ชายร้องขึ้นพร้อมกัน
“คิดได้ไงวะ ฉันไม่เคยคิดอย่างนั้นกับเจ้าเรียวมันเลยนะเว้ย เรียวอย่าไปฟังไอ้สันต์ มันบ้าไปแล้ว มาคิดได้ไงว่าฉันหวงนายเรียว ฉันมีเมียและลูกแล้วโว้ยยย”
ศักดิ์ชายเถียงเจ้าสันต์เสียงสั่น ท่าทางตื่นเต้น เหมือนคนที่แก้ตัวเวลาถูกจับได้ว่าทำผิด
“อ้าว ก็จะรู้ได้ไงวะ ก็เห็นโวยวายลั่นรถ เรียวมันเป็นฝ่ายถูกกระทำ มันยังไม่เห็นพูดไรเลย มีแต่นายที่นะแหละที่แสดงอาการออกมากกว่าใครอื่น”
“ก็ฉันอดโมโหแทนเรียวมันไม่ได้นี่หว่า”
“เฮ้ย พอทีเถอะ...”
ผมรีบตัดบทเมื่อเห็นเจ้าสันต์จะขยับปากโต้ตอบ ไม่อยากให้พวกมันทะเลาะกันต่อหน้าต่อตาผมด้วยเรื่องของตัวผมเอง แถมซ้ำประเด็นเกี่ยวข้องกับการที่เกย์มาชอบผมอีกด้วย
“จะทะเลาะอะไรกันนักหนาวะ บางทีนายทรงพลอาจจะไม่คิดอะไรมากก็ได้ พวกแกต่างหากที่คิดกันไปใหญ่โต ไร้สาระสิ้นดีว่ะ”
“เออออออ...ขอให้มันจริงทีเถอะเพื่อน ถ้าหากนายทรงพลมาเทียวไร้เทียวขื่อแกอีก ก็แสดงว่าเขาชอบแกแน่นอน แล้วจะมาหาว่าฉันไม่เตือนไม่ได้นะโว้ยยยย”
ศักดิ์ชายทำเสียงงอนๆ แต่ผมขี้เกียจง้อมัน ไอ้เพื่อนบ้า หาสิ่งดีๆมาให้หน่อยก็ไม่ได้ ทำไมต้องมาเอาผมไปโยงกับเรื่องเกย์ด้วยวะ แค่นี้ผมก็เครียดจะตายอยู่แล้ว
“แล้วนี่ยัยอรนั่น เป็นอะไรมากไหมเนี่ย อยู่ดีๆก็ตั้งคำถามแบบนี้ขึ้นมา เหลือเชื่อเลย ในหัวสวยๆนั่น ไม่มีมันสมองดีๆเหลืออยู่หรือไงวะ เมื่อก่อนนี้เห็นว่าทั้งสวย ทั้งขยันขันแข็ง แต่ไม่นึกว่าจะงี่เง่าได้ขนาดนี้ ใครหลงชอบหล่อนเข้าไปได้กันวะนี่ อยู่ดีๆก็ไปถามแบบนั้นได้ไง เขาเป็นลูกค้าด้วย นี่ถ้าเขาโกรธไม่ทำประกันกับบริษัทเรา แล้วเอาบริษัทไปนินทาว่าพนักงานบริษัทนี้ไร้มารยาทจะทำไง อยู่ประชาสัมพันธ์แท้ๆ แทนที่จะรักษาภาพจน์ให้บริษัท กลับมาทำความเสียหายให้เสียเอง เหลือเชื่อเลยยัยนี่”
เจ้าศักดิ์ชายยังไม่เลิกบ่น คราวนี้พื่อนเก่าผมมันเปลี่ยนเป้าหมายไปที่อรจิรา ศักดิชายพ่นคำพูดเป็นชุด ทำเอา เจ้าสันต์ หัวเราะก๊าก แต่ผมนั่งเซ็ง
“หัวเราะอะไรวะ”
เพื่อนสมัยเรียนของผมถามเจ้าสันต์อย่างโกรธๆที่อยู่ดีๆก็ไปหัวเราะคำพูดของมัน
“ก็นายน่ะสิ ว่าเขาฉอดๆ นายไปเดือดร้อนไรด้วย ทำเหมือนว่าเขาว่าตัวเองงั้นแหละ เป็นเกย์เหรอ ขนาดฉันยังไม่โกรธมากแบบนายเลย”
เจ้าสันต์อดแหย่ศักดิ์ชายไม่ได้ เพื่อนเก่าของผมนิ่งไปชั่วครู่ แล้วมันก็เถียงขึ้นมาอย่างไม่ยอมแพ้
“ถึงฉันไม่ได้เป็นเกย์แบบนาย แต่ฉันก็ไม่ชอบที่ยัยนั่นพูด ดูสิ ไม่มีมารยาทเลย ไปถามคนที่เป็นเกย์ ว่ารู้สึกอย่างไร คิดยังไงถึงเป็นเกย์ พ่อแม่พี่น้องไม่ว่าเอาเหรอ แล้วคิดจะหลอกผู้หญิงมาแต่งงานไหม ดูสิดู ทำไปได้ ยัยนี่ถ้าไม่บ้าก็โง่แล้ว สงสัยเป็นอย่างที่นายสุริยะนั่นว่าแน่ ยัยอรนี่ต้องถูกเกย์หักอกมาแน่ๆ ว่าแต่ใครวะที่หักอกเขา คนในบริษัทเราหรือเปล่า นายพอจะรู้ไหม”
ศํกดิ์ชายถามเจ้าสันต์อย่างอยากรู้อยากเห็น แต่เจ้าสันต์ไม่ตอบกลับหัวเราะลงลูกคออย่างชอบอกชอบใจ พลางเอี้ยวตัวมายักคิ้วให้ผมแล้วยิ้มยั่ว
“นายอยากรู้ไปทำไมวะศักดิ์ชาย”
ผมถามเพื่อนเก่าขึ้นมา สงสัยว่ามันต้องการรู้ไปทำไม ในเมื่อไม่เห็นว่าจะมีอะไรที่เกี่ยวข้องกับมันสักหน่อย
“อ้าว ก็ถ้ายัยนี่ถูกเกย์คนไหนอกหักจริงๆ ฉันจะได้ไปขอบคุณเกย์คนนั้น เรื่องที่เขาสามารถทำให้แม่สาวสวยของบริษัทผู้แสนเหย่อหยิ่งอกหักจนได้”
“บางทีแม่นี่อาจจะเป็นฝ่ายทำให้คนๆนั้นอกหัก มากกว่าจะเป็นฝ่ายถูกทิ้งนะ ป่านนี้ ผู้ชายที่ถูกทิ้งคนนั้น อาจจะทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสอยู่ก็ได้”
เจ้าสันต์พูดยิ้มๆ พลางปรายตามาทางข้างหลัง ผมขึงตาใส่มันเริ่มโกรธที่มันขุดคุ้ยเรื่องที่มันควรจะจบแล้วขึ้นมาอีก เจ้าสันต์ยักไหล่อย่างคนที่ไม่ใส่ใจอะไรอีกครั้ง
“เฮ้ย ผู้หญิงน่ารังเกียจแบบนั้นน่ะเหรอ ที่จะสามารถทำให้ผู้ชายอกหักได้ ใครหนอที่โง่ไปชอบแม่นี่ ตาคงบอดและพิการทางปัญญาซ้ำซ้อนจริงๆ ดูก็รู้ว่าแม่นี่อ่ะนิสัยไม่ได้ดีตามหน้าตาหรอก ร้ายกาจจะตาย แต่จะว่าไปแล้วก็ดีเหมือนกัน ถ้าเขาหักอกผู้ชายดีๆคนนั้นนะ ผู้ชายคนนั้นอาจจะได้หูตาสว่างซะที ป่านนี้คงจะเข็ดขยาดผู้หญิงจนกลายเป็นเกย์ไปแล้วมั๊ง”
เหมือนมีลูกศรที่ถูกยิงออกมาจากคันธนูแล้ววิ่งผ่านอากาศมาปักลงตรงเป้าหมายที่กลางใจผม ไม่ใช่ดอกเดียว แต่หากเป็นหลายร้อยหลายพันดอกที่ทิ่มแทงให้ผมเจ็บปวด สิ่งที่ศักดิ์ชายพูดไปโดยไม่คิด เพราะเขาไม่รู้ว่าผมกับอรจิราเคยเป็นแฟนกันมาก่อน มันทำให้ผมรู้สึกแปลบเข้าไปในอก
บาดแผลจากการเลิกรากันระหว่างผมกับอรจิรา ยังไม่หนักหนาสาหัสเท่ากับรอยแผลใหม่ที่เกิดขึ้น ทำไมนะ ผู้ชายที่ผิดหวังจากผู้หญิง ทำไมจะต้องกลายเป็นเกย์ด้วย ผมไม่เข้าใจเลย คนทั่วไปเขาคิดกันอย่างนี้เหรอ หรือเพราะว่าไอ้พวกนี้มันเป็นเกย์ มันเลยคิดว่าบทสรุปของผู้ชายที่อกหักต้องเป็นเกย์เสมอไป
เจ้าสันต์หัวเราะก๊าก มันคงขำคำพูดของเจ้าสันต์ที่พร่ำออกมาอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว ส่วนผมก็ได้แต่นั่งทำหน้าเรียบเฉย ถึงจะรู้สึกไม่พอใจเจ้าสันต์แต่ก็แสดงออกมาให้ใครรู้ไม่ได้ ผมต้องการจบเรื่องนี้และลืมเรื่องราวทุกสิ่งทุกอย่างระหว่างผมและอรจิราให้หมดสิ้น ไม่ต้องคิดถึง ไม่ต้องทนเจ็บปวดกันอีกต่อไป
“นายนี่เป็นเอามากเลยนะศักดิ์ชาย ฉันไม่เข้าใจว่านายจะไปเกลียดเขาทำไมกัน เขาก็แค่แสดงความคิดเห็นเท่านั้นเอง ผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่มีใครชอบเกย์หรอกว่ะ เพราะเขาคิดว่าเกย์มาแย่งคนรักของเขาไป นายเป็นผู้ชายแท้ๆ นายน่าจะเห็นด้วยกับยัยอรจิราด้วยซ้ำ ผู้ชายแท้ๆก็เกลียดเกย์ไม่ใช่หรือวะ”
คราวนี้เจ้าสันต์ยิงคำถามเอากับศักดิ์ชายตรงๆ ความเงียบเข้ามาปกคลุมชั่วขณะที่เพื่อนเก่าของผมอ้ำอึ้งไม่ตอบโต้ ผมไม่รู้ว่าคำพูดของเจ้าสันต์กระทบความรู้สึกของศักดิ์ชายมากน้อยแค่ไหน แต่มันก็คงจะมีผลมากพอที่จะทำให้คนขี้บ่นอย่างมันหุบปากเงียบได้
จนกระทั่งรถของศักดิ์ชายแล่นเข้ามาจอดตรงหน้าบริษัท ก่อนที่ผมกับเจ้าสันต์จะลงจากรถ เพื่อนเก่าของผมจึงได้เปิดปากขึ้น ท่าทางของมันดูจริงจังขณะพูด
“ใช่ ฉันเป็นผู้ชายแท้ๆ แต่ฉันก็ไม่ได้เกลียดเกย์เลย ฉันเข้าใจความรู้สึกของอรจิรา แต่ในขณะเดียวกัน ฉันก็ไม่ชอบให้แม่นั่น วิพากษ์วิจารณ์อย่างเกลียดชัง เหมือนว่าพวกกระเทยพวกเกยเป็นพวกวิปริตผิดมนุษย์มนา แล้วนายไม่คิดหรือว่า คำพูดที่แม่นั่นพูดมันเกินไปจริงๆ”
ท้ายประโยคศักดิชายหันมาตั้งคำถามผมกับเจ้าสันต์
“ฉันคิดว่ามันก็แรงไปนะ แต่ช่างเถอะ อย่าไปใส่ใจอะไรเลย อรเขาก็เป็นคนแบบนี้ หวาดระแวง และคิดมาก เขาอาจจะพูดอะไรออกไปโดยไม่คิด แต่เดี๋ยวพอเขานึกได้ ก็จะรู้เองแหละว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นมันมีผลเสียอย่างไร นายควรจะดูเจ้าสันต์เป็นตัวอย่างนะ กับเรื่องนี้ มันยังไม่เดือดร้อนเลย ทั้งๆที่มันเป็นเกย์ แล้วนายจะมาเดือดร้อนด้วยทำไม ฉันก็ไม่ได้เกลียดเกย์เหมือนนาย แต่ฉันก็ไม่อยากยุ่งกับเรื่องนี้สักเท่าไหร่ นายก็อย่าไปคิดแทนพวกเขาเลย”
ผมตอบศักดิ์ชายไป เพราะเห็นว่าเจ้าสันต์นิ่งเฉยๆไม่พูดว่าอะไร มันคงขี้เกียจพูด เพราะได้โต้เถียงกับเพื่อนเก่าของผมไปมากแล้ว ขณะที่ผมเปิดประตูเตรียมจะลงจากรถ ศักดิ์ชายก็พูดกับผมในประโยคที่เล่นเอาผมถึงกับอึ้ง
“นายไม่เกลียดคนที่เป็นเกย์จริงๆเหรอ ฉันดีใจมากเลยที่ได้ยินคำพูดแบบนี้จากปากนาย เรียว นายนี่นอกจากจะหน้าตาดีแล้ว ยังจิตใจงดงามอีกด้วย ฉันภูมิใจในตัวนายมากจริงๆ นี่ถ้าเกย์คนไหนมาได้ยินนายพูด คงรักนายมากน่าดูเลย”
“......”
“เฮ้ย พอๆๆๆ อย่าชมเสียเว่อร์ เรียวน่ะ มันก็ไม่เคยเกลียดเกย์ตั้งแต่แรกแล้ว ถ้าเกลียดแล้วมันจะมาคบฉันทำไม นายเป็นเพื่อนกันมาตั้งนาน ก็น่าจะรู้ว่าไอ้เรียวมันใจดี ใจอ่อน มันไม่ค่อยเกลียดใครเลยด้วยซ้ำ แล้วนี่ ฉันก็ไม่ได้รักเจ้าเรียวมากมายกว่าที่เคยรักมัน มันเป็นเพื่อนที่ดี มันไม่เกลียดเกย์ ฉันชอบมันตรงนี้ แต่ไม่ได้รักมากขึ้นอย่างที่นายพูดหรอกว่ะ จริงอยู่มันหล่อ มันแสนดี แต่ก็เป็นได้แค่เพื่อนเท่านั้นโว้ย แต่ถ้ามันเปลี่ยนใจมาเป็นเกย์สิ ฉันอาจจะพิจารณามันดู อาจจะจีบมันตั้งแต่แรกๆ ไม่ต้องมานั่งเก็กแมนหรอกโว้ย เดี๋ยวหมาคาบไปกิน มันยิ่งน่ารักอยู่ด้วย”
เจ้าสันต์พูดซะเสียงดัง มันคงหมั่นไส้ศักดิ์ชายเสียเต็มประดาที่ทำเหมือนกับผมได้หลุดคำพูดศักดิ์สิทธิ์ออกไป แถมมันยังแอบกัดศักดิ์ชายอีกต่างหาก ที่ผมรู้เพราะผมคบกับมันมานาน รู้ว่าถ้ามันไม่ชอบคนไหน แล้วคนๆนั้นมาพูดจาขัดหูขัดใจมัน เจ้าสันต์ก็อดไม่ได้ที่จะแขวะกลับจนเหวอะ ยิ่งเป็นศักดิ์ชาย คนที่มันปักใจเชื่อ 100 % ว่าเป็นเกย์เก็กแมนมันยิ่งหาโอกาสในการกัดอยู่เรื่อยๆ แล้วศักดิ์ชายก็ช่างเป็นเหยื่อให้เจ้าสันต์ขบเอาเสียจริงๆ
“ไอ้บ้าเอ๊ย นายทำงั้นไม่ได้หรอก จะมาจีบเพื่อนได้ไงฟะ ไม่ดีนะโว้ย”
ศักดิ์ชายร้องห้ามเสียงหลง
“เออ ก็ใช่นะสิ จีบเพื่อนรักน่ะ ไม่ดีหรอก นี่ฉันก็เกือบรักมันให้แล้ว หน้าตาไอ้เรียวยิ่งหล่อได้ใจอยู่ด้วย ถ้านายไม่พูดฉันจีบมันไปแล้ว เฮ้อ อย่าเป็นห่วงเลย ฉันจะจำคำพูดนายไว้ ว่าถ้าเอาเพื่อนเป็นแฟนมันจะไม่ดี เดี๋ยวมันจะเสียทั้งแฟน และเสียทั้งเพื่อน ขอบใจนะที่เตือน ไปล่ะ ไอ้เรียวอ่ะ ไปหรือยังวะ”
เจ้าสันต์พูดจบก็เปิดประตูลงจากรถ พลางร้องเรียกให้ผมลงไปด้วย ผมหันไปกล่าวลาศักดิ์ชายซึ่งทำหน้าเหมือนอยากจะพูดคุยกับผมต่อแต่กริ่งเกรงที่จะพูดออกมา ผมยิ้มให้มันแล้วเปิดประตูก้าวลงจากรถ ตอนที่ผมปิดประตู ผมเหลือบเห็นศักดิ์ชายมองตามผม ท่าทางอาลัยอาวรณ์ ผมรู้สึกขนลุกเกรียว
ทำไมเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ต้องมองผมด้วยสายตาแบบนั้นนะ ที่ผ่านมามันเคยส่งสายตาแบบนี้ให้ผมบ้างหรือเปล่า ผมจำไม่ค่อยได้เลย บางทีความที่เราเป็นเพื่อนกัน ผมเลยไม่ได้คิดอะไรมาก จึงไม่สนใจในรายละเอียด แต่ ณ ตอนนี้ อะไรหลายๆอย่างมันเปลี่ยนไป มีเกย์มากมายแวดล้อมรอบตัวผม จนไม่ใส่ใจไม่ได้ ยิ่งศักดิ์ชายมาทำหน้าตาแบบนี้ใส่ ผมยิ่งคิดมาก หรือว่าเขาจะเป็นอย่างที่เจ้าสันต์พูดนะ เป็นเกย์ไม่แสดงออก และมันอาจจะชอบผมอยู่ แต่เป็นไปไม่ได้หรอก มันแต่งงานมีลูกมีเมียแล้ว และมันก็รักลูกมากด้วย ถ้าเป็นเกย์คงไม่ชอบผู้หญิงมั๊ง เพราะเจ้าสันต์ยังไม่สนสาวๆคนไหนเลย ถ้างั้นมันมองผมแบบนั้นทำไมกันนะ
“ไอ้บ้าศักดิ์ชายเอ๊ย นึกว่าไม่รู้หรือไงว่าคิดอะไรอยู่”
เจ้าสันต์บ่นศักดิ์ชายไล่หลัง ผมเดินหนี ขี้เกียจจะฟังมัน ยังนึกโมโหที่มันชอบเอาชีวิตรักที่พังพินาศระหว่างผมกับอร มาเป็นเรื่องล้อเล่น รู้ดีว่ามันคงพูดด้วยความหมั่นไส้ ที่ผมไม่เชื่อมันตั้งแต่แรกที่บอกให้เลิกกับอรจิราเสีย พอผมพลาดขึ้นมา มันก็เลยซ้ำ ลึกๆลงไปแล้วผมก็รู้ว่ามันรักและห่วงผม แต่เล่นเอาเรื่องนี้มาพูดบ่อยๆ เพื่อนก็เพื่อนเถอะ ผมมีสิทธิ์โกรธมันได้เช่นกัน
“เฮ้ย เรียว จะรีบเดินไปไหนนักหนาวะ บ้านของนายยังตั้งอยู่ที่เดิมนั่นแหละ ไม่มีใครขโมยไปหรอก”
“อยากจะรีบกลับบ้านว่ะ วันนี้เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว อยากพัก”
ผมเดินจ้ำอ้าวๆตรงไปยังลานจอดรถ โดยมีเจ้าสันต์วิ่งตาม พอทันกันมันก็เอ่ยขึ้นมา
“ฉันอยากจะขอคุยอะไรกับนายด้วยหน่อยสิรู้สึกอึดอัดอ่ะ ถ้าไม่ได้คุยต้องแย่แน่ๆ”
“ไม่คุยโว้ย แกจะจีบฉัน ฉันกลัว ไม่คุยด้วยหรอก”
ผมแกล้งแหย่มัน เมื่อเห็นท่าทางซีเรียสจริงจัง จะเป็นจะตายของมัน เจตนาเพื่อให้มันอารมณ์ดีบ้าง แต่เหมือนไปยั่วยุให้มันโกรธขึ้นมา
“อ้าว ไอ้เวรนี่ เดี๋ยวโดนเตะแน่ คนกำลังจะคุยเรื่องเป็นงานเป็นการ”
มันทำเสียงหงุดหงิดใส่ผม
“ก็คุยมาสิ นี่มันจะห้าทุ่มแล้วนะโว้ย กว่าจะถึงบ้านมีหวังเที่ยงคืนแน่ พรุ่งนี้ฉันมีประชุมเรื่องสินค้าตัวใหม่แต่เช้า เลยอยากจะรีบไปพักผ่อน พรุ่งนี้หัวจะได้โล่งๆ”
“เออๆๆ ช่วยฟังเพื่อนพูดหน่อยแล้วกัน คือมันสืบเนื่องมาจากตอนที่ทานข้าว นายไม่สงสัยเหรอว่าทำไมน้องแซ่บสุดแสนน่ารักของฉันถึงมาปรากฏตัวที่นั่นด้วยวะ”
นึกแล้วว่ามันต้องหาโอกาสถามผม มันคงสงสัยเหมือนกัน ผมไม่อยากจะตอบในสิ่งที่ผมคาดเดาไว้ ไม่แน่ใจว่ามันจะจริงหรือเปล่า เกิดไม่ใช่ขึ้นมาเดี๋ยวสองคนนี้ทะเลาะกัน ผมจะแย่
“อื้ม ไม่รู้ว่ะ สงสัยอยู่แต่ไม่อยากถาม แล้วก็ไม่เห็นมีใครพูดถึง แต่ถ้าจะให้เดานะ คิดว่าคงมากับพวกนายสุริยะน่ะ เลยไม่อยากละลาบละล้วง”
ผมตอบมันไปตามที่คิด แต่ไม่ทั้งหมด เจ้าสันต์พยักหน้าตามอย่างเห็นด้วย
“ฉันก็ว่างั้นแหละ น้องแซ่บคงต้องมากับคนพวกนั้น ไม่รู้ว่ารู้จักกันได้ไง แล้วไปรู้จักกันตอนไหนเมื่อไหร่ ทำไมฉันไม่เห็นรู้เลย”
มันพูดกับผมเป็นเชิงถามความคิดเห็น ผมไม่ตอบ ใจนึกไปถึงวันที่ผมเจอแซ่บกับสุริยะที่สวนจตุจักร
“นายว่าฉันควรจะถามแซ่บดีไหมวะ”
“อื้ม.......ถ้าสงสัยก็ลองถามดู ถ้านายไม่ถาม นายจะเก็บความสงสัยไว้ได้ไหม แต่หากนายจะถามเขา นายคิดว่าน้องเขาจะตอบคำถามนายทุกเรื่องหรือเปล่าล่ะ”
ผมตั้งคำถามให้มันคิด เจ้าสันต์นิ่งเงียบท่าทางลังเลไม่มั่นใจ
“ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ะ ช่วงหลังๆนี้ ฉันมีความรู้สึกว่า น้องแซ่บมีอะไรบางอย่างที่ปิดบังฉันอยู่ เรื่องวันนี้ก็เหมือนกัน เกิดฉันถามไปแล้วเขาไม่ตอบฉันต้องเป็นบ้าตายแน่”

anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่8 9/1/09
«ตอบ #61 เมื่อ09-01-2009 13:29:56 »

“......”
“โอ๊ย จะบ้าตาย น้องแซ่บรู้จักพวกนั้นได้ไงวะ”
อยู่ๆมันก็ร้องโวยวายขึ้นมา ผมเลยหยุดแล้วหันมามองมันด้วยสายตาตำหนิ
“เฮ้ย เก็บอาการหน่อยสิวะ พูดเบาๆก็ได้ท่านผู้จัดการ แค่นี้คนก็จะแตกตื่นกันอยู่แล้ว เดี๋ยวใครมาเห็นจะสิ้นความนับถือในตัวนายกันพอดี ยิ่งถ้าคนพวกนั้นเป็นลูกน้องนายด้วยล่ะก็ แย่แน่ๆเลย อย่านึกว่าดึกแล้วจะโวยวายยังไงก็ได้นะโว้ย ”
“ก็ช่างมันปะไร ดึกป่านนี้ก็มีแต่พวกยามเท่านั้นแหละที่อยุ่ ไอ้พวกลูกน้องฉันนะเหรอ มันเปิดตูดแน่บไปตั้งแต่งานเลิกแล้ว ไม่มีใครขยันทำงานบ้าเลือดแบบฝ่ายนายหรอก แล้วขืนไอ้ตัวไหนมันกล้าเอาฉันไปเม้าท์ ไม่ว่ายามหรือลูกน้อง พ่อจะเด้งมันให้ดู”
เจ้าสันต์พูดอย่างพาลๆ ท่าทางมันจะหงุดหงิดเรื่องเด็กแซ่บอย่างมาก ความไม่รู้ชัดเจนถึงสัมพันธ์ระหว่างเด็กนั่น กับนายสุริยะ และ นางทรงพล ทำให้เพื่อนร่วมงานของผมคิดมาก ออกอาการงุ่นง่านพาลพาโลอย่างเห็นได้ชัด ผมไม่อยากคิดเลย ถ้าหากมันได้รู้ในสิ่งที่ผมรู้ มันจะคลุ้มคลั่งมากมายแค่ไหนหนอ
“นายว่า น้องแซ่บคือคนที่ทรงพลพูดถึงหรือเปล่าวะ”
ผมมองหน้ามัน ในใจก็คิดว่านี่มันไม่รู้จริงๆ หรือ แกล้งไม่รุ้กันแน่นะ เขาควงกันมาขนาดนั้น หากแซ่บไม่ใช่คนสำคัญ จะมีโอกาสไปนั่งร่วมวงกับพวกเราได้อย่างไร ถึงผมจะไม่กล้าพูดออกมาตามตรง แต่ผมก็คิดว่าต้องเป็นแบบนั้นเหมือนกัน
“ไม่รู้เหมือนกันว่ะ เขาไม่ได้ระบุชื่อเฉพาะเจาะจงออกมา ฉันก็ไม่กล้าเดา เดี๋ยวผิด”

“น้องแซ่บเข้ามยุ่งอะไรด้วยนะ ชักอยากรู้ซะแล้ว ถ้าหากน้องแซ่บเป็นคนที่นายทรงชัยพูดฉันคงอกแตกตายแน่ ไม่ได้การแล้ว ฉันต้องจัดการเรื่องนี้ ไม่ให้มันคาราคาซังอีก ว่าแต่ถ้าฉันไปเคลียร์กับน้องแซ่บ นายไปกับฉันด้วยได้ไหมวะ”
“เรื่องของนายสองคน ควรจะคุยกันเองมากกว่า อย่าให้มือที่สามมือที่สี่เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยเลย เดี๋ยวจะยุ่งเปล่าๆ”
ผมปฏิเสธคำขอร้องของเจ้าสันต์อย่างนุ่มนวล ไม่อยากเอาตัวเข้าไปพัวพัน กลัวว่าตัวเองจะอดไม่ได้พูดในสิ่งที่ตัวเองเห็นขึ้นมา เดี๋ยวคำพูดของผมจะกลายเป็นชนวนให้เกิดความร้าวฉานกันยิ่งขึ้น หากเขาตกลงกันได้ก็ดีไป หากเขาตกลงกันไม่ได้ เจ้าสันต์จะพาลมาเกลียดผมเปล่าๆ ที่ไม่บอกมันตั้งแต่แรก มันเองเคยบอกผมตลอดเวลา ว่าอรจิราไม่ใช่คนที่เหมาะสมกับผม พยายามหาทางพิสูจน์ทฤษฎีความเชื่อของมัน แต่ผมก็ไม่เคยฟัง ในท้ายที่สุดความรักของผมก็ต้องจบลง
แต่ในกรณีของเจ้าสันต์ ผมกลับไม่กล้าบอกความจริงให้มันรู้ เพราะมันพัวพันกับคนหลายคน ทั้งนายสุริยะ และนายทรงพล ซึ่งเป็นผู้ที่ทำผลประโยชน์ให้กับบริษัท สิ่งที่ผมได้เห็นมันอาจจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ก็ได้ ในเมื่อผมไม่รู้อะไรแน่ชัด ทุกอย่างเป็นแค่ความสงสัยในใจของผม ดังนั้นผมจึงไม่กล้าที่จะเล่าให้มันฟัง เพราะหากเจ้าสันต์ขาดสติขึ้นมา มันอาจจะทำการจาบจ้วง นายสุริยะ และทรงพลยิ่งกว่าที่อรจิราทำวันนี้ก็ได้
มันไม่เป็นผลดีเลย ถ้าสต๊าฟกับฝ่ายขายจะทะเลาะกันด้วยเรื่องชู้สาว ที่สำคัญ เป็นเรื่องของการแย่งผู้ชายคนเดียวกันอีกต่างหาก รู้ถึงไหน คงขายหน้าไปถึงนั่น วงการนี้ ข่าวคราวมันถึงกันง่าย ถ้าเกิดรั่วไหลไปยังบริษัทคู่แข่ง แล้วเอาเรื่องนี้มาโจมตี อาจจะมีผลกระทบต่อภาพพจน์ของบริษัทก็ได้ ซึ่งแน่นอน ผมไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้น รวมทั้งห่วงเจ้าสันต์เพื่อนผมด้วย
“นายจะไปพูดคุยสักถามอะไรกับเด็กนั่น ฉันไม่ว่าหรอกนะ มันเรื่องของนาย แต่ว่าพูดจากันดีๆก็แล้วกัน อย่าไปพูดในลักษณะกล่าวหา เพราะหากไม่ใช่ในสิ่งที่นายคิดขึ้นมา เด็กคนนั้นก็จะโกรธ คราวนี้นายก็จะเข้าหน้าลำบาก แต่นายก็ต้องคิดเผื่อไว้ด้วย ว่าถ้าใช่ นายจะทำไงต่อ จะโวยวาย แย่งกลับมา หรือไปวีนใส่คุณทรงพลกับคุณสุริยะ ถ้าทำอย่างนั้น นายก็ต้องคำนึงถึงผลกระทบด้วย ทะเลาะกับฝ่ายขายและลูกค้าด้วยเรื่องผู้ชาย มันไม่ใช่เรื่องงามสักเท่าไหร่ อาจจะกระทบถึงเรื่องการเรื่องงานด้วย”
ผมให้ข้อคิดมันด้วยความเป็นห่วง แต่ดูเหมือนมันยังหงุดหงิดอยู่ จึงยังไม่พร้อมจะรับฟังมันเท่าไหร่
“ทะเลาะก็ทะเลาะสิ งานก็ส่วนงาน เรื่องหัวใจก็ส่วนเรื่องหัวใจ ทำไมเหรอ สต๊าฟต้องเป็นฝ่ายเสียสละทุกอย่างให้ฝ่ายขายเหรอ ใครบัญญัติกฎข้อนี้วะ งี่เง่าสิ้นดีเลย ไม่รู้ล่ะ ถ้าเรื่องมันเป็นอย่างนั้นจริง ฉันจะไปวีนคนพวกนั้นด้วยตัวเอง”
เจ้าสันต์ตอบอย่างพาลๆ
“นายกำลังโกรธ เสียจนไม่มีสตินะสันต์ ยังไม่รู้อะไรแน่ชัดก็อย่าไปตีโพยตีพาย อีกอย่างถ้าจะต้องสูญสิ้นทุกอย่าง เพื่อแลกกับความรักที่ไม่รู้จะจีรังหรือเปล่า มันเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วหรือ”
ผมพยายามพูดให้มันสงบลง แต่เจ้าสันต์ยังคงดื้อ ท่าทางมันหงุดหงิดมาก
“นายมันหน้าตาหล่อเหลา มีสาวๆหนุ่มๆรุมตอม นายไม่เข้าใจความรู้สึกของเกย์ ที่หน้าตาไม่ดีอย่างฉันหรอก ฉันเองก็ไม่รู้หรอกนะ ว่าความรักของฉันกับน้องแซ่บจะจีรังยั่งยืนไปนานแค่ไหน แต่ฉันรู้อย่างเดียวว่าฉันจริงใจกับเขามาก หวังที่จะใช้ชีวิตกับน้องเขา แต่ยังไม่ทันที่ทุกอย่างจะลงตัว ก็มาเป็นแบบนี้แล้ว ฉันยอมไม่ได้หรอก ถ้าจะต้องตัดใจจากกัน โดยไม่รู้ว่าเพราะอะไร ทำไมน้องแซ่บถึงเปลี่ยนใจ”
เจ้าสันต์เริ่มที่จะโวยวายขึ้นมาอีก คราวนี้มันแขวะผมเต็มๆ ทำท่าเหมือนน้อยอกน้อยใจในวาสนาที่เกิดมาไม่หล่อ แล้วก็ยังยืนกรานที่จะรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขี้น ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไม่เข้าใจว่ามันจะตีตนไปก่อนไข้ทำไม ทั้งๆที่ยังไม่รู้อะไรกระจ่างแม้แต่สักเรื่องเดียว
“เออ ฉันก็แค่หวังดีกับนายเท่านั้น ไม่อยากให้นายเอาชีวิตทั้งหมดไปทิ้งไว้กับผู้ชายเพียงคนเดียว นายยังมีอนาคตที่ไกลกว่านี้ บางทีหนทางข้างหน้าอาจจะมีคนที่รักนายจริงรออยู่ก็ได้ ฉันก็พูดได้เท่านี้แหละเพื่อน จะงอนจะโกรธก็ตามใจโว้ย แล้วอีกอย่างนะ อย่ามาพูดว่าฉันหน้าตาดี แล้วหน้าตาฮ่วย เลยทำให้นายต้องมีชีวิตแบบนี้ มันช่วยไม่ได้ใช่ไหมที่ฉันเกิดมาหน้าตาดี มีทั้งผู้หญิงผู้ชายมาชอบฉัน แล้วนายเห็นหรือเปล่าว่าฉันก็ไม่ได้มีความสุขมากไปกว่านายเลย ตอนนี้ฉันไม่มีใครเลยด้วยซ้ำ เพิ่งอกหัก โดนผู้หญิงทิ้ง ชีวิตฉันเลยมีแต่งาน กับงานเท่านั้น ฉันคิดอยู่เสมอว่า ไม่เป็นไรหรอก ถ้าเราจะไม่มีใคร แต่เราก็ยังสามารถที่จะอยู่ได้ มีการมีงานทำ อีกหน่อย คนดีๆก็จะผ่านเข้ามาในชีวิตเราเอง ฉันถึงไม่รีบร้อนไง แล้วอยากให้นายเป็นแบบนี้บ้าง อย่าด่วนใจร้อนตัดสินใจแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง มีแค่นี้แหละที่จะพูด ไม่ฟังก็อย่าฟัง ฉันจะกลับบ้านแล้ว”
นั่นคือคำพูดเตือนสติยาวเหยียดที่สุดที่ผมเคยพูดกับมัน นับตั้งแต่คบกันมา รู้สึกโมโหนิดหน่อยที่มันยอมให้ความรักเข้าครอบงำจนไม่สนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ห่วงตัวเอง ไม่ห่วงหน้าที่การงาน ดื้อดึงเพราะความรักอย่างเดียว ผมอยากจะหัวเราะให้ฟันหักนัก แต่ก็หัวเราะไม่ออก นี่หากไอ้เพื่อนหัวรั้นของผม มันได้เห็นน้องแซ่บสุดน่ารักของมันนัวเนียกับนายสุริยะ ก่อนจะมานั่งใกล้ชิดกับนายทรงพล เจ้าสันต์มันจะเลิกบ้าไหม
ถ้าหากผมไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลย ผมอาจจะพูดเชียร์มันให้ปรับความเข้าใจกับน้องแซ่บ เชียร์ให้มันรักกัน เพราะเห็นว่ามันคลั่งไคล้นัก แต่เมือ่ผมเห็นพฤติกรรมอย่างนี้ของเด็กนั่น ผมก็ไม่เห็นว่าเจ้าสันต์จะต้องไปลุ่มหลงกับเด็กนั่นอีกทำไม การที่ไปรักคนที่เขาก็พร้อมที่จะไม่ซื่อสัตย์ต่อตนเอง สักวันมันนั่นแหละ ที่จะเป็นฝ่ายเจ็บปวด
“ฉันรู้ว่านายหวังดีกับฉัน แต่นายไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกของฉันหรอก เอาไว้ถ้านายรู้สึกว่ารักใครมากจนกระทั่งยอมทำทุกอย่างได้เพื่อเขา นายจะรู้ว่าฉันคิดอย่างไร”
“เคยสิ ฉันก็เคยรักอรจิรามาก”
ผมเถียงมัน แต่เจ้าสันต์ส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธว่าสิ่งที่ผมเข้าใจมาตลอดว่านั่นคือความรักแท้ที่มีต่ออรจิรา เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง
“นายอาจจะเคยรัก แต่ยังไม่มากพอที่จะทำทุกอย่างได้เพื่อหล่อน ไม่อย่างนั้น นายต้องทำทุกวิถีทางที่จะแย่งเธอคืนมาจากนายอนันต์ ฉันรู้ว่าอรจิรายังคงรักนายอยู่ แต่เมื่อเขาเห็นว่านายเฉยชา ไม่ยอมทำอะไรเพื่อพิสูจน์ว่านายรักเขาจริง เขาก็ยิ่งโกรธแค้น เขาคงอยากให้นายสำนึกผิด และเห็นคุณค่าของเขาบ้าง ไม่ใช่ปล่อยเขาไปง่ายๆแบบนี้”
ความรักต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างมากมาย เพื่อคนที่เรารักหรือ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องไม่ถูกต้องใช่ไหม นี่มันเป็นกฎเกณฑ์ของความรัก หรือเป็นสิ่งที่เจ้าสันต์คิดและปฏิบัติเฉพาะตัวมันเองเท่านั้น มันค้านความเชื่อของผมเสียจนต้องเถียงกันมัน
“จะให้ฉันทำไงล่ะ เขาไม่ชอบที่ฐานะฉันไม่มั่นคง ไม่ยอมขอเขาแต่งงานซักที ไม่ชอบที่ฉันคบนายด้วย นายจะให้ฉันทำทุกอย่างเพื่อเขา โดยการเลิกคบกับพวกนาย หาเงินมาเยอะๆ แล้วก็ไปขอเขาแต่งงานเหรอ คงยากแล้วล่ะ เขาเจอคนที่รวยกว่า ดีกว่าฉัน แล้วฉันก็ไม่เห็นว่าจะต้องเลิกคบกับใครเพื่อมารักเขานี่นา”
“นั่นไง ฉันถึงว่านายรักเขาไม่มากพอที่จะเสียสละทุกสิ่ง ถ้าเป็นฉันนะ ฉันจะทำทุกอย่างเพื่อความรัก แม้ว่าฉันจะต้องแลกมันมากับอะไรก็ตาม”
เจ้าสันต์แค่นยิ้ม มันคงนึกว่าผมไม่เข้าใจคำว่ารักแท้จริงๆ ถึงได้ว่าผมแบบนั้น แต่ผมก็มีเหตุผลของผมเช่นกัน เราอาจจะทำอะไรเพื่อคนที่เรารักได้ แต่ก็ต้องมีสติแยกแยะเพียงพอว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ อย่างเช่นที่เจ้าสันต์กำลังพยายามยัดเยียดแนวคิดให้ผมแบบนี้
“ถึงแม้ว่าในภายหลัง นายจะพบว่า นายกับแฟนไปกันไม่ได้งั้นเหรอ นายยอมสูญเสียทุกอย่างเพื่อความรักที่มันอาจจะไม่สมหวังในวันข้างหน้า เกิดนายคิดผิดขึ้นมา นายก็จะไม่เหลืออะไรเลยนะเพื่อน ตรองดูใหม่เถอะ”
ผมถามมันด้วยความสงสัย อยากรู้ว่าถ้าบังเอิญมันรู้ความจริงว่าคนรักที่มันพยายามทุกวิถีทางที่จะเอากลับคืนมานั้นไม่ได้ซื่อสัตย์กับมันแม้แต่น้อย มันจะรู้สึกอย่างไร แล้วถ้าแย่งมาได้ โดยมันต้องแลกกับหน้าที่การงาน การนับหน้าถือตาจากคนอื่น แต่ในท้ายที่สุดก็ต้องเลิกรากันไป มันจะเสียใจบ้างไหม
“ไม่มีใครรู้หรอกเรียว ว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ฉันรู้แต่เพียงว่าขอให้ได้ทำวันนี้ให้ดีที่สุดเพื่อคนรักก็พอ อนาคตจะเป็นอย่างไรฉันไม่สน ถ้าปัจจุบันเราเริ่มต้นด้วยดี บทสรุปของความรักมันอาจจะลงเอยด้วยการอยู่กันอย่างมีความสุขก็ได้ เชื่อฉันเถอะเรียว ถ้าวันหนึ่งนายรักใครบางคนอย่างมากมาย นายจะรู้ด้วยตัวเองว่านายจะต้องทำอย่างไร บางทีนายอาจจะยิ่งกว่าฉันก็ได้”
สันต์ทำหน้าเคร่งขรึมจริงจังขณะพูดประโยคนั้นกับผม
“อย่าด่วนตัดสินใจอะไรลงไปโดยไม่คิดให้รอบคอบถ้วนถี่แล้วกัน”
ผมพูดกับมันแค่นั้น พลางตบไหล่มันเบาๆ ก่อนที่จะแยกไปขึ้นรถของตัวเอง นึกกังวลใจเรื่องของเจ้าสันต์กับแซ่บอยู่ครามครัน ห่วงหน้าที่การงาน ห่วงความรู้สึกของมัน กลัวมันจะเจอเรื่องที่เจ็บปวด แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากได้แต่หวังว่ามันจะไม่ให้ความรักมาครอบงำจนทำอะไรโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง และท้ายสุดผมปรารถนาที่จะให้เรื่องราวทุกอย่างเป็นการเข้าใจผิดมากกว่าจะเป็นเรื่องจริง
ผมสลัดศีรษะไล่ความคิดวิตกออกไปจากหัวสมอง เจ้าสันต์โตจนป่านนี้แล้ว มันคงจะมีวิธีการแก้ปัญหาดีๆที่ทำให้เกิดเรื่องเสียหายน้อยที่สุด บางทีผมอาจจะห่วงเพื่อนมากเกินไปก็ได้ รอให้ปัญหามันเกิดขึ้นมาก่อน แล้วผมค่อยช่วยมันคิดดีกว่า ผมเองก็มีปัญหาวุ่นวายพออยู่แล้ว ยังจะไปเอาเรื่องของคนอื่นมาเป็นกังวลอีก พอนึกได้อย่างนั้นผมก็เลิกคิดวุ่นวายเรื่องของเจ้าสันต์ แล้วขับรถมุ่งตรงกลับบ้านทันที
เกือบเที่ยงคืนแล้ว ตอนที่ผมเลี้ยวรถเข้าประตูบ้านมา ผมจัดการล๊อคประตูรั้วเรียบร้อย รู้สึกแปลกใจอยู่ครามครัน ว่าทำไมไฟที่ประตูรั้ว และที่ประตูบ้านจึงเปิดอยู่ เจ้าเด็กบ้านั่นยังไม่ได้ออกจากบ้านผมไปหรือยังไงนะ หนอยแน่ะ พอผมให้กุญแจบ้าน ก็เลยคิดจะสิงสถิตอยู่นี่ไม่ยอมไปไหนหรือไง แถมซ้ำยังโกหกผมด้วยว่าจะไม่อยู่ เจ้าเล่ห์นักนะ เจอหน้าจะว่าให้แสบเลย
ผมเห็นเงาตะคุ่มๆเป็นรูปคนยืนอยู่ด้านในตรงหน้าประตู คงเป็นเจ้าเด็กบ้านั่นแน่ๆเลย คงรอจะทักทายผม แต่อย่าหวังเลย ต้องดุกันสักหน่อยแล้ว ผมรีบไขกุญแจประตูออกทันที แต่ผมกลับต้องพบกับความประหลาดใจเมื่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้าผมไม่ใช่เด็กหนุ่มที่ผมหวังจะว่าให้สาแก่ใจ แต่มันเป็นอะไรอย่างหนึ่งที่มีใบหน้าเหมือนกับเดียร์ทุกประการ ผมรีบเปิดไฟที่แผงตรงข้างประตูเพื่อดูให้ชัด แล้วผมก็ต้องหัวเราะออกมา

ออฟไลน์ sukie_moo

  • ปัจจุบัน คือ อดีตของอนาคต
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-15
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่8 9/1/09
«ตอบ #62 เมื่อ09-01-2009 16:54:23 »

น้องเดียร์ทำอะไรไว้ เซอร์ไพส์ เรียวน้า  :z2: :z2:

 :o8:เป็นตุ๊กตายางหน้าน้องเดียร์แน่ๆเลย   ก๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

ออฟไลน์ โน๊อา

  • อยู่เป็นคู่ เช่น ฉันคู่เธอ
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1419
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-1
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่8 9/1/09
«ตอบ #63 เมื่อ09-01-2009 17:38:06 »

ไต๋ up ได้มันส์มากเลยอ่ะ


แต่ ..  ว่า ... ยังอ่านตามไม่ทันเลย



ขอบคุณนะ    :man1:

va_yu

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่8 9/1/09
«ตอบ #64 เมื่อ09-01-2009 17:46:18 »

คืออะไรหว่า....เดียร์ทำไรกันแน่...... :pig4:

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่8 9/1/09
«ตอบ #65 เมื่อ09-01-2009 19:48:29 »

อะไรน้อ  :L2: :L2:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่8 9/1/09
«ตอบ #66 เมื่อ09-01-2009 21:34:15 »

 :jul1: :jul1:   ชอบมากกกกกกกกกก กับเรื่อง นี้


ไม่ว่า จะเปน การ ใช้ ภาษา

คน แต่ง ก็ ขยัน



มา ต่อ ไวไว น่ะ






คอยอยู่

anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่8 9/1/09
«ตอบ #67 เมื่อ09-01-2009 21:53:41 »

  :haun5: หุหุ มาอัพทุกวันจ้า
เจอกันพรุ้งนี้น้าาาาาาาา

ออฟไลน์ the_pooh9

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 941
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-3
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่8 9/1/09
«ตอบ #68 เมื่อ09-01-2009 23:55:48 »

^
^
^
จิ้มๆๆ จิ้ม :z13: ทำให้เค้าฉงฉัยอีกแย้ว
 :z13: :z13: :z13:

anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่9 10/1/09
«ตอบ #69 เมื่อ10-01-2009 17:59:28 »

บทที่ 9


เดียร์ที่เห็นเป็นใบหน้าที่ถ่ายออกมาจากเครื่องปริ๊นเตอร์ขาวดำของผม ขยายออกมาเป็นลำตัวทีละส่วนแล้วตัดแปะบนกระดาษแข็ง ตั้งอยู่บนฐานกระดาษที่ทำอย่างแข็งแรง ความสูงขนาดเท่าตัวของเด็กหนุ่ม
มือของหุ่นกระดาษกางออก มีสายเชือกที่ผูกกระดาษที่ตัดเป็นแผ่นๆคล้ายธงริ้วๆ จากมือซ้ายไปมือขวา มีข้อความเป็นภาษาอังกฤษ ว่า

“welcome home”

ผมมองหน้าที่ยิ้มแป้นแล้นสีขาวดำนั้นอย่างนึกขำปนโกรธนิดๆ รู้สึกโล่งใจปนหวิวๆที่เห็นว่า เดียร์ไม่ได้อยู่ในบ้านนี้จริงๆ
เขาคงจะกลับไปแล้ว แต่ก่อนกลับยังมีแก่ใจมาทำเจ้าตุ๊กตากระดาษไว้รอต้อนรับผมอีก เจ้าเด็กบ้านั่น ชอบทำอะไรที่ผมคาดไม่ถึงจริงๆ
ชั่วขณะหนึ่ง ผมมองเห็นบางสิ่งบางอย่างจากทางหางตาของ มีเงาดำเคลื่อนไหวได้ ทาบทับอยู่บนพื้น ผมไล่สายตามองหาที่มาของเงานั้น
เมื่อมองสูงขึ้นไปยังเพดาน ก็ต้องตกใจที่เห็นห้องรับแขกของตนเองมีสภาพคล้ายกับห้องที่กำลังจะมีงานปาร์ตี้ สายระโยงรยางค์คล้ายสายรุ้งพุ่งจากตรงกลางห้องไปยังมุมห้องทั้งสี่ด้าน

มีกระดาษขนาดโปสการ์ดห้อยอยู่เต็มสายสีขาวนั้น เมื่อผมเดินเข้าไปมองใกล้ๆจึงได้เห็นว่า ที่เห็นห้อยอยู่นั้นเป็นภาพของเดียร์ในอิริยาบถต่างๆ เต็มไปหมด และตรงกลาง ก็มีโมบายห้อยลงมา
ซึ่งสิ่งที่แขวนอยู่ ก็คือ รูปภาพของเดียร์ ซึ่งทำจากกระดาษถ่ายเอกสารแปะบนกระดาษแข็งตัดเท่าขนาดโปสการ์ดนั่นเอง
เมื่อเหลียวมองไปรอบห้อง ก็เห็นร่องรอยของเดียร์เต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นที่ตู้โชว์ในห้องรับแขก เดียร์ก็เอารูปของตัวเอง ไปสอดไว้เต็มกระจกทุกแผ่น

ตรงช่องว่างระหว่างห้องครัวกับห้องรับแขกบัดนี้ปรากฏม่านทำเองซึ่งไม่บอกก็รู้ว่าเป็นฝีมือใครกั้นกลางอยู่ เป็นม่านที่ทำจากกระดาษแข็งเจาะรู แล้วร้อยด้วยเส้นเอ็น จำนวนหลายๆสาย ห้อยอยู่ รูปในกระดาษแข็งก็เป็นรูปของนายเดียร์ตัวดีนั่นแหละ
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ นี่เดียร์ทำอะไรกับบ้านของผมเนี่ย เขาพยายามจะทำให้ผมคิดถึงเขาอยู่หรือไง ดูเหมือนเป็นการบังคับกันทางอ้อมด้วยการให้ผมพบเจอแต่หน้าของเขา กะไม่ให้ผมมีช่วงเวลาที่จะได้อยู่คนเดียวเลยหรือ

แล้วนี่เขาใช้เวลาอยู่ในบ้านผมนานเท่าไหร่ ถึงได้ทำอะไรมากมายแบบนี้ คงเพลินกับการปริ๊นรูปตัวเองจากคอมของผม แล้วก็ตัดปะลงบนกระดาษแข็งซึ่งไม่รู้ว่าซื้อมาตั้งแต่แรก
หรือออกไปซื้อตอนที่ผมออกไปทำงานแล้ว ที่หายเงียบไปหลังจากโทรมาหาผม ก็คงมานั่งทำอะไรบ้าบอแบบนี้นี่เอง

ผมรู้สึกอ่อนอกอ่อนใจกับเจ้าเด็กบ้านี่หรือเกิน ชักไปกันใหญ่แล้ว ถือวิสาสะทำตามอำเภอใจ เหมือนกับว่าบ้านนี้เป็นของตัวเอง ผมเห็นจะต้องทบทวนเรื่องการให้กุญแจบ้านกับเขาใหม่เสียแล้ว
อาจจะต้องริบคืน แล้วไม่ให้อีกเลย ต่อให้มาอ้อนวอน คราวนี้ผมก็จะไม่ใจอ่อนให้เขาอีกเป็นอันขาด ถึงแม้จะต้องเห็นเขาตัวลายเป็นตุ๊กแกเวลามานั่งรอผมอยู่หน้าบ้านก็ตาม
ผมเดินไปเปิดประตูห้องเก็บของแล้วหยิบบันไดอลูมิเนียมออกมาจากในนั้น แบกมันมาวางไว้ตรงกลางห้องแล้วปีนขึ้นไปกระชากสายรุ้งรูปหน้าของเดียร์ออกมาจนหมด และขยำมันเป็นก้อน โดยไม่แม้แต่จะมองภาพในกระดาษเหล่านั้น จ
ากนั้นผมก็ปีนลงจากบันได เอามันเก็บเข้าที่ แล้วไล่ฉีกรูปออกจากตู้โชว์ เสร็จแล้วก็เดินไปที่ห้องครัว แล้วก็ใช้มีดตัดเส้นเอ็นที่ห้อยเป็นม่านนั้นออก ผมขยำทุกอย่างทิ้งลงถังขยะที่อยู่ในครัวนั่นเอง

ความที่วันนี้ผมเหนื่อยมาทั้งวัน หวังจะพักผ่อนให้สบายใจ แต่กลับต้องมาเจอสิ่งที่เดียร์ทำไว้กับบ้านของผมทำให้ผมรู้สึกโกรธเขานิดหน่อย

ถึงจะรู้ว่าเขาทำแบบนี้เพื่อให้ผมนึกถึงเขาบ้าง แต่การเอารูปตัวเองติดทั่วบ้านมันเหมือนกับยัดเยียดให้ผมรู้สึกดีกับเขา ซึ่งผมคิดว่ามันมากจนเกินไป ผมอยากอยู่อย่างสบายอกสบายใจมากกว่า

หลังจากเสียเวลาดึงรูปของเดียร์ออกจากทุกๆที่ในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นที่ประตูตู้เย็น ตุ๊กตาสปริงที่ใช้ลวดขดเป็นวงๆแล้วมีรูปหน้าเขาแปะซึ่งเอาไปติดที่ตรงหัวบันได หรือแม้กระทั่งพื้นที่ส่วนตัวของผม

ไล่ตั้งแต่ประตูหน้าห้องนอนของผม ที่โต๊ะทำงาน ตรงหน้ากระจกแต่งตัว ตู้เสื้อผ้าและหน้าห้องน้ำ ผมก็แทบจะหมดแรง เหนื่อยล้าจากงาน ยังต้องกลับมาเสียพลังงานที่บ้านอีก วันนี้ผมเลยคิดว่า ผมจะรีบนอนเลยดีกว่า

ผมถอดเสื้อผ้าทิ้งไว้ในตะกร้า แล้วก็หยิบผ้าขนหนูผืนใหญ่และผืนเล็กเดินเข้าห้องน้ำ ตั้งใจอาบน้ำและสระผม เพื่อที่ความเย็นฉ่ำของสายน้ำที่ไหลผ่านตัว และศีรษะจะช่วยทำให้ผมผ่อนคลายและสมองโล่ง นอนคืนนี้ผมจะได้หลับรวดเดียวโดยไม่ต้องฝันอะไร

ผมใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำเกือบครึ่งชั่วโมง ทั้งสระผมและอาบน้ำชำระร่างกายให้หมดคราบเหงื่อไคลที่หมักหมมมาทั้งวัน

ตอนที่ผมเดินออกมาจากห้องน้ำ มีอะไรบางอย่างเปลี่ยนไป ข้าวของบางชิ้นไม่ได้อยู่ในที่เดิม แต่ผมไม่แน่ใจอะไรนัก คิดว่าตัวเองคงเบลอมากกว่า ความที่คิดว่าตนเองอยู่คนเดียวทำให้ผมไม่ได้ระวังตัว เดินไปมาในห้องด้วยผ้าขนหนูที่พันกายท่อนล่างอย่างหมิ่นเหม่ และมีผ้าขนหนูผืนเล็กอยู่บนหัว

ขณะที่ผมสาละวนอยู่กับการเช็ดผมให้แห้ง อยู่ๆผมก็รู้สึกแว่บขึ้นมาว่าผมไม่ได้อยู่ในห้องนี้คนเดียว มีคนแปลกหน้าไม่ได้รับเชิญอยู่ในห้องผมด้วย

ผมเกร็งตัวขึ้นมาด้วยสัญชาตญาณของการป้องกันตัว เหลียวหาอาวุธที่พอจะช่วยเหลือตัวเองได้ ก็มีเพียงแค่พวกขวดครีมบำรุงผิว และน้ำหอมเท่านั้น

สิ่งที่พอจะต่อสู้ได้ อย่างเช่น โต๊ะเก้าอี้ โคมไฟ ก็อยู่ไกลจากจุดที่ผมยืนอยู่ ในขณะที่ผมกำลังลังเลอยู่ว่าจะทำไงดี ร่างทั้งร่างของผมก็ปลิวหวือเข้าไปสู่อ้อมแขนของใครคนหนึ่ง
ความอบอุ่นแผ่นซ่านจากนวลเนื้อของคนที่กอดรัดสู่ผิวกายของผม อาการตื่นตระหนกตั้งแต่แรกหายไป เปลี่ยนเป็นความแปลกใจเข้ามาแทนที่

ถึงกระนั้นผมก็ยังไม่ได้พูดอะไร ได้แต่เอนตัวแนบร่างที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามนั้น แล้วปล่อยให้แขกยามวิกาลไล้ลิ้นไปทั่วร่างกายที่เต็มไปด้วยหยดน้ำอันเนื่องจากยังไม่ได้เช็ดตัวให้แห้งของผม

“เรียวนี่น่ากินที่สุดยิ่งกว่าอาหารจานไหนๆที่ผมเคยชิมหรือเคยปรุงเลย.......เป็นเหมือนอาหารทิพย์ กินเท่าไหร่ก็ไม่เคยอิ่ม ไม่เคยเบื่อ ไม่เคยพอ มีแต่จะร่ำร้องอยากกินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ”
......................................
เดียร์กระซิบที่ข้างหูผมเสียงกระเส่า เขากำลังโลมลิ้นไปทั่วซอกคอและแผ่นหลังของผม

ลมหายใจของเขาร้อนผ่าว ราวกับจะแผดเผาน้ำบนกายผมให้เหือดแห้ง ผมขนลุกซู่ รู้สึกปั่นป่วนทั่วร่างกาย โดยเฉพาะในส่วนที่ต่ำกว่าเอวลงไปเริ่มมีปฏิกริยา

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคำพูดของเดียร์เมื่อสักครู่หรือเปล่า ที่ทำให้ผมโอนอ่อนตามเขาไปอย่างง่ายดาย ลืมความเหนื่อยล้า และความโกรธเคืองที่เขาทำบ้าๆบอๆไว้กับบ้านผมไปเสียสิ้น

ผมยอมให้เด็กหนุ่มโอบประคองผมไปที่เตียง เขาผลักผมให้นอนลงบนที่นอนอย่างเบาๆ และก้าวตามขึ้นมานอนข้างๆ พลางรั้งร่างผมไปหา

“เดียร์ จะดีหรือที่ทำแบบนี้”

ผมพยายามทักท้วง ถึงแม้ว่าบางส่วนในร่างกายเริ่มจะเรียกร้องการสัมผัสจากเด็กหนุ่ม แต่ถึงกระนั้นจิตสำนึกส่วนหนึ่งก็ยังคงคิดว่ามันไม่ควรจะเป็นแบบนี้อยู่ดี

เด็กหนุ่มส่ายหน้าปฏิเสธ เป็นเชิงว่าไม่อยากจะถกเถียงกันด้วยเรื่องควรหรือไม่ควรเวลานี้ เขายิ้มให้ผมอย่างอ่อนหวานที่สุด เมื่อเห็นผมยังคงงงงันอยู่

เขาเลยโอบกอดผมไว้แนบแน่น และระดมจูบผมไปทั่วไม่ว่าจะเป็นหน้าผาก ดวงตา แก้ม ริมฝีปาก และซอกคอ ผมได้แต่ครางอือ อกใจสั่นไหว ความรู้สึกสับสน ทั้งอยากให้เขาหยุด และ อยากให้เขาทำต่อไป แต่ใจของผมกลับพ่ายแพ้ให้กับความต้องการของตัวเอง

ผมนึกโทษจูบอันหวานล้ำที่เขามอบให้

นึกเกลียดลิ้นของเขาที่ชอนไชเข้าไปในปาก มันไล่วนนัวเนียอยู่ในปากของผม ทั้งอ่อนโยน ดุดันเรียกร้องอยู่ในที

นึกชังมือไม้ของเดียร์ที่จาบจ้วงร่างกายของผม ไม่ว่าจะแตะไปตรงไหน ผิวกายก็แทบจะมอดไหม้หลอมละลายติดมือของเขาไป

อยากจะปัดมือขวาของเด็กหนุ่มที่กำลังทาบทับอยู่ที่หน้าอกด้านซ้ายของผม เขาวางมือใหญ่ๆของเขาตรงนั้น ผมไม่รู้ว่าเขาจะสัมผัสได้ไหมกับหัวใจของผมที่เต้นแรงรัวอยู่ใต้ฝ่ามือของเขา

แต่จากการที่เขานวดเคล้นไปมาตรงบริเวณนั้น มันทำให้ผมตระหนักว่า เขาเองก็รู้ได้ว่าหัวใจผมกำลังร่ำร้องอยากให้เขาพาผมไปพบเจอกับความสุข

มือซ้ายของเด็กหนุ่มค่อยๆเลื่อนต่ำลงมาที่ท้องน้อย เพียงแค่กระตุกนิดเดียว ผ้าขนหนูที่พันกายส่วนล่างของผมก็ปลิดปลิวไปกองอยู่ที่พื้นห้อง ร่างกายที่ไม่มีผ้าปกปิดเริ่มตื่นตัว เดียร์ใช้มือข้างซ้ายนั้นกระตุ้นจนน้องชายของผมเติบโตขึ้น

เนิ่นนานทีเดียวที่เดียร์ปลุกเร้าอารมณ์ของผมจนเตลิดถึงขีดสุด จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นถอดเสื้อผ้าออกจากตัวจนร่างกายของเขาเปลือยเปล่าเช่นเดียวกัน เขาทาบร่างของเขาลงบนร่างของผมตามเดิม และเริ่มต้นจูบเฟ้นฟอนผมใหม่อีกครา

เขาจูบและจับต้องผมทั่วทุกซอกมุมในร่างกาย โดยที่ผมนอกจากจะไม่ขัดขืนเขาแล้ว ยังยินยอมพร้อมใจร่วมไม้ร่วมมือกับเขาเต็มที่

และแล้ววินาทีที่รอคอยก็มาถึง เด็กหนุ่มแยกขาของผมให้กว้างออกแล้วก็สอดแขนของเขาไปใต้ขา ทำให้สะโพกของผมยกขึ้น

ผมมองเขาตาปรอย นึกกลัวว่าจะเจ็บแบบวันก่อนอีก แต่เดียร์กลับยิ้มให้ผมเพื่อสร้างความมั่นอกมั่นใจให้ ผมเหลือบมองไปที่ร่างกายแข็งแกร่งของเขาที่อยู่ใกล้บั้นท้ายของผมเหลือเกินด้วยสายตาหวาดหวั่น กลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น

เด็กหนุ่มไล่ตามสายตาของผมจนมาเจอสาเหตุที่ทำให้ผมวิตก เขายิ้มน้อยๆพลางพยักหน้าให้ผมอย่างเข้าใจ จากนั้นเดียร์ก็โน้มตัวลงมาหาเอาสองมือลูบไล้ใบหน้าของผม แล้วก็ก้มลงมาจูบใหม่ เขาจูบจนผมสั่นระริก ความปรารถนาในรสสัมผัสท่วมท้น
“อ๊ะ ผมจะใส่เข้าไปแล้วนะครับ ยอดรัก อย่าฝืน หรือเกร็งนะครับ”

เดียร์กระซิบบอกผมด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาอ่อนโยน ดวงตาคมหวานของเขาจ้องมองผมด้วยความรักและลุ่มหลง ผมนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ ถึงแม้ครั้งนี้จะเป็นครั้งที่สองแล้วที่เรามีอะไรกัน แต่ผมก็ยังคงไม่ชินอยู่ดี เขาทำหน้าขอโทษขอโพย

“ทนหน่อยนะครับที่รัก คุณไม่ค่อยได้ทำสักเท่าไหร่ ร่างกายยังฟิตมาก ทำใจให้สบายนะครับ ผ่อนคลาย อย่าเกร็ง เดี๋ยวจะยิ่งเจ็บ ถ้าใส่เข้าไปจดหมดแล้ว มันก็จะค่อยๆหายเจ็บเอง อดทนหน่อยนะครับเรียว”

เขาปลอบผมด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล แล้วยิ้มให้ พลางจูบที่ปากของผมอีกครั้ง เหมือนจะให้ผมลืมความสนใจจากตรงนั้นไปชั่วครู่ ซึ่งมันก็ได้ผล ผมหลงเพลินกับรสจูบของเขา กว่าจะรู้ตัว ร่างของเดียร์ก็ผนึกเป็นร่างเดียวกับผมอย่างแนบแน่น

“อี้มมมมมมมมม”

เขาร้องครางอย่างสุขสันต์

“รู้สึกดีจริงๆ ที่ได้อยู่ในตัวของเรียวแบบนี้ ชอบชอบที่สุดเลย”

เสียงของเขากระเส่า เด็กหนุ่มหลับตาพริ้ม บดสะโพกแช่นิ่งไว้กับร่างกายท่อนล่างของผม ก่อนจะค่อยๆเคลื่อนไหวสะโพกตัวเองอย่างเนิบช้า ท่าทางเขาถนุถนอมผมมาก

“รักมาก รักเรียวที่สุด รักจนไม่อยากจากไปไหนเลยแม้แต่นาทีเดียว”

เขาบอกกับผมเสียงอ่อนหวาน ดวงตาจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของผม ขณะเคลื่อนไหวร่างกายตนเอง จากเนิบช้า เป็นเร่งความเร็วขึ้น

“เดียร์ ฉัน ฉันไม่ไหว ไม่ไหวแล้ว”

ผมรู้สึกเจ็บและคับแน่นที่ร่างกายท่อนล่าง เขาตัวใหญ่เสียเหลือเกิน จนผมคิดร่างของผมจะแตกแยกออกเป็นเสี่ยงเมื่อเขาเคลื่อนไหวอยู่ภายในตัวของผม จนต้องครางฮือเรียกชื่อเขา

ทำท่าจะผลักเขาออก แต่แล้วผมก็เปลี่ยนใจเป็นเอื้อมมือไปโอบร่างเขาไว้ราวกับจะใช้เขาเป็นที่ยึดเหนี่ยว ใจจะขาดเสียให้ได้ ร่างกายสั่นไหว ตามจังหวะการเข้าออกของเด็กหนุ่ม

“รอผมแป๊บนะ เราจะไปพร้อมกัน ผมสัญญาว่าผมจะทำให้เรียวมีความสุขที่สุดเลยครับ”

เดียร์กระซิบให้คำมั่นสัญญากับผม จากนั้นเขาก็พลิกร่างผมให้อยู่ในท่าคลาน โดยในระหว่างนั้น ร่างกายของผมและเขาไม่ได้แยกจากกันเลย

เด็กหนุ่มแนบร่างทาบกับแผ่นหลังของผม และกอดผมไว้แนบแน่น เขาจูบไซร้ๆเบาๆที่ซอกคอเพื่อปลุกเร้าอารมณ์ผมอีกครั้ง จากนั้นก็หยัดกายขึ้น สองมือจับสะโพกผมไว้ และขยับร่างกายของเขาเข้าออกบั้นท้ายผมถี่ยิบ

“อ๊ะ เดียร์ .....เดี๊ยะ........เดียร์......อ๊า.......”

ผมครวญครางเรียกชื่อเด็กหนุ่มไม่ขาดปาก สองมือขยุ้มผ้าปูที่นอนจนข้อเกร็งไปหมด หน้าแนบกับหมอน เนื้อตัวสั่นไปตามการเคลื่อนไหวที่ไม่หยุดยั้งของเดียร์

เขาเองก็ร่ำร้องเรียกชื่อผมด้วยเช่นกัน คำรักมากมายพรั่งพรูออกมาจากปากของเขา สะท้อนความรู้สึกทั้งมวลที่มีต่อตัวผม ในขณะที่อารมณ์ของผมปั่นป่วนถึงขีดสุด

ในอึดใจต่อจากนั้น เด็กหนุ่มก็โหมแรงใส่ผมไม่ยั้งก่อนที่ร่างกายของเขาจะกระตุก ผมรู้สึกอุ่นวาบภายในร่างกายรับรู้ได้ว่าเดียร์มอบความรักหลั่งไหลอยู่ในตัวผม ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ผมทะลักทะลายความสุขออกมาจนเต็มที่นอน เดียร์โน้มตัวลงมากอดผม ซุกจมูกที่ตรงซอกคอ และจูบเบาๆ

“ยอดรักของผม ขอบคุณมากนะครับ ที่ไว้เนื้อเชื่อใจกัน ยอมให้ผมนำทางคุณไปสู่แดนสุขสันต์ ผมรักคุณมากที่สุดในชีวิตเลยครับ ไม่เคยรักใครแบบนี้มาก่อนเลย ด้วยเกียรติของผม สัญญาว่าจะทำให้คุณมีความสุขมากๆ และจะรักคุณคนเดียวไปตลอดครับ”

เด็กหนุ่มพึมพำเสียงอ่อนเสียงหวาน เขายังไม่ยอมละออกจากร่างกายผม แต่ตระกองกอดไว้ โดยที่โอบผมลงมานอนโดยที่เขาซ้อนอยู่ที่ด้านหลังและร่างกายส่วนหนึ่งของเขายังคงอยู่ในร่างกายของผม

“นายทำให้ฉันต้องอาบน้ำใหม่อีกแล้ว”

ผมพูดด้วยน้ำเสียงหอบๆ ใบหน้าและเนื้อตัวร้อนผ่าวจากเหตุการณ์วาบหวามเมื่อสักครู่ เดียร์หัวเราะหึหึ ซุกจมูกลงตรงแถวซอกคอแล้วไล้ลิ้นวนอยู่ตรงบริเวณนั้น จนผมขนลุกขึ้นมาอีกครั้ง เขาพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนออเซาะ

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมช่วยอาบน้ำให้เรียวเอง งานแบบนี้ผมขออาสาโดยไม่คิดเงินเลยนะครับ พูดแบบนี้ ชักอยากอาบน้ำให้เรียวขึ้นมาทันทีทันใด เราเข้าห้องน้ำกันเถอะ แล้วผมจะช่วยขัดหลัง และสระผมให้ใหม่นะ”

“บ้านะสิ”

ผมรู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนวาบขึ้นมา ด้วยรู้สึกอายคำพูดของเขา และอายตัวเองที่เผลอไผลยอมมีอะไรกับเดียร์อีกแล้ว ทั้งๆที่เมื่อกี้ยังนึกเคืองเด็กหนุ่มอยู่เลย

อยากจะด่าเขา แต่พอเห็นหน้าคำพูดทุกอย่างที่ต้องการพูดก็ลืมจนหมดสิ้น ยิ่งถูกเขาสัมผัสจนทำให้ผมเกือบละลาย ทำให้ผมเคลิบเคลิ้มโดยง่าย ลงท้ายต้องมานอนอยู่ในเตียงเดียวกันกับเขาจนได้

“นายมันคนโกหก ลวงโลก”

ผมต่อว่าเขา ไม่สนใจคำพูดเชิญชวนเมื่อสักครู่

“เอ๊……ทำไมมากล่าวหากันอย่างนั้นล่ะครับ”

เด็กหนุ่มทำเป็นงง แต่ปากและจมูกยังไม่หยุดทำงาน ยังคงจูบไซร้ซอกคอผมอย่างเมามัน และผมเองก็เหนื่อยเกินกว่าที่จะห้ามปราม เลยปล่อยให้เขาทำตามสบาย

เดียร์เองก็ย่ามใจที่เห็นผมนอนเฉยๆ เขาจึงจูบกอดผมไม่ยอมหยุด ขนแขนของผมลุกซู่ รู้สึกว่าในส่วนลึกของจิตใจ ผมเองก็รู้สึกชอบที่เขาทำอย่างนี้กับตัวเองอยู่ไม่น้อย

..........................................
“ไหนบอกว่า จะไม่อยู่สามอาทิตย์ แล้วทำไมยังมาอยู่ที่บ้านฉันได้ แล้วไปหลบอยู่ที่ไหน ทำไมตอนเข้าบ้านมาฉันถึงไม่เห็น”

ผมยิงคำถามใส่เขาเป็นชุด เด็กหนุ่มหัวเราะเสียงใส มือที่กอดผมอยู่เมื่อสักครู่เริ่มเคลื่อนไหว ลูบคลำไปทั่วร่างผมอีกครั้ง

“ผมเริ่มซ้อมจริงๆวันอาทิตย์นี้ครับ ซ้อมหนึ่งอาทิตย์เต็มๆก่อนไปเต้นจริง เนื่องจากเป็นคอนเสิร์ตใหญ่ และต้องไปหลายจังหวัด ต้องฟิตซ้อมให้ดี

แต่นี่ผมลาล่วงหน้าไว้ก่อนครับเพราะมีธุระบางอย่างที่ต้องไปทำ เมื่อกี้ก็ไม่ได้ไปไหนไกลหรอก แค่เดินไปตรงร้านค้ากลางซอยเท่านั้นครับ ไปซื้อข้าวของจำพวกบะหมี่สำเร็จรูป ปลากระป๋อง อาหารแห้ง และไข่ มาตุนไว้ให้เรียวไงครับ
กลัวว่าถ้าผมไม่อยู่แล้ว เดี๋ยวเรียวจะไม่มีใครอะไรให้กิน เลยหาของง่ายๆที่เรียวจะทำกินเองได้ไม่ลำบากเอาไว้ให้ครับ”

เขาอธิบายให้ผมฟังถึงการที่อยู่ๆเขาก็โผล่มา ทั้งๆที่ในเวลานี้เขาควรจะอยู่ที่บ้านของเขาไม่ใช่บ้านของผม สิ่งที่ผมได้ยินจากปากเขา มันทำให้ผมใจอ่อนไหวยิ่งนัก เด็กบ้าเอ๊ย จะไปอยู่แล้วยังมีแก่ใจห่วงผมอีก มาคอยเอาใจใส่ผมอยู่แบบนี้ทำไมกันนักหนา แค่นี้ผมก็ลำบากใจมากพออยู่แล้ว กลัวที่สุดว่าตัวเองจะไปหลงรักเขาเข้า

“ไม่เห็นต้องทำเพื่อฉันขนาดนี้เลยนะเดียร์ นายกำลังทำให้ฉันเคยตัวรู้ไหม ก่อนหน้านั้นฉันก็อยู่คนเดียวได้ แล้วหลังจากหกเดือนฉันก็ต้องอยู่คนเดียวโดยไม่มีนายอยู่แล้ว นายทำแบบนี้ เหมือนกำลังทำให้ฉันขาดนายไม่ได้ เพราะฉะนั้นให้ฉันจัดการชีวิตของฉันเองดีกว่า ฉันช่วยเหลือตัวเองได้หรอกน่า”

ผมบอกเด็กหนุ่มไปตามตรง



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่9 10/1/09
« ตอบ #69 เมื่อ: 10-01-2009 17:59:28 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่9 10/1/09
«ตอบ #70 เมื่อ10-01-2009 17:59:53 »

“ทำไมถึงจะห้ามผมล่ะครับ เรียวน่ะ ไม่รู้ใจผมบ้างเลย เราใช่คนอื่นคนไกลกันที่ไหน
ความสัมพันธ์ของเราลึกซึ้งขึ้นมากกว่าเดิม เรียวเป็นของผมแล้ว เปรียบไปเรียวก็คือภรรยาของผมในสังคมปกติ ผมไม่ทำดีกับเมียตัวเอง แล้วจะให้ผมไปทำดีกับใครที่ไหนล่ะครับ”

“เลิกเรียกฉันด้วยคำนั้นซักทีเถอะ ฟังดูแปลกๆ ไม่ชิน แล้วก็ไม่ชอบด้วย”

ฟังคำที่เขาเรียกผมแล้ว ยังไงก็รับไม่ได้อยู่ดี

“ได้ครับ งั้นผมเรียกคุณว่า ยอดรักของผมแบบเดิมก็ได้ ดีไหม”

เดียร์พูดอย่างเอาใจ เขากอดผมแน่นเข้าไปอีก ราวกับว่าเขาต้องการให้ผมและเขาหลอมร่างกายเป็นหนึ่งเดียวกัน เขาแนบแก้มของเขากับแก้มของผม และฝังจมูกลงที่ตรงซอกคอ สูดลมหายใจเข้าปอดยาวนาน

“อันที่จริงถ้าเรียวจะรู้สึกว่าขาดผมไม่ได้เลย มันก็ยิ่งดีใหญ่ เรียวจะได้ไม่ขับไล่ไสส่งผมให้ไปห่างๆตัวยังไงละครับ ผมน่ะยินดีที่จะดูแลปกป้องเรียวตลอดชีวิตของคุณเลยนะ ไม่มีวันเปลี่ยนใจไปหาคนอื่นหรอก เรียวสบายใจได้เลย”

ผมชอบคำนี้ของเขาจัง “ยินดีที่จะดูแลปกป้องเรียวตลอดชีวิตของคุณ” มันให้ความหมายดีที่สุด เขารักผมและอยากดูแลผมไปตลอด
คำว่าชั่วชีวิตของมันอาจจะไม่เท่ากัน ผมอาจจะอายุสั้น หรือเขาอาจจะจากผมไปก่อนก็ได้ แต่ตราบใดที่ผมยังมีชีวิตอยู่ เขาจะไม่มีวันทอดทิ้งผม

“ทุกวันนี้ ผมอยากจะอยู่ใกล้ชิดกับเรียวตลอด ได้แต่หวังว่าจะมีสักวันหนึ่งที่คุณจะเห็นใจผม และยอมให้ผมอยู่เคียงข้างด้วยได้
ทำไมผมจะไม่รู้ว่าเรียวเองไม่ได้รักผมเลยสักนิด พยายามจะเลี่ยงผมโดยตลอด ถึงกระนั้นผมก็ยังหน้าด้าน ดื้อดึงที่จะเข้าหาคุณอยู่ดี
ผมพยายามอย่างมากที่จะทำตัวน่ารักกับคุณ ไม่เกเร ค่อยๆให้คุณเรียนรู้ตัวผมไปทีละนิด ไม่อยากบุ่มบ่ามหักหาญน้ำใจคุณ
แต่บางครั้งผมก็ไม่สามารถบังคับอารมณ์ หรือห้ามความรู้สึกของตัวเองได้ ยิ่งอยู่ใกล้ ก็ยิ่งรักมากขึ้น ต้องการเรียวมากขึ้นทุกวัน ผมรักคุณจนแทบจะคลั่งอยู่แล้ว ไม่อยากให้คุณไปไหนไกลตาเลย”

เด็กหนุ่มบอกความรู้สึกในใจของเขาให้ผมฟังด้วยเสียงเศร้าๆจนผมอดรู้สึกสงสารเขาไม่ได้ รู้สึกแปล๊บๆในหัวใจทุกครั้งที่เด็กหนุ่มพูดจาทำนองนี้ รู้สึกผิดที่รับจากเขามากกว่าที่จะเป็นฝ่ายให้

“นายเองก็รู้ดีอยู่แล้วนี่ ว่าฉันไม่มีวันจะเปลี่ยนใจ”

“ครับ ทราบครับ”

เด็กหนุ่มหัวเราะเบาๆ เขาคงรู้ว่าผมกำลังก่อกำแพงในใจขึ้นมาอีกแล้ว

“ได้เท่านี้ก็ดีแล้วครับ นี่ถ้าเป็นเมื่อก่อนนะ เรียวคงจะขัดขืนผมมากกว่านี้ แต่ตอนนี้ เรียวเชื่อใจผม ยอมมีอะไรกับผม มันก็เป็นนิมิตหมายที่ดีแล้ว เราสองคนน่าจะไปกันได้ดีในวันข้างหน้า”

เหมือนมีคนเอาไม้มาตีแสกหน้า คำพูดที่เด็กหนุ่มพูดออกมา มันสะกิดใจผมอย่างแรง จริงสิ เมื่อกี้นี้ผมแทบจะไม่ได้ขัดขืนเขาเลย
ทุกอย่างมันผ่านไปอย่างรวดเร็วมาก นับตั้งแต่วินาทีที่เขาดึงผมเข้าสู่อ้อมกอด ทำรักกับผม และนอนทับซ้อนกันอยู่บนเตียงในขณะนี้
ผมนึกไม่ออกเลยว่ามีตอนไหนบ้างไหมที่ผมต่อสู้เขา เท่าที่จำได้ก็คือ ผมจูบและกอดตอบเขาตลอดด้วยความเต็มอกเต็มใจ
ยิ่งคิด ผมก็ยิ่งอับอายตัวเอง รู้สึกสับสนในใจ ไม่รู้ว่าทำไมเหตุการณ์อย่างนี้จึงเกิดขึ้นกับตัวผม นับวันผมก็ต่อต้านเด็กหนุ่มน้อยลง ร่างกายและจิตใจยอมรับเขามากขึ้น

เขาเหมือนตัวไวรัส ที่เข้ามาทำลายภูมิคุ้มกันตัวเองของผม กว่าจะรู้ตัว ผมก็ติดโรคจากเขาไปแล้ว เห็นทีผมต้องไปหาวัคซีนจากหมอเก่งๆเพื่อมาต้านทานไวรัสที่ชื่อเดียร์ตัวนี้เสียแล้ว ก่อนที่ผมจะเป็นโรครักเขาจนถอนตัวไม่ขึ้น

“ฉันนึกว่านายกลับไปแล้วเสียอีก แล้วนี่บอกว่าจะธุระ ทำไมไม่เห็นไปล่ะ”

ผมเปลี่ยนเรื่องซะงั้น เมื่อหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้ว่าทำไมผมถึงไหวหวั่นกับเขามากมายถึงเพียงนี้ บางทีการออกไปเสียจากตรงที่ที่ทำให้เราลำบากใจ อาจจะกลายเป็นผลดีกับตัวผมเอง

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า”


เดียร์หัวเราะอีกแล้ว เจ้าเด็กบ้านี้ฉลาดนัก เขามักจะสังเกตอผมอยู่ตลอดเวลา และรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่ เขาน่ารักตรงที่ พยายามเข้าอกเข้าใจถึงความลำบากใจของผม และไม่พยายามที่จะกดดันให้เสียเรื่อง

“ที่จริง ผมตั้งใจจะกลับไปพัทยาก่อนครับ พอดีว่าจะไปเยี่ยมเจ้าน้อย มันมีเรื่องนิดหน่อยครับกับแฟนหนุ่มที่อยู่ด้วยกัน ตั้งใจว่าจะไปวันนี้ แต่พอโทรไปมันบอกไม่สะดวก
แฟนมันขอปรับความเข้าใจ ผมก็เลยระงับไว้ก่อน แต่ถึงอย่างไรก็ต้องไปหามันอยู่ดีครับ ว่าจะไปนอนค้างกับมันวันหนึ่ง แล้วค่อยกลับ ไปที่ค่ายเพลงแล้วเริ่มซ้อมเลยครับ”

เด็กหนุ่มตอบข้อข้องใจที่ผมกำลังสงสัยอยู่พอดีว่าทำไมเขาถึงได้ลามาก่อนวันที่จะซ้อม แต่สิ่งที่เขายังไม่ตอบผมคือ ทำไมเขาถึงยังอยู่ที่บ้านนี้อยู่

“พอน้อยไม่สะดวก นายก็เลย จะมาอยู่ที่บ้านฉันหรือไง”

ผมถามอย่างระแวง เดียร์หัวเราะอีกครั้ง คงขำที่ผมทำท่ากลัวว่าเขาจะมาอยู่ด้วย ก็แน่ละสิ ผมยอมรับโดยไม่ปิดบังว่ากลัวการมาอยู่ที่นี่ของเด็กบ้านี่ ดูสิ ขนาดผมนึกโกรธที่เขาเที่ยวได้เอารูปตัวเองมาติดทั่วบ้านผม แต่พอเจอหน้าเดียร์ ถูกเขาเล้าโลมแป๊บเดียว ผมก็ยอมให้เขาทำกับผมได้ถึงขนาดนี้ เขาจึงเป็นบุคคลที่ไม่น่าเข้าใกล้อย่างยิ่ง

“เปล่าจ้า เปล่า.......อันที่จริงผมกลับไปบ้านมาแล้วรอบหนึ่งนะครับ ตั้งแต่ตอนที่โทรหาคุณน่ะ แต่ว่าตอนที่กลับไปถึงบ้านเช่าที่ผมพักอยู่กับเพื่อนน่ะ

ไอ้เพื่อนตัวดีมันดันพาแฟนมานอนด้วย และขอร้องให้ผมไปอยู่ที่อื่นก่อน พอมันรู้ว่าผมจะไปเต้นหลายอาทิตย์ มันก็เรียกแฟนมันมานอนด้วยเลย ผมไม่มีที่ไปที่ไหน เลยกลับมาหาคุณน่ะครับ หวังจะขออาศัยอีกสักคืนหนึ่ง ก่อนไปหาเจ้าน้อยอ่ะ”

“พอมีกุญแจบ้านฉัน ก็ไขเข้ามาอยู่ และทำอะไรตามอำเภอใจในบ้านฉัน โดยไม่ขออนุญาตเลยนะ”

ผมต่อว่าเขา ยังนึกฉุนอยู่ไม่หายที่เห็นภาพถ่ายของเด็กหนุ่มห้อยระโยงรยางค์เต็มบ้างไปหมด

“เห็นภาพของผมที่ทำเก็บเอาไว้ให้คุณแล้วหรือครับ”

เขาถามผมด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลไม่สนใจคำต่อว่าต่อขานของผม

“เห็นแล้ว ทำบ้าอะไรไม่รู้ บ้านฉันเลอะเทอะหมด นี่ฉันไล่ฉีกทิ้งไปแล้ว”

ผมบอกเขาอย่างฉุนๆ

“ใจร้ายที่สุด แถมซ้ำไม่มีอารมณ์โรแมนติกเอาบ้างเสียเลย ต้องจับลงโทษแล้ว”

เขากัดที่ไหล่ผมเน้นๆ ผมร้องโอ๊ย เขาหัวเราะใหญ่

“ทำอะไรเนี่ย เดี๋ยวหลังฉันเป็นแผลหมดหรอก”

ผมพยายามเบี่ยงตัวออก แต่เขากลับกอดผมไว้แน่น แล้วใช้ลิ้นเลียเบาๆตรงที่เขากัดเมื่อครู่

..................................
“ก็อยากใจร้ายทำไมล่ะ ดูสิ คนเขาอุตส่าห์ทำทั้งวัน นั่งหลังขดหลังแข็ง ถ่ายรูปตัวเอง ก๊อปปี้ลงเครื่อง จากนั้นก็ปริ้นท์ ไปซื้อกระดาษมาตัดแปะ แล้วก็เอาไปติดในที่ต่างๆ แต่คุณฉีกทิ้งแป๊บเดียวเอง ผมอุตส่าห์ทำไว้ให้คุณดู จะได้หายคิดถึงกัน”

เด็กหนุ่มว่าอย่างตัดพ้อ

“บ้าน่ะสิ เห็นบ้านฉันเป็นสถานที่จัดงานวัดหรือไงอ่ะ”

“ว้ากกกก ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะครับ ผมอุตส่าห์ทำให้เหมือนงานปาร์ตี้มากว่า”

เดียร์ว่าขำขำ

“ก็มันไม่ได้เรื่องจริงๆนี่นา มีแต่กระดาษถ่ายเอกสาร ติดทั่วบ้าน รกรุงรังไปหมด แน่จริงนายก็ถ่ายรูปเป็นโปสการ์ดมาเยอะๆสิ ขาวดำแบบนี้ นึกว่าโผล่เข้ามาในงานศพ ไม่ใช่บ้านตัวเอง”

“นี่แน่ะ ปากไม่ดี พูดเป็นลางแบบนี้ได้ไง ผมกำลังเดินทางไกลนะ ตบปากตัวเอง 20 ทีเดี๋ยวนี้เลย ....... .............ผมจัดการให้ดีกว่า”

เขาผละออกจากตัวผม แล้วดึงผมกลับเข้ามาสู่อ้อมกอดเขาใหม่ แต่คราวนี้ เขาหันให้หน้ามาเผชิญกันกับเขา เดียร์จ้องตาผม และแล้วก็ก้มลงจูบแรงๆที่ริมฝีปาก

“ตบด้วยจูบของผมนี่แหละ อยากแช่งผมดีนัก”

เดียร์พูดอย่างขำๆ เมื่อผละออกจากผมหลังจากที่มอบจูบที่ยาวนานจนผมหายใจหายคอแทบไม่ทัน หูตาของเขาแพรวพราว ใบหน้าเจ้าเล่ห์ระบายไปด้วยรอยยิ้ม

“ฉันขอโทษนะ”

ผมรู้สึกเสียใจที่พูดอะไรออกไปโดยไม่ได้คิด จริงสิ พูดอย่างนั้นได้ไงนะ หมอนี่ กำลังจะไปทำงานในที่ไกลๆจากผม ผมควรจะพูดแต่สิ่งที่ดีและเป็นมงคลมากกว่า

“ไม่เป็นไร ผมไม่เชื่อถือโชคลางสักเท่าไหร่ แต่ถ้าหากเรียวรู้สึกแย่ที่พูดไม่ดีกับผม เรียวจะขอโทษผมด้วยการให้ผมมีอะไรด้วยอีกครั้งก็ได้”

“มันเกี่ยวกันซะเมื่อไหร่ล่ะ นายนี่มันเหลือเกินจริงๆ ในหัวสมองทำไมมันถึงเต็มไปด้วยเรื่องแบบนี้กันนะ ทะลึ่งลามกเกินเด็กมากไปแล้วนะเรา”

“ก็แหม อดใจไหวซะที่ไหนล่ะ ดูสิ ได้กอดเรียวแนบชิดแบบนี้ แถมซ้ำเรียวก็เปลือยกาย ต่อหน้าต่อตาเป็นใครก็ต้องอยากกุ๊กกิ๊กกับเรียวซ้ำๆ
กลิ่นกายของเรียวก็หอมยวนใจ ยิ่งเหงื่อออกอย่างนี้ ยิ่งยั่วใจผมนัก เรียวเองก็ไวต่อการสัมผัสด้วย จับตรงไหน เรียวก็มีใจตอบสนอง แบบนี้ผมจะกลั้นได้ไง ผมเชื่อได้เลย ใครได้นอนกอดเรียวแบบผมแค่ 5 นาที ก็ทนไม่ไหวแล้ว”

ไม่พูดเปล่า เจ้าเด็กบ้านั่นก็แกล้งด้วยการดูดที่ซอกคอผมแรงๆ มือก็เลื่อนต่ำลงมาอย่างว่องไว ทำท่าจะคว้าน้องชายผมไปกอบกุม ผมเบี่ยงตัวหนี แล้วรีบลุกขึ้นคว้าผ้าขนหนูบนพื้นมานุ่ง

“งั้นฉันไปอาบน้ำก่อนล่ะ เดี๋ยวนายจะมีอารมณ์อีก”

“ผมไปอาบน้ำด้วยคนนะ”
เดียร์รีบลุกตามมายืนใกล้ๆ แต่ผมรีบถอยหนี ไม่กล้ายืนใกล้ๆร่างเปลือยเปล่าของเขา
เจ้าหมอนั่นก็ช่างกระไร มายืนแก้ผ้าต่อหน้าคนอื่นอยู่ได้ ถึงจะผู้ชายด้วยกันก็เถอะ แต่บางสิ่งบางอย่างที่ผมกับเขามีเหมือนกัน เขาดันเอามันมาใช้กับผมนี่สิ มันทำให้ผมรู้สึกอายจนไม่อยากเห็นมันอีก

“ไม่เอา ฉันอาบคนเดียวดีกว่า ไม่ไว้ใจนายอีกต่อไปแล้ว หนก่อนก็บอกว่าจะทำตัวเรียบร้อย แต่นายก็ละเมิดสัญญา”

ผมอ้างไปถึงเหตุการณ์ครั้งเก่า เดียร์ยิ้มอายๆที่ผมยังจำได้ถึงวันที่เขาตามผมเข้าไปอาบน้ำด้วย และล่วงละเมิดผมซ้ำสองหลังจากที่เขากึ่งบังคับฝืนใจผมในครั้งแรก
ผมไม่สบตาเขาแต่เสมองไปยังเตียงนอนแล้วก็ต้องหน้าแดงด้วยความอายเมื่อเห็นร่องรอยที่ตัวเองทำไว้

“ดูสิ นายทำให้ฉันต้องทำผ้าปูที่นอนเลอะเลย”

ความอายทำให้ผมโยนความผิดไปให้เขา เดียร์ยิ้มยั่ว หลิ่วตาล้อ แต่ปากกลับส่งเสียงอ้อนๆ

“ผมเอาไปซักให้เองนะ ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวปูผ้าให้ใหม่ด้วย เรียวไปอาบน้ำเถอะครับ”

น่ารักเหลือเกิน อยู่ๆผมก็เกิดนึกถึงเดียร์แบบนี้ขึ้นมา เมื่อเห็นใบหน้าอ่อนเยาว์นั้น ยิ้มหวานให้ เขาลุกขึ้นและเลิกผ้าปูที่นอนออก ขมวดเป็นก้อนขนาดใหญ่เอาไปใส่ในตะกร้า แล้วเดินไปหยิบผ้าปูที่นอนผืนใหม่มาปูให้ ท่าทางแข็งขัน
ผมยืนมองเด็กหนุ่มจัดการกับที่นอนของผมจนเสร็จ ด้วยความรู้สึกเพลิดเพลิน เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมามองผม เมื่อปูที่นอนให้เรียบร้อยแล้ว เมื่อเห็นว่าผมกำลังยืนดูเขา ไม่ยอมไปเข้าห้องน้ำตามที่บอกไว้ เดียร์ก็ยิ้มให้

“ยังไม่ไปอาบน้ำเหรอครับ เอ หรือว่า เรียวรอผมกันแน่น๊า.... เปลี่ยนใจจะให้ผมอาบน้ำด้วยใช่ไหม หรือว่าอยากให้ผมถูหลังกันนะ”

เขาทำเสียงล้อๆ จนผมรู้สึกอายขึ้นมา รีบเดินหนี เดียร์ส่งเสียงอ้อนตามหลัง

“ผมสัญญาว่าจะทำตัวดีๆนะ ไม่เกเรกับคุณอีกแล้ว ให้ผมไปอาบด้วยคนนะ เป็นการประหยัดน้ำไง เปิดน้ำทีเดียว อาบได้ตั้งสองคนแน่ะ "

“......”

“จะได้ช่วยถูหลังให้คุณด้วยดีไหมครับ คุณถูหลังเองไม่ได้หรอก แขนอ้อมไม่ถึง ถ้าผมถูหลังให้ จะได้สะอาดๆไงครับ”

ผมลอบยิ้มให้กับความพยายามของเจ้าเด็กบ้านั่น ดูเหตุผลที่เขาอ้างมาแต่ละข้อสิ ฟังขึ้นที่ไหนกัน แต่เอาเถอะ เห็นแก่ความน่ารักของเขา เอ๊ย ไม่ใช่สิ เห็นแก่ความดีของเจ้าเด็กนี่แล้วกัน ที่อุตส่าห์เป็นห่วงเป็นใย หากับข้าวมาตุนไว้ให้ผม อาบน้ำด้วยกันแค่นิดหน่อย คงไม่เป็นไรหรอก

“มัวแต่พูดมากอยู่นั่นแหละ อยากจะอาบก็ตามมาสิ”

“คร้าบบบบบบบบ”

เดียร์ขานรับท่าทางลิงโลด รีบเดินแทบจะแซงหน้าผมไปยืนรออยู่ในห้องน้ำ คงกลัวผมจะเปลี่ยนใจกระมัง เห็นกริยาอาการของเขาแล้วผมเลยอดหัวเราะไม่ได้ เดียร์หัวเราะตอบอย่างสุขใจ


anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่9 10/1/09
«ตอบ #71 เมื่อ10-01-2009 18:05:46 »

 o22 อ๊ากกกกกกกกกกกกกก
มีช่องไฟ เว้นสวยงามมากเลยว่าป่ะ
เหอะเหอะ เราไม่ได้ทำหลอก
คนอื่นเค้าทำแต่เราตามไปโพสมาเฉย
ดูหน้าอ่านขึ้นเน้อ คือเป็นคนขี้เกลียดนะ อิอิ :m23:


 :m29: 1-8 พี่เคทให้มาแบบไหนโพสมันแบบนั้นเลย
ส่วน 9-เท่าไรก็ไม่รู้ ไปโพสต่อเค้ามานะ
เลยมีช่องไฟสวยงามอลังการงานสร้างเลย อิอิ :m13:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่9 10/1/09
«ตอบ #72 เมื่อ10-01-2009 20:36:09 »

ซูดดดดดดดดด ยออออออออออออดด ไปเรยยยยยยย



น่า รัก จัง เรย



แต่ ไม่อยากไห้เดียร ไปไหน ไกลๆๆๆๆๆ



ไม่ไว้ ใจ ศัก ชายเรย

b_hihi

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่9 10/1/09
«ตอบ #73 เมื่อ10-01-2009 21:01:22 »

กรี้ดๆๆๆๆๆ

kittyfun

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่9 10/1/09
«ตอบ #74 เมื่อ10-01-2009 21:19:17 »

กรี๊ดเดียร์น่ารักที่สุด

เรียวเปิดใจรับเดียร์เถอะ


ยิ่งอ่านยิ่งหลงรักสองคนนี่ที่สุดเลย

ออฟไลน์ the_pooh9

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 941
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-3
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่9 10/1/09
«ตอบ #75 เมื่อ10-01-2009 22:30:20 »

 :mc4: กรี๊ดดดดดดดดดด
 :z1:  น่ารักได้อีกนะเดียร์เนี่ย  :pig4:ไต๋

nanalonely

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่9 10/1/09
«ตอบ #76 เมื่อ11-01-2009 02:01:40 »

^

^

จิ้มthe_pooh9มั่ง

แอบจิ้มแนนมาหลายทู้แล้ว เอาคืน งุงิงุงิ


กรี๊ดดดดดดด ตอนนี้เรียกเลือด

แต่ตบด้วยจูบนี่น่าอิจฉาเรียวจัง

น่ารักมากนู๋เดียร์

anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่10 11/1/09
«ตอบ #77 เมื่อ11-01-2009 13:57:50 »

บทที่ 10


เดียร์กอดผมไว้แนบทรวงอก ลูบเนื้อตัวเปลือยเปล่าของผมไปมา เราสองคนกลับมานอนที่เตียงกว้างใหญ่ของผมอีกครั้ง หลังจากที่กิจกรรมในห้องน้ำผ่านไปแบบซ้ำรอยเดิม

ผมกับเดียร์ใช้เวลาในห้องน้ำด้วยกันเกือบชั่วโมง โดยที่เดียร์ทำให้ผมกลายเป็นของเขาไปอีกตั้งสองครั้ง ซึ่งผมไม่ได้ห้ามปรามหรือขัดขืนแม้แต่นิดเดียว ตอนแรกเดียร์พยายามทำตัวเรียบร้อยตามที่ลั่นวาจาไว้ เราต่างคนต่างอาบน้ำกันไป โดยหันหลังให้กัน อยู่ๆ เดียร์กันหันมาหาผม แล้วก็ช่วยผมถูสบู่และขัดหลังให้

มือเขาสั่นระริกยามที่แตะเนื้อต้องตัวผม มันบังคับให้ผมสั่นตาม และเพียงแค่มองตากัน เราสองคนต่างก็รู้กันโดยอัตโนมัติ ว่าเราปรารถนากันและกันมากแค่ไหน เราสองคนร่วมรักกันอย่างเร่าร้อนภายใต้สายน้ำที่ชุ่มฉ่ำ ผมปล่อยตัวปล่อยใจให้กับเดียร์เต็มที่ เหมือนเด็กที่เชื่อฟังว่านอนสอนง่าย ยอมรับรสรักที่เขามอบให้อย่างอ่อนหวานและรุนแรง

หลงลืมความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ศักดิ์ศรีของความเป็นผู้ชายไปชั่วขณะ รู้แต่เพียงว่าความสุขที่เดียร์มอบให้ มันช่างสร้างความรู้สึกปั่นป่วนไปทั่วสรรพางค์กายอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน

ระหว่างเป็นฝ่ายทำกับฝ่ายที่ถูกทำให้ผลที่ต่างกันราวฟ้ากับดิน เวลาที่ผมมีสัมพันธ์สวาสกับผู้หญิง ผมเป็นฝ่ายนำทางให้พวกเธอเหล่านั้น
เหนื่อยหน่อยเวลาที่เป็นฝ่ายรุกเร้าให้พวกเธอเกิดอารมณ์ เพราะพวกเธอบางคนไม่กล้าที่จะเป็นฝ่ายเริ่ม หรือกล้าที่จะสนองตอบผมอย่างถึงพริกถึงขิง

ด้วยอายที่เป็นผู้หญิงจึงต้องรักนวลสงวนตัว และเรื่องเพศสำหรับผู้หญิงไทยยังเป็นเรื่องของการเก็บกดอารมณ์เสียเป็นส่วนใหญ่
พวกเธอจะรู้สึกอายที่จะต้องทำตัวยั่วยวน หรือทำตัวเป็นโสเภณีบนเตียงนอนอย่างที่บางคนเคยกล่าวว่ามันจะช่วยทำให้ผูกมัดใจสามีได้ ความสุขที่ได้รับมันจึงเป็นไปในลักษณะที่ผมเป็นคนลงมือแต่เพียงฝ่ายเดียวมากกว่า

สำหรับคนที่ดูก๋ากั่นหน่อย ก็อาจจะเป็นฝ่ายปลุกเร้าผมบ้าง แต่น้อยคนนักที่จะทำให้อารมณ์ของผมเตลิดไปไกลสุดกู่อย่างที่เดียร์ทำให้
สามยก ต่อการร่วมรักในแต่ละครั้งที่เจอกัน มันมากไปไหมนะ ผมเคยทำได้สูงสุดมากกว่านั้นแค่ 2 ครั้ง แต่ไม่สามารถทำได้บ่อย สำหรับเดียร์ซึ่งยังเป็นเด็กหนุ่มมีกำลังวังชามากมาย เขาคงทำได้เยอะมากกว่านั้น

ถ้าหากเขาเกิดขยันทำขึ้นมาจริงๆผมน่ะจะรับไว้เหรอ ไม่สิ ทำไมผมถึงต้องเป็นฝ่ายรับอยู่ตลอดเวลาล่ะ ในเมื่อผมก็ทำเป็น ผมน่าจะเป็นฝ่ายรุกเขาบ้าง แต่คิดอีกที ถ้าผมเป็นฝ่ายทำมันจะเป็นการแสดงออกว่าผมเป็นเกย์ หรือเปล่า ระหว่างเป็นเกย์ เป็นผัวเกย์ หรือเป็นเมียเกย์ อะไรที่น่ารังเกียจน้อยกว่ากันนะ ผมสับสนไปหมดแล้ว

“รู้ไหม นายละเมิดสัญญานะ”

เมื่อหาทางออกให้กับความสับสนในใจตัวเองไม่ได้ การโทษเขาจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้ความรู้สึกของผมดีขึ้น เด็กหนุ่มหัวเราะ เขาเชยคางผมขึ้นให้หันมาทางเขา มองผมอย่างรู้เท่าทัน
“ไม่ได้ละเมิดอะไรเลยนะ จำได้ไหมครับ เรียวยอมให้ผมทำต่างหากล่ะ”

เดียร์ทำตาเจ้าชู้ใส่ผม

“ก็นายทำแบบนั้น ใครจะไม่หวั่นไหว ถ้าอยากจะรักษาสัญญาจริงๆ ก็อย่าเริ่มสิ”

ผมยังว่าเขาต่อเนื่อง รู้สึกว่าตัวเองพาลพาโลเหลือเกิน เมื่อเอาผิดเขาไม่ได้ เพราะเขาลื่นไหลไปเรื่อยๆ ผมก็ต้องหาเหตุมาอ้างเผื่อให้เขายอมรับว่าตนเองนั่นแหละผิดที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนี้

“ถ้ามันทำให้เรียวไม่พอใจ ผมก็ต้องขอโทษเรียวมากๆเลยนะครับ เรียวครับ เราสองคนจะไม่ได้เจอกันอีกตั้งสามอาทิตย์แน่ะ
ผมน่ะอดคิดถึงคุณไม่ได้เลย หากต้องอยู่โดยไม่ได้เจอคุณ ผมคงแทบคลั่ง แต่ว่า ผมเองก็ต้องไปทำงาน ทั้งที่อยากอยู่กับเรียวใจจะขาด แต่ผมก็จำเป็นต้องทำเพื่อให้ได้เงินมาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องของตนเอง
ผมไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีที่จะทำให้ความทรงจำระหว่างเราเป็นไปในทิศทางที่ดี อยากจะให้เรียวคิดถึงผมบ้าง ก็เลยต้องใช้วิธีนี้ อย่าถือโทษโกรธผมเลยนะ”

เดียร์กล่าวขอโทษขอโพยผมด้วยเสียงอ้อนๆ ดวงตาที่จ้องมองผมเต็มไปด้วยความรักและภักดี ผมไม่สามารถสบสายตาของเขาได้นานนัก ใจคอเริ่มหวั่นไหวไปกับความรักที่เด็กหนุ่มมอบให้
เจ้าเด็กโง่เอ๊ย ทำแบบนี้แล้ว ผมยิ่งรู้สึกแย่มากๆ เขากำลังทำให้จิตใจของผมโอนเอียงไปทางเขามากขึ้นเรื่อยๆ หากผมไม่สามารถควบคุมตนเองได้ สักวันหนึ่งผมคงตกอยู่ในบ่วงเสน่หาของเดียร์อย่างแน่นอน

“ทำไมต้องทำงานมากมายนักนะเดียร์ ฉันเห็นนายทำอะไรต่ออะไรเยอะแยะไปหมดเลย ไม่ว่าจะส่งหนังสือพิมพ์ ทำงานร้านอาหาร ทำงานกลางคืนที่ร้านกาแฟ แล้วยังไปเต้นอีก แถมซ้ำยังลงเรียนด้วย ไม่เหนื่อยบ้างหรือไง”

“ก็เหนื่อยเหมือนกันนะครับ แต่ทำยังไงได้ล่ะ ผมไม่มีใครช่วยเหลือดูแล ต้องทำงานตั้งแต่เป็นเด็กๆแล้วนับจากวันที่ผมหนีออกจากบ้านมา ถ้าไม่ทำก็คงจะใช้ชีวิตอยู่อย่างลำบากน่ะครับ”

เดียร์พูดยิ้มๆ ท่าทางไม่ค่อยอนาทรร้อนใจสักเท่าไหร่ เหมือนว่าการทำงานหนักไม่ใช่ปัญหาสำคัญที่เขาควรจะใส่ใจ

“ฉันเคยได้ยินได้ฟังมาว่า เกย์บางคนที่หน้าตาดีๆก็มีเสี่ยเลี้ยง หรือไม่ก็เข้าวงการบันเทิง นายอยู่ในวงการเต้นอยู่แล้ว
ไม่คิดจะเป็นนักร้องหรือดาราบ้างเหรอ รายได้จะได้ดีขึ้น ไม่ต้องมาทำหลายอย่างให้เหนื่อยยาก นายหน้าตาดีแบบนี้เป็นนักแสดงได้สบายอยู่แล้ว”

ผมถามเด็กหนุ่มด้วยความสงสัย เดียร์เป็นคนหน้าตาดีมาก โครงสร้างร่างกายแข็งแรง รูปร่างสูงใหญ่ ลูกครึ่งพิมพ์นิยมที่วงการบันเทิงต้องการ
เขาน่าจะเข้าสู่วงการมายามากกว่าที่จะมาทนร้อนอยู่หน้าเตา หรือเต้นให้เหงื่อซ่ก ได้เงินมากกว่ากันเยอะเลย

“เรียวนี่ต้องเป็นปลาทองแน่ๆเลย”

อยู่ๆเดียร์ก็ว่าผม เขาหัวเราะลงลูกคอเอิ๊กอ๊ากเมื่อเห็นผมทำหน้างงๆ

“เรื่องไรมาว่าฉันเป็นปลาทอง....”
ผมย้อนถามเสียงขุ่น

“ก็เรียวอ่ะ เคยถามผมตั้งแต่ตอนที่ช่วยผมครั้งแรกเมื่อ 4 ปีที่แล้วไงครับ ว่าทำไมไม่อยากเป็นดารา เพราะหน้าตาก็ออกดี๊ดี ผมก็ตอบไปว่า ผมไม่ชอบวงการนี้ครับ ผมไม่ชอบการหลอกลวง
การเป็นนักแสดง ไม่ว่าจะเป็นดารา หรือนักร้อง มันก็มีส่วนดี อย่างน้อยๆทำให้เรามีรายได้มากขึ้น มีเงินเก็บเยอะขึ้น มีชื่อเสียงด้วย
แต่ผมไม่ชอบตรงที่เราไม่มีความเป็นส่วนตัว รักชอบอะไร ก็บอกใครไม่ได้ ต้องอยู่ในสายตาประชาชนตลอด ผมไม่ชอบการโกหกแบบนั้นนี่ครับ”

“ก็ไม่เห็นมีเรื่องอะไรต้องโกหกนี่”

ผมย้อนถามเขา เด็กหนุ่มถอนหายใจ ทำหน้าเหมือนกับว่าผมไม่เคยรู้อะไรเลย

“แล้วจะให้ผมตอบพวกเขาไปว่าไงล่ะเรื่องพ่อแม่ แล้วสิ่งที่ผมเป็นอยู่นี่ละครับ จะให้โกหกหรือพูดความจริงกัน เรื่องที่ แม่ผมเป็นเมียเช่า แถมตัวเองก็เป็นเกย์อีกด้วย เขาจะยอมรับผมกันล่ะหรือ
แล้วถ้าให้ผมเปลี่ยนใจ เลิกรักเรียว ผมก็ทำไม่ได้หรอก ผมอุตส่าห์ตามหาคุณมาตั้งนาน กว่าจะได้เจอตัวคุณ วางแผนเพื่อให้ตัวเองได้เป็นแฟนกับเรียว แล้วอยู่ๆจะให้ผมทิ้งทุกอย่างเพื่อเป็นดารา ผมไม่เอาหรอกครับ ผมไม่ยอมแลกเรียวกับใครทั้งสิ้นหรอก”

เออจริงสิเนอะ ผมลืมเรื่องนี้ไปสนิทเลย พอจะจำได้คลับคล้ายคลับคลาแล้ว ว่าเขาเคยพูดเรื่องนี้กับผมอย่างไม่ปิดบังด้วย
ผมรู้สึกว่าตัวเองแย่จังเลยที่ไปซักเขาจนทำให้ต้องพูดในสิ่งที่ไม่อยากจะเล่าให้ใครฟังออกมา แต่ความรู้สึกผิด ถูกกลบด้วยความรู้สึกกลัวใจตนเองมากกว่า ยิ่งได้ฟังประโยคท้ายของเขา ผมยิ่งหวั่นไหว

“พอนายมีเงินแล้ว แถมดังด้วย ขี้คร้านจะมีคนดีๆมาให้นายเลือก ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย แต่ถ้านายเปลี่ยนใจมาชอบผู้หญิงได้ก็ดีนะ หรือถ้าไม่ชอบ ก็หาผู้ชายหล่อๆดีสักคนมาเป็นแฟนก็ได้”

ผมยุส่ง รีบหันเหความสนใจของเขาไปทางอื่นที่ไม่ใช่ตัวผม แต่ทุกอย่างที่ผมพยายามทำ มันไม่เคยสำเร็จ ถึงอย่างไรเดียร์ก็วกกลับมาที่ผมจนได้

“แล้วเรียวเมียผมจะไปอยู่ที่ไหนล่ะ”

“อีกแล้วนะ”

ผมทำเสียงเหมือนไม่พอใจ รู้สึกไม่อยากได้ยินคำนี้อีกเลยจากปากเขา เดียร์อุทานเสียงสูง แล้วรีบขอโทษขอโพย

“ขอโทษครับ...........ยอดรักของผม ผมอ่ะแค่จะบอกว่า ผมไม่มีวันทิ้งเรียว เข้าใจไหมครับ จะต้องให้บอกกี่ครั้งกันเนี่ยหือ คนแก่สมองปลาทอง ผมรักเรียวคนเดียว ตราบใดที่ผมยังทำให้เรียวรักผมไม่ได้ จะไม่มีวันรามืออย่างเด็ดขาด
แล้วถึงแม้ว่าเรียวจะรักผมแล้ว ผมก็จะยังไม่หยุดรัก จะคอยดูแลปกป้องเรียวไปตลอด ด้วยความคิดแบบนี้ มันทำให้ผมไม่ได้อยากเป็นดาราหรือเป็นอะไรทั้งนั้น เรียวคือสิ่งมีค่าที่สุดของผม มากกว่าชื่อเสียงเงินทอง หรือลาภยศอื่นใด ผมไม่แลกเรียวกับใคร หรือกับอะไรทั้งนั้น โปรดเข้าใจไว้ด้วยนะครับ”
เด็กหนุ่มทำเสียงเข้มใส่ผม ท่าทางขัดใจที่ผมไม่ยอมเข้าใจอะไรเอาเสียเลย อากัปกริยาของเขาที่เปลี่ยนไป เล่นเอาผมต้องนิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออก เดียร์จริงจังกับผมมากจนผมนึกกลัว

“ที่ถามผมว่า เกย์บางคนมักจะมีเสี่ยเลี้ยง มันก็ถูกอ่ะครับ เดี๋ยวนี้คนเรารักสบายขึ้น ไม่ว่าชายหรือหญิง ไม่มีใครอยากลำบาก ต้องทำงานงกๆ แล้วได้เงินมาไม่พอยาไส้

ผู้หญิงหรือผู้ชายบางคนจึงเลือกที่จะรับเงิน ข้าวของ ความฟุ่มเฟือยสะดวกสบายที่มีใครบางคนหยิบยื่นให้ เพียงแต่ว่า
มันอาจจะดูแปลกๆที่ผู้ชายยอมขายตัว หรือยอมบำเรอความสุขให้กับคนที่มีเงินเลี้ยงเขา เท่าที่ผมรู้และเคยเห็นมานะครับ
บางคนก็ทำไปเพราะความจำเป็นทางการเงิน เช่นมีภาระเลี้ยงดูคนอื่น แล้วไม่รู้ว่าจะหาหนทางใดที่จะให้ได้เงินมามากๆ จึงต้องทำวิธีนี้
บางคนก็อาจจะหลงไปกับค่านิยมทางวัตถุ เช่น อยากได้เงินใช้จ่ายสุลุ่ยสุร่าย อยากได้มือถือ อยากใช้ของแพงๆ อยากได้บ้าน หรือรถ
การทำงานไปตามปกติ ไม่ช่วยให้เขาได้สิ่งเหล่านั้นมา ถ้าไม่ได้เกิดมาบนกองเงินกองทอง จะอาศัยทำงานอย่างเดียว เก็บเป็นชาติก็ไม่รู้ว่าจะได้หรือเปล่า ก็ต้องหาเอาทางลัดอ่ะครับ

บางคน ได้ทั้งเงิน ได้ทั้งของ แล้วก็ได้ความสนุกทางเพศด้วย คนหน้าตาดีก็มีสิทธิเลือกได้มากนะครับ”

เดียร์อธิบายเหตุผลที่ผู้ชายหันมาเป็นฝ่ายรับการดูแลมากยิ่งขึ้น เขาเงียบหลังจากที่พูดจบ เพื่อรอฟังว่าผมจะพูดว่าอะไร แต่เมื่อเห็นผมนิ่งเฉย เขาก็พูดต่อ

“ถ้าถามผมว่า ถ้ามีใครมายื่นโอกาสแบบนี้ให้ ผมจะเอาไหม ขอตอบเลยครับว่า “ไม่” เรียวเองก็เคยช่วยผมจากผู้ชายที่คิดจะมาซื้อผมใช่ไหมครับ ก็น่าจะรู้คำตอบดีโดยไม่ต้องถาม

หัวใจ และร่างกายนี้ ผมไม่ได้มีเอาไว้สำหรับซื้อขาย ผมไม่สนเรื่องเงินทองจำนวนมาก ใจเท่านั้นถึงจะซื้อใจของผมได้
แต่ตอนนี้ ผมไม่เหลือขายให้ใครแล้ว ผมมอบทั้งตัวและหัวใจให้เรียวไปจนหมด ได้แต่หวังว่าเรียวคงไม่นำมันไปขายทอดตลาดให้กับคนอื่น ความรักของผมที่มีต่อเรียว มันเป็นความรักแท้นะครับ

เรียวได้จ่ายให้ผมไปแล้ว จ่ายด้วยความเมตตาปรานีที่เรียวมีต่อผม ทั้งๆที่ไม่รู้จักกัน แต่ผมกำลังรอการจ่ายงวดสุดท้ายของเรียว นั่นคือ การมอบหัวใจที่ล้ำค่าของเรียวมาให้

แต่ถึงแม้ว่าเรียวจะไม่ยอมมอบให้ผมจริงๆ ผมก็ภูมิใจที่ผมผ่านทุกอย่างมาได้ถึงขั้นนี้แล้ว แค่ได้อยู่กับเรียวก็เป็นความสุขขั้นสูงสุดของผมแล้ว จริงๆนะครับ อย่าพยายามผลักไสผมไปอยู่กับคนอื่นเลยนะ”

เขากอดผมไว้แนบแน่น ราวกับว่าผมจะหนีหายจากเขาไป ผมได้แต่อึ้งพูดอะไรไม่ออก สำเหนียกได้ถึงความรักท่วมท้นของเดียร์ที่มีต่อผม
คำขอร้องที่ว่าอย่าผลักไสเขาไป มันทำให้ผมเกิดความเศร้าสะเทือนใจอย่างบอกไม่ถูก เด็กเอ๋ยเด็ก ถ้าผมไม่ทำอย่างนั้น

ผมเองก็จะเป็นฝ่ายทุกข์ทรมานเอง ถ้าบังเอิญเกิดรักเขาขึ้นมาจริงๆ ผมยังต้องอยู่ในสังคมนี้ การอยู่กินกับเกย์ ไม่ใช่สิ่งที่ได้รับการยอมรับจากคนทั่วไป ผมตอบตัวเองไม่ได้ว่าผมจะสามารถละทิ้งทุกอย่าง เพื่อความรักตัวเดียวได้หรือเปล่า

“ฉันเข้าใจแล้วเดียร์ .....ขอบคุณมากสำหรับความรักที่มีให้กับฉันอย่างล้นเหลือ ฉันไม่อยากให้นายมาจมปลักอยู่กับฉัน นายน่าจะเจอคนดีๆที่รักนาย จะได้ไม่เสียใจภายหลัง”
“บอกแล้วไง ว่าผมไม่เลิกรักเรียวง่ายๆหรอก แล้วไม่ต้องพูดเรื่องนี้อีกแล้วนะครับ ไม่ว่าอย่างไรผมก็จะไม่ชอบคนอื่นอีกแล้วนอกจากคุณ
เป็นเมียภาษาอะไรกัน จะขับไล่สามีตัวเองให้ไปรักคนอื่น อย่ามาทำเป็นใจดีนักเลย ถ้าวันหนึ่งผมไม่อยู่จริงๆ เรียวอาจจะเหงา และเศร้าใจก็ได้ ใครจะรู้”

เขากอดแน่นเข้า แต่ผมดิ้นหนี รู้สึกไม่พอใจที่เขาเรียกผมว่าเมียอีกแล้ว แต่เดียร์ยิ่งกอดแน่น

“ฉันจำได้ว่าขอร้องนายไม่รู้ตั้งกี่ครั้งให้เลิกเรียกฉันแบบนั้น”

“ก็เรียวอยากพูดจาผลักไสผมทำไมล่ะ ผมก็พูดให้เรียวรู้จักสถานะของตัวเองนะสิ ว่าเป็นอะไรกับผม”

“แค่มีสัมพันธ์ทางเพศด้วยกันแค่นี้เหรอ มันไม่ได้ผูกพันเหมือนชายหญิงถึงขนาดนั้นเลย อย่าเอามาเปรียบเทียบกัน”

ผมยังไม่หายขุ่นใจ

“เรียวอาจจะคิดว่าไม่มีความหมายอะไร เพราะเรียวไม่เคยรักผมเลย แต่สำหรับผมแล้ว เรียวเป็นครอบครัวของผมครับ
ถึงเรียวไม่รัก ผมไม่ว่า แต่ขอร้องอย่างเดียวว่าอย่าปฏิเสธผม อย่างน้อยก็หกเดือนตามสัญญา ทำได้ไหมล่ะครับ และถ้าขืนเรียวยังเสนอความคิดที่จะให้ผมหันไปชอบคนโน้นคนนี้อีก
ผมก็จะเรียกเรียวว่าเมียอย่างนี้ไปเรื่อยๆ แล้วจะเพิ่มคำว่าจ๋าเข้าไปด้วย เรียกแบบนี้ไงครับ “เมียจ๋า เมียจ๋า” เรียวจะได้ตระหนักเสียทีว่าเรียวเป็นของผมแล้ว และผมเป็นสามีของเรียว จะขับไล่ใสส่งอะไรก็ขอให้คิดถึงข้อนี้บ้าง”

เดียร์เองก็ทำท่าฉุนๆเหมือนกัน เขาคงโมโหคำพูดผมเมื่อสักครู่ ผมเองก็สุดจะทนเหมือนกัน ไม่อยากได้ยินคำๆนั้นกับเขา มันชวนให้คิดว่าผมเป็นฝ่ายหญิงอยู่ร่ำไป

“ฉันไม่ใช่เมียนาย”

ผมพูดแทบจะตะโกนด้วยความเหลืออด พลางเอามือทั้งผลักทั้งดันเดียร์ให้ห่างจากตัวผม

“ทำไมจะไม่ใช่ ของๆผมอยู่ในนี้ของคุณตั้ง 6 ครั้ง มันมากพอที่จะเรียกว่าเราสองคนเป็นผัวเป็นเมียกันได้แล้ว”

เด็กหนุ่มฟาดไปที่ก้นเปลือยเปล่าของผมค่อนข้างแรง เพื่อเป็นการตอกย้ำคำพูดของตนเอง และยุติการดิ้นหนีของผม ซึ่งมันได้ผล
ผมหยุดชะงัก มองจ้องเขาตาเขม็งด้วยความโมโหที่เขามาฟาดผม แถมซ้ำยังพูดไม่รู้เรื่องอีก เขาจ้องตอบมาด้วยสายตาโกรธขึ้ง
จังหวะที่ต่างคนต่างจ้องกันอยู่นั้นเอง ผมก็งอเข่าขึ้นและง้างขาขึ้นมาถีบเขาออกไปให้พ้นตัว เพื่อให้เขาผละออกจากผม เดียร์ผงะออก จากนั้นเขาก็ใช้แรงทั้งหมดที่มีอยู่โถมขึ้นมาทับตัวผม และจับแขนผมสองข้างรวบไว้เหนือหัว

“ยังสงสัยอยู่ใช่ไหม เอาสิ ผมจะทำให้ดูอีกครั้งว่าเป็นผัวเป็นเมียน่ะ เขาทำอย่างไง จะได้เลิกเถียงกับผมเสียที”

“อย่าได้คิดทำอะไรที่ฉันไม่อนุญาตเชียวนะ”
ผมร้องห้ามเมื่อเห็นเด็กหนุ่มกำลังจะทำอย่างที่ขู่ แต่คำพูดของผมหรือจะขวางเดียร์ที่กำลังโมโหได้ เขาก้มหน้าลงมาที่ซอกคอของผม และจูบซุกไซร้แรงๆ แต่ตอนนี้ผมไม่มีอารมณ์เคลิบเคลิ้มในสิ่งที่เขาทำอีกต่อไป ผมพยายามดิ้นเพื่อให้หลุดจากการเกาะกุม เมื่อไม่เป็นผลผมก็งัดไม้ตายขึ้นมาตอบโต้

“ถ้านายยังไม่หยุด งั้นเราก็เลิกกันวันนี้เลย”

เสียงของผมค่อนข้างดังพอที่จะหยุดเขาได้ เดียร์ชะงัก เขาเงยหน้าขึ้นมองผม ก็เห็นผมจ้องตอบอย่างเอาเรื่องอยู่ก่อนแล้ว
หน้าของเด็กหนุ่มสลดลง สายตาที่จ้องกลับมามีแววเศร้าสร้อย เขาก้มลงจูบปากผมอีกครั้ง ก่อนจะปล่อยมือสองข้างผมให้เป็นอิสระแล้วกอดผมไว้แนบแน่น

“หยุดแล้วครับ อย่าเลิกกันนะ ผมขอโทษ ผมโมโหไปหน่อย”



anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่10 11/1/09
«ตอบ #78 เมื่อ11-01-2009 13:58:27 »

ผมตัวสั่นสะท้านด้วยอาการหอบจากการดิ้นรนเมื่อครู่ และความพยายามที่จะระงับอารมณ์โกรธที่พลุ่งพล่านในใจ
นึกโกรธตัวเองที่ปล่อยให้เรื่องมันล่วงเลยมาจนถึงป่านนี้ ยอมมีอะไรกับเขาจนทำให้เรื่องมันยุ่งยากขึ้น พาลโกรธคนที่กำลังกอดผมอยู่ขณะนี้ด้วย

“ผมสัญญาว่าจะไม่เรียกคุณด้วยคำนั้นก็ได้หากทำให้คุณไม่สบายใจ แต่ขอว่าอย่าไล่ผมไปจากชีวิตของคุณเลย
เรียวกำลังจะฆ่าผมให้ตายรู้ไหม ผมจะไปไหนได้ ผมจะอยู่ตรงไหนได้ ถ้าที่นั่นไม่มีคุณ จะให้ผมอยู่ห่างหัวใจของตัวเองได้ยังไง”

เด็กหนุ่มทำเสียงตัดพ้อ ฟังดูน่าสงสาร ผมถอนหายใจ พยายามข่มความรู้สึกหวั่นไหวที่วูบวาบขึ้นมา

“ยังไม่เคยบอกเลยว่าจะไล่ไปไหน ถ้าไล่ นายก็ไม่ได้มานอนอยู่บนเตียงฉันแบบนี้หรอก”

“งั้นอย่าไล่ผมไปเลยนะ ให้ผมอยู่ด้วยกับคุณตลอดได้ใช่ไหม”

เขาพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรน ท่าทางวุ่นวายใจ

“อย่าสร้างความรำคาญให้ฉันแล้วกัน”

ผมตอบเขาไปอย่างเซ็งๆ เดียร์คงจะจับน้ำเสียงได้ ว่าผมก็คงจะเบื่อเขาอยู่บ้าง แต่เดียร์เลือกที่จะไม่เก็บประเด็นที่นำความทุกข์มาใส่ใจ
เขายกเอาเรื่องราวของความสุขมาตีความข้างตนเอง ดังนั้นสิ่งที่ผมได้เห็นจากเดียร์ก็คือรอยยิ้มกว้างอย่างสุขสมหวัง ผมถอนหายใจอีกครั้ง กับอากัปกริยาที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของเขา

เมื่อกี้โกรธผม พอผมไม่ยอม และพูดแรงๆใส่ เขาก็ทำท่าน้อยอกน้อยใจ มาเมื่อครู่นี้ ผมพูดดีด้วย เขาก็ทำหน้าบานเป็นจานเชิง เด็กยังไงก็เป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ

“ไม่แล้วครับ เรียกเรียวว่า ที่รักจ๋าดีกว่า ถ้าเรียกแบบนี้ เรียวก็จะไม่โกรธใช่ไหม แล้วเรียวก็จะให้ผมอยู่เคียงข้างเรียวตลอดเวลาด้วย เรียวใจดีมากเลย ผมรักเรียวที่สุด”

เขาเกลือกหน้าตัวเองลงกับหน้าของผม ท่าทางมีความสุข ผมอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอีก

“นอนดีกว่า เหนื่อยแล้ว ไม่อยากจะพูดอะไรอีกต่อไป”

ผมตัดบท ขี้เกียจต่อปากต่อคำกับเด็กหนุ่ม เดียร์พลิกตัวลงนอนหงายและดึงผมเข้ามาไว้ในอ้อมกอดของเขา


“ได้ครับ แต่ถ้านอนแบบนี้ เรียวจะหนาวหรือเปล่า แต่ไม่เป็นไรนะ ผมนอนกอดเรียวให้ตัวอุ่นได้ รับรองเรียวจะไม่มีทางเป็นหวัด เมื่อนอนในอ้อมกอดของผมครับ”

จริงสินะ ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองอยู่ในสภาพเปลือยเปล่า หลังจากที่เราสองคนออกมาจากห้องน้ำ เดียร์ก็เช็ดตัวผมจนแห้ง แล้วโอบประคองผมมานอนบนเตียงเลย

เขาแข็งแรงมากจริงๆ จนผมไม่อาจจะขัดขืนเขาได้ ผมรู้สึกเพลียจนอยากจะหลับลงเสียตอนนี้เลย จึงปิดเปลือกตาลง ช่างมันเถอะ
ผมไม่มีความลับเรื่องร่างกายของผมกับเดียร์อีกต่อไปแล้ว เขาเห็นและสัมผัสตัวผมทุกซอกทุกมุม แทบไม่มีตรงไหนที่เขาไม่เคยจับต้อง เดียร์จะกอดผมหรือจะทำอะไร ผมก็ไม่มีแรงจะต่อกรกับเขาหรอก

เดียร์กอดผมไว้แนบแน่น ศีรษะซุกซบอยู่กับศีรษะของผม หลังจากจูบที่หน้าผากผมเบาๆแล้ว เขาก็นอนนิ่งเงียบ
ผ่านไปอึดใจผมก็ได้ยินเสียงลมหายใจที่ดังสม่ำเสมอจากเขา เดียร์หลับไปแล้ว ทั้งๆที่ยังตระกองกอดผมไว้ ผมค่อยๆผ่อนคลายตัวเอง เลิกเกร็ง และทำจิตใจให้สบายขึ้น จากนั้นผมก็ค่อยๆเอนซบเขา แล้วก็หลับไป






เป็นเวลาอาทิตย์หนึ่งแล้ว นับจากคืนนั้นที่เดียร์มาบ้านของผม เขาออกไปแต่เช้ามืด เพื่อไปทำธุระที่พัทยา ไปหาน้อยเพื่อนของเขา
เดียร์ไม่ได้ปลุกผม แต่ทิ้งโน้ตพร้อมด้วยภาพถ่ายสีของเขาในอิริยาบถต่างๆ รวมถึงภาพที่ถ่ายจากงานคอนเสิร์ตที่เขาไปเต้นให้ศิลปินชื่อดังต่างๆ

ผมคิดว่ามันคงเป็นภาพถ่ายที่เขาเก็บเอาไว้สำหรับพรีเซ้นต์งานของเขาให้บรรดาเอเจนซี่ทั้งหลายดู เพราะผมเห็นภาพเดียวกันในแฟ้มของเดียร์ที่วางทิ้งไว้รวมกับข้าวของของเขาในห้องนอนของผม
เดียร์คงตั้งใจที่จะแบ่งภาพเหล่านั้นส่วนหนึ่งเอาไว้ให้ผมดูต่างหน้า ยามที่เขาไม่อยู่ เขาเอากรอบรูปใหม่ที่ใส่รูปของเขามาวางตั้งไว้ใกล้ๆรูปของผมที่หัวเตียง

เอารูปไปติดไว้ที่หน้าโต๊ะแต่งตัว ที่ประตูตู้เสื้อผ้า หน้าประตูห้องน้ำ ตรงชั้นที่วางแชมพู เดียร์ก็ตัดรูปเขาใส่กระดาษแข็งทำคล้ายๆกับตุ๊กตากระดาษเอาไปแปะตรงหน้ากระจก ตรงไหนที่เขาพอจะเอารูปเขามาแปะได้ เขาจะทำจนไม่เหลือช่อง
ผมนึกขำกับความพิเรนทร์ของเขา เจ้าเด็กโง่นั่นคงคิดว่า ผมจะระลึกถึงเขาได้เพียงแค่การมองเห็นหน้าเขาบ่อยๆ หรือบางทีเขาอาจจะอยากให้ผมจดจำความเพี้ยนของเขาก็ได้

ผมล้มเลิกความคิดที่จะฉีกทิ้งทำลายภาพของเดียร์ ไม่ใช่เพราะผมคิดถึงเขา แต่ผมเสียดายภาพทั้งหมดของเดียร์ มันอาจจะเป็นเงินจำนวนไม่น้อยที่เขาต้องจ่ายไป เขากลับมาอาจจะต้องใช้
ผมไม่รู้ว่าเดียร์ไปอัดภาพเหล่านี้มาเมื่อไหร่ และเขาได้จ่ายเงินไปเท่าไหร่ อีกทั้งไม่รู้ว่าเขาเอาเวลาไหนไปทำ อาจจะเป็นตอนเช้ามืดที่เขาอาจจะตื่นมาก่อนผม แล้วมานั่งทำจนได้เวลาไปขึ้นรถทัวร์ก็ได้ แต่ถ้าหากเขาทำด้วยความรู้สึกดีต่อผม ผมก็ไม่ควรจะทำให้เขาเจ็บปวดด้วยการทำลายมันทิ้งไม่ใช่หรือ

ผมปล่อยให้รูปของเดียร์อยู่ในห้องผมแบบนั้น เพราะคิดว่ามันคงไม่ได้สร้างปัญหาอะไรมากนัก แต่พอผมเปิดตู้เสื้อผ้าของตนเอง ผมก็อดรู้สึกโมโหนิดๆไม่ได้ เจ้าเด็กบ้านั่น ถือวิสาสะเอาเสื้อผ้าของตัวเองมาใส่ไว้รวมกับเสื้อผ้าของผมตั้งมากมาย เหมือนกะจะมาอาศัยอยู่กับผมระยะยาว
ผมปลดเสื้อผ้าของเดียร์ออกจากตู้ ตอนแรกกะจะโยนลงตะกร้าด้วยความโมโห แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ เอามาวางพาดซ้อนๆกันตรงเก้าอี้ ไม่อยากจะทำร้ายกันจนเกินไปนัก ถ้าเขามาผมจะบอกให้เขาเอากลับไปให้หมด ผมเพิ่งจะรู้ว่า นอกจากเดียร์จะทิ้งร่องรอยของเขาไว้ในบ้านของผมแล้ว เขายังเป็นชนวนที่สร้างเรื่องราวชวนปวดหัวให้กับผมอย่างไม่น้อย

เริ่มจากตอนเช้าก่อนออกจากบ้าน ผมเจอพี่สมชาย ยืนอยู่ที่ประตูรั้วด้านหน้า มองผมยิ้มๆ ผมทักทายพูดคุยตามปกติ
อยู่ๆแกก็พูดถึงเดียร์ขึ้นมา พี่สมชายเจอเดียร์ตอนออกจากบ้านของผมไปเมื่อตอนเช้ามืด เขาเลยรู้ว่าเดียร์นอนบ้านผมเมื่อคืน
อันที่จริง พี่สมชายคงจะเห็นมาหลายคืนแล้ว ว่าเดียร์ชอบมาค้างที่บ้านผม ก็บ้านเราตรงข้ามกันขนาดนั้น ถ้าตั้งอกตั้งใจมองจริงๆก็คงจะเห็นความเคลื่อนไหวภายในบ้านที่เกิดขึ้น

พี่สมชายคงจะเก็บความสงสัยไว้นานมาก พอวันนี้ สบโอกาสเหมาะ แกก็เลยถามผมขึ้นมา ผมเดาว่าพี่สมชายคงกำลังสงสัยในความสัมพันธ์ของผมกับเดียร์ ถึงแม้ว่า เดียร์จะเคยบอกแกว่าเป็นน้องชายของผม แต่ดูเหมือนพี่สมชายจะไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่
แกทำท่าเหมือนว่าแกรู้อะไรบางอย่างที่ผมปกปิดเอาไว้ คำถามที่ถามผมแต่ละคำ ก็เหมือนกับจะกล่าวหาว่าผมกับเดียร์มีอะไรกัน
ผมแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ไม่หลงไปตอบคำถามอะไรที่จะผูกมัดตัวเอง ในเมื่อแกไม่ถามตรงๆออกมาเลยว่าผมกับเดียร์มีอะไรกันลึกซึ้งหรือเปล่า ผมก็ไม่จำเป็นต้องไปขยายความให้แกมั่นใจยิ่งขึ้นในสิ่งที่เชื่อ

ผมเก็บความไม่พอใจพกไปในที่ทำงานด้วยในเช้าวันนั้น แต่ยังไม่ทันนั่งลง โทรศัพท์มือถือของผมก็ดังขึ้น ศักดิ์ชายโทรมาโวยวายแต่เช้า
มันบอกว่ามันโทรมาหาผมตอนประมาณสักตีห้า โทรมาตั้งนานมาก พอมันกำลังจะวางหู ก็มีเสียงตอบรับ เป็นเสียงผู้ชาย มันก็ถามหาผม แต่เสียงนั้นตอบกลับมาว่าโทรผิดแล้ว จากนั้นก็ตัดสาย

พอมันโทรอีก ก็ถูกตัดสายตลอด ตอนแรกมันก็คิดว่าโทรผิด แต่เมื่อเช็คเบอร์แล้ว ก็รู้ว่าจำไม่ผิดแน่นอน มันถามผมว่าเกิดอะไรขึ้น มีใครอยู่กับผมด้วยเหรอ

ผมใจหายวาบ นึกเดาว่าคนที่รับสายศักดิ์ชายต้องเป็นเดียร์แน่นอน แต่หมอนั่นไม่ได้บอกผมให้รู้เลย
เดียร์คงได้ยินโทรศัพท์ที่ศักดิ์ชายโทรมาหลายครั้ง เลยอดไม่ได้ที่จะรับโทรศัพท์ แต่ก็ยังดีที่เด็กนั่นบอกว่าโทรผิด ไม่อย่างนั้น
ผมคงเจอศักดิ์ชายซักฟอกมากกว่านี้ ผมเลยแกล้งบอกมันไปว่า ผมไม่เห็นได้ยินโทรศัพท์อะไรเลย แล้วผมก็ไม่ได้มีใครมาอยู่ด้วย มันคงโทรผิดจริงๆ

จากนั้นผมก็ด่ากลับไปว่า มันมีเรื่องอะไรนักหนาเหรอ ถึงได้โทรมาหาผมตอนเช้ามืดแบบนั้น ไม่เกรงใจคนจะหลับจะนอนบ้างเลยเหรอ
เพื่อนเก่าของผมมันทำเป็นสำนึกผิด บอกกับผมว่า อยู่ๆมันก็คิดถึงคำพูดของผมวันนั้นขึ้นมา แล้วอยากจะคุยกับผมเรื่องนี้
พอผมถามว่าเรื่องอะไร มันกลับอ้ำอึ้งไม่พูดออกมา ผมเลยตัดบทขอทำงานต่อ แต่ไม่วายแกล้งทำเป็นหัวเสียใส่มันว่า
คราวหน้าคราวหลังถ้าจะโทรมาด้วยเรื่องไร้สาระก็อย่าโทรมาอีก มันรับคำเสียงอ่อย แต่ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก ที่พ้นจากการถูกซักฟอกมาได้อย่างหวุดหวิด

แต่เรื่องยังไม่จบแค่นั้น เจ้าสันต์มาหาผมตอนเที่ยง ทำหน้าตาเจ้าเล่ห์มาเชียว มันบอกว่ามันโทรมาหาผมตอนสัก ตีห้ากว่าๆ คงจะเป็นหลังจากที่เจ้าศักดิ์ชายโทรมา มีผู้ชายรับสายและบอกว่าโทรผิด

แต่มันบอกว่ามันโทรเบอร์ของผมแน่นอน แล้วก็ถามผมว่า ผมพาใครมานอนด้วยเหรอ ผมนึกโกรธพวกมันมาก มันเป็นอะไรกันนักหนาถึงได้ระดมโทรมาหาผมในวันเดียวถึงตั้งสองคน แล้วจำเพาะต้องโทรมาหาผมตอนที่ผมกับเดียร์อยู่ด้วยกันด้วย

ผมจะต้องถามเดียร์ในวันหลังว่าทำไมถึงไม่บอกผม อาจจะเป็นเพราะเดียร์ไม่อยากกวนผมก็เป็นได้ แต่อย่างน้อยก็น่าจะบอกกันผมจะได้รับมือถูก แต่เอาเถอะ ตอนนี้ ผมมีปัญหาเฉพาะหน้าที่จะต้องแก้ไข คือ ทำอย่างไร ไอ้สันต์คนเจ้าเล่ห์ มันถึงจะเชื่อคำพูดของผม เจ้าสันต์ยิ่งเชื่อยากกว่าศักดิ์ชายเสียอีก

ผมบอกมันไปเหมือนเดิมว่าผมไม่รู้ไม่เห็น ไม่ได้รับโทรศัพท์ใดๆทั้งสิ้น แล้วก็ใช้มุขเดิมคือ โวยวายกลับว่า มันกับศักดิ์ชายเป็นอะไรกันเหรอ ถึงได้พยายามกวนใจผมในตอนเช้ามืดแบบนั้น
มันหัวเราะแหะแหะ แล้วแก้ตัวโดยการโยนความผิดให้ศักดิ์ชายว่า เจ้าเพื่อนเก่าของผม มันโทรมาหาผมแล้วก็มีผู้ชายรับสาย ต่อมาก็โทรไม่ติด เลยโทรมาหาเจ้าสันต์ให้ช่วยเช็คให้หน่อย มันก็เลยโทรมา

ผมเลยดักทางมันด้วยการย้อนถามว่า มันก็อยากรู้อยากเห็นด้วยใช่ไหม ว่าผมเอาคนมานอนด้วยจริงตามที่ศักดิ์ชายสงสัยหรือเปล่า
เจ้าสันต์เห็นผมทำท่าโมโห มันก็เลยยอมรับด้วยเสียงอ่อยๆ แต่กระนั้น มันก็ยังบอกผมด้วยว่า ถึงผมจะทำจริงๆมันก็ไม่ว่าอะไร มันยินดีรับฟังเสมอ เพราะมันเป็นเพื่อนผม มันเข้าข้างผมอยู่แล้ว

ถึงแม้จะซาบซึ้งในสิ่งที่เจ้าสันต์พูด แต่ผมก็ยังคงทำตัวเป็นผู้ร้ายปากแข็ง ไม่ยอมรับพูดความจริงกับมันง่ายๆ ของแบบนี้ใครจะมาพูดกัน ยิ่งความสัมพันธ์ของผมกับเดียร์ไม่ได้เกิดขึ้นแบบปกติทั่วไป ผมเลยไม่สามารถจะพูดคุยกับมันได้
เลยกลายเป็นว่าอาทิตย์นี้ทั้งอาทิตย์ ถึงจะไม่มีเดียร์มาคอยทำให้ผมวุ่นวายใจ แต่ผมก็ยังต้องมานั่งครุ่นคิดด้วยเรื่องของเจ้าเด็กบ้านั่นจนได้ เวลาไปทำงาน ก็ต้องพยายามทำตัวให้เป็นปกติ เพราะดูเหมือนว่าเจ้าสันต์จะไม่ค่อยเชื่อเรื่องที่ผมพูดนัก

มันปักใจเต็มร้อยว่ามันไม่ได้โทรผิดแน่นอน เพราะเบอร์ที่โชว์ในมือถือของมันคือเบอร์ของผม เพียงแต่ว่าเมื่อผมไม่ยอมรับว่าใครคือบุคคลปริศนาที่มารับโทรศัพท์ผมเช้ามืดวันนั้น มันก็ไม่ซักถามกวนใจ แต่มันก็มีพูดเป็นนัยๆให้ผมรู้ว่ามันยินดีรับฟังความจริง ซึ่งผมก็ได้แต่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เหมือนเดิม

ใจนึกอยากจะให้เดียร์โทรมาหาเหลือเกิน จะได้พูดคุยกันให้รู้เรื่อง ผมเข้าใจว่าเดียร์คงหวังดีไม่อยากให้เสียงโทรศัพท์ดังกวนผม แต่การบอกว่าโทรผิด ก็ไม่ช่วยแก้สถานการณ์ให้ดีขึ้นเท่าไหร่

หลอกเจ้าศักดิ์ชายน่ะหลอกได้ แต่สำหรับคนขี้สงสัยแบบเจ้าสันต์นี่สิ ต้องหาเหตุผลที่ดีกว่านั้นมันจึงจะเชื่อ ที่จริงเขาไม่น่าจะรับโทรศัพท์ตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ แต่ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเด็กบ้านั่นจึงคิดไม่ได้ หรือว่าที่จริงผมอาจจะเข้าใจผิด
เดียร์อาจจะไม่ได้หวังดีต่อผม เขาอาจจะรับโทรศัพท์เจ้าสองคนนี่ ทันทีที่เห็นเบอร์โชว์ขึ้นมา เพื่อประกาศให้รู้กลายๆว่า ผมกับเขามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันเพียงไรตั้งใจทำ หรือ ไม่ คนที่ตอบได้คือเดียร์เท่านั้น


ในความวุ่นวาย ก็ยังพอจะมีอะไรดีๆอยู่บ้าง ตอนกลางสัปดาห์ เจ้านายก็ได้พาแขกรับเชิญพิเศษ ซึ่งไม่ได้มาในวันที่พวกเราไปทานอาหารกันมาแนะนำให้พวกเรารู้จัก

คุณแคทลียา สาวสวยลูกครึ่ง ไทย อเมริกัน วัย 25 ปี หลานสาวของประธานบริษัทได้ก้าวเข้ามาร่วมงานในแผนกของผม
เธอจบทางด้านคณิตศาสตร์ประกันภัยมาจากเมืองนอก และมีประสบการณ์การทำงานอยู่ที่ฝ่ายพิจารณารับประกันที่บริษัทประกันชีวิตในต่างประเทศมาปีหนึ่ง ก่อนจะกลับมาทำงานที่บริษัทของลุงของตนเอง

นัยว่าเพื่อที่จะนำความรู้ความสามารถที่ได้ร่ำเรียนมา และประสบการณ์การทำงานกับบริษัทเมืองนอกมาใช้ให้เกิดประโยชน์กับการประกันชีวิตในเมืองไทย
เธอเข้ามาทำงานในฐานะผู้ช่วยของผม โดยในระยะแรกเธอผมต้องเป็นผู้ประกบสอนเธอให้รู้เกี่ยวกับการพิจารณารับประกันในเมืองไทย เราเลยต้องอยู่ด้วยกันเกือบตลอดเวลา

ผมชอบ อัธยาสัย ของเธอมาก เธอเป็นคนตรงไปตรงมา คิดอย่างไรก็พูดไปอย่างนั้น ไม่อ้อมค้อม และมีความมั่นใจในตัวเองสูงมาก ท่าทางเธอดูนักเลง แต่ก็ดูจริงใจดี
ผมภาวนาให้เราทำงานเข้าขากัน อย่างน้อย มันก็เป็นการลดความอึดอัดของผมที่ต้องทำงานกับลูกหลานของคนในบริษัท แต่เธอก็ไม่ได้แสดงอำนาจบาตรใหญ่ ถือว่าเป็นลูกท่านหลานเธอแต่อย่างไร

ถ้าเธอเข้าใจอะไรผิด เธอก็ขอโทษ แล้วเธอก็เข้มแข็งพอที่จะไม่ถือเป็นอารมณ์ เมื่อโต้แย้งกันในเรื่องงาน ผมจึงรู้สึกชื่นชมเธอมาก
อย่างน้อยๆการทำงานกับคุณแคทลียาในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้จะเพียงแค่สองสามวัน มันก็ทำให้ผมรุ้สึกดี เธอช่วยปลุกให้ผมเกิดความกระตือรือร้นยิ่งขึ้นไปอีก และลืมเรื่องราวปวดหัวเกี่ยวกับเรื่องของเดียร์ไปเสียสิ้น ตราบจนกระทั่งวันสุดสัปดาห์มาเยือน................


anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่10 11/1/09
«ตอบ #79 เมื่อ11-01-2009 14:07:11 »

 o1 ขอบคุณสำหรับคอมเน้นท์นะฮ่ะ
+1 ให้ทุกคนเลย :3123:



มาแล้วจ้ามาแล้วนางอิจฉาร้อยๆจ้า :jul3:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-01-2009 14:09:28 โดย ไต๋ »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่10 11/1/09
« ตอบ #79 เมื่อ: 11-01-2009 14:07:11 »





ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่10 11/1/09
«ตอบ #80 เมื่อ11-01-2009 18:46:19 »

 :z1: :z1:

ออฟไลน์ the_pooh9

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 941
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-3
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่9 10/1/09
«ตอบ #81 เมื่อ12-01-2009 00:42:10 »

^

^

จิ้มthe_pooh9มั่ง

แอบจิ้มแนนมาหลายทู้แล้ว เอาคืน งุงิงุงิ


กรี๊ดดดดดดด ตอนนี้เรียกเลือด

แต่ตบด้วยจูบนี่น่าอิจฉาเรียวจัง

น่ารักมากนู๋เดียร์


ว้า เค้าอุตส่าห์ย่องมานะเนี่ย  :m32:งุงิงุงิ
เจอกันที่บ้าน เพราะรัก/ปรัชญานะนู๋แนน
จะไปปูเสื่อนอนรอใครบางคนไปอัพ :z1:

กรี๊ดดดดดดด ตอนนี้เรียกเลือด

แต่ตบด้วยจูบนี่น่าอิจฉาเรียวจัง

น่ารักมากนู๋เดียร์..เห็นด้วยก๊าบนู๋แนน
..จิงๆนะ ไต๋ฮับ +1 ขอบคุณนะที่ขยันๆๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-01-2009 00:57:14 โดย the_pooh9 »

nanalonely

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่9 10/1/09
«ตอบ #82 เมื่อ12-01-2009 01:32:09 »

อร้ายย ตัวร้ายออกแล้วเหรอ

อย่าร้ายมากนะ สงสารนู๋เดียร์

นี่ขนาดมาไม่กี่วันเรียวยังลืมเรื่องของเดียร์

โอ้ ม่ายยยยยยย ไม่อยากให้มีตัวร้ายย

นู๋เดียร์สู้ๆๆน๊า ^o^

ออฟไลน์ sukie_moo

  • ปัจจุบัน คือ อดีตของอนาคต
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-15
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่10 11/1/09
«ตอบ #83 เมื่อ12-01-2009 10:34:31 »

 :เฮ้อ: สงสารเดียร์จัง  เมื่อไหร่ความรักของเดียร์จะข้ามกำแพงของเรียวไปได้

 :z3: :z3: :z3:

anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่11 12/1/09
«ตอบ #84 เมื่อ12-01-2009 13:09:56 »

บทที่ 11



ผมสะดุ้งตกใจตื่นขึ้นมาในตอนเช้ามืดของวันเสาร์เมื่อได้ยินเสียงกริ่งหน้าบ้านดังรัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
วูบแรกผมนึกถึงเด็กบ้าที่ชอบกวนโทสะผมมาตลอด คิดว่าเขากลับมาแล้ว แต่ดูจากพฤติกรรมการกดรัวอย่างต่อเนื่อง ก็รู้ว่าไม่ใช่แน่ เพราะเดียร์จะไม่ทำแบบนั้น เพราะมันจะเป็นการรบกวนผมและเพื่อนข้างบ้าน
อีกอย่างเดียร์ก็บอกผมแล้วว่าเขาไปซ้อมเต้นและไปทัวร์คอนเสิร์ต จึงเป็นไปไม่ได้ ที่เขาจะอยู่ในกรุงเทพ ในเมื่อไม่ใช่เดียร์
คนที่กำลังก่อกวนการนอนหลับของผมและคนอื่นๆอยู่ในขณะนี้ ถ้าไม่ใช่พวกโรคจิตก็จะต้องเป็นคนที่กำลังเดือดร้อนอย่างที่สุดเป็นแน่

ด้วยความสงสัยทำให้ผมต้องรีบผลุนลันออกจากห้อง ลงไปเปิดประตูหน้าบ้าน เพื่อที่จะได้พบว่าไอ้คนที่ก่อกวนความสงบยามเช้าตรู่ของผม คือ เจ้าสันต์เพื่อนรักที่ตอนนี้เมาหยำเปจนสิ้นสภาพ

มันยืนโงนเงนอยู่ตรงประตูรั้วบ้านผม มือค้างอยู่ที่กริ่ง ส่วนอีกมือเกาะที่ประตูรั้วเพื่อพยุงตัวเองไว้ ทันทีที่มันเห็นผม มันก็ฉีกยิ้มกว้าง

“เฮ้ย เป็นบ้าอะไรวะสันต์ ถึงได้มากดกริ่งกวนชาวบ้านที่กำลังหลับกำลังนอนแต่เช้ามืดแบบนี้วะ รู้ไหมเนี่ย มันกี่โมงกี่ยามแล้ว ตีสี่โว้ย วันเสาร์ด้วย ฉันกำลังหลับสบายอยู่เลย”

ผมอดไม่ได้ที่จะต่อว่ามันด้วยความโมโห ดูสิ ผมอุตส่าห์รีบมาเปิดประตู นึกว่าใครกำลังต้องการความช่วยเหลือ ที่ไหนได้ กลับกลายเป็นเจ้าสันต์ที่กลายสภาพเป็นขวดเหล้าเดินได้

“โทษษษ.....ทีว่ะ เพิ่งง กลับมาจากเที่ยว ผาบ มานปิดแล้ววว แต่ยางม่ายอยากกลับบ้าน.... ม่ายรู้จาปายหนาย....ก้อ เลย ย ย ย มา หา นาย ย ย เนี่ย แหละ”

เจ้าสันต์พูดเสียงยานคาง ผมยืนมองมันตาขุ่น ยังไม่อยากเปิดประตูให้มัน นึกในใจว่า ไอ้เพื่อนเลวนี่มันไม่รับรู้บ้างเลยหรือไง ว่ามาสร้างความยุ่งยากให้คนอื่นแค่ไหน

ดีนะเนี่ยที่เป็นผม ซึ่งไม่อยากจะถือสาหาความเอากับมันเท่าไหร่ ถ้าเป็นเพื่อนคนอื่นเขาจะลงมาเปิดหรือเปล่ายังไม่รู้ กลางค่ำกลางคืนแบบนี้ไว้ใจกันได้ที่ไหน เกิดเป็นพวกประสงค์ร้าย เป็นขโมย เป็นโจรมาหลอกลวงเจ้าของบ้านแล้วจะทำอย่างไร

เมื่อกี้ผมก็รีบร้อนลงมาโดยขาดความระมัดระวังตัวด้วย โชคดีที่เป็นเจ้าสันต์ ไม่งั้นผมอาจจะถูกทำร้าย หรือโดนปล้นจากความอยากรู้อยากเห็นของผมก็ได้

“แล้วทำไมถึงไม่กลับบ้านกลับช่องไปเล่า มาหาฉัน เดี๋ยวนายก็ต้องกลับไปบ้านอยู่ดี”

“จายคอ จะคุยกานโดยย ม่าย เปิดปาตูรับช้านนนข้าววปาย หรือ งาย วะ ฉันมาวจะแย่อยู่แล้ววววววว ยุงก้อ กัดด้วยยยยย”

ขวดเหล้าเดินได้ ร้องทักท้วง เสียงอ้อแอ้ ผมมองดูสภาพเพื่อนรัก แล้วส่ายหน้า ทั้งโมโหทั้งสงสารมัน อยากแกล้งปล่อยให้ยืนตากยุงอยู่หน้าบ้าน โทษฐานที่มันมาปลุกขณะที่ผมกำลังพักผ่อนอยู่

แต่พอเห็นทาทางมันแล้วก็ทำไม่ลง จึงตัดสินใจเปิดประตูรับมันเข้ามา เจ้าสันต์เซแซ่ดๆเป็นนกปีกหัก ถ้าผมคว้ามันไม่ทัน มันต้องหัวโหม่งพื้นแน่ ผมเลยต้องเป็นภาระพามันเดินเข้าบ้าน
หลังจากประคับประคองมันไปนั่งตรงโซฟาได้ เจ้าสันต์ก็แหกปากร้องไห้คร่ำครวญเสียงดัง จนผมตกใจ ที่อยู่ๆมันก็ทำตัวเสียจริตได้ขนาดนั้น

“เฮ้ย ไรวะ เบาหน่อยสิ อยู่ๆก็แหกปากร้องขึ้นมา ปลุกฉันคนเดียวก็พอ ไม่ต้องปลุกคนอื่นให้ตื่นมาด้วยหรอก”

ผมร้องห้ามมันเสียงหลง มันช่วยทำให้เจ้าสันต์ลดเสียงลง แต่มันยังไม่ยอมหยุดร้องไห้ ผมนั่งมองเจ้าสันต์ที่ร้องห่มร้องไห้อย่างเงียบๆ ไม่กล้าแม้แต่จะพูดสั่งให้มันหยุดร้อง หรือปลอบใจมัน

คนเข้มแข็งอย่างเจ้าสันต์ ผ่านคืนวันอันแสนร้ายกาจมามาก แต่มันก็ไม่เคยท้อถอยหรือร้องไห้ให้ใครเห็น แต่การที่มันฟูมฟายกลายเป็นคนเจ้าน้ำตาแบบนี้ คงต้องมีเรื่องบางอย่างที่ทำให้มันทุกข์ใจอย่างมากเป็นแน่
ผมไม่รู้ว่ามันคือเรื่องอะไร ไม่อยากซักถามมันตอนนี้ รอให้มันสงบลงก่อน แล้วเล่าให้ผมฟังเองจะดีกว่า

“ฉันรู้แล้วเรียว.......น้องแซ่บบอกฉันหมดแล้ว บอกหมดเลยทุกสิ่งทุกอย่าง”

เพื่อนรักของผม พูดออกมาด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น ท่าทางมันเหมือนคนจะขาดใจตาย ผมนั่งมองมันตาปริบๆ รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
เจ้าสันต์คงไปเจอเด็กแซ่บตามที่ได้คุยกับผมไว้ และคงจะซักถามเอาความจริงจากแซ่บจนได้เรื่อง และคงจะเป็นสิ่งที่ทำให้มันเจ็บปวดไม่น้อย
ถึงแม้ว่าผมจะเคยคาดเดาเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ว่าเรื่องแบบนี้มันจะต้องเกิดขึ้นกับเจ้าสันต์สักวัน แต่เมื่อเห็นมันคร่ำครวญน่าเวทนา ผมก็เลยอดที่จะสงสารมันไม่ได้

“เขาบอกว่า เขาตกลงใจที่จะอยู่กินกับนายทรงพลแล้ว ที่ผ่านมา เขาบอกว่าเราสองคนไปกันไม่ได้เลย เขาพยายามแล้ว แต่ฉันไม่ใช่คนที่เขาต้องการ”

ถึงแม้มันจะพูดด้วยน้ำเสียงที่ขาดเป็นห้วงๆ แต่รวมความแล้ว มันต้องการจะสื่อสารให้ผมรู้อย่างนั้น

“เรียว......ฉันจะทำยังไงดี ฉันรักน้องแซ่บ ฉันขาดเขาไม่ได้”

อยู่ๆมันก็ถามผมขึ้นมา ผมมองหน้าที่เปรอะไปด้วยน้ำตาของมันแล้วต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ผมไม่ค่อยเข้าใจเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างชายกับชายนัก ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า

คนเป็นเกย์เวลาเลิกกันจะฟูมฟายได้ขนาดนี้ แต่เมื่อนึกเปรียบเทียบกับตัวเอง ตอนที่เลิกรากับเจนจิราว่าผมเจ็บปวดมากแค่ไหน ผมเลยพยายามเอาประสบการณ์ในตอนนั้นทำความเข้าใจในสิ่งที่เจ้าสันต์กำลังเผชิญอยู่

“แต่แซ่บเขาเลือกคนอื่นไปแล้ว เขาไม่ได้เลือกนาย ถึงร้องไห้ โวยวายไปก็ไม่เกิดประโยชน์ นายต้องทำใจสถานเดียว”

ผมไม่รู้ว่าจะปลอบใจอะไรมันได้มากกว่านี้ เลยพยายามที่จะให้มันยอมรับความเป็นจริง

“แล้วฉันมันไม่ดีตรงไหนวะ สู้ไอ้เฒ่านั่นตรงไหนไม่ได้บ้าง หน้าที่การงานฉันก็ดีกว่า หนุ่มกว่าด้วย อาจจะไม่รวยเท่า แต่ที่ผ่านมาน้องแซ่บไม่
เคยแสดงออกให้เห็นเลยนี่ว่าเป็นคนเห็นแก่เงิน แล้วทำไมเขาถึงไม่เลือกฉัน เรียว แกตอบฉันหน่อยสิ ฉันแย่ตรงไหน”


เจ้าสันต์ถามผมอย่างคาดคั้น ผมก้มหน้านิ่ง ไม่อยากตอบคำถามมัน ผมจะรู้ได้ไง ว่าเด็กนั่นคิดอะไร การที่เขาไม่แสดงออกว่าเขาเห็นแก่เงิน ก็อาจจะเป็นได้ว่า เด็กนั่นหยิ่งในศักดิ์ศรี หรือไม่ก็เป็นคนที่เก็บความละโมบในใจได้เก่งก็ได้

เรื่องเงินเรื่องทองผมไม่รู้ แต่สิ่งที่ผมเคยเห็นคือ เขาเป็นเด็กที่ไม่ซื่อสัตย์ การโอบกอด นัวเนียอยู่กับสุริยะวันนั้น และการที่เขายอมเป็นแฟนของคนที่แก่กว่าตัวเองไม่รู้จักกี่รอบ มันเหลือทางเลือกให้คิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย

แต่ก็นั่นแหละ ผมไม่อยากจะเข้าข้างเพื่อนตัวเองจนอคติแต่เด็กคนนั้น เขาอาจจะรักทรงพลจริงก็ได้ เจ้าเพื่อนผมมันก็มีข้อตำหนิอยู่หลายอย่าง ที่ร้ายแรงก็คือเรื่องความเจ้าชู้ มันคบกับแซ่บแต่มันยังไปมีอะไรกับแดนนี่และแมนอยู่เลย

ถึงแม้ทั้งคู่จะไม่ซื่อสัตย์ต่อกันเวลาที่อยู่ลับหลัง แต่ก็อาจจะอยากให้คนที่แฟนของตัวเองซื่อสัตย์ก็ได้ บางทีแซ่บอาจจะระแคะระคายเรื่องนี้ เลยเลิกกับมันเสียเลย

“เรียว....แกยังไม่ได้ตอบคำถามฉันเลยนะ”

ไอ้เพื่อนขี้เมาทวงคำถามจากผม

“ฉันไม่รู้ว่านายดีหรือไม่ดีตรงไหน ฉันเป็นเพื่อนนายมานาน เลยมองข้ามสิ่งเลวๆที่นายทำไว้ไปหมด เลยตอบไม่ได้ว่ะ แต่ถ้าจะให้คิดแทนเด็กแซ่บเพื่อหาคำตอบให้นาย

ฉันก็คงบอกได้แค่ว่า เรื่องของความรักมันฝืนใจกันไม่ได้ ไม่ใช่ว่าแค่มีความดี แล้วจะทำให้ได้คนรัก มันจำเป็นต้องมีส่วนประกอบอื่นๆด้วย ไม่เคยได้ยินเหรอ ที่คนเขาเลิกกันเพราะว่าอีกฝ่ายดีเกินไป

บางคนดีแต่อาจจะไม่เร้าใจ บางคนก็อาจจะร้ายจนเกินกว่าที่จะรัก มาตรฐานของแต่ละคนไม่เหมือนกันหรอก เอาเป็นว่า มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นแล้ว เด็กนั่นปฏิเสธนาย ก็แปลว่า ต้องมีอะไรที่เขาไม่ชอบ เขาเลยจากไปดีกว่า”

“แล้วมันคืออะไรล่ะ ฉันอยากรู้จะได้ปรับปรุงตัวเอง น้องแซ่บจะได้กลับมารักฉันอีก”

เจ้าสันต์ตีโพยตีพายต่อ

“ฉันว่าตอนนี้นายอย่าเพิ่งไปหาสาเหตุว่ามันเกิดจากอะไรเลยดีกว่า นายกำลังเมาอยู่ กำลังขาดสติ เอาไว้สร่างแล้วค่อยว่ากันอีกที สิ่งที่นายควรจะทำคือสงบอกสงบใจซะ
แล้วก็พักผ่อนให้มากๆ นอนที่โซฟานี้ก็ได้ ยังไม่ต้องกลับบ้านหรอก เดี๋ยวฉันจะหาหมอนกับผ้าห่มมาให้ แล้วก็หวังว่านายคงจะไม่อ้วกใส่ห้องรับแขกฉันจนเลอะเทอะหมดนะ”

“.....”

คนเมายังนั่งเซื่องซึมไม่รับรู้คำพูดแหย่เล่นของผม เห็นอาการมันเป็นอย่างนั้นผมก็ได้แต่อ่อนใจ ไม่รู้จะช่วยอะไรมันได้ คนมันเลิกรักกันไปแล้ว ถึงจะให้พยายามอย่างไรก็ไม่มีทางหวนคืน

ยิ่งคู่แข่งของเจ้าสันต์ มีอำนาจเงินตราที่พอจะทำให้แซ่บสุขสบายมากกว่า ยิ่งยากที่เด็กคนนั้นจะเปลี่ยนใจ ผมเคยผ่านช่วงเวลานั้นมาแล้ว การที่ต้องสูญเสียคนรักให้กับคนที่เขารวยและดีกว่าเรา

ถึงแม้จะปวดใจแค่ไหน แต่ก็ต้องพยายามทำใจให้ได้ ผมอยากจะให้เจ้าสันต์เข้มแข็งอย่างผมบ้าง มันจะได้ไม่ต้องเจ็บปวดไปมากกว่านี้
หลังจากเอาหมอนกับผ้าห่มมาให้เจ้าสันต์แล้ว ผมก็ขึ้นไปนอนบนห้อง อันที่จริงในบ้านของผมยังมีห้องว่างเหลืออยู่ที่แขกพอจะมาพักได้อีกตั้งสองห้อง แต่ผมไม่ได้ทำความสะอาดสักที
ห้องหนึ่งเป็นห้องเปล่า ไม่มีเฟอร์นิเจอร์อะไร ส่วนอีกห้องมีข้าวของวางเก็บไว้ระเกะระกะก็เลยต้องปิดเอาไว้ กอปร กับผมอยู่ตัวคนเดียว ไม่มีญาติที่ไหน

แถมเพื่อนๆก็ไม่ค่อยได้มาพักด้วย ผมจึงไม่ได้จัดเตรียมห้องนอนเอาไว้เผื่อใคร ดังนั้นเวลามีแขกมาฉุกเฉิน ผมก็จะให้นอนที่โซฟาในห้องรับแขกเป็นการชั่วคราวไปก่อนอย่างเช่นเดียร์และเจ้าสันต์
เอาไว้ผมมีเวลาว่างเมื่อไหร่ ผมจะทำความสะอาดเตรียมเอาไว้ แล้วให้เจ้าเด็กบ้านั่นนอนอีกห้องเวลามาที่บ้านหลังนี้ ส่วนอีกห้องก็เก็บไว้รับรองเพื่อนๆที่มากะทันหันแบบนี้

แต่ผมก็ไม่รู้ว่าในอนาคตข้างหน้านี้ บ้านของผม จะต้อนรับเพื่อนๆให้มานอนที่บ้านหรือเปล่า ยิ่งเดียร์ชอบมาที่บ้านผมและมานอนค้างบ่อยๆแบบนี้ ผมอาจจะไม่ให้ใครมาพักอีกเลยก็ได้
ขณะที่ผมกำลังจะเคลิ้มหลับ ก็ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้งด้วยเสียงเคาะประตูดังลั่น ผมงัวเงียเดินไปเปิดประตู เห็นเจ้าสันต์ยืนตาแดงก่ำอยู่หน้าห้อง

ผมมองดูสารรูปของเพื่อนรัก แล้วรู้สึกปลง สันต์ตอนนี้มีสภาพไม่ต่างจากไอ้ขี้เมาหยำเป เสื้อผ้าหลุดลุ่ยเหม็นคลุ้งด้วยกลิ่นเหล้า ผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้าหมองคล้ำเป็นมันแผล่บ

“มีอะไรหรือวะ ถึงมาปลุกฉันซ้ำสองแบบนี้”

ผมถามมันอย่างรู้สึกรำคาญ

“มากินเหล้าเป็นเพื่อนนน.......หน่อยดิ”

“อะไรวะ ก็กินมาแล้วไม่ใช่หรือไง ไปนอนได้แล้ว”

“นอนม่ายหลับ.......อยากเมา”

“พอเถอะ กินมาทั้งคืน แล้วนี่อีก ชั่วโมงเดียวก็เช้าแล้ว นอนพักซะบ้างเถอะ”

“เครียดว่ะ อยากกินเหล้าอีก แต่ม่ายอยากกินคนเดียววว อยากกให้ นายย....กินด้วยกัน”

“ไม่อ่ะ ฉันเลิกกินเหล้ามาตั้งนานแล้ว ไม่อยากหวนกลับไปเมาหยำเปเหมือนก่อนอีก นายก็ควรจะเลิกด้วยเหมือนกันนะ มันเป็นผลดีต่อนายเชื่อฉันสิ ตอนนี้นายไปนอนเถอะ อย่าฟุ้งซ่านเลย นายเมามากพอแล้วด้วย พรุ่งนี้ค่อยคุยกันดีไหม”

เจ้าสันต์อ้าปากจะทักท้วง แต่เมื่อเห็นผมไม่เอาด้วยกับมัน เพื่อนเก่าของผมก็ทำหน้าจ๋อย มันเดินโงนเงนลงบันไดไป
ผมมองตามคิดจะเข้าไปช่วยเหลือ แต่เมื่อเห็นว่ามันเกาะราวบันไดค่อยๆพยุงตัวเองลงไปได้อย่างปลอดภัย โดยไม่ล้มกลิ้งลงไปเสียก่อน ผมก็เลยหมดห่วง

ผมยืนมองเจ้าสันต์จากบันไดชั้นบน เห็นมันเดินไปล้มตัวลงนอนบนโซฟา ซักครู่เมื่อเห็นว่าเจ้าสันต์หลับไปแล้ว ผมก็เลยเดินเข้าห้อง เหลือบดูนาฬิกาตรงโต๊ะหัวนอน มันบอกเวลา ตีห้าครึ่งแล้ว
ผมอยากหลับต่อสักพัก ไม่ต้องกังวลเรื่องการตื่นสาย เพราะพรุ่งนี้เป็นวันหยุด ผมไม่ต้องเร่งรีบไปทำงานเหมือนเช่นทุกวัน ผมกะว่าจะตื่นสัก 10 โมง แล้วค่อยปลุกเจ้าสันต์ มันเมาเหล้าแบบนั้นคงไม่ตื่นขึ้นมาง่ายๆหรอก อย่างน้อยๆมันน่าจะตื่นสักเที่ยง ซึ่งก็ดีแล้วพักผ่อนบ้างจะได้รู้สึกดีขึ้น

แต่ผมคิดผิดไป คนอกหัก ซึ่งเพิ่งกินเหล้าเมามายเมื่อคืนกลับตื่นเช้าผิดปกติ ตอนที่ผมตื่นนอนตอน 10 โมงเช้า ตามนาฬิกาปลุกที่ตั้งไว้ ผมเห็นเจ้าสันต์มานั่งซึมอยู่บนที่นอนตรงที่ว่างข้างๆตัวผม
ตอนแรกผมตกใจนึกว่าผีมาหลอกกัน ทั้งที่ผมไม่ใช่คนกลัวผี แต่สภาพของเจ้าสันต์นั่นดูทรุดโทรมน่ากลัวเหลือเกิน ไม่น่าเชื่อว่าภายในชั่วคืน หนุ่มเจ้าสำอางอย่างมันจะกลายเป็นคนที่ดูสกปรกมอมแมมได้ถึงเพียงนี้

ความรักนี่มันช่างมีอานุภาพรุนแรงเสียเหลือเกิน มันทำให้คนที่เคยเห็นความรักเป็นเพียงเครื่องเล่น กลายมาเป็นคนที่ถูกความรักเล่นงานจนแทบเสียผู้เสียคน ผมไม่เคยเห็นเจ้าสันต์ตกอยู่ในสภาพแบบนี้มาก่อน พอมาได้เห็น ผมก็อดสังเวชมันไม่ได้

“เฮ้ย อยู่ๆขึ้นมาทำไมที่ห้องนอนฉันวะ เป็นไรหรือเปล่า”

“เหงา อยากมีเพื่อนว่ะ ตื่นเร็วๆสิ อยากคุยด้วย”

เสียงมันไม่อ้อแอ้แบบเมื่อคืน แสดงว่ามันอาจจะสร่างเมาบ้างแล้ว

“เดี๋ยวสิโว้ย คนเพิ่งตื่นนอน จะรีบคุยอะไรนักหนา ขอทำธุระส่วนตัวก่อน นายเอง ก็น่าจะไปอาบน้ำบ้างนะโว้ย สารรูปดูไม่ได้เลย เมื่อกี้ฉันตกใจแทบช๊อคแน่ะ ที่เห็นนายมานั่งก้มหน้าผมเผ้าปรกตาอยุ่ข้างเตียง นึกว่าผีหลอกซะแล้ว”

ผมไล่มันไปอาบน้ำอาบท่าที่ห้องน้ำข้างล่าง มันทำท่าจะไม่ไป แต่พอผมขู่ว่าผมจะไม่คุยกับมันด้วย มันก็รับคำอย่างเสียไม่ได้ ผมเอาเสื้อเชิ้ตแขนสั้นให้มันไปหนึ่งตัว เพื่อใส่เปลี่ยนกลับบ้าน

แต่ผมไม่ได้ให้กางเกงมันยืม เพราะมันตัวเตี้ยกว่าผม พอมันลงไปข้างล่าง ผมก็เข้าห้องอาบน้ำ ทำธุระส่วนตัวยามเช้าจนเสร็จสรรพ หลังจากแต่งตัวเสร็จ ลงไปข้างล่างก็เจอเจ้าสันต์ซึ่งอาบน้ำอาบท่าเรียบร้อยแล้ว นั่งซึมอยู่ที่โซฟาตัวเดิมที่มันนอนเมื่อคืน ท่าทางไม่เหมือนคนเมาแบบเมื่อคืน

คำพูดมากมายพรั่งพรูออกมาจากปากมัน แต่โชคดีที่ผมไม่ต้องทนเห็นน้ำตาของเจ้าสันต์อีกต่อไป มันคงร้องไห้มามากพอแล้ว และคงเริ่มที่จะปลงได้ จึงไม่ทำตัวฟูมฟายให้เป็นที่เวทนาแก่ใครต่อใครอีก
สันต์เล่าให้ผมฟังว่า หลังจากที่ไปกินอาหารค่ำวันนั้น มันก็พยายามโทรติดต่อแซ่บมาโดยตลอด แต่เด็กนั่นก็ไม่ยอมรับสาย อ้างโน่นอ้างนี่เรื่อยมา ไม่ว่างบ้าง ไม่สะดวกบ้าง งานเยอะบ้าง

ถามอะไรก็ไม่ยอมพูด บอกไว้วันหลังจะเล่าให้ฟัง จนกระทั่งเมื่อวานนี้ เจ้าสันต์มันนัดแซ่บอีก แต่แซ่บก็ไม่ยอมออกมาพบ มันทนไม่ไหวก็เลยสะกดรอยตามแซ่บไปจนเจอ และได้รู้ว่า แซ่บนัดกับคุณทรงพลไว้ ทั้งสองเกี่ยวก้อยกันกระหนุงกระหนิงไม่แคร์สายตาใคร
นายทรงพลพาแซ่บไปซื้อมือถือ ซื้อนาฬิกา สร้อยแหวน เครื่องประดับต่างๆ จากนั้นก็พากันไปซื้อรถ เด็กแซ่บท่าทางมีความสุขมาก ออดอ้อนฉอเลาะเฒ่าหัวงูนั่น ทำกริยาอาการแบบที่ไม่เคยทำกับเจ้าสันต์มาก่อน เพื่อนรักของผมเล่าให้ฟังว่า

มันต้องทนมองภาพความหวานชื่นของทั้งสองคน ด้วยดวงใจที่หม่นไหม้ทุกข์ระทม เจ้าสันต์ตามไปจนกระทั่ง แซ่บกับทรงพลแยกทางกัน มันถึงได้แสดงตัวต่อหน้าแซ่บ เด็กนั่นไม่มีทีท่าตกใจเท่าไหร่
พอเจ้าสันต์คาดคั้นถึงความสัมพันธ์ระหว่าง เขากับนายทรงพล แซ่บก็บอกกับเพื่อนผมว่า เขาจะใช้ชีวิตอยู่กับตาเฒ่านั่น และขอให้ลืมเรื่องราวของเขากับเจ้าสันต์เสีย

แค่นี้ เจ้าสันต์ก็สติแตก มันทั้งโกรธทั้งโมโหที่มันอุตส่าห์ทุ่มเทความรักให้กับแซ่บอย่างมากมาย หวังจะชุบเลี้ยงพนักงานเสิร์ฟในร้านอาหารขึ้นมาอยู่กินด้วยกันอย่างมีความสุข แต่แซ่บก็ดันมาทรยศหักหลังกันอย่างง่ายๆด้วยการเลือกที่จะมีความสุขกับคนที่ถึงพร้อมไปด้วยลาภยศเงินทอง

ความโกรธเกรี้ยว ทำให้เจ้าสันต์เผลอลงมือทำร้ายเด็กแซ่บนั้น ทำให้เด็กแซ่บโกรธ ประกาศตัดเป็นตัดตายกับเพื่อนผม ไม่ต้องมาเจอหน้ากันอีกต่อไป

จากนั้นเด็กแซ่บก็จากไปทิ้งให้เพื่อนผมจมอยู่กับความทุกข์ใจแสนสาหัส ทุกข์ที่เสียคนรัก และทุกข์จากการทำร้ายคนที่เปรียบเสมือนหัวใจของตนเอง เมื่อไม่มีทางออกให้กับตัวเอง มันก็เลยเข้าผับเข้าบาร์ กินเหล้า เพื่อทำให้ลืมเด็กนั่น แต่ยิ่งกิน มันกลับยิ่งจำ ไม่อาจจะสลัดภาพแต่หนหลังออกไปจากใจได้เลย

ผมนั่งนิ่งฟังเจ้าสันต์พูดด้วยความรู้สึกหลากหลาย สงสาร และ เห็นใจ แต่ก็ไม่รู้จะช่วยอะไรมันได้ สิ่งที่เพื่อนรักของผมเล่ายิ่งตอกย้ำความรู้สึกของผมเข้าไปใหญ่ ว่าเกย์ไม่มีรักแท้ เพราะในท้ายที่สุด ทุกอย่างต้องจบลงด้วยการเลิกรากันเสมอ
ผมนึกย้อนถึงตัวเองกับเดียร์ เราผูกพันกันด้วยพันสัญญา ในวันหนึ่งข้างหน้าเราต้องแยกจากกัน และผมคิดว่า ผมคงไม่มีวันที่จะฟูมฟายร้องไห้ เหมือนอย่างที่เจ้าสันต์เป็น

“ฉันคิดว่า นายควรจะทำใจยอมรับมันให้ได้ และรีบลืมเด็กคนนั้นซะ ยังมีคนดีๆอีกมากมายที่รอนายอยู่ สำหรับเด็กคนนี้ เขากับนายคงไม่มีวาสนาต่อกันแล้ว คิดไปก็ป่วยการว่ะ”

สำหรับผมแล้ว ให้มันได้แค่นี้แหละ คำปลอบโยนของเพื่อนที่หวังดีคนหนึ่ง

“แกไม่มีวันเข้าใจหรอก คนหน้าตาดีอย่างแก เลิกกับใคร ก็สามารถหาคนใหม่มาได้อย่างรวดเร็ว ไม่เหมือนฉัน กว่าจะหาคนถูกใจได้สักคนก็ต้องใช้เวลา พอเจอแล้ว ทำให้เขารักก็แสนยาก แล้วเขาก็มาจากไปอีก กลุ้มโว้ย”

เจ้าสันต์เริ่มจะตีโพยตีพายขึ้นมาอีก

“เออว่ะ พูดอยู่ได้ บอกแล้วไง ฉันก็ไม่ได้วิเศษกว่านาย ตอนนี้ฉันยังโสดอยู่เลย”

“แต่กำลังจะไม่โสด”

“พูดไรของนาย”

ชักเริ่มงงคำพูดของไอ้หมอนี่แล้ว ดูมันมีเลศนัยเหลือเกิน

“อย่ามาทำเป็นไขสือเลย ........นึกว่าไม่มีใครรู้ใครเห็นหรือไงวะ”

“พูดมาดีกว่า อย่ามาอ้อมค้อม น่ารำคาญว่ะ รู้อะไรก็บอกมา สิ่งที่รู้อาจจะเข้าใจคลาดเคลื่อนไม่ถูกต้องก็ได้”

“ก็นายกับคุณแคทลียาสุดสวยนั่นไง”

“เฮ้ย ไอ้บ้า.......ใครเขาคิดแบบนั้นกันวะ”

ผมร้องด่ามัน แต่ในใจแอบโล่ง ที่เรื่องที่มันจะพูดไม่มีอะไรเกี่ยวข้องระหว่างผมกับเดียร์

“เกือบทุกคนที่รู้จักแก”

“บ้าน่า ........รู้จักกันยังไม่ทันถึงอาทิตย์นี่จับฉันกับเขาเข้าคู่กันแล้วหรือวะ”

“ไม่รู้ เขาเห็นแกกับแม่แหม่มสาวสวยนั่น เข้ากันได้ดี แล้วนายกับเขาก็ทั้งสวยทั้งหล่อด้วย เหมาะสมกันจะตาย เวลาไปไหนคู่กันอย่างกับกิ่งทองใบหยก มีบางคนเชียร์ให้นายกับคุณแคทลียาเป็นแฟนกันแล้วด้วย”

สิ่งที่ผมได้ยินได้ฟังจากปากเจ้าสันต์มันอดทำให้ผมนึกประหลาดใจไม่ได้ นี่ผมกลายเป็นหัวข้อสนทนาของใครต่อใครไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมใครต่อใครถึงชอบจับให้ผมเป็นแฟนกับคนโน้นคนนี้กันนัก หรือว่าเห็นว่าผมโสด ก็เลยทุกข์ทรมานแทนผม ทั้งๆที่ผมแทบไม่รู้สึกอะไรเลย

“ไม่ดีหรือไง เขาก็น่ารักดีนะ สวยกว่า ฉลาดกว่า และท่าทางนิสัยดีกว่าแม่อรจิราตั้งเยอะ หากนายได้เป็นแฟนกับคุณแคทลียา นายก็ลืมแม่อรนั่นไปได้เลย”

ดีจริงเหรอ .....ผมเองก็ไม่แน่ใจ ตอนนี้ผมเองยังตอบไม่ได้ว่าผมต้องการอะไรกันแน่ ผมไม่ได้รักอรจิราอีกแล้ว เพียงแต่ที่ผมยังรู้สึกเจ็บปวด มาจากการที่เธอมักจะมองผมด้วยสายตารังเกียจเหมือนกับผมเป็นตัวอะไรตัวหนึ่งที่ไร้ค่า

ทั้งที่เราเคยรักกันอย่างหวานซึ้งมาก่อน ตอนนี้หัวใจของผมก็ยังไม่มีใครมาครอบครอง อาจจะมีวูบวาบหวั่นไหวไปบ้าง ยามที่เดียร์อยู่ใกล้ แต่ผมก็สั่งใจตัวเองไว้แล้ว ว่าห้ามรักเขา เพราะผมไม่อาจจะฝืนใจยอมรับการใช้ชีวิตคู่ร่วมกันระหว่างชายกับชายได้
สำหรับแคทลียา ผมไม่ได้มีความรู้สึกชอบพอเธอฉันท์ชู้สาวเลยแม้แต่น้อย ผมอาจจะชื่นชมความสวย และความเก่งของเธอ แต่เรารู้จักกันไม่มากพอที่จะปักใจรักใคร่ในตัวเธอ

แล้วผมก็ไม่อยากใช้เธอเป็นเครื่องมือรักษาแผลใจ หรือ เป็นเกราะกำบังไม่ให้ใครต่อใครนินทาว่าร้ายผม มันไม่ยุติธรรมกับเธอ หากใครสักคนจะมาสนใจเธอแค่เหตุผลเหล่านั้น



anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่11 12/1/09
«ตอบ #85 เมื่อ12-01-2009 13:10:39 »

“อาจจะก็ได้.......แต่ตอนนี้ฉันยังไม่คิดอะไรทั้งนั้นแหละ”

“ไม่คิดนี่เพราะเข็ด หรือ เพราะว่ามีคนอื่นที่นายรักมากกว่าอยู่แล้ว”

เจ้าสันต์จับจ้องมองผมอย่างค้นหาคำตอบ ผมสบตาที่แดงก่ำของมัน พยายามที่จะไม่หลบ กลัวจะมีพิรุธ แต่ก็รู้ว่าหน้าตัวเองเปลี่ยนสีไปนิดหนึ่ง อย่างคนที่กำลังร้อนตัว

“พูดไรวะ ฉันไม่มีใครทั้งนั้นแหละ”

“แล้วพ่อครัวรูปหล่อคนนั้นล่ะ”

“พูดถึงใคร”

ผมแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจ ย้อนถามมัน

“หนูเดียร์นั่นไง”

“จะบ้าหรือไง นั่นผู้ชายนะโว้ย คิดได้ไงวะ ว่าฉันจะชอบผู้ชาย ฉันไม่ใช่นายนี่หว่า”

“ก่อนนั้นไม่ชอบ ตอนนี้อาจจะชอบก็ได้ เจ้าหนูนั่นน่ารักออก หน้าตาหล่อ หุ่นก็ดี ทำอาหารก็อร่อย ท่าทางจะขี้อ้อน ฉันสบตาเจ้าเด็กนั่น บางทีก็ยังหลงเลย เพียงแต่ไม่อยากจะฟันดาบกับเจ้าเด็กนั่นเท่านั้นเอง”

“อะไรคือการฟันดาบวะ”

ศัพท์แปลกๆของเจ้าสันต์เล่นเอาผมงง คนที่เพิ่งสร้างเมา ถอนหายใจ

“ผู้ช๊ายย ผู้ชายจริงนายนี่ ฟันดาบ ก็คือ เกย์ที่เป็นรุกทั้งคู่ไงโว้ย คือเป็นฝ่ายทำ ไม่ใช่ฝ่ายถูกทำอ่ะ มีอะไรกันแค่ภายนอก แต่ไม่ล่วงล้ำ ฉันไม่ชอบว่ะ ชอบขุดทองมากกว่า”

เอาอีกแล้ว ไอ้ศัพท์บ้าๆที่ผมไม่เข้าใจมาอีกแล้ว ทีนี้มันคืออะไรอีกล่ะ มันเห็นผมทำหน้างงๆมันก็เลยหัวเราะ

“เรียว..นายนี่มันใสซื่อจริง เรื่องแบบนี้ก็ไม่รู้ น่าเอ็นดูจริงๆว่ะ ไอ้คำว่าขุดทอง ก็คือ มีฝ่ายหนึ่งเป็นรุก ฝ่ายหนึ่งเป็นรับ ฝ่ายรุกก็มีเสียม ฝ่ายรับก็มีบ่อทอง ก็ขุดบ่อไง
บางทีขุดไปก็เจอทอง บางทีก็ไม่เจอทอง ฉันไม่ชอบเจอทองหรอกว่ะ แต่ถ้ามันสุดวิสัยจริงๆ เป็นทองของคนที่เรารักก็โอเคนะ สำหรับคนรักของเรา ทำอะไร ก็อภัยให้ได้เสมอ”

เล่นพูดซะเห็นภาพแบบนี้ เลยเดาได้เลยว่าหมายถึงอะไร ผมหน้าแดงก่ำเมื่อนึกไปถึงตอนที่มีอะไรกันกับเดียร์
ผมทำอะไรขายหน้าแบบนั้นบ้างหรือเปล่า ไม่เห็นเดียร์พูดบ่นอะไรเลย ชมแต่ว่าร่างกายผมสะอาดสะอ้าน หวังว่าคงไม่เคยนะ หากผมเกิดเคยแถมทองให้เดียร์ขึ้นมา แล้วเขาเอามาล้อ ผมคงต้องแทรกแผ่นดินหนีแน่เลย

“เจ้าเด็กนั่น ท่าทางจะมีเสียมใหญ่พอตัว สงสารหลุมที่เขาต้องขุดจัง ถ้าเป็นหลุมใหม่ๆที่ยังไม่เคยขุดมาก่อน คงจะเจ็บแย่แน่เลย”

คำพุดของไอ้เพื่อนบ้า เล่นเอาผมตัวร้อนวาบ เกร็งก้นขึ้นมาซะเฉยๆ ผมผลุดลุกขึ้นจากโซฟา ด่ามันเสียงดังลั่น

“ไอ้บ้า พูดอะไรวะ ลามกมากนะเอ็ง ยิ่งพูดยิ่งชวนอ้วก เมาแล้วอุบาทว์นี่หว่า”

“จะโวยวายไปทำไมวะ ฉันก็แค่พูดถึงสิ่งที่เราใช้เรียกกันในหมู่เกย์ นายศึกษาไว้ก็ได้นี่นาไม่เห็นจะต้องมาทำรังเกียจเลย”

“ก็แล้วทำไมฉันจะต้องมาศึกษาเรื่องพรรค์นี้ด้วยวะ”

“ย้อนไปคำถามแรกที่ฉันถามนายสิ นายกำลังมีอะไรที่ลึกซึ้งกับเด็กเดียร์นั่นหรือเปล่า”

เจ้าสันต์ตั้งคำถามที่จี้ใจดำผมมาก เล่นเอาผมอึ้งไปหลายวินาที

“ฉันไม่มีอะไรกับเด็กนั่น”

“จริงเหรอ”

มันยังทำท่าไม่เชื่อในสิ่งที่ผมพูด

“ฉันจะโกหกนายไปทำไม”

“บางทีนายอาจจะไม่อยากให้ใครรู้ก็ได้ แต่ฉันเป็นเพื่อนนาย ฉันยินดีรับฟังทุกอย่าง และพร้อมที่จะให้คำแนะนำกับนายด้วย”

“ยืนยันอีกครั้งว่าฉันไม่มีอะไรกับเด็กนั่น”
“แล้วทำไมนายต้องมีรูปนายเดียร์ในห้องของนายด้วย ไม่ใช่แค่รูปเดียว แต่หลายรูปด้วย ทั้งบนโต๊ะหัวเตียง หน้ากระจกโต๊ะแต่งตัว ตรงประตูตู้เสื้อผ้าอีกด้วย
คนเราถ้าไม่มีอะไรกัน ไม่ได้คิดอะไรกับใคร ทำไมจะต้องเก็บสิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของเขาไว้ด้วย นายอย่าบอกฉันนะว่า นายไม่รู้ว่าในห้องนายมีรูปพวกนี้”

เหมือนถูกปืนยิงตัดขั้วหัวใจ ทำให้ผมชะงักงัน คำถามของมันเล่นเอาผมเหงื่อตก หายใจไม่ทั่วท้อง ด้วยกลัวว่าความลับเรื่องผมกับเดียร์จะถูกเปิดเผย

ไอ้เพื่อนเลว คงอาศัยช่วงจังหวะที่ขึ้นไปบนห้องของผมสำรวจไปทั่ว ตอนที่ผมกำลังหลับอยู่ และได้เห็นภาพเดียร์ที่อยู่ในห้อง มันยังไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่างผมกับเดียร์

ตอนนี้มันแค่สงสัยเท่านั้น ว่าเราสองคนเป็นอะไรกัน และมันก็ไม่รั้งรอที่จะรีดคำตอบจากผม แต่มีหรือที่ผมจะยอมรับสารภาพ เรื่องแบบนี้จะบอกให้ใครรู้ได้ไง มันไม่ใช่เรื่องที่ควรจะป่าวประกาศสักหน่อย

“ไม่ใช่อย่างที่นายเข้าใจแล้วกัน”

ผมทำเป็นว่าไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร

“ใจคอจะไม่บอกเพื่อนหรือไงวะ ไม่ไว้ใจฉันเหรอ”

เจ้าสันต์ทำเป็นฉุน ผมส่ายหน้า พยายามทำใจเย็น ไม่โมโหตามมัน ทั้งๆที่ในใจนึกโกรธ เจ้าสันต์ที่มันสาระแนอยากรู้อยากเห็นเรื่องของผมนัก ถึงขนาดขึ้นไปสำรวจห้อง เพื่อจะจับผิด

แต่ผมก็ไม่อาจจะแสดงอารมณ์ออกมาได้ เพราะบางทีสันต์มันอาจจะไม่ได้ตั้งใจก็ได้ มันอาจจะนอนไม่หลับอย่างที่มันบอก และขี้นไปหาผมที่ห้อง แล้วก็เจอเข้าพอดี เพราะผมเองก็สะเพร่า ไม่ได้เก็บรูปทิ้ง เนื่องจากไม่คิดว่าจะมีใครก้าวล้ำเข้ามาในห้องส่วนตัวของผมนั่นเอง
อีกอย่างในเมื่อผมบอกว่าผมไม่มีอะไรกับเดียร์ หากผมยังโวยวายด่าว่ามัน ก็อาจจะดูเหมือนว่าผมกำลังร้อนตัว หรือปกปิดความลับบางอย่างไว้ก็ได้

การนิ่งเงียบ จะทำให้เจ้าสันต์ค่อยๆเลิกคิดไปเองว่าผมกับเดียร์มีอะไรกัน และต่อจากนี้ผมคงต้องระวังตัวมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมแล้ว รูปนี่ก็คงจะต้องเอาออกให้หมด เกิดใครมาเจอเข้าแบบวันนี้อีก สักวันสิ่งที่ผมปกปิด ต้องถูกคนล่วงรู้เข้าจนได้

“ไม่ใช่ไม่ไว้ใจ แต่ฉันไม่มีเรื่องอะไรที่ปกปิดนายต่างหาก บอกว่าฉันไม่ได้เป็นอะไรกับเดียร์ก็เชื่อกันบ้างสิ สิ่งที่นายเห็นน่ะ มันไม่ได้เป็นอย่างที่นายคิดหรอก ฉันบอกอะไรนายไม่ได้มากกว่านี้
แต่ฉันไม่ได้คิดอะไรกับเด็กนั่นแน่นอน นายก็รู้ฉันไม่ได้รังเกียจผู้ชายสีรุ้งอย่างพวกนาย แต่ฉันก็ไม่ชอบความสัมพันธ์แบบนี้ ชายจริงหญิงแท้ คือ สิ่งที่ฉันชอบมาตลอด นายคงเข้าใจ”

ผมพูดความจริงในเรื่องที่เป็นความรู้สึกของตัวเอง แต่ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ผมโกหกเจ้าสันต์ทั้งหมด ทั้งนี้ก็เพื่อให้เจ้าสันต์ไม่หวาดระแวงในตัวผม

“ทำไมถึงพูดไม่ได้วะ ถ้านายชอบเดียร์ก็บอกมาเถอะ ฉันไม่ได้ว่าอะไรนายหรอก ไม่รังเกียจนายด้วย”

“ก็ไม่ได้ชอบแบบนั้น”
“นายไม่ชอบ แต่เด็กนั่นชอบนายใช่ไหม มองตาก็รู้”

“เรื่องนี้ฉันตอบนายไม่ได้ เพราะฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ช่างเถอะ ถึงยังไง เรื่องของฉัน ก็ไม่ใช่เรื่องที่นายกังวลใจอยู่ในตอนนี้ไม่ใช่เหรอ เมื่อกี้เราพูดเรื่องอะไรกันอยู่วะ
ทำไมถึงวกมาเป็นเรื่องฉันได้ อ้อ เรื่องที่ฉันบอกให้นายทำใจยอมรับการเลิกรากับน้องแซ่บนั่นเอง เชื่อฉันเถอะวะเพื่อน นายเป็นคนดี และทุ่มเทให้กับความรัก นายต้องเจอใครที่ดีกว่าแซ่บแน่นอน”

“ฉันก็หวังว่าอย่างนั้นนะ”

ในที่สุดผมก็เปลี่ยนเรื่องได้สำเร็จ เจ้าสันต์หันมาให้ความสนใจเรื่องของตัวเองอีกครั้ง ผมลอบถอนหายใจด้วยความล่วงอกที่ไม่ต้องพูดเรื่องของตัวเองอีกต่อไป เพื่อนผมคนนี้เป็นคนฉลาด
ถ้าหากมันอยากจะรู้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องผมจริงๆ มันก็สามารถที่จะหาวิธีไปสืบรู้มาจนได้ คนที่เคยทำงานฝ่ายตรวจสอบมาก่อนอย่างเจ้าสันต์ ถนัดในเรื่องหาข้อเท็จจริงอยู่แล้ว ขืนยังอยู่กับมันในประเด็นนี้ มันต้องทำให้ผมคายความลับออกมาได้อย่างแน่นอน

“เรียว.......ถ้าหากว่าฉันลืมเขาไม่ได้ จะทำยังไงดีวะ”

เสียงที่ถามผม เต็มไปด้วยความเครียด ผมมองหน้าเศร้าๆของเจ้าสันต์แล้วเกิดความสงสารมันจับใจ ทำไมเพื่อนผมจึงยอมให้ความรักมามีอิทธิพลกับตัวเองมากมายขนาดนี้นะ
ผมเคยเผชิญเรื่องแบบนี้มาก่อน ผมรู้ว่ามันเจ็บมาก กว่าที่เราจะลืมคนที่เคยรักมันต้องอาศัยเวลาคอยเยียวยารักษาแผลใจ ผมอยากให้มันเลิกบ้า แล้วกลับมาเป็นคนเดิมเร็วๆ

“นายต้องทำได้สิวะ ฉันเชื่อมั่นในตัวนาย ระหว่างนี้นายต้องเลิกคิดถึงเขา แล้วก็เปิดใจให้กว้างยอมรับคนใหม่ๆเข้ามา แดนนี่กับแมนล่ะ สองคนนี้ไม่มีใครที่สามารถผูกใจนายได้เลยหรือ”

“สองคนนั่นก็น่ารักดี แต่ฉันชอบแซ่บมากกว่า เรียว.......ฉันเจ็บมากนะ ที่ต้องจากกันแบบนี้ คงอีกนานกว่าฉันจะทำใจได้ ช่วงนี้ฉันต้องการกำลังใจเหลือเกิน นายจะอยู่เป็นเพื่อนฉันได้ไหมวะ อย่าทิ้งฉันไปอีกคนนะ”

“เออว่ะแกเป็นเพื่อนฉัน จะทิ้งแกไปได้ไง”

ผมหมายความตามนั้นจริงๆ ตอนที่ผมเลิกรากับอรจิรา ก็ได้เจ้าสันต์นี่แหละเป็นเพื่อนปลอบใจ ไปไหนไปด้วย เวลาผมเมามาย มันก็อยู่ดูแลตลอดเวลา คราวนี้ถึงตามันบ้าง ผมต้องทำหน้าที่เพื่อนที่ดีในการอยู่เคียงข้างมัน

“ขอบใจว่ะ ว่าแต่ฉันจะไม่โดนเด็กนั่นเข้าใจผิดนะ”

“หมายถึงเดียร์น่ะเหรอ บอกว่าไม่มีไรกันก็ไม่มีสิวะ”

อย่างที่นึกไว้ไม่มีผิด เจ้าสันต์ไม่ยอมเชื่ออะไรง่ายๆ มันคงปักใจเชื่อเสียแล้วว่าผมกับเดียร์ต้องมีความสัมพัน์ที่ลึกซึ้งต่อกันอย่างแน่นอน

“ให้มันจริงเถอะวะเรียว ฉันเองก็หวังดีต่อนาย เหมือนที่นายหวังดีต่อฉัน อยากเห็นนายมีความสุข เจอคนที่รักและดีต่อนายจริงๆ ไม่ว่าเขาจะเป็นหญิงหรือชายฉันรับได้ทั้งนั้น”

“รับรองคนที่ฉันจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยต้องเป็นผู้หญิงเท่านั้น”

“ก็ดี เพราะตอนนี้มันมีข่าวลือเกี่ยวกับตัวนายอยู่เหมือนกัน”

คำพูดของเจ้าสันต์ทำให้ผมหูผึ่ง

“ข่าวลือเรื่องอะไร”

“เขาลือกันว่า นายกำลังคบกับผู้ชายด้วยกัน”

“ใครเอามาพูด”

ความตกใจต่อสิ่งที่ได้ยินทำให้ผมเผลอตัวพูดเกือบเป็นตะคอกใส่เจ้าสันต์

“อย่ารู้เลย เอาเป็นว่า มีคนซุบซิบกันนะ เขาอ้างว่ามีคนเห็นนายกับผู้ชายหนุ่มคนหนึ่งไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยมาก นายเคยให้เด็กนั่นขึ้นมาหาที่ทำงานตอนกลางคืนใช่หรือเปล่าวะ
รูปพรรณสัณฐานของคนที่นายคบอยู่นะ มันตรงกับน้องเดียร์สุดหล่อเป๊ะเลย ฉันถึงสงสัยไงล่ะ ว่าทำไมนายถึงมีรูปเดียร์ในห้องด้วย”

ในที่สุดผมก็รู้แล้ว ว่าต้นตอของเรื่องทั้งมวลมาจากไหน มีคนที่ทำงานในบริษัทนี้เพียงไม่กี่คนที่เคยเห็นผมไปไหนมาไหนกับเดียร์ เท่าที่ผมจำได้มีแค่ อรจิรากับคุณอนันต์ นายสุริยะ เจ้าสันต์ และยามที่เปิดประตูให้เดียร์เข้ามาหาผมคืนนั้น
ข่าวลือที่เกิดขึ้น น่าจะออกมาจากปากของคนเหล่านี้ ผมตัดเจ้าสันต์ออกไป เพราะมันไม่เคยนินทาว่าร้ายผมกับคนอื่นๆ และที่ผ่านมา มันจะมาถามผมด้วยตนเองทุกครั้ง ผมไม่โกรธเจ้าสันต์ที่เอาเรื่องนี้มาบอก แต่ไม่พอใจที่มีคนเอาเรื่องที่ไปเจอผมกับเดียร์มาพูดคุยวิพากษวิจารณ์กันอย่างสนุกสนาน

“ช่างนินทา สอดรู้สอดเห็นเรื่องของคนอื่นกันจริงนะ ไม่รู้อะไรเลยก็เอาไปพูดกันเป็นตุเป็นตะ แย่มาก”

“ถ้านายอยากระบายก็บอกฉันมาได้เลยนะเพื่อน ฉันยินดีรับฟัง”

เจ้าสันต์ยังย้ำคำเดิม แต่ผมก็ยังคงยืนกรานกระต่ายขาเดียวไม่ยอมรับ

“ไม่มีอะไรจะพูด หรือระบายทั้งนั้นแหละ”

ผมบอกมันไปอย่างฉุนๆ เจ้าสันต์มองหน้าผมอย่างผิดหวัง มันพยายามอย่างยิ่งที่จะให้ผมพูดคุยกับมันอย่างเปิดอก แต่เมินเสียเถอะ
ถ้าเรื่องอื่นผมอาจจะคุย สำหรับเรื่องนี้ ปล่อยให้มันเป็นความลับระหว่างผมกับเดียร์ก็พอ ใครจะเห็นจะพูดอย่างไรก็ไม่อยากไปแก้ข่าว
เดื๋ยวคนจะหาว่าผมแก้ตัว แล้วคอยจ้องจับผิดผมมากขึ้น อีกไม่นานก็จะครบ หกเดือนตามสัญญา เรื่องราวทุกอย่างก็คงจบลง ผมก็พ้นข้อครหาไปทุกอย่าง เดียร์จะหายไปจากชีวิตผม และความสงบสุขก็จะกลับมาสู่ผมดังเดิม


anna1234

  • บุคคลทั่วไป
เป็นรูปในจิตนาการพี่เคทนะฮ่ะ อิอิ :haun4:



ออฟไลน์ sukie_moo

  • ปัจจุบัน คือ อดีตของอนาคต
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-15
 :haun4: เดียร์ในจินตนาการของพี่เคท น่าเซ็กซี่จริงๆ

แต่น้องเดียร์ในจินตนาการของเรา   ใสกว่านี้อ่ะ แหะๆ

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
 :haun4: :haun4: :haun4:



ทามมาย เดียร์ 



ผม ม่ะ ค่อย หยิก เรยยย



แต่ โดย รวม ก็ โอ น่ะ


อิอิ

dokjarn

  • บุคคลทั่วไป
:pighaun: :jul1: :pighaun:

 :oo1:

คุณ..ไต๋....อ่านตอนแรกๆ ช่วยด้วย  ..

เราเกือบตายเพราะความ..น่ารัก..ของเรื่องนี้แล้วอ่ะ

ยังตามไม่ทันเดี๋ยวกลับไปตามต่อที่บ้าน อิ อิ

แต่จิ้ม + ให้คนโพสแล้วอ่ะ  ขยันมากมาย

คนเขียน คุณเคทก็ช่าง แต่งได้สุดๆ...จริง

เรื่องนี้เข้าใจว่าจะถูกเล่าขานไปอีกนาน

ขอบคุณทั้งคนโพส  คนแต่งเน้อ

 :z10:  :pig4: :pig4::z10:


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด