My First Boyfriend Part 3:By Katesnk
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: My First Boyfriend Part 3:By Katesnk  (อ่าน 172316 ครั้ง)

ออฟไลน์ Ak@tsuKII

  • Honeymoon
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3845
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-3
 :pighaun:   >>  ขอสำรองเลือดด่วน

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
 :z1: :z1: น่ากิน เอ้ย น่ารักอ่ะ  :haun4:

ออฟไลน์ the_pooh9

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 941
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-3
 :z1: :pighaun: :m25: :jul1: :haun4:
ฉกนู๋เดียร์ กลับมาบ้านซะดีมะเนี่ย Sexy ซะจิ้ง

ป.ล.+1 :pig4:

anna1234

  • บุคคลทั่วไป
บทที่ 12


เพราะไปรับปากว่าจะอยู่เป็นเพื่อนมันไปจนกว่าจะหายโศกเศร้า ทำให้ผมต้องยอมตามใจมันด้วยการมาเที่ยวผับที่สีลมซอยสองกับมันอีกครั้ง
เจ้าสันต์กลับบ้านไปหลังจากมาขลุกอยู่ที่บ้านผมจนถึงบ่าย แต่แล้วมันก็โทรชวนผมออกไปด้วยกันกับมันอีก บอกว่าอยากกินเหล้า มันอยู่คนเดียวไม่ได้ ฟุ้งซ่าน

ผมชวนให้มันไปนั่งที่อื่น มันก็ไม่ไป มันบอกว่า ตรงนี้เป็นแหล่งทำมาหากินของมันบางที มันอาจจะเจอใครบางคนที่สามารถทำให้มันลืมแซ่บได้

วันนี้ผมไม่เจอสองหนุ่ม แมนกับแดนนี เพราะเจ้าสันต์บอกว่า สองคนนี้ติดธุระทั้งคู่เลย ซึ่งก็ดีเหมือนกัน เพราะมันเองก็ไม่อยากเจออดีตคู่ขาของมันสักเท่าไหร่ มันบอกผมว่ามันเบื่อที่จะผูกพันกับใครบางคนแค่เรื่องของเซ็กส์ ณ ตอนนี้มันอยากจะหารักแท้เท่านั้น
การไปสีลมคราวนี้ มีเรื่องที่ทำให้ผมแปลกใจหลายเรื่อง อย่างแรกเลย คือผมเจอกับคนสองคนซึ่งตรงรี่เข้ามาทักทายผมอย่างเป็นกันเองในช่วงที่เจ้าสันต์แยกตัวไปนัวเนียกับหนุ่มรูปหล่อที่มันเจอในผับ แล้วทิ้งให้ผมนั่งอยู่ที่บาร์คนเดียว ผมแน่ใจว่าไม่เคยรู้จักสองคนนี้มาก่อน แต่กลับรู้สึกคุ้นหน้าพวกเขายิ่งนัก

คนหนึ่งเป็นชายร่างใหญ่หน้าตาเหี้ยมเกรียม ส่วนอีกคนแก่วัย และเตี้ยกว่า ผมอาจจะต้องเก็บความสงสัยไว้อีกนาน หากบังเอิญชายร่างเตี้ยไม่เอ่ยถามผมด้วยน้ำเสียงเชิงหยอกล้อว่า

“เจ้าหนูจอมลีลาไม่มาด้วยหรือครับ ทำไมเขาถึงปล่อยให้คุณมาคนเดียวล่ะ อุตส่าห์ทำถึงขั้นนั้นแล้ว ยังจะทิ้งคนน่ารักอย่างคุณไว้อีก แย่จังเลย”

“หมายความว่าอย่างไรหรือครับ”

ผมถามเขาอย่างงงๆ พยายามจะคาดเดาความหมายในคำพูดประโยคนั้น

“ก็หมายความว่าคุณกับเดียร์เป็นแฟนกันแล้วไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมเขาถึงปล่อยคุณไปไหนมาไหนคนเดียว ทั้งๆที่เด็กนั่นคลั่งคุณมากมายนักหนา ถึงขนาดหาวิธีการที่จะทำให้ได้คุณมาเป็นแฟนไงครับ พวกผมสองคนเลยต้องช่วย เอ้อ......ทำไมมองแบบนั้น.......หรือว่า”

ในบัดดล ความคิดบางอย่างก็สว่างวาบขึ้นมาในหัวสมองของผม ผมได้ล่วงรู้ความจริงโดยบังเอิญในสิ่งที่ผมสงสัยมาโดยตลอดว่าเพราะอะไร เดียร์จึงเข้าไปอยู่ในผับวันนั้น แถมซ้ำยังไปอยู่ในเวลาที่เหมาะเหม็งกับช่วงเวลาที่ผมอยู่

สิ่งต่างๆในวันนั้น ไม่ได้เกิดโดยความบังเอิญ ผมไม่ได้เข้าไปช่วยเขาเพราะว่าเขากำลังถูกทำร้าย แต่เขาวางแผนกับเพื่อนๆให้ผมเข้าใจเป็นแบบนั้น เพื่อล่อลวงผม แยกผมออกมาจากเจ้าสันต์ เขารู้จุดอ่อนของผม ว่าผมขี้สงสาร และคงอยู่เฉยๆไม่ได้เมื่อเห็นใครลำบาก

พอผมแยกจากเพื่อนออกมาแล้ว เขาก็ตามประกบผม และลักพาตัวผมไปถ่ายภาพแบล็คเมล์นั่นเอง เด็กบ้านั่นช่างร้ายกาจเสียเหลือเกิน ทำกับผมแบบนี้ได้อย่างไรกัน

“........เดียร์.....ไม่ได้บอกคุณหรือ?????”
ความโกรธพลุ่งพล่านขึ้นมาในใจเมื่อได้ยินชื่อของเด็กบ้านั่น อยากจะเจอหน้าไอ้คนบงการนัก ป่านนี้คงไปตะลอนๆอยู่ที่ไหนสักแห่ง เจอตัวเมื่อไหร่จะจับมาเขย่าๆ แล้วตบกะโหลกเสียให้หายโมโห

นึกแค้นใจนักที่เจ้าบ้านั่น วางแผนที่จะได้ตัวผมไว้ในครอบครองตลอดเวลา ผมต้องตกเป็นเหยื่อเขาครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยความใจดีของตนเอง ต่อไปนี้ผมต้องระมัดระวังให้มากขึ้น จะไม่หลงกลหน้าซื่อๆนั่นอีกต่อไปแล้ว

สองคนนั่นเห็นท่าไม่ดี ก็เลยทำท่าจะเดินหนีไป แต่ผมขวางไว้ไม่ยอมให้จากไปง่ายๆ ผมต้องเล่นงานคนพวกนี้ พร้อมกับซักถามเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้น จะได้ซัดกับเดียร์ได้ง่ายๆ

“ยังไปไหนไม่ได้นะ จนกว่าพวกคุณจะเล่าให้ผมฟังทั้งหมด ไม่งั้นผมจะไปบอกเดียร์ว่าผมเจอพวกคุณ และได้รู้ถึงแผนการทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาและพวกคุณทำ ผมอยากจะรู้นักว่าเดียร์จะว่าไง
ถ้าหากเขารู้ว่าผมรู้ความจริงแล้ว ผมอาจจะแจ้งความเอาเรื่องกับคุณสามคน ในข้อหาสมคบคิดกันหลอกลวงผม ทำร้ายผมด้วยอีกหนึ่งกระทง เลือกเอาแล้วกัน จะบอกผม หรือ จะให้ผมแจ้งความ”

ผมพูดจาข่มขู่เขา ไม่รู้หรอกว่า ทำได้หรือไม่ เพราะผมเองก็ไม่ได้รู้กฎหมายอะไรมากมายนัก เรื่องมันก็ผ่านมานานแล้วด้วย แถมซ้ำยังไม่มีพยานหลักฐานอะไรที่จะไปมัดตัวพวกเขา ข้อหาที่จะกล่าวโทษก็ไม่มากพอ

ผมคงไม่กล้าแจ้งความกับตำรวจหรอกว่าถูกล่อลวงให้ทำสัญญาเป็นแฟนกันกับเกย์คนหนึ่ง มือถือก็ถูกทำลายไปแล้วใช้เป็นหลักฐานไม่ได้ หนังสือสัญญานั่น ก็มีลายมือชื่อผมเซ็นยินยอมรับสภาพเป็นแฟนกับเขาอีกด้วย

ถึงจะอ้างว่าถูกข่มขู่ อาจจะเอาเรื่องเขาได้ แต่มันจะคุ้มหรือไม่กับสิ่งที่ผมจะสูญเสียไป ทั้งหน้าที่การงานและชื่อเสียงที่สั่งสมมา

“ผมขอโทษครับ ไม่น่าพูดเลย แย่จริง ถ้าเดียร์รู้เข้าโกรธตายแน่ๆเลย อุตส่าห์ย้ำหนาว่าอย่าแพร่งพรายให้ใครฟัง ผมก็ดันลืมไปเสียสนิทเลย
เคยได้ยินเดียร์เล่าให้ฟังว่า ตอนนี้คุณกับเขาเป็นแฟนกันแล้ว เขาทำสำเร็จแล้ว ก็เลยนึกว่าเขาบอกคุณให้รู้เรื่องหมดทุกอย่าง ไม่คิดว่าเขาจะยังปกปิดคุณอยู่น่ะครับ”

คนร่างใหญ่ แต่ใจไม่ใหญ่สมชื่อ ระล่ำระลักบอกผม ท่าทางดูหงอๆ ไม่กร่างเหมือนเมื่อเจอกันครั้งก่อน จนผมเองรู้สึกแปลกใจ

“อย่าโกรธ เจ้าหนูนั่นเลยนะครับ เขารักคุณจริงๆ สู้อุตส่าห์มาตามหาคุณในกรุงเทพ อยากมาดูแลคุณ พอเจอแล้วก็พยายามเข้าหา แต่ก็ไม่มีโอกาส เพราะคุณมักจะอยู่กับเพื่อนตลอด หรือไม่ก็ทำงาน แล้วก็กลับบ้าน ไม่ค่อยออกไปไหน
เขาเลยได้แต่ติดตามคุณไปตลอด จนกระทั่งคุณมาที่นี่ เขาก็เลยมาขอร้องพวกผมให้ช่วยเขาครับ เพราะเขาอยากจะเป็นคนรักของคุณมากๆ ถ้าไม่มีวิธีการเข้าถึงตัว เขาก็กลัวว่าจะเสียคุณไปนะครับ”

ชายสูงวัยกว่าบอกผมด้วยท่าทีสุภาพ ดูเหมือนเขากำลังร้องขอความเห็นใจให้กับเดียร์ ไม่อยากให้ผมไปโกรธเด็กบ้านั่น ที่ทำกับผมแบบนี้

“พวกคุณรู้หรือเปล่าว่าทำอะไรลงไป รู้ไหมว่าทำให้ผมลำบากมากแค่ไหน”
ความโกรธทำให้ผมลืมตัวตะคอกคนทั้งสองด้วยเสียงอันดัง ผมจ้องพวกเขาอย่างขุ่นเคือง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับผม มีพวกเขาเข้ามาเกี่ยวข้องร่วมมือด้วย ถ้าผมไม่เจอเดียร์ ไม่ถูกคนเหล่านี้หลอกลวง ชีวิตผมคงจะสงบสุขกว่านี้

ชายร่างเตี้ยมองหน้าผมอย่างเข้าอกเข้าใจ เขาขอร้องให้ผมไปคุยกับพวกเขาข้างนอกบาร์ ไม่ต้องมาตะโกนกันให้เมื่อยแบบนี้
ผมเห็นว่าเจ้าสันต์ยังติดลมอยู่ เรียกให้ออกมามันคงไม่ยอม แล้วผมก็ไม่อยากอยู่ในบาร์เกย์อีกด้วย ไม่ชอบความแออัดเบียดเสียด ไม่ชอบถูกสายตาคนมองอย่างโลมเลีย

อีกทั้งผมก็อยากจะรู้เรื่องของเจ้าเด็กบ้านั่นด้วย จึงยอมตามพวกเขาออกไป ไม่กลัวว่าพวกเขาจะล่อลวงผมอีกครั้ง

“เรารู้ว่าคุณไม่พอใจ ที่พวกเราวางแผนทำให้คุณต้องเจอเหตุการณ์แบบนี้ แต่พวกเราสงสารเขานะครับ ผมไม่เคยเห็นใครที่เป็นแบบเขามาก่อนเลย
เขารักคุณมากนะ พูดถึงคุณให้เราฟังทุกๆวัน รอคอยที่จะได้พบกับคุณ เดียร์พยายามทำงานเก็บเงินมาอยู่กรุงเทพฯ ลำบากแค่ไหนก็ไม่ยอมบ่น ได้เงินมาแล้ว ก็เก็บเงินส่วนหนึ่งไปเรียนทำอาหาร

ถึงแม้ว่าเขาจะพอทำเป็นอยู่บ้าง แต่เขาก็อยากเรียนเพิ่มเติม เขาบอกว่า เขาอยากจะทำอาหารให้คุณทาน อยากปรนนิบัติดูแล ตอบแทนความดีที่คุณเคยช่วยเขาหลายต่อหลายครั้งมาก”

ทันทีที่นั่งลงในร้านกาแฟไม่ไกลจากบาร์เกย์ในซอยสองเท่าไหร่นัก ชายร่างเตี้ยที่ผมเพิ่งทราบชื่อเขาในภายหลังว่า “โสภิตนภา”ก็เอ่ยคำพูดออกมา เพื่อให้ผมเข้าใจในตัวพวกเขาและเดียร์มากขึ้น โดยมี “สมฤทัย” ชายหน้าเหี้ยม พูดสนับสนุกคำพูดของเขา

“เห็นเขาทุ่มเทมากมายเพื่อความรักแบบนี้ พวกผมก็รู้สึกภูมิใจในตัวเขา เดียร์เป็นตัวอย่างที่ดีของเกย์ที่มีรักแท้ ได้เห็นความมุ่งมั่นแบบนั้น เราก็เลยอดที่จะให้ความร่วมมือกับเขาไม่ได้
เพราะเขาเปรียบเสมือนแรงบันดาลใจให้เราไขว่คว้าหารักแท้แบบนั้นบ้างครับ หลังจากที่ได้ช่วยให้เขาได้พบกับคุณที่บาร์วันนั้น เราก็ได้เจอเขาอีกครั้ง เขามาบอกให้พวกผมทราบว่า เขาทำสำเร็จแล้ว คุณกับเขาเป็นแฟนกันแล้ว

ท่าทางเขาดีใจมากเลยนะครับ คุยจ้อไม่ยอมหยุดเลย บอกว่าคุณน่ารักและใจดีกับเขามากเลย เขายังบอกพวกผมว่า ตอนนี้คุณยังไม่ได้รักเขา แต่เขาก็จะพยายามไม่ท้อถอย จะทำให้คุณรักเขาให้ได้เลย นี่ก็ตั้งนานแล้วที่เราไม่ได้เจอเขา ก็เลยคิดว่าคงเรียบร้อยกันไปแล้ว”
ผมรู้สึกว่ามีเลือดสูบฉีดแถวบริเวณใบหน้า เมื่อผมเกิดความรู้สึกอับอายเมื่อได้ยินในสิ่งที่สมฤทัยพูด เจ้าเด็กบ้านั่น คุยอะไรกับคนพวกนี้ไว้บ้างก็ไม่รู้

“เราว่าคุณสองคนก็เหมาะสมกันดีนะครับ หน้าตาหล่อด้วยกันทั้งคู่เลย เห็นคุณตอนแรก แม้ว่าจะอยู่ในที่มืดๆ ก็ยังคิดว่าคุณหน้าตาดี ตอนที่เดียร์พร่ำเพ้อถึงคุณก็ไม่คิดว่าตัวจริงจะดูดีขนาดนี้

ที่สำคัญคุณใจดีกับเจ้าเด็กน่าสงสารคนนั้นมากๆ คุณทำให้เขามีกำลังใจที่จะต่อสู้กับทุกสิ่ง เจ้าหนูของเรา เป็นเด็กที่ขาดความรัก ไม่มีใครเหลียวแล มีแต่คนใจร้ายกับเขา พอเขาโตขึ้น คนก็รักเขาที่หน้าตา ทำดีเพราะอยากได้ตัวเขา
ไม่ใครจริงใจกับเขาสักคน มีแต่คุณเท่านั้น ที่ช่วยเหลือเขา โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน เขาปลื้มคุณมากนะ เหมือนคุณเป็นนางฟ้าประจำตัวของเขาเลย

ถ้าคุณยอมเป็นแฟนกับเขา พวกเราก็ดีใจมาก ที่เดียร์จะได้มีคนที่รักเขา และอยู่กับเขาไปตลอดชีวิต หนูเดียร์จะได้มีความสุขกับเขาบ้างสักที”
สมฤทัยตบท้ายด้วยคำพูดกึ่งอ้อนวอน กึ่งคาดหวังว่าผมควรจะทำตัวอย่างนั้น เพื่อเดียร์ ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ นี่การช่วยคนของผมมันทำให้ผมก้าวเข้าสู่สถานการณ์ที่ยากลำบากถึงเพียงนี้เชียวเหรอ
ผมต้องเสียสละตัวเอง เพื่อช่วยทำให้คนที่ขาดความรักคนหนึ่งได้มีความสุขหรือไง ทั้งที่เขามาเปลี่ยนแปลงชีวิตผม สร้างความยุ่งยากลำบากให้แบบนี้นี่นะ

ถึงจะไม่ชอบใจในคำพูดทำนองขอร้องของพวกเขาที่ทำเหมือนเป็นแม่สื่อแม่ชักให้ผมกับเจ้าเดียร์ได้รักกัน
แต่ผมก็เข้าใจความหวังดีของพวกเขา จึงไม่อยากจะโกรธเคืองสองคนนี้สักเท่าไหร่ ความโกรธของผมไปรวมอยู่ที่เด็กบ้าที่หายเงียบไปตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมามากกว่า
จากการพูดคุยพบว่า ทั้งสอง เคยทำงานร่วมกันกับเดียร์ที่พัทยา ในคณะคาร์บาเรต์ แต่พวกเขาลาออกกันมาก่อน เพราะอยากจะเข้ามาเสี่ยงโชคที่กรุงเทพ เพราะคิดว่าน่าจะมีโอกาสดีกว่า

สมฤทัยและโสภิตนภาได้เข้ามาแสดงโชว์ในกรุงเทพร่วมกับคณะโชว์ที่มีชื่อเสียงคณะหนึ่ง ทว่าอยู่กันได้ไม่นานนัก เนื่องจากมีการแข่งขันกันภายใน แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันระหว่างเด็กใหม่กับเด็กเก่า ทำให้อยู่กันไม่ได้ จึงพากันผันตัวมาช่วยทำงานในบาร์เกย์แถวสีลม
อาศัยว่าเป็นคนตัวใหญ่ หน้าตาน่าเกรงขาม จึงทำให้สามารถรับหน้าที่เป็นคนคุมบาร์ได้ เดียร์จึงสามารถเข้าไปสถานที่ซึ่งห้ามเด็กอายุยังไม่ถึง 20 เข้าได้อย่างสบาย

สองคนนี้พักอยู่ในบ้านเช่าห้องเดียวกันกับเดียร์ พวกเขาแบ่งที่ว่างในห้องให้ โดยที่เดียร์ช่วยออกค่าน้ำค่าไฟ และช่วยทำอาหารให้พวกเขากิน แต่เวลาที่พวกเขาพาแฟนมานอนข้างด้วย เดียร์ก็ต้องระเห็จไปอยู่ที่อื่น
แต่โดยมากเดียร์จะไม่ค่อยได้อยู่ที่ห้องเช่าสักเท่าไหร่ วันๆของเด็กหนุ่มหมดไปกับการทำงาน จะกลับบ้านมาดึกดื่น แล้วก็ออกไปแต่เช้า โดยสมฤทัยให้ความเห็นว่า เดียร์คงไม่ต้องการรบกวนพวกตน และคงอยากเก็บเงินไว้เยอะๆ จะได้มีบ้านเป็นของตัวเองสักที
ทั้งโสภิตนภา และ สมฤทัย ต่างผลัดกันเล่าเรืองราวเกี่ยวกับตัวเดียร์ให้ผมฟัง ผมได้รับรู้อะไรหลายๆอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการที่เดียร์เข้ามากรุงเทพ เมื่อ 6 เดือนก่อน

เขาตามหาผมจากที่อยู่ตามนามบัตรมากว่า 2 เดือน เมื่อเจอแล้ว เขาก็เฝ้าติดตามผมตลอด โดยที่ผมเองก็ไม่เคยรู้มาก่อน โดยแต่ละวันเขาก็จะเอาความคืบหน้ามาเล่าให้เพื่อนทั้งสองฟัง
ส่วนใหญ่จะเป็นการพร่ำเพ้อของเดียร์เกี่ยวกับตัวผม จนทั้งสองเกิดความสนอกสนใจ พอเดียร์ขอให้พวกเขาช่วยจึงพากันรับปากโดยไม่ลังเล เพราะเห็นแก่ความสุขของเด็กหนุ่มลูกครึ่งที่พวกเขารักเหมือนน้องเหมือนนุ่ง

“พวกเรารู้ว่า คุณต้องเผชิญกับความยากลำบากในการตัดสินใจในเรื่องที่เกี่ยวกับเจ้าหนูจอมลีลาของเรา เดียร์บอกว่า คุณไม่ชอบความสัมพันธ์แบบชายกับชาย แล้วคุณก็เคยมีแฟนเป็นผู้หญิงมาก่อน อาจจะทำใจไม่ได้ที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง อีกทั้งหน้าที่การงานที่คุณทำอยู่ กับสภาพสังคมที่แวดล้อมคุณ มันทำให้คุณไม่ยอมเปิดใจให้กับตัวเขา.......”

สมฤทัยกล่าวขึ้นอย่างเคร่งขรึม เขามองหน้าผม ก่อนที่จะกล่าวต่อ

“ถึงจะรู้ว่ามันมีอุปสรรคมากมาย แต่เจ้าเด็กดื้อนั่น ก็ยังหวังว่าคงจะมีสักวันที่คุณจะเห็นความดีของเขาบ้าง เขาคิดว่าด้วยพลังแห่งความรักที่เขามีต่อคุณ จะช่วยเปิดดวงตา และเปิดหัวใจของคุณ ให้ยอมรับเขาเข้าไปในชีวิต

ในฐานะที่ผมสองคนเป็นเพื่อน และ เป็นพี่ที่รักเจ้าหนูนั่น เราอยากเห็นเขามีความสุข ถ้าเป็นไปได้ เราก็อยากให้คุณรับเขาเข้าไว้ในหัวใจคุณ แม้ว่าคุณจะยังตอบอะไรไม่ได้ในตอนนี้ คุณจะรัก หรือ ไม่รักเดียร์เราไม่อาจจะฝืนใจ แต่พวกผมก็อยากให้คุณฟังเสียงหัวใจตัวเองนะครับ
บางทีการแคร์สังคมรอบข้าง มากกว่าสิ่งที่หัวใจของคุณต้องการจริงๆ มันอาจจะทำให้คุณพบกับความเจ็บปวดก็ได้ อย่าดูกันแค่ที่เปลือกนอก หรือ สภาพที่เห็นด้วยตา แต่อยากให้มองไปถึงข้างในนะครับ”

ประโยคยืดยาวที่ชายหน้าตาเหี้ยมเกรียมพูดฝากไว้ ก่อนจะขอตัวกลับไปทำงานตามเดิม ทำให้ผมต้องนั่งอึ้ง บอกไม่ถูกว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี
ความโกรธที่ถูกหลอกลวง การรวมหัวกันเพื่อทำให้ผมต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากต่อการใช้ชีวิตอย่างคนปกติทั่วไปในสังคมเป็นสิ่งที่เกินกว่าจะให้อภัยกันได้

แต่กับเหตุผลที่ได้ยินได้ฟัง กอปร กับสิ่งดีๆที่เจ้าเด็กร้ายกาจปฏิบัติต่อผม ความภักดีที่เขามีให้ มันยากที่จะชิงชังเขาได้ลง
ถึงอย่างไรก็ตาม ผมก็ต้องจัดการอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่เช่นนั้นแล้ว เดียร์ก็จะทำร้ายผมอย่างนี้ไปตลอด
การอ้างว่าทำเพราะความรัก แต่ล่วงล้ำความเป็นส่วนตัวของผม ทำร้ายผมเพราะความเอาแต่ใจของตนเอง อยากได้ใคร่ดีจนต้องทำทุกอย่างโดยไม่สนใจความรู้สึกของคนอื่น เป็นสิ่งที่ไม่สมควรให้อภัย

ผมจะไม่มีวันเห็นดีเห็นงามไปกับการสิ่งที่เดียร์ทำลงไปอย่างแน่นอน เขาต้องได้รับบทเรียนเสียบ้าง ก่อนที่จะคิดการณ์ใหญ่ ทำร้ายกันไปมากกว่านี้

ในขณะที่ผมกำลังนั่งครุ่นคิดเกี่ยวกับการหาทางจะจัดการกับเด็กบ้านั่น เจ้าสันต์ก็เดินโอบประคองหนุ่มหน้าหล่อที่มันนัวเนียอยู่ในบาร์เข้ามาในร้าน มันทำท่าแปลกใจที่เจอผม พลางปราดเข้ามาหา ในสภาพที่บอกให้รู้ว่ามีอาการเมาๆ หน้าแดงก่ำ กลิ่นเหล้าและเบียร์ระเหยออกจากปากยามที่มันพูด บ่งบอกให้รู้ว่ามันดื่มมามากแค่ไหน

“ทำไมมานั่งอยู่ตรงนี้วะเรียว เบื่อหรือไง ไอ้ฉันก็มองหา ไม่รู้ว่านายอยู่ไหน พอดีบาร์เลิกแล้ว อยากนั่งพัก ก็เลยขึ้นมานี่แหละ”

“เออ เจอคนถูกใจก็ทิ้งเพื่อนเลยนะโว้ย ไม่คิดจะโทรถามกันบ้างหรอว่าอยู่ไหน นี่หากไม่เจอกัน นายคงทิ้งฉันไปที่ชอบที่ชอบเลยล่ะสิ”

ผมต่อว่ามันอย่างโกรธๆ เคืองเรื่องเดียร์อยู่เมื่อครู่ กลับมามีเรื่องให้โมโหซ้ำ ดูสิ เมื่อวานกับวันนี้มันยังฟูมฟายยังกับผู้ชายหายไปทั้งโลก พอตกค่ำ เจอคนหล่อเข้าหน่อยก็ทำระริกระรี้

นี่ถ้าไม่เห็นว่าเป็นเพื่อนกัน แล้วมันยังคงเศร้าใจอยู่ ผมจะเตะก้นมันสักพลั่ก เจ้าสันต์ร่าเริงแบบนี้ ผมคงไม่ต้องห่วงมันกระมัง ท่าทางมันคงหายเศร้า อีกไม่นานก็คงหายหัวไป ตามนิสัยที่มันเคยทำประจำ
“ไอ้นี่มันไปหัวเสียกับใครมาวะ พูดจาหมาไม่แดก เพื่อนยังไม่ตายโว้ย จะได้ไปสู่ที่ชอบที่ชอบ ไอ้บ้านี่ ก็ใครจะไปรู้วะ ว่านายมานั่งหลบอยู่ที่นี่ เออหรือว่า ไม่ได้หลบวะ แต่มาอ่อยเหยื่อ”

เจ้าสันต์จบคำพูดด้วยการหัวเราะก๊ากอย่างชอบอกชอบใจ ผมมองมันตาขุ่นขวาง รู้ว่ามันเมา ไม่อยากถือสา แต่ก็ไม่ชอบที่มันมาพูดจากับผมแบบนี้ ไอ้เพื่อนขี้เมาหยุดหัวเราะทันที เมื่อเห็นผมมองมันอย่างโกรธๆ แต่ตาของมันก็ไม่วายล้อเลียน

“เออๆ ฉันขอโทษว่ะ ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ไม่พอใจ แค่ล้อเล่นนะ อย่าโกรธเลยนะ เอออ......ลืมไป ฉันพาเพื่อนมาด้วยคนหนึ่ง ยังไม่ได้แนะนำให้นายรู้จักเลย เขาชื่อ เบน เจอกันในบาร์อ่ะ”

เพื่อนเกลอของผมผายมือไปยังหนุ่มตี๋หน้าตาดี ผิวขาวสะอาดสะอ้าน แต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตรัดรูป กับกางเกงฟิตเปรี๊ยะ หนุ่มคนนั้น ยิ้มให้ผม และยื่นมือมาให้จับ

ผมลังเลอยู่ชั่วครู่ ด้วยอารมณ์ที่คุกรุ่นอยู่ภายใน ทำให้ไม่อยากทำความรู้จักกับใครในตอนนี้ แต่ผมไม่อยากจะฉีกหน้าเพื่อนรักของผม ในเมื่อมันกำลังมีความสุข ลืมเด็กแซ่บไปได้อย่างน้อยก็ชั่วขณะ ผมก็จำเป็นต้องเล่นไปตามน้ำ คิดได้ดังนั้น ผมจึงยื่นมือออกไปให้เบนจับ เขาบีบมือผมแน่น และยิ้มหวานให้ผม

“ฉันจะกลับบ้านแล้วล่ะสันต์ ง่วงนอนแล้ว นายจะกลับพร้อมกัน หรือจะไปต่อล่ะ”

ผมหันไปบอกความต้องการกับเจ้าสันต์ รู้สึกเหนื่อยแล้ว อยากกลับบ้านไปนอน ไม่อยากจะลืมตาตื่นมาเพื่อรับรู้อะไรแล้ว แค่นี้ผมก็เซ็งจะแย่ บางทีการทีได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ อาจจะทำให้หัวสมองของผม มีทางออกที่ดีในการจัดการปัญหาระหว่างผมกับเดียร์ก็ได้
ขี้เมาที่แปลงร่างเป็นนักรักในชั่วข้ามคืนหันไปมองหน้าเบน ก่อนจะกลับมาจ้องหน้าผม มันทำสายตาวิงวอนขอร้อง แต่คราวนี้ผมขอใจดำ ไม่อยู่เป็นเพื่อนกับมันดีกว่า

แค่เห็นรอยยิ้มหวานๆของ เบน ผมก็รู้สึกขนลุกแล้ว ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับคนเหล่านี้ให้มากนัก แค่เรื่องเดียร์กับศักดิ์ชายผมก็ปวดหัวจะแย่อยู่แล้ว อย่าเพิ่มใครมารบกวนความสงบสุขของผมอีกเลย

“ก็ได้ .......”

เจ้าสันต์ทำเสียงงอนๆ ที่ผมขัดใจมัน แต่ผมทำเป็นเฉย มันคงรู้ว่าผมกำลังอารมณ์ไม่ดี มันเลยไม่เซ้าซี้ต่อ นักรักเจ้าน้ำตาบอกกับผมว่า มันคงจะนั่งคุยกับ เบน อีกสักพัก แล้วค่อยกลับบ้าน ผมก็เลยขอตัวกลับก่อน
ระหว่างทางที่ผมเดินกลับไปยังรถที่ผมจอดไว้ข้างทาง ใจผมก็ไพล่ไปนึกถึงเหตุการณ์เมื่อหลายเดือนก่อน ตอนที่เดียร์โปะยาสลบผมและลักพาตัวไปทำสัญญาเป็นแฟนเขา

ตอนนั้นผมก็เดินไปที่รถเพียงลำพัง ความหวาดระแวงทำให้ผมเดินเหลียวหน้าเหลียวหลังล่อกแล่ก ด้วยเกรงว่าจะมีใครตามมาอีก
ทั้งที่คิดว่า เหตุการณ์ที่ผ่านมา มันไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นซ้ำรอยเดิมได้อีก แต่กระนั้น ผมก็ยังกังวล จังหวะที่ผมมองซ้ายมองขวาอยู่นั้น สายตาก็พลันไปพบกับสิ่งที่ทำให้ผมประหลาดใจ นอกเหนือจากได้เจอเพื่อนร่วมก๊วนของเดียร์ และเห็นเจ้าสันต์เริงร่าทั้งที่อกหักมาหมาดๆ
ไม่ใกล้ไม่ไกลจากรถของผมที่จอดอยู่ แต่เป็นอีกฝากหนึ่งของถนน ผมเห็นหญิงชายคู่หนึ่ง ยืนจูบกอดกันนัวเนีย ที่น่าตกใจก็คือ แม้จะเห็นเพียงด้านหลัง ผมก็จำได้ว่าผู้หญิงคนนั้นคือใคร
ตอนแรกผมก็ไม่แน่ใจสายตาของตนเอง คิดว่าความมืดอาจจะพลางตาทำให้ผมเข้าใจผิด แต่หลังจากเขม้นมองดู ก็รู้ว่าสายตาไม่ได้หลอกตัวเอง

สาวสวยของบริษัท คุณแคทลียา พนักงานใหม่ของบริษัท กำลังยืนกอดจูบกับผู้ชายคนหนึ่งใกล้ๆกับรถเบนส์คันโตสีบรอนซ์เงิน
ผมละสายตาจากภาพนั้นแล้วขึ้นรถสตาร์ทออกไปจากที่นั่น พยายามไม่สอดรู้สอดเห็นในเรื่องของชาวบ้าน
ถึงแม้จะค่อนข้างแปลกใจที่เห็นเธอในย่านที่เป็นสถานที่เที่ยวของเกย์ แถมซ้ำเธอยังนัวเนียกอดจูบอยู่กับผู้ชายโดยไม่แคร์สายตาใคร แต่ผมก็คิดว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวของเธอ ที่จะทำอะไรก็ได้ เพราะนี่มันนอกเวลาทำงานแล้ว

ทุกคนย่อมมีสิทธิที่จะดำเนินชีวิตของตัวเองโดยไม่ต้องขึ้นอยู่กับกฎระเบียบข้อบังคับของพนักงาน ไม่มีข้อห้ามใด ไม่ให้พนักงานเที่ยวนี่
แล้วเธอก็โตพอแล้ว คงรู้ผิดชอบแยกแยะได้ ว่าอะไรควรไม่ควร หากเธอคิดว่าเธอสามารถทำกริยาอาการแบบนั้นโดยไม่แคร์สายตาใคร ก็แปลว่าคุณแคทลียา ก็คงพร้อมที่จะรับผลที่ตามมา แล้วผมก็รับประกันว่า ผมจะไม่มีทางปูดเรื่องที่ได้เห็นนี้แน่นอน
ภาพลักษณ์ สาวสวย ฉลาด และมั่นใจตัวเอง เป็นภาพที่งดงามเหมาะสมสำหรับเธออยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเอาสีมาระบายให้มันโดดเด่นขึ้นไปอีกหรอก



anna1234

  • บุคคลทั่วไป
ตีสองกว่า เป็นเวลาที่ผมขับรถกลับถึงบ้าน หลังจากอาบน้ำสระผมแล้วก็นั่งรอให้ผมแห้ง ระหว่างนั้นผมไม่รู้จะทำอะไรดี ก็เลยลงไปนั่งดูทีวี แต่ยามดึกไม่มีรายการอะไรน่าสนใจ แล้วผมก็ยังไม่ง่วงด้วย
น่าแปลกที่ผมหนีจากสถานที่ตรงนั้นเพื่อที่จะได้กลับมาพักผ่อน แต่เมื่อมาถึงแล้ว ผมกลับไม่อยากนอนเอาเสียเลย รู้สึกเหงา และ หดหู่เสียจริงๆ เหมือนว่ามันขาดอะไรไปสักอย่าง

ทั้งๆที่บ้านนี้ผมก็อยู่มานานจนคุ้นเคย ข้าวของทุกอย่างก็ไม่ได้หายไปไหน แต่ทำไมผมถึงได้รู้สึกว่าเหมือนมีบางอย่างที่ไม่สมบูรณ์อยู่ ซึ่งผมตอบไม่ได้ว่ามันคืออะไร
ในเมื่อจะนอนก็ไม่ได้ ผมก็ยังไม่แห้ง แถมซ้ำตาก็ยังสว่างอยู่ ผมก็เลยมองหากิจกรรมที่จะทำเพื่อฆ่าเวลา ในที่สุดผมก็เลือกที่จะหาหนังที่มาดู ในตู้ที่ผมวางทีวี มีชั้นเก็บพวกซีดีต่างๆ ซึ่งเป็นหนังที่ส่วนใหญ่ผมจะเก็บไว้ดูเวลาว่าง แต่ยังไม่มีโอกาสจะได้ดูสักที
ผมไล่มือไปตามสันกล่องที่เรียงไว้ มีหนังหลายประเภท ทั้งแอคชั่น ดราม่า และ คอมเมดี้ ผมไม่มีอารมณ์อยากจะดูหนังดราม่าสักเท่าไหร่ เพราะชีวิตผมตอนนี้ ก็น่าหดหู่พอสมควร อยากดูหนังตลกมากกว่า


ขณะที่มือผมไล่ไปเรื่อยๆนั้น ก็สะดุดเข้ากับหนังเรื่องหนึ่ง เป็นหนังที่มีชื่อยาวเหยียด ผมหยิบกล่องซีดีขึ้นมาดูด้วยความสนใจ “The Adventures of Priscilla, Queen of the Desert” คือเชื่อหนังเรื่องนั้น
ภาพที่ปรากฏบนกล่อง มีสีสันสดสวย น่าสนใจ ดึงดูดผม ภาพรถสีสันฉูดฉาดที่จอดอยู่กลางทะเลทรายสีส้มแสบตา โดยมีหญิงสาว ไม่ใช่สิ น่าจะเรียกว่ากระเทยมากกว่า ในชุดแต่งตัวคล้ายพวกนางโชว์ยืนอยู่บนหลังรถปล่อยให้ลมพัดชุดยาวปลิวไสว พล็อตเรื่องของหนังที่ผมพลิกอ่านจากด้านหลังกล่อง เป็นดังนี้
“Two drag-queens (Anthony/Mitzi and Adam/Felicia) and a transexual (Bernadette) contract to perform a drag show at a resort in Alice Springs, a resort town in the remote Australian desert.
They head west from Sydney aboard their lavender bus, Priscilla. En route, it is discovered that the woman they've contracted with is Anthony's wife. Their bus breaks down, and is repaired by Bob, who travels on with them”

จากข้อมูลเบื้องต้น ประกอบกับภาพที่เห็นจากแผ่นปก ทำให้ผมเกิดอยากดูเรื่องนี้ขึ้นมา แม้จะรู้ว่ามันเป็นหนังของเกย์กะเทย แต่ผมก็คิดว่ามันเป็นหนังที่น่าจะดูสนุกเรื่องหนึ่งมันคล้ายกับมีบางสิ่งบางอย่างดลใจ ให้ผมเลือกหนังเรื่องนี้ แต่ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร

หนังเรื่องนี้ เป็นหนังปี 1994 (พ.ศ.2537) นำแสดงโดย ดาราสามคนที่เป็นชายแท้ คือ เทอเรนส์ แสตมป์ , ฮิวโก้ เวฟวิ่ง , และ กาย เพียซ ทั้งหมดแสดงเป็นสาวประเภทสอง ซึ่งทุกคนสามารถแสดงได้อย่างแนบเนียนและเป็นธรรมชาติจนผมเองยังรู้สึกทึ่ง และสนุกไปกับภาพที่เห็น
เรื่องมันมีอยู่ว่า กะเทยสามนางจากซิดนีย์ซึ่งประกอบไปด้วย ราฟท์ กะเทยที่ได้ผ่านการผ่าตัดแปลงเพศไปเรียบร้อยแล้ว และเปลี่ยนชื่อเป็น เบอร์นาเดท บาเซนเจอร์ ทำงานเป็นนางโชว์จนกระทั่งวัยและสังขารร่วงโรย

เธอกับเพื่อนทั้งสองคือ มิทซี่ ซึ่งมีชื่อเดิมก่อนแปลงเพศว่าแอนโทนี่ และ เฟลิเซีย กระเทยเด็กผู้มาดมั่น ได้รับการว่าจ้างจากเมียเก่าของแอนโทนี่ ให้ไปแสดงโชว์ที่ อลิซ สปริง รีสอร์ทแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่อีกฟากของออสเตรเลีย

พวกเธอตกลงตัดสินใจหารถบัสคันใหญ่เป็นพาหนะสำหรับการเดินทาง และ บรรทุกกระเป๋าเสื้อผ้า รวมถึง อุปกรณ์สำหรับการโชว์ต่างๆ ข้ามทะเลทรายเพื่อไปแสดงโชว์คาร์บาเรต์ พวกเธอได้ตั้งชื่อพาหนะของพวกเธอว่า “พริสซิลล่า” และตกแต่งรถอย่างสวยงามและมีสไตล์
หนังอุดมไปด้วยฉากการแต่งองค์ทรงเครื่องตามแบบนางโชว์ที่อลังการ ฉูดฉาดบาดตา และฉากร้องรำทำเพลงแบบลิปซิ้ง

ในขณะที่หนังยังแทรกด้วย การเดินทางไปยังรีสอร์ท ซึ่งระหว่างนั้น คนทั้งสามต่างร่วมทุกข์สุข และเรียนรู้ซึ่งประสบการณ์ชีวิตของกันและกัน
ทันทีที่ดูหนังเรื่องนี้จบลง ผมกลับคิดไปถึงใครบางคนที่เคยทำงานอย่างนี้มาก่อน เด็กบ้านั่นจะมีชีวิตที่คล้ายๆกับตัวละครในหนังเรื่องนี้หรือเปล่าหนอ

ผมเคยเห็นเดียร์เป็นนางโชว์แค่ครั้งเดียว ตอนนั้นเขาใส่ชุดสีแดงเพลิง แต่งหน้าเข้มสวยเหมือนผู้หญิงจริงๆ ท่าทางการเต้นประกอบเพลง และร้องลิปซิงค์ทำได้แนบเนียนเหมือนพวกมืออาชีพ
น้อยเล่าว่า เดียร์ไม่ได้เต้นแบบผู้หญิง แต่ใส่เสื้อผ้า เต้นและร้องแบบผู้ชาย ถ้าไม่ใช่เพราะตัวแสดงเดิมไม่สามารถขึ้นได้ ก็คงไม่มีโอกาสเห็นเดียร์ในชุดเสื้อผ้าผู้หญิงเฉิดฉายบนเวทีอย่างแน่นอน

ตอนนั้นผมรู้สึกเฉยๆกับคำพูดนั้น แต่หลังจากได้ดูหนังเรื่องนี้ ผมก็รู้ว่าเดียร์ไม่เหมาะกับเสื้อผ้าผู้หญิงเลย เพราะรูปร่างของเขาไม่อรชรอ้อนแอ้นเหมือนกะเทยทั่วไป โครงสร้างร่างกายของเดียร์เต็มไปด้วยมัดกล้าม ไม่ใหญ่โตหนาบึกแบบพวกนักกีฬา หรือคนเล่นกล้าม แต่ก็ดูสวยงาม
ถ้าหากเขาเป็นกระเทยไม่ใช่เกย์ ก็คงจะเป็นกระเทยที่ตัวใหญ่เกินไป อย่างที่เคยได้ยินเจ้าสันต์มันเรียกว่า “กระเทยควาย” ผู้ชายแท้ๆก็คงจะกลัวและไม่กล้าจีบอย่างแน่นอน การคิดถึงเดียร์ในแง่มุมนั้น ทำให้ผมต้องหัวเราะออกมา
กำลังเริ่มอารมณ์ดีอยู่แท้ๆ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ผมลุกขึ้นเดินไปรับโทรศัพท์ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะตรงมุมห้อง นึกเดาว่า น่าจะเป็นเจ้าสันต์โทรมารายงานถึงเหตุการณ์ระหว่างมันกับ เบน หนุ่มหน้าหล่อคนนั้น

เจ้าเพื่อนคนนี้ มันยิ่งขี้อวดเสียด้วย ที่โทรมาหาในเวลาเกือบจะตีห้าอย่างนี้ คงไม่มีอะไรมากไปกว่าชวนคุยเรื่องหนุ่มๆเป็นคุ้งเป็นแคว
ผมเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้บ่อยๆ เคยคุยกับมันนานเป็นชั่วโมงจนเกือบหลับไปเลยก็มี ด่ามันไปก็ตั้งหลายครั้ง แต่มันก็ยังไม่เข็ด คราวนี้ผมตั้งใจจะฟังมัน เพราะรู้ว่า ในยามนี้ เจ้าสันต์ต้องการเพื่อนมากๆ หากว่าจะช่วยให้เพื่อนหายเศร้าได้ ผมก็ยินดีที่จะทำอย่างเต็มที่
เสียงที่ได้ยินจากปลายสาย ทำให้ผมต้องยืนนิ่งตัวแข็ง อารมณ์ขึ้น ความโกรธแล่นลิ่ว คนที่โทรมาไม่ใช้สันต์อย่างที่เข้าใจ แต่กลับกลายเป็นเดียร์ คนที่สร้างเรื่องสร้างราวปวดหัวให้ผม

คนที่วางแผนให้ผมติดกับ คนที่ผมเพิ่งจะโมโหฉุนเฉียวเมื่อล่วงรู้แผนการที่เขาทำกับผม คนที่หายไปอาทิตย์กว่า คนที่กล้าโทรเข้ามาในเบอร์บ้านทั้งที่ผมสั่งห้าม เจ้าคนที่เอาแต่ใจตัวเอง ไม่คำนึงถึงความรู้สึกของคนอื่น โทรมาก็ดีแล้ว ผมจะได้จัดการเสียที

“หวัดดีครับเรียว นอนดึกจังเลยนะครับ ผมคิดถึงคุณจัง แล้วคุณล่ะ คิดถึงผมบ้างไหมน้า”

เสียงออดอ้อนอ่อนหวานที่คุ้นเคยดังมาทางปลายสาย แต่ผมไม่ใส่ใจ กลับตอบกลับเสียงห้วน ทำให้รู้ไปเลยว่าผมไม่อยากคุยกับเขา

“โทรมาทำไม.....”

เดียร์ชะงักไปนิดหนึ่ง เมื่อได้ยินเสียงมะนาวไม่มีน้ำของผม แต่แล้วเขาก็ตอบกลับมาด้วยเสียงอ้อนๆเหมือนเดิมที่เคยได้ยิน

“พอดีผมเพิ่งกลับมาถึงโรงแรมครับ เต้นโชว์เสร็จตอนประมาณ 4 ทุ่มกว่า พี่หัวหน้า เขาก็พาแดนเซอร์ไปทานข้าว แล้วก็ไปร้องคาราโอเกะ ก่อนจะแยกย้ายกันไปนอน แต่ผมยังไม่ง่วงครับ
คิดถึงเรียวมาก จนนอนไม่หลับ ก็เลยโทรมาหา อยากได้ยินเสียง อยากคุยกับคุณ จะได้ฝันดี และมีกำลังใจในการทำงานต่อไปครับ”

“ไม่เห็นจำเป็น......เมื่อก่อนไม่มีฉัน นายก็อยู่ได้อยู่แล้ว ไม่ต้องมาสร้างความคุ้นเคยให้ตัวเองด้วยการมีฉันตลอดเวลาหรอก”

อ้อนมา ผมก็ห้วนกลับ ความโกรธเมื่อตอนค่ำๆเริ่มเข้ามาแทนที่อารมณ์ดีที่เพิ่งเกิดขึ้น

“เมื่อก่อนอยู่ได้ แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมนี่นา ผมคิดถึงเรียวทุกวัน และมากขึ้นเรื่อยๆเลยนะ อยากเร่งวันเร่งคืนให้จบคอนเสิร์ตเร็วๆจะได้ไปหาคุณ อยากอยู่ใกล้ๆแล้วล่ะ”

เจ้าเด็กร้ายกาจยังคงพูดจาออดอ้อนต่อ

“เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ฉันอยากคุยกับนายเหมือนกัน นายมาบ้านฉันบ่อยเกินไปแล้ว นี่มันเกินกว่าที่สัญญาไว้ เราตกลงกันว่าแค่วันอาทิตย์เท่านั้นที่นายจะมีสิทธิ์มาบ้านฉัน และห้ามค้าง หวังว่าเมื่อนายกลับมาแล้ว จะปฏิบัติให้เหมือนตามที่ตกลงกันไว้”


ผมหยิบยกข้อความที่อยู่ในสัญญาขึ้นมาเป็นการกีดกันไม่ให้เดียร์เข้าใกล้ผมอีก ยิ่งเขาออกห่างจากผมเท่าไหร่ มันน่าจะเป็นเรื่องที่ดี

“เรียวครับ ทำไมเกิดเข้มงวดขึ้นมากะทันหันแบบนี้อ่ะ ที่เป็นอยู่นี้ ก็ดีแล้วนี่นา เราสองคนกำลังไปกันได้ดีเลย เรียวใจดีกับผมแล้วทำไมไม่ทำให้ตลอดล่ะฮะ”

เดียร์ถามผม ด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความงุนงง สงสัย ผมไม่ตอบคำถามนั้น แต่พูดในสิ่งที่ผมอยากพูดมาตลอดออกไป

“ฉันจะไม่ใจดีกับนายอีกต่อไปแล้ว เพราะนอกจากจะไม่เกิดประโยชน์อะไร มันกลับยังทำให้เกิดผลร้ายต่อตัวฉันด้วย ดังนั้น อย่าได้คาดหวังว่าฉันจะเป็นเหมือนเดิม”

“เรียวเป็นอะไรหรือครับ อารมณ์ไม่ดีเหรอ ผมนึกว่าจากกันไปแบบนี้เรียวจะคิดถึงผมบ้าง ไม่สักนิดเลยหรือครับ นี่มันก็ผ่านมาตั้งอาทิตย์กว่าแล้วนะฮะ
เราไม่ได้คุยกันเลยตั้งแต่วันที่ผมไปหาคุณ ผมสู้อุตส่าห์คิดถึงคุณมาตลอด รีบโทรมาทันทีที่มีเวลาว่าง แต่เรียวกลับทำน้ำเสียงไม่ดีใส่ โกรธอะไรผมหรือเปล่าฮะ”

แน่ะ ทำมาเป็นถามเหมือนไม่รู้เรื่องงั้นแหละ ผมล่ะเกลียดจริงเชียว

“ยังมีหน้ามาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อีกเหรอ ทั้งๆที่ก่อเรื่องไว้มากมาย ทำให้คนเขาลำบาก เดือดเนื้อร้อนใจเอากับความเอาแต่ใจของตัวเองนี่แหละ”

ผมต่อว่าเขาอย่างฉุนๆ ไม่ค่อยชอบใจนักที่เดียร์มาทำเป็นใสซื่อ ทั้งๆที่วางแผนกับเพื่อนหลอกลวงผมมาตลอด

“เรียวขยายความให้ผมฟังหน่อยได้ไหม พูดแบบนี้ผมงงนะครับ”

เด็กบ้านี่ทำเป็นซื่อ แต่ผมไม่หลงกลเขาอีกต่อไปแล้ว

“วันนี้ฉันเจอโสภิตนภา กับสมฤทัย เขาบอกฉันหมดทุกอย่างแล้ว นายหลอกฉันมาตลอด ที่แท้นายวางแผนตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหม รวมหัวกันกับเพื่อน ทำเป็นถูกสองคนนั่นรังแก เพื่อให้ฉันเข้าไปช่วยเหลือ จะได้แยกฉันออกมาจากเพื่อน
ฉันมันโง่เอง ที่ไม่สงสัยว่าทำไมเหตุการณ์มันถึงประจวบเหมาะเหลือเกิน ทำไมนายต้องไปเจอฉันโดยบังเอิญในสถานที่แบบนั้นด้วย นายทำอย่างนี้กับฉันทำไม”

ในที่สุดผมก็โพล่งในสิ่งที่ผมค้างคาใจออกไป เดียร์นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ฟังไม่ออกเลย ว่าเขากำลังรู้สึกอะไรอยู่

“อ๋อ เรื่องนี้เองน่ะเหรอครับ พิ่โสภิตโทรมาบอกผมแล้วเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา แกคงกลัวว่าเรียวจะโมโหให้ผมหลังจากที่รู้เรื่องจากปากคำของพวกเขา พี่โสภิตเดาถูกจริงๆ
เป็นเรื่องแค่นี้ เองใช่ไหมที่ทำให้เรียวไม่พอใจ เรียวโกรธในความผิดที่ผมได้ทำมันผ่านมาแล้ว ทั้งๆที่ผมก็ได้อธิบายทุกอย่าง แล้วก็พยายามทำดีกับเรียว แต่เรียวก็ยังคงไม่พอใจ ยังคงโกรธผมอยู่ ผมจะทำอย่างไรดีละครับ เรียวถึงจะหายโกรธผม”
ผมนิ่งฟังเดียร์ด้วยความแค้นเคือง หนอยทำผิดแต่ไม่ยอมรับผิด จะขอโทษสักคำก็ไม่มี ยังมีหน้ามาบอกด้วยว่า เหตุการณ์มันผ่านมาแล้ว จะให้ผมจบมันลงง่ายๆ ด้วยการพูดดีกับเขาหรือไง

“นายนี่มันแย่จริงๆ เห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ ทำให้คนอื่นเดือดร้อน แล้วก็ทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฉันล่ะเชื่อนายจริงๆเลย ทำไมนายทำตัวได้น่ารังเกียจขนาดนี้นะ”

“ตกลงว่าเราจะทะเลาะกัน โกรธกันด้วยความผิดที่ผมก่อแต่หนหลังใช่ไหมครับ”

เด็กหนุ่มย้อนถามผมด้วยเสียงเครียดๆ ท่าทางเขาเริ่มจะมีอารมณ์บ้างแล้ว

“ฉันชิงชังนายจริงๆ”

ผมว่าเขา ด้วยรู้สึกเหลืออดจริงๆ

“แล้วเรียวจะให้ผมทำอย่างไรละครับ ถึงจะแก้ไขความผิดพลาดที่ผมทำกับคุณได้ บอกผมมาสิครับ ผมยินดีทำทั้งนั้น”

“ออกไปจากชีวิตฉันซะทีสิ.......ฉันจะมีความสุขมาก”

“ไม่ได้หรอกครับ ผมพยายามทำทุกอย่างก็เพื่อวันนี้ ไม่ยอมรามือง่ายๆหรอกครับ”

“ด้วยวิธีการที่สกปรก รวมหัวกันเพื่อล่อลวงฉันนี่นะ อย่างนี้นะเหรอที่นายเรียกว่าทำไปเพราะความรัก เห็นแก่ตัวสิไม่ว่า”

ผมด่าว่าถากถางเขา กะเล่นงานให้เจ็บปวด .....เดียร์นิ่งไปอีกแล้ว เขาเงียบไปจนผมนึกว่าเขาคงจะโกรธผม จนวางหู แต่เปล่าเลย เขาตอบกลับผมด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความน้อยอกน้อยใจ
จนผมแทบจะจินตนาการได้เลยว่ายามนี้ตาของเขาคงจะแดงทั้งสองข้าง น้ำตาคงจะเอ่อมาคลอตา แต่เจ้าตัวพยายามจะฝืนมันเอาไว้ ไม่ให้มันหยดแม่ะลงมา

“.........ผมจะทำอะไรได้มากไปกว่านี้หรือครับเรียว ถ้าผมไปเจอคุณ แล้วก็บอกรักคุณเฉยๆ คุณจะยอมเป็นแฟนผมไหม
คุณแน่ใจเหรอ ว่าจะไม่หัวเราะใส่หน้าผม จะไม่ไล่เตะ หรือ เรียกให้ยามมาหิ้วตัวผมออกไป บางทีคุณอาจจะแจ้งตำรวจมาจับผมแล้วยัดข้อหาว่าผมเป็นคนร้ายที่มาก่อกวนคุณก็ได้
หรือหากว่าคุณใจดีไม่ทำแบบนั้นกับผม แล้วคุณคิดว่าตัวเองจะยอมฟังผมพูดจนจบหรือเปล่า
เรียวจะให้โอกาสผมอธิบายถึงเหตุผลที่ผมอยากจะอยู่ใกล้ๆคุณ อยากใช้ชีวิตร่วมกับคุณแต่โดยดีด้วยหัวใจที่เปิดกว้าง เข้าอกเข้าใจผมไหม.......”

“......”

คราวนี้ผมเป็นฝ่ายอึ้งบ้าง รับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดของเดียร์ผ่านทางคำพูดของเขา

“คุณอาจจะมองผมด้วยแววตาดูหมิ่นเกลียดชัง เห็นผมเป็นไอ้งั่ง พูดจาไร้สาระ แล้วก็จะหันหลังให้ผม กันผมออกไปจากชีวิตคุณ
เมื่อผมได้พูดสิ่งที่ตัวเองอยากพูดออกไป มันก็จะกลายเป็นครั้งเดียวเท่านั้นที่ผมจะมีโอกาสได้พูด แล้วหลังจากนั้น ผมน่ะ จะไม่มีโอกาสได้เจอ ได้ใกล้ชิดคุณอีกเลย……”

“.........”


anna1234

  • บุคคลทั่วไป
:m15: ร้องให้แทนเดียร์
สงสารโว๊ย  :angry2:



คนโพสอ่านแล้วเกิดอารมณ์ :z6:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
 :sad11: :sad11: :sad11: :sad11:
สงสาร เดียร์   จัง เรยยยย



อย่า เพิ่ง ท้อ น่ะ



คนมัน กำลัง โกรธ ฏ้ แบบนี้ แหละ



ทน หน่อย  อดเปรี้ยว ไว้ กิน หวาน

va_yu

  • บุคคลทั่วไป
ใจเย็นๆค่ะใจเย็นๆ..........เอาใจช่วยเดียร์เต็มที่

anna1234

  • บุคคลทั่วไป
รูปเรียวในจินตนาการของเราเองแหละ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-01-2009 12:56:30 โดย ไต๋ »

kimagain

  • บุคคลทั่วไป
สงสารเดียร์อ่า  :o12:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ sukie_moo

  • ปัจจุบัน คือ อดีตของอนาคต
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-15
 :monkeysad: สงสารเดียร์อ่ะ เรียวขยันสร้างกำแพงจริงๆ  :monkeysad:

anna1234

  • บุคคลทั่วไป
บทที่ 13



สิ่งที่เขาพูดมาไม่ไกลจากความเป็นจริงเลย ถ้าเจ้าเด็กบ้านั่นมาพูดตรงๆกับผม คงจะเจอเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งตามที่เขาคาดเดาเอาไว้

“..........ไม่ว่าผมจะใช้วิธีการใด...... มันก็เป็นวิธีการที่ผิดทั้งสิ้น ถึงจะคิดลักพาตัวคุณมาเอง หรือขอร้องให้คนอื่นๆช่วยเหลือ ในความคิดของคุณ ผมก็ไม่มีวันที่จะผิดน้อยลง
ผมรู้ดี แต่ผมก็ยังอยากจะเสี่ยง เพราะถ้าผมไม่ทำอะไร ผมก็ไม่มีโอกาสได้อยู่กับคุณ แต่ถ้าผมได้ลองทำดู มันอาจจะสำเร็จ หรือล้มเหลวก็ได้ คุณอาจจะเกลียดผมไปตลอดชีวิตของคุณ
หรือคุณอาจจะรักผม เมื่อสัญญาสิ้นสุดลงเราอาจจะได้อยู่ด้วยกันไปตราบชั่วชีวิต ผมไม่อาจจะหยั่งรู้อนาคต ว่ามันจะดีจะเลวร้ายยังไง แต่อย่างน้อย ผมก็จะพยายามทำอย่างสุดความสามารถ เพียงเพื่อให้คุณได้รู้ว่า ผมน่ะรักคุณมากแค่ไหน.........”


เจ้าเด็กลูกครึ่งหน้าคมคายพูดด้วยน้ำเสียงเครือ เหมือนคนที่อารมณ์กำลังพลุ่งพล่าน คำพูดของเขาแต่ละคำ ทำเอาผมใจสั่น รู้สึกเจ็บแปล๊บที่หัวใจ เขาทำให้ผมหวั่นไหวอีกค
รั้ง
“.......ทำไมหรือครับเรียว ทำไมผมถึงรักคุณไม่ได้ บอกหน่อยสิครับ บอกให้ผมเข้าใจหน่อย ผมมันโง่ ผมไม่รู้ว่าความรู้สึกรักและภักดีที่ผมมีให้เรียว มันทำร้ายคุณมากถึงขนาดนี้
คุณจะรังเกียจผมก็ได้ ชิงชังที่ผมใช้เล่ห์เหลี่ยมหลอกลวงเอากับคุณ แต่เรียวจะช่วยกรุณาลืมสิ่งที่ผมทำพลาดในอดีต แล้วมองถึงสิ่งที่ผมกำลังทำดีกับคุณในปัจจุบัน และต่อๆไปในอนาคตไม่ได้หรือครับ ให้โอกาสกับผมได้แสดงออกถึงความจริงใจที่ผมมีต่อคุณได้ไหม......”

“......”

คำพูดของเดียร์มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนหนามเป็นพันๆเล่มทิ่มแทงตรงดวงใจของผม มันทำให้ผมเจ็บปวดร้าวราน ผมกับเขาใครจะเจ็บมากกว่ากันหนอ ระหว่างคนที่ถูกทำร้าย กับฝ่ายทำลายที่เสียใจกับการกระทำของตนเองแล้วกำลังวอนขอความเห็นใจ นี่ผมควรจะเชื่อหัวใจตัวเอง หรือทำเพื่อความถูกต้องดี

“ไม่อยากพูดก็ไม่เป็นไร ผมเข้าใจดี ผมขอโทษนะ ที่ทำให้คุณลำบากใจ ขอโทษจริงๆ ผมจะชดใช้ ชดใช้คุณให้หมดเลยครับ......”

“ไม่ต้องโทรมาหาฉันอีกต่อไป ..........ฉันไม่อยากคุยกับนายอีกแล้ว”

ผมตัดสินใจ ยุติเรื่องทุกสิ่ง อย่างน้อยนี่ก็คือการให้บทเรียนกับเขา

“.............”

เด็กหนุ่มนิ่งไปอึดใจ จากนั้นเขาก็พูดขึ้นมาด้วยเสียงที่สั่นเครือมากยิ่งขึ้น จนผมเองรู้สึกหดหู่ตามไปด้วย

“ถ้านั่นคือความต้องการของเรียว... ผมก็ยินดีปฏิบัติครับ”

“......ไม่ต้องกลัวหรอก.....ฉันน่ะ....ยังคงรักษาสัญญาตามเดิม ......เพียงแต่ฉันไม่อยากพูดคุยกับนายเท่านั้น ขออย่ามารบกวนใจฉันอีก คงเข้าใจแล้วนะ ”

ผมวางสายลงหลังจากพูดจบ ไม่รอฟังต่อว่าเด็กหนุ่มนั่นจะพูดว่าอะไร จากนั้นผมก็เดินไปปิดทีวีที่ผมเพิ่งดูจบไปเมื่อครู่ก่อนที่เขาจะโทรศัพท์มา
รู้สึกปวดหัวตุ๊บๆจนรู้สึกอยากจะพัก เลยตั้งใจจะขึ้นไปนอน เพื่อที่จะหลับแล้วก็พยายามลืมทุกสิ่ง พอเข้าห้องได้ ผมกลับไม่นอนได้แต่นั่งนิ่งอยู่บนเตียงอย่างคนที่ไม่รู้จะจัดการกับชีวิตตนเองอย่างไร
อาการปวดหัวมาเยือนผมอีกแล้ว พร้อมๆกับอาการเจ็บแปลบที่หัวใจ บอกไม่ถูกว่า อาการอย่างไหน ที่สร้างความเจ็บปวดให้ผมมากกว่ากัน
ผมยกสองมือกุมขมับ โดยที่ข้อศอกเท้าอยู่บนหน้าขาทั้งสองข้าง นั่งอยู่ในท่านั้นเกือบครึ่งชั่วโมงเหมือนคนที่คิดไม่ตก
จากนั้นผมก็หงายหลังผลึ่งลงไปนอนอยู่บนเตียง ตาจ้องมองเพดานอย่างเลื่อนลอย มือกุมที่หัวใจ พยายามกดมันลงไปไม่ให้เจ็บปวดไปมากกว่าเดิม

นี่ผมทำอะไรผิดหรือเปล่านะ ผมคิดว่า การให้บทเรียนกับเดียร์เป็นสิ่งที่สมควรทำ แต่ทำไมผมถึงไม่ได้รู้สึกดีขึ้นเลย มันกลับแย่อย่างบอกไม่ถูก น้ำเสียงน้อยอกน้อยใจของเดียร์ดังก้องอยู่ในหูของผมตลอดเวลา

มันทำให้ผมข่มตาหลับไม่ลง เด็กนั่นคงจะเจ็บปวดกับคำพูดของผม เสียงของเขาสั่นมาก เขาจะร้องไห้หรือเปล่านะ ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน เดียร์จะทำท่าเข้มแข็งให้ผมเห็นตลอด จะมีร้องไห้บ้าง ก็ด้วยเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง เช่นดูหนังเศร้า แล้วเขาก็ร้องไห้

ถึงแม้ว่าจะแอบร้อง ผมก็เห็นอยู่ดี ซึ่งเขาก็ทำหน้าอายๆทุกครั้ง เวลาที่อ่อนแอให้ผมเห็น กับร้องไห้เมื่อผมและเขามีอะไรด้วยกันครั้งแรก ซึ่งเขาบอกว่ามันเป็นน้ำตาแห่งความปลี้มปิติ ที่เราสองคนได้เป็นหนึ่งเดียวกัน นอกจากสองเรื่องนี้ ก็ไม่มีเหตุผลใดที่เขาจะร้องไห้ให้ผมเห็นเลย
ผมพลิกตัวไปมา เอามือก่ายหน้าผากครุ่นคิดถึงสิ่งที่ตัวเองได้ทำลงไป ความรู้สึกของผมแตกแยกออกเป็นสองฝ่าย เหมือนมีคนสองคนอยู่ในตัวผม

คนหนึ่งเป็นตัวแทนแห่งจิตสำนึกอันดีงามที่พูดกรอกรูหูผมว่า ผมได้ทำในสิ่งที่ร้ายกาจที่สุด กับคนๆหนึ่งซึ่งรักผมอย่างมากมาย อีกอย่างความผิดนั่นมันก็เกิดขึ้นมาแล้ว มันได้รวมเป็นส่วนหนึ่งในแผนการลักพาตัวผม
ในเมื่อผมก็ให้อภัย และยินยอมเซ็นต์สัญญาเป็นแฟนกับเขาไปแล้ว และเดียร์ก็ทำดีกับผมทุกอย่าง หลังจากเหตุการณ์ล่อลวงวันนั้น ก็ไม่เคยมีสักครั้งที่เดียร์จะทำให้ผมขุ่นข้องหมองใจ

ดังนั้น การที่ผมยังเก็บเรื่องในอดีตที่เพิ่งรับรู้มาไปลงโทษเขา จึงเป็นการกระทำที่ดูเหมือนคนไร้หัวใจอย่างมาก
แต่จิตสำนึกอีกส่วน เป็นตัวแทนแห่งผู้พิทักษ์ความถูกต้อง แม้ว่าการตัดสินใจทำอะไรลงไปบางครั้งจะดูเหมือนจะรุนแรงร้ายกาจก็ตาม
แต่เขาก็บอกกับผมว่า มันเป็นเรื่องที่สมควรทำ การห้ามไม่ให้เดียร์โทรมาหา หรือจำกัดวันมาแค่อาทิตย์ละครั้ง นี่มันเป็นการลงโทษที่เบาไปหน่อย

ความผิดในข้อหาล่อลวงคนอื่น ใช้เล่ห์กระเท่ห์ แบล็คเมล์สารพัด มันต้องถึงขนาดที่ทำลายสัญญาทิ้ง และเลิกคบหากันไปเลย


ตัวแทนทั้งสองฝ่ายต่างพูดจาโน้มน้าวผมให้คล้อยตาม จนผมปวดหัวไปหมด ไม่รู้จะเชื่อใครดี ใจผมไม่เป็นสุขเลย เดียร์ในจินตนาการลอยอยู่ในหัวไปมา
ผมนึกเห็นภาพว่าเขากำลังนั่งร้องไห้ เสียอกเสียใจกับคำพูดที่ร้ายกาจของผม ไม่เป็นอันหลับอันนอนเหมือนที่ผมกำลังเป็นอยู่
ผมรู้ว่าเดียร์รักผมมาก ทั้งคำพูดและการกระทำของเขาแสดงให้ผมรู้อยู่ตลอดเวลา ผมไม่ได้เกลียดเขา ไม่ได้ชิงชังความรักของเขาตามที่เดียร์

ตั้งข้อกล่าวหา ผมรังเกียจวิธีการที่เขาใช้กับผมมากกว่า

ทำไมเขาไม่ทำความรู้จักกับผมดีๆ แบบที่คนอื่นเขาทำกัน

ทำไมไม่จีบผมเหมือนที่เจ้าสันต์ไปจีบคนอื่น

ทำไมต้องวางแผนล่อลวงจับตัวผมไปด้วย

ทำไมต้องใช้วิธีการแบล็คเมล์เพื่อให้ผมยอมเขา

ทำไมไม่ให้ผมตัดสินใจเป็นแฟนกับเขาโดยไม่มีการบังคับฝืนใจ

เขาน่าจะใช้วิธีการในการเข้าถึงผมที่ดีกว่านี้

คำถามมากมายวนเวียนอยู่ในความคิดของผม แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ผมไม่สามารถให้คำตอบกับตัวเองได้ นั่นก็คือ หากเดียร์ใช้วิธีการอย่างที่ผมตั้งคำถามให้กับตนเอง ผมจะยอมเป็นแฟนกับเขาจริงๆนะหรือ

สิ่งที่เดียร์ตั้งข้อสงสัยเอากับผม เป็นเรื่องที่ผมน่าจะทำกับเขา เดียร์รู้เหมือนที่ผมรู้ว่าผมไม่มีโอกาสเปิดทางให้เขาอย่างแน่นอน อย่าว่าแต่ผมจะไม่ยอมตกลงเป็นแฟนเขาเลย เดียร์แทบจะไม่มีโอกาสได้เข้าใกล้ผมเป็นซ้ำสองเลยด้วยซ้ำ

เพราะเขารู้ดีว่าผมไม่มีทางที่จะชอบผู้ชายอย่างแน่นอน เพราะตลอดทั้งชีวิตของผมที่ผ่านมา ผมไม่เคยมีเรื่องชู้สาวกับผู้ชายด้วยกันมาก่อน
การจะให้ผมยอมรับเขาเป็นแฟนแต่โดยดีจึงไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ เดียร์จึงต้องใช้เล่ห์กระเท่ห์เพื่อให้ได้ใกล้ชิดตัวผม และบังคับผมให้เซ็นสัญญาเพื่อที่จะปรนนิบัติผมอย่างที่เขาลั่นวาจาไว้

ผมยกมืออีกข้างขึ้นก่ายหน้าผาก รู้สึกตัวว่าต่อว่าเดียร์แรงเกินไป เขาจะคิดมากกับคำพูดที่ผมบอกว่าผมรังเกียจและชิงชังเขาไหมนะ ผมเองก็ไม่ดี ดันปากไวเกินไป เพราะกำลังโมโห จนไม่มีเวลาที่จะกลั่นกรองคำพูด
รู้แต่ว่าตัวเองน่ะโกรธเด็กหนุ่มมาก และอยากให้เขาไปให้พ้นจากชีวิต แต่เมื่อปล่อยเวลาให้ผ่านไป สำนึกส่วนดีก็มีชัยเหนือกว่า ความรู้สึกบอกว่า ผมควรจะให้อภัยเขาเหมือนที่เคยให้อภัยมาตั้งแต่แรก

ตอนที่ผมถูกเดียร์จับมามัด ผมทั้งกลัวและตกใจ แต่เมื่อได้ฟังเหตุผลของเขา ใจผมก็อ่อนลง แล้วก็กลับมาโกรธใหม่ เมื่อเดียร์แบล็คเมล์ผม แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังยอมทำตามที่เขาต้องการ ทั้งที่ผมมีโอกาสจะขัดขืน
แต่ผมก็มัวแต่ไปรักษาคำมั่น ทำให้ชีวิตตัวเองต้องไปผูกพันอยู่กับเขาจนเลยเถิดมีอะไรกัน ผมบอกไม่ถูกว่าทำไมเมื่อตอนนั้นผมถึงใจอ่อนให้กับเขา

ถ้าเพียงผมจะเข้มแข็งปฏิเสธ เดียร์ก็จะไม่มีวันทำอะไรผมได้ผมพยายามหาคำตอบให้กับตนเองว่ามันเกิดจากอะไร ผมรู้แก่ใจดีว่ามัน ไม่ใช่เพราะรสสัมผัสที่เขามอบให้ ไม่ใช่เพราะการบังคับฝืนใจ
แต่บางทีมันอาจจะเป็นเพราะผมสัมผัสได้ถึงหัวใจของเขา หัวใจรักที่บริสุทธิ์มั่นคงที่มีต่อผมเพียงแค่คนเดียว ใบหน้าซื่อๆกับแววตาจงรักภักดีของเขาต่างหากที่ทำให้ใจผมสั่นไหว จนต้องยินยอมพร้อมใจโดยไม่ขัดขืน


แล้วสำหรับครั้งนี้ มันเป็นความผิดต่อเนื่องกัน ในเมื่อผมเคยอภัยให้เขา ผมจะยกโทษให้เขาอีกครั้งไม่ได้หรือ
เจ้าเด็กนั่นก็ไม่ได้ร้ายกาจอะไรกับผมมากมาย เขาทำเรื่องดีๆให้ผมตั้งเยอะ ทำกับข้าวให้ทาน ดูแลซักเสื้อผ้าทำความสะอาดบ้านให้ เอาใจใส่ตัวผม และแถมด้วยหมาของผมอีก

ออกจะน่ารำคาญไปบ้าง ตรงที่ชอบเอาแต่ใจตัวเอง และชอบนัวเนียชิดใกล้ แต่บางครั้งก็ดูน่ารักดีไม่น้อย เขาทำให้ผมวุ่นวายในขณะเดียว ก็ทำให้ผมหายเหงาได้ด้วย ในเมื่อเขาเรื่องก็ล่วงเลยมาจนถึงป่านนี้แล้ว ผมก็น่าจะลืมๆความผิดของเขาไปเสีย
คำพูดเป็นนาย กายเป็นบ่าวจริงๆดั่งที่เขาว่า ผมได้พูดรุนแรงกับเดียร์ไปเสียแล้ว เนื่องด้วยเพราะต้องการให้เขาได้สำนึกว่า สิ่งที่เขาทำลงไปเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง และเป็นการปรามไปด้วยในตัวว่าต่อจากนี้ไปอย่าได้คิดที่จะทำอีก

ถึงแม้ว่าผมจะอยากให้อภัยเขา แต่เมื่อพูดไปแล้ว ผมก็ไม่อยากเป็นคนพูดกลับไปกลับมาอีก ไม่อย่างนั้นเดียร์จะไม่เกรงใจผม และคิดว่าความโกรธของผมไม่มีความหมาย จะยิ่งสร้างนิสัยเอาแต่ใจตนเอง ไม่เห็นแก่คนอื่นอีก
ผมพลิกคว่ำพลิกหงายพยามยามจะข่มตาให้หลับแต่ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะใจมันคิดวุ่นวายสับสน ในที่สุดผมก็ตัดสินใจลุกขึ้นและเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดวอร์ม หยิบรองเท้าผ้าใบขึ้นมาสวม และหยิบกุญแจบ้านมาถือไว้

ตั้งใจจะออกไปวิ่งรอบหมู่บ้านให้เหนื่อยกลับมาจะได้นอนหลับ อีกไม่นานก็จะเช้าแล้ว แต่เนื่องจากยังอยู่ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ผมจึงไม่ต้องไปทำงาน จะนอนแล้วตื่นมาตอนไหนก็ได้
ตอนนี้ ผมอยากหลับแล้ว แต่มันไม่ง่วงเอาเสียเลย จิตใจก็ฟุ้งซ่าน การออกไปวิ่งแล้วสมาธิจดจ่ออยู่กับเส้นทางที่มุ่งตรงไปข้างหน้า อาจจะทำให้ผมลืมเรื่องขุ่นข้องหมองใจนี้เสียก็ได้

ตอนที่ผมวิ่งออกไปจนเกือบจะถึงทางแยกที่จะออกไปหน้าหมู่บ้าน รถคันหนึ่งก็วิ่งสวนเข้ามาแล้วก็จอดลงเลยทางแยกเข้ามานิดหน่อย ผู้ชายคนหนึ่งลงจากรถมา เขายืนเปิดประตูรถคุยอะไรกับคนข้างในสักพัก แล้วก็ปิดประตู จากนั้นรถก็แล่นออกไป ซึ่งเป็นจังหวะที่ผมวิ่งไปเกือบจะถึงชายคนนั้นแล้ว พอผมเห็นเขาถนัดตา ผมก็วิ่งตรงเข้าไปหา พี่สมชายทำท่าตกใจนิดๆ เขายิ้มเจื่อนๆให้ผม ท่าทางเหมือนคนมีพิรุธ

“ออกมาวิ่งหรือเรียว นึกอย่างไรขึ้นมาล่ะ ทุกทีไม่เคยเห็น”

“เพิ่งจะเริ่มวิ่งนะครับพี่สมชาย ช่วงนี้เอาแต่ทำงาน กินแล้วก็นอน ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายสักเท่าไหร่ ก็เลยจะลองฟิตดูบ้างนะครับ แล้วพอดีนอนไม่หลับด้วย ก็เลยว่าจะวิ่งสักพัก แล้วกลับไปนอน พี่เพิ่งกลับมาจากเที่ยวหรือครับ”

“อื้ม ก็ไม่เชิงหรอกนะ พอดีเจ้านายพาไปเลี้ยงเหล้า และร้องคาราโอเกะน่ะ เพิ่งกลับมานี่แหละ นี่ก็จะรีบเข้าบ้านแล้ว เดี๋ยวเมียบ่นน่ะ ไปก่อนนะ”

พี่สมชายตอบโดยไม่มองตาผม และเดินจากไป ท่าทางลุกลี้ลุกลน เหมือนคนที่ไปทำความผิดอะไรมา แล้วกลัวถูกจับได้ ผมมองตามเห็นพี่สมชายเดินไปยังบ้านพักของแกด้วยท่าทางเหมือนคนเมา พอพี่สมชายเข้าบ้านได้แล้ว ผมจึงหันกลับไปวิ่งต่อ

ผมนึกว่าผมจะได้หลับอย่างสบายใจรวดเดียวโดยไม่ต้องรีบตื่น ให้สมกับการที่ไปวิ่งมารอบหมู่บ้าน จนเหนื่อยลิ้นห้อย
กว่าจะกลับเข้าบ้านก็เกือบหกโมงแล้ว อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ก็ล้มตัวลงนอนแล้วหลับเป็นตาย แต่ผมกลับถูกปลุกเอาเมื่อตอนใกล้เที่ยงด้วยโทรศัพท์ของเจ้าสันต์เพื่อนตัวดีของผม

มันบอกว่าจะมาหาถึงบ้าน ตอนแรกผมปฏิเสธเพราะรู้ว่ามันคงมาเล่าเรื่องที่ไปกับเบนมาให้ผมฟัง แต่ทนเสียงออดอ้อนของมันไม่ได้ ก็เลยยอมให้มันมาหาถึงบ้าน แต่มีข้อแม้ให้มันซื้อกับข้าวมากินด้วย เพราะผมทำไม่เป็น
จากนั้นผมก็นอนต่อแล้วต้องเด้งตัวขึ้นมาใหม่เพื่อมารับโทรศัพท์ของศักดิ์ชาย มันบอกว่าอยากมาหาผมที่บ้าน ผมเห็นว่าไหนๆเจ้าสันต์ก็จะมาบ้านผมอยู่แล้ว หากศักดิ์ชายมาด้วยอีกคนก็คงไม่เป็นไร ก็เลยตอบตกลง

พอวางหูจากเจ้าสันต์ผมกลับนึกขึ้นมาได้ว่า เดียร์เคยขอร้องผมไว้ว่าไม่ให้ผมอนุญาตให้พาใครมาบ้านได้ นอกจากเขา
แต่นี่ผมอนุญาตทั้งเจ้าสันต์และศักดิ์ชาย โดยเฉพาะคนหลังนี้ เดียร์ไม่พอใจเอามากๆ จนถึงขั้นลงมือปล้ำผมเมื่อคราวก่อน
ถ้าเดียร์รู้ เจ้าเด็กนั่นคงจะโกรธแล้วก็อาละวาดใส่ผมเป็นแน่ แต่ช่างเถอะ นี่บ้านของผม ผมจะให้ใครมาก็ได้ เขาไม่มีสิทธิมาห้าม ทิฐิมานะที่มีอยู่ทำให้ผมเพิกเฉยต่อสัญญาที่ให้ไว้ต่อกัน

หลังจากรับโทรศัพท์ของสองคนนั้น ผมก็ล้มตัวลงนอนตั้งใจจะหลับต่อ แต่แล้วผมก็ต้องเด้งตัวขึ้นจากเตียงเมื่อนึกอะไรได้
ผมมองปราดไปที่โต๊ะหัวเตียง รูปของเดียร์ยังอยู่ในกรอบตั้งเด่นอยู่ข้างๆโคมไฟ เสื้อผ้าของเดียร์ที่ผมเอาออกมาจากตู้ ยังพาดอยู่ตรงเก้าอี้มุมห้อง มีร่องรอยของเดียร์มากมายอยู่บนนี้

และที่ข้างล่าง รองเท้าของเดียร์ซึ่งมีขนาดใหญ่แตกต่างกว่าเท้าผมโดยสิ้นเชิงยังวางอยู่ที่ชั้นวางรองเท้า หากศักดิ์ชาย และ สันต์เข้ามาที่ในบ้าน และเห็นเข้า เรื่องคงแตกแน่
คราวที่แล้ว เจ้าสันต์บุกขึ้นมาถึงในห้อง แล้วเห็นรูปเดียร์มันยังซักถามผมล้วงลึกราวกับว่าผมกำลังปกปิดอะไรบางอย่าง
คราวนั้นผมบ่ายเบี่ยงไปได้ แต่ก็ไม่ค่อยจะแนบเนียนนัก หากวันนี้เจ้าสองคนนั่น รวมพลังขุดคุ้ย ซักถาม ผมคงเผลอหลุดอะไรให้มันจับได้เป็นแน่

คิดได้ดังนั้นแล้ว ผมก็รีบลุกขึ้น อาบน้ำ และเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวสำหรับออกไปนอกบ้าน ผมนุ่งกางเกงยีนส์ และหาเสื้อยืดมาใส่
ขณะที่กำลังเลือกเสื้ออยู่นั้น ตาผมก็ไปสะดุดเข้ากับเสื้อยืดสีสันสดใส สามสี่ตัวที่พับเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่ในลิ้นชัก มีริบบิ้นสีสวยคาดเสื้อรวมกัน มีการ์ดสอดอยู่ตรงโบว์ด้วย ผมเอื้อมไปหยิบมาอ่าน

“ที่รักของผม เสื้อยืด 4 ตัวนี้ ผมซื้อให้เป็นของขวัญสำหรับเรียวนะครับ ในวันครบรอบ 1 เดือนที่คุณเป็นของผม สีมันหวานดี เหมาะกับผู้ชายผิวขาวๆหน้าหวานๆแบบเรียว คุณอาจจะไม่ชอบ เพราะไม่ใช่สไตล์ของคุณ แต่ผมอยากให้คุณลองเปลี่ยนดูบ้างนะครับ เรียวอาจจะชินอยู่กับเสื้อผ้าสีขาว ดำ ชอบใส่มัน เพราะนี่คือตัวตนของเรียว

แต่รู้ไหมครับว่า โลกเราไม่ได้มีแค่สองสีนี้เท่านั้น ยังมีสีอื่นๆด้วย เหมือนกับชีวิตคนเรา จะจมอยู่กับความทุกข์ตลอดไปไม่ได้ เราต้องก้าวออกมาจากสิ่งที่ทำให้ใจเราไม่เป็นสุข ยังมีวันเวลาดีๆ และผู้คนอีกมากมาย รอที่จะได้รู้จักกับเรา ทำให้ชีวิตของเรามีสีสันขึ้น ผมคิดว่าเรียวยอดรักของผม เหมาะกับเสื้อผ้าในทุกๆสี เพราะคุณเป็นคนดี จิตใจอ่อนโยน มีเมตตากับคนรอบข้าง

เรียวเป็นคนที่มีค่ามากสำหรับผมและใครๆ เรียวรู้ไหมครับ สีทุกสีมีคุณค่าในตัวของมันเอง ดูเศร้าก็ได้ ทำให้ดูร่าเริงแจ่มใสก็ได้ ฮึกเหิมก็ได้ ผมอยากให้เรียวสดชื่น แข็งแรง มากกว่าจะอยู่ท่ามกลางความหดหู่ทุกข์ทรมานครับ”

ผมอ่านข้อความที่เป็นลายมือของเดียร์จนจบ รู้สึกจุกจนหายใจไม่ออก เหมือนมีใครเอาค้อนปอนด์มาทุบตรงหัวใจของผม
รู้สึกปวดร้าวเหลือเกิน เจ้าเด็กบ้านั่น ทำไมถึงได้ทำกับผมแบบนี้ เขาจะดีกับผมมากมายไปเพื่ออะไร รู้ทั้งรู้ว่าผมไม่อาจเปลี่ยนใจ แต่ก็ยังพยายามที่จะทำทุกอย่างเพื่อผม

แม้แต่รายละเอียดเล็กน้อย เรื่องการใส่เสื้อผ้า การแต่งตัวของผม เขาก็ยังเป็นห่วงเป็นใย ยังไม่นับอารมณ์ความรู้สึกของผมที่เขาเฝ้าคอยจับสังเกตจับตามอง และพยายามที่จะทำให้ผมอารมณ์ดีอยู่ตลอดเวลา
ผมรู้สึกเกลียดเจ้าเด็กบ้านั่นเหลือเกิน ชิงชังเขา เพราะเขาทำให้ผมใจอ่อนลงทุกวัน เพราะเขาทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองทำผิดทุกครั้งที่เผลอร้ายกาจกับเขา และเพราะเขาอีกเช่นกันที่ทำให้กำแพงหัวใจที่ผมสร้างขึ้นมาทะลายลงไปเรื่อยๆ

เมื่อวานนี้เองที่ผมโกรธเขามากทันทีที่รู้เรื่อง และได้ตัดสินใจจัดการกันเขาห่างไปจากชีวิต เพียงเพราะผมรู้สึกว่าสิ่งที่เขาทำกับผม มันเลวร้ายเกินไป มันเหมือนการก่ออาชญากรรมเล็กๆโดยวางแผนร่วมมือกันหลายคน เพียงเพื่อที่จะยึดครองผมไว้เป็นของตัวเอง เขาทำให้ผมกลายเป็นของเขายังไม่พอ ยังพยายามจะให้ผมกลายเป็นพวกเดียวกับเขาให้ได้



anna1234

  • บุคคลทั่วไป
ถึงแม้ว่าผมจะเห็นว่าเขาดีแค่ไหน แต่ผมก็ไม่อยากอภัยให้กับเขาเลย เพราะเหมือนผมกำลังส่งเสริมพฤติกรรมที่ผิดให้กลายเป็นถูก
แต่ตอนนี้เวลาผ่านไปแค่ไม่กี่ชั่วโมง นับตั้งแต่ที่ผมต่อว่าเขา ใจผมกลับเริ่มอ่อนลงอีกแล้ว ไม่เป็นตัวของตัวเองเลย สับสนไปหมด โกรธเขาก็โกรธ แต่สงสารก็สงสาร นี่ผมจะทำอย่างไรดี ผมมองเสื้อพวกนั้นใจก็ลอยคิดไปถึงเจ้าของลายมือ

ที่สู้อุตส่าห์ซื้อเสื้อมาฝาก นอกจากจะเปลี่ยนผมให้กลายมาเป็นเกย์แบบเขาแล้ว นี่ยังจะมาเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์ของผมด้วยหรือ
เขาคิดอย่างไรของเขา ที่เขียนแบบนั้น ต้องการอะไร เขาเห็นผมจมอยู่ในความทุกข์โศกจริงๆ แล้วอยากให้ผมเป็นคนที่สดใสร่าเริง
หรือเพียงแค่เห็นว่าผมใส่แค่ขาวดำ มันดูเชยไม่ทันสมัย ผมก็ว่า ผมแต่งตัวตามสมัยนิยมแล้วนะ ไม่เคยแต่งตัวที่ดูไม่เหมาะสมหรือไม่ดูดีเลยสักครั้ง

เสื้อสีหวานสดใสสี่ตัว ถูกผมหยิบขึ้นมาพิจารณา สีชมพูใส ฟ้าละมุน ม่วงอ่อน และเหลืองนวล แบบและสีเหมือนที่เขาเคยชี้ให้ผมดูตอนที่ไปสวนจตุจักรด้วยกัน มิน่าวันนั้นเดียร์ให้ผมเดินล่วงหน้าไปก่อน เพื่อที่เขาจะแอบไปซื้อมาให้ผมนั่นเอง ผมไม่เห็นเขาเอาออกมาโชว์เลย ตอนเปิดตู้เพื่อหยิบเสื้อผ้ามาใส่ก็ไม่เห็น

เดียร์คงแอบเอามาวางไว้ก่อนไปงานคอนเสิร์ต ผมไม่ค่อยได้ออกไปไหน จึงไม่ได้เปิดดูลิ้นชักเสื้อยืด เขารู้ในข้อนี้ เลยเอามาเก็บไว้ให้เซอร์ไพรส์ ของขวัญสำหรับวันครบรอบ 1 เดือนที่ผมกับเขามีอะไรกัน เจ้าเด็กบ้านั่น จดจำมันได้ด้วยหรือ เหมือนกับว่ามันเป็นวันสำคัญที่สุดของเขา

แล้วเขาอยากจะทำอะไรให้มันดูพิเศษเพื่อเก็บไว้ในความทรงจำ เดียร์ช่างเป็นคนที่ละเอียดอ่อนเสียจริง ผมยังไม่เคยจะจดจำสิ่งเล็กๆน้อยแบบนี้เลยด้วยซ้ำ อาจจะเป็นเพราะผมคิดว่ามันไม่น่าที่จะเก็บไว้ในความทรงจำมากกว่า เลยไม่ค่อยให้ความสำคัญ
กลิ่นหอมของน้ำยาปรับผ้านุ่มจากตัวเสื้อ บอกให้รู้ว่าเดียร์เอาเสื้อไปซักรีดมาให้เรียบร้อยแล้ว แล้วเขารู้ได้ไงว่าผมจะใส่เสื้อผ้าที่เขาเอามาให้
ผมเอามือลูบไล้ไปบนเสื้อสี่ตัวนั้น เนื้อผ้าดีนุ่มไม่ระคายมือแสดงว่ามีราคาพอสมควร และอย่างไม่รู้ตัว ผมดึงริบบิ้นออกแล้วหยิบเสื้อตัวสีชมพูขึ้นมาสวมใส่

สีมันสวยหวานมาก ทั้งที่แบบมันธรรมดา มีลายเพียงเล็กน้อยช่วงบ่า และหน้าอก แต่มันก็ดูสะดุดตา เดียร์เลือกเสื้อผ้าได้เท่ากับขนาดตัวของผมมาก ผมมองตัวเองในกระจก แล้วใช้มือลูบไล้ไปตามเสื้อที่สวมใส่ รู้สึกแปลกๆที่เห็นตัวเองในเสื้อผ้าสีอื่นๆ รู้สึกไม่คุ้นตา จนอยากจะถอดออก ถ้าไม่นึกถึงสิ่งที่เจ้านั่นเขียนไว้

“โลกเราไม่ได้มีแค่สองสีนี้เท่านั้น ยังมีสีอื่นๆด้วย เหมือนกับชีวิตคนเรา จะจมอยู่กับความทุกข์ตลอดไปไม่ได้ เราต้องก้าวออกมาจากสิ่งที่ทำให้ใจเราไม่เป็นสุข ยังมีวันเวลาดีๆ และผู้คนอีกมากมาย รอที่จะได้รู้จักกับเรา ทำให้ชีวิตของเรามีสีสันขึ้น”

ผมไม่ได้อยากรู้จักใครมากมาย แล้วก็ไม่ได้อยากใส่เสื้อตัวนี้ เพราะรู้สึกผิดที่พูดจาไม่ดีใส่เด็กหนุ่มนั่น ผมเพียงอยากทดลองอะไรบางอย่าง ไม่อยากจะจมอยู่ในความทุกข์อีกแล้ว บางทีลองเปลี่ยนตัวเอง อาจจะนำพาสิ่งดีๆมาสู่ชีวิตผมก็ได้
หลังจากส่องกระจกสำรวจความเรียบร้อยให้กับตนเอง และเรียกความกล้าด้วยการสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ผมก็เดินลงมาจากห้องนอน พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่หันหลังกลับไปถอดออก

ไหนๆก็ไหนๆแล้วลองดูสักตั้งหนึ่ง ว่าการเปลี่ยนแปลงตัวเองของผม จะทำให้เกิดเรื่องอะไรขึ้น อยู่ๆก็นึกไปถึงเจ้าของเสื้อ
นี่ถ้าเจ้าเด็กบ้านั่นมาเห็นผมใส่เสื้อที่เขาซื้อมาให้อย่างนี้ เขาจะว่ายังไงบ้างหนอ ป่านนี้จะมัวนั่งร้องไห้อยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้ หวังว่าคงไม่นะ
เด็กนั่นเข้มแข็งจะตาย ถ้าเขาไม่มัวแต่เจ็บปวดกับคำพูดของผมอยู่ เขาน่าจะคิดได้ว่าที่ผมด่านั้นเพียงเพราะไม่อยากให้พฤติกรรมร้ายกาจนั้นเป็นที่ยอมรับอีก ถ้าเขาทำตัวดีๆเสียแต่แรก ผมก็จะไม่ด่าว่าเขารุนแรงแบบนั้น

ประมาณหนึ่งชั่วโมง เพื่อนทั้งสองก็มาถึงบ้าน ศักดิ์ชายมาก่อนล่วงหน้าเจ้าสันต์ 10 นาที ผมมารอสองคนที่หน้าบ้าน ไม่ยอมให้คนทั้งสองเข้าไปโดยอ้างกับคนพวกนั้นว่าที่บ้านแอร์เสีย ร้อน อยู่ไม่ได้ ออกไปหาอะไรกินและคุยกันข้างนอกดีกว่า
ศักดิ์ชายเชื่อสนิทใจ ทำท่าลิงโลด เหมือนว่าผมจะออกไปกับเขาเพียงลำพัง ในขณะที่เจ้าสันต์ทำหน้าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เจ้านี่มันขี้สงสัยอยู่แล้ว มันมองผมอย่างจับผิด แต่ผมทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ รีบลุนหลังพวกมันให้ขึ้นรถ

ตกลงว่า ผมกับเจ้าสันต์จอดรถทิ้งไว้ที่บ้านผม แล้วนั่งรถศักดิ์ชายไป เพราะไม่อยากขับรถไปคนละคัน ที่จอดรถก็หายาก รถติด แถมสิ้นเปลืองน้ำมันอีกด้วย เจ้าสันต์นั่งหน้า และให้ผมนั่งหลังตามเคย

“เกิดอะไรขึ้นหรือวะเรียว นายดีใจที่จะได้ไปกับพวกฉันถึงขนาดงัดเสื้อผ้าสีหวานแหววขึ้นมาใส่เลยหรือวะ”

เจ้าสันต์อดปากคันไม่ได้ แต่ผมเตรียมตัวมาพร้อมแล้วสำหรับคำวิจารณ์ ผมจึงไม่โมโห แต่แกล้งย้อนถามมัน

“ทำไมหรือวะ ใส่สีนี้ มันดูไม่ดีหรือไง”

“ไม่นะ นายใส่สีนี้ ดูดีมากๆเลยเรียว มันทำให้นายดูหวาน เอ้อ หล่อขึ้นมากเลยว่ะ”

ศักดิ์ชายเป็นฝ่ายตอบ ผมเห็นเขามองผมอย่างตะลึงงันตั้งแต่แรกที่เห็นผมแล้ว

“เออว่ะ นายใส่แล้วดูหวานเหมาะกับหน้าของนายเลยเรียว แต่ที่ฉันแซวนี่ เพราะเห็นว่ามันแปลกดี นายไม่เคยใส่เสื้อผ้าสีสันแบบนี้ เห็นแต่ใส่สีขาวดำ หรือไม่ก็สีทึมๆทั้งปีทั้งชาติ เหมือนกับไว้ทุกข์ให้กับใครอย่างงั้นแหละ
พอใส่สีนี้ มันทำให้สดชื่นขึ้นมาหน่อย โธ่เว้ย ฉันปล่อยให้นายหลุดมือฉันไปได้ไงวะ นี่ถ้าสดใสแบบนี้ตั้งแต่แรก ฉันจีบนายไปนานแล้ว”

ไอ้เพื่อนบ้า ยังไม่วายทำหน้าทะเล้นใส่ ผมรู้ว่ามันพูดเล่นขำขำ เจ้าสันต์มันไม่มีทางชอบผมได้หรอก เพราะมันรู้ว่า ผมไม่สนใจผู้ชาย

“เฮ้ย....สันต์นายพูดไรวะ เรียวมันเพื่อนเรานะโว้ย”

ศักดิ์ชายโวยวายกลับมา

“ทำไม ไม่ให้ฉันชอบมัน เพราะนายจะชอบมันซะเองเหรอวะ”

เจ้าสันต์ตอกกลับ ทำหน้ายิ้มยั่ว ผมสบตากับศักดิ์ชายที่กระจกมองหลัง เห็นมันทำหน้าแดงๆ ไม่รู้ว่ามันโกรธหรือมันอายกันแน่ แต่ที่รู้ๆผมยอมให้พวกมันมาทะเลาะกันเพราะเรื่องผมไม่ได้ ต้องออกโรงห้ามศึกเสียแล้ว

“สองคนนี้ เป็นอะไรกันวะ เข้าใกล้กันทีไร จะกัดกันทุกที ถ้านายทะเลาะกันอีก ก็พาฉันไปส่งบ้าน ฉันไปต้มมาม่ากินเองก็ได้ เบื่อไปกับพวกนายสองคน ทะเลาะกันไม่หยุดเสียที”

“เออๆๆๆๆๆๆๆ หยุดก็ได้วะ ฉันไม่ได้เริ่มสักหน่อย แล้วฉันก็ยังไม่พูดทำอะไรด้วย มีแต่ไอ้บ้าสันต์นะแหละ หาเรื่อง รู้งี้ถีบมันลงไปจากรถซะก็ดี แล้วให้เรียวมานั่งหน้า”

ศักดิ์ชายทำหน้ามุ่ยๆ บ่นกระปอดกระแปด เหมือนไม่พอใจเจ้าสันต์ แต่ไอ้เพื่อนนักรักของผมยังลอยหน้าลอยตาทำทะเล้น

“นายแต่งแบบนี้ไปตลอดเลยก็ดีนะเรียว มันทำให้นายดูสดใสขึ้น ฉันน่ะอยากเห็นนายเป็นเรียวคนเก่าที่ร่าเริงแจ่มใส เปลี่ยนสไตล์การแต่งตัวแล้วก็ทำจิตใจให้มันเหมาะกับเสื้อผ้าที่ใส่ด้วยนะโว้ย
นายหน้าตาอ่อนเยาว์ใสปิ๊งใสปิ๊งอ่อนกว่าอายุจริงอยู่แล้ว หลอกใครๆได้สบายเลย ขี้คร้านจะพบรักใหม่ในเร็ววัน ไม่ต้องมาทำตัวหงอยเหงาซึมเศร้าอยู่กับบ้านเหมือนอย่างทุกวัน”

เจ้าสันต์หันมาแนะนำเชิงสอนผมให้วางตัวให้เหมาะกับลุคใหม่ เจ้าบ้าเอ๊ย แค่เปลี่ยนเครื่องแต่งตัวนี่นะ จะต้องเปลี่ยนนิสัยใจคอไปพร้อมๆกันด้วยหรือไง บ้าหรือเปล่าวะ

“ฉันเห็นด้วยกับสันต์ว่ะ งานนี้ เรียวคนก่อน น่ารัก ร่าเริง ใจดี ใครๆก็อยากเข้าหานาย แต่เดี๋ยวนี้ นายเอาแต่คร่ำเคร่งอยู่กับงาน แล้วก็ขรึมมากกว่าแต่ก่อน บางทีก็ดูเหมือนหงุดหงิดง่ายด้วย มันเกิดอะไรขึ้นหรือวะ อยากถามมาตั้งนานแล้วแต่ไม่กล้า กลัวนายโกรธ”

ศักดิ์ชายเอ่ยปากถามผม ด้วยน้ำเสียงกล้าๆกลัวๆ

“ฉันเปลี่ยนไปมากถึงขนาดนั้นเลยเหรอวะ”

ผมย้อนถามพวกนั้น ไม่แน่ใจว่ามันพูดเล่นหรืออำผมกันแน่ ไม่คิดว่าตัวเองเปลี่ยนไป

“ใช่ นายไม่เหมือนก่อน ตอนที่เรียนด้วยกันมา นายร่าเริงสนุกสนาน น่ารักกว่านี้ตั้งเยอะ เดี๋ยวนี้นายดูเครียดๆ จนบางครั้งฉันไม่กล้าแหย่นายเลย”

“เห็นไหมวะเรียว ไม่ใช่ฉันคนเดียวที่สังเกตเห็น นายเปลี่ยนไปจริงๆนะ ซึมเศร้า เอาแต่งาน เหมือนคนไม่มีความสุข
ฉันบอกนายเป็นร้อยเป็นพันหนแล้ว ว่าอย่าไปทุ่มเทหัวใจให้กับผู้หญิงคนนั้น แล้วเป็นไง เขาทิ้งนายไปหาคนอื่นที่รวยกว่า หน้าที่การงานสูงกว่า แล้วตัวเองก็มานั่งเศร้า ทรมานอยู่คนเดียว ไม่เปิดใจให้คนอื่นเลย”

เจ้าสันต์ว่าผมโดยไม่ติดเบรก ในที่สุดมันก็หลุดคำพูดที่เป็นเรื่องที่รู้กันเพียงแค่ผม เจ้าสันต์ อรจิรา และคนไม่กี่คนเท่านั้น ผมเอามือตบไปที่กระบาลมันด้วยความโมโห

เจ้าสันต์ร้องโอ๊ย หันมาหาผม พอเห็นผมทำหน้ายักษ์ใส่มันก็ยกมือขึ้นอุดปาก ทำท่านึกขึ้นได้ แต่ช้าไปเสียแล้ว ศักดิ์ชายได้ยินคำพล่ามของมันเต็มรูหู มันหันมาสบตาผมในกระจก แล้วถามด้วยความสงสัย

“นายเคยอกหักด้วยหรือวะเรียว ใครวะ ที่สามารถทิ้งผู้ชายหน้าตาดีๆอย่างนายได้ ไม่เห็นรู้เรื่องเลย ทำไมนายไม่เล่าให้ฉันฟังบ้างวะ บางทีฉันอาจจะช่วยอะไรนายได้บ้าง”

“ช่วยอะไรวะ จะหาแฟนใหม่ให้หรือไง โธ่เอ๊ย เป็นเพื่อนกันแล้วไงวะ ต้องเล่าให้ฟังทุกอย่างเลยเหรอ ไม่ต้องมาทำเป็นน้อยอกน้อยใจเลย เรื่องแค่นี้เพื่อนสนิทไม่ต้องเล่าก็เดาได้เฟ้ย

ถ้าช่างสังเกตเอาหน่อย และติดตามข่าวคราว ไอ้เจ้าเรียวมันเดี๋ยวรักเดี๋ยวเลิกกับพวกแฟนๆมันมาหลายรอบแล้ว เรียวมันหน้าตาดีจะตาย มีแฟนก็ตั้งหลายคน บางครั้งมันก็ทิ้งเขา บางทีเขาก็ทิ้งมัน คนมันไปด้วยกันไม่ได้ จะทนอยู่ด้วยกันไปทำไม”

คราวนี้ไอ้เพื่อนปากมาก พยายามแก้หน้าให้ผม มันทำท่าฉุนเฉียวใส่ศักดิ์ชาย เหมือนว่าไอ้นี่ มันไม่เคยรู้เรื่องอะไรเลย เป็นเพื่อนกันได้ไง ศักดิ์ชายทำหน้าโกรธๆที่เจ้าสันต์เหมือนรู้อะไรดีกว่ามัน แล้วยังมาด่าว่ามันอีก

“แหม ฉันก็แค่สงสัยว่าทำไมเรื่องแบบนี้ มีแต่นายที่รู้แล้วฉันไม่รู้ ทั้งๆที่ฉันกับเรียวเป็นเพื่อนกันมาตั้งนาน เพิ่งจะแยกกันไม่กี่ปี ตอนเรียนจบ แต่เราก็สนิทกัน ฉันอยากรู้ทุกเรื่องของเรียว เพราะมันเป็นเพื่อนฉัน ถ้ามีอะไรที่ฉันช่วยได้ก็อยากช่วย ก็แค่นี้ที่ฉันรู้สึกน้อยใจ ทำไมนายต้องมาทำเหมือนกับว่าฉันโง่เง่านักวะ”

“ฉันไม่ได้ว่านายโง่สักหน่อย แต่แค่สงสัยว่า เพื่อนกันไม่จำเป็นต้องรู้ไปเสียทุกเรื่องก็ได้”

“นี่ หยุดกัดกันซักที น่ารำคาญว่ะ จะไปด้วยกันแท้ๆ ยังมาทะเลาะกันเป็นเด็กๆอีก โตๆกันแล้วนะโว้ย ไอ้สันต์ก็ชอบแหย่ไอ้ศักดิ์มันทำไมนักวะ
นายเองก็เหมือนกัน ไม่เห็นจะน่าน้อยใจอะไร มันเรื่องส่วนตัวนี่นา ทำไมฉันต้องไปโพนทะนาให้ใครๆรู้ด้วยว่าตอนนี้มีแฟน หรือตอนนี้อกหัก ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องป่าวประกาศให้ใครรู้สักหน่อย”

ผมด่าพวกมันสองคนอย่างฉุนๆ ที่พวกมันตั้งหน้าตั้งตาแต่จะคอยแขวะกัน เจ้าสันต์เพื่อนผมมันไม่ชอบศักดิ์ชายเพียงเพราะว่า มันคิดว่าเพื่อนเก่าของผมเป็นเกย์ แล้วปกปิดไว้ไม่กล้าเผยตัว ต่างจากมันที่แสดงออกอย่างโจ่งแจ้ง
มันไม่ชอบที่สันต์หลอกได้แม้กระทั่งตัวเอง แถมซ้ำยังหลอกคนอื่นๆด้วย นอกจากนี้มันยังคิดเอาเองด้วยว่าศักดิ์ชายแอบชอบผม จึงพยายามกันท่าเต็มที่

แต่นอกเหนือจากสองประเด็นนี้ มันก็ไม่ได้รู้สึกเกลียดศักดิ์ชาย บางครั้งมันทั้งสองก็เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย เวลาจะจับผิดผม

“โหย เรียวแค่นี้ โกรธหรือวะ เห็นไหมว่านายเปลี่ยนไปจริงๆ หงุดหงิดขี้โมโหง่ายจังเลยว่ะ”

เจ้าสันต์ทำเป็นบ่น ผมเลยตบหัวมันอีกครั้ง

“เพราะพวกนายสองคนนั่นแหละ ทำให้ฉันเปลี่ยน ยั่วโมโหกันจริงเชียว อารมณ์กำลังดีอยู่แท้ๆ มากัดกันให้อารมณ์ขึ้นอีก ถ้าทะเลาะกันอีกนะ ฉันลงจากรถทันที”

ผมขู่พวกมันเพราะรำคาญเต็มแก่ อีกทั้งต้องการเปลี่ยนเรื่องไม่ให้เข้ามาใกล้ตัวผมมากนัก เจ้าสันต์ทำเป็นหน้าทะเล้นบอกว่ามันไม่พูดเรื่องผมก็ได้ พูดเรื่องมันดีกว่า

“เบนน่ารักมากเลยว่ะ”

นึกอยู่แล้วว่าคนอย่างเจ้าสันต์มันอดที่จะเล่าถึงคนที่มันถูกใจไม่ได้หรอก ทันทีที่เปลี่ยนเรื่องพูด มันก็เริ่มจ้อถึงหนุ่มเบนทันที

“แล้วลืมน้องแซ่บไปแล้วหรือวะ”

ผมแกล้งดักคอมัน รู้สึกหมั่นไส้ที่มันทำท่าร่าเริงเกินเหตุ เมื่อวานผมยังนั่งปลอบใจมันอยู่แท้ๆ แต่คราวนี้ ผมกลับต้องมานั่งฟังมันเล่าถึงผู้ชายคนใหม่ด้วยท่าทางระริกระรี้

“ยังหรอก ฉันยังรักเขาอยู่ อยากได้เขากลับคืนมา แต่ก็ไม่รู้จะมีหวังหรือเปล่า ท่าทางตาแก่หัวงูนั่นไม่ยอมปล่อยมาง่ายๆด้วย น้องแซ่บนะน้องแซ่บ เห็นเงินดีกว่ารักแท้ไปได้ แต่ช่างมันเถอะ
ถ้าไม่เพราะทุกข์เรื่องน้องแซ่บ ฉันก็ไม่มีทางได้เจอกับเบนหรอก บางทีเบนอาจจะช่วยทำให้ฉันลืมเรื่องที่ไม่สบายใจก็ได้นะ....”

เจ้าสันต์พูดอย่างมีความหวัง ดูเหมือนเพื่อนผมมันจะไม่เข็ดหลาบกับความรักสักเท่าไหร่ ถึงผมจะหมั่นไส้มัน แต่ก็รู้สึกยินดีไปกับมันไม่ได้ เพื่อนผมร่าเริงแบบนี้ก็ดีแล้ว การเห็นมันร้องไห้ เป็นเรื่องที่ทำให้ผมพลอยหดหู่ไปกับมันด้วย

“ใครคือน้องแซ่บเหรอ แล้วนี่สันต์นายอกหักเหรอ คนที่ทำนายอกหักนี่ผู้ชายใช่ไหม”

ศักดิ์ชายซึ่งไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย ถามออกมาให้เข้าทางเจ้าสันต์ซึ่งจ้องจะกัดจนได้

“เออ ฉันเป็นเกย์แสดงออกให้เห็นอย่างทนโท่แบบนี้ ไม่อกหักเพราะผู้ชาย จะให้ฟูมฟายเพราะผู้หญิงหรือไงวะ ไม่ต้องถาม นั่งฟังเฉยๆ ก็ถือว่ามีส่วนร่วมแล้ว ไม่มีใครเขาว่าอะไรหรอก”

“เฮ้ย..........อะไรวะ”

ศักดิ์ชายร้องอย่างเหลืออด มันเบรกรถกระทันหัน จนพวกเราหน้าทิ่มไปตามๆกัน เสียงรถที่ตามหลังมาบีบแตรลั่น เพราะอยู่ดีๆพ่อเจ้าประคุณก็จอดรถมันซะกลางถนนเสียยังงั้น


b_hihi

  • บุคคลทั่วไป
รวดเร็วทันใจ

ต่เร็วมากๆ

รักเธอ

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
เค้า จา ไปไหน


กัน เนี่ย



แล้ว เดียร์ อ่ะ



เปงงัย บ้างงง


เปง ห่วง จังงงงง

va_yu

  • บุคคลทั่วไป
เรียวน่ากินนะเนี่ย  :z1:

อยากรู้ว่าเดียร์จะง้อเรียวแบบไหน ลุ้นอีกแหล่ะ

ออฟไลน์ โน๊อา

  • อยู่เป็นคู่ เช่น ฉันคู่เธอ
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1419
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-1

fayossy

  • บุคคลทั่วไป
สงสารเรียวจัง แต่ก็สงสารเดียร์ด้วย
ทำไมเรียวปิดกั้นตัวเองขนาดนั้น คนที่เพียรพยายามก็ทำำไป
รู้สึกเหนื่อยบ้างมั้ยเนี่ย เหนื่อยได้แต่อย่าท้อนะ

 :sad11:
อ่านเรื่องนี้แล้วอินได้อีกตู

ออฟไลน์ sukie_moo

  • ปัจจุบัน คือ อดีตของอนาคต
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-15
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:

ทั้งเรียว ทั้งเดียร์ต่างก็มีเหตุผลของตัวเองทั้งคู่

ได้แต่เอาใจช่วย  :เฮ้อ:


anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่14 15/1/09
«ตอบ #109 เมื่อ15-01-2009 17:56:48 »

บทที่ 14


“นายมีอะไรคาใจกับฉันหรือเปล่าวะ ถึงคอยกัดอยู่เรื่อย ถามอะไรนิดอะไรหน่อยเป็นต้องแขวะทุกที อารมณ์เสียแล้วนะโว้ย”

ศักดิ์ชายถามอย่างฉุนเฉียว คราวนี้ผมเข้าข้างเพื่อนเก่าของผม เนื่องจากเจ้าสันต์มันทำเกินไปจริงๆ

“เป็นอะไรไปวะสันต์ ฉันก็เห็นศักดิ์ชายมันถามดีๆนี่หว่า ทำไมต้องไปแขวะมันด้วย มันไม่ได้รู้เรื่องอะไรสักหน่อย พอนายเล่า มันก็แค่อยากรู้เท่านั้น เพื่อนกันก็พูดดีใส่กันหน่อยไม่ได้หรือไง ... ถ้าไม่อยากให้ศักดิ์มันรู้ ก็ไม่ต้องเล่าหรอก เอาไว้อยู่กันสองคนค่อยเล่าแล้วกัน เอาล่ะ ศักดิ์นายขับรถต่อเถอะ มาจอดกลางถนนแบบนี้ มันกีดขวางการจราจร และอันตรายด้วยนะ
ดูสิ รถติดกันแล้ว ข้างหลังก็บีบแตรไล่พวกเราด้วย ไปเถอะ เดี๋ยวเขาก็ลงมาด่ากันหรอก”

ผมต่อว่าเจ้าสันต์เสร็จ ก็หันมาบอกให้ศักดิ์ชายออกรถ นั่นแหละ เจ้าเพื่อนเก่าขี้ใจน้อยก็เลยได้สติ ขับรถเคลื่อนออกไปจากจุดที่ทำให้เกิดปัญหาการจราจรนั้น บรรยากาศในรถหลังทะเลาะกัน เต็มไปด้วยความเครียด

ศักดิ์ชายนั่งหน้ามู่ทู่ไม่พูดไม่จา เจ้าสันต์นั้นทำหน้ากวนๆ มันพยายามสบตาผมหลายรอบเพื่อจะคุยด้วย แต่ผมแสร้งทำเป็นมองออกไปนอกรถ ไม่สนใจมัน

ในที่สุดศักดิ์ชายก็พารถเข้าไปจอดในศูนย์การค้าที่พวกเราตกลงกันไว้ตั้งแต่แรกว่าจะมาหาอาหารกินกัน แล้วอาจจะมีกิจกรรมอื่นๆทำต่อกันด้วย

หลังจากตกลงเรื่องร้านอาหารอยู่นาน ในที่สุดก็ตกลงกันว่า จะไปทานอาหารญี่ปุ่นกัน เพราะกินอาหารไทยทุกวันเลยอยากจะเปลี่ยนรสชาติ เจ้าสันต์เสนอเป็นอาหารแบบบุปเฟต์เพราะจะได้ทานเยอะๆ ให้คุ้มกับเงินที่ต้องจ่าย

ในเมื่อไม่มีใครออกความเห็นเป็นอย่างอื่น พวกเราก็เลยต้องยอมตามใจเจ้าสันต์ แล้วปล่อยให้มันเดินนำตรงไปยังร้านอาหารที่ว่านั้น
ระหว่างทานอาหาร เจ้าสันต์พยายามจะเล่าต่อ แต่ผมตั้งกติกาให้มันก่อนว่า ถ้าจะเล่า ก็ห้ามแขวะคนอื่น เพราะมันเปิดประเด็นขึ้นมากลางวง ยั่วให้เกิดความอยากรู้อยากเห็น

เพราะฉะนั้นทุกคนมีสิทธิถามได้ ไม่ว่าคำถามนั้นจะดูซื่อบื้อแค่ไหน มันก็ต้องตอบ ความที่มันอยากเล่า ทำให้มันรีบรับปาก หลังจากนั้น ทั้งผมกับศักดิ์ชาย ก็ฟังมันพล่ามถึงเบนจนหูชา

“สันต์นี่มันดีเนอะ กล้าเปิดเผยความรู้สึกของตนเอง”

ศักดิ์ชายพูดกับผมขณะที่เจ้าสันต์ไปเข้าห้องน้ำเนื่องจากท้องเสียขึ้นมากะทันหันเพราะกินมากไปหน่อย ทิ้งให้เราสองคนเดินดูเสื้อผ้าไปเรื่อยๆในห้าง หลังจากทานเสร็จ

“อื้ม มันก็เป็นของมันอย่างนี้ล่ะ เปิดเผย ปากไว ตรงไปตรงมากับความรู้สึกของตัวเอง แต่มันก็เป็นคนจิตใจดีนะ คอยเป็นห่วงเป็นใยเพื่อนฝูง กับฉันมันก็คอยมาดูแล รำคาญมันนิดหน่อย แต่รวมๆแล้วมันก็เป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่ง”
ผมตอบศักดิ์ชายไปตามความรู้สึกที่มีต่อเจ้าสันต์ พลางหยุดยืนอยู่ที่แผนกเสื้อผ้าชาย และมองดูเสื้อเชิ้ตหลากสีที่แขวนไว้ในราวแบบเรียงโทนสี ดูสวยสะดุดตา

“นายดูสนิทสนมกับสันต์มากกว่าฉันอีกนะ”

ศักดิ์ชายเดินเข้ามาใกล้ผม แล้วพูดเหมือนน้อยใจ ผมขยับตัวออกเล็กน้อยรู้สึกอึดอัด ทำเป็นเดินไปดูเสื้อเชิ้ตที่แขวนไว้

“ก็สนิทกับมันตอนทำงานนั่นแหละ เมื่อสี่ห้าปีก่อน ออกพื้นที่กับมันบ่อย มันอยู่ฝ่ายตรวจสอบ ที่นายย้ายเข้าไปทำนี่แหละ ส่วนฉันยังเป็น
พนักงาน ต้องดูแลพื้นที่ทางภาคตะวันออก พอมีปัญหาก็ต้องลงไปกับมันน่ะ นายถามแบบนี้หมายความว่ายังไงเหรอ น้อยใจอะไรหรือเปล่า”

ผมย้อนถามมัน พลางหยิบเสื้อโทนสีฟ้าขึ้นมาดู

“เปล่าหรอก แค่นึกถึงว่า เมื่อก่อนฉันก็สนิทสนมไปไหนมาไหนกับนายบ่อยๆ เหมือนที่นายไปกับเจ้าสันต์ พอเราไม่เจอกัน แค่ไม่กี่ปีหลังจากเรียนจบ มันก็ดูเหมือนห่างเหินกัน”

ศักดิ์ชายพูดเหมือนน้อยอกน้อยใจ ผมมองหน้ามัน เห็นมันทำหน้าเศร้าๆ ก็รู้สึกแปลกๆ ไอ้หมอนี่มันเป็นอะไรของมันนะ ทำท่ายังกับว่าอกหักยังไงยังงั้น ผมก็เลยต้องพูดอธิบายให้มันฟังเพื่อที่มันจะได้สบายใจ แล้วก็ปลอบโยนมันไปด้วย

“คิดมากน่า ยังไงนายก็ยังเป็นเพื่อนฉันเหมือนเดิม แต่เราจะไปไหนด้วยกันบ่อยๆไม่ได้หรอก เพราะว่านายเองก็แต่งงานแล้ว ต้องให้เวลากับลูกกับเมีย ฉันกับเจ้าสันต์มันพวกคนโสดด้วยกันทั้งคู่ ไม่มีใครต้องมานั่งรอพวกเราที่บ้านอยู่แล้ว จึงสามารถรวมหัวไปเที่ยวกันได้ แต่ช่วงนี้ ฉันก็ไม่ได้ไปกับมันแล้วล่ะ มันเบื่อน่ะ”

“คราวหลังนายไปเที่ยวกับฉันบ้างได้ไหม”

เจ้าศักดิ์เดินมาใกล้ผมอีก ผมเลยคว้าเสื้อสีฟ้าซึ่งสีต่างกับตัวแรกมาอีก สองตัว แล้วเดินไปที่กระจกเงาบานใหญ่ตั้งพื้น รู้สึกอึดอัดเมื่ออยู่ใกล้ๆมัน เดี๋ยวนี้ศักดิ์ชายทำตัวไม่เหมือนก่อน ชอบแสดงอาการงอน หรือ น้อยอกน้อยใจในตัวผมเรื่อย บางทีก็มาทำหวานใส่ผมจนนึกกลัว

“ไปได้เหมือนกัน แต่ไม่บ่อยนะ นานๆทีก็ได้ เดี๋ยวนี้ไม่ชอบเที่ยว อีกอย่าง ไม่อยากไปรบกวนเวลาของเมียนายและลูกน่ะ เอ...นายว่าเสื้อสีฟ้านี้ใส่แล้วจะดูเหมาะกับฉันไหมวะ”

ผมพยายามเปลี่ยนเรื่อง โดยการถามความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องเสื้อผ้ากับมัน ศักดิ์ชายกอดอกแล้วเอียงคอไปมายามมองดูผม แล้วก็ยิ้มให้

“ผิวขาวอย่างนาย ใส่อะไรก็ดูดี ยิ่งสีฟ้า ยิ่งทำให้หน้านายสว่างขึ้นนะ”

“จริงเหรอ อย่ามาแกล้งชมให้ตายใจนะโว้ย”
“จริงสิ นายน่ารักอยู่แล้ว ยิ่งเติมสีสันเข้าไป ยิ่ง ดูหวาน น่ารักอย่างบอกไม่ถูกเลย”

ศักดิ์ชายชมผมใหญ่ เล่นเอาผมเขิน แล้วก็ยิ่งรู้สึกแปลกๆกับคำชมของมัน จนไม่อยากจะรับคำชมนั้น ผมเลยแกล้งโวยวายใส่มัน

“เฮ้ย...เปลี่ยนคำชมหน่อยได้ไหมวะ บอกว่าหล่อยังพอเข้าใจ บอกหน้าหวานนี่ชวนให้คิดถึงตุ๊ด ถึงแต๋ว ฉันไม่ใช่ผู้ชายนะยะ นะเว้ย อย่าทำให้ขนลุกอย่างงี้สิวะ”

ศักดิ์ชายทำหน้าสลด มันเอื้อมมือจะมาคว้าข้อมือผม แต่ผมเดินเลี่ยงกลับมาที่ราวแขวนเสื้อผ้าอีก คราวนี้หยิบเสื้อสีโทนม่วง กับชมพู สีอ่อนๆ ขึ้นมาถือไว้ในมือทั้งสองข้าง

“นี่นายจะลองเสื้อพวกนี้หมดเลยหรือเรียว”

เสื้อผ้าที่เต็มไม้เต็มมือของผม เรียกความสนใจจากศักดิ์ชายไปชั่วขณะ ผมยิ้มให้มันแบบเจ้าเล่ห์นิดๆ
อันที่จริง เสื้อผ้าพวกนี้ มันก็สีสวยใช้ได้อยู่หรอก แต่จุดประสงค์ทีผมหอบมาลองดูนั้นไม่ใช่เพราะผมต้องการซื้อเสื้อผ้าใหม่ แต่ผมต้องการถ่วงเวลาจนกว่า เจ้าสันต์จะมาตามหาพวกเราเจอต่างหาก

อย่างน้อยการเข้าไปอยู่ในห้องลองเสื้อผ้าที่คับแคบ ก็ยังดีกว่าอยู่กับศักดิ์ชายในที่กว้างๆ แต่อึดอึดทุกทีเวลามันเข้าใกล้
ยอมรับว่าคำพูดของเจ้าสันต์ มีผลต่อผมจริงๆ อย่างน้อยๆเวลาที่ผมเห็นศักดิ์ชายทำท่างอนๆใส่ ผมก็รู้สึกกลัวทุกที กลัวว่าจะมีเดียร์คนที่สองเกิดขึ้นในชีวิตของผม

“จะเปลี่ยนสไตล์การแต่งตัวหรือเรียว นึกอะไรขึ้นมาวะ หรือว่านายเจออะไรที่เป็นแรงบันดาลใจถึงต้องลุกขึ้นมาปฏิวัติตัวเองเป็นคนใหม่อย่างนี้”
ศักดิ์ชายยังไม่วายสงสัย พลางเดินตามผมมาที่ห้องลองเสื้อผ้า ทำท่าเหมือนจะก้าวตามไปด้วย แต่ผมรีบปิดประตู ก่อนจะร้องตอบมันออกไป
“อื้ม.....ก็อยากลองทำอะไรที่ไม่เคยทำน่ะ”

หึหึ แรงบันดาลใจอะไรล่ะ คำพูดที่ว่า “โลกนี้ไม่ได้มีเพียงแค่สองสีเท่านั้น ยังมีสีอื่นอีกด้วย” ของเจ้าเด็กบ๊องนั่นนะเหรอ ก็มีส่วนอยู่บ้าง แต่มันไม่ใช่ตัวเร่งให้รีบปฏิบัติอย่างรวดเร็วเสียเมื่อไหร่

นายต่างหากที่ทำให้ฉันกลัวจนต้องหนีเข้าห้องแต่งตัวน่ะ .......ผมนึกในใจ อยากตอบไปอย่างนั้น ก็เกรงว่าจะเป็นการคิดมาก เดี๋ยวเพื่อนจะเสียใจ ถ้าหากมันไม่ได้คิดอะไรกับผม จะยิ่งเป็นการไม่ยุติธรรมกับมัน
เสื้อเชิ้ตสำหรับใส่ทำงาน ถูกนำมาสวมกับตัว ผมมองภาพตัวเองในกระจก ก็เห็นหนุ่มหน้าใสมองตอบกลับมา สีฟ้าอ่อนของเสื้อ ทำให้ผมดูแปลกตาออกไป

ผมถอดเสื้อออก แล้วหยิบอีกตัวที่มีสีเข้มกว่าขึ้นมาสวม แล้วเอียงตัวไปมา อื้ม เข้าท่าดีเหมือนกัน ผมลองสีชมพูอ่อนดูบ้าง ก็ได้ความรู้สึกอีกแบบ มันดูหวานๆนุ่มนวลตาดีจัง ทำให้ผมเกิดความรู้สึกชอบเสียแล้วสิ
หลังจากสาละวนลองไปลองมา ผมก็ตัดสินใจที่จะซื้อเสื้อเชิ้ตสีฟ้า สองเฉดสี และ สีชมพูอ่อน รวมเป็นสามตัว ผมเดินออกมาจากห้องลอง ก็เห็นศักดิ์ชายยืนรออยู่ก่อนแล้ว

มันยิ้มให้ผม แล้วถามว่าทำไมไม่ลองให้มันดูบ้างว่าใส่แล้วเป็นอย่างไร ผมบอกไม่อยากให้ใครเห็น เก็บเอาไว้เซอร์ไพรส์ดีกว่า เพื่อนเก่าของผม เลยทำท่าว่าเสียดายที่ไม่ได้เข้าไปดูด้วย
ขณะที่ผมกำลังจ่ายเงินให้กับแคชเชียร์ เจ้าสันต์ก็ตามหาพวกเราเจอพอดี มันทำท่าแปลกใจที่เห็นผมซื้อเสื้อผ้าที่มีสีสัน
พอผมบอกว่าอยากจะลองเปลี่ยนสไตล์การแต่งตัวดูบ้าง มันก็ดีดนิ้วเปาะ พลางเดินไปที่ราวที่แขวนเสื้อเชิ้ต แล้วหยิบเสื้อสีที่เข้มกว่าตัวที่ผมเลือกมาอีก 2-3 ตัว
ผมมองเสื้อสีชมพูช็อคกิ้งพิ้งค์ สีฟ้าอมม่วง และ สีชมพูกุหลาบ นั้นอย่างงงๆ มันยิ้มให้ผมแล้วบอกว่า ไหนๆจะเปลี่ยนแล้ว ก็ควรจะเลือกสีที่เข้มๆเอาไว้สลับกันด้วย

พอผมบอกว่าผมไม่เอาด้วยหรอก อยู่ๆจะให้มาเปลี่ยนเป็นใส่สีแบบนี้ได้ไง โดยเฉพาะสีที่มันเลือกมาให้แต่ละตัวดูมันหวานเหมาะกับผู้หญิงใส่มากกว่าผมอีก มันก็ด่าว่าผม ว่าถ้าไม่เหมาะ แล้วเขาจะดีไซน์ออกมาเป็นเสื้อผ้าผู้ชายได้ไง
เมื่อเห็นว่าผมยังอิดออดมันก็ควักกระเป๋าเงินออกมา แล้วจ่ายเงินให้กับพนักงานตัดหน้าผม ซึ่งยืนถือเสื้อสามตัวที่เลือกไว้ แล้วก็หันมายิ้มกวนๆ พลางบอกว่า เพื่อการเปลี่ยนแปลงที่ดีของเพื่อน มันยินดีซื้อเสื้อสามตัวนี้ให้เป็นของขวัญ

เลยกลายเป็นว่าตลอดช่วงบ่าย ทั้งสันต์และศักดิ์ชายชวนผมเดินช็อปปิ้งเพื่อเลือกซื้อเสื้อผ้าให้กับผม นัยว่าพวกมันเห็นด้วยที่จะแปลงโฉมผมเสียใหม่ ให้กลายเป็นหนุ่มเมโทรผู้ทันสมัยตั้งแต่หัวจรดเท้า
ผมได้กางเกงมาสามตัว และ เนคไทใหม่ๆลายเก๋อีก 4-5 เส้น โดยที่ศักดิ์ชายซื้อเนคไทให้ผม 2 เส้นเป็นของขวัญในวันที่ผมกับมันเป็นเพื่อนกันมานาน

ผมรู้สึกแปลกๆกับของขวัญที่ศักดิ์ชายซื้อให้ เพราะข้ออ้างในการที่มันให้ของผม ฟังดูเป็นเรื่องที่พิกลอยู่ ผมเป็นเพื่อนกับมันมาก็นานมาก มันก็ทำดีกับผมมาตลอด แล้วผมก็ไม่ได้อยากได้อะไรของมันด้วย
พอจะไม่รับ มันก็ทำท่าเป็นงอนผม ก็เลยต้องยอมด้วยกลัวมันจะโกรธ แต่ผมก็ตอบแทนพวกมันด้วยการบอกว่าจะจ่ายค่าโบว์ลิ่งเกมส์กับค่าห้องคาราโอเกะให้มัน เพราะเห็นเจ้าสันต์บ่นมาตั้งนานแล้วว่าอยากไป

ที่ห้องคาราโอเกะ เจ้าสันต์ผูกขาดอยู่กับการร้องเพียงแค่คนเดียว ในขณะที่ผมนั่งฟังอยู่เฉยๆ ส่วนศักดิ์ชายก็เอาแต่จ้องผม ที่ผมรู้เพราะเวลาผมหันไปมองมันทีไร ก็เห็นมันมองผมแล้วยิ้มให้อยู่ก่อนแล้ว ผมเสียอีกที่ต้องไปฝ่ายเบือนหน้าหนีมันทุกครั้ง

“เปลี่ยนเป็นเพลงสไตล์ลูกทุ่งดีกว่า อิอิอิ”

เจ้าสันต์กดเพลงใหม่ โดยเลือกเอาเพลงลูกทุ่งที่นำมาร้องใหม่ด้วยนักร้องนำระดับซุปเปอร์สตาร์ และเป็นเพลงที่กำลังฮิตอยู่ พอเพลงมา เจ้าสันต์ก็วาดลวดลายทั้งร้องทั้งเต้น
มันหันมาชวนให้ผมกับศักดิ์ชายร้องด้วยกัน และยื่นไมค์มาให้ ผมปฏิเสธ เพราะรู้สึกเขิน แต่ตาก็จับจ้องอยู่ที่ทีวี พยายามร้องตามไปกับมันโดยไม่ใช้ไมค์

เพลงใหม่ขึ้นมาอีก คราวนี้ ภาพในจอทำให้ผมตาลุก นักร้องสาวสวยที่กำลังดัง ในเสื้อผ้าสุดเซ็กซี่ กำลังร้องเพลงในเนื้อหาที่ออกไปในแนวพิศวาสบาดลึก

ผมไม่ได้จ้องนักร้องคนนั้น หากแต่จ้องแดนเซอร์ที่เธอกำลังนัวเนียในเพลงมากกว่า ผมจำเรือนกายที่สูงใหญ่กับใบหน้าที่คมเข้มได้ดี
พ่อหนุ่มเดียร์แต่งกายด้วยกางเกงยีนส์เพียงแค่ตัวเดียวท่อนบนเปลือย กำลังเต้นอยู่กับนักร้องสาวในจังหวะที่เร่าร้อนวาบหวาม มือใหญ่ๆของเดียร์วางอยู่ที่ตรงเอวสองข้างของเธอ ทั้งสองโยกตัวไปมาด้วยท่วงท่าที่สอดคล้องประสานกัน
ใบหน้าของผมร้อนผ่าว รู้สึกแปลกๆเมื่อได้เห็นเดียร์ในมิวสิควิดิโอเพลงดัง ถึงแม้จะรับรู้มาตลอดว่าเดียร์เป็นแดนเซอร์ แต่ผมมักจะจินตนาการเดียร์ในภาพสุดท้ายที่ผมเคยเห็นตอนเขาเป็นนางโชว์ พอมาเห็นเขาเต้นแบบแดนเซอร์จริงๆ ก็อดทึ่งไม่ได้
ภาพบนจอเปลี่ยนไปอีกแล้ว คราวนี้เป็นเพลงใหม่ของนักร้องสาวคนเดิม ดูท่าเจ้าสันต์จะติดใจการร้องเลียนแบบนักร้องสาวคนนี้นัก
มันจีบปากจีบคอร้องเพลงทำเสียงเหมือนผู้หญิงโดยไม่ได้ใส่ใจผม และศักดิ์ชาย ซึ่งก็เป็นการดี เพราะมันจะได้ไม่สังเกตเห็นว่าผมกำลังให้ความสนใจกับภาพมากกว่าเพลง

คราวนี้เป็นเพลงเร็ว โดยนักร้องสาวคนเดิมออกมาเต้นกลับกลุ่มแดนเซอร์หนุ่มๆ ผมไม่ได้สนใจแดนเซอร์คนอื่นๆ นอกจากหนุ่มลูกครึ่งร่างสูงผมหยิกที่เคลื่อนไหวร่างกายไปตามจังหวะเพลงด้วยท่วงท่าที่แข็งแรง และ สวยงาม
ดูเหมือนช่างกล้องก็มักจะจับภาพเดียร์ สลับกับนักร้องสาวคนนั้นบ่อยๆ มากกว่าแดนเซอร์คนอื่นๆ อาจจะเป็นเพราะใบหน้าที่หล่อเหลา และเรือนกายที่ดูดีของเขาก็ได้

ผมนั่งมองเดียร์ในมิวสิควิดิโออย่างตะลึง นี่เป็นอีกแง่มุมหนึ่งของเดียร์ที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ผมรู้ว่าเดียร์เคยเป็นนักมวยมาก่อน แล้วเขายังเคยทำงานเป็นนางโชว์ในคณะคาร์บาเรต์ เป็นพ่อครัว เป็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์ และพนักงานในร้านกาแฟ แต่กับภาพที่เห็นเบื้องหน้า มันเป็นอะไรที่ผมไม่เคยจินตนาการไปถึง

“สนใจเพลงหรือสนใจนักร้องอยู่หรือเรียว”

ศักดิ์ชายมานั่งข้างๆผมตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เขาถามผมเบาๆในช่วงที่เจ้าสันต์ร้องเพลงจบและกำลังสาละวนกดเพลงใหม่ที่มันต้องการ

“นักร้องคนนี้ชื่ออะไรเหรอ”

ผมแกล้งถามมัน ทำทีเป็นสนใจในตัวนักร้อง ให้มันเข้าใจไปแบบนี้ก็ดีแล้ว เกิดมันรู้ว่าผมไม่ได้สนใจทั้งสองอย่าง แต่กำลังสนใจแดนเซอร์หน้าหล่อ เดี๋ยวจะยุ่งกันไปใหญ่

ศักดิ์ชายบอกชื่อนักร้องมา แล้วก็บอกรายละเอียดมาเสร็จสรรพ ว่าเธอเคยเป็นดารามาก่อน แล้วก็มาออกเทปก็ดังเปรี้ยงปร้าง
แต่ตอนนี้มีข่าวฉาวๆเกี่ยวกับตัวเธอมากมายเกี่ยวกับการที่เปลี่ยนคู่ควงหลายคน ผมฟังบ้างไม่ฟังบ้าง ยอมรับว่าศักดิ์ชายข้อมูลดี แต่ผมไม่ค่อยสนใจเรื่องข่าวซุบซิบในวงการบันเทิงเท่าไหร่

เมื่อก่อนนี้ตอนที่ผมยังไม่ได้บ้างาน ผมก็ชอบดูหนังฟังเพลง และรู้จักพวกดาราฮอลลีวู้ดหลายคน เพราะผมมักจะทำการบ้านก่อนและหลังการดูหนังทุกครั้งเพื่อทำความเข้าใจกับเนื้อเรื่อง
แต่นับจากอกหัก ผมก็ห่างหายไปจากวงการหนังและละคร ทุ่มชีวิตจิตใจให้กับงานอย่างเดียว ผมจึงไม่ค่อยได้รู้เรื่องราวอะไรมากนัก แล้วอีกอย่างตอนนี้ผมก็ไม่อยากจะรู้เรื่องของคนอื่นด้วย

มีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ เอาใจเขามาใส่ใจเรา ผมไม่อยากให้ใครมาวุ่นวายสอดรู้สอดเห็นในเรื่องของผม ดังนั้นผมจึงไม่พยายามไปรู้เรื่องของคนอื่นๆ เพราะเขาก็คงไม่พอใจเหมือนผมเช่นกัน

“สองคนนั้น คุยอะไรกันวะ หนุงหนิงเชียว ให้มาร้องเพลง ไม่ใช่ให้มาจีบกันโว้ย”

เจ้าสันต์หันมาเห็นเราสองคนเข้าพอดี เลยแซวเสียงดังลั่นห้อง ทำให้ทั้งผม และ ศักดิ์ชายต่างเขยิบตัวออกจากกันโดยอัตโนมัติ
“บ้าแล้วไอ้สันต์ เรียวแค่ถามฉันว่านักร้องคนนี้ชื่ออะไร แล้วฉันก็ตอบเท่านั้น คิดอะไรไปไกลวะ เพื่อนกันนะโว้ย จะมาจ่งมาจีบอะไร”

ศักดิ์ชายเถียงปากคอสั่น จนผมรู้สึกสงสารที่มันชอบเป็นลูกไล่ให้เจ้าสันต์ขบกัดเอาอยู่เรื่อย ผมเลยด่าเจ้าสันต์มันกลับไปว่า
ไอ้พวกใจอกุศล ชอบคิดไม่ดีอยู่เรื่อย มันทำหน้างอ หาว่าผมไปว่ามัน เลยพาลไม่ร้องคาราโอเกะต่อ ทำเป็นกระฟัดกระเฟียด ผมเลยยกเท้าถีบมันทีหนึ่งด้วยความหมั่นไส้ พอจ่ายเงินเสร็จ ผมก็แกล้งทำเป็นลืมไม่ไปเล่นโบว์ลิ่งต่อเสียเลย

ตอนที่เราสามคนกำลังจะกลับบ้านนั้น ก็สวนกับขบวนของนายทรงพลเข้าอย่างจัง ที่ผมเรียกว่าขบวนก็เพราะ นายทรงพล กำลังเดินจับมือถือแขนกับน้องแซ่บอดีตชายคนรักของเพื่อนผม โดยมีบอดี้การ์ดในชุดเครื่องแต่งกายลำลอง 4- 5 คน รายล้อมรอบคนทั้งสอง
แต่ละคนหุ่นล่ำ สูงสง่า หน้าตาใช้ได้ ทันทีที่นายทรงพลเห็นพวกผม เขาก็เดินตรงรี่เข้ามาทักทาย พอรู้ว่าพวกเรากำลังจะกลับบ้าน เขาก็ขอร้องว่าอย่าเพิ่งกลับ ไหนๆจะมาเจอกันแล้ว เขาขอเลี้ยงอาหารเย็นพวกเราสักมื้อ

ผมหันไปมองหน้าเจ้าสันต์ เห็นมันทำหน้าโกรธๆ ตาจ้องน้องแซ่บเขม็ง ส่วนศักดิ์ชายก็ดูเหมือนไม่อยากจะร่วมวงด้วยเท่าไหร่ มันไม่ชอบนายทรงพลตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันแล้ว
ผมเห็นเพื่อนทั้งสองทำท่าไม่อยากไป ก็จะขยับปากปฏิเสธแต่ช้าไปกว่า นายทรงพลซึ่งคงจะสังเกตอากัปกริยาพวกผมอยู่ก่อนแล้ว เขาทำหน้ายิ้มๆ และพูดในสิ่งที่พวกผมปฏิเสธไม่ได้

“เป็นโชคจริงๆที่ได้มาเจอพวกคุณ ผมตั้งใจว่าจะไปหาที่บริษัท เพื่อที่จะปรึกษาเรื่องการทำประกันเพิ่มให้กับคนที่บ้านของผม อยากทำให้พวกพี่น้องและหลานๆ แล้วก็ทำให้กับพนักงานของผมอีก แต่ก็ยังหาเวลาว่างไม่ได้
วันนี้ บังเอิญได้มาเจอคนในบริษัท ผมก็อยากจะขอโอกาสเลี้ยงข้าวพวกคุณ และปรึกษาหารือเรื่องการทำประกันไปด้วย หวังว่าพวกคุณคงไม่รังเกียจคำขอของลูกค้าคนนี้นะครับ”

แน่นอนสำหรับผมแล้ว เรื่องงานการและผลประโยชน์ของบริษัทย่อมมาก่อน เพื่อนสองคนของผมก็เหมือนกัน พวกเราถูกสอนให้พยายามรักษาผลประโยชน์ของบริษัท และช่วยกันรับผิดชอบให้บริษัทมียอดขายที่มากขึ้น ทั้งทางตรงหรือทางอ้อม
ถึงแม้ว่าพวกเราจะไม่ค่อยชอบใจนักที่เวลาส่วนตัวของพวกเราถูกทำลาย แต่เราต้องจำเป็นต้องเสียสละความสุขของตัวเองเพื่องาน ซึ่งผมคิดว่า คงไม่ใช้เวลามากมายสักเท่าไหร่ อย่างเก่งก็ไม่เกิน สองชั่วโมงเท่านั้น

นายทรงพลยิ้มกริ่มอย่างพออกพอใจ ตาของเขามองมาที่ผมอย่างมีความหมาย แต่ผมหลบตาแล้วหันไปมองทางอื่นเสีย เจ้าของร้าน อัญมณี พาเราเดินเข้าร้านอาหารอิตาลีราคาแพงที่จัดตกแต่งร้านอย่างหรูเลิศ
พอนั่งที่กันเรียบร้อย เขาก็ให้พวกเราสั่งอาหารมาทานกัน ระหว่างที่รออาหารมาเสิร์ฟ นายทรงพลก็พูดคุยถึงร้านที่เขาดูแลอยู่ด้วยท่าทีสบายๆ ผมเพิ่งรู้ว่ามหาเศรษฐีวัยกลางคนมีสาขาของร้านขายเครื่องประดับอัญมณีอยู่ในห้างนี้ด้วย
แล้วเขาก็มักจะมาดูแลร้านที่สาขานี้เป็นประจำ เพราะอยู่ในย่านใจกลางเมือง และลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเป็นพวกไฮโซมีระดับ ร้านที่ห้างแห่งนี้ ทำยอดขายได้ดีกว่าร้านที่ไปเปิดในโรงแรมใหญ่ๆเสียอีก
“คุณเรียว รู้จักคุณอรจิรามานานหรือยังครับ”



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่14 15/1/09
« ตอบ #109 เมื่อ: 15-01-2009 17:56:48 »





anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่14 15/1/09
«ตอบ #110 เมื่อ15-01-2009 17:57:21 »

อยู่ๆการสนทนาของทรงพลก็วกเข้ามาประเด็นนี้ เล่นเอาผมนิ่งอึ้งไปเลย ไม่รู้ว่านายทรงพลจะมาไม้ไหน กว่าจะตอบก็เงียบไปหลายวินาที

“ก็หลายปีครับ รู้จักกันในฐานะเพื่อนร่วมงาน ถามทำไมเหรอครับ”

โกหกไปแล้วผมก็ย้อนถามด้วยความสงสัย

“เธอสวยดีนะ กล้าพูด กล้าถามดี สมแล้วกับที่เป็นฝ่ายประชาสัมพันธ์ แต่บางครั้งความกล้าของเธอก็มีมากเกินไปหน่อย จนบางทีมันก็เกินงาม หรือคุณว่าไง”

นายทรงพลโยนคำถามกลับมาให้ผมอีกครั้ง คราวนี้ผมไม่ตอบ ได้แต่ยิ้ม ถึงจะเห็นด้วยกับคำพูดนั้น แต่ก็ไม่ใช่วิสัยผมที่จะไปวิพากษ์วิจารณ์ผู้หญิง โดยเฉพาะผู้ซึ่งเคยเป็นอดีตคนรักเก่าของผมมาก่อน

“คุณเป็นสุภาพบุรุษดีจังเลยนะครับคุณเรียว ผมนับถือคุณจริงๆ”

เมื่อเห็นผมไม่ตอบ นายทรงพลก็เลยชมผมขึ้นมา ผมมองสบตาที่แหลมคมนั้นถึงได้รู้ว่าเขามองผมอย่างเข้าใจ เจ้าของร้านเพชรคนนี้ เป็นคนที่มีความสามารถในการคาดเดาเรื่องต่างๆได้ดีจากการสังเกตสังกาของตนเอง และผมคิดว่าเขาคงรู้ว่าระหว่างผมกับอรจิรามีเรื่องราวบางอย่างที่บาดหมางกัน

“ครับ ขอบคุณครับ”

ผมกล่าวขอบคุณ ทำเป็นรู้ไม่เท่าทันความคิดของผู้สูงวัยกว่า เขามองผมยิ้มๆ จากนั้นต่างคนก็ต่างให้ความสนใจกับอาหารตรงหน้าที่พนักงานเอามาเสิร์ฟ

“คุณทรงพลชอบไปไหนกับเพื่อนเยอะๆแบบนี้หรือครับ”

อยู่ๆเจ้าสันต์เพื่อนผมก็พูดโพล่งขึ้นมา มันกวาดสายตาไปยังหนุ่มๆของนายทรงพลก่อนจะมาหยุดนิ่งอยู่ที่น้องแซ่บ
ผมเห็นเจ้าเด็กนั่นหลบตาเพื่อนของผม ทำเป็นหยิบนั่นจิ้มนี่เข้าปากง่วนอยู่ นายทรงพลหัวเราะเบาๆ พลางยักไหล่ เหมือนเรื่องที่สันต์ถามไม่ใช่เรื่องที่แปลกประหลาดอย่างใด

“พวกน้องๆน่ะ เป็นทั้งเพื่อน บอดี้การ์ด และ บรรดาคนรู้ใจของผมนะครับ ผมน่ะ มันคนนิสัยไม่ค่อยดี ชอบที่จะอยู่ท่ามกลางคนหน้าตาดีๆ มันทำให้รู้สึกอบอุ่น และมีความสุขนะครับ เหมือนตอนนี้ผมก็ยิ่งรู้สึกดีเพิ่มขึ้นที่มีคนหน้าตาดีๆอย่างคุณเรียวมาร่วมวงด้วย”

“เหรอครับ อื้ม ดีจังเลยนะครับ เป็นแบบคุณทรงพลนี่ รวยซะอย่าง อยากได้อะไรก็ต้องได้ ผมชักอยากเป็นแบบคุณทรงพลจัง บางทีเงินนี่ ก็สามารถซื้อได้ทุกสิ่งจริงๆนะครับ แม้แต่หัวใจของคน ลำพังหัวใจอย่างเดียว คงไม่สามารถซื้อความภักดีของใครได้”

เจ้าสันต์ทำเป็นชื่นชมนายทรงพล แต่ผมรู้ว่า เจ้านี่แขวะน้องแซ่บเต็มๆ แล้วมีหรือที่คนฉลาดอย่างเจ้าของร้านเพชรคนนี้จะไม่เข้าใจความหมายในคำพูดนั่น เขาปรายตามองไปทางเด็กแซ่บ แล้วก็แค่นยิ้ม
มันก็เป็นส่วนประกอบอย่างหนึ่งล่ะครับ ทำไงได้ ผมไม่ได้หล่อ แบบคุณเรียวนี่ครับ แล้วก็แก่แล้วด้วย มีทางเดียวที่ผมจะยื้อความสุขให้อยู่กับตัวเองได้นานที่สุด นั่นก็คือใช้เงินที่ผมมีให้เกิดประโยชน์
ผมรู้ว่า อย่างที่ผมเป็นอยู่นี้ หาคนจริงใจ มอบความรักแท้ให้ได้ยาก บางคนก็มาหาเราเพื่อผลประโยชน์ แต่ผมไม่แคร์
ถ้าผมให้ พวกเขาก็ต้องตอบแทนผมบ้าง ขอมาก ก็ต้องให้ผมอย่างคุ้มค่าที่ผมเสียไป ทำอย่างนี้ ต่างคนก็ต่างได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบครับ”

“แล้วคุณทรงพล ช่วยเหลือในรูปแบบไหนบ้างล่ะครับ”

ศักดิ์ชายทำเป็นอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาซะงั้น แต่นายทรงพลไม่ยักจะโกรธคำถามล้วงลึกนั่น กลับแสดงท่าเต็มอกเต็มใจตอบคำถาม

“อ๋อ ก็แล้วแต่พวกเขาจะมาขอน่ะครับ บางคนก็ให้การช่วยเหลือทางด้านการเงิน หลักหมื่น หลักแสน ไปจนถึงหลักล้าน บางคนก็ขอบ้าน ขอรถ ขอสิ่งของที่จะช่วยให้ความเป็นอยู่สะดวกสบายขึ้น ผมก็จัดสรรให้ตามต้องการ อยากได้อะไรก็เอาไป แต่เวลาผมขอ ก็ต้องให้ผมบ้าง นะครับ.....”

นายทรงพลหยุดพูด แล้วกวาดสายตามายังพวกเราที่นั่งอยู่ แล้วทำหน้ายิ้มๆก่อนจะเอ่ยขึ้นเป็นการดักคอ

“เอ....ถามผมแบบนี้ เกี่ยวกับเรื่องการประกันหรือเปล่า หวังว่าคงไม่ยกเลิกกรมธรรม์ผมนะครับ ถึงผมจะมีน้องๆเยอะแยะ แต่ผมก็ระมัดระวังป้องกันตัวอย่างดี เรื่องสุขภาพ หรือเรื่องที่จะถูกทำร้าย จากใครๆนี่ตัดไปได้เลยครับ ไม่ต้องห่วง ผมยุติธรรมกับทุกคนที่ดีกับผม และผมไม่เอาเรื่องใครไปประจานให้เกิดความเสียหายแน่ๆ”

“แหม ผมชักอยากจะเป็นน้องๆของคุณทรงพลจัง”

เจ้าสันต์กล่าวเชิงสัพยอก นายทรงพลหัวเราะ แล้วทำเป็นป้องปากเหมือนจะพูดกับพวกผมสามคน แต่ที่จริงเขาก็พูดด้วยเสียอันดัง พลางทำหน้ายิ้มๆ เหมือนพูดทีเล่นทีจริง

“แหม เสนอมาอย่างนี้ ผมก็อยากรับไว้นะครับ แต่โชคร้ายไปหน่อยที่ผมชอบแต่คนหน้าตาหล่อๆ แบบคุณเรียวนี่ ถ้าเบื่อที่จะทำงานแล้ว อยากนั่งกินนอนกินสบายๆ มาคุยกับผม
อยากได้อะไร ผมก็จะให้เลยนะครับ แต่ว่าคงจะยาก เพราะท่าทางคุณเรียวคงไม่ชอบสักเท่าไหร่ แต่ถ้าคุณสันต์สามารถทำให้คุณเรียวยอมได้ ผมจะตอบแทนอย่างคุ้มค่าเลยครับ”

“โห ล้อเล่นใช่ไหมครับนี่.....”

ผมหน้าร้อนผ่าว ไม่คิดว่า นายทรงพลจะกล้าพูดจาแบบนี้กับผม ต่อหน้าต่อตาพวกเพื่อนทั้งของผมและของเขา ผมหันไปมองเห็นเจ้าสันต์กับศักดิ์ชายทำหน้าเหมือนตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน แต่บอดี้การ์ดสามสี่คนนั่น ทำหน้ายิ้มๆ เหมือนฟังเรื่องขำขำมากกว่า

“ครับ ล้อเล่นครับ........คิดว่าเรื่องจริงเหรอ ผมแค่แหย่คุณเรียวเท่านั้น ไม่ทำจริงหรอก ไม่งั้น แซ่บโกรธ ผมตายแน่ จริงไหมจ๊ะที่รัก”
นายทรงพลโอบไหล่แซ่บให้เข้ามาหา พลางจูบที่หน้าผาก พวกเราต่างตะลึงที่เห็นชายสูงวัยแสดงความรักกับหนุ่มวัยละอ่อนต่อหน้าต่อตาในเวลากลางวันแสกๆ แถมเป็นที่สาธารณะเสียด้วย

เด็กแซ่บเองก็ดูท่าจะตกใจไม่น้อย แต่คงไม่ได้เกิดเนื่องจากนายทรงพลโอบกอด แต่คงเป็นเพราะเห็นเจ้าสันต์มองตาค้างมากกว่า

“ผมรู้จักน้องแซ่บนี่จากการแนะนำของคุณสุริยะ แซ่บเขาถูกชักชวนให้มาขายประกัน แล้วแซ่บก็มาหาผมพร้อมกับคุณสุริยะนี่แหละ คุณสุริยะพามาศึกษางานขายในภาคสนาม แต่ผมถูกตาต้องใจเขา ผมก็เลยขอมาจากคุณสุริยะดื้อๆเลย ก็รู้นะ ว่าเขาชอบพอกัน แต่ของแบบนี้ ใครดีใครได้ ผมได้เขามาแล้ว ผมก็ต้องพยายามจะดูแลเขาอย่างดีที่สุดครับ”

ผู้เฒ่าทรงพลพูดยิ้มๆ

“ท่าทางจะเป็นคนเสน่ห์แรงสินะครับ น้องแซ่บของคุณทรงพลนี่ ใครๆก็ชอบหน้าตาหล่อๆแบบนี้ ผมเห็นผมยังชอบเลยครับ”

เอาอีกแล้วเจ้าสันต์ แกว่งปากหาเรื่องจริงๆ มีเสียงหัวเราะชอบอกชอบใจมาจากนายทรงพล เขามองสบตากับสันต์แล้วพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะว่า

“ผมก็ว่างั้นแหละ เห็นคุณจ้องอยู่ตาเป็นมันเลย อื้ม ไม่แน่นะ ถ้าหากว่าคุณอยากได้จริงๆ แล้วแซ่บเขาอยากไป ผมก็อาจจะยกแซ่บให้คุณก็ได้ แต่ต้องแลกกันนะ คุณสันต์ต้องหาคนหล่อๆมาให้ผมเป็นการตอบแทน เอาหล่อๆหน้าตาดีแบบคุณเรียวนี่เลยนะ สเป็คผมเลยล่ะ”

พูดจบนายทรงพลก็หัวร่องอหาย ราวกับว่าเรื่องที่พุดนั้นมันขำเสียเต็มประดา แต่คนที่หัวเราะไม่ออกคือผม เริ่มรู้สึกไม่ชอบขี้หน้าลูกค้ารายนี้เสียแล้ว ภาพพจน์ผู้ดีที่มีความคิดหลักแหลมเมื่อแรกเห็นถูกแทนที่ด้วยภาพ ตาแก่ลามก ที่จ้องจะงาบผู้ชายอยู่ตลอดเวลา
นี่ถ้าผมเห็นเขาเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรกก็อย่าหวังเลยว่าผมจะรับประกัน ท่าทางเจ้าชู้แบบนี้ เสี่ยงต่อการดำรงชีวิตอย่างปลอดภัยของเขานัก หากไม่มีความระมัดระวังพอ อาจจะเป็นเอดส์ หรือถูกบรรดาคู่ขาฆ่าตายแน่

“อื้ม ผมคงไม่กล้าอาจเอื้อมหรอกครับ เพราะผมไม่รวยพอ น้องแซ่บมาอยู่กับผมคงอดตาย สู้ผมไปหาคนที่เขาพร้อมจะมีรักแท้ให้ผมดีกว่าครับ”

เจ้าเพื่อนผมมันพูดยิ้มๆ แต่ตาก็ยังจ้องน้องแซ่บอยู่ไม่วางตา ผมเห็นเด็กนั่นหลบตาเจ้าสันต์ ท่าทางอึดอัดที่หัวข้อสนทนาเป็นเรื่องของตนเอง

“ว้า.....แย่จังเลยนะครับ ผมก็อดได้รู้จักกับคนใหม่ๆสไตล์คุณเรียวนะสิ”

ทรงพลทำท่าเสียดาย พลางมองหน้าผมยิ้มๆ ผมนึกเกลียดหน้าตาหื่นๆนั้น แต่ด้วยมารยาทของพนักงานบริษัทที่ดีที่ต้องดูแลเทคแคร์ลูกค้าที่ทำตัวดั่งพระเจ้า ทำให้ผมต้องแสร้งทำว่าเรื่องที่ได้ยินได้ฟังทั้งหมดเป็นเพียงแค่เรื่องแหย่เล่นขำขัน ไม่จริงไม่จังอะไร

“คุณทรงพล คงจะเจอคนที่หน้าตาหล่อ และดีกว่าผมในวันข้างหน้าแน่นอนครับ ดูจากคนที่แวดล้อมรอบตัวคุณทรงพลสิ ก็ใช่ว่าจะขี้ริ้วขี้เหล่ อะไร แต่ละคนก็หน้าตาดีทั้งนั้นเลยนะครับ”
ผมกล่าวชมหนุ่มๆของเขา เบี่ยงเบนประเด็นออกจากตัวเอง นายทรงพลทำหน้าเหมือนรู้ทัน เขาสบตาผมแล้วก็ยิ้มอย่างมีความหมาย

“อื้ม ผู้ชายหล่อๆ หาง่ายครับคุณเรียว แต่คนที่จะจริงใจกับเรานั่นมันหายากครับ ยิ่งคนที่ปฏิเสธเงินของผม ยิ่งหายากเข้าไปใหญ่ ผู้ชายสมัยนี้ส่วนใหญ่ชอบความสะดวกสบายทั้งนั้นละครับ หวังรวยทางลัดกันซะมากกว่าการทำงานหนักแบบหามรุ่งหามค่ำ อะไรที่มันง่ายๆมันถึงไม่ค่อยน่าสนใจไงครับ”

“งั้นหรือครับ”

ผมถามไปอย่างแกนๆ ไม่ได้สนใจเรื่องคำตอบสักเท่าไหร่ เหมือนพูดออกไป เพราะไม่รู้ว่าจะคุยกับเขาเรื่องอะไรมากกว่า ไหนบอกว่าจะมาคุยเรื่องการทำประกันเพิ่มไง แล้วไหงเรื่องที่คุยกลับไม่พ้นเรื่องส่วนตัวของเขากับพวกหนุ่มๆล่ะ
ผมหันไปมองศักดิ์ชายกับสันต์เพื่อดูว่าเพื่อนผมจะมีปฏิกิริยาอะไรบ้าง ก็เห็นว่าสองหนุ่มนั่นนั่งทำหน้าเบื่อๆด้วยกันทั้งคู่

“เห็นว่าคุณทรงพลอยากทำประกันเพิ่มให้กับพนักงานในร้านเหรอครับ อันที่จริงเรื่องนี้ ถามคุณสุริยะก็ได้เหมือนกัน เพราะเขาเป็นตัวแทนที่ดูแลคุณ แต่หากจะถามความเป็นไปได้ว่าจะผ่านไหม หรือ ต้องใช้หลักฐานอะไรบ้างหรือเปล่า ก็ถามพวกเราได้ครับ”

เมื่อไม่อยากทนอึดอัดนั่งให้นายทรงพลแทะโลม โดยไม่สามารถโต้ตอบได้ดังใจ เพราะเกรงว่า จะทำให้บริษัทเสียลูกค้า ผมก็เลยเปลี่ยนเรื่องพูด เรื่องการทำประกันเป็นสิ่งที่เขาใช้เป็นข้ออ้างในการชวนพวกผมมาทานข้าว
ดังนั้นผมจะไม่ยอมให้เวลาของพวกเราสูญไปโดยเปล่าประโยชน์ อย่างน้อยก็ถือว่าได้ทำหน้าที่ให้การบริการกับลูกค้าของบริษัท และหาช่องทางในการขายเพิ่ม

ซึ่งแน่นอน ในเมื่อนายทรงพล มีตัวแทนที่คอยดูแลอยู่แล้ว ผมจึงไม่ก้าวก่ายไปขายแทน คงต้องบอกให้เขากลับไปตกลงกับนายสุริยะอีกครั้ง หลังจากฟังรายละเอียดต่างๆแล้ว
เฒ่าร้านเพชรทำหน้าเหมือนรู้เท่าทันความคิดผม แต่เขาก็นิ่งเฉยเสีย ไม่แสดงออกว่าโกรธเคืองที่ผมวกเข้ามาหาเรื่องประกันแต่อย่างใด
ผมว่าเขารู้เท่าๆกับที่ผมรู้ว่า การคุยเรื่องประกันเป็นเพียงแค่ข้ออ้างเท่านั้น แต่ถ้าหากเขาไม่คุยกับผมด้วยเรื่องนี้ ต่อ คราวหลังคำพูดของเขาทุกอย่างจะเป็นสิ่งที่เชื่อถืออะไรไม่ได้

เขาจึงต้องเล่นตามน้ำ โดยถามผมเกี่ยวกับเรื่องการประกันกลุ่ม เขาถามถึงจำนวนคนขั้นต่ำที่จะต้องทำประกัน ว่าสามารถทำได้กี่คน มีเงื่อนไขรับประกันอย่างไร
ผมก็บอกเขาไปว่า เขาสามารถที่จะเลือกได้ว่า จะทำประกันแบบกลุ่ม หรือ ทำประกันแบบ สะสมทรัพย์รายเดือน อย่างแรก ต้องอยู่ในรูปบริษัท คนทำขั้นต่ำ 5 คนขึ้นไป ต้องเป็นพนักงานประจำเท่านั้น โดยที่ตัวเขาจะจ่ายเงินค่าประกันให้ลูกจ้างทั้งหมด หรือ จะให้ลูกจ้างออกส่วนหนึ่งก็ได้

แต่การทำประกันวิธีหลังนั้นลูกจ้างในร้านสามารถทำประกันโดยที่สามารถหักจ่ายเป็นรายเดือน สามารถเอาบุคคลในครอบครัว เช่น พ่อแม่ สามี และลูกมาทำประกันร่วมด้วยได้ โดยหักเงินจากบัญชีเงินเดือนของพนักงาน
ผมบอกถึงเอกสารต่างๆที่ต้องใช้ รวมถึงผลประโยชน์คร่าวๆ ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ให้เขาติดต่อกับนายสุริยะเพื่อดำเนินการอธิบายและจัดการทำประกันให้ก่อนนำส่งบริษัทอีกที
ขณะที่ผมกำลังอธิบาย นายทรงพลทำท่าเหมือนตั้งอกตั้งใจฟัง แต่สายตาของเขาที่มองมา มันบอกให้รู้ว่า สิ่งที่ผมพูดไป ไม่ได้เข้าหัวอะไรนายทรงพลเลย

สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่ผม ใบหน้ายิ้มละไม ผมต้องสะกดกลั้นอารมณ์ความรู้สึกไม่ให้เผลอแสดงความโกรธออกมา ลูกค้าถูกเสมอ ถึงอย่างไร ผมก็ไม่สามารถทำกริยามารยาทที่ไม่ดีกับผู้มุ่งหวังที่จะเป็นลูกค้าของเราได้

อำนาจหน้าที่ของผมจะมีอยู่เต็มต่อเมื่อ ตัวแทนส่งงานเข้ามายังบริษัท และผมก็พิจารณาไปตามความเสี่ยงภัยจากข้อมูลที่ได้รับมา เมื่อนั้นแหละ ผมจะสามารถตัดสินใจได้ว่าใครจะสามารถทำประกันได้
แต่ผมก็ไม่เคยเอาความเกลียดชังส่วนตัว มาพัวพันในเรื่องงาน ผมให้ความยุติธรรมกับลูกค้าทุกราย รวมถึงไม่ทำอะไรที่ทำให้บริษัทเกิดความเสี่ยง ดังนั้น แม้ผมจะเริ่มไม่ชอบขี้หน้านายทรงพลแค่ไหน ผมก็ทำได้เพียงแค่อดทนเท่านั้น
สันต์รับลูกต่อผม ด้วยการให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเรียกร้องค่าสินไหม ในกรณีที่ลูกจ้างในร้านเกิดบาดเจ็บขึ้นมา ก็ให้ทางนายจ้างเป็นผู้เรียกร้องแทนในกรณีประกันกลุ่ม

ในคำถามตอบที่เกี่ยวกับกฎหมาย ศักดิ์ชายจะเป็นผู้ให้คำตอบนั้น เขาอยู่ฝ่ายตรวจสอบ แต่เขาก็เรียนมาทางสายกฎหมายด้วย
พวกเราต่างร่วมแรงแข็งขัน อธิบายให้นายทรงพลฟัง ซึ่งเขาก็จำต้องยอมฟังแต่โดยดี นับว่าพวกเราประสบความสำเร็จ เพราะในท้ายที่สุด นายทรงพลก็รับปากว่าจะพูดคุยกับ นายสุริยะเรื่องนี้

พวกเรานั่งทานข้าวเป็นเพื่อนนายทรงพลสักพัก เพื่อไม่ให้ถูกครหาได้ว่า พอเสร็จธุระก็ชิ่งหนี แต่คราวนี้ นายทรงพลแทบจะไม่มีโอกาสได้คุยเรื่องตัวเองอีกต่อไป เพราะพวกเราพร้อมใจกันซักถามข้อมูลเกี่ยวกับบริษัท และลูกค้าของเขา เพื่อที่จะใช้ข้อมูลนั้น ประกอบการพิจารณาคร่าวๆให้เขารู้ว่ามีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน ที่บริษัทจะรับ หากส่งเข้ามาจริงๆ
หลังจากที่ถามตอบกันไปสักพัก นายทรงพลก็เริ่มเบื่อ เขาขัดจังหวะพวกเราด้วยการเรียกพนักงานเสิรฟ์ มาสั่งของหวานต่อ
ตอนแรก พวกผมจะปฏิเสธ เพราะไม่อยากให้การสนทนายืดเยื้อยาวนานเกินไป แต่นายทรงพลก็บังคับพวกเราทางอ้อม โดยการ สั่งของหวานที่ขึ้นชื่อของร้านแห่งนี้มาให้เราลองทาน

พอพนักงานเสิร์ฟไปแล้ว นายทรงพลก็ได้โอกาสเปลี่ยนเรื่องพูดโดยหันมาถามผมทันที ถึงเรื่องกระดุมที่เขาให้ผมไปในวันก่อน ว่าผมนำไปใช้หรือยัง ผมตอบไปตามตรงว่าผมไม่รู้จะเอามันไปใช้ยังไง
ผมไม่อยากเอาของที่ได้มาไปทดแทนกระดุมเก่าของเสื้อสูทที่ผมมีอยู่ อีกอย่างช่วงนี้ผมยังไม่มีความจำเป็นที่จะตัดเสื้อใหม่ด้วย นายทรงพลพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ จากนั้นก็บอกผมให้เอามาคืน แล้วเขาจะหาของชิ้นใหม่ให้
พอผมทำท่าอึกอัก เพราะไม่อยากรับของจากเขา แต่นายทรงพลก็คะยั้นคะยอ บอกว่า เขายินดีให้ เพื่อเป็นการขอบคุณ ไม่อยากให้ผมคิดมาก
เมื่อไม่อาจจะปฏิเสธได้ ผมก็เลยบอกว่าผมจะเอากระดุมไปคืน แล้วเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นมาแล้วกัน ผมแกล้งรับปากส่งๆไปอย่างนั้น กะว่าเมื่อเอาไปคืนแล้ว จะไม่รับของสิ่งใดกลับมาเลย

“ถามจริงๆ เถอะ คุณเรียวยังไม่มีแฟนหรือครับ.....เป็นไปได้ยังไงเนี่ย ไม่อยากเชื่อ”

คำถามเจาะลึก มาอีกแล้ว ผมเบื่อกับคำถามประเภทนี้เสียจริง ดูเหมือนทุกคนอยากรู้อยากเห็นว่าหนุ่มโสดในวัยขนาดผม ทำไมยังไม่คิดเรื่องแต่งงานเสียที


ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่14 15/1/09
«ตอบ #111 เมื่อ15-01-2009 19:05:38 »

หุหุ ตอบเลย มีแล้ว  :z1: :z1:

ออฟไลน์ Ak@tsuKII

  • Honeymoon
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3845
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-3
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่14 15/1/09
«ตอบ #112 เมื่อ15-01-2009 19:51:56 »

เรียวนี่พี่ไต๋จิ้นเป็นจุนเหรอ   อืม ๆๆๆ    ลองนึกดูก่อนว่าเราจิ้นเป็นใคร? :confuse:

va_yu

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่14 15/1/09
«ตอบ #113 เมื่อ15-01-2009 22:45:54 »

เจอลูกค้าแบบนี้ เซ็งตายเลย...

เรียวตอบไปเลยว่ามี ตัดปัญหาซะ

ออฟไลน์ the_pooh9

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 941
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-3
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่14 15/1/09
«ตอบ #114 เมื่อ16-01-2009 00:32:43 »

เรียวบ้าๆๆๆๆๆ เรียวใจร้าย :a14:

nanalonely

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่14 15/1/09
«ตอบ #115 เมื่อ16-01-2009 22:23:02 »

^

^

จิ้มมม the_pooh9

ไม่ได้เข้าหลายวัน พี่แอนลงหลายตอนเลย

เห็นแล้วตาลายอ่ะ แนนขอแปะไว้ก่อนนะคะ

เด๋วหายไม่สบายแล้วจะเข้ามาอ่าน

+1 เป็นกำลังใจให้พี่แอนนะคะ

ออฟไลน์ momo_2007

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่14 15/1/09
«ตอบ #116 เมื่อ17-01-2009 01:22:39 »

อ่าาา เรื่องนี้เคยออ่านจนจบแล้ว เป็นอีกเรื่องของคุณเคท ที่ชอบมากๆ
อ่านจบไปแล้ว แต่ก็จะมาอ่านอีกรอบ เข้ามาเป็นกำลังใจให้นะคับ
สงสารเดียร์มากมาย + รู้สึกอิจฉาเรียว ฮาๆๆ ไมไม่มีคนมาทำแบบนี้กับตัวเองมั่ง
เป็นกำลังใจให้ครับ แล้วค่อยมาอ่านย้อนใหม่ อ่าาา มันเยอะมากมาย เรืองนี้ จำได้ว่ามัน 3 ตอน
ว่าจะย้อนกลับไปอ่าน 1 กับ 2 ใหม่ เหอๆๆ เพราะจำได้ ตอนอ่านครั้งแรกติดงอมแงม
ใช้เวลาอ่านต่อวันไม่ต่ำกว่า 5-6 ชั่วโมง เรื่องเดียวนีแหละ เป็นสัปดาห์ จนจบ

ออฟไลน์ the_pooh9

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 941
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-3
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่14 15/1/09
«ตอบ #117 เมื่อ17-01-2009 01:43:33 »

^

^

จิ้มมม the_pooh9



เค้า เกาะติด ทู้กสถานการณ์ กะลังเศร้ามาก เรียวใจร้าย ทำร้ายจิตใจเดียร์
ด้วยหละตะเอง เศร้าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  :o12:

anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่15 17/1/09
«ตอบ #118 เมื่อ17-01-2009 20:35:29 »

บทที่ 15


“ยังไม่เจอคนถูกใจนะครับ”

ประโยคที่ผมมักพูดเสมอ เมื่อเจอคำถามแบบนี้

“ไม่น่าเชื่อว่าคนที่หน้าตาดีแบบคุณเรียว จะยังไม่มีใครเป็นเจ้าของหัวใจ แต่ถ้าไม่มีจริงๆ มันก็น่าจะมีสาเหตุมาจากหลายทางอย่างเช่น ไม่เจอคนในสเปคอย่างที่คุณบอก อาจเป็นไปได้ว่า วางสเปคไว้สูงเกินไปจนไม่มีใครเข้าข่าย หรือไม่งั้นก็เพิ่งอกหักมา เลยเข็ดขยาดกับความรัก
กับอีกประเภทหนึ่งนั้นก์คือพวกที่แอบจิต ภายนอกเป็นแมน แต่ชอบชายไม่ชอบหญิง ประเภทหลังนี่น่าสงสารมากเลยครับ ไม่อาจจะเป็นตัวของตัวเองได้ ชีวิตขึ้นอยู่กับคำพิพากษาของสังคม โชคดีที่คุณเรียวไม่ใช่คนแบบนั้น”

“ครับ”

ผมรับคำสั้นๆ นายทรงพลยังคงซักถามต่อ

“แล้วนี่ไม่คิดจะมีเหรอบ้างเลยหรือครับ ”

“เมื่อก่อนไม่ แต่ตอนนี้เพื่อนผมมันเปลี่ยนใจแล้วครับ มันกำลังปิ๊งผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ ตอนนี้อยู่ในระหว่างศึกษานิสัยใจคอกัน หากไปกันได้ เร็วๆนี้คงมีข่าวดีมาบอกพวกเราครับ”

เจ้าสันต์ไม่รอให้ผมตอบ มันชิงตัดหน้า แล้วกุเรื่องขึ้นสดๆร้อนๆ แม้ผมไม่ชอบใจนัก แต่ก็รู้สึกดีกับมันที่พยายามช่วยเหลือผม บางทีเรื่องที่ได้ยินนี้ มันอาจจะช่วยให้ทำให้นายทรงพลเลิกยุ่งกับผมเสียทีก็ได้

“จริงเหรอ ครับ อย่าหลอกกันนะ เปิดเผยได้ไหม ว่าผู้โชคดีคนนั้นเป็นใคร”

นายทรงพลทำหน้ายิ้มๆเหมือนจะรู้ว่า สันต์สร้างเรื่องโกหก แต่มีหรือที่สันต์จะยอมจนมุม มันแถไถต่อไปเรื่อยๆ แต่เรื่องที่มันสร้างขึ้นมานี่สิ ฟังแล้วอดตกใจไม่ได้

“คุณทรงพลไม่รู้จักหรอกครับ เธอเป็นพนักงานใหม่ของบริษัท ทำงานอยู่แผนกเดียวกับคุณเรียวนี่แหละครับ ทำงานใกล้ชิดกันไป ใกล้ชิดกันมา ก็อดปิ๊งปั๊งกันขึ้นมาไม่ได้อ่ะครับ”

เอาแล้วไหมล่ะ คนที่เจ้าสันต์ใส่สีใส่ไข่ให้กลายมาเป็นแฟนของผม ก็คือ คุณแคทลียา สาวที่ทั้งสวย รวย และฉลาด
ผมไม่เคยคิดฝันว่าจะเป็นแฟนของเธอ ไม่ใช่เพราะผมรู้สึกต่ำต้อยด้อยค่า เพียงแต่รู้สึกว่าเธอเหมาะจะเป็นเพื่อนมากกว่า แถมซ้ำเธอเองก็มีแฟนแล้วด้วย คนที่เธอกอดจูบอยู่ข้างๆรถเบนซ์ของเธอยังไงล่ะ

ถ้าหากว่าเธอมารู้เข้าว่าพวกเราใช้ชื่อของเธอเป็นเครื่องมือในการกำจัดใครบางคนออกไปจากชีวิตของผม เธอจะว่าอย่างไรหนอ จะโกรธจนไม่พูดกับผมหรือเปล่านะ

ผมชอบเธอเหมือนกัน ตรงที่เธอเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีของผม ขยัน ใฝ่รู้ และ มีความคิดแปลกๆ ทำงานกับเธอแล้วรู้สึกสบายใจ และผมก็ไม่ต้องการเสียเพื่อนร่วมงานที่มีคุณภาพไป เพียงเพราะเราใช้ประโยชน์จากตัวเธอ
แต่เอาล่ะ เพื่อให้สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปได้ก่อน ผมจึงยอมเออออห่อหมกตามไปด้วย หวังว่าเรื่องนี้ คงไม่เข้าถึงหูเธอ ถึงทรงพลจะได้ยิน ชื่อเธอเต็มสองหูแต่ก็คงไม่รู้จักเธออยู่ดี

“อื้ม ชื่อแคทลียาหรือครับ หมายถึงพนักงานฝ่ายพิจารณารับประกันที่เพิ่งเข้ามาใหม่นะเหรอ ใช่คนสวยๆ ท่าทางมั่นใจในตัวเองคนนั้นหรือเปล่า”

คำถามของนายทรงพล เล่นเอาผมกับเจ้าสันต์สะดุ้ง หันไปมองหน้ากันโดยอัตโนมัติ แปลกใจว่าทำไมลูกค้าอย่างนายทรงพล ถึงได้รู้จักสต๊าฟบริษัทด้วย จะว่านายสุริยะเล่าให้ฟัง ก็ไม่เห็นว่าทำไมจึงจะต้องเล่าละเอียดขนาดนั้น

“เผอิญ ผมรู้จักยัยหนูนี่ เพราะพ่อแม่ของเขาซึ่งก็คือน้องของประธานบริษัทประกันที่พวกคุณทำอยู่บังเอิญเป็นลูกค้าประจำร้านจิลเวอรี่ของพ่อแม่ผม พอผมมาทำกิจการค้าเพชรบ้าง เขาก็ยังตามมาเป็นลูกค้าของผมด้วย เราเลยรู้จักกัน
ผมเห็นยัยหนูแคทมาตั้งแต่เด็กๆแล้วครับ จนกระทั่งแกไปเรียนเมืองนอก ที่จริงแกไม่อยากไปหรอก ถ้าไม่เพราะว่าผู้ชายที่เป็นรุ่นพี่ในโรงเรียนเดียวกันกับแก แต่งงานไปกับผู้หญิงที่พ่อแม่หาให้ แกเลยตัดใจเลิกราจากเขา ไปเรียนและทำงานที่เมืองนอกนั่นเลย นี่ก็เพิ่งกลับมาไม่กี่เดือนเอง......”

พอนายทรงพลพูดจบ พวกเราก็แทบหงายหลังตกเก้าอี้ เมื่อกี้แค่แปลกใจ แต่ตอนนี้ ผมและเพื่อนๆต่างพากันหน้าแตกหมอไม่รับเย็บ โดยเฉพาะเจ้าสันต์ถึงกับหน้าม้านไปเลย เพราะจุดไต้ตำตอโครมเบ้อเริ่ม

ปากที่กำลังจะขยับคุยโม้ต่อของมันหุบอย่างเฉียบพลัน ผมเองก็พูดไม่ออก ตอนแรกความรู้สึกก็สับสน ทั้งเห็นด้วย และไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เจ้าสันต์พูด แต่คราวนี้ ผมกลับรู้สึกแย่อย่างบอกไม่ถูก

นึกอายนายทรงพลที่พวกเราทำเป็นอวดเก่ง คิดว่าพูดแค่นี้ จะทำให้นายทรงพลเลิกตอแยกับผมได้ แต่กลายเป็นว่าเมื่อเริ่มต้นโกหก มันก็ทำให้เรื่องราวกลับยุ่งยากมากยิ่งขึ้น เพราะคนที่รู้จริงอยู่ตรงหน้าพวกเรา
เขาใกล้ชิดสนิทสนมกับคนในครอบครัวของประธานบริษัทเป็นอย่างดี จนกระทั่งรู้รายละเอียดแทบทุกอย่าง คราวนี้พวกผมจะทำยังไงต่อกันดีล่ะ จะโกหกต่อไปก็ใช่ที่ จะยอมรับว่า พูดปดตั้งแต่แรก ก็ทำไม่ได้

ไม่ว่าจะยังไง พวกเราก็เดินเกมส์ผิดตั้งแต่แรก อันที่จริงมันผิดตั้งแต่ไปอ้างชื่อของคนที่มีตัวตนอยู่จริงๆแล้ว ถึงแม้ว่าเจ้าตัวเขาจะไม่รู้ แต่ความลับไม่มีในโลก สักวันหนึ่ง เธอก็ต้องรู้จนได้

นี่ละหนาที่เขาว่าการโกหก เป็นจุดเริ่มต้นของการก่ออาชญากรรม บางคนโกหกเพื่อปกปิดความลับบางอย่าง เมื่อมีคนไม่เชื่อ เขาก็จะพยายามพูดให้มากขึ้นกว่าเดิม เพื่อหาเหตุผลมาประกอบให้คำพูดมันน่าเชื่อถือ ยิ่งโกหกก็ยิ่งถลำลึก โกหกเพิ่มเรื่อยๆ พอมีคนขุดคุ้ย เขาก็หาวิธีในการที่จะทำให้สิ่งที่ตนเองพูดเป็นเรื่องจริง และในหลายครั้งจบลงด้วยการก่อเหตุสะเทือนขวัญ
ขณะนี้พวกผมเองก็กำลังตกที่นั่งลำบาก แม้ว่าเรื่องที่พูดมันจะไม่ร้ายแรงอะไรนัก มันแค่โกหกให้พ้นตัวเท่านั้น แต่พวกผมจะไปกล้าสารภาพอย่างไร

พวกเราเองก็เป็นผู้ใหญ่ด้วยกันทั้งนั้น จะมาพูดเหลาะแหละไร้สาระเป็นเด็กไม่รู้จักโตไม่ได้ แล้วถ้าเหตุผลของการโกหก เพียงเพราะต้องการกันนายทรงพลออกไปห่างๆ ยิ่งเป็นสิ่งที่ไม่สมควรจะพูดใหญ่

เพราะหากว่าสิ่งที่พวกเราคิด หรือรู้สึกกัน เป็นสิ่งที่คิดไปเอง นายทรงพลไม่ได้มีเจตนาจะทำอย่างนั้นกับผม จะไม่เป็นการตีตนไปก่อนไข้เหรอ
แต่ถ้าไม่พูด แล้วนายทรงพลเกิดไปถามเอากับคุณแคทลียา แล้วเธอมาถามเอากับพวกผม แล้วรู้ว่าเธอถูกเอาชื่อไปอ้างจริงๆด้วยเหตุผลที่ต้องการหลอกนายทรงพลซึ่งสนิทสนมกับครอบครัวเธอเป็นอย่างดี เธอคงจะโกรธพวกผม
ดีไม่ดีเรื่องที่พวกเราพาดพิงตัวเธอ อาจจะได้ยินไปถึงหูบริษัท ทำให้เกิดความเสื่อมเสียต่อหน้าที่การงานของพวกผมก็ได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งกลุ้ม ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ได้แต่มองหน้ากันไปมองหน้ากันมา บนโต๊ะอาหาร ต่อหน้านายทรงพลอย่างนั้น

นายทรงพลกวาดตามองพวกเราด้วยสีหน้าที่บ่งบอกถึงการมีชัยที่เหนือกว่า เขารู้ว่าพวกเราโกหกเขา แล้วก็รู้ด้วยว่าตอนนี้พวกเรากำลังตกใจ เมื่อสิ่งที่พวกเราพูดมันกลายมาเป็นบ่วงรัดคอพวกเราเอง เขาถือดีว่ารู้จักคุณแคทลียาและครอบครัว ด้วยสิ่งที่เขามีอยู่นี้ มันทำให้พวกเราไม่กล้าพูดอะไรออกไปอีก

“....วันก่อนก็เกือบได้ไปกินอาหารร่วมกับพวกเราที่ภัตรคารอาหารจีนวันนั้น จำได้ไหมครับ ที่มีผม มีคุณสุริยะ แล้วก็แซ่บไปร่วมทานกันด้วย แต่แกไม่ยอมมา เพราะติดธุระซะก่อน
ผมว่าจะแนะนำให้แกรู้จักกับพวกคุณ เสียดายจริงๆ แต่ไม่เป็นไร แกมาทำงานที่นี่ พวกคุณก็ได้รู้จักกันแล้ว ในฐานะเพื่อนร่วมงาน และหลานของประธานบริษัท ถ้าหากคนที่คุณสันต์พูดถึงว่าหนูแคทคือคนที่กำลังปิ๊งปั๊งอยู่กับคุณเรียว ก็นับว่าตาแหลมคมมากเลยครับ หนูแคททั้ง สวย รวย ฉลาด ที่สำคัญ นิสัยดี ไม่เรื่องมากอีกด้วยครับ”

นายทรงพลทำหน้ายิ้มๆ เหมือนพูดคุยกันตามปกติ แต่ในใจของเขาผมว่ามีอะไรมากกว่านั้น ลักษณะการพูดเรียบๆ เหมือนประโยคบอกเล่า แต่แฝงความเชือดเฉือนบาดลึกในหัวใจของผม

“ที่แท้ คุณก็รู้จักคุณแคทแล้วนั่นเอง ตอนแรกผมก็ตกใจนึกว่าคุณรู้จักได้ไง ที่แท้เรื่องมันเป็นแบบนี้นี่เอง เพิ่งจะรู้ว่าคุณเองก็เกี่ยวข้องกับคนในครอบครัวของท่านประธานด้วย”

เจ้าสันต์ดูจะปรับอารมณ์เร็วกว่าคนอื่น มันยิ้มเยื้อนบนใบหน้า แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่แสดงความแปลกใจอะไร ผมว่าเพื่อนผมคนนี้ มันเป็นนักแสดงที่เก่งมาก

“ใช่ครับ ไม่เห็นบอกกันบ้าง พวกเราเลยปล่อยไก่เลย”

ผมเสริมคำพูดของเจ้าสันต์ นายทรงพลยักไหล่ เสมือนว่าเรื่องนี้ ไม่สลักสำคัญอะไร แต่คำพูดของเขาที่กล่าวต่อมา มันบอกให้รู้เป็นนัยๆว่า พวกเราควรจะต้องใส่ใจในตัวเขาแค่ไหน

“ก็แค่เป็นคนรู้จักกันเท่านั้นนี่ครับ ผมก็เลยไม่เห็นว่าจำเป็นต้องพูดอะไรมากมาย หากพวกคุณช่างสังเกต ก็คงจะรู้ได้เอง ว่าผมมีความพิเศษอย่างไร
คุณไม่คิดบ้างเหรอว่า ทำไมผมถึงทำประกันกับบริษัทนี้ในวงเงินสูงเป็นร้อยล้านได้โดยง่าย โดยไม่เรียกร้องอะไรมากมายนัก
แล้วไม่คิดบ้างหรือไงว่าทำไมงานนี้ หัวหน้าของคุณเรียวจึงต้องลงมาเกี่ยวข้อง ทั้งขอร้องแกมบังคับคุณเรียวเพื่อให้พิจารณารับประกันผมให้ผ่าน

ทำไมผมถึงไปปรากฏตัวอยู่ในภัตราคารวันนั้น ทั้งๆที่ผมเป็นเพียงลูกค้าคนหนึ่งซึ่งไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกคุณเลย
เห็นไหมครับมันมีสัญญาณมากมายที่จะทำให้รู้ แต่พวกคุณไม่เห็นเอง

จะบอกให้นะ ว่าที่ผมได้สิทธิพิเศษมากมาย ก็เพราะว่าอย่างน้อยผมก็มีคอนเนคชั่นที่ดีกับทายาทของตระกูลนี้ ถ้าคนที่รู้จักกัน หลุดไปทำประกันกับบริษัทอื่นในวงเงินที่สูงมากๆอย่างที่ผมทำนี่ มันน่าอายนะครับ จะเรียกความเชื่อถือมายังบริษัทได้ไง
คราวนี้ เข้าใจหรือยังครับ ว่าผมเป็นลูกค้าวีไอพีระดับไหน”

ในที่สุดสิ่งที่ผมคาดเดาไว้ ก็เป็นจริง ผมได้คำตอบแล้ว ว่าทำไมระยะหลัง เจ้านายทำไมถึงกดดันเรื่องการรับประกันนายทรงพลกับผมนัก
แม้ว่าจะยืนกรานอย่างไร เขาก็หว่านล้อมให้ผมเชื่อสนิทว่า สิ่งที่เขาให้ผมทำ มันเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว และบริษัทก็ไม่เสียเปรียบอะไรด้วย ที่แท้นายทรงพลก็เป็นบุคคลที่เส้นใหญ่มากจริงๆ

“ครับ คราวนี้ผมรู้แล้วว่าคุณสำคัญกับบริษัทมาก ที่ผ่านมาผมก็แค่ไม่แน่ใจ สงสัยว่าทำไมเจ้านายถึงมาล้วงลูกกับผมนัก เพิ่งจะถึงบางอ้อเมื่อกี้นี้เอง ก็ต้องขอโทษด้วย ที่สิ่งที่ผมปฏิบัติ อาจจะทำให้คุณไม่พอใจ เพราะผมทำอย่างโปร่งใส ตรงไปตรงมา เพื่อให้ทุกคนได้รับประโยชน์สูงสุดทั้งลูกค้า และบริษัทครับ”

หวังว่าท่าทีสุภาพ และการเจรจาอย่างเป็นการเป็นงาน จะช่วยทำให้นายทรงพลได้รับรู้ว่าผมคิดกับเขาแบบใด
ผมจงใจที่จะพูดขอโทษเขา เพื่อให้เขารู้ว่า ผมมีแนวทางในการทำงานอย่างตงฉิน รับประกันได้ก็ให้ ถ้าไม่ได้ ก็ต้องปฏิเสธ ยกเว้นแต่ว่าผมจะถูกกดดันให้ทำในสิ่งที่เห็นว่าไม่ถูกต้อง

แต่นั่นแหละ ในเมื่อผู้ใหญ่ในบริษัทเห็นว่าไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย ผมในฐานะผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาก็จะต้องปฏิบัติตามคำสั่ง ทั้งนี้ทั้งนั้น มันจะต้องไม่ดูน่าเกลียดจนเกินไป
ประเภทที่ไม่สามารถรับประกันได้ แต่ยังรับเข้ามา นั่นไม่ใช่วิสัยผม และผมไม่ยอมให้ศักดิ์ศรีแห่งอาชีพของผมถูกทำลายลงเนื่องจากอามิสสินจ้างของใครเด็ดขาด

“โหยคุณเรียว ผมยังไม่ได้ว่าอะไรเลย จำได้ไหมที่ผมไปเจอคุณที่ภัตตาคารวันนั้นน่ะ ตั้งใจจะไปขอบคุณคุณจริงๆ คุณทำงานตรงไปตรงมาดี ผมชอบ

ก็แค่อยากชื่นชมคุณให้หัวหน้าคุณเห็น พอได้ข่าวว่านายคุณจะเลี้ยง พวกผมก็เลยขอเข้าไปแจมด้วยเท่านั้นเอง คุณเรียวอย่ากังวลเลย
คุณทำงานแบบนี้น่ะดีแล้ว บริษัทมีคนทำงานดีๆแบบคุณ ถือว่าเป็นโชคของบริษัทน่ะครับ ผมเองก็ไม่อยากทำตัวเป็นลูกค้าที่มีปัญหา เราคนทำมาค้าขาย ผมเองก็ชอบให้ลูกค้าของตัวเองพูดง่ายเหมือนกันนะครับ เจอลูกค้าเรื่องมากทีไร อดโมโหไม่ได้ทุกที
ผมก็เลยไม่อยากทำตัวแบบนั้น แต่ผมจะถือคติว่า เราต้องให้บริการที่ดีเยี่ยมเกินกว่าที่ลูกค้าคาดหวังเสมอ ลูกค้าจึงจะพอใจในบริการของเรา ว่าแต่บริษัทของคุณมีบริการอะไรที่เกินกว่าคนอย่างผมจะคาดหวังบ้างครับ”
วิสัยของพ่อค้าที่กลายมาเป็นผู้บริโภค ย่อมอดไม่ได้ที่จะต้องการของที่พิเศษกว่าคนอื่น ทั้งๆที่ปากก็บอกว่าอยากเป็นลูกค้าคุณภาพดี ไม่มีปัญหา แต่เมื่อเห็นช่องทางก็อดไม่ได้ ที่จะร้องขอ

ผมมองหน้านายทรงพล พลางครุ่นคิดว่า คนที่มีทุกอย่างพร้อมอย่างเขา ยังต้องการอะไรจากบริษัทอีก บริการที่เกินกว่าการคาดหวังของเขาคืออะไรหนอ

ถ้าในความหมายของผม มันน่าจะหมายถึง การดูแลเอาใจใส่ลูกค้าอย่างดี ให้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ และช่วยให้ได้รับความสะดวกจากการทำประกันกับบริษัท
แต่ถ้าความหมายที่นอกเหนือไปจากนั้น ผมยังนึกไม่ออกว่าเป็นอะไร จะให้ไปไหนมาไหนด้วย หรือเอาอกเอาใจกันเกินความจำเป็น ผมก็คงทำไม่ได้ เพราะไม่ใช่หน้าที่โดยตรง

อันที่จริง คนที่ควรจะให้การดูแล น่าจะเป็นตัวแทนที่ขายประกันให้กับเขา ค่าคอมมิชชั่นที่บริษัทจ่ายถือเสมือนหนึ่ง เป็นค่าตอบแทนที่ช่วยดูแลลูกค้าให้บริษัทแล้ว สต๊าฟอย่างพวกผม คงจะช่วยดูแลในเรื่อง ข้อมูล และบริการด้านกรมธรรม์เท่านั้น

“เราให้บริการได้เฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวกับการทำประกันเท่านั้นครับ เราบริการให้ได้ ทั้งก่อนและหลังการทำประกัน ทั้งเรื่องข้อมูลข่าวสาร สิทธิประโยชน์ และดูแลเรื่องการเรียกร้องค่าสินไหม เงินคืนเมื่อครบสัญญา
แต่หน้าที่ในแง่ของการพบปะเยี่ยมเยียน ไปมาหาสู่พูดคุย หรืออื่นๆ เรามีฝ่ายที่ดูแลอยู่ถึงสองฝ่ายด้วยกัน คือฝ่ายตัวแทน คือคนที่ไปขายประกันให้คุณทรงพล กับฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ซึ่งเป็นสต๊าฟของบริษัทครับ ผมคิดว่า พวกนั้นคงให้การบริการที่ดีเกินกว่าที่คุณทรงพลจะคาดหวังได้ครับ”

เป็นครั้งแรกที่ศักดิ์ชายพูดขึ้นมา หลังจากที่สงบปากสงบคำอยู่นาน ตามประสาคนที่ทำงานฝ่ายตรวจสอบ ต้องฟังมากกว่าพูด เพราะต้องเก็บข้อมูลต่างๆ แต่เวลาที่พูดขึ้นมาแต่ละทีก็คมคายใช่ย่อย
ผมนึกขอบคุณเพื่อนเก่าของผม ที่ได้พูดสิ่งที่อยู่ในใจของผมออกไปจนหมด เหมือนว่ามันรู้ว่าผมอยากพูดอะไร แต่ด้วยนิสัยของผม ที่ไม่ชอบมีเรื่อง ทำให้ผมไม่พูดออกมา มันเลยพูดถือโอกาสถ่ายทอดความรู้สึกของผมออกจากปากมันแทน

“เคยได้ยินมาว่า มีการขายประกันแบบ วันแอ๊พ วัน อึ้บ ด้วย ไม่ทราบว่า พวกคุณคิดว่าอย่างไรครับ”

อยู่ๆนายทรงพลก็ถามประโยคนี้ขึ้นมา หลังจากที่ศักดิ์ชายพูดจบ ดูเหมือนเขาไม่ได้ให้ความสนใจกับคำพูดของศักดิ์ชายนัก จึงเปิดประเด็นใหม่ขึ้นมาอีก สันต์กรอกตาไปมา ยังไม่ได้พูดว่าอะไร ในขณะที่ทรงพลหน้าแดงก่ำ ผมเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนตอบ

“ในส่วนตัวของผม คิดว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องนักนะครับ เพราะการทำประกัน ลูกค้าต้องตกลงใจทำเพราะเห็นว่ามันสำคัญกับตัวเขาและครอบครัวจริงๆ ไม่ใช่ทำประกันเพราะมีสิ่งล่อหลอก
ในขณะเดียวกันตัวแทนจะต้องโน้มน้าวจิตใจลูกค้าให้ทำโดยการแสดงให้เขาเห็นถึงปัญหาที่เขาเผชิญอยู่ทุกวันนี้ และต้องตอบให้ได้ว่า ประกันชีวิตช่วยแก้ปัญหาให้เขาได้อย่างไรบ้างครับ
แต่ว่าทุกวันนี้ มันมีการแข่งขันกันสูง คุณวุฒิรางวัลต่างๆมากๆมาย ทำให้ตัวแทนเร่งอยากทำผลผลิต จึงอาจจะใช้วิธีการที่ไม่เหมาะสมไปบ้างนะครับ”
นายทรงพลมองผมแล้วยิ้มกริ่ม

“คุณเรียวนี่ เป็นคนดีจริงๆ ทำอะไรเป็นหลักเป็นการ ไม่ยอมเฉไฉไปกับสิ่งล่อใจเลย ทำอะไรตามกฎเกณฑ์มากไปหน่อย จะเป็นทุกข์ได้ในภายหลังนะครับ
หัดทำตามหัวใจตัวเองบ้างเถอะ ชีวิตจะได้มีความสุขมากขึ้น เอาล่ะ ผมลองถามคนอื่นบ้างดีกว่า ถามคุณเรียว คงได้แต่คำตอบแบบนี้แหละ คุณสันต์ว่าไงล่ะครับ”

ลูกค้าวีไอพีของเรา หันไปถามเจ้าสันต์ เพื่อนผมทำหน้าเบื่อๆ แต่ก็ยอมตอบสิ่งที่มันคิดออกมา



anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่15 17/1/09
«ตอบ #119 เมื่อ17-01-2009 20:36:14 »

“สำหรับผมคิดว่า มันเป็นเรื่องส่วนตัวของเขาน่ะครับ มันเป็นวิธีการที่คนๆหนึ่ง จะทำให้ได้เงินมา ส่วนใหญ่ที่เจอ ก็มักจะเป็นกับตัวแทนสวยๆ และลูกค้ามีเงินนะครับ
ตัวแทนสาวที่สวยหน่อยก็จะถูกลูกค้าแทะโลม บางทีก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนในการทำประกัน ถ้าไม่ชอบ ก็บอกปัดไปได้นี่ครับ
แต่ถ้าชอบ ตกลงยินยอมพร้อมใจกันทั้งสองฝ่าย ก็ไม่ควรที่จะเอามาพูดให้ขายขี้หน้ากันหรอกครับ มันไม่ดี ในเมื่อต่างคนก็ได้ในสิ่งที่ต้องการ ก็จบครับ ถือว่าอาชีพของเขา เขาเลือกเอง ไม่มีใครบังคับนี่ครับ”

คำตอบของเจ้าสันต์เรียกเสียงหัวเราะจากนายทรงพล และผองเพื่อนชายของเขา ผมมองหน้าคนเหล่านั้น บางคนก็ทำท่าเหมือนสะใจที่ได้ยิน บางคนก็ทำเป็นตกใจราวกับว่าเรื่องนี้มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไรกัน บางคนก็นั่งเฉยเหมือนเรื่องพวกนี้ไม่มีผลต่อชีวิตของพวกเขา
ผมไม่ชอบเลยที่นายทรงพลพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา แม้มันจะเป็นความจริงที่เกิดขึ้นในสายอาชีพนี้ แต่การวิพากษ์วิจารณ์กันไป ไม่ก่อให้เกิดผลดีสักเท่าไหร่ มันจะยิ่งทำให้คนทั่วไปเข้าใจผิดในเรื่องของการประกันไปมากกว่าเดิม

ทำนองปลาเน่าตัวเดียว ทำให้เหม็นทั้งข้อง ทั้งที่มีตัวแทนที่ทำมาหากินโดยสุจริตอยู่มากมาย แต่อาชีพของเขาต้องถูกทำลายลง เพียงเพราะตัวแทนที่ไม่มีคุณธรรมบางคน

“สมกับเป็นคำพูดจากปากของคนกล้าพูดกล้าคิดแบบคุณสันต์นะครับ แล้วคนที่พูดน้อยที่สุดของเราล่ะ ในสายตาของคุณศักดิ์ชายคิดว่าเรื่องนี้ เป็นสิ่งที่ควรทำหรือไม่ทำอย่างไรครับ”

“ถามผมเหรอ ผมค่อนข้างหัวโบราณนะ ผมคิดว่า มันเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ เป็นเรื่องที่น่ารังเกียจที่ตัวแทนจะลดตัวไปทำอย่างนั้น
มันเหมือนกับว่าเป็นการขายตัวขายเกียรติไม่ควรทำอย่างยิ่งครับ ผมไม่ทราบว่า คุณทรงพล ถามความคิดพวกเราไปทำไม มีใครมาเสนอให้คุณทำประกันโดยแลกกับการให้เงื่อนไขพิเศษเหรอครับ”

นอกจากจะตอบแบบตรงไปตรงมาแล้ว ศักดิ์ชายยังยิงคำถามไปยังนายทรงพลอีกครั้ง คราวนี้ เขาถามตรงกับที่ใจผมอยากรู้อีกแล้ว

“ถ้ามีก็ดีสิ ผมกำลังมองหาตัวแทนประเภทนี้อยู่ แต่ขอเป็นผู้ชายนะครับ ผู้หญิงไม่สน...”
พูดจบก็หัวเราะเอิ๊กอ๊ากด้วยความชอบอกชอบใจ แต่กลายเป็นว่า มีแต่พวกเขาเท่านั้นที่ขำ ผมสามคน นั่งมองหน้ากันไปมา ไม่รู้ว่าควรจะผสมโรงขำตาม ทำเนียนว่าพูดเล่น หรือควรจะลุกหนีไปจากโต๊ะนี้สักที

“นี่แหละที่ผมกำลังถามหา บริการเกินความคาดหวัง ผมรู้ว่าของแบบนี้ อาจจะมีการแลกเปลี่ยนระหว่างผู้ขายกับผู้ซื้อ มันเป็นเรื่องธรรมดาของการทำการค้าระหว่างกัน
สองฝ่ายต่างให้ในสิ่งที่อีกฝ่ายพอใจ แต่ที่ผมถามเนี่ย อยากรู้ว่า แล้วสต๊าฟอย่างพวกคุณมีนโยบายแบบนี้หรือเปล่าละครับ ใครก็ได้ช่วยตอบผมหน่อย คุณเรียวก็ได้ ว่าไงล่ะครับ มีไหม ฮ่าฮ่าฮ่า”

นึกเกลียดเสียงหัวเราะกับตาแก่ลามกนี่นัก ผมพยายามนับหนึ่งถึงสิบในใจ แล้วก็หาเหตุผลมาอ้างในการที่จะไม่โกรธเขา สิ่งที่ผมหาได้ระหว่างพูดคุยกันก็คือ

ข้อแรกเขาเป็นลูกค้า ดังนั้นจะพูดอะไร ทำตัวแย่แค่ไหน ก็ต้องอดทน

ข้อที่สอง เขารู้จักคุณแคทลียา ครอบครัวเขาสนิทกัน ผมชอบเพื่อนร่วมงานคนนี้ ผมเลยไม่อยากเกลียดคนที่เธอคุ้นเคย

ข้อที่สาม เขารู้จักกับประธานของบริษัท ซึ่งมีผลต่อการงานของผม ดังนั้นผมจึงไม่ควรไปมีเรื่องกับเขา

ข้อที่สี่ เขาแก่แล้ว ตามประเพณีวัฒนธรรมอันดีงาม เราควรให้ความเคารพผู้ใหญ่ ไม่ควรไปแสดงกริยาสามหาวลบหลู่ เราเป็นเด็กกว่า ต้องอดทนให้มาก

และข้อสุดท้าย คิดอย่างใจเขาใจเรา นายทรงพลอายุมากแล้ว เป็นเกย์เฒ่า ซึ่งไม่ได้มีหน้าตาเรียกร้องให้คนมองสักเท่าไหร่ การที่มีชีวิตที่แตกต่างจากคนอื่น อาจจะทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยวเหงา และรอคอยรักแท้ที่อาจจะไม่มีวันได้มา

ดังนั้น จึงเป็นไปได้ว่า การที่เขาต้องเผชิญกับความเจ็บปวดจากความรักที่ไม่สมหวัง ทำให้เขากลายเป็นคนแบบนี้ไปได้ และเนื่องจากเขามีความร่ำรวยเป็นสิ่งที่ชดเชย เขาจึงใช้เงินซื้อทุกอย่างเป็นว่าเล่น แม้แต่หัวใจของคน

ห้าข้อก็คงจะพอยับยั้งความโกรธในใจผม แต่มันก็ยากเสียเหลือเกิน ดูสิ่งที่เขาพูดแต่ละอย่างสิ มันเหมือนกับว่า เขากำลังจะเล่นเกมส์ซื้อขายกับพวกผมอยู่ โดยสินค้าที่เขาต้องการคือตัวผม

แม้เขาจะไม่ได้พูดให้โจ่งแจ้งนัก แต่พูดทีเล่นทีจริงแบบนี้ มันก็ส่อให้เห็นว่าเจตนาว่าเขาคิดอย่างไร นี่เขาคิดว่าผมเป็นอะไรเหรอ เป็นคนที่ซื้อได้ด้วยเงินหรือไง ว่าจะไม่โมโหแล้ว ก็อดไม่ได้อยู่ดี

“ผมล้อเล่นนะครับ แหม....รู้หรอกน่าว่าพวกสต๊าฟ เป็นพวกมีศักดิ์ศรี ผมก็แค่ตาแก่ปากหมาคนหนึ่ง รู้สึกถูกชะตาใครก็แหย่ไปเรื่อย อย่าได้ถือสาหาความผมเลยนะครับ”

นับว่า หาทางออกได้สวย แม้จะข้างๆคูๆไปก็ตาม นายทรงพลนี่เป็นนักอ่านสีหน้าและแววตาคนได้เก่ง เขาคงเดาออกว่าผมเริ่มโมโหแล้ว ก็เลยทำเป็นหัวเราะและพูดกลบเกลื่อน คำพูดพล่อยๆของเขา

แต่เอาเถอะ ผมยอมหายโกรธก็ได้ ไม่อยากจะมีเรื่องราวกับลูกค้าเท่าไหร่ เพราะมันกระเทือนถึงภาพลักษณ์ของบริษัท ถึงแม้เราจะถูกก็ตาม แต่หนึ่งเสียงที่กระจายออกไป ว่าบริษัทของเราทำไม่ดีกับลูกค้า อาจจะกลายเป็นเรื่องเป็นราวทำให้บริษัทเสียหายก็ได้
“แหม ล้อเล่นหรอกหรือครับ โอ้โฮ ผมเกือบโกรธไปแล้วนะครับนั่น โชคดีที่คุณทรงพลพูดออกมาเสียก่อน ไม่เป็นไรครับ ถ้าแค่แหย่กันเล่น มันก็ช่วยทำให้บรรยากาศไม่ตึงเครียดเกินไป
ผมก็นึกแล้ว ว่าผู้ใหญ่ที่น่าเคารพอย่างคุณทรงพล คงไม่เอาเรื่องจริงๆมาพูดจนกลายเป็นเรื่องไร้สาระ แต่แหม คราวหลัง ถ้าจะล้อเล่นกันแบบนี้ ช่วยบอกล่วงหน้าก็ดีนะครับ ผมจะได้เตรียมตัวเตรียมใจได้ทัน”

อดไม่ได้ที่จะแขวะนายทรงพล แต่แค่ขบกัดเบาะๆแบบนี้ เขาคงไม่รู้สึกอะไรหรอก ตอนแรกว่าจะอยู่เฉยๆ แต่ก็คิดว่าทำให้รู้บ้างดีกว่าว่าผมไม่ได้ชื่นชอบวิธีการพูดแบบนั้นของเขาสักเท่าไหร่

ถึงผมจะมีข้ออ้างมากมายไม่ให้โกรธเขา แต่มันก็ไม่ได้มีข้อห้ามที่จะไม่ให้ผมปกป้องตัวเอง จากสิ่งไม่ดีที่เขาทำกับผมนี่นา ผมรักบริษัท รักงานที่ทำ รักลูกค้า แต่ผมไม่จำเป็นต้องแลกทุกอย่างกับสิ่งเหล่านี้จนสูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง
นายทรงพลฉลาดจริงๆ เขารู้ด้วยว่าผมไม่พอใจเขา แต่รักษามารยาทอยู่ เขาหัวเราะทำเป็นกลบเกลื่อนด้วยการชวนพวกเราทานขนมหวานที่พนักงานร้านนำมาเสิร์ฟ แล้วเรื่องที่พูดคุยหลังจากนั้นก็กลายเป็นเรื่องสัพเพเหระไป

ก่อนจะแยกทางกันกลับนายทรงพลก็ได้ให้ความมั่นใจกับพวกเราว่า การเสียเวลาของพวกเรามาทานอาหารค่ำร่วมกับเขาและเพื่อนจะไม่เป็นการเสียเวลาเปล่า เพราะเขาสัญญาว่าเขาจะทำประกันกลุ่มกับบริษัทเราอย่างแน่นอน
หลังอาหารเย็นมื้อนั้น ศักดิ์ชายก็ขับรถไปส่งผมที่บ้าน โดยมีเจ้าสันต์นั่งมาด้วยเพราะมันจอดรถไว้ที่บ้านผม ระหว่างทางพวกเราอดไม่ได้ที่จะพูดถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นไป ผมหันไปต่อว่าเจ้าสันต์ว่า ไม่น่าเอาเรื่องของคุณแคทลียาเข้ามายุ่งเกี่ยวเลย

มันก็บอกผมว่า ที่มันตัดสินใจทำแบบนั้น เพราะว่าแค่อยากกันนายทรงพลไม่ให้มาทำรุ่มร่ามกับผม ไม่คิดว่าผลจะออกมาเป็นแบบนี้ มันยังเสนออีกว่า เมื่อนั่งหลังเสือแล้ว จะลงก็ลงไม่ได้ ผมก็ควรจะจีบคุณแคทลียาซะ เพราะเธอเองก็เป็นคนที่ดีเพียบพร้อมเหมาะกับผม
ผมก็เลยด่ามันว่า เรื่องความรักจะมาสรุปกันง่ายๆแบบนี้ได้ไง ผมชอบเธอแค่ในฐานะเพื่อนร่วมงานเท่านั้น ศักดิ์ชายสนับสนุนความคิดนี้ของผมด้วย ว่าถ้าไม่รัก ก็ไม่ควรจะฝืนใจหลอกลวงกัน

เจ้าสันต์ก็บอกว่าไม่เห็นจะเสียหายอะไร ที่จะเริ่มต้นคบหา ตอนนี้ไม่ได้รัก ดูใจกันไปสักระยะอาจจะรักกันก็ได้ มันบอกเหตุผลว่า ถ้าผมเป็นแฟนกับคุณแคทลียาจริงๆ เรื่องทุกอย่างมันก็จะจบลงอย่างสมบูรณ์ที่สุด นั่นคือ สามารถกันนายทรงพลออกไปได้ สิ่งที่เราพูดกับนายทรงพลวันนี้ ก็จะไม่กลายเป็นเรื่องโกหก

อีกอย่างผมซึ่งถูกคนจับตามองว่าป่านนี้ทำไมยังเป็นโสด ก็จะได้เลิกวิพากษ์วิจารณ์กันเสียที ข่าวลือไม่ดีเกี่ยวกับผมก็จะได้หายไป แถมซ้ำผมยังจะได้ไปเกี่ยวข้องกับลูกหลานประธานของบริษัท อาจจะทำให้อนาคตการงานของผมก้าวหน้ายิ่งขึ้นไปด้วย
ไม่ว่าจะด้วยแง่มุมไหน ผมก็ได้ประโยชน์จากการที่เป็นแฟนกับคุณแคทลียา ดังนั้นผมจึงไม่ควรปฏิเสธ ยกเว้นแต่ว่าผมจะมีใครบางคนในใจอยู่แล้ว

น่าแปลกที่พอสันต์พูดจบ ผมก็ดันคิดไปถึงเด็กหนุ่มหน้าเข้มที่ผมเพิ่งต่อว่าเขาไป วันนี้มีเรื่องราวมากมาย ที่พอนึกไปนึกมาผมก็อดคิดถึงเขาไม่ได้ ป่านนี้เดียร์จะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ เขาโดนผมดุไปขนาดนั้น จะยังเต้นโชว์ได้หรือเปล่านะ
“เฮ้ย เรียว นายใจลอยถึงใครอยู่วะ ไม่ได้ยินฉันพูดหรือไง”

เสียงเจ้าสันต์ดังขึ้น ปลุกผมตื่นจากภวังค์ ผมถามมันอย่างงงๆ ว่ามันพูดว่าอะไร มันก็ด่าผมว่า มันแต่เหม่ออยู่นั่นแหละ ปล่อยให้มันพูดคนเดียวอยู่ได้

จากนั้น มันก็บอกกับผมว่า มันอยากให้ผมไปคิดทบทวนดู เพราะสิ่งเหล่านี้ มันเป็นประโยชน์ต่อผมทั้งสิ้น ถึงไม่เห็นด้วยในวันนี้ แต่ในวันข้างหน้า ผมอาจจะขอบคุณมันก็ได้

มันยังย้ำอีกด้วยว่า ผมเป็นเพื่อนรักของมัน ขอให้เชื่อเถอะว่ามันไม่ได้คิดร้ายต่อผม ฟังเสียง และเห็นท่าทางของมันแล้ว ผมก็รู้ว่าเจ้าเพื่อนคนนี้ มันหวังดีกับผมจริงๆ เลยได้แต่เออออ บอกมันไปว่าผมจะลองคิดดูแล้วกัน

แต่ถ้าไม่ใช่ในสิ่งที่มันเสนอก็อย่ามาว่ากัน ความรักมันฝืนกันไม่ได้อยู่แล้ว สิ่งที่ผมพูดออกไปได้รับการสนับสนุนจากศักดิ์ชายอีกครา จนเจ้าสันต์งอนขึ้นมาอีก หาว่าผมสองคนไม่เชื่อมัน แล้วจะเสียใจ ทั้งสันต์และผมก็เลยหัวเราะ จากนั้น เราก็ไม่พูดอะไรกันอีก ต่างคนต่างจมอยู่กับความคิดของตัวเองจนกระทั่งถึงบ้าน

ผมเดินเข้าบ้านด้วยความรู้สึกหดหู่เงียบเหงา วันนี้ผมรู้สึกเหนื่อยกับการทำกิจกรรมมากมาย แถมซ้ำยังเหนื่อยหน่ายหัวใจ ตั้งแต่ตอนที่ได้เจอกับนายทรงพลอีก

ผมเปลี้ยเพลียแรงยิ่งกว่าตลุยทำงานหนักที่บริษัท ความรู้สึกมันบอกให้ผมพัก และปลีกตัวไปเสียจากเรื่องที่ทำให้ผมไม่สบายใจเหล่านี้
อยู่ๆผมก็ปรารถนาที่จะมีใครสักคนอยู่เคียงข้าง คอยฟังเรื่องราวที่ผมพูด ทำให้ผมสบายใจ สร้างความอบอุ่นและทำให้ผมหัวเราะได้ คนๆนั้นจะจับต้องตัวผมเบาๆ ลูบไล้ด้วยความรัก พร่ำกระซิบเรียกชื่อผมอยู่ข้างหู

“เรียวครับ ผมรักคุณมากที่สุดในโลกเลย อยากอยู่ใกล้ อยากดูแลไปจนตลอดชีวิต อยากปกป้อง และทำให้คุณมีความสุขมากๆครับ”
เสียงหนึ่งดังก้องในหู เป็นเสียงที่คุ้นเคยเหลือเกิน ผมได้ยินเสียงนี้บ่อยมากตั้งแต่เมื่อ 2 เดือนที่แล้ว จนย่างเข้าเดือนที่สาม เสียงนี้ก็ยังคงอยู่ในความคิดคำนึงของผมตลอดเวลา

เสียงของเดียร์ที่พร่ำเรียกชื่อผม บอกรักวันละหลายร้อยครั้งเวลาอยู่ด้วยกัน ไม่ใช่แค่พูด แต่เขายังแสดงออกให้ผมรู้ตลอดเวลาว่าเขารักผมมากแค่ไหน

ทำไมอยู่ๆผมถึงคิดถึงเดียร์ขึ้นมาได้นะ หรือว่าเดียร์คือคนที่อยู่ในใจผมตลอดเวลา บางทีผมอาจจะทบทวนในสิ่งที่สันต์พูด ถ้าหากต้องการลบภาพของเดียร์ออกไปจากความคิด
ผมนอนพลิกตัวไปมา ตั้งใจว่าจะหลับ เพราะไม่อยากจะคิดถึงสิ่งใดอีกต่อไปแล้ว แต่ก็ไม่สามารถทำได้ดังใจ ที่นอนที่ผมเคยนอนประจำ ทำไมมันดูกว้างใหญ่เหลือเกิน มันเหมือนมีบางสิ่งบางอย่างที่หายไป

ผมนอนลืมตาโพลงอยู่บนเตียง มีหมอนข้างวางอยู่ใกล้ๆ ก่อนหน้านี้ผมรู้สึกแบบนี้หรือเปล่านะ ทั้งที่เตียงนี้ผมก็ซื้อมันมานานแล้ว ขนาดของมันยังเท่าเดิม แต่ทำไมเมื่อไม่กี่อาทิตย์ก่อน ผมรู้สึกว่ามันคับแคบ แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่น
ใครบางคนที่นอนถัดจากหมอนข้างข้างตัวผมเคยนอนอยู่ตรงนั้น เขามักจะดึงหมอนหนี แล้วก็รั้งตัวผมไว้ในวงแขนแข็งแรงของเขา
จำได้ว่าผมอึดอัดเหลือเกินที่ต้องนอนแนบชิดกับเขาในครั้งแรก พยายามจะออกห่าง แต่เขาก็กอดผมเสียแน่น ไม่ยอมให้หนีไปไหน นานเข้าผมก็เริ่มเคยชินกับการที่มีร่างสูงใหญ่ นอนอยู่ใกล้ๆ
เสียงหัวใจของเขาที่เต้นอยู่ข้างหู ลมหายใจที่เป่ารดหน้าผาก กลิ่นเนื้อหนุ่มที่ผมสูดเข้าปอดการตระกองกอดผมไว้แนบอกทุกค่ำคืนที่เขามาหา สิ่งเหล่านี้มันได้กลายเป็นความคุ้นเคยของผมไปเสียแล้ว

พอมันขาดหายไป ก็ทำให้ผมโหยหาขึ้นมา เหมือนว่าห้องทั้งห้องว่างเปล่า ความเหงาบังเกิดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
นี่กลายเป็นว่า ที่ผมนอนไม่หลับ กระสับกระส่าย เพราะคิดถึงเด็กหนุ่มหน้าเข้มคนนั้น เขาทำให้ช่วงเวลาพักผ่อนของผม ไม่เหมือนเดิมไปเสียแล้ว

ขณะที่กำลังพยายามข่มตาให้หลับอยู่นั้น เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น มันเป็นเสียงที่ผมตั้งไว้เป็นพิเศษโดยเฉพาะ เพื่อแยกให้ได้ว่าใครโทรมา
ทำนองที่คุ้นหูทำให้ผมรู้ว่า คนที่กำลังเรียกเข้ามานั้น โทรมาจากเครื่องของนายเดียร์คนที่ทำให้ผมนอนไม่หลับอยู่ตอนนี้ ตายยากเสียจริงๆ แค่คิดถึง เสียงก็มาแล้ว

ผมทำเป็นไม่ใส่ใจเสียงโทรศัพท์ หวังจะให้มันหยุดไปเอง แต่เสียงนั้นก็ดังอย่างต่อเนื่อง จนผมนึกฉุน
เจ้าเด็กบ้านี่ เพิ่งจะด่าไปหยกๆ ว่าไม่ให้โทรมา แต่ไม่ทันไร ก็ลืมสิ่งที่ผมสั่งไปเสียสิ้น ทำไมเขาถึงได้หน้าด้านหน้ามึนแบบนี้นะ เดี๋ยวผมจะด่าให้สำนึกเสียบ้าง

“บอกแล้วไงว่าอย่าโทรมาอีก ไม่ฟังกันบ้างเลยนะ”

พอคว้าโทรศัพท์ขึ้นมารับ ผมก็กรอกเสียงดุๆลงไป ปลายสายเงียบไปอึดใจหนึ่ง จากนั้นก็มีเสียงตอบรับที่ไม่คุ้นหูดังตอบมา

“อุ้ยยยย ขอโทษค่ะ คุณเรียว นี่น้อยเองค่ะ ที่จริงเดียร์ไม่ได้อยากให้โทรมา เพราะกลัวคุณจะโกรธ เขาไม่อยากรบกวนคุณ แต่นี่น้อยแอบโทรมา เพราะอยากแจ้งข่าวให้ทราบเท่านั้น เดียร์เขาเกิดอุบัติเหตุค่ะ................”

“อะไรนะ เดี๋ยวๆๆๆ พูดใหม่สิ”


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด