[novel] นิทานชลาธล by Nat
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [novel] นิทานชลาธล by Nat  (อ่าน 65898 ครั้ง)

meemewkewkaw

  • บุคคลทั่วไป
Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
«ตอบ #30 เมื่อ02-01-2007 23:58:46 »

อ่านทันซะจนเหงือกแห้งแล้วครับพี่บลูเรย์ :yeb:

ว่าแต่ธลจะบอกอะไรกับกฤษน๊า . . . อยากรู้จริง

ตอนนี้อ่านแล้วรู้สึกใจแป้วพิกลง่ะ :impress3:

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
«ตอบ #31 เมื่อ03-01-2007 20:10:32 »

ขำหมีจนท้องแข็ง  :pigha2:
เหงือกแห้งเลยหรือ ดื่มน้ำเยอะๆนะครับ
งั้นต่อให้อีกตอนก่อน กร๊ากกๆๆๆ
 :monkeylaugh2:
********************************************

บทที่ 10

“เฮ้อ อิ่มจัง” ชายหนุ่มอุทานพลางตบไปที่ท้องของเขาเบาๆ

“คุณพ่อกินเสร็จแล้ว เล่าเรื่องของพี่ธลต่อสิคะ” เด็กสาวรบเร้า ชายหนุ่มยิ้ม

“ไปช่วยคุณแม่เขาล้างจานก่อนสิลูก” ชายหนุ่มกล่าว

“ไม่เป็นไรคะ วันนี้ลูกธลก็ช่วยแม่ทำกับข้าวแล้ว อันที่จริงแม่เองก็อยากฟังเรื่องนั้นต่อแล้วละ” หญิงสาวพูดขึ้นบ้าง ชายหนุ่มหัวเราะ...


ก็ได้ๆ อืม หลังจากที่พ่อได้เทียนระเบิดน้ำเป็นของขวัญจากธลแล้วพ่อก็ตัดสินใจเดินไปที่ปากแม่น้ำน่าน พ่อมองดูแม่น้ำตรงหน้า มันเป็นแม่น้ำที่ใหญ่อยู่ไม่น้อยแต่พ่อตัดสินใจแล้วพ่อเองก็ไม่อยากจะถอยเหมือนกัน พ่อออกจากวัดแล้วก็แวะไปซื้อไฟแช็คที่ร้านขายของชำ ตอนนั้นยังไม่มีกฏหมายเรื่องห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีซื้อบุหรี่ พ่อเลยซื้อมาได้อย่างไม่มีปัญหานัก พ่อหยิบเอากิ่งไม้ปลายแหลมมากิ่งนึง แล้วก็เสียบมันเข้าไปที่เทียนระเบิดน้ำที่เหลืออยู่ครึ่งเล่มเพื่อใช้เป็นเชิงเทียนชั่วคราว พ่อเดินไปที่แม่น้ำ พ่อลัดเลาะลงไปจนถึงริมฝั่งพลางสอดส่งซ้ายขวาว่าไม่มีใครสังเกตเห็น พ่อหยิบเทียนขึ้นมาจุดแล้วพ่อก็ค่อยๆก้าวลงไปช้าๆ น้ำค่อยๆแยกตัวออกเป็นวงรอบตัวของพ่อ พ่อเดินดิ่งลงไปเรื่อยๆ น้ำก็แหวกออกเป็นวงกลมล้อมรอบตัวพ่อเหมือนครั้งแรก พ่อเดินลงไปจนกระทั่งน้ำนั้นล้อมตัวพ่อจนหมด พ่อมองดูไปรอบๆตัว น่าแปลกมันไม่มีปลาหรืออะไรเลยสักตัวเดียว จะว่าไปเหมือนกับสัตว์น้ำทั้งหลายในแม่น้ำมันหายไปหมด พ่อเดินต่อลงไปจนถึงก้นแม่น้ำแต่ก็ยังไม่มีสัตว์น้ำตัวใดโพล่ออกมาเลย ราวกับว่าสัตว์น้ำทั้งหลายมันหนีหายไปกันหมด แล้วพ่อก็ได้ยินเสียงเหมือนอะไรบางอย่างว่ายผ่านน้ำไป พ่อเงยหน้าขึ้นมองก็พบจระเข้สองตัวกำลังว่ายน้ำผ่านหัวของพ่อไป มันทำให้พ่ออดคิดไม่ได้ว่ามันจะไปที่ไหนกัน หรือว่ามันจะเป็นลูกน้องของสุรศักดิ์ด้วย พ่อไม่รอช้าพ่อรีบก้าวเท้าตามไปทันที เพราะว่าเทียนระเบิดน้ำทำให้พ่อนั้นไม่รู้สึกเหมือนกับตัวเองนั้นอยู่ใต้น้ำเลย แม้ว่าดินจะแฉะๆไปบ้างแต่พอให้พ่อนั้นเดินไปได้ พ่อแอบตามจระเข้สองตัวนั่นไปอย่างเงียบๆ ดูเหมือนจระเข้สองตัวนั่นเองก็รีบเสียจนไม่ได้สังเกตอะไรทั้งนั้น พ่อรีบเดินตามไปอย่างไม่รอช้า พ่อเดินตามมันไปอยู่นานเหมือนกันแต่มันก็ยังไม่หยุดว่ายสักที พ่อเริ่มรู้สึกเหมือนกับว่าอากาศรอบตัวของพ่อมันลดน้อยลงทุกทีๆ เทียนระเบิดน้ำนั้นกำลังจะมอด พ่อหยุดก้มลงเอาเทียนเล่มใหม่ขึ้นมาต่อไฟ แสงของเทียนค่อยๆสว่างขึ้นพร้อมกับขยายพื้นที่ให้ พ่อถอดกิ่งไม้ออกจากเทียนเล่มเก่าแล้วก็เอามาเสียบเข้ากับเล่มใหม่ แต่พอพ่อเงยหน้ากลับขึ้นมา จระเข้สองตัวนั้นก็หายไปเสียแล้ว พ่อรู้สึกเจ็บใจเล็กน้อย พ่อมองหันหลังกลับไปก็ไม่มีวี่แววของจระเข้ใดๆอีก พ่อมองไปตรงหน้า ทางข้างหน้ามันขมุกขมัวเสียเหลือเกิน แต่พ่อก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว พ่อตัดสินใจเดินหน้าต่อไป พ่อมองไปรอบๆตัวเพื่อจะเจอจระเข้สองตัวนั่น แต่ก็ไม่มีวี่แววของมันเลย พ่อถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน

“โถ่เว้ย คลาดสายตาไปจนได้” พ่อบ่น แต่พ่อเองก็ไม่อาจทำอะไรได้ พ่อหันหลังกลับไปพลางมองดูเทียนระเบิดน้ำในถุง พ่อเหลือเทียนระเบิดน้ำอยู่อีกสี่เล่ม เล่มนึงเหมือนจะใช้ได้ราวๆ สองชั่วโมง ตอนนี้พ่อเดินมาไกลแค่ไหนพ่อเองก็ไม่รู้ แล้วถ้าต้องเดินต่อไปจะต้องเจอกับอะไรบ้างพ่อเองก็สุดจะคาดเดา มันเหมือนพ่อเอาชีวิตมาทิ้งง่ายๆยังไงอย่างนั้นเลย พ่อดูเทียนในมือของพ่อที่ค่อยๆละลายลงไปเรื่อยๆอย่างช้าๆ ธลเขาสละชีวิตของเขาเพื่อช่วยคนอื่น เขาช่วยพ่อมาก็หลายครั้ง แล้วพ่อจะหนีอย่างนั้นหรอ ไหนว่าสัญญาว่าจะช่วยเขา แต่แค่นี้พ่อก็หนีเสียแล้ว พ่อกำกิ่งไม้แน่นแล้วตัดสินใจเดินหน้าต่อไปทันที พ่อเดินต่อไปอยู่นานโขเหมือนกัน พ่อเปลี่ยนเทียนไปสามเล่มแล้ว ตอนนี้พ่อเหลือเทียนอยู่เล่มสุดท้ายแล้ว แต่พ่อก็ยังไม่มีหวัง เทียนระเบิดน้ำของพ่อเหลืออยู่แค่ครึ่งเล่มแล้ว แต่พ่อก็ยังหาตัวธลไม่เจอ พ่อกำหมัดแน่นด้วยความเจ็บใจ

“โถ่เว้ย” พ่อสถบ พ่อรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนไร้ค่าเสียจริงๆ แต่ทันใดนั้นเองพ่อก็เห็นแสงเรืองอยู่ตรงหน้า พ่อรีบก้าวขายาวไปยังแสงนั่นทันที แล้วพ่อก็เห็นว่ามันเป็นอุโมงค์แต่ในอุโมงค์นั่นกลับมีแสงสีทองส่องสว่างออกมา พ่อเดินไปอย่างระมัดระวัง แสงนั่นค่อยๆสว่างขึ้นทีละน้อยๆ พ่อมองลอดเข้าไปตาพ่อแทบจะหลุดเลย พ่อเห็นคนยืนอยู่ข้างในเป็นร้อยเลย แต่ละคนใส่ชุดหนังจระเข้ปกคลุมร่างเอาไว้ แทบไม่ต้องเดาเลยว่านี่ต้องเป็นถ้ำทองแน่ๆ และมันเป็นถ้ำทองที่ใหญ่เอาเรื่องเลยทีเดียว พ่อก้มลงมองดูตัวเองถ้าพ่อเข้าไปทั้งๆอย่างนี้อาจโดนจับกินได้แน่ๆ พ่อจึงตัดสินใจเอาโคลนมาแปะไปตามร่างของพ่อจนทั่ว โคลนดำๆคล้ำ บางทีอาจจะพอหลอกตาของพวกจระเข้ได้ พ่อคิดพลางเอาโคลนลูบตัวจนทั่ว พ่อกลั้นใจก่อนที่จะเดินเข้าไปในอุโมงค์สีทองอร่ามตา พ่อเข้ามาก็ดับเทียนพลางมองไปรอบๆว่าจะมีจระเข้ตัวไหนรู้ตัวบ้างแต่เหมือนจระเข้ส่วนใหญ่จะสนใจแต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น พ่อตัวเล็กเลยมองอะไรไม่เห็น พ่อจึงพยายามมุดลอดเข้าไปเพื่อจะเข้าไปดูใกล้ๆว่าพวกมันกำลังมุงดูอะไรอยู่

“กฏของท่านพญากุมภีร์ได้กำหนดไว้อย่างชัดเจนว่า หากเลือดตะเข้ใดหยด ต้องสังเวยกลับด้วยเลือด” เสียงใหญ่ทุ้มๆดังขึ้น พ่อแทบไม่เชื่อหูตัวเองเลย นี่ในถ้ำทองจระเข้ตัวอื่นๆก็พูดภาษามนุษย์ได้ด้วยหรือเนี่ย

“แถมไอ้นี่ ยังเป็นลูกของไอ้ไกรทองกับนังแพศยาเลื่อมลายวรรณ มันทำให้ตระกลูตะเข้ของเราต้องเสื่อมเสีย” เสียงนั่นดังขึ้นอีก พ่อรู้ได้ทันทีว่านั่นต้องเป็นสุรศักดิ์แน่ๆ

“มันมีความผิดมหันต์เกินกว่าจะให้อภัย โทษของมันมีสถานเดียวคือ ตาย” เจ้าของเสียงเน้นคำว่าตายอย่างหนักแน่น เหล่าจระเข้ในถ้ำก็ส่งเสียงโห่ร้องเซ็งแซ่ พ่อมุดไปเรื่อยๆจนกระทั่งพ่อพอจะมองเห็นตรงหน้าได้บ้าง มันเหมือนเป็นแท่นหินขนาดใหญ่ตั้งขึ้นไปราวกับเวที และธลก็นั่งคุกเข่าอยู่ตรงนั้นพร้อมกับชายผิวสีน้ำผึ้งตัวใหญ่ยักษ์ที่ยืนอยู่ข้างๆ

“พิธีตัดหัวจะเริ่มนับจากนี้ไป ท่านโหรวรัตน์ ข้าขออนุญาตใช้พระขรรค์เขี้ยวมณีด้วย” ชายร่างใหญ่พูดขึ้น ชายแก่ๆคนนึงก็เดินเข้ามาใกล้ ในมือมีมีดที่หุ้มด้วยปลอกสีทอง ที่ด้ามมีดประดับด้วยเพชรนิลจินดาจำนวนมากมายอย่างสวยงาม ชายร่างใหญ่ประนมมือพลางวางมีดไว้ที่หว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ พลางยกขึ้นเหนือหัว

“ข้าขอให้ท่านพญากุมภีร์ทั้งหลายทั้งปวง ที่ปกป้องเหล่าตะเข้ทั้งหลายให้ร่มเย็นเป็นสุข ให้อำนาจของพระขรรค์เขี้ยวมณีด้ามนี้ใช้ตัดสินโทษตะเข้ต่ำช้าตัวนี้ให้ถึงแก่ชีวิต ถ้าไม่มีเหตุอันใดขอให้งานประหารนี้ผ่านไปได้ด้วยดีเทอญ” จระเข้ร่างใหญ่ตัวนั้นพูดขึ้นพลางยกพระขรรค์ขึ้นหนึ่งครั้งก่อนจะยกมันกลับมาที่อก แล้วเขาก็ดึงพระขรรค์ออกจากฝัก มีดสีเงินวาบวับสะท้อนกับแสงสีทอง เขาชี้ไปที่หน้าของธล

“เจ้ามีอะไรจะสั่งเสียอีกไหม” ชายคนนั้นถาม

“ข้าขอให้ทุกท่านยุติเรื่องการฆ่ามนุษย์เพื่อหาตำแหน่งท้าวคนใหม่” ธลพูดขึ้น ชายคนนั้นจิกหัวของธลขึ้นมา

“ข้าบอกแล้วว่าแกไม่มีสิทธิ์เสนอข้อต่อรองอะไรทั้งนั้น” ชายคนนั้นคำรามพลางแยกเขี้ยวใส่ ธลมองหน้าเขาอย่างไม่มีเกรงกลัว

“ข้าไม่ได้ต่อรอง ข้าแค่ข้อร้อง” ธลพูด ชายคนนั้นทิ้งธลกระแทกลงกับแท่นหินเสียงดังปั้ง

“คำขอร้องของเจ้าไม่เป็นที่ยอมรับ พวกมนุษย์ทำเราเหล่าตะเข้ลำบากมาหลายสิบปีแล้ว เราเดิมทีก็อยู่อย่างสุขสบาย เรากินเท่าที่จะกิน เราไม่เคยฆ่าเพราะความสนุก เราฆ่าเพื่อจะอยู่ แต่มนุษย์นะมันเป็นตัวเชื้อโรคที่บ่อนทำลายโลกนี้ มันไม่ได้ฆ่าเราเพื่อกิน มันเห็นเราก็เป็นแค่สิ่งของ มันไม่หิวก็ฆ่า มันหิวก็ฆ่า มนุษย์ทำเหมือนเราเป็นแค่สัตว์สี่เท้า ทั้งๆที่จิตใจของพวกมันนะต่ำทรามกว่าสัตว์สี่เท้าเสียอีก” ชายร่างใหญ่คำราม พ่อเองตอนนั้นก็อดคิดไม่ได้เหมือนกัน เราฆ่าจระเข้เพื่อเอาหนังมันมาทำกระเป๋า เราคิดว่ามันเป็นสัตว์อันตรายถ้าเจอมันต้องเป็นกำจัด ทั้งๆที่สิ่งมีชีวิตที่อันตรายที่สุดอาจจะเป็นมนุษย์เองก็ได้

“ที่ท่านพูดมันก็ถูก แต่มนุษย์ก็มีดีอยู่เหมือนกัน ก็ยังมีมนุษย์บางคนที่สู้เพื่อพวกท่านไม่ใช่หรือ” ธลแย้ง แต่ชายคนนั้นกลับตบแก้มธลเสียงดังเพี๊ยะ

“แกคิดหรอว่านั่นคือการดูแล ลูกน้องของข้าต้องโดนจับไปขังไร้อิสระภาพ แถมต้องไปแสดงจำอวดให้มนุษย์คนอื่นๆหัวเราะเยาะ แกคิดว่านั่นคือการช่วยเหลืองั้นเรอะ” ชายคนนั้นพูด แล้วเขาก็ก้มลงดึงหัวของธลขึ้นมา

“แกเองก็เถอะ แกเองก็โดนเหล่ามนุษย์รังเกียจไม่ใช่หรอ แล้วทำไมแกยังไปเข้าข้างมันอีก ฮะ” ชายคนนั้นตวาดใส่ ธลมองหน้าด้วยสายตาที่เลื่อนลอย

“แต่เดิมข้าเองก็เคยสงสัยว่าข้าจะช่วยเหลือพวกมนุษย์ไปทำไม เพราะก็ไม่มีใครจะสนใจข้าสักคน จนกระทั่งมีอยู่คนนึงที่ได้เข้ามาเปลี่ยนความคิดของข้า เขาทำให้ข้าได้เข้าใจว่าความรักคืออะไร และมันก็ทำให้ข้าอยากจะพยายามเพื่อเขา และ มนุษย์คนอื่นๆที่เหมือนเขาด้วย” ธลตอบ พ่ออึ้งไปเล็กน้อย

“พูดบ้าๆ แกเองก็ใช่มนุษย์เสียที่ไหนละ” ชายคนนั้นตอบ

“ข้ารู้ ข้าไม่ใช่ทั้งมนุษย์ และข้าเองก็ไม่ใช่จระเข้ด้วย แต่คนนั้นกลับบอกกับข้าว่า เขาไม่เคยสนใจว่าข้าจะเป็นอะไร มันทำให้ข้าได้เข้าใจว่ามนุษย์นั้นมีบางอย่างที่จระเข้ไม่มี มันคือความรู้สึกที่ผูกพัน และมันสามารถถ่ายทอดไปยังผู้อื่นได้ด้วย ข้าเชื่อว่ายังต้องมีมนุษย์คนอื่นๆอีกแน่ที่พยายามจะถ่ายทอดความรู้สึกนั่นมาสู่พวกท่าน ถ้าท่านยอมเปิดใจรับมันดูสักครั้ง บางทีมันอาจจะเป็นกุญแจที่จะทำให้เราอยู่อย่างมีความสุขก็เป็นได้” ธลตอบ เหล่าจระเข้ก็ซุบซิบกัน ชายคนนั้นกดหัวของธลลง

“แกจะให้พวกเราลดตัวไปอยู่กับพวกมนุษย์อย่างนั้นหรอ มันจะมากไปหน่อยละมั้ง” ชายคนนั้นตอบ ธลมองหน้าชายคนนั้นกลับ

“แล้วท่านละเคยมอบความรู้สึกดีๆให้คนอื่นบ้างหรือเปล่า ท่านเอาแต่ทำบำเพ็ญศีลเพื่อเพิ่มอายุขัย ขนาดกับน้องชายของท่านเอง ท่านยังไม่เคยใส่ใจ” ธลแย้ง

“ปากดีนักนะ งั้นข้าก็ขอเริ่มพิธีประหาร ณ บัดนี้” ชายคนนั้นร้อง พ่อสุดจะกลั้น

“อย่านะ” พ่อแหกปาก เหล่าจระเข้เป็นร้อยหันมาที่พ่อเป็นตาเดียว ไม่เว้นแม้แต่ธล

“กะ กฤษ” ธลอุทานอ้าปากค้าง

“มนุษย์ มีมนุษย์ในถ้ำทอง จับมันไว้” ชายแก่ร้องขึ้น เหล่าจระเข้ทั้งหลายต่างจับร่างของพ่อเอาไว้

“กฤษ นายมาทำอะไรที่นี่ ปล่อยเขานะ เขาไม่เกี่ยวด้วยนะ” ธลร้อง

“ไม่ธล นายไม่ผิด คนที่ผิดคือเราเอง คนที่น่าจะไปอยู่ตรงนั้นคือเราไม่ใช่นาย” พ่อร้องตอบ

“พอที ยังไงก็ต้องตายทั้งคู่นั่นแหละ เจ้ามนุษย์แกบุกรุกถ้ำทองอันเป็นถิ่นของตะเข้ แกทำให้สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต้องมัวหมอง” ชายคนนั้นคำราม พ่อพยายามจะออกแรงแต่จระเข้เหล่านั้นกลับจับตัวพ่อไว้แน่น ชายร่างใหญ่ง้างมือไปข้างหลัง

“ส่วนแก ที่ทำให้น้องของข้าต้องหลั่งเลือด เลือดของแกก็จะต้องหลั่งบนแท่นศักดิ์สิทธิ์นี้” ชายร่างใหญ่ร้องพลางฟาดพระขรรค์ลงอย่างแรง เสียงพระขรรค์วิ่งผ่านลมดังวูบ

“เพล้ง” เสียงแตกดังสนั่นไปทั่วถ้ำ เหล่าจระเข้ทั้งหลายต่างมองกันเป็นตาเดียว พ่อเองก็ตกใจไม่น้อย พระขรรค์สีเงินแตกออกเป็นชิ้นๆ เหลือแต่เพียงด้ามจับสีทองเท่านั้น

“พะ พระขรรค์แตก” โหรอุทาน พลางวิ่งเข้ามาดู ชายร่างใหญ่มีสีหน้างุนงงเป็นที่สุดไม่ต่างอะไรกับคนอื่นๆ โหรเฒ่าก้มลงมองดูซากพระขรรค์ที่กระจัดกระจายลงพื้น ตาเขาลุกวาวแล้วก็ลุกขึ้นพลางเดินมาที่ธล

“เอ็งคลายสิ่งที่ครอบร่างของเอ็งออกสิ” โหรสั่ง ธลมองหน้าพ่อ พ่อยิ้มรับ ธลถอนหายใจยาวพลางหลับตาลง เขาพูดภาษาประหลาดสองสามคำ พลันร่างของเขาก็มีอักขระสีแดงปรากฏขึ้นเต็มร่าง ผิวสีน้ำผึ้งของธลเริ่มเปลี่ยนเป็นผิวเกล็ดตะปุ่มตะป่ำ แววตากลายเป็นสีเหลืองน่าสะพรึงกลัว นิ้วที่มีเล็บงอกยาวออกมา โหรเฒ่าก็เดินเข้าไปใกล้ เขาเอามือแตะที่ร่างของธลเหมือนกับมองหาอะไรสักอย่าง ธลยังคงท่องคาถาของเขาต่อไป อักขระสีแดงโผล่ขึ้นเต็มร่างของเขาไปหมด โหรเฒ่าเอานิ้วลูบไปที่ตีนผม แล้วเขาก็ถอยครูดไปข้างหลัง

“คะ คนนี้คือ ละ ลูกของชาละวันหรือเนี่ย” โหรเฒ่าคนนั้นร้อง ทุกคนต่างร้องอุทานอย่างตกใจ พ่อเองก็เหมือนกัน ธลตกใจจนลืมท่องคาถา พลันร่างของเขาก็หยุดเปล่งแสงคืนกลับเข้าสู่ร่างมนุษย์อีกครั้ง

“โหรวรัตน์ท่านดูผิดหรือเปล่า” ชายร่างใหญ่พูด โหรเฒ่าส่ายหัว

“ไม่ผิดแน่ ท่านชาละวันมาเข้าฝันข้าก่อนหน้านี้ด้วยซ้ำว่าจะมีลูกกษัตริย์จะโดนทำร้าย ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะเป็นเขา พระขรรค์ที่แตกเหมือนแก้วบอกข้าว่าแม่ของเจ้านี่จริงๆคือตะเภาแก้ว และที่สำคัญเขามีลิ้น” โหรเฒ่าพูด จระเข้ตัวอื่นๆถึงกับมองเป็นตาเดียวกัน

“มะ มีลิ้น” พ่อร้อง อันที่จริงพ่อเองก็เคยได้ยินนิทานที่ว่าจระเข้นั้นไม่มีลิ้น งั้นที่ธลมีลิ้นก็หมายความว่าธลมีเชื้อของจระเข้ท้าวอย่างนั้นหรอ ชายร่างใหญ่กำมือแน่น พลางคุกเข่าลงกับพื้น โหรเฒ่าก็คุกเข่าตาม แล้วพลันจระเข้ทั้งถ้ำก็คุกเข่ากันเป็นแนว

“แก้มันเขาเร็ว” โหรเฒ่าสั่ง ชายตัวใหญ่สองคนก็มาแก้เชือกที่มัดธลไว้ออก ธลยืนขึ้นอย่างงงๆ

“ท่านมีเชื่อกษัตริย์โดยตรงที่สืบทอดจาก ท้าวรำไพ ท่านจ้าว เออ...” โหรเฒ่ามองหน้า ธลมองหน้าเขางงๆ

“เออ ชลาธล” ธลตอบ โหรเฒ่าพยักหน้า

“ท่านจ้าวชลาธล โปรดขึ้นบังลังก์เพื่อสืบถอดตำแหน่งท้าวพญากุมภีร์รุ่นต่อไปด้วยเทอญ” โหรเฒ่ากล่าว พ่อมองธลอย่างงงๆ ธลเองก็งงอยู่ไม่น้อย

“อะ เออ แล้วข้าต้องทำอะไรบ้าง” ธลถาม

“ท่านกล่าวอะไรสักหน่อยสิ” โหรตอบ ธลมองมาที่พ่อพลางพยักหน้า

“ปล่อยตัวมนุษย์คนนั้น” ธลพูด จระเข้ที่จับตัวพ่ออยู่ก็ปล่อยตัวพ่อทันที ธลหันหน้าไปที่เหล่าจระเข้ที่เหลือ

“ข้าขอประกาศให้จระเข้ทั้งหมดยุติการฆ่ามนุษย์โดยถาวร” ธลพูด จระเข้ทุกตัวต่างก็ก้มหัวพยักหน้ารับโดยไม่เถียงเลยสักคำ

“แล้วแต่ท่านท้าวจะบรรชา” จระเข้ทุกตัวพูดพร้อมกัน แล้วธลก็วิ่งลงมาหาพ่อ ธลจับไหล่ของพ่อเอาไว้

“นายทำอะไรของนายเนี่ย” ธลร้อง พ่อยิ้มให้เขา

“ก็มาช่วยนายไง” พ่อตอบ ธลดึงร่างของพ่อมากอดไว้ทันที

“ขอบใจนะ” ธลพูดสะอื้น พ่อตบหลังเขาเบาๆ

“ไม่เป็นไร เราไม่ได้ทำอะไรเลยสักหน่อย” พ่อตอบ หลังจากนั้นโหรก็ทำนายจากที่ฝันและพระขรรค์ที่แตกออก สรุปได้ว่าจริงๆแล้วธลนั้นเป็นลูกของชาละวันกับตะเภาแก้ว แต่ตะเภาแก้วนั้นยอมรับไม่ได้ที่ตัวเองมีลูกเป็นจระเข้จึงยกลูกให้นางเลื่อมลายวรรณไป ส่วนเลื่อมลายวรรณเองก็ยังจงรักภัคดีต่อชาละวัน จึงดูแลธลเป็นอย่างดี

“ที่แท้ แม่เก็บของทุกอย่างของท่าน เอ้ย พ่อชาละวันไว้เพราะอย่างนี้นี่เอง” ธลพูด พ่อเองก็สุดจะเชื่อกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้ธลนั้นปลอดภัยพ่อก็โล่งใจไปเปราะนึง จากนั้นธลก็อาสาจะพาพ่อไปส่งให้ถึงที่วัด

“แต่เทียนระเบิดน้ำเหลือแค่ครึ่งเล่มแล้วนะ” พ่อพูด ธลก็ยิ้ม

“ไม่ต้องห่วงหรอก แค่นั้นก็พอแล้ว” ธลตอบ พ่อก็จุดเทียนระเบิดน้ำที่เหลืออยู่ ธลจับมือของพ่อไว้แล้วเขาก็ทะยานออกจากถ้ำไป เขาพุ่งไปเร็วมาก มากเสียจนเทียนแทบจะดับ พ่อต้องเอามืออังไว้ตลอดทางเลย แต่พอพ่อรู้สึกตัวอีกที เขาก็พาพ่อมาโพล่ที่ข้างวัดเสียแล้ว พ่อมองธลอย่างทึ่งๆ

“โห นายว่ายน้ำเร็วเป็นบ้าเลย” พ่อทัก ธลนั่งลงหายใจหอบ นี่เป็นครั้งแรกที่พ่อเห็นธลหายใจหอบด้วยความเหนื่อยอ่อน

“ไม่เป็นไร แฮ่ก ขอเราพักแป๊ปนึงนะ” ธลพูดพลางหายใจหอบไม่หยุด พ่อจึงตัดสินใจนั่งลงข้างๆตัวเขา

“ไม่อยากจะเชื่อเลยเนอะว่านายจะเป็นลูกของชาละวัน ตอนแรกนึกว่าเป็นลูกไกรทองเสียอีก” พ่อพูด ธลพยักหน้า

“อืม เราเองก็ไม่รู้เรื่องนี้เหมือนกัน” ธลตอบ พ่อพยักหน้ารับ

“เราตกใจมากเลยนะตอนที่นายโพล่มานะ” ธลพูด พ่อยิ้มเขินๆ

“อันที่จริงถ้านายไม่ทิ้งเทียนระเบิดน้ำไว้ให้เรา เราก็คงหานายไม่เจอหรอก” พ่อตอบ ธลยิ้ม

“เราแค่อยากให้นายเก็บไว้” ธลตอบ พ่อยิ้ม

“ตอนนี้เราได้นายกลับมาแล้วนี่ มันก็ไม่จำเป็นอีกแล้วใช่ไหมละ” พ่อพูด ธลยิ้มแก้มแดงให้พ่ออย่างเขินๆ

“อะ อืม” ธลตอบ พ่อถึงกลับกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่

“อะไรกัน ทีอยู่ต่อหน้าจระเข้ทั้งฝูงไม่เห็นเป็นแบบนี้เลย พออยู่กับเราไหงกลายเป็นแบบเดิมไปได้อีกละ” พ่อแซว ธลมองหน้าพ่อสายตาเหมือนมีความนัย

“อืม คือ กฤษ เออ” ธลพยายามจะพูดอะไรออกมา แววตาของเขาจ้องเขม็งมาที่พ่อ

“อ๊ะ อืม ท่านโหรเรียกตัวแล้ว เราต้องไปก่อนแล้วละ” ธลกล่าวพลางจะหันหลังกลับแต่พ่อจับไหล่ของธลไว้

“แล้ว เราจะได้เจอกันอีกไหม” พ่อถาม ธลพยักหน้าพลางยิ้มให้

“แน่นอน เราจะต้องได้เจอกันอีก” ธลตอบ พ่อพยักหน้ารับ

“แล้วเราจะรอนะ” พ่อตอบ ธลจับมือของพ่อเอาไว้

“เราสัญญา เราจะได้เจอกันอีก” ธลกล่าวก่อนที่จะกระโดดลงน้ำหายไป พ่อมองดูธลที่ว่ายผ่านกระแสน้ำไปอย่างรวดเร็ว พ่อร้องกระโดดด้วยความดีใจ พ่อช่วยธลได้ เป็นครั้งแรกที่พ่อช่วยธลไว้ได้ พ่อแทบไม่อยากจะรอให้หลวงตารู้เรื่องนี้เลยจริงๆ

“หลวงตาต้องตกใจแน่ๆ” พ่อคิดพลางอมยิ้มแก้มตุ่ย พ่อหันไปมองพระอาทิตย์กำลังค่อยๆลับขอบฟ้าไปอย่างช้าๆ พ่อยืนมองพระอาทิตย์อัสดงอย่างเป็นสุข

“ตายหว่า ข้าวเย็น” พ่ออุทานก่อนจะรีบวิ่งกลับไปที่บ้าน...


ชายหนุ่มดื่มน้ำเข้าไปอึกใหญ่ก่อนจะค่อยๆวางแก้วลงช้าๆ

“ไม่น่าเชื่อเลยเนอะ” หญิงสาวพูดพลางมองหน้าลูกสาว

“หนูคิดแล้วเชียวว่าพี่ธลต้องไม่ใช่จอระเข้ธรรมดา” เด็กสาวพูด ชายหนุ่มก็ยิ้ม

“บางครั้งชีวิตก็แบบนี้แหละ มักมีเรื่องเหลือเชื่อเกิดขึ้นได้เสมอนั่นแหละ มันเป็นการบอกว่าทุกอย่างบนโลกใบนี้ไม่มีอะไรแน่นอนเลยจริงๆ” ชายหนุ่มพูด พลางลุกขึ้น

“เอาละ ใครจะไปช่วยพ่อล้างจานบ้าง” ชายหนุ่มตอบ หญิงสาวกับเด็กสาวมองหน้ากันเป็นตาเดียว

“ทำไมวันนี้เกิดอยากล้างจานละคะ” หญิงสาวพูด ชายหนุ่มยิ้ม

“ก็เพราะบนโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอนนะสิ” ชายหนุ่มตอบพลางเดินยกเอาจานข้าวของตนไปไว้ในห้องครัว ปล่อยให้ลูกสาวกับภรรยานั่งงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ชายหนุ่มเดินกำจานในมือไว้แน่น

“ใช่ ทุกอย่างล้วนไม่แน่นอน มีพบก็ต้องมีจาก” ชายหนุ่มคิดพลางกลั้นน้ำตาที่มันจะค่อยๆไหลรินลงมาจากสองข้างตา



ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
«ตอบ #32 เมื่อ03-01-2007 20:31:42 »

ทุกอย่างล้วนไม่แน่นอน มีพบก็ต้องมีจาก

 :monkeysad:

wee

  • บุคคลทั่วไป
Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
«ตอบ #33 เมื่อ04-01-2007 00:47:18 »

สนุกมากเลย....รอต่อน่ะ ....ชลาธล..
 :impress2: :impress2: :impress2:

meemewkewkaw

  • บุคคลทั่วไป
Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
«ตอบ #34 เมื่อ05-01-2007 13:57:54 »

น่าจะเอาไปทำเป็นละครจักรๆวงศ์ๆช่อง 7 เนอะ เรทติ้งกระชูดน่าดู


ไหงบรรทัดสุดท้ายดูเศร้าๆยังงั้นน๊อ . . .     :monkeysad:

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
«ตอบ #35 เมื่อ05-01-2007 19:49:37 »

การจากลาทำให้ความคิดถึงในมีคุณค่า
*********************************************
บทที่ 11

ชายหนุ่มนั่งอยู่หน้าโต๊ะคอมพิวเตอร์ของเขาอย่างเบื่อหน่าย เขาเหลือบมองไปที่หน้าต่าง แสงแดดส่องสว่างไปทั่วแต่เขากลับรู้สึกหดหู่แปลกๆ ในหัวของเขามันมีแต่เรื่องของชลาธล ความทรงจำของเขายังเด่นชัดแม้ว่าเวลามันจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม ชายหนุ่มมองเหม่ออกไปนอกหน้าต่างในหัวของเขาก็มีแต่ภาพอดีต...


“วันนี้เขาก็ไม่กลับมาหรอครับ” กฤษณาถามหลวงตายุธที่ยืนทำวัตรอยู่หน้ากุฏิ หลวงตาส่ายหัวไปมา กฤษณาเบ้ปากอย่างเซ็งๆ

“ข้ารู้ว่าเอ็งก็คิดถึงเขา แต่เอ็งก็ต้องเข้าใจสิว่ามันเป็นถึงท้าวคนใหม่ มันก็มีอะไรต้องทำเยอะแยะ เอาน่าเดี๋ยวก็ได้เจอกันแล้ว” หลวงตายุธปลอบ กฤษณาก็ได้แต่พยักหน้ารับไปตามเรื่อง กฤษณาได้เล่าให้หลวงตาฟังถึงเรื่องที่เกิดขึ้น หลวงตายุธตอนแรกถึงกับแทบหงายหลังตึงเมื่อได้รู้ความจริง

“นี่เอ็งพูดจริงหรอ ไอ้ธลมันเป็นลูกของชาละวันจริงหรอ” หลวงตายุธพูดอย่างไม่ค่อยจะเชื่อนัก

“ผมเองก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันหลวงตา แต่ผมได้ยินกับหูเองเลยนะครับ” กฤษณายืนยัน หลวงตาถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“เอาเถอะไอ้ธลมันไม่เป็นอะไรข้าก็โล่งใจละ แต่นี่เอ็งบ้ามากนะที่เอาเทียนระเบิดน้ำลงไปลุยตัวคนเดียวเนี่ย ถ้าเกิดเรื่องมันไม่โชคดีอย่างนี้แล้วเอ็งจะทำยังไงฮะ” หลวงตายุธดุ ธลก้มหน้าลงเล็กน้อย

“แต่ถ้าผมไม่ไปทำอะไรเสียเลย ผมก็ผิดสัญญาที่ผมให้ธลไว้เหมือนกันแหละหลวงตา” กฤษณาแก้ตัว หลวงตายุธถอนหายใจยาว

“เอาเถอะ เอ็งไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว แต่อย่าทำแบบนี้อีกรู้ไหม” หลวงตากำชับ กฤษณาพยักหน้ารับ

“แล้ววันนี้เอ็งจะอยู่รอมันอีกไหม” หลวงตายุธถาม กฤษณาพยักหน้ารับ อันที่จริงกฤษณาไม่ได้เจอชลาธลมาเกือบสองอาทิตย์แล้ว และอีกไม่กี่วันโรงเรียนก็จะเปิดแล้วกฤษณาแอบน้อยใจชลาธลเล็กน้อยที่เหมือนกับไม่ค่อยจะใส่ใจเขาอย่างที่เคยเป็น กฤษณาเดินกลับบ้านอย่างเบื่อหน่าย เขาไม่คิดอยากจะทำอะไรเลย ไม่ว่าจะว่ายน้ำหรือทำอย่างอื่น สำหรับเขาแล้วทุกอย่างล้วนดูน่าเบื่อไปหมดตั้งแต่ชลาธลนั้นได้เป็นท้าวคนใหม่

“ไหนว่าจะเจอกันอีกไง” กฤษณาบ่นพึมพำกับตัวเอง อย่าเบื่อๆ เขาก้มหน้าก้มตาเดินโดยไม่ได้สนใจอะไร จนกระทั่งเขาชนเข้ากับร่างนึง

“โอ๊ย” เสียงแหลมเล็กดังขึ้น กฤษณาเซเล็กน้อย แต่พอเขาเห็นร่างตรงหน้ากำลังล้มลงเขาก็รีบคว้ามือไปจับเอาไว้ทันที

“คะ ขอโทษคะ” เสียงนั่นตอบกลับ กฤษณามองดูร่างของเขาตรงหน้าอย่างทึ่งๆ ผิวขาวเนียนกับใบหน้าที่หมดจด ผมที่ถูกรวบเป็นหางม้าไว้อย่างเรียบร้อย ดูจากรูปร่างหน้าตาแล้วอายุคงจะรุ่นราวคราวเดียวกับกฤษณาเป็นแน่ หญิงสาวมองกฤษณาตอบกลับมา ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนราวจะสะกดให้กฤษณานั้นไม่อาจจ้องมองไปทางอื่นได้เลย

“อะ เออ เธอเป็นอะไรหรือเปล่า” เสียงหวานๆส่งเข้ามาในหูทำให้กฤษณาพอจะรู้สึกตัวได้บ้าง

“อะ เออ มะ ไม่เป็นไรครับ” กฤษณาตอบ

“ถ้างั้นช่วยปล่อยมือหน่อยจะได้ไหมคะ” เสียงนั่นพูดกลับมา กฤษณามองดูที่มือของตนที่กำข้อมือของหญิงสาวเอาไว้ เขาเห็นดังนั้นก็สะดุ้งโหยงรีบปล่อยมือออกไปทันที

“ขะ ขอโทษนะครับ” กฤษณาพูดแก้มแดงแจ๋

“ฉันก็ต้องขอโทษเหมือนกันนะคะที่เดินไม่ระวัง” เธอตอบ กฤษณาส่ายหัว

“พะ ผมเองก็ต้องขอโทษเหมือนกันครับ” กฤษณาพูด เธอส่งยิ้มให้

“งั้นเราหายกันแล้วนะ” เธอตอบ กฤษณาพยักหน้ารับ

“ครับ” กฤษณาตอบ

“อืม เธอไม่ใช่คนเหนือหรอ ฉันไม่เห็นเธอพูดภาษาเหนือเหมือนคนอื่นๆเขาเลย” หญิงสาวถาม

“อะ เออ คือ แม่ผมเป็นคนกรุงเทพฯ นะครับแต่มาคลอดผมที่นี่ ผมเลยได้สำเนียงคนกรุงเทพฯมาด้วยอะครับ” กฤษณาตอย หญิงสาวหัวเราะคิกคัก

“อ๋อ คะดีจัง ตอนมาที่นี่พูดคุยลำบากมากเลย ฟังไม่ค่อยจะรู้เรื่องเลยละคะ” เธอกล่าว กฤษณายิ้มตอบ

“ไม่ชอบภาษาเหนือหรือครับ” กฤษณาถาม หญิงสาวส่ายหัว

“ชอบคะ คุณย่าฉันก็เป็นคนเหนือ แต่ท่านอยู่กรุงเทพฯมานานเลยลืมหมดแล้ว แต่เวลาฉันได้ยินคนเหนือพูดฉันว่ามันฟังดูจริงใจดีนะคะ” เธอตอบ กฤษณายิ้ม

“หมู่เฮา จาวเหนือ ก่อจิ่งใจ๋จะอี้กู๊กนลอคับ” กฤษณากล่าวออกมาเป็นภาษาเหนือ หญิงสาวจึงอดหัวเราะไม่ได้

“น่ารักจัง สำเนียงคนเหนือเนี่ย” เธอตอบ กฤษณามองดูเธอพลางยิ้มให้

“อะ ขอโทษนะคะ ต้องไปแล้วละคะเดี๋ยวคุณพ่อจะเป็นห่วง โชคดีนะคะ” เธอตอบก่อนที่จะวิ่งหายไป กฤษณามองดูเธอตาค้างๆ ใจของเขาเต้นแรงขึ้นทุกขณะ แก้มของเขาร้อนผ่าวๆ กฤษณารู้สึกสับสนเล็กน้อยแต่เขาก็อดคิดกับตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าสาวน้อยคนนั้นน่ารักดีไม่หยอก กฤษณาเดินกลับบ้านอย่างสบายอารมณ์ ในหัวของเขามีแต่ใบหน้าของสาวน้อยผู้น่ารักคนนั้นจนทำให้กฤษณานั้นลืมเรื่องของชลาธลไปได้ชั่วขณะนึง แต่กระนั้นก็ตามชลาธลก็ไม่กลับมาจนกระทั้งโรงเรียนของกฤษณานั้นเปิดเทอมเสียแล้ว

“เฮ้อ” กฤษณาถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย จนแล้วจนรอดชลาธลก็ยังไม่กลับมา กฤษณามาถึงโรงเรียนอย่างเซ็งๆ เขานั้นไม่มีกะจิตกะใจแม้แต่จะเริ่มเรียนด้วยซ้ำ กฤษณามองห้องเรียนอย่างเบื่อหน่ายราวกับว่าเรี่ยวแรงของเขาทั้งหลายมันหดหายไปไหนหมดก็ไม่ทราบ ขณะที่กฤษณามองอย่างเหม่อๆนั่นเองสายตาของเขาก็จับจ้องไปที่หญิงสาวคนนึงที่เดินเข้ามาในห้อง กฤษณาอ้าปากค้าง เมื่อหญิงสาวคนนั้นหันมาเจอกฤษณาเธอก็มีอาการไม่ต่างกันนัก

“เธอ” หญิงสาวร้อง

“คุณ” กฤษณาร้อง หญิงสาวมองมาที่กฤษณาพลางเดินเข้ามาใกล้แล้วตัดสินใจนั่งลงข้างๆ

“นี่เธอก็เรียนที่นี่หรอ” หญิงสาวถาม กฤษณาพยักหน้า

“ครับ ผมเรียนที่นี่มาตั้งนานแล้ว” กฤษณาตอบ หญิงสาวยิ้มให้อย่างมีไมตรีมิตร

“ดีจัง แหมตอนแรกฉันก็คิดว่าต้องนั่งเป็นใบ้เพราะไม่มีเพื่อนคุยด้วยเสียแล้ว” หญิงสาวตอบ กฤษณายิ้มให้

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ไม่มีใครรังเกียจคุณหรอก รับประกันได้เลย” กฤษณาพูด หญิงสาวก็พยักหน้า

“คะ อย่างน้อยเธอก็ไม่รังเกียจฉันใช่ไหม” หญิงสาวพูดพลางมองหน้า กฤษณาตาตื่นๆเล็กน้อย

“อะครับ ไม่แน่นอนครับ” กฤษณาตอบด้วยใจที่เต้นตึกตั๊ก

“ว่าแต่เธอชื่ออะไรหรอ” หญิงสาวถามอีก

“กฤษณา แล้วคุณละ” กฤษณาถามบ้าง

“เรียกฉัน จิ๋ว ก็ได้จ๊ะ” จิ๋วกล่าว กฤษณาก็พยักหน้ารับ

“ครับ จิ๋ว พึ่งย้ายมาหรือครับ” กฤษณาถาม จิ๋วพยักหน้า

“คะ ย้ายมาเมื่อวาน เมื่อวานก็กำลังเดินดูของอยู่เลย ก็เลยเจอกฤษเข้า บังเอิญจังเลยเนอะ แบบนี้เขาเรียกบุพเพสันนิวาสหรือเปล่านะ” จิ๋วพูด กฤษณายิ้มรับ

“ไม่แน่หรอกครับเรื่องแบบนี้ไม่เชื่ออย่าลบหลู่” กฤษณากล่าว จิ๋วยิ้ม

“คะ อืม ว่าแต่ว่าฉันพึ่งมาใหม่ ยังไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ อาจต้องรบกวนกฤษแล้วละ” จิ๋วกล่าว กฤษณายิ้มรับ

“ด้วยความยินดีเสมอครับ เอางี้เพื่อต้อนรับจิ๋ว ผมจะเลี้ยงลูกชิ้นปิ้งแล้วกัน” กฤษณาเสนอ

“ไม่ต้องหรอกคะ เกรงใจ” จิ๋วพูด กฤษณามองหน้า

“สำหรับผมแล้ว คนเกรงใจคือคนไม่จริงใจนะ ผมออกปากเองแล้ว ไม่ต้องเกรงใจหรอก” กฤษณากล่าว จิ๋วยิ้มแก้มแดงๆ

“คะ ขอบคุณ” จิ๋วพูด จากการแนะนำตัวในห้องทำให้กฤษณารู้ว่าจิ๋วนั้นย้ายมาเพราะคุณอาการป่วยของคุณพ่อของเธอ เนื่องจากคุณพ่อของเธอมีปัญหาเกี่ยวกับปอด ท่านจึงย้ายมาอยู่ที่นี่เพื่อบำบัดรักษา เธอจึงต้องย้ายตามมาด้วย

“แบบนี้จิ๋วคงเหงาแย่เลยสิ อยู่ดีๆก็โดนย้ายออกมาแบบนี้” กฤษณากล่าว จิ๋วยิ้มรับ

“นิดหน่อยนะ แต่หมอบอกว่าถ้ายังขืนอยู่ในกรุงเทพฯอาการอาจจะทรุดลงได้ ก็เลยจำใจต้องย้ายอะนะ แต่ก็ดี จิ๋วชอบที่นี่นะ จิ๋วว่ามันร่มรื่นดี” จิ๋วพูดพลางกัดลูกชิ้นปิ้งเข้าปาก กฤษณามองหน้าจิ๋วพลางยิ้มให้

“อืม วันเสาร์นี้ว่างไหมละครับ เดี๋ยวผมพาเที่ยวรอบๆเมืองเอง” กฤษณาเสนอ จิ๋วตาโต

“จริงหรอ ดีจังเลย ตอนแรกก็อยากจะเที่ยวให้รอบแต่ไม่รู้จะเริ่มยังไงดี แหมรบกวนกฤษแย่เลย” จิ๋วกล่าวอย่างเกรงใจ กฤษณาขมวดคิ้ว

“ผมบอกแล้วไงว่าไม่ต้องเกรงใจ ผมเสนอเองเพราะงั้นไม่เป็นปัญหาหรอก” กฤษณาตอบ จิ๋วยิ้ม

“ขอบคุณนะ” จิ๋วพูดแกมแดงๆ

“บ่อเป่นหยัง” กฤษณาตอบเป็นภาษาเหนือทำเอาจิ๋วนั้นหัวเราะออกมาจนได้ พอตกเย็นกฤษณาก็ยังเสนอตัวไปส่งจิ๋วให้ถึงบ้านอีกด้วย

“ไม่ต้องหรอกคะ” จิ๋วปฏิเสธ กฤษณายิ้ม

“ทางผ่านของผมพอดีนะ อีกอย่างจิ๋วก็ยังไม่คุ้นทางด้วย ยังไงผมก็ต้องแวะไปทางนั้นอยู่แล้วละ อ๋อ จิ๋วอยากไปดูวัดท่าหลวงไหม เป็นวัดที่ดังมากเลยนะ” กฤษณาเสนอ จิ๋วขมวดคิ้ว

“อืม แต่ว่าถ้าไม่รีบกลับบ้านพ่อจิ๋วจะเป็นห่วงนะ” จิ๋วพูด กฤษณายิ้ม

“ไม่ต้องห่วงครับ บ้านของคุณจิ๋วอยู่แถวๆนั้นพอดี เราแค่ดูข้างนอกก่อนก็ได้ ถือเป็นของเรียกน้ำย่อยก่อนของจริงวันเสาร์นี้แล้วกัน” กฤษณาเสนอ จิ๋วได้แต่พยักหน้ารับอย่างไม่มีทางเลือก กฤษณาพาจิ๋วขึ้นรถเพื่อไปลงที่วัดท่าหลวง จิ๋วสังเกตมองดูกฤษณานั้นมีสีหน้าที่ไม่สบายใจเสียเท่าไหร่นัก อันที่จริงเธอเองก็พอจะสังเกตได้บ้างว่ากฤษณานั้นไม่มีเพื่อนคนอื่นเลย

“กฤษไม่มีเพื่อนเลยหรอ” จิ๋วถาม กฤษณาถอนหายใจเบาๆ

“เคยมี แต่เขาตอนนี้เขายุ่งๆ” กฤษณาตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ

“ดูเหมือนเขากับกฤษจะสนิทกันมากเลยนะ” จิ๋วทัก กฤษณามองหน้าจิ๋ว

“ทำไมจิ๋วคิดงั้น” กฤษณาถาม จิ๋วหัวเราะคิกคัก

“จิ๋วก็เคยมีเพื่อนที่สนิทมาก พอต้องจากกันจิ๋วเองก็รู้สึกเหงาๆแบบนี้เหมือนกัน มันก็ไม่เชิงว่าจะไม่เข้าใจ แต่คนเราก็มีหน้าที่แตกต่างกัน จิ๋วเองก็ต้องตามมาเพราะพ่อ เพื่อนจิ๋วเองครอบครัวเขาก็อยู่ที่นั่นจะให้ตามมาคงไม่ได้ เราควรจะยอมรับความจริงให้ได้น่าจะดีกว่านะ” จิ๋วพูด กฤษณามองหน้า

“อืม ผมก็พอจะเข้าใจหรอก แต่บางทีมันก็เหงานะ จากเดิมที่เคยอยู่ด้วยกันตลอด อยู่ดีๆต้องมาห่างแบบนี้ มันใจหายนะ” กฤษณาพูด จิ๋วบีบต้นแขนกฤษณาเบาๆ

“ไม่ต้องห่วงคะ เดี๋ยวก็ชินไปเอง เรามาพยายามด้วยกันดีไหม” จิ๋วเสนอ กฤษมองดูจิ๋วที่ส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร กฤษณาเองได้เห็นรอยยิ้มอันจริงใจนั่นเขาก็อดที่จะยิ้มตามไปด้วยไม่ได้ ไม่นานนักทั้งสองก็มาถึงที่วัด กฤษณาเดินเข้าไปถามหลวงตาในทันที

“ธลกลับมาหรือยังครับหลวงตา” กฤษณาพูดหลังจากยกมือไหว้ หลวงตายุธส่ายหัวเหมือนทุกครั้ง

“เอาเถอะ เขาต้องกลับมาสักวันนั่นแหละ ว่าแต่สาวน้อยคนนี้ใครหรือ” หลวงตายุธถาม จิ๋วยกมือไหว้พลางถอนสายบัวอย่างเรียบร้อย

“นี่จิ๋วครับหลวงตา เขาพึ่งย้ายมา จิ๋วนี่หลวงตายุธนะ ท่านเป็นหัวหน้าสงฆ์ประจำวัดนี้แหละ” กฤษณากล่าวแนะนำ หลวงตายุธรับไหว้ตามมารยาท

“หน้าตาสดใสดีนี่ ย้ายมาเมื่อไหร่หรือ” หลวงตายุธถาม

“เมื่อวานคะ” จิ๋วกล่าว หลวงตาพยักหน้า

“ดีๆ มีปัญหาอะไรก็มาถามอาตมาได้เลยนะ ไม่ก็ถามไอ้กฤษมันเอาก็ได้ แล้วนี่บ้านอยู่ไหนละเนี่ย” หลวงตายุธถามอีก

“อยู่ไม่ไกลหรอกหลวงตา เดี๋ยวผมไปส่ง” กฤษณากล่าว หลวงตายุธยิ้มให้

“ดีสุภาพบุรุษดี ไปเถอะเดี๋ยวมืดคำพ่อแม่จะเป็นห่วง” หลวงตายุธกล่าว ทั้งสองจึงยกมือไหว้กล่าวลาก่อนที่จะเดินออกจากวัดไป

“หลวงตาท่านเป็นคนดีนะ มีปัญหาอะไรถามได้ทุกเรื่องแหละ ยกเว้นเรื่องเงินนะ” กฤษณากล่าว จิ๋วยิ้มพลางหัวเราะเบาๆ

“อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย กฤษเองก็เป็นคนดีเหมือนกันแหละ” จิ๋วชม ทำเอากฤษนั้นเขินแก้มแดง

“ผมเนี่ยนะ ไม่หรอกผมออกจะบ้าๆ” กฤษณาพูดอย่างเขินๆ

“ไม่รักก็บ้าอย่างนั้นหรือเปล่า” จิ๋วถามพลางเหล่ตา กฤษเบ้หน้าทันที

“โอ๊ย ใครจะมาเอาคนอย่างผมกันเล่า” กฤษณาพูด

“อืม กฤษ” เสียงที่กฤษณาคุ้นหูดังขึ้น เขาหันหลังกลับไปดู ชลาธลยืนอยู่ข้างหลังด้วยสีหน้าไม่สบายใจนัก กฤษณาเดินพรวดๆเข้าไปหาทันที

“นี่หายหัวไปไหนมา รู้ไหมคนเขาเป็นห่วงจะบ้าตายอยู่แล้ว” กฤษณาพูดจาโหวกเหวก ชลาธลได้แต่ยืนก้มหน้า

“กะ ก็เรามีธุระจริงๆนี่นา” ชลาธลพูดสีหน้าเศร้าๆ กฤษณาเมื่อได้เห็นแววตาเศร้าๆของชลาธลยิ่งทำให้เขารู้สึกอึดอัด

“อะ เออ ช่างมันเถอะ อ๋อ นี่เขาพึ่งย้ายมานะ ชื่อจิ๋ว” กฤษณาแนะน จิ๋วยิ้มให้

“ฉันชื่อจิ๋วนะ ฉันเป็นแฟนของกฤษเขาเองแหละ” จิ๋วพูด ชลาธลตาลุกวาวไม่ต่างกับกฤษ

“เฮ้ย นี่เธอพูดอะไรนะ แค่รู้จักกันแค่ สิบชั่วโมงเป็นแฟนกันแล้วมันจะเร็วไปหน่อยมั้ง” กฤษณาร้องโวยวาย จนฝ่ายสาวแทบอุดหูไว้ไม่ทัน

“แหม ล้อเล่นหน่อยเดียวเอง ตะโกนเสียงดังหมดเลย เค้าตกใจรู้หรือเปล่า” จิ๋วพูด กฤษเกาหัวไปมาพลางมองหน้าชลาธลที่ยืนนิ่งไม่ไหวติง

“ไม่ต้องไปสนใจเขาหรอก แล้วนี่จะอยู่ได้อีกนานแค่ไหนละ” กฤษณาถาม ชลาธลมองหน้ากฤษณาเศร้าๆ

“กะ ก็ อะ อืม ไม่นานมั้ง” ชลาธลตอบเสียงสั่นๆ กฤษณามองหน้าชลาธล

“นายเป็นอะไรหรือเปล่า หน้าหยั่งกับเห็นผีแหนะ” กฤษณาทัก ชลาธลส่ายหัวพลางตั้งสติให้กับมาที่เดิม

“ปะ เปล่า อะ อืม ถ้าไม่มีงานก็คงอยู่ได้นานนะ” ชลาธลตอบด้วยความรู้สึกเจ็บในอกลึกๆ

“อืม งั้นไว้เจอกันพรุ่งนี้แล้วกันนะ เดี๋ยวเราต้องไปส่งจิ๋วเขาก่อน” กฤษณากล่าว

“อะ อืม” ชลาธลอ้าปากเหมือนจะพูดอะไร แต่ก็ไม่มีคำใดๆออกมา กฤษณาถอนหายใจยาว

“นายนี่นะ มีอะไรก็พูดมาสิ มัวแต่อ้ำอึ้งเขาจะรู้ไหมเนี่ย” กฤษณากำชับ ชลาธลมองหน้ากฤษณา พลางหันไปมองจิ๋ว เขากำมือแน่น

“คะ คือ เออ เออ ระ เรา อืม ขอไปด้วยคนสิ” ชลาธลพูดอย่างตะกุกตะกัก ชลาธลมองหน้ากฤษณาด้วยใจที่เต้นแรง กฤษณายิ้มให้

“เอ๋า มาสิ เรามีเรื่องจะคุยกับนายเยอะเลย” กฤษณาพูด ชลาธลจึงยิ้มออกมาได้บ้าง แล้วทั้งสามก็เดินไปยังบ้านของจิ๋วด้วยกัน

“แล้วนี่ธุระนายน้อยลงแล้วหรอ” กฤษณาถาม ชลาธลพยักหน้า

“อืม ก็พอไหวแล้วละ” ชลาธลตอบ

“นี่ๆ ธุระอะไรหรอ” จิ๋วถามบ้าง ชลาธลเริ่มอึดอัดเล็กน้อย เพราะถ้าบอกว่าไปคุยกับจระเข้จิ๋วคงต้องเป็นลมตายไปแน่ๆ

“อ๋อ ธลเขาเป็นเด็กวัดนะ คอยส่งข่าวให้หลวงตา กับ คนอื่นๆนะ เรื่องบางอย่างสำคัญเลยให้คนที่ไว้ใจได้ไปบอกจะดีกว่า” กฤษณาแก้ต่างให้ชลาธล จิ๋วขมวดคิ้ว

“อืม หรอ แล้วทำไมไม่ให้ผู้ใหญ่ไปละ” จิ๋วถามอีก ชลาธลและกฤษณาต่างเหงื่อหยดด้วยกันทั้งคู่

“ก็ดูไอ้ธลมันดิ ตัวใหญ่ขนาดนี้คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง” กฤษณาพูดปัดๆ ชลาธลได้แต่ยิ้มแห้งๆ จิ๋วก็พยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ

“เธอสองคนดูสนิทกันดีนะ รู้จักกันมานานแล้วหรอ” จิ๋วถาม กฤษณาทำท่าคิด

“อืม ก็หลายเดือนอยู่นะ ตั้งแต่เดือนมิถุนายแล้วละ” กฤษณาตอบ จิ๋วก็ยกนิ้วขึ้นมานับ

“อืม หก เดือนแล้วหรอ ก็นับว่าดีไม่เลว” จิ๋วกล่าว ทั้งกฤษณาและชลาธลได้แต่ยิ้มรับ

“นั่งไงบ้านฉัน เออ ไม่ไกลจริงๆด้วย” จิ๋วกล่าว ชลาธลและกฤษณาต่างก็มองดูบ้านหลังงามที่อยู่ไม่ไกลนัก

“โห บ้านใหญ่จัง” กฤษณาอุทาน จิ๋วยิ้ม

“เป็นไง เข้ามากินน้ำกินขนมกันก่อนไหม บ้านฉันมีขนมอร่อยๆเยอะเลย” จิ๋วพูด กฤษณาตาโตทันที

“จริงหรอ ไปได้จริงอะ” กฤษณาร้อง จิ๋วพยักหน้ารับ

“แล้ว ธล ละกินด้วยกันก็ได้นะ” จิ๋วชวน ชลาธลอ้ำๆอึ้งๆ

“เฮ้ย ไม่ต้องห่วงน่าไอ้นี่ก็ชอบกินขนม ใช่ไหมธล” กฤษณาพูดพลางตบหลังชลาธลเบาๆ ชลาธลกำมือแน่นพลางหันไปมองหน้ากฤษณา

“อืม คือ ระ เราไม่ไปได้ไหม” ชลาธลพูด กฤษณามองหน้าชลาธลอย่างงงๆ

“ทำไมละ มีอะไรงั้นหรอ” กฤษณาถาม ชลาธลได้แต่หลบหน้า กฤษณามองชลาธลด้วยความสงสัย อันที่จริงชลาธลก็ทำตัวแปลกๆมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว มันยิ่งทำให้กฤษณานั้นอดเป็นห่วงขึ้นมาไม่ได้ กฤษณาถอนหายใจพลางมองหน้าจิ๋ว

“อืม เอาไว้วันหลังแล้วกัน ธลคงยุ่งๆอยู่นะ” กฤษณากล่าว จิ๋วยิ้มรับพลางพยักหน้า

“จ้า ตามสบาย แล้วยังไงเจอกันพรุ่งนี้นะ” จิ๋วกล่าว กฤษณาพยักหน้ารับ แล้วจิ๋วก็เดินกลับเข้าบ้านไป กฤษณาหันมามองชลาธล

“นายเป็นอะไรหรือเปล่า นายดูแปลกๆไปนะ” กฤษณาถาม ชลาธลมองหน้าเขา

“อืม นั่นเพื่อนใหม่นายหรอ” ชลาธลถาม กฤษณาพยักหน้า

“ใช่ทำไมหรอ” กฤษณาตอบอย่างไม่คิดอะไร

“ดูสนิทกันดีนะ” ชลาธลพูดราวประชด กฤษณาเขม่นตา

“ก็รู้จักกันวันนี้เอง น่ารักดีไหม” กฤษณาตอบ ชลาธลมองหน้ากฤษณา

“ก็น่ารักดี” ชลาธลตอบพลางหลบหน้ากฤษณาไป

“นายเป็นอะไรของนายวันนี้ นายดูแปลกจริงๆนะ” กฤษณาถาม ชลาธลก็ยังไม่หันมา

“นายสนใจด้วยหรอ” ชลาธลตอบ กฤษณาเริ่มจะโกรธๆขึ้นมาบ้างแล้ว

“เออ ถ้าไม่สนจะถามหรอ” กฤษณาขึ้นเสียง ชลาธลก็เงียบลงไป กฤษณาพอเห็นชลาธลทำสีหน้าเศร้าก็เริ่มได้สติ เขาเกาหัวไปมาอย่างสับสน

“อะ เออ ขอโทษที พูดดังไปหน่อย แต่นายไม่เป็นอะไรจริงๆหรอ” กฤษณาถาม ชลาธลมองหน้ากฤษณา

“อะ อืมม คือ เออ...” ชลาธลพยายามจะเอ่ยปาก แต่มันเหมือนมีอะไรมาจุกคอของเขาเอาไว้ ใจของเขาเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ

“เออ เฮ้ย เดี๋ยวต้องรีบกลับบ้านแล้วละ ไม่งั้นพ่อจะด่าอะ” กฤษณาตอบ ชลาธลตกใจเล็กน้อยแต่ก็พยักหน้ารับ

“งะ งั้นโชคดีแล้วกัน” ชลาธลพูด แต่กฤษณากลับจับมือของชลาธลเอาไว้

“จะไปไหน นายต้องมานอนบ้านเราก่อน บอกแล้วไงว่ามีเรื่องต้องคุยกันอีกเยอะ” กฤษณากล่าวพลางดึงมือของชลาธลตามเขามาด้วย ส่วนชลาธลก็ได้แต่ทำหน้างงเดินตามไปอย่างไม่มีทางเลือก ทั้งสองมาถึงบ้านของกฤษณาในเวลาไม่นานนักพ่อแม่ของกฤษณาเมื่อเห็นชลาธลต่างก็ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น

“หายหน้าหายตาไปเลยนะ รู้ไหมว่าไอ้กฤษมันคิดถึงเธอขนาดไม่หลับไม่นอนเลยนะ” พ่อของกฤษณากล่าว

“พ่ออะ” กฤษณากล่าวหน้าแดงๆ ชลาธลเหลือบมองหน้ากฤษณาด้วยใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ หลังจากที่รับประทานอาหารกันเสร็จกฤษณาและชลาธลก็ขึ้นไปพักผ่อนกันบนห้อง

“ไหนว่ามาสิ หายไปไหนตั้งหลายวัน” กฤษณาเริ่มบทสนทนาทันที ชลาธลจึงเริ่มเล่าภาระหน้าที่ที่เขาต้องรับผิดชอบให้กฤษณาฟัง

“อืม ตอนนี้เราก็พยายามเกลี้ยกล่อมให้จระเข้ป่าตัวอื่นๆเข้าใจเรื่องการอยู่ร่วมกันอะนะ ตัวอื่นๆก็ไม่มีปัญหาหรอก ยกเว้นก็แต่โขนรามนั่นแหละที่ไม่ยอมท่าเดียว แถมตอนนี้หนีไปกบดานอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้” ชลาธลกล่าว กฤษณาพยักหน้าหงึกๆ

“อืม โขนรามนี่ที่ทำร้ายนายใช่ป่าว” กฤษณาถาม ชลาธลก็พยักหน้า

“อืม ใช่ ตอนนี้ต้องหาตัวเขาให้เจอ แต่ก็แบ่งหน้าทีกันไปดูแล้ว คาดว่าน่าจะได้ข่าวเร็วๆนี้แหละ” ชลาธลกล่าว กฤษณาพยักหน้า

“แล้วนี่ นายจะอยู่อีกนานแค่ไหนหรอ” กฤษณาถาม ชลาธลส่ายหัว

“ไม่รู้เหมือนกัน แต่ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรแล้วละ” ชลาธลตอบ กฤษณาก็ยิ้มออกมาได้

“ดีมาก เล่นหายไปแบบนี้คนเขาตกใจหมดรู้ป่าว” กฤษณากล่าวบ่นๆ ชลาธลยิ้มแห้งๆตอบกลับมา กฤษณาลุกขึ้นพลางถอดเสื้อออก

“เฮ้อ ไปอาบน้ำดีกว่า” กฤษณาพูด ชลาธลมองดูกฤษณาตาไม่กระพริบ ผิวกายออกคล้ำเล็กน้อย แต่หน้าท้องแบนเรียบทำเอาใจของชลาธลเต้นระรัวไม่เป็นจังหวะ

“เอ้า นายนั่งทำอะไรนะไม่ไปอาบด้วยกันหรอ” กฤษณาชวน ชลาธลถึงกับหน้าแดงก่ำเป็นลูกมะเดื่อแต่ก็ขยับหัวขึ้นลงเป็นเชิงตอบรับ ทั้งสองเดินลงไปยังห้องอาบน้ำข้างล่าง กฤษณาเหลือบมองดูร่างผิวสีน้ำผึ้งเข้มของชลาธล ผิวกายนี่เนียนเรียบไม่มีสะดุด ไหล่กว้าง อกเป็นแผง หน้าท้องเป็นลอนสวยถึงกับทำให้กฤษณานั้นมือสั่นเล็กน้อย เขาไม่เข้าใจนักว่ามันคืออะไรแต่เขาตื่นเต้นแบบนี้เสมอเมื่อได้เห็นเรือนร่างอันกำยำของชลาธล

“หันหลังสิ เดี๋ยวเราถูหลังให้” กฤษณากล่าว ชลาธลพยักหน้าพลางหันหลังให้ กฤษณาค่อยเอามือลูบไปตามแผ่นหลังของชลาธลอย่างช้าๆ เขาลูบไล่ลงไปยังแผ่นหลังกว้างพลางย้อนกลับขึ้นมาลูบที่ไหล่เบาๆ กฤษณาลูบหลังของชลาธลมือสั่นๆ ความรู้สึกของเขาในตอนนี้เขาอยากจะกอดร่างของชลาธลเอาไว้ แต่เขาก็ไม่กล้า

“นายหนาวหรอ” ชลาธลหันมาถาม กฤษณาได้ยินเสียงชลาธลก็ได้สติขึ้นมา เขาส่ายหัวไปมา

“ปะ เปล่านี่ อะ เออ เสร็จแล้ว” กฤษณาพูดพลางถอยตัวออกห่าง ชลาธลค่อยๆหันหน้ากลับมาแต่ขาของเขากลับลื่นจะล้มลง กฤษณารีบคว้าร่างของชลาธลเอาไว้ทันที ชลาธลเซถลาซบลงที่อกของกฤษณาในขณะเดียวกัน กฤษณาก็โอบร่างของชลาธลเอาไว้ ชลาธลในเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ ผิวกายอันอบอุ่นของกฤษณาส่งผ่านมายังร่างของเขา ชลาธลไม่อยากจะปล่อยมือของเขาเลย กฤษณาโอบร่างของชลาธลเอาไว้พลางก้มมองดู แทนที่เขาจะรู้สึกเขินแต่กฤษณากลับรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ ชลาธลค่อยๆเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้าๆ หน้าของเขาค่อยๆยื่นเข้าหากฤษณา ส่วนกฤษณาเองเหมือนมีอะไรมาควบคุมจิตใจของเขาไปชั่วขณะ เขาค่อยๆก้มหน้าลงไปโดยไม่รู้ตัว ลมหายใจอุ่นของทั้งสองกระทบบนใบหน้า ชลาธลใจเต้นแรงราวกับจะกระโดดออกมาจากอก

“โคล้ง” เสียงขันน้ำตกลงพื้นเรียกสติของทั้งสองให้กลับคืนมา กฤษณาพลักร่างของชลาธลออกไปอย่างช้าๆพลางหลบหน้าของเขาไป ชลาธลได้แต่ตีสีหน้าเศร้า เขารู้สึกเจ็บลึกๆอย่างบอกไม่ถูก

“ระ รีบขึ้นกันเถอะเดี๋ยวจะเป็นหวัด” กฤษณาพูดพลางราดน้ำใส่ตัวก่อนที่จะเดินกลับขึ้นไปที่ห้อง ชลาธลได้แต่มองตามด้วยสายตาที่ปวดร้าว กฤษณากลับมาที่ห้องก็จัดแจงปูที่นอนของตนอย่างเรียบร้อย

“นายนอนเตียงนะ เดี๋ยวเรานอนพื้นเอง” กฤษณากล่าว ชลาธลมองหน้ากฤษณาพลางกำมือแน่น

“อะ เออ คือ นาย นะ นายนอนกับเราได้ไหม” ชลาธลพูดพลางหายใจหอบ กฤษณามองหน้าชลาธลสักพัก

“อืม ถ้านายไม่กลัวโดนถีบตกเตียงนะ” กฤษณาตอบ ชลาธลถึงกับยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยด้วยความดีใจ กฤษณาดับไฟก่อนที่ทั้งสองจะขึ้นไปนอนบนเตียง กฤษณานอนแหงนหน้ามองเพดานในความมืดมิด

“กฤษ นายโกรธเราหรือเปล่า ที่เราหายไปนานขนาดนี้นะ” ชลาธลถาม กฤษณาหันหัวมามองชลาธล

“ก็แหงสิ คนเขาเป็นห่วงจะแย่อยู่แล้วรู้ป่าว” กฤษณาตอบ ชลาธลได้แต่ก้มหน้าจ๋อยๆ

“แต่ เราก็ดีใจมากเลยนะที่ได้เจอนายอีก” กฤษณาพูด ชลาธลมองหน้ากฤษณา เขามิอาจห้ามหัวใจตัวเองได้อีกต่อไป ชลาธลโผเข้ากอดร่างของกฤษณาในทันที

“เฮ้ยๆ อะไรเนี่ย” กฤษณาร้องอย่างตกใจ แต่ชลาธลกลับกอดร่างของเขาไว้แน่น

“กฤษ เรารักนายนะ” ชลาธลพูดพลางกอดร่างของกฤษณาไว้แน่น แม้ว่ากฤษณาจะไม่ได้คิดแบบเดียวกับเขา แต่อย่างน้อยก็ขอให้เขาได้โอบกอดร่างอันอบอุ่นนี้ไว้ก็เพียงพอแล้ว กฤษณานั้นอึ้งไปเล็กน้อยกับสิ่งที่ชลาธลพูดออกมา เขานอนนิ่งอยู่สักพักก่อนที่จะค่อยๆเอามือโอบร่างของชลาธลตอบกลับไป

“กฤษ” ชลาธลเงยหน้ามอง กฤษณามองหน้าชลาธลด้วยรอยยิ้ม

“เราเอง ก็ไม่รู้หรอกนะว่ามันคืออะไร แต่เรารู้สึกดีเสมอที่ได้อยู่ข้างนาย ตอนที่นายไม่อยู่มันเหมือนกับอะไรบางอย่างในตัวเรามันหายไปด้วยจริงๆ เราว่าเราเองก็ เออ ชอบนายเหมือนกัน” กฤษณาตอบ ชลาธลถึงกับน้ำตาซึม เขาซบลงที่อกของกฤษณาพลางสะอื้น

“ระ เรารักนายมาตั้งแต่แรกแล้ว แต่เรากลัว เรากลัวว่านายจะไม่คิดเหมือนเรา เรา กลัว” ชลาธลพูดทั้งน้ำตา กฤษณาจับหน้าของชลาธลขึ้น

“อย่าร้องไห้เลยนะธล มันทำให้เรารู้สึกแย่ลงไปอีก เราเจ็บทุกครั้งที่เห็นนายเศร้า ยิ่งนายร้องไห้มันเหมือนมีดพันเล่มทิ่มแทงใจของเราเลยนะ” กฤษณาพูด ชลาธลยิ้มด้วยความปิติ กฤษณาก้มหน้าลงประกบปากของเขาเข้ากับปากของชลาธล ชลาธลเผยปากรับจูบของกฤษณาอย่างเต็มใจ กฤษณาถอนปากออกมาพลางมองหน้าชลาธล

“เราดีใจนะที่นายกลับมา” กฤษณาตอบ ชลาธลยิ้มรับพลางนอนซบลงที่อกของกฤษณาก่อนที่ทั้งสองจะหลับไปพร้อมกับไออุ่นแห่งรักตลอดราตรีกาล...


“เฮ้ย ไอ้กฤษ เหม่ออะไรวะ” เสียงของพนักงานคนนึงดังขึ้น ชายหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อย

“อะ เออ ไม่มีอะไรนี่” ชายหนุ่มตอบ พนักงานคนนั้นมองหน้าพลางขมวดคิ้ว

“เป็นอะไรของนาย จะบอกว่าพักเที่ยงแล้ว ไปทานข้าวกันดีกว่า” พนักงานคนนั้นกล่าว ชายหนุ่มพยักหน้ารับ

“อืม เดี๋ยวตามไป” ชายหนุ่มตอบพลางหันกลับไปเก็บของ ในหัวก็มีแต่เรื่องของชลาธลกับความสัมพันธ์ที่เริ่มลึกซึ้งเกินกว่าคำว่าเพื่อน


ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
«ตอบ #36 เมื่อ05-01-2007 22:04:47 »

การจากลาทำให้ความคิดถึงมีคุณค่า  :impress3:

เห็นด้วย  :impress3:  :impress3:

meemewkewkaw

  • บุคคลทั่วไป
Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
«ตอบ #37 เมื่อ05-01-2007 23:18:08 »

"การจากลาทำให้ความคิดถึงมีคุณค่า"  คำคมประจำวันนี้ :myeye:

อ่านตอนนี้แล้วเคลิ้มเลยอ่า โอ้มายก๊อด นั่งเพ้ออยู่คนเดียว ไม่อยากคิดถึงตอนข้างหน้าเลยจิงๆซิ อยากให้จบแค่นี้จัง :monkeysad:

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
«ตอบ #38 เมื่อ07-01-2007 23:54:43 »

ขำหมีอ่ะ เพ้อคนเดียวไม่ดีนะเด่วเขาหาว่าบ้า  :monkeylaugh2:
แต่ถ้าบ้ารักเรย์ก็ไม่เป็นราย เอิ้กๆ   :interest:
******************************************************
บทที่ 12

“อืม จบแล้วหรือคะ” เด็กสาวกล่าว ชายหนุ่มก็พยักหน้ารับ

“จ๊ะ ก็มีแค่นี้แหละ” ชายหนุ่มพูดโดยที่แอบแฝงความเศร้าไว้ภายใน

“แล้วพี่ธลเขาไม่กลับมาหาคุณพ่ออีกเลยหรือคะ” เด็กสาวถาม ชายหนุ่มส่ายหัวไปมาอย่างช้าๆ

“ตั้งแต่นั้นมาพ่อก็ไม่เคยเห็นธลเขาอีกเลย แต่เขาก็มีธุระของเขา พ่อก็มีธุระของพ่อนะ” ชายหนุ่มอธิบาย เด็กสาวตีหน้าเศร้า

“ว้า แบบนี้พี่ธลต้องเหงาแย่เลยถ้าไม่มีคุณพ่ออยู่ด้วย” เด็กสาวพูด ชายหนุ่มถึงกับสะึอึกเล็กน้อย แต่เขาก็ยังสะกดอารมณ์เอาไว้ได้ ชายหนุ่มก้มลงพลางลูบหัวลูกสาวของตนเบาๆ

“ไม่ต้องห่วงเขาหรอกนะ ธลเขามีเพื่อนเขาอีกเยอะแยะ ยังไงเขาก็ไม่เหงามากหรอก” ชายหนุ่มตอบ เด็กสาวมองหน้าพ่อของตนอย่างสงสัย

“แล้วคุณพ่อละคะ คุณพ่อไม่เหงาหรือคะ” เด็กสาวถาม ชายหนุ่มยิ้ม

“ก็พ่อมีลูกสาวที่น่ารักอยู่นี่แล้วไง เอาละรีบไปอาบน้ำดีกว่าเดี๋ยวดึกกว่านี้แล้วจะเป็นหวัดนะ” ชายหนุ่มกล่าว

“งั้นแม่ขึ้นไปอาบด้วยดีกว่า” หญิงสาวที่นั่งอยู่ไม่ห่างกล่าวพลางลุกขึ้นยืน สองสาวเดินขึ้นบันไดกันไปปล่อยให้ชายหนุ่มอยู่ในห้วงของความทรงจำที่ไม่อาจลืมเลือน...


หลังจากที่ชลาธลนั้นบอกรักกฤษณาแล้วชลาธลดูสดใสขึ้นมาก และไม่พูดตะกุกตะกักเหมือนแต่ก่อนสักเท่าไหร่นัก

“เราไปโรงเรียนกับนายด้วยได้ไหม” ชลาธลถาม กฤษณาตาลุกวาว

“เฮ้ย จะไปจริงดิ เราว่ามันไม่ดีมั้ง” กฤษณาตอบพลางแต่งตัว

“ก็เราอยากอยู่ข้างๆนายนี่นา” ชลาธลพูด กฤษณาถึงกับแก้มแดงด้วยความเขิน

“มะ ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้ แค่นายกลับมาก็ดีใจแล้ว อีกอย่างเราไม่อยากให้นายมีปัญหานะ” กฤษณาตอบ ชลาธลพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ

“อืม ก็ถูกของนายนะ” ชลาธลพูด กฤษณายิ้มพลางเดิินเข้าไปหาชลาธลใกล้ๆ

“ไว้แล้วตอนเย็นเจอกันนะครับ” กฤษณาพูดพลางหอมแก้มชลาธลไปหนึ่งที ชลาธลถึงกับนั่งนิ่งสนิทไม่เคลื่อนไหวไปไหน กฤษณารีบไปขึ้นรถเพื่อไปยังโรงเรียน เขานั่งพลางนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน เขาเองก็ยังไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเองสักเท่าไหร่นัก แต่เขารู้สึกดีเสมอที่ชลาธลนั้นอยู่ใกล้ๆเขา อันที่จริงตอนที่ชลาธลนั้นหายไปกฤษณาเองก็ยังรู้สึกราวกับว่าอะไรบางอย่างมันขาดหายไปจริงๆ

“สงสัยเราคงต้องติดกับธลไปตลอดแล้วละมั้ง” กฤษณาคิดพลางยิ้มให้กับตัวเอง

“ยิ้มอะไรแต่เช้าเลย” เสียงแหลมหวานๆที่คุ้นหูดังขึ้น กฤษณาหันไปยิ้มรับทันที

“สะวัดดีต่อนจ๊าว” กฤษณาพูดเป็นภาษาเหนือ จิ๋วก็หัวเราะเบาๆ

“อุ๊ย มาเป็นภาษาเหนือเลย น่ารักจังพูดอีกทีได้ไหมเจ้า” จิ๋วถามกลับ กฤษณาพยักหน้าพลางค่อยๆออกเสียงช้าๆ
“จะหื้ออู้เมืองตลอดวันก็ตึงได้” กฤษณากล่าว จิ๋วยิ้ม

“แหมฉันก็ได้แค่นี้แหละเจ้า” จิ๋วพูด กฤษณายิ้ม

“อะนะ ว่าแล้ว” กฤษณาตอบ จิ๋วยิ้มรับอย่างเขินๆ

“แล้วธลเขาไม่ได้มาด้วยหรอ” จิ๋วถาม กฤษณาส่ายหัว

“เขาไม่มีเงินจะเรียนหนังสือหรอก แต่หลวงตาก็สอนให้อะนะ” กฤษณาอธิบาย จิ๋วพยักหน้ารับ

“น่าสงสารจังเลยเนอะ” จิ๋วพูด กฤษณาส่ายหัว

“อืม แต่เราว่าเขาเก่งมากเลยนะที่ต่อสู้ตัวคนเดียวมาได้ถึงขนาดนี้ ถ้าเป็นเราละสงสัยโดนจับไปขายแน่ๆเลย” กฤษณาพูด จิ๋วยิ้มให้

“ใช่ คนขายคงรวยเละเลยละ ยิ่งหน้าตาอย่างนี้นะค่าตัวสูงปรี๊ด” จิ๋วพูด กฤษณายิ้มพลางหัวเราะในลำคอ

“อะนะ แบบนี้แม่เราเอาไปขายแน่เลย คงรวยอยู่” กฤษณาพูดพลางหัวเราะให้กับตัวเอง

“ถ้าเธอขายนะฉันจะทุ่มทุนซื้อเลย” จิ๋วตอบ กฤษณามัวแต่หัวเราะจึงไม่ทันฟัง

“อะไรนะ เมื่อกี้” กฤษณาถาม จิ๋วยิ้ม

“ไม่บอก” จิ๋วพูด กฤษณาขมวดคิ้ว

“อะไรกัน จะบอกดีๆหรือจะให้บังคับ” กฤษณาขู่ จิ๋วเลิ่กตา

“นี่จะทำร้ายผู้หญิงหรอ” จิ๋วแย้ง กฤษณายักคิ้ว

“เดี๋ยวนี้ชายหญิงเขาทัดเทียมกันแล้ว” กฤษณาพูด แต่ยังไม่ทันที่จะทำอะไรจิ๋วก็รีบวิ่งฉิวลงจากรถไปทันที

“เฮ้ย” กฤษณาร้องพลางมองไปรอบตัว แล้วก็จริงดังเขาคาดไว้ เขามาถึงป้ายที่ต้องลงแล้ว กฤษณารีบวิ่งตามจิ๋วที่แอบยิ้มที่มุมปากอย่างมีความสุข พักกลางวันทั้งกฤษณาและจิ๋วต่างก็ไปรับประทานอาหารด้วยกัน

“เธอชอบกินข้าวซอยจังนะ” กฤษณาทักเมื่อเห็นจิ๋วถือชามข้าวซอยทั้งๆที่เมื่อวานเธอก็พึ่งจะรับประทานไปหยกๆ

“ก็มันอร่อยนี่นา” เธอตอบสั้นๆ กฤษณายิ้ม

“เราว่าเธออยู่ที่นี่สบายเลยละ ชอบเมืองเหนือขนาดนี้” กฤษณาพูด จิ๋วยิ้มรับ

“อืม เราก็ว่าเมืองนี้ก็น่าอยู่ดีออกนะ อาหารก็อร่อย ภาษาก็น่าฟัง คนพูดก็น่ารัก” จิ๋วตอบพลางมองหน้ากฤษณา

“อะนะ ชมตัวเองก็เป็นด้วย” กฤษณาตอบเพราะเข้าใจว่าจิ๋วนั้นกล่าวยอตัวเอง จิ๋วเก็บความรู้สึกของตนเอาไว้ลึกๆ

“แหงอยู่แล้วละ” จิ๋วพูดพลางเดินฉับๆไปหาที่นั่ง กฤษณาส่ายหัวไปมาอย่างเหนื่อยอ่อน ทั้งสองรับประทานอาหารเสร็จก็เปลี่ยนบรรยากาศมาเดินย่อย

“เธอลงกรุงเทพฯบ่อยหรือเปล่า” จิ๋วถาม กฤษณาส่ายหัว

“เป็นบางทีนะ อย่างปิดเทอมก็อาจจะลงนะ แต่พักหลังๆนี่ไม่ค่อยได้ลงแล้วละ” กฤษณาตอบ จิ๋วมองหน้า

“ทำไมหรอ” จิ๋วถาม กฤษณาอมยิ้มเล็กน้อย

“ก็ อยากอยู่ที่นี่นะ” กฤษณาพูดทั้งๆที่ใจของเขากลับคิดถึงแต่เรื่องของชลาธลแต่เพียงอย่างเดียว จิ๋วมองกฤษณาด้วยสายตาที่สงสัย

“แค่นั้นเองหรอ” จิ๋วถาม กฤษณามองหน้าจิ๋วด้วยสายแต่งุนงง

“กะ ก็แค่นั้นแหละ” กฤษณาตอบไปสั้นๆพลางรีบเดินเพื่อลดความเขินอาย เลิกเรียนกฤษณากับจิ๋วก็กลับบ้านด้วยกันเหมือนทุกครั้ง

“วันนี้เธอจะมาเที่ยวบ้านฉันไหม เมื่อวานก็เบี้ยวไปทีแล้วนะ” จิ๋วพูด กฤษณาเบ้ปาก

“อืม ต้องถามธลเขาดูก่อนนะว่าเขาว่าไง” กฤษณาพูด จิ๋วเหล่ตาให้

“แหม ตัวติดกันหยั่งกับปาท่องโก๋เลยนะ” จิ๋วแซว กฤษณายิ้ม

“ก็เขาเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเราเลยนะสิ” กฤษณาตอบไปตามที่คิด จิ๋วมองหน้ากฤษณาอยู่พักนึงแต่แล้วเธอก็พยักหน้ารับ

“อืม จ๊ะ มากันเยอะๆดีออกสนุกดี” จิ๋วตอบ กฤษณาพยักหน้าตอบ ทั้งสองแวะไปที่วัดท่าหลวงพอกฤษณาเดินลงมาชลาธลก็วิ่งเข้ามาหาทันที

“กฤษ” ธลทัก แต่แล้วรอยยิ้มของเขาก็หดหายไปเมื่อพบว่าจิ๋วนั้นเดินตามมาด้วย

“ไงธล รอนานไหม” กฤษณาทัก ชลาธลส่งยิ้มให้กฤษณาพลางส่ายหัว

“อืม ไม่หรอก ก็ช่วยหลวงตาทำงานนะ” ชลาธลตอบพยายามไม่มองหน้าจิ๋วเลย

“เออ จิ๋วเขาชวนไปกินขนมนะ ไปกันไหม” กฤษณากล่าว ชลาธลเหลือบมองจิ๋วเล็กน้อย เธอยิ้มให้ชลาธลตอบกลับไป

“ต้องไปด้วยหรอ” ชลาธลถาม กฤษณาขมวดคิ้ว

“ทำไมหรอ เรานึกว่านายชอบกินขนมเสียอีก” กฤษณาถาม ชลาธลเริ่มรู้สึกกระอักกระอ่วน

“อะ เออ มันไม่ใช่ไม่ชอบหรอก” ชลาธลตอบพลางเหลือบมองจิ๋วด้วยสายตาไม่ไว้ใจ

“อ๋อ ขอโทษทีนะ ฉันลืมไปว่าวันนี้ฉันมีแขกมาคงไม่ได้หรอก” จิ๋วพูดขึ้น ทั้งกฤษณาและชลาธลต่างแสดงสีหน้าตกใจ จิ๋วยกมือขึ้นประนมบนอก

“ขอโทษทีนะ ฉันกลับก่อนดีกว่า เดี๋ยวต้องไปช่วยพ่อเตรียมของด้วย” จิ๋วพูดพลางรีบวิ่งออกไป

“ดะ เดี๋ยวสิเราไปส่ง” กฤษณาพูด แต่จิ๋วกลับส่ายหัว

“ไม่ต้องหรอก เจอกันพรุ่งนี้นะ” จิ๋วพูดพลางวิ่งฉิวหายไป กฤษณาได้แต่ยกไหล่อย่างงุนงง

“นายต้องกลับกับเขาทุกวันเลยหรอ” ชลาูธลถาม กฤษณาขมวดคิ้ว

“ทำไมหรอ ก็ทางผ่านนี่” กฤษณาพูด ชลาธลถอนหายใจยาวพลางมองหน้ากฤษณาด้วยสายตาเหมือนมีคำถามในใจ

“อืม คือ เราไม่อยากให้นายอยู่ใกล้เธอนะ” ชลาธลพูดพลางหลบหน้ากฤษณาไป

“ทำไมละ” กฤษณาถาม ชลาธลมองหน้ากฤษณา

“ก็ เรา อืม เราไม่อยากเสียนายไปนี่นา” ชลาธลพูด กฤษณาส่ายหัวไปมา

“ทำไมนายคิดว่าเราจะจากนายไป ไหนบอกมาสิ” กฤษณาถาม ชลาธลอ้ำอึ้งเล็กน้อย

“อะ อืม ก็ เราเห็นนายสนิทกับเขาขนาดนั้น เราก็ เออ หึงเป็นเหมือนกันนะ” ชลาธลพูดหน้าแดง กฤษณาถึงกลับกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่

“ขำอะไรนะ เราจริงจังนะ” ชลาธลมองหน้ากฤษณาตาขวางๆ กฤษณายิ้มรับ

“โอ๋ๆ อย่างอนสิ อืม เราเองก็ต้องมีสังคมบ้างนา อีกอย่างนายเองก็ยังเคยหายไปตั้งหลายอาทิตย์เลยไม่ใช่หรอ เรายังไม่เห็นบ่นสักคำ” กฤษณาพูด ชลาธลก็เบ้ปาก

“อืม มันก็จริงอะนะ เราขอโทษนะที่ทำตัวแบบนั้น” ชลาธลพูด กฤษณาคล้องคอชลาธลไว้

“เอาเป็นว่า เราไม่เคยคิดจะห่างจากนายอยู่แล้วละ สบายใจได้” กฤษณาพูด ชลาธลก็ยิ้มออกมาจนได้

“อืม” ชลาธลตอบ กฤษณายิ้มเขินๆ

“แต่ว่า มันก็เขินแฮะ มีคนหึงเราด้วยหรอเนี่ย” กฤษณาพูด ชลาธลมองหน้า

“งั้นจะหึงให้สุดๆเลย” ชลาธลตอบ กฤษณาทำตาโต

“น้อยๆหน่อย เดี๋ยวเถอะ ได้ทีขี่แพะไล่เลยนะ” กฤษณาตอบ ชลาธลยิ้มรับ

“ล้อเล่นนะ” ชลาธลตอบ กฤษณาเหมือนจะคิดอะไรออก

“เราไปว่ายน้ำกันไหม” กฤษณาชวน ชลาธลพยักหน้าแทบจะทันที กฤษณาจับมือของชลาธลเอาไว้พลางจูงกันไปยังบึง ใบหน้าของชลาธลนั้นแดงก่ำราวเนื้อแตงโมเลยทีเดียว ไม่นานนักทั้งสองก็มาถึงบึง กฤษณาและชลาธลต่างถอดเสื้อพลางกระโจนลงสู่ผิวน้ำ กฤษณานั้นไม่ได้ว่ายน้ำมานานพอสมควรแล้ว เขาถึงกับดำผุดดำโพล่ไปมาอย่างสนุกสนาน บ้างก็ว่ายน้ำแข่งกับชลาธลแม้จะรู้ว่าเขาไม่อาจเอาชนะธลได้ แต่แค่ได้ทำอะไรร่วมกันมันก็ทำให้เขาเป็นสุขได้แล้ว ทั้งสองว่ายอยู่ประเดี๋ยวเดียวก็ขึ้นมาตากตัวบนฝั่ง กฤษณานอนแผ่พลางเอามือประสานไว้ที่ที่หลังศีรษะ เขาแหงนมองดูท้องฟ้าที่ค่อยๆเปลี่ยนสีเป็นสีส้ม แต่แล้วมือของชลาธลก็ค่อยๆลูบไปตามร่องอกของกฤษณา

“เราดีใจจังที่ได้อยู่ข้างๆนายอีก” ชลาธลกล่าว กฤษณายิ้มพลางโน้มตัวไปหาชลาธล

“เราเองก็ดีใจนะ” กฤษณาพูดพลางจูบลงที่ปากของชลาธลอย่างแผ่วเบา ชลาธลนั้นถึงกับเขินหน้าแดงก่ำ

“ฮะ ฮะ เวลานายเขินแล้วน่ารักดี” กฤษณาพูด ชลาธลไม่พูดอะไรได้แต่ยิ้มรับอย่างเขินอาย

“เรากลับบ้านกันดีกว่า” กฤษณาทัก ชลาธลก็พยักหน้าก่อนที่ทั้งสองจะแต่งตัวแล้วเดินกลับบ้านด้วยรอยยิ้มอันแสนสุข...


“คุณคะ คุณ” เสียงของหญิงสาวปลุกให้ชายหนุ่มตื่นจากภวังค์

“อะ จ๊ะ” ชายหนุ่มขานรับพลางหันกลับไปมอง หญิงสาวยิ้มให้อย่างเป็นมิตร

“คือ จะบอกว่าห้องน้ำว่างแล้วละคะ” หญิงสาวตอบ ชายหนุ่มพยักหน้ารับ

“ขะ ขอบใจนะ เดี๋ยวผมขึ้นไป” ชายหนุ่มตอบ หญิงสาวยิ้มรับ

“งั้นฉันเอายัยธลเข้านอนก่อนนะคะ” หญิงสาวพูดพลางเดินกลับขึ้นไปข้างบน ชายหนุ่มถอนหายใจยาว

“นี่เราจะเป็นแบบนี้ไปอีกนานไหม” ชายหนุ่มรำพึง ยิ่งเขาพูดเรื่องของชลาธลมากเท่าใด ใจของเขาเหมือนจะยิ่งปวดร้าวขึ้นทุกทีๆ

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
«ตอบ #39 เมื่อ08-01-2007 10:03:59 »

อย่าเพิ่งวางใจว่าท้องฟ้าสงบ เพราะพายุฝนอาจจะเริ่มตั้งเค้า ท่าทางพายุจะแรงซะด้วย  :impress:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
« ตอบ #39 เมื่อ: 08-01-2007 10:03:59 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






meemewkewkaw

  • บุคคลทั่วไป
Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
«ตอบ #40 เมื่อ08-01-2007 15:23:51 »

จบแค่นี้เถ้ออออออออออ ไม่อยากอ่านตอนเศร้าเลยอ่ะ
เพ้อแล้วนะเนี่ย ทำไมความรักมันถึงได้ดูอบอุ่นอย่างนี้น๊อ . . .  :myeye:



อ่านะ เพ่บลูเรย์ อย่าพูดงั้นจิ หมีเขินนะ เอาความในใจหมีมาแซวอย่างงี้ได้ไง เดี๋ยวเค้าก็รู้กันหมดหรอก :kikkik:

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
«ตอบ #41 เมื่อ08-01-2007 19:49:22 »

เหอๆกลัวพายุกันใหญ่แย้ว
ผมเอาแต่เรื่องรักหวานๆมาให้เพื่อนๆชุ่มช่ำหัวใจทุกเรื่องเลยน้า
หมีไม่เชื่อถามทิพย์ดิ
จริงปะ
 :untrust:

*****************************
บทที่ 13

“พักนี้คุณดูไม่ค่อยสบายใจสักเท่าไหร่เลยนะคะ” หญิงสาวทักขึ้น ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังแต่งตัวเพื่อที่จะไปทำงาน ชายหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อยแต่ก็ยังส่ายหัวไปมา

“มะ ไม่มีอะไรนี่ ก็แค่งานเยอะนิดหน่อยนะ ต้องรีบเคลียร์ให้เสร็จก่อน เดี๋ยวไม่ทันยัยธลปิดเทอม” ชายหนุ่มตอบ หญิงสาวเดินไปกอดชายหนุ่มจากข้างหลังพลางซบลงที่แผ่นหลังกว้างของเขา

“อย่าหักโหมมากไปนะคะ” หญิงสาวตอบ ชายหนุ่มยิ้มเล็กน้อยก่อนที่จะหันมาหอมแก้มภรรยาของตน

“ขอบใจจ๊ะ ได้กำลังใจแบบนี้หายเหนื่อยเลยละ” ชายหนุ่มตอบ หญิงสาวถึงกับเขินอายหน้าแดงๆ

“ค่า รีบไปเถอะคะ โชคดีนะคะ” หญิงสาวตอบ ชายหนุ่มพยักหน้าก่อนจะรีบขึ้นรถไปทันที ชายหนุ่มถอนหายใจยาวก่อนที่จะจุดระเบิดเครื่องยนต์

“เราต้องตั้งใจกับเรื่องตรงหน้าให้ดี” ชายหนุ่มพูดแต่ในหัวของเขากลับมีภาพความทรงจำที่เด่นชัดขึ้นผุดขึ้นมาแทน...


กฤษณาและชลาธลเริ่มสนิทสนมมากขึ้นจนแทบจะแยกออกจากกันไม่ขาดเสียแล้ว ยิ่งช่วงนี้ชลาธลเองก็ยังว่างจากการตามหาโขนรามจึงทำให้ชลาธลนั้นแทบจะไม่ต้องกลับลงแม่น้ำเลย

“เฮ้อ เราไม่อยากให้นายไปเรียนเลย” ชลาธลบ่น

“เราเองก็ไม่อยากเรียนเท่าไหร่หรอก แต่ทำไงได้มันเหมือนเป็นหน้าที่อะ” กฤษณากล่าว ชลาธลได้แต่ก้มหน้าอย่างเศร้าๆ กฤษณายิ้มให้พลางตบบ่าของชลาธลเบาๆ

“ไม่ต้องเป็นห่วงน่า เดี๋ยวตอนเย็นก็เจอกันแล้วละ” กฤษณาตอบ ชลาธลก็ยิ้มออกมาได้บ้าง

“อืม” ชลาธลตอบ กฤษณาพยักหน้าก่อนที่จะเดินไปขึ้นรถพร้อมกับจิ๋ว ซึ่งกฤษณาจะแวะมาที่วัดทุกเช้าเพื่อเจอธลแล้วก็รับจิ๋วเพื่อไปโรงเรียนด้วยกัน

“แหมตัวติดกันหยั่งกับปาท่องโก๋เลยนะ” จิ๋วแซว กฤษณายิ้มรับเขินๆ

“ก็มันสนิทกันก็ต้องคิดถึงกันเป็นธรรมดา” กฤษณาตอบ จิ๋วพยักหน้ารับ

“จ้าๆ แหมทีกับคนอื่นไม่เห็นสนิทอย่างนี้บ้างเลย” จิ๋วตอบบ่นๆ กฤษณามองหน้าจิ๋ว

“อ้าว ก็รู้จักกันมานานมันก็ต้องสนิทกันเป็นธรรมดาสิ” กฤษณาตอบกลับ จิ๋วถอนหายใจเบาๆ

“นี่หมายความว่าถ้าพึ่งรู้จักกันก็ไม่มีวันได้สนิทกันงั้นสิ” จิ๋วตอบอย่างงอนๆ

“วันนี้ดูแปลกๆนะจิ๋ว” กฤษณาทัก จิ๋วเมินหน้าหนี

“เปล่าสักหน่อย” จิ๋วตอบ กฤษณาขมวดคิ้ว

“แบบนี้ละแปลกจริงๆนั่นแหละ มีเรื่องอะไรหรอ ให้เราช่วยอะไรไหม” กฤษณาเสนอตัว จิ๋วเหลือบมองดูกฤษณาแล้วเธอก็ถอนหายใจยาว

“อืม ช่างเถอะ แค่นอนไม่ค่อยจะพอนะ” จิ๋วตอบ กฤษณายักคิ้วใส่

“ฮันแน่ คิดถึงใครละสิ” กฤษณาแซว จิ๋วถึงกับแก้มแดงขึ้นมาทันที

“ปะ เปล่าสักหน่อย” เธอร้อง

“อี่สาวเมืองกอก ท่าฮักจากบ่าวเหนือ หื้อปาลงเฮือข้ามน้ำน่าน” กฤษณากล่าวออกมาเป็นกลอน จิ๋วถึงกับสะบัดหน้าหนี

“โอ๋ๆ อย่างอนสิ” กฤษณาเริ่มง้อ จิ๋วเหลือบมองกฤษณาด้วยสายตาขวางๆแต่ไม่ตอบอะไร

“เฮ้ย แค่ล้อเล่นหน่อยเดียวเอง อย่าจริงจังนักสิ” กฤษณาเริ่มอ้อนวอน แต่จิ๋วก็ยังเมินหน้าหนี กฤษณาเริ่มใจไม่ดี

“นี่อย่าคิดมากสิ เราล้อเล่นนะ คือดีกันนะ” กฤษณาอ้อน แต่จิ๋วก็ยังคงไม่หันหน้ามา

“เฮามาเกี่ยวก้อย ดีกั่นเน่อ” กฤษณาอ้อนเป็นภาษาเหนือ จิ๋วแอบยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย

“เฮาจะบ่าแก้งตั๋วแล้วเน่อ เฮาสัญญา” กฤษณาอ้อนเป็นภาษาเหนือต่อ จิ๋วหันมาพลางเกี่ยวนิ้วก้อยของเธอเข้ากับของกฤษณา

“แล้วอย่าทำอย่างนี้อีก” จิ๋วตอบกลับพยายามออกเสียงให้เหมือนกับคนเหนือ กฤษณาพยักหน้ารับ

“คับ จะบ่ายะแหมแล้วคับ” กฤษณาตอบ จิ๋วยิ้มให้พลางเกี่ยวนิ้วก้อยของเธอกับนิ้วของกฤษณาไว้เสียแน่น พักกลางวันกฤษณากับจิ๋วก็นั่งลงรับประทานอาหารกลางวันด้วยกันเหมือนทุกครั้ง

“อืม ว่าแต่ธลเขาเป็นคนยังไงหรอ” จิ๋วถาม กฤษณายิ้ม

“เขาเป็นคนดีมากเลยละ เวลาที่เรามีปัญหาก็ได้เขาช่วยมาตลอดเลย อย่างตอนเราจะจมน้ำถ้าไม่ได้เขาช่วยป่านนี้เราคงไม่ได้มานั่งคุยตรงนี้หรอก แถมยังแข็งแรง ว่ายน้ำก็เก่ง” กฤษณากล่าว จิ๋วพยักหน้ารับ

“แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ค่อยชอบเราสักเท่าไหร่นะ” จิ๋วตอบ กฤษณามองหน้า

“ไม่หรอกน่า เขาแค่ขี้อายนิดหน่อยเท่านั้นเอง” กฤษณาตอบ จิ๋วถอนหายใจเบาๆ

“ไม่รู้สิ อย่างคราวก่อนเวลาเขาเจอฉันทีไร เขาต้องส่งสายตาแปลกๆมาทุกทีเลย” จิ๋วพูด กฤษณาขมวดคิ้ว

“คิดมากไปมั้ง” กฤษณาพูด จิ๋วเบ้ปาก

“อย่างเวลาฉันชวนไปกินขนมทีไรเขาก็ต้องปฏิเสธทุกทีเลยอะ” จิ๋วตอบ กฤษณาเริ่มคิด ซึ่งมันก็จริงอย่างที่จิ๋วนั้นพูด บางครั้งจิ๋วมักจะชวนเขากับชลาธลไปทานขนมที่บ้าน แต่ชลาธลมักจะหาข้ออ้างปฏิเสธทุกครั้งไป กฤษณาเองก็อดคิดไม่ได้ว่าแม้ว่าชลาธลจะสนิทใจกับเขา แต่ถ้าเขาไม่เข้าสังคมบ้างมันอาจจะกลายเป็นเรื่องลำบากสำหรับชลาธลในอนาคต

“เขาก็แค่ขี้อายนิดหน่อยนะ เอางี้เดี๋ยววันนี้ไปบ้านเธอได้ไหมละ แล้วจะให้เธอรู้จักกับธล รับรองเธอจะต้องชอบเขาแน่ๆ” กฤษณาพูด จิ๋วพยักหน้ารับ

“จ้า ถ้าเขายอมมาละนะ” จิ๋วพูด กฤษณายักคิ้ว

“เจื้อมือได้เลย” กฤษณาตอบ ก่อนที่ทั้งสองจะจัดการกับอาหารตรงหน้าจนหมด ตกเย็นทั้งกฤษณาและจิ๋วไปหาชลาธลที่วัด

“ธล วันนี้ไปกินขนมบ้านจิ๋วกัน” กฤษณาชวน ธลถึงกับทำตาตื่นๆพลางมองหน้ากฤษณา

“ตะ ต้องไปด้วยหรอ” ชลาธลถาม กฤษณาขมวดคิ้ว

“เออ เขาชวนหลายวันแล้วไปเถอะ นายเองก็ชอบกินขนมนี่นา” กฤษณาทักท้วง ชลาธลเบ้ปากเล็กน้อย

“ก็ชอบกินกับนายมากกว่า” ชลาธลพูดเบามากจนแทยจะเป็นเสียงกระซิบก็ว่าได้ กฤษณาเอามือคล้องคอของชลาธลเอาไว้พลางกระซิบที่ข้างหู

“ไม่ต้องกลัวหรอกน่า เราไม่ได้ไปสู้อะไรกับใครเขาสักหน่อยนี่นา อีกอย่างถ้าไม่กินเนื้อก็ไม่เป็นไรไม่ใช่หรอ” กฤษณากระซิบ ชลาธลมองหน้ากฤษณาอย่างสับสน

“เรารู้ ตะ แต่ว่า คือ...” ชลาธลกล่าวอ้ำๆอึ้งๆพลางก้มหน้าลง

“เรารู้ว่านายขี้อาย แต่ถ้านายไม่รู้จักทำอะไรเสียบ้างเลยแล้วเมื่อไหร่นายจะกล้ากับเขาละ” กฤษณาพูด ชลาธลเหลือบมองหน้ากฤษณาเล็กน้อย เขาถอนหายใจยาวพลางพยักหัวหงึกๆ กฤษณายิ้มพลางตบหลังธลเบาๆ

“ดีมาก ไปกันเถอะ” กฤษณาพูดพลางหันมามองจิ๋วที่ยืนงง

“เอ้า รีบไปกันดีกว่าท้องร้องจ๊อกๆแล้ว” กฤษณาพูดพลางเดินยิ้มอย่างสบายอารมณ์โดยไม่ได้สังเกตว่าชลาธลกับจิ๋วนั้นสบตากันด้วยสายตาแปลกๆ ทั้งสามเดินต่อมาอีกหน่อยก็ถึงบ้านของจิ๋ว

“บ้านใหญ่จัง” ชลาธลอุทานพลางมองอย่างทึ่งๆ

“ก็นิดหน่อยนะ เข้ามาก่อนสิ” จิ๋วพูดพลางเปิดประตูให้เพื่อนทั้งสองคนของเธอเข้าไปข้างในก่อนที่เธอจะปิดประตูลง แล้วเร่งเท้านำชายทั้งสองเข้าบ้านไป ทั้งกฤษณาและชลาธลเข้ามาในบ้านต่างก็มองตาค้างๆ ภายในตกแต่งอย่างหรูหราและสวยงาม มีเบาะนั่งตัวยาววางเป็นแนว ภายในมีของตกแต่งที่ดูมีราคาวางเรียงอยู่บนชั้น

“โห ทีวีใหญ่หยั่งกับหน้าต่าง” กฤษณาอุทานเมื่อเห็นโทรทัศน์จอใหญ่เบ้อเริ่มตั้งอยู่

“พ่อฉันชอบพวกเครื่องเสียงอะไรเทือกนั้นนะ จะเอาน้ำอะไรไหม มีน้ำผลไม้ น้ำแดงน้ำเขียวก็มีนะ” จิ๋วกล่าว ชลาธลมองหน้ากฤษณา

“น้ำแดงนี่เป็นยังไงหรอ” ชลาธลถาม กฤษณายิ้ม

“ก็ลองดูสิ” กฤษณาพูดพลางหันไปยักคิ้วให้จิ๋ว

“งั้นเอาน้ำแดงแล้วกัน” กฤษณาตอบ จิ๋วพยักหน้าก่อนที่จะเดินหายเข้าไปในห้องครัว กฤษณามองไปรอบๆตัวอย่างตื่นตาตื่นใจ

“โหบ้านจิ๋วนี้โคตรรวยเลย ดูดิมีอะไรแพงๆตั้งเยอะ” กฤษณาพูดพลางเดินสำรวจห้องไปทั่ว ชลาธลกำมือแน่น

“อะ อืม กฤษ คือ” ชลาธลอ้ำๆอึ้งๆ กฤษณาก็หันกลับมา

“ก็บอกแล้วว่ามมีอะไรก็บอกมา อ้ำอึ้งอยู่ได้” กฤษณากล่าวบ่นๆ ชลาธลอ้าปาก

“ขอโทษทีที่ให้รอ” จิ๋วเดินกลับเข้ามาในห้องพร้อมกับถาดในมือ ชลาธลถึงกับสะดุ้งโหยง

“อะไรเนี่ย คุ๊กกี้หรอ” กฤษณาพูดพลางมองดูขนมในจาน จิ๋วยิ้มรับ

“อืม แม่เราทำเองแหละ แม่เราชอบทำขนมนะ” จิ๋วพูดพลางวางถาดขนมและน้ำลงบนโต๊ะ ทั้งสามนั่งลงข้างๆกันโดยที่กฤษณานั้นนั่งตรงกลางโดยที่มีชลาธลกับจิ๋วขนาบข้าง ชลาธลมองแก้วน้ำสีแดงๆด้วยความตกใจ

“นะ น้ำอะไรอะ ทำไมแดงจัง” ชลาธลถาม กฤษณายิ้ม

“ลองชิมดูสิ” กฤษณาพูด ชลาธลมองหน้ากฤษณาด้วยความไม่แน่ใจนัก แต่กฤษณาก็ยังยิ้มอยู่เหมือนเดิม ชลาธลจิบน้ำสีแดงในแก้วพลางทำปากแจ๊บๆ

“หวานจัง แต่อร่อย” ชลาธลพูด

“มีอีกนะ ถ้าอยากได้อีกก็บอกนะ” จิ๋วพูด ชลาธลพยักหน้าพลางดื่มเข้าไปอีกอึกใหญ่ ชลาธลก้มลงดูคุ๊กกี้ในจาน

“นี่อะไรหรอ” ชลาธลถาม

“คุ๊กกี้นะ ลองกินดูสิ” กฤษณาชวนพลางหยิบคุ๊กกี้ใส่ปาก ชลาธลก็ทำตาม เขาเคี้ยวกรวมๆ

“อืม มันแปลกๆแฮะ กรอบๆนิ่ม ๆ” ชลาธลพูดพลางเคี้ยวคุ๊กกี้ไปมา

“อร่อยไหม” จิ๋วถาม ชลาธลพยักหน้า

“อืม” ชลาธลตอบ จิ๋วก็ยื่นจานคุ๊กกี้ส่งให้

“งั้นทานเยอะๆเลยนะ มีอีกเพียบเลย” จิ๋วกล่าว ชลาธลพยักหน้าแก้มแดงๆด้วยความเขิน

“อะ เออ ขอบคุณนะ” ชลาธลตอบ จิ๋วยิ้มรับ แล้วทั้งสามก็เริ่มคุยถึงเรื่องอดีตของตน

“โอ๊ยเพื่อนฉันแต่ละคนนี่ก็สุดๆทั้งนั้นเลย แต่พอต้องย้ายมาที่นี่ก็ดูเหมือนจะขาดการติดต่อไปบ้างเหมือนกันนะ ป่านนี้คงลืมไปแล้วละมั้ง” จิ๋วพูดอย่างงอนๆ

“ก็ไม่ลองโทรไปหาเขาดูละ” กฤษณาแนะนำ จิ๋วยกไหล่

“เคยโทรไปตั้งหลายทีแล้วละ แต่ก็คุยได้นิดๆหน่อยๆเอง เขาว่ายุ่งนะ” จิ๋วพูด แล้วเธอก็สังเกตเห็นว่าชลาธลนั้นนั่งเงียบไม่กล่าวอะไร

“แล้วเธอละธล เธอมีเพื่อนเยอะหรือเปล่า” จิ๋วถาม ชลาธลถอนหายใจ

“เราไม่เคยมีเพื่อนหรอก ก็เห็นมีแต่กฤษละมั้งที่ยอมเป็นเพื่อนกับเรา” ชลาธลตอบ

“ทำไมละ” จิ๋วถามอีก ชลาธลตกใจเล็กน้อย

“ก็เขาขี้อายนะสิ อีกอย่างเขาก็ตัวใหญ่ด้วย เลยแบบ โดนล้ออะ” กฤษณาแก้ต่างให้อย่างทันท่วงที ชลาธลพยักหน้ารับ

“หรอ ฉันไม่เป็นว่ามันจะแปลกตรงไหนเลย อีกอย่างฉันว่าก็ดูเท่ห์ดีออกผู้ชายตัวใหญ่ๆนะ” จิ๋วพูด ชลาธลอึ้งไปเล็กน้อยจนจิ๋วนั้นสังเกตได้

“เรา พูดอะไรผิดไปหรอ” จิ๋วถาม ชลาธลส่ายหัว

“ปะ เปล่า ตะ แต่ คือ เออ คือ นะ นอกจากกฤษแล้วไม่เคยมีใครพูดกับเราแบบนั้นอีกเลย” ชลาธลตอบด้วยความเขินอาย

“เพื่อนกันทำไมจะพูดกันไม่ได้ละ” จิ๋วกล่าว ชลาธลมองหน้าจิ๋วที่ยิ้มให้ กฤษณาเอามือคล้องคอของชลาธลเอาไว้พลางกระซิบที่ข้างหู

“เห็นไหมว่ากล้าสักหน่อยก็ไม่เสียหายหรอกน่า” กฤษณาตอบ ชลาธลพยักหน้ารับ กฤษณาลุกขึ้นพลางหยิบแก้วขึ้นมา

“เอ้า มาฉลองเพื่อนใหม่กันดีกว่า” กฤษณาพูด จิ๋วหยิบแก้วของตนพลางลุกขึ้นบ้าง ชลาธลเงยหน้ามองคนทั้งสองก่อนที่จะค่อยๆลุกขึ้นแล้วก็หยิบแก้วน้ำตามขึ้นมาด้วย

“เรามาชนแก้วกันดีกว่า ธล ทำแบบนี้นะ” กฤษณาพูดพลางชนแก้วของจิ๋วให้ดูเป็นตัวอย่าง ชลาธลก็พยักหน้ารับ

“เอ้า ชน” กฤษณาให้สัญญาณแล้วแก้วน้ำทั้งสามใบก็กระทบกันส่งเสียงดังเป้ง เป็นเสียงที่ก้องกังวาลอยู่ในหัวใจของทุกคนตราบนานเท่านาน พอเริ่มเย็นกฤษณากับชลาธลก็แยกย้ายกันกลับบ้าน

“แล้วพรุ่งนี้เจอกันนะ” จิ๋วกล่าวลา ก่อนที่ทั้งสองจะเดินออกจากบ้านของจิ๋วไป

“เป็นไงสนุกไหม” กฤษณาถามขณะที่กำลังเดินไปส่งชลาธลที่วัด

“อืม” ชลาธลกล่าวพลางยิ้มให้ กฤษณาตบหลังของชลาธลเบาๆ

“ถ้าจะทำก็ทำได้นี่นา เห็นมะว่าไม่ยากเลย” กฤษณาตอบ ชลาธลพยักหน้ารับ

“เราก็ไม่เคยคิดมาก่อนเลยเหมือนกันว่าจะมีคนที่ยอมรับเราได้อีกนอกจากนาย ขอบใจนะที่ทำให้เราได้เข้าใจอะไรเกี่ยวกับมนุษย์มากขึ้นจริงๆ” ชลาธลตอบ กฤษณาเกาหัวไปมาอย่างเจินๆ

“แหม ไม่ขนาดนั้นสักหน่อย แต่ก็แค่อยากจะให้นายรู้ไว้ว่ายังมีคนอีกตั้งมากมายที่เขาพร้อมจะยอมรับนายได้นะ” กฤษณาตอบ ชลาธลพยักหน้า

“แต่สำหรับเราแล้ว แค่นายคนเดียวก็เกินพอแล้วละ” ชลาธลตอบ กฤษณาหัวเราะเบาๆ

“อะนะ เขินนะเนี่ย แต่ก็ขอบใจนะ” กฤษณาพูดพลางเดินไปส่งชลาธลที่วัด...


ชายหนุ่มจอดรถ ณ ที่จอดรถในบริษัทพลางถอนหายใจยาว ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมานี้ราวกับว่าเรื่องของเขากับชลาธลนั้นจะค่อยๆเด่นชัดขึ้นทุกทีๆ แม้ว่าบางเรื่องเขาอยากจะลบมันออกไปจากใจก็ตาม


wee

  • บุคคลทั่วไป
Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
«ตอบ #42 เมื่อ08-01-2007 23:36:06 »

เรื่องนี้คลาสสิกจัง  ชอบเรื่องสไตล์นี้มากๆเลย...........
 :monkeylove2: :-[

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
«ตอบ #43 เมื่อ09-01-2007 09:32:48 »

หุหุ เรื่องนี้เดาทางไม่ค่อยออกแฮะ  :impress:

ปล. จริงนะหมี เรย์เอาแต่เรื่องรักหวาน  ๆ น้ำตา(ล)ท่วมจอมาลงท้างน้าน  :sad4:

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
«ตอบ #44 เมื่อ09-01-2007 22:10:05 »

อิอิ ทิพย์เดาไม่ออกเย้ๆๆ ชอบๆนานๆทีจะเดาไม่ออก

ดีใจนะที่ วี ชอบ
****************************
บทที่ 14
“อืม ลงใต้บ้างดีไหมคะ” หญิงสาวกล่าวพลางมองดูแผ่นพับตรงหน้า ชายหนุ่มกรอกตา
“คนคงเยอะน่าดูเลยตอนนั้นนะ” ชายหนุ่มแนะนำ หญิงสาวพยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย
“อืม หรือจะไปอีสานอีกดีคะ” หญิงสาวพูดอีก ชายหนุ่มยิ้ม
“จะได้โดนยัยธลบ่นอีกงั้นหรอ” ชายหนุ่มตอบ หญิงสาวกรอกตา
“เพชรบุรีก็ไปสองสามครั้งแล้ว เฮ้อ จะไปที่ไหนดีนะ” หญิงสาวบ่นอุบอิบ ชายหนุ่มนั่งอ่านหนังสือท่องเที่ยวไปพลางๆ
“แล้วนี่เงินเก็บไว้มีเท่าไหร่ละ” ชายหนุ่มถาม หญิงสาวส่ายหัว
“อืม ก็ไม่มากนักหรอกคะ อีกสองเดือนก็ใกล้จะถึงกำหนดจ่ายเงินแล้ว ถ้าไม่จ่ายอะไรมากนักก็คงพอเอาอยู่ละคะ” หญิงสาวพูด ชายหนุ่มพยักหน้า แต่แล้วหญิงสาวก็เหมือนจะนึกอะไรออก
“ใช่แล้ว ไม่ไปพิจิตรอีกละคะ” หญิงสาวอุทาน ชายหนุ่มถึงกับสะอึกเล็กน้อย
“ถ้าไปพิจิตรเราก็คงไม่ต้องห่วงเรื่องค่าใช้จ่ายใช่ไหมละคะ” หญิงสาวพูด ชายหนุ่มยิ้มแห้งๆ
“อะนะ ก็ใช่นะ” ชายหนุ่มตอบ หญิงสาวมองหน้าชายหนุ่ม
“ฉันรู้คะว่าคุณไม่อยากจะรบกวนคุณพ่อ ใช่ไหมละคะ” หญิงสาวกล่าว ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ
“ไม่หรอก อืม ท่านคงดีใจที่ยัยธลไปหาละนะ” ชายหนุ่มพูดพลางซ่อนสีหน้าของเขาเอาไว้
“ตกลงว่างั้นปีนี้เราไปพิจิตรกันนะคะ” หญิงสาวกล่าว ชายหนุ่มพยักหน้ารับ
“จ๊ะ” ชายหนุ่มตอบ หญิงสาวยกกองแผ่นพับและหนังสือไปไว้ที่โต๊ะข้างๆเธอ
“ไว้แล้วฉันจะบอกธลตอนไปโรงเรียนนะคะ” หญิงสาวกล่าว ชายหนุ่มพยักหน้า
“จ๊ะ” ชายหนุ่มพูดพลางวางหนังสือไว้ที่โต๊ะหัวเตียงก่อนจะล้มตัวลงนอน
“อืม เราต้องเลิกหนีความจริงสักที” ชายหนุ่มคิด ภายในหัวของเขาตอนนี้มีแต่เรื่องของชลาธลที่ยังฝังแน่นไม่ลืมเลือน...

กฤษณาแวะไปหาชลาธลที่วัดบ่อยครั้งจนเหมือนจะเป็นเรื่องปกติสำหรับเขาไปแล้ว
“ไอ้กฤษ ข้ามีเรื่องอยากจะคุยกับเอ็งหน่อย” หลวงตายุทธพูดขึ้น เมื่อกฤษณาโพล่ไปที่วัด กฤษณาพยักหน้ารับพลางเดินตามหลวงตายุทธขึ้นไปที่กุฏิ หลวงตายุทธนั่งลงที่อาสนะส่วนกฤษณาก็นั่งขัดสมาธิที่พื้น
“ข้าไม่ได้รังเกียจอะไรนะ แต่ข้าอยากให้เอ็งเจอไอ้ธลน้อยลงหน่อย” หลวงตายุทกล่าว กฤษณาทำตาลุกวาวทันที
“ทะ ทำไมละครับ” กฤษณาถาม หลวงตายุทถอนหายใจเบาๆ
“ก็เอ็งเล่นไปป่าวประกาศเขาไปทั่วว่าไอ้ธลเป็นคนส่งข่าวให้พรานจระเข้ ตอนนี้บางคนก็เริ่มสงสัยไอ้ธลแล้วว่ามันเป็นพรานจระเข้เองหรือเปล่า” หลวงตายุทพูด กฤษณากลืนน้ำลายเล็กน้อย
“มะ มันคงไม่แย่ขนาดนั้นหรอกมั้งครับ” กฤษณาตอบอย่างใจเย็น หลวงตายุทขมวดคิ้ว
“ก็ใช่สิ เพราะคนที่สงสัยก็คือพ่อของเอ็งนั่นแหละ” หลวงตายุทตอบ กฤษณาถึงกับเงียบไปชั่วคราว หลวงตายุทถอนหายใจ
“ข้าเองก็ไม่อยากทำแบบนี้ แต่ดูเหมือนว่าเอ็งจะปิดความลับได้ไม่เก่งเอาเลย ข้าไม่ตำหนินะ เพราะเอ็งก็ยังเด็ก แต่ข้าว่าตอนนี้ยังไงก็อยู่ห่างๆไอ้ธลไว้ก่อนดีกว่านะ” หลวงตายุทพูด กฤษณาแทบไม่เชื่อหูตัวเองเขาถึงกับเงียบพูดอะไรไม่ออก
“ละ แล้วหลวงตาพูดกับพ่อผมว่ายังไงละครับ” กฤษณาถามอีก
“ข้าก็พูดกว้างๆนะ อย่างตอนที่ส่งตัวไอ้ธลให้สุรศักดิ์ ข้าก็ไม่ได้บอกว่าข้าส่งตัวธลให้ ไม่ต้องห่วงหรอกข้าจะพยายามเกลี้ยกล่อมพ่อเอ็งให้เพียงแต่ข้าอยากให้เอ็งรอจนกว่าเรื่องมันจะซาลงอีกนิดเถอะนะ” หลวงตายุทธพูด กฤษณาขมวดคิ้ว
“ก็หมดเรื่องของสุรศักดิ์ไปแล้วไม่ใช่หรอครับ” กฤษณาแย้ง หลวงตายุทส่ายหัว
“นั่นก็ใช่ แต่ตอนนี้ไอ้ธลยังหาตัวโขนรามไม่เจอเลย” หลวงตายุทกล่าว กฤษณาเองก็พึ่งจะนึกออกว่าชลาธลเองยังต้องตามหาตัวของโขนรามด้วย
“ข้ารู้ว่ามันอาจจะทรมานแต่ก็เพื่อตัวเอ็งและไอ้ธลนะ” หลวงตายุทธพูด กฤษณาได้แต่พยักหน้ารับหงึกๆ
“ผมพอเข้าใจครับหลวงตา อันที่จริงถ้าผมไม่ปากพร่อยไปเองมันก็คงจะไม่เป็นแบบนี้” กฤษณาพูดด้วยความรู้สึกเจ็บลึกๆในอก หลวงตายุทธพยักหน้า
“ไว้ข้าจะช่วยพูดกับพ่อเอ็งให้แล้วกันนะ” หลวงตายุทธกล่าว กฤษณายกมือไหว้เป็นการขอบคุณ
“วันนี้ผมขอเจอธลก่อนได้ไหมครับ ผมอยากจะขอบอกเขาเอาไว้ก่อน” กฤษณาพูดด้วยสำเนียงเศร้าๆ หลวงตายุทธพยักหน้า
“ข้าบอกไอ้ธลไว้ก่อนแล้วละ มันเองก็รู้เรื่องนี้ดี พอเรื่องของไอ้โขนรามจบแล้ว ไอ้ธลก็ไม่ต้องกลับลงไปที่น้ำบ่อยๆแล้วข้าว่าไว้ถึงตอนนั้นเอ็งค่อยกลับมาเล่นกับมันใหม่ก็ได้นี่นา” หลวงตายุทธแนะนำ กฤษณาพยักหน้ารับพลางลุกขึ้น
“ครับ” กฤษณาตอบด้วยความเหนื่อยใจ อีกครั้งแล้วที่เขาเป็นต้นเหตุที่ทำให้ชลาธลต้องลำบาก เพราะด้วยความที่เขาพูดไม่ทันคิดเขากำลังจะทำให้ชลาธลต้องเจอกับเรื่องแย่ๆ กฤษณาเดินไปที่หลังวัดก็พบชลาธลกำลังกวาดลานอยู่ ชลาธลเห็นกฤษณาก็พลันส่งยิ้มให้ กฤษณายิ้มตอบแห้งๆพลางเดินเข้าไปใกล้
“หลวงตาท่านพูดกับนายแล้วสิ” ชลาธลกล่าว กฤษณาพยักหน้ารับ
“อืม ขอโทษนะธล เพราะเราอีกแล้ว เราทำให้นายต้องลำบากอยู่เรื่อยเลย” กฤษณาพูด ชลาธลส่ายหัว
“ไม่เป็นไรหรอก จะช้าจะเร็วยังไงก็ต้องมีคนรู้อยู่ดีนั่นแหละ ความลับมันไม่มีในโลกนี่นา” ชลาธลตอบ กฤษณาก้มหน้าลง
“แต่ถ้าเราไม่พูดมากไป นายคงปิดความลับได้ดีกว่านี้” กฤษณาตอบ ชลาธลจับไหล่ของกฤษณาเอาไว้
“กฤษ เราไม่เคยคิดมากนะเวลาที่นายพูดเรื่องนั้น ความจริงเราก็อดจะกลัวไม่ได้ว่าความลับจะแตก แต่เราเองกลับรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูกเลยละ เวลาที่นายพูดถึงสิ่งที่เราทำแล้วเหมือนเป็นหน้าที่อันยิ่งใหญ่นะ” ชลาธลพูด กฤษณามองหน้าชลาธลเล็กน้อย
“ทุกคนจะคิดว่าพรานจระเข้ก็เหมือนกับอาชีพรับจ้างธรรมดานั่นแหละ ไม่ค่อยมีใครเห็นคุณค่า แต่นายกลับพูดราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ นายทำให้เรารู้สึกภูมิใจในตัวเองมากขึ้น” ชลาธลหยุดพลางมองหน้ากฤษณา
“ถ้ามีนายอยู่ข้างๆ ต่อให้ความลับจะต้องแตกเราก็คงไม่สนใจหรอก แค่ได้รักคนอย่างนายมันก็ถือเป็นความสุขที่สุดในชีวิตของเราแล้วละ” ชลาธลตอบ กฤษณาดึงร่างของชลาธลมากอดไว้ทันที
“เราขอโทษนะธล เราเองก็ดีใจที่ได้อยู่กับนาย เราสัญญาธล เราจะช่วยนายทุกอย่างเลย” กฤษณาพูดพลางโอบร่างของชลาธลเอาไว้แน่น ชลาธลตบหลังของกฤษณาอย่างแบ่วเบา
“ขอบใจนะ ขอบใจนายมาก” ชลาธลพูด
“วันนี้เราขออยู่กับนายทั้งวันเลยนะ” กฤษณาตอบ ชลาธลยิ้มพลางพยักหน้าให้ ทั้งสองตัดสินใจขออนุญาตหลวงตายุทธ ซึ่งหลวงตายุทธก็ยอมให้ทั้งสองออกไปเที่ยวเล่นได้ตามใจ
“นายอยากไปที่ไหนไหม เราจะพาเอง” กฤษณาถาม ชลาธลคิดอยู่สักพักก่อนที่เขาจะยิ้ม
“เราอยากไปที่บึงสีไฟอีกจัง” ชลาธลตอบ กฤษณายิ้มและทั้งสองก็เดินทางไปยังบึงสีไฟ ทั้งสองเดินดูรอบๆบึงพลางพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
“เวลานี่มันผ่านไปเร็วจังเนอะ เรายังอดคิดไม่ได้เลยว่าเหมือนเราพึ่งพานายมาที่นี่เมื่อไม่กี่วันมานี้เองเลย” กฤษณาพูด ชลาธลพยักหน้า
“อืม เรายังจำวันแรกที่นายมาขอบคุณเราได้อยู่เลย ตอนแรกเรากลัวมากเลยละ เรากลัวว่านายจะไปเรียกคนอื่นมาจับตัวเราเสียอีก แต่พอนายพูดคำว่าขอบคุณ มันเป็นคำขอบคุณคำแรกที่เราได้ยินแล้วไม่ได้พูดถึงคนอื่น เราดีใจมากเลยละ” ชลาธลพูดเขินๆ
“อืม ตอนนั้นถ้าไม่ได้นายช่วยไว้ เราเองก็คงกลายเป็นขี้ตะเข้ไปแล้วละ ขอบใจมากนะ” กฤษณาพูด ชลาธลยิ้มรับ
“แต่ เราก็ทำไม่ดีไปเหมือนกัน ตอนไปเที่ยวงานวัด ถ้าเราพูดอะไรออกไปบ้างเราคงได้ดูที่เขาแสดงข้างในแล้วละ” ชลาธลพูด กฤษณาส่ายหัว
“เฮ้ย ก็ตอนนั้นเราไม่รู้นี่นาว่านาย เออ ไม่เหมือนคนอื่นนะ เราเองก็วู่วามไปหน่อยเหมือนกัน แถมยังจะทำตัวแบบนั้นอีก เราเองก็ต้องขอโทษนายนะ” กฤษณาตอบ
“ไม่เป็นไรหรอก อืม แต่ก็น่าเสียดายนะ เรายังไม่เคยเห็นข้างในเลยว่าเขาทำอะไรกัน” ชลาธลพูด กฤษณามองหน้า
“ถ้าเรื่องนี้จบลงเมื่อไหร่ แล้วถ้านายไม่ต้องเดินทางบ่อยๆ เราไปดูด้วยกันนะ คราวนี้จะไม่ยอมให้อะไรมาขัดขวางการดูรถไต่ถังอย่างเด็ดขาดเลย” กฤษณาสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะ ชลาธลยิ้ม
“อืม” ชลาธลตอบพลางมองหน้ากฤษณาอย่างเขินๆ
“มีอะไรหรอ” กฤษณาถาม ชลาธลหลบตาของกฤษณาไปเล็กน้อย
“อะ อืม คือ เออ เราจับมือนายได้ไหม” ชลาธลถามด้วยใจที่เต้นแรง กฤษณาไม่ตอบเขาคว้ามือของชลาธลพลางเดินนำหน้าเขาไป
“ไปดูรูปปั้นชาละวันกันดีกว่า” กฤษณาพูด ส่วนชลาธลได้แต่เดินตามตาค้างๆ ทั้งสองเดินดูบริเวณบึงโดยรอบ พวกเขาเดินตัดผ่านสะพาน ดูพิพิทธภัณฑ์สัตว์น้ำกันอีกครั้ง สวนสมเด็จฯ ทั้งสองเดินไปรอบๆพลางสงยิ้มให้กัน มือที่ประสานกันแน่นเหมือนจะบอกแก่กันและกันว่าจะไม่มีอะไรมาพรากพวกเขาให้ขาดจากกันได้
“อืม เดินดูหมดแล้วละ จะไปดูอะไรกันอีกดี” กฤษณาถาม ชลาธลหันมามอง
“แล้วนายอยากไปที่ไหนหรือเปล่าละ” ชลาธลถามบ้าง กฤษณายิ้ม
“แค่มีนายอยู่ข้างๆแค่นี้เราก็พอแล้ว” กฤษณาตอบ ชลาธลเบ้ปาก
“แหม มันก็ต้องมีสักที่ที่นายอยากไปบ้างสิ” ชลาธลพูด กฤษณาก็ทำท่าคิด พลันเขาก็นึกอะไรออก
“อืม เราอยากไปฐานลับของนายอีกอะ” กฤษณาพูด ชลาธลหัวเราะเบาๆ
“งั้นคงต้องเปียกกันหน่อยละ” ชลาธลกล่าว และโดยที่ไม่รอช้า ทั้งสองรีบนั่งรถกลับไปที่วัด จากนั้นทั้งสองจึงเดินลัดเลาะไปยังบึง บรรยากาศโดยรอบนั้นชวนให้ทั้งสองรำลึกถึงความหลังที่ทั้งสองเคยประสบร่วมกัน
“อืม วันที่นายช่วยเราจากตะเข้นะ เราเห็นนายนั่งอยู่ตรงพุ่มไม้นะ นายทำอะไรหรอ” กฤษณาถาม ชลาธลยกไหล่
“ก็ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่หาของป่าธรรมดานะ เอาไปให้หลวงตาท่านเขา” ชลาธลพูด


“นายมาที่บึงนี่บ่อยหรอ” กฤษณาถาม ชลาธลพยักหน้า
“อืม ก็บ่อยแหละ ฐานลับเราอยู่ที่นั่นนี่นา” ชลาธลตอบ กฤษณาพยักหน้า
“แปลกนะ เราเองก็มาออกจะบ่อย แต่ไม่ยักกะเจอนายเลย” กฤษณาทัก ชลาธลก้มหน้าเล็กน้อย
“อืม ก็ พอเราเห็นนายเราก็รีบหนีกลับไปที่วัดไง” ชลาธลตอบ กฤษณาเบ้ปาก
“โห ไมละ ถ้างั้นเราน่าจะได้รู้จักกันตั้งนานแล้วสิ” กฤษณาพูด ชลาธลยิ้มแห้งๆ
“ตอนนั้นเรากลัวนี่นา เรากลัวว่านายก็คงจะเหมือนคนอื่นๆที่เห็นเราเป็นตัวประหลาด” ชลาธลตอบพลางมองหน้า กฤษณาถอนหายใจเบาๆ
“เรายอมรับนะ ตอนแรกที่เห็นนายเราเองก็อดคิดไม่ได้เหมือนกันว่านายนะประหลาด ชอบทำตัวเงียบๆ แต่ตอนนี้นายคือคนสำคัญที่สุดในชีวิตของเราตอนนี้เลย” กฤษณาตอบ ชลาธลถึงกับยิ้มอย่างเขินๆ ทั้งสองเดินมาถึงบึงในเวลาต่อมา
“อืม แล้วเทียนระเบิดน้ำไม่มีแล้วหรอ” กฤษณาถาม ชลาธลส่ายหัว
“มันไม่ใช่ของที่จะทำกันได้ง่ายๆนะ การทำก็ค่อนข้างจะยุ่งยาก มีอยู่ไม่กี่คนที่รู้ แต่ไม่ต้องห่วงหรอกนะ มันไม่นานหรอก” ชลาธลตอบ กฤษณาพยักหน้าก่อนที่ทั้งสองจะถอดเสื้อออก กฤษณาใส่กางเกงในเอาไว้ แต่ชลาธลเลือกไม่ถอดกางเกงออก ชลาธลเดินนำลงไปพลางหันหลังให้
“ขี่หลังเราไปแล้วกัน” ชลาธลพูด กฤษณาพยักหน้าพลางยืนเอาอกแนบไปกับร่างของชลาธล มือก็คล้องคอของเขาไว้หลวมๆ
“พอเรานับสามแล้วกลั้นหายใจเลยนะ” ชลาธลตอบ กฤษณาพยักหน้า ทั้งสองเดินลงไปในน้ำจนกระทั่งระดับน้ำนั้นสู้เกือบจะเลยอกของกฤษณาไปแล้ว
“พร้อมนะ หนึ่ง สอง สาม” ชลาธลนับอย่างช้าๆ กฤษณาสูดหายใจเข้าเต็มปอด พลันเสียงน้ำแตกกระจายก็ดังออก กฤษณาต้องหลับตาเพราะกระแสน้ำที่วิ่งฝ่าทำให้เขาลืมตาแทบจะไม่ขึ้น แต่ร่างกายของเขาก็สัมผัสได้ถึงแรงต้านของน้ำ กฤษณาเกาะร่างของชลาธลเอาไว้แน่น เขากลั้นหายใจอย่างสูดกำลัง แต่มันก็เกือบจะสุดลมหายใจของเขาอยู่แล้ว
“บุ๋ม บุ๋ม” กฤษณาเผลอปล่อยอากาศเฮือกสุดท้ายของเขาออกไป แต่แล้วกระแสน้ำก็หยุดลง โดยที่กฤษณาไม่ทันตั้งตัว ปากของเขาเหมือนมีบางอย่างมาประทับไว้ อากาศบางส่วนถูกดันเข้ามาในปากของเขา กฤษณาลืมตาช้าๆ ชลาธลจูบที่ปากของกฤษณาเพื่อให้อากาศกับเขา ชลาธลไม่ปล่อยให้เวลาเสียเปล่า เขาจับตัวของกฤษณาว่ายฝ่ากระแสน้ำไปไม่นานนักกฤษณาก็ถูกลากเข้าไปในถ้ำสีทอง ทันทีที่กฤษณาเข้ามาเขาถึงกับล้มแผ่หราหายใจหอบ
“กฤษ เป็นอะไรหรือเปล่า” ชลาธลถามด้วยความเป็นห่วง กฤษณานอนหอบหายใจอย่างแรงแต่ก็ส่ายหัวไปมา
“มะ ไม่ แฮ่ก เป็น แฮก ไร” กฤษณาตอบอย่างยากลำบาก ชลาธลตีสีหน้าสำนึกผิด
“เราขอโทษนะ คือ ตอนนายเกาะเราว่ายไม่สะดวกเท่าไหร่อะ” ชลาธลพูดหน้าแดงก่ำ กฤษณาเหลือบไปมองพลางยิ้ม
“อะนะ แหม ทำหยั่งกับไม่เคยเห็น” กฤษณาพูด ชลาธลนั้นแก้มแดงแจ๋ราวลูกมะเดื่อเลยทีเดีย
“กะ ก็ แบบ ของ นายมัน ถูอยู่ข้างหลัง เราก็ อืม โด่อะดิ” ชลาธลพูดพลางหลบตาของกฤษณาด้วยความเขินอาย กฤษณายิ้ม
“นายไม่ใส่กางเกงในเลยหรอ” กฤษณาถาม ชลาธลส่ายหัว
“ก็ หลวงตาไม่ใส่ เราก็ อืม ไม่ใส่” ชลาธลตอบ กฤษณาค่อยๆเอามือยันตัวเองลุกขึ้นพลางยื่นหน้าเข้าไปใกล้
“หลวงตาเรียก” ชลาธลสะดุ้ง กฤษณาเองก็ตกใจไม่แพ้กัน ชลาธลจับมือของกฤษณาไว้พลางรีบวิ่งไปที่ปากถ้ำ กฤษณากลั้นหายใจแล้วชลาธลก็รีบกระโจนว่ายฝ่าผิวน้ำออกไปทันที ชั่วพริบชลาธลก็พากฤษณาโพล่ขึ้นเหนือน้ำ ชลาธลแบกกฤษณาขึ้นบ่าทันที
“เรื่องด่วนมาก ขอโทษทีนะ” กฤษณาพูดพลางรีบออกวิ่งไปทันที แต่พอโผล่พ้นป่าออกมาเท่านั้น กฤษณาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องระงม
“ตะเข้ยักษ์บุก” เสียงคนตะโกน กฤษณาตาลุกเล็กน้อย แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไร ชลาธลก็แบกร่างของเขากระโจนกลับไปที่วัดทันที
“ไอ้กฤษ โขนรามมันบุก” หลวงตายุทออกมาพูดหน้าตื่นๆ ชลาธลวางร่างของกฤษณาลงที่พื้น
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดด” เสียงร้องดังขึ้น ทั้งกฤษณาและชลาธลต่างหันไปมอง จระเข้ตัวนึงกำลังเดินฉับๆอย่างรวดเร็วไปที่ผู้หญิงคนนึง และกฤษณาก็จำได้ดีเพราะเธอคือจิ๋วนั่นเอง
“จิ๋ว” กฤษณาร้อง ชลาธลไม่รอช้าเขาก้าวกระโดดอย่างเร็วไปที่จระเข้ตัวนั้นพลางลากหางของมันด้วยแขนทั้งสองข้างของเขา
“หนีไปเร็ว” ชลาธลร้อง จิ๋วได้แต่นั่งมองตาค้างๆ ขาของเธอสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว จระเข้ยักษ์สะบัดหางไปมาอย่างแรงจนร่างของกฤษณากระเด็นลอยออกไป เจ้าจระเข้ไม่รอช้าเดินฉับๆอย่างรวดเร็ว
“กรวม” ปากของมันงับร่างของชลาธลอย่างแม่นยำ
“อั๊ก” ชลาธลกระอักเลือกออกมาเล็กน้อย ร่างของเขาเริ่มมีเลือดซึมออกมา เจ้าจระเข้ยักษ์สะบัดหัวของมันไปมาเพื่อกระชากแผลของชลาธลให้เปิดกว้างขึ้น
“ไม่ได้การ ไอ้ธลมันอยู่ในร่างมนุษย์ความแข็งแกร่งมันไม่พอ” หลวงตายุทธพูด กฤษณามองดูชลาธลโดนสะบัดร่างไปมากลางอากาศ เขารีบคว้าเอากิ่งไม้ ก้อนหินแถวนั้นแล้วระดมขว้างไปที่จระเข้ตัวใหญ่นั่น
“เฮ้ย ทางนี้เว้ย” กฤษณาขวางหินใส่ไม่หยุด เจ้าจระเข้เหลือบตามามอง
“กฤษ หนีไป อ๊อก” ชลาธลส่งเสียงร้องแต่เจ้าจระเข้กลับกดปากของมันแรกขึ้น มันจ้องมาที่กฤษณาตาเขม็ง แววตาสีเหลืองน่าสะพรึงกลัวเหมือนจะสะกดไม่ให้กฤษณาขยับไปไหนได้ เจ้าจระเข้วิ่งเข้าใส่กฤษณาอย่างรวดเร็ว กฤษณาพยายามจะวิ่งหนีแต่จระเข้ที่แม้จะดูอุ้ยอายแต่การเคลื่อนไหวของมันนั้นไม่ได้สัมพันธ์กับร่างเลย มันก้าวขาอย่างเร็วพุ่งเข้าใส่กฤษณา
“อย่านะว้อยยย” ชลาธลร้องคำราม ร่างของเขาเปล่งแสงสีแดงออกมา อักขระวิ่งไปทั่วร่าง
“ไอ้ธล” หลวงตายุทธร้อง ชลาธลเอาแขนจับปากของโขนรามไว้พลางใช้แรงของเขาที่มีแยกมันออกจากกัน โขนรามพยายามจะงับปากเอาไว้แต่แรงของชลาธลนั้นมีมากกว่า ชลาธลแยกปากของโขนรามออกมาพลางดันตัวเองขึ้น ชลาธลกระโดดลงมายืนข้างๆกฤษณา ผิวของเขาเริ่มคืนสภาพกลับเป็นจระเข้ เล็บที่งอกยาว ฟันมีเขี้ยวแหลมเต็มปาก และแววตาที่เป็นสีเหลืองน่าสะพรึงกลัว เจ้าโขนราววิ่งเข้าใส่ชลาธลทันที ชลาธลก้มลงลอดเข้าไปใต้ปากยาวยื่นของโขนราม พลางเอาหลังดันปากล่าง เจ้าจระเข้หงายท้องขึ้นทันที ฉับพลันนั้นเองชลาธลก็โถมตัวเข้ากอดท้องของโขนรามเอาไว้ เขาโอบโขนรามไว้แน่นพลางร้องเสียงดัง
“ย๊ากกกกก” ชลาธลเริ่มเหวี่ยงร่างของเจ้าจระเข้ยักษ์ไปข้างตัว เขาหมุนตัวไปรอบๆมือก็โอบร่างของโขนรามไว้แน่น ชลาธลหมุนตัวไปรอบแรงเหวี่ยงก็ค่อยๆมากขึ้นไปตามลำดับ
“ท่านั่นมัน ไจแอนท์สวิง นี่” ชายคนนึงร้องขึ้น แม้ว่ากฤษณาเองจะไม่เข้าใจเท่าไหร่ว่ามันคืออะไร แต่ชลาธลหมุนตัวเร็วขึ้นๆ และเขาก็ปล่อยร่างของจระเข้ยักษ์ลอยขึ้นฟ้าไป
“ตู้ม” ร่างของโขนรามตกลงสู่ผิวน้ำเสียงดัง เจ้าโขนรามรีบว่ายน้ำหนีหัวซุกหัวซุนทันที ชลาธล หอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน เขาเดินเข้าไปหาจิ๋วที่นั่งตาแป่วพลางยื่นมือส่งให้
“เป็นอะไรหรือเปล่า” ชลาธลถาม
“ยะ อย่าเข้ามานะ” จิ๋วพูดพลางถอยตัวหนี ชลาธลก้มมองดูร่างของตน อักขระสีแดงยังส่องแสงอยู่ ผิวหนังที่เป็นตะปุ่มตะป่ำ เล็บที่งอกยาวโง้ง ดวงตาสีเหลืองดุดัน เขาพลันลืมนึกไปว่าเขาไม่ได้อยู่ในร่างของมนุษย์อยู่ตอนนี้ ชลาธลมองไปรอบตัว ผู้คนต่างจ้องมองเขาตาลุกวาว
“โป้ก” หัวของชลาธลโดนอะไรบางอย่างกระแทกเข้าที่หัวของเขา ชลาธลหันไปมองชายคนนึงยืนจ้องหน้าเขา
“แกเป็นพวกเดียวกับมันนี่” ชายคนนั้นร้อง เสียงผู้คนเริ่มส่งเสียงร้องเซ็งแซ่
“กลับไป กลับไปนะ” ชายอีกคนตะโกนพลางขว้างปาข้าวของใส่ คนอื่นๆก็ทำตามไม่ต่างกัน ทุกคนล้วนแต่เขวี้ยงปาทุกอย่างที่อยู่ใกล้ตัวใส่ชลาธล ชลาธลได้แต่ยืนปัดป้องอยู่อย่างนั้น
“จับมันไว้” ชายคนนึงพูดขึ้นพลางเหวี่ยงเชือกของเขามัดร่างของชลาธลเอาไว้
“เฮ้ย พวกเอ็งทำอะไรวะ” หลวงตายุทร้องห้าม
“มันเป็นจระเข้นะหลวงตา หลวงตาปล่อยให้มันเผ่นพ่านอยู่ในวัดได้ยังไงกัน” ชายคนนึงร้องตะโกน
“มันมีรูปร่างเหมือนจระเข้ก็จริง แต่มันก็ยังช่วยพวกเอ็งนะ” หลวงตายุทแย้ง
“ใช่สิ แล้วมันจะได้จับเด็กๆเรากินทีหลังไงละ” ชายอีกคนใส่ร้าย
“พูดบ้าๆ ธลเขาไม่ทำแบบนั้นหรอก” กฤษณาเริ่มช่วยเถียงอีกแรง
“พวกเอ็งใจเย็นๆกันก่อนสิวะ ไอ้ธลมันไม่คิดจะทำร้ายใครหรอกน่า” หลวงตายุทพยายามเกลี้ยกล่อม แต่ทันใดนั้นชายสองคนก็จับร่างของหลวงตายุทธเอาไว้
“ผมว่าหลวงตาโดนมันลงอาคมไปแล้วละมั้ง” ชายคนนึงพูด กฤษณาตาค้าง
“เฮ้ย ทำอะไรหลวงตานะ” กฤษณาพูดขึ้น แต่เขาเองก็โดนชายร่างผอมจับไว้อีกคน
“คนพวกนั้นอยู่ใกล้มันตลอดเวลา มันต้องโดนอาคมด้วยแน่ๆ จับมันให้หมด” ชายคนนึงออกคำสั่ง ชลาธลมองดูหลวงตาและกฤษณาโดนจับมัดด้วยเชือก ชลาธลกัดฟันแน่น
“พวกเขาไม่เกี่ยวนะ พวกเขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย พวกเขาแค่โดนเราหลอกใช้เท่านั้น เขาไม่รู้เรื่องอะไรจริงๆ” ชลาธลส่งเสียงร้อง กฤษณาตาลุกวาว
“นายพูดอะไรนะ นายหลอกอะไร” กฤษณาแย้ง ชลาธลมองหน้ากฤษณาตาเศร้าๆ
“ขอโทษด้วยนะ กฤษ เราก็แค่ตีสนิทกับนายไว้เพื่อกะเข้าใกล้มนุษย์ไว้กินเวลาหิวๆเท่านั้นแหละ” ชลาธลตอบ กฤษณามองดูชลาธลพลางส่ายหัว
“นายโกหกใช่ไหม” กฤษณาพูด ชลาธลมองกฤษณาด้วยตาที่เอ่อล้นไปด้วยน้ำตา
“เรื่องเดียวที่เราโกหกก็คือที่บอกว่าเรารักนายไงละ” ชลาธลพูด กฤษณาพูดอะไรไม่ออกไปชั่วคราว
“จับไอ้เข้นั้นมัดไว้” ชายอีกคนสั่งแล้วต่างคนต่างก็รุมจับตัวของชลาธลเอาไว้
“พาหลวงตากับไอ้เด็กนั่นไปห่างๆก่อน เพื่อคาถาอาจจะคลายได้” ชายอีกคนเสนอพลางดันร่างของกฤษณากับหลวงตายุทถอยห่างออกไป
“ธล ธล” กฤษณาร้อง ชลาธลมองหน้ากฤษณาเป็นครั้งสุดท้าย เขาขยับปากไปเบาๆ ที่แม้ว่ากฤษณาจะอยู่ห่างออกไปแต่เขาก็รู้ว่าชลาธลนั้นพูดคำว่าอะไร...

“ขอโทษนะคะ” เสียงของหญิงสาวดังขึ้น ชายหนุ่มสะดุ้งเฮือกพลางหันกลับไป
“อะ อือ” ชายหนุ่มตอบ
“ฉันพึ่งคิดออกนะคะว่าพรุ่งนี้จะแวะไปตลาด จะเอาอะไรด้วยไหมคะ” หญิงสาวพูด ชายหนุ่มส่ายหัวไปมาในความมืด
“ไม่จ๊ะ ขอบใจนะ” ชายหนุ่มตอบพลางถอนหายใจยาว เขาเอาหน้าซุกเข้ากับหมอนเพื่อเช็ดรอยคราบน้ำตาที่มันกำลังจะเอ่อล้นออกมา

wee

  • บุคคลทั่วไป
Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
«ตอบ #45 เมื่อ09-01-2007 22:38:44 »

มนุษย์นี่ช่างโหดร้ายจัง....
แล้วจะได้เจอชลาธลอีกไหมเนี่..ย...เฮ้อ
 :monkeysad: :monkeycry2:

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
«ตอบ #46 เมื่อ10-01-2007 12:37:40 »

นิสัยมนุษย์ก็เป็นแบบนี้แหละ โหดร้ายเสมอ

แล้วจะเป็นยังไงต่อเนี่ย  :serius2:  :serius2:

meemewkewkaw

  • บุคคลทั่วไป
Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
«ตอบ #47 เมื่อ10-01-2007 13:03:19 »

ฮือๆๆๆๆๆ ง่าๆๆๆๆๆ . . .   :monkeysad:
ไหนบอกมีแต่เรื่องหวานๆไงล่ะ
ไหงเป็นแบบนี้ :serius2:

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
«ตอบ #48 เมื่อ11-01-2007 22:50:42 »

wee  แม้จะอยู่ใกล้แค่ไหน ถ้าหากเรารักคนนั้นแล้ว เขาจะอยู่ใกล้ๆในใจเราตลอดเวลา เชื่อปะ   :untrust:

shell  คนเราก็มีทั้งส่วนดี ส่วนแย่ปะปนกันไป คงเป็นเพราะสิ่งแวดล้อมสังคมหล่อหลอมมา  :try2:

meemewkewkaw เค๊าป่าวน้า เรื่องมันไปเอง
 :3128:

*************************************

บทที่ 15

“เฮ้ย กฤษ ไปทานข้าวกัน” ชายคนนึงทักขึ้น

“อืม ไปเถอะวันนี้ท้องไม่ค่อยดี ไม่ค่อยอยากทานอะไรเท่าไหร่” ชายหนุ่มตอบ

“อ้าวหรอ เป็นอะไรมากก็ทานยานะ” ชายคนนั้นพูด ชายหนุ่มพยักหน้าก่อนที่จะหันกลับมานั่งอย่างเหม่อลอยที่โต๊ะทำงาน ใจนึงเขาก็อยากกลับไปที่พิจิตรอีกครั้ง อีกใจนึงเขาก็กลัวจะทำใจไม่ได้ว่าเขาจะทนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ล้วนแต่ชวนให้เขานึกถึงแต่อดีตที่ปวดร้าว...


ชาวบ้านจับชลาธลขังไว้ในกรงไม่ยอมให้ข้าวให้น้ำ ส่วนหลวงตายุทกับกฤษณาก็โดนคุมเข้มไม่ยอมให้ออกจากตัววัดเลย ขนาดว่าพ่อแม่ของกฤษณาเองก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าใกล้ด้วยซ้ำ

“โถ่เว้ย” กฤษณาบ่นเสียงดังอย่างเจ็บใจ เขาอยู่ได้แต่ในกุฏิเท่านั้น พ่อแม่ของเขาก็คอยส่งข้าวส่งน้ำให้ไม่ขาด แต่เขาก็ยังออกไปไหนไม่ได้อยู่ดี

“เอ็งจะบ่นไปก็เท่านั้นแหละ” หลวงตายุทกล่าวพลางนั่งสมาธิอย่างใจเย็น

“หลวงตาจะไม่ให้บ่นได้ไงละครับ นี่เขากำลังจะฆ่าธลนะ” กฤษณาพูดอย่างร้อนรน ภาพที่ชลาธลโดนจับตัวไปยังคงชัดเจนในหัวของเขา ซ้ำร้ายเขาอยู่ในวัดกับหลวงตาแบบนี้เขาไม่มีสิทธิ์รู้ข่าวใดๆเลย

“หลวงตาคุยกับธลเขาได้ไหมละครับ” กฤษณาเสนอความคิดเห็น เพราะเขาจำได้ว่าหลวงตายุทมักจะเรียกชลาธลโดยที่เขาไม่ได้ยินเสียงอยู่บ่อยๆ หลวงตายุทส่ายหัว

“คาถาเรียกจระเข้นะมันใช้ได้แค่เรียกให้จระเข้มาหาเท่านั้นแหละ ไม่ได้คุยหรอก เพียงแต่ถ้าข้าใช้คาถาแรงมากๆก็เป็นสัญญาณบอกมันว่าเรื่องใหญ่เท่านั้นเอง” หลวงตายุทกล่าว กฤษณาถอนหายใจยาวพลางทิ้งตัวลงนั่งอย่างเหนื่อยอ่อน

“เฮ้อ ทำไมธลเขาไม่หนีไปเลยนะ ปล่อยให้โดนจับง่ายๆแบบนั้นทำไมกัน” กฤษณาพูด หลวงตาส่ายหัว

“ก็เพราะว่าถ้าเขาหนีไปเฉยๆแบบนั้น คนที่จะซวยต่อมาไม่เอ็งก็ข้าไงละ” หลวงตายุทพูด กฤษณาสะดุ้งเล็กน้อย

“เขาจะหนีนะก็ได้อยู่แล้ว แต่ถ้าเขาหนีไปชาวบ้านก็จะสงสัยเราเพราะเราอยู่ใกล้กับไอ้ธลมากที่สุด ไอ้ธลมันรู้ถึงข้อนี้ดีมันถึงได้ยอมให้โดนจับไปง่ายๆแบบนั้นไงละ” หลวงตายุทกล่าว กฤษณาพยักหน้า

“งั้นที่ธลพูดแบบนั้นกับผม เพราะเขาไม่อยากให้ผมต้องลำบากใช่ไหมครับ” กฤษณาถาม หลวงตายุทพยักหน้า

“ข้าว่าเอ็งมองตามันก็รู้แล้วละมั้ง” หลวงตายุทพูดกึ่งแซว อันที่จริงกฤษณานั้นเข้าใจดีเสมอว่าที่ชลาธลพูดไปเพียงเพราะต้องการจะช่วยเหลือเขา

“เฮ้อ ไม่เห็นต้องเป็นห่วงกันขนาดนี้เลยนี่นา ถ้าทนไม่ไหวก็หนีไปด้วยกันเลยก็สิ้นเรื่อง” กฤษณาพูด

“การหนีปัญหานะมันก็ง่ายอยู่หรอก แล้วพ่อแม่เอ็งละเขาจะคิดยังไง แล้วถ้าเอ็งหนีก็ต้องมีคนตามล่า เอ็งจะต้องหนีไปอีกนานแค่ไหนกัน” หลวงตายุทพูด กฤษณาได้แต่พยักหน้ารับ

“เอาเถอะ ข้าต้องยอมรับว่าไอ้ธลเปลี่ยนไปมากเพราะเอ็งจริงๆ ถ้าเป็นแต่ก่อนมันคงเงียบๆไม่คิดจะพูดอะไรหรอก” หลวงตายุทกล่าว กฤษณาฟังพลางนึกภาพตามถึงครั้งแรกที่เขาไปเที่ยวกับชลาธล

“แฮะๆ ไม่ขนาดนั้นหรอกมั้งครับ” กฤษณาถ่อมตัว หลวงตายุทยิ้ม

“ไม่ต้องถ่อมตัวไปหรอก ความรักยังไงก็เป็นสิ่งที่เข้มแข็งที่สุดอยู่ดี” หลวงตายุทพูด

“เฮ้ย ไอ้หนู แม่มึงเอาอาหารมาให้แล้ว” ชายคนนึงเดินถือถุงอาหารเข้ามาให้ กฤษณาเดินไปรับอย่างหน้าเซ็งๆ

“หลวงตาไม่หิวหรอครับ ผมไม่เห็นหลวงตากินข้าวเย็นเลย” กฤษณาพูด หลวงตายุทขมวดคิ้ว

“พระเขาไม่ฉันท์ตอนเย็นกัน นี่เอ็งไม่รู้จริงๆหรอ” หลวงตายุทพูด กฤษณาเกาหัวแกรกๆ

“เออ ใช่ ผมลืม” กฤษณาตอบ หลวงตายุทกรอกตาไปมา

“เออ ให้มันได้งี้สิ หัดตั้งใจเรียนกับเขาบ้าง เอาแต่เที่ยวเล่นประเดี๋ยวสอบตกขึ้นมาจะยุ่งกันใหญ่” หลวงตายุทเตือน กฤษณาพยักหน้าพลางยิ้มแห้งๆ

“งั้นผมไม่กินดีกว่า ทานไปก็ไม่อร่อย” กฤษณาตอบ หลวงตายุทส่ายหัว

“เอ็งเป็นพระหรือไงวะ เป็นเด็กเป็นเล็กกินๆเข้าไปเถอะจะได้โตไวๆ อีกอย่างถ้าเอ็งอยากจะช่วยไอ้ธลด้วยละก็” หลวงตายุทพูด กฤษณามองหน้า

“ช่วยธล” กฤษณาถามอย่างสงสัย

“คืนนี้ ข้าคงต้องพึ่งแรงเอ็งหน่อยละ” หลวงตายุทพูด กฤษณาตาโตขึ้นมา

“นะ นี่หลวงตา...”

“ชูว์ เบาๆสิ เดี๋ยวก็ความแตกกันพอดีหรอก” หลวงตายุทห้าม กฤษณาเอามือปิดปากเอาไว้ทันที

“คุยตอนนี้ไม่ค่อยสะดวก เอาไว้ข้าจะอธิบายให้ฟังทีหลัง” หลวงตายุทกระซิบ กฤษณาก็พยักหน้ารับ

“เอ้า กินข้าวไปเยอะๆ เดี๋ยวต้องใช้แรงอีก” หลวงตายุทกล่าว กฤษณายิ้ม

“ขอบคุณนะครับหลวงตา” กฤษณาพูด หลวงตายุทส่ายหัว

“ยังไม่รู้เลยจะได้ผลไหม ยังไม่ต้องรีบขอบคุณข้าไปหรอก” หลวงตายุทกล่าว กฤษณาพยักหน้ารับ

“รอหน่อยนะธล เราจะไปช่วยนายแล้ว” กฤษณาคิดอย่างตื่นเต้น ตกเย็นวันนั้นหลวงตายุทพากฤษณาไปที่ห้องเก็บหอกสัตตะโลหะ

“ข้าจะให้เอ็งนั่งสมาธิอยู่ที่นี่จนกว่าจะเที่ยงคืน แล้วถึงตอนนั้นข้าจะอธิบายส่วนที่เหลือ” หลวงตายุทกล่าว กฤษณานั้นยังไม่เข้าใจนักแต่เขาก็นั่งสมาธิตามที่หลวงตายุทกล่าวไว้ แต่อย่างไรก็ตามกฤษณาไม่สามารถจะตั้งสมาธิไว้ได้เลยเพราะในใจของเขามีแต่เรื่องของชลาธลอยู่เต็มไปหมด

“นั่งนิ่งๆสิ” หลวงตาดุ กฤษณาพยายามตั้งสมาธิไปที่ลมหายใจแต่ประเดี๋ยวประด๋าภาพของชลาธลก็ลอยเข้ามา กฤษณาเริ่มกระสับกระส่ายไปมา

“หลวงตาผมทำไม่ได้หรอก” กฤษณาพูด หลวงตาขมวดคิ้ว

“ถ้าเอ็งอยากจะช่วยไอ้ธลมัน เอ็งต้องทำให้ได้ ตั้งสมาธิเอาไว้” หลวงตากำชับอีก กฤษณาถอนหายใจเบาๆพลางพยายามตั้งสมาธิให้แน่วแน่ที่สุด เขาตั้งสมาธิไปที่ลมหายใจเข้าออก ทุกครั้งที่เขาหายใจเข้า เขาจะคิดว่า พุท และทุกครั้งที่หายใจออก เขาจะนึกว่า โธ กฤษณาตั้งจิตอย่างแน่วแน่เมื่อใดที่มีภาพของชลาธลลอยมาเขาจะพยายามกลับไปที่ลมหายใจอีกครั้ง

“เอาละ พอแล้ว” หลวงตายุทพูด กฤษณาลืมตาขึ้นเขามองเห็นหลวงตาถือเทียนเล่มนึงไว้ในมือ หลวงตายิ้ม

“ถ้าบอกว่าทำเพื่อไอ้ธลนี่เอ็งทำได้ทุกอย่างจริงๆ มาเถอะได้เวลาแล้ว” หลวงตายุทกล่าว กฤษณาพยักหน้า แล้วหลวงตายุทก็เดินหันหลังไปที่ตู้หนังสือ หลวงตายุทวางเทียนไว้ข้างๆ

“มาช่วยข้าดันไอ้นี่ออกไปหน่อย” หลวงตายุทกล่าว กฤษณาก็รี่เข้าไป หลวงตายุทและกฤษณาออกแรงพลักมันไป

“ครืดดด” เสียงตู้ที่ลากไปกับพื้นดังขึ้น กฤษณาสะดุ้งเล็กน้อย

“ไม่ต้องห่วงหรอก ยามมันแอบหลับอยู่” หลวงตายุทกล่าว กฤษณาพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ

“พลักอีกนิดนึงนะ” หลวงตายุทกล่าว กฤษณาพยักหน้าพลางออกแรงพลักตู้ออกไปอีกราวๆครึ่งเมตร หลวงตายุมก้มลงพลางเอาเทียนส่งไปที่พื้น มือของหลวงตายุทก็ลูบไปตามพื้นอย่างช้าๆราวกับกำลังมองหาอะไรสักอย่างนึงอยู่

“เจอละ” หลวงตายุทร้อง เขาวางเชิงเทียนไว้ข้างกายพลางเอามือวางที่พื้นแล้วออกแรงดัน

“ครืดดดด” เสียงของพื้นห้องเลื่อนถอยออกไปปรากฏเป็นช่องลับ กฤษณามองดูตาค้างๆ

“นี่เป็นช่องลับที่ไอ้ไกรทำไว้เวลาหนีเมียมันมา ไม่คิดเหมือนกันว่าจะมีประโยชน์ตอนนี้” หลวงตายุทพูด พลางหันมาหากฤษณา

“เอาละ ฟังให้ดีนะ ข้าจะให้เอ็งเข้าไปช่วยไอ้ธลมัน ตอนนี้ไอ้ธลโดนจับมัดอยู่ที่สถานีตำรวจ เอ็งต้องหาทางเข้าไปหามันให้ได้ แล้วให้มันดื่มน้ำนี่ เอ็งก็ดื่มด้วย เสร็จแล้วบอกให้ไอ้ธลบอกข้า มันรู้ว่ต้องทำยังไง แล้วข้าจะเดินคาถานิทราสลายฝัน” หลวงตายุทกล่าวพลางส่งขวดน้ำให้กฤษณา กฤษณาทำสีหน้างง

“นิทราสลายฝัน” กฤษณาย้ำ หลวงตาพยักหน้า

“เป็นคาถาลบความทรงจำนะ มันจะทำให้ทุกคนในระแวกหลับและเมื่อตื่นขึ้นมาความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องที่ไอ้ธลเป็นจระเข้ก็จะหายไป แต่ถ้าใครดื่มน้ำมนต์นี้คาถาก็จะใช้ไม่ได้ผล” หลวงตายุทพูด กฤษณาทำตาลุกวาวทันที

“โห หลวงตาแล้วทำไมไม่ใช้แต่แรกละครับ” กฤษณาถาม หลวงตายุทส่ายหัว

“คาถานี้ต้องใช้เวลา และเวลาที่ดีที่สุดก็คือ สองยาม บวกกับต้องใช้ควันสมุนไพรด้วย การจะเตรียมตัวยาก็ต้องใช้เวลานานแล้ว ข้าเองก็คิดไว้เหมือนกันว่าถ้าสักวันเหตุการณ์แบบนี้มันเกิดขึ้นข้าคงต้องหาทางทำอะไรสักอย่าง ข้าเลยให้ไอ้ธลไปเก็บสมุนไพรเอาไว้ ตอนนี้เห็นทีว่ามันจะไม่ใช่แค่รากไม้เก่าๆเสียแล้ว” หลวงตายุทพูด กฤษณาพยักหน้า

“รีบไปเถอะ ยังไงก็ระวังตัวด้วย แต่ข้ามั่นใจว่าเอ็งต้องทำได้” กฤษณาพยักหน้าพลางจะไต่ลงไปในช่อง

“เดินลงไปแล้วตรงไปเรื่อยๆนะ ถ้าเอ็งเห็นแสงนั้นคือทางออก” หลวงตายุทกล่าว กฤษณาพยักหน้ารับ

“ไปเร็ว” หลวงตาสั่ง กฤษณาหย่อนตัวลงไปในช่องนั่นทันที เขามองทางข้างหน้านั้นแทบจะไม่เห็นเอาเลย กฤษณาเอามือกวาดไปรอบๆเขาก็ไม่พบอะไร กฤษณาสูดหายใจลึกก่อนจะเดินดุ่มๆไปตามทางเรื่องๆ เขาเดินพลางกวาดมือไปรอบๆ แล้วมือของเขาก็แตะกับอะไรบางอย่างเหมือนเป็นกำแพง กฤษณาตัดสินใจเดินเลียบไปตามกำแพงอย่างช้าๆ เขามองไม่เห็นทางข้างหน้าหรืออะไรทั้งนั้นเลย

“ไม่ได้ เราจะกลัวไม่ได้ ธลกำลังรอเราอยู่นะ” กฤษณาพูดพลางตั้งหน้าตั้งตาเดินต่อไป เขาเดินไปสักพักเขาก็พบแสงเรืองๆอยู่ตรงหน้า กฤษณาไม่รอช้าเขารีบก้าวยาวไปยังแสงนั่น กฤษณาเงยหน้ามองขึ้นไป เขาก็พบกับตะแกรงเหล็กขวางเอาไว้ กฤษณาเอามือดันมันอย่างช้าๆ ตะแกรงก็ค่อยๆเปิดออก กฤษณาเอาขาถีบกำแพงพลางเอามือจับที่ขอบหลุมเอาไว้ เขาดันตัวเองขึ้นมาอย่างไม่ยากเย็นนัก กฤษณามองไปรอบๆตัวแล้วเขาก็พบว่าตอนนี้เขาอยู่ที่หลังวัดเรียบร้อยแล้ว กฤษณาไม่รอช้าเขาเดินก้มตัวอย่างเงียบกริบพลางมองไปรอบๆตัวอย่างระแวดระวัง ก่อนจะค่อยๆย่องออกจากบริเวณวัดไป สถานีตำรวจนั้นอยู่ไกลจากวัดไปพอสมควรเหมือนกัน แต่กฤษณาก็ไม่ได้ย่อท้อเขาพยายามรีบวิ่งไปให้เร็วที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ บางครั้งเขาก็ต้องคอยหลบคนที่เดินสวนไปมา แต่ความมืดนั้นก็พอจะช่วยอำพรางร่างของเขาได้บ้าง กฤษณาเดินดุ่มๆจนมาถึงสถานีตำรวจ ซึ่งเขาต้องตกใจเพราะมีคนยืนคุมทางเข้าอยู่อย่างหนาแน่น แถมโดยรอบยังมีสายสินจ์พันจนทั่ว กฤษณารู้สึกเป็นห่วงชลาธลขึ้นมาอย่างจับใจ

“รอก่อนนะธล เดี๋ยวเราจะหาทางช่วยนายให้ได้เลย” กฤษณาคิดอย่างมุ่งมั่นพลางมองไปรอบๆตัว เขาก็พบเศษกระป๋องน้ำ ถุงขนม เปลือกกล้วย แล้วกฤษณาก็ได้ความคิด เขาหยิบเอากระป๋องน้ำกับเปลือกกล้วยขึ้นมา กฤษณาจ้องไปที่ยามหน้าประตูคนนึงเขากำกระป๋องน้ำไว้แน่นแล้วเขาก็ขว้างไปสุดแรง

“โป้ก” กระป๋องน้ำหล่นใส่หัวของยามคนนั้นพอดี

“โอ๊ย ใครวะ” ยามคนนั้นร้อง

“มีอะไรวะ” ยามอีกคนร้องขึ้นบ้าง

“แม่ง ใครไม่รู้ขว้างขวดน้ำใส่กู” ยามคนเดิมบ่น

“เฮ้ ลุง เจ็บหรือเปล่า” กฤษณาร้องตะโกน ยามทั้งสองคนหันมาจ้องเขา

“เฮ้ย มึงขว้างกระป๋องใส่กูหรอวะ” ยามคนนั้นถามกลับ กฤษณาพยักหน้า

“ครับ แม่นไหมลุง” กฤษณายอกย้อน

“ปากดีนัก เดี๋ยวดูสิว่าถ้าปากแตกแล้วยังจะพูดอะไรได้อีกไหม” ยามสองคนนั้นไม่พูดปล่าวพลางวิ่งตรงเข้ามาหาทันที กฤษณายิ้มพลางโยนเปลือกกล้วยลงไปที่พื้น ยามสองคนมัวแต่มองไปที่กฤษณาจึงไม่ทันสังเกตเห็น ยามคนนึงเหยียบเข้าที่เปลือกกล้วย เขาลื่นล้มลงทันที มือก็คว้าชายเสื้อของเพื่อนเอาไว้ ฝ่ายอีกคนที่โดนคว้าเสื้อหน้าก็ทิ่มลงพื้นทันที คางของเขากระแทกพื้นสลบไสล ส่วนยามอีกคนก็หัวกระแทกกับพื้นไม่ได้สติเช่นเดียวกัน กฤษณายกมือเป็นเชิงขอโทษ

“อโหสินะลุง” กฤษณาพูดพลางรีบเข้าประตูไป พอเขาเข้าไป เขาก็รีบหลบข้างกำแพงทันที มีตำรวจเดินตรวจตราอยู่สองสามคนข้างใน กฤษณาใจเต้นแรง

“ช่วยด้วยค่าาา มีคนกำลังจะข่มขืน ช่วยด้วยค่าา” กฤษณาดัดเสียงให้แหลมสูงพลางร้องตะโกน ตำรวจสองสามคนนั้นได้ยินก็รีบวิ่งออกไปทันที กฤษณาก้มตัวหลบอยู่หลังประตูอย่างทันท่วงทีก่อนที่เขาจะรีบเข้าไปข้างในอย่างรวดเร็ว สถานีตำรวจไม่ได้มีขนาดใหญ่มากนัก แต่การจะตามหาชลาธลนั้นคงจะไม่ใช่เรื่องง่าย

“แล้วจะเริ่มจากไหนก่อนดีเนี่ย” กฤษณาถามตัวเองอย่างสับสน แต่พลันเขาก็เหลือบไปเห็นห้องข้องนึงที่มีเชือกผูกระโยงระยางเอาไว้ กฤษณาแทบไม่ต้องคิดเลยว่านั่นต้องเป็นที่ที่เขาจับชลาธลไว้แน่ๆ กฤษณาเดินตรงไปยังห้องขังนั่น กฤษณาแทบจะหยุดหายใจ ชลาธลโดนจับขึงห้อยต่องแต่ง บาดแผลโดนเขี่ยนเต็มร่างของเขาไปหมด เลือดไหลซิบๆเป็นทางตามตัว ใบหน้าเขียวช้ำจากการโดนทำร้าย แถมเนื้อตัวของเขายังมีรอยไหม้เป็นด่างดวงทั่วตัวไปหมด

“ธล” กฤษณาพูดพลางน้ำตาจะไหล ชลาธลค่อยๆเงยหน้าขึ้นมาช้าๆ

“กะ กฤษ” ชลาธลพูดด้วยเสียงที่แหบแห้ง กฤษณารีบเข้าไปประชิดลูกกรงทันที

“ธล นี่ มันทำอะไรกับนายเนี่ย” กฤษณาพูด ชลาธลแทบจะไม่เชื่อสายตาว่ากฤษณานั้นอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว

“กะ กฤษ นะ นาย แค่ก แค่ก” ชลาธลไอแห้งๆ กฤษณาเขย่าลูกกรง

“บ้าเอ้ย นายพังมันออกมาได้ไหม” กฤษณาถาม ชลาธลส่ายหัว

“มะ ไม่ได้ มันลงอาคมแปลกๆไว้” ชลาธลพูด กฤษณาเริ่มเอาเท้าทีบลูกกรงเสียดังเคร้งๆ

“นะ นายมาทำอะไรที่นี่นะ” ชลาธลถาม

“มาช่วยนายไง จริงสิ นายบอกหลวงตาทีว่าเราเจอนายแล้ว” กฤษณาพูด

“กฤษ ระวัง” ชลาธลร้อง กฤษณาหันหลังกลับไป ชายคนนึงต่อยกฤษณาเข้าที่ท้องเต็มแรง กฤษณาจุกจนพูดอะไรไม่ออก เขาก้มลงตัวคดคุดคู้ก่อนที่จะสลบไป

“เผามัน เผามัน เผามัน เผามัน...” เสียงโหร้องเซ็งแซ่ดังขึ้น กฤษณาค่อยๆลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ แล้วเขาก็พบว่าเขาไม่ได้อยู่ที่สถานีตำรวจแล้ว กฤษณาพยายามขยับตัวแต่ร่างของเขาก็ถูกมัดไว้อย่างแน่นหนา กฤษณามองไปรอบๆ แล้วเขาก็พบยามคนนึงที่หัวของเขาปูดบวม กฤษณาจำหน้าเขาได้ดี เขาคือยามที่กฤษณาปากระป๋องใส่นั่นเอง

“ตื่นแล้วหรอไอ้หนู” ยามคนนั้นพูดเสียงน่าสะพรึงกลัว กฤษณากลืนน้ำลายเล็กน้อยพลางมองไปตรงหน้า เขาพบร่างของชลาธลโดนมัดอยู่กับเสา ที่ใต้ขาของเขามีฟางกองไว้สุมหนา

“เผามัน เผามัน เผามัน เผามัน...” เสียงของคนดูที่มุงอยู่รอบๆโห่ร้องกึกก้อง

“ธล” กฤษณาร้องตะโกน

“แม่งหนังเหนียวชิบ มีดดาบอะไรก็ฆ่ามันไม่ตายสักที หมอเลยบอกว่าต้องเผา” ยามคนนั้นพูด กฤษณาเริ่มดิ้นไปมา

“ปล่อยนะ” กฤษณาคำราม ยามคนนั้นกลับยิ้มแสยะให้

“มึงดูมันตายจากตรงนี้นะดีแล้วละ” ยามคนนั้นพูด กฤษณากัดฟันแน่น

“ทำไมต้องทำกับเขาแบบนั้นด้วยละ เขาไม่เคยทำอะไรผิดนี่นา” กฤษณาแย้ง

“ไม่ผิดหรอ มันเป็นจระเข้นะ มึงยังไม่เคยเห็นสิ จระเข้ที่มันกินคนเป็นๆนะ สัตว์อย่างมันนะไม่มีหัวใจหรอก มันเลือกแต่จะกินอย่างเดียวเท่านั้น ถ้าเราไม่ฆ่ามัน มันนั่นแหละที่จะฆ่าเรา” ยามคนนั้นตอบกลับมา

“แล้วถ้ามันไม่ฆ่าเราละ เราจะยังต้องฆ่ามันอีกหรอก” กฤษณาย้อนอีก

“มันก็ต้องตัดไฟแต่โคนต้นลมสิ” ยามคนนั้นตอบ กฤษณากัดฟันแน่น

“มัน...” กฤษณายังไม่ทันพูดอะไรก็มีเสียงนึงดังขึ้นมา

“ขอร้องละคะ” กฤษณาหันไปมอง จิ๋วยืนอยู่ตรงหน้าของชลาธล กฤษณาตาค้างเล็กน้อย

“เขาไม่เคยทำอะไรไม่ดีไม่ใช่หรอคะ แล้วทำไมเราต้องทำกับเขาแบบนี้ด้วย” จิ๋วพูด

“ก็มันเป็นจระเข้ มันจะมากินลูกหลานเรา” ชายคนนึงร้อง

“แล้วทีเราเอาหนังลูกหลานจระเข้มาทำกระเป๋าบ้าง เอาเนื้อมันมากินนี่มันต่างกันไหมละคะ” จิ๋วย้อน

“แต่มันทำร้ายมนุษย์” หญิงคนนึงตอบ

“แล้วที่เราทำอยู่นี่เขาเรียกว่าอะไรคะ ไม่ใช่ทำร้ายเหมือนกันหรอ” จิ๋วแย้งอีก

“เราก็แค่ป้องกันตัว” ชายอีกคนพูดบ้าง

“ป้องกันตัวจากอะไรคะ ฉันก็ไม่เห็นว่าเขาจะทำอะไรให้ใครเดือดร้อนเลยนี่คะ” จิ๋วพูดอีก

“เราจะไว้ใจมันได้ยังไงละ เดี๋ยวมันก็อาละวาดขึ้นมา” หญิงคนนึงพูดขึ้น

“ฉันไม่คิดหรอกคะว่าเขาจะทำแบบนั้น” จิ๋วพูด

“เธอมีอะไรเป็นหลักฐานละ” ยามข้างตัวกฤษณาตะโกนถาม

“ทุกคนก็เห็นนี่คะ เขามีแรงมากพอที่จะยกจระเข้ตัวใหญ่นั่นปลิวกระเด็นออกไปได้ แล้วประสาอะไรกับคนตัวเล็กๆอย่างเราจะสู้ได้ แต่เขาก็ไม่คิดจะคัดขืน ฉันถามหน่อยเถอะคะ ตอนที่คุณๆจับเขามาเนี่ย เขาดิ้นบ้างไหม เขาอาละวาดบ้างไหม เท่าที่ฉันเห็นก็คือเขาเดินตามพวกคุณไปอย่างเงียบๆ ขนาดว่าเขาโดนจับมัดขนาดนี้ ถ้าเขาจะกระชากเชือกให้ขาดเขาก็ทำได้ทำไมเขาไม่ทำ เคยคิดบ้างไหมคะ” จิ๋วพูด ผู้คนเริ่มซุบซิบนินทา

“แค่เพราะเขาเป็นจระเข้ ไม่ได้หมายความว่าเขาต้องเป็นคนไม่ดีนี่คะ ขนาดมนุษย์อย่างเรายังมีทั้งคนดีและไม่ดีเลย ฉันเองก็ว่าสัตว์อื่นๆมันก็ไม่ต่างกันหรอกคะ เขาช่วยชีวิตฉันไว้จากจระเข้ตัวนั้น สำหรับฉันแล้วเขาคือผู้มีพระคุณนะคะ” จิ๋วตอบ พลันก็มีร่างของชายหญิงสองคนเดินเข้ามา

“ผมคือ พ่อแม่ของเธอนะครับ คือ ผมอยากจะขอร้องให้ปล่อยตัวเขาไปเถอะนะครับ เขาช่วยชีวิตลูกสาวเราไว้ แล้วเราจะฆ่าเขาเพียงเพราะเขาไม่เหมือนกับคนอื่น มันไม่โหดร้ายไปหน่อยหรอครับ” พ่อของจิ๋วพูดขึ้น คนที่ยืนมุงล้อมต่างมีสีหน้าสลด

“ตะ แต่ถ้ามันเกิดอาละวาดขึ้นมาใครจะรับผิดชอบละ” ชายคนนึงถาม

“ข้าเอง” เสียงของหลวงตายุทดังขึ้น ทุกคนหันกลับไปมอง กฤษณาตาค้างเล็กน้อยเพราะคนที่พาหลวงตายุทมาก็คือพ่อแม่ของเขานั่นเอง

“ไอ้ธลนะ มีชีวิตอยู่มาตั้งแต่ข้ายังไม่เกิดด้วยซ้ำ และมันเองก็ช่วยข้าจัดการเรื่องจระเข้ตั้งหลายต่อหลายครั้ง ทั้งตอนที่ไอ้เข้มันบุกขึ้นฝั่งเมื่อสิบกว่าปีก่อนก็ได้มันช่วยดูแลให้ เท่าที่ข้ารู้มามันไม่เคยก่อเรื่องอะไรและข้าก็ไม่คิดว่ามันจะทำด้วย อย่างที่สีกากล่าวนั่นแหละ ถ้ามันคิดจะทำนะ มันทำไปนานแล้ว” หลวงตาพูด ผู้คนเริ่มมีสีหน้าสลดลง ยามข้างตัวของกฤษณาลุกขึ้นพลางเดินไปที่ชลาธล เขาคุกเข่าลงพลางหยิบเอามีดพกออกมา

“ฉั๊วะ” เขาตัดเชือกที่มัดร่างของชลาธลออก ชลาธลลงมาคุกเข่าที่พื้นพลางมองหน้า

“ขอบคุณนะ ที่ช่วยฉันกับพ่อจากจระเข้นะ” ชายคนนั้นพูด

“ตอนฉันเด็กๆ ฉันกับพ่อไปล่องเรือ แต่แล้วก็มีจระเข้เข้ามาจู่โจม ตอนแรกฉันก็คิดว่าคงไม่รอดแต่แล้วก็มีเงานึงโพล่เข้ามาไล่จระเข้นั่นไป ตอนแรกพ่อฉันบอกว่าคงเป็นเทวดามาช่วยไว้ ตอนนั้นฉันก็เชื่ออย่างนั้น แต่ตอนนี้ฉันรู้แล้วละว่าเทวดาองค์นั้นอยู่ที่นี่เอง” ยามคนนั้นตอบพลางยกมือไหว้ชลาธล

“ฉันมัวแต่คิดมองหาแต่เทวดาที่มีรัศมีสีทองล้อมกาย จนลืมมองรัศมีสีทองในใจของเธอ ขอบคุณมาก ขอบคุณจริงๆ” ชายคนนั้นพูด ชลาธลอ้ำอึ้งทำอะไรไม่ถูก

“อะ อืม คือ...” ชลาธลพูดอะไรไม่ออก เขามองไปที่กฤษณาที่โดนมัดเอาไว้ ชลาธลเดินพยุงร่างอันสะบักสะบอมของเขาไปหากฤษณา ผู้คนต่างหลีกทางให้เขา ชลาธลเดินเข้าไปใกล้พลางคุกเข่าลง แรงของเขาแทบไม่มีเหลือเขาซุกลงที่ไหล่ของกฤษณา

“นาย เป็นอะไรหรือเปล่า” ชลาธลถาม กฤษณาถึงกับอดหัวเราะไม่ได้

“เราต่างหากที่น่าจะถามคำถามนั้นนะ นายนี่จะห่วงคนอื่นไปถึงไหนกัน” กฤษณาตอบ ชลาธลยิ้มเล็กน้อย

“เราไม่เป็นไรหรอก สิ่งเดียวที่จะทำให้เราเจ็บปวดคือน้ำตาของนายนะ” กฤษณาพูดแก้มแดงๆ ชลาธลยิ้ม

“เราก็ห่วงแต่นายคนเดียวนั่นแหละ” ชลาธลพูด กฤษณายิ้มพลางเอียงคอไปซบที่ศีรษะของชลาธล ความอบอุ่นนี้เหมือนเขาห่างจากมันมานานเหลือเกิน ตกเย็นวันนั้นผู้คนต่างจัดงานเลี้ยงขอโทษให้กับชลาธล แต่จะว่าไปก็เหมือนกับเลี้ยงกันเองเสียมากกว่าเพราะชลาธลนั้นกินเนื้อไม่ได้นั่นเอง

“ขอบใจเธอมากเลยนะที่ช่วยฉันไว้” จิ๋วกล่าว ชลาธลยิ้มเขินๆ

“เราเองก็ขอบใจเธอนะ ที่ช่วย” ชลาธลตอบ กฤษณาเอาศอกกระทุ้งเอวของชลาธลเบาๆ

“เห็นมะ บอกแล้วว่าถ้านายไม่กลัวเสียอย่างใครๆก็อยากจะเป็นเพื่อนนาย” กฤษณาตอบ ชลาธลยิ้มเขินๆ

“เป็นไงบ้างไอ้ธล” หลวงตายุทเดินเข้ามาถาม ชลาธลและคนอื่นๆต่างยกมือไหว้

“ครับ ก็แผลจากพวกอาคมของหมอผีมันยังไม่หายเท่าไหร่ แต่ก็ไม่เจ็บมากแล้วละครับ” ชลาธลตอบ หลวงตาก็พยักหน้า

“จิ๋วจ๊ะ กลับบ้านได้แล้วลูก” เสียงของหญิงสาวดังมา จิ๋วหันไปตะโกนรับ

“คะแม่” เธอตอบพลางหันกลับมาทางเพื่อนของเธอ

“ไว้พรุ่งนี้เจอกันนะ” จิ๋วพูด

“เออ วันเสาร์นี้ว่างไหม” กฤษณาถาม จิ๋วก็พยักหน้า

“อืม เดี๋ยวจะพาเที่ยว” กฤษณาตอบ จิ๋วยิ้มรับ

“จ้า แล้วคุยกันนะ” จิ๋วพูดพลางรีบวิ่งกลับไปหาแม่ของเธอ หลวงตายุทหันมาทางกฤษณาและชลาธล

“เอาละ ทีนี้ดื่มน้ำนั่นซะ” หลวงตาพูด กฤษณาขมวดคิ้ว

“น้ำอะไรหรอหลวงตา” กฤษณาถาม

“ก็น้ำมนต์ไง คืนนี้ข้าจะลงคาถานิทราสลายฝัน” หลวงตายุทพูด แต่กฤษณาขมวดคิ้ว

“ทำไมละครับ ก็ในเมื่อทุกคนเข้าใจหมดแล้วนี่ครับ” กฤษณาตอบ หลวงตายุทส่ายหัว

“เราไว้ใจไม่ได้หรอก อะไรจะเกิดขึ้นก็ไม่รู้ จะมีกี่คนที่ไว้ใจได้กันเชียว” หลวงตายุทพูด ผมมองหน้าชลาธล นี่หมายความว่าเขาต้องกลับไปอยู่คนเดียวอีกแล้วอย่างนั้นหรือ

“แต่แบบนี้ธลเขาก็เหงาสิครับ” กฤษณาตอบ ชลาธลจับไหล่ของผมเอาไว้

“เราไม่เหงาหรอก เราก็มีนายอยู่ข้างๆแล้วไง” ชลาธลกล่าว กฤษณามองหน้าเขา

“เราจะไม่ทิ้งนายไปไหนเลยนะ เราสัญญา” กฤษณากล่าว ชลาธลกอดร่างของกฤษณาไว้อย่างแนบแน่น

“เรารู้ เราเองก็เชื่ออย่างนั้น” ชลาธลพูดกฤษณากอดร่างของชลาธลตอบกลับไป ความอบอุ่นที่เป็นของจริง และเหมือนจะบอกกับเขาว่าทั้งสองจะไม่มีวันแยกไปไหนเด็ดขาด

“ว่าแต่หลวงตา ทำไมผมต้องนั่งสมาธิด้วยละ มันมีผลต่อคาถาหรอครับ” กฤษณาถาม หลวงตายิ้ม

“เปล่าหรอก แค่ข้าอยากให้เอ็งนั่งเงียบๆเท่านั้นแหละ เพราะถ้าขืนปล่อยให้เอ็งคิดฟุ้งซ่านเดี๋ยวเอ็งก็สติแตกกันพอดี” หลวงตาพูด กฤษณายิ้มแห้งๆอย่างเขินอาย

“ก็คนมันเป็นห่วงนี่นา” กฤษณาพูดพลางเหลือบมองชลาธล สายตาที่จ้องประสานกัน แม้ไม่มีคำพูดใดๆแต่ทั้งสองก็สื่อใจถึงกันได้เสมอ...


ชายหนุ่มเอนหลังพิงพนักเอาไว้พลางแหงนมองเพดาน มันเกือบยี่สิบปีแล้วที่เขาห่างจากคนที่เขารัก แม้ทุกวันนี้เขาก็ยังคงมีชลาธลอยู่ในใจไม่ลืม ชายหนุ่มตบแก้มตัวเอง

“เราต้องตั้งใจทำเรื่องตรงหน้าให้ดีที่สุด ตอนนี้เรามีครอบครัวแล้วนะ” ชายหนุ่มพูดพลางเตือนสติ แม้ว่าในใจลึกๆของเขานั้นจะยังไม่เคยลืมชลาธลเลยก็ตาม

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-01-2007 23:02:09 โดย b|ueBoYhUb »

wee

  • บุคคลทั่วไป
Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
«ตอบ #49 เมื่อ11-01-2007 23:33:15 »

ความรักนี่มันช่างยิ่งใหญ่จริงๆเนอะ.....
ไม่ว่ามันจะเกิดกับใคร....ระหว่างใคร....
 :impress2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
« ตอบ #49 เมื่อ: 11-01-2007 23:33:15 »





ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
«ตอบ #50 เมื่อ12-01-2007 08:21:29 »

ฉันมัวแต่คิดมองหาแต่เทวดาที่มีรัศมีสีทองล้อมกาย จนลืมมองรัศมีสีทองในใจของเธอ   :monkeysad:

ก็ยังเดาไม่ถูกอยู่ดีว่าเรื่องจะไปในแนวไหน แต่ก็ชอบนะ แต่งได้ดีจริง ๆ  :impress3:

abcd

  • บุคคลทั่วไป
Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
«ตอบ #51 เมื่อ12-01-2007 20:00:46 »

 :seng2ped:  คนรักกันแต่อยู่ด้วยกันไม่ได้ เศร้าง่ะ  :monkeysad:

meemewkewkaw

  • บุคคลทั่วไป
Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
«ตอบ #52 เมื่อ12-01-2007 20:43:45 »

อ่านตอนนี้แล้วใจพองเลยอ่ะ
มีความสุขจัง :impress:

peang

  • บุคคลทั่วไป
Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
«ตอบ #53 เมื่อ16-01-2007 08:59:30 »

หายไปไหนอ่ะ  อ่านกะลังซึ้งๆเลยอ่า :impress3:  รึว่าจบแล้วหรอ มะยอมน๊า :monkeycry2: มาไวๆน๊า  รออย่างใจจดใจจ่อเลย 

แอบมีลุ้นๆ ให้พระ นาง ได้เจอกันตอนกลับไปเยี่ยมบ้นนะเนี่ย  :monkeylove2:  โอ้ว.......คิดไปไกลละ :haun1:

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
«ตอบ #54 เมื่อ17-01-2007 19:27:24 »

บางครั้งชีวิตก็ถูกทำให้ต้องเดินไป เมื่อตอนที่มีความสุข จงอยู่กับมันให้เต็มที่
เพราะอนาคตข้างหน้าเป็นเช่นไรไม่อาจรู้

*************************************


บทที่ 16

“คุณโทรบอกคุณพ่อของคุณหรือยังคะ” หญิงสาวหันมาถามชายหนุ่มที่พึ่งจะแปรงฟันเสร็จ

“ยะ ยังเลยจ๊ะ” ชายหนุ่มตอบ หญิงสาวขมวดคิ้วเล็กน้อย

“เอ๋า เดี๋ยวคุณพ่อก็ว่าอีกหรอกคะ” หญิงสาวกล่าว ชายหนุ่มพยักหน้ารับ

“ไม่ต้องรีบร้อนก็ได้มั้งยังอีกตั้งอาทิตย์นึงแหนะ” ชายหนุ่มแก้ตัว

“อะไรกัน คราวก่อนที่จะไปบอกช้าไปหน่อยเดียวคุณโดนคุณพ่อเล่นงานเสียอ่วมเลย” หญิงสาวกล่าว ชายหนุ่มพยักหน้ารับ

“ไว้พรุ่งนี้เย็นๆผมโทรไปแล้วกันนะ” ชายหนุ่มกล่าวพลางเดินขึ้นไปนอนบนเตียงข้างหญิงสาว

“นานแล้วนะคะที่ไม่ได้เจอคุณพ่อนะ” หญิงสาวพูด ชายหนุ่มพยักหน้าหงึกๆ

“จ๊ะ แต่เดี๋ยวก็ได้เจอกันแล้วไง” ชายหนุ่มกล่าวพลางล้มตัวลงนอน นานหลายปีทีเดียวที่เขาไม่ได้กลับไปที่บ้านของเขา เพราะมันรังแต่จะทำให้เขานั้นหวนรำลึกถึงเรื่องเก่าๆ เรื่องที่เขาไม่อาจจะลืมเลือนได้ เรื่องของ ชลาธล...


ช่วงฤดูกาลสอบที่ใกล้เข้ามาทุกขณะทำให้กฤษณานั้นหัวแทบปั่นเพราะด้วยที่ว่าเป็นคนไม่ค่อยตั้งใจเรียนเท่าไหร่นักเขาจึงมักจะเป็นเดือดเป็นร้อนเสมอเวลาใกล้จะสอบ

“โอ๊ย จะสอบแล้วหรอเนี่ยทำไมมันเร็วอย่างนี้ละวะ” กฤษณาบ่นกระปอดกระแปด จิ๋วที่นั่งอยู่ข้างๆส่ายหัวไปมา

“ก็บอกให้ทำการบ้านบ่อยๆก็ไม่เชื่อ” จิ๋วเหน็บ กฤษณามองหน้าจิ๋วค้อนๆ

“อะไรกัน ไม่ช่วยยังจะตอกย้ำกันอีก” กฤษณาพูดพลางเบ้ปาก จิ๋วกรอกตาไปมา

“ไม่ได้บอกสักคำนี่ว่าจะไม่ช่วยนะ” จิ๋วพูด กฤษณาตาลุกวาวขึ้นมาทันที

“พูดจริงดิ” กฤษณาย้ำ จิ๋วพยักหน้า

“จ้า จะติวให้ก็ได้” จิ๋วตอบ กฤษณายิ้มแป้นพลางจับมือจิ๋วบีบไว้แน่น

“จริงหรอ ขอบใจมากๆ” กฤษณาตอบ ส่วนจิ๋วนั้นได้แต่มองหน้าเขาแก้มแดงๆ

“อะ เออ เอาเป็นพรุ่งนี้ที่บ้านฉันนะ สิบโมง” จิ๋วพูด กฤษณาพยักหน้าพลางยกมือขึ้นมาจับไหล่ของจิ๋วไว้

“เธอนี่เพื่อนดีจริงๆเลย ขอบใจนะ” กฤษณาพูดเป็นภาษาเหนือ พลางจ้องหน้าจิ๋วตาเขม็ง

“วะ เวอร์น่า” จิ๋วตอบแก้มแดงๆพลางหลบหน้าของกฤษณาไป ก่อนที่ทั้งสองจะเก็บข้าวของเตรียมตัวกลับบ้าน กฤษณานั่งรถไปส่งจิ๋วเหมือนทุกครั้งและเขาก็ต้องแวะไปหาชลาธลที่วัดเป็นประจำเช่นกัน กฤษณาและจิ๋วไปถึงประตูวัดชลาธลก็ยืนคอยอยู่ก่อนแล้ว เขายิ้มให้ทั้งสอง

“ไง ธลคอยนานไหม” กฤษณาถาม ชลาธลส่ายหัวไปมา

“ไม่นานหรอก” ชลาธลตอบพลางหันไปยิ้มให้จิ๋ว

“สวัสดีจ๊ะธล เป็นไงบ้าง” จิ๋วทัก ชลาธยพยักหน้ารับ

“สบายดีจ๊ะ” ชลาธลตอบ

“เดี๋ยวเราไปส่งจิ๋วเขาก่อนนะ” กฤษณาพูด ชลาธลมองหน้ากฤษณาแล้วก็เหลือบตาไปมองจิ๋ว

“แล้วจะกลับมาไหม” ชลาธลถาม กฤษณาพยักหน้า

“อืม แน่นอน ไม่นานหรอกแค่นี้เอง” กฤษณากล่าวพลางเดินจับมือของจิ๋วนำไป

“นะ นี่ นี่ ฉันไม่ใช่เด็กนะ ไม่ต้องจับมือก็ได้” จิ๋วร้องทัก กฤษณาปล่อยมือออกทันที

“อะ แหม ก็แค่เป็นห่วงเท่านั้นเอง” กฤษณาพูด จิ๋วถึงกับใจเต้นตึกตัก

“หะ ห่วงอะไรนะ” จิ๋วพูดเสียงสั่นเล็กน้อย

“ก็ เธอออกจะกลมเป็นลูกบาสขนาดนี้ ฉันก็เป็นห่วงสิ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” กฤษณาตอบ จิ๋วได้แต่หัวเราะแห้งๆกลับไป

“อะนะ เดี๋ยวก็ไม่สอนเสียเลยนิ” จิ๋วงัดเอาไม้เด็ดมาขู่ กฤษณาจับมือของจิ๋วพลางส่งสายตาอ้อนวอน

“โอ๋ๆๆ อย่างอนจิ ล้อเล่นหน่อยเดียวเองนะ” กฤษณาพูด จิ๋วกลับเชิดหน้าใส่

“เฮาจะบ่าแก้งตั๋วแล้วเน่อ ดีกันเน่อ” กฤษณาอ้อนเป็นภาษาเหนือ จิ๋วมองดูสายตาอ้อนวอนของกฤษณาแล้วเธอก็อดขำไม่ได้

“ก็ได้ๆ แต่อย่ามาสายละ” จิ๋วพูด กฤษณาก็ทำท่าวันทยาหัตร

“ครับผม” กฤษณาพูดพลางกระทบรองเท้าเข้าเสียงดังราวทหารทำเอาจิ๋วอดหัวเราะไม่ได้

“ดีมาก เจ้ากลับไปได้แล้ว” จิ๋วพูดพลางเชิดหน้าใส่ กฤษณายิ้มให้

“ขอบใจนะ แล้วพรุ่งนี้เจอกัน” กฤษณากล่าวพลางหันหลังวิ่งกลับไป จิ๋วโบกมือลาช้าๆพลางมองดูกฤษณาค่อยๆวิ่งหายไปจนลับตา ไม่นานกฤษณาก็วิ่งกลับมาที่วัด ชลาธลยืนมองดูกฤษณาพลางส่งยิ้มให้

“ขอโทษทีคอยนานไหม” กฤษณาทัก ชลาธลส่ายหัว

“ไม่นานหรอก แล้ววันนี้เป็นอย่างไรบ้างละ เรียนเหนื่อยไหม” ชลาธลถาม กฤษณาถอนหายใจยาว

“ก็จะสอบแล้วละ เฮ้อ เราละไม่อยากสอบเอาเลย” กฤษณาพูดบ่นๆ ชลาธลยิ้ม

“เราเองไม่ค่อยรู้หรอกนะว่าสอบมันเป็นยังไง แต่นายก็พยายามให้เต็มที่ก็แล้วกันนะ” ชลาธลตอบ กฤษณาหันมายิ้มแห้งๆ

“ฮะๆ เราคงต้องหวังพึ่งจิ๋วเขาละมั้ง เธอนะเรียนเก่ง” กฤษณาพูด ชลาธลพยักหน้า

“อะ อืม พะ พึ่งยังไงหรอ” ชลาธลถาม กฤษณายิ้ม

“อ๋อ พรุ่งนี้จะไปติวที่บ้านเธอนะ” กฤษณาตอบ ชลาธลตาลุกเล็กน้อย

“ไปติวนี่ ทำอะไรบ้างหรอ” ชลาธลถาม กฤษณาเกาหัว

“กะ ก็เหมือนไปทบทวนบทเรียนอะไรงี้อะ” กฤษณาอธิบาย ชลาธลพยักหน้า

“แล้วไปกันกี่คนหรอ” ชลาธลถาม กฤษณาคิด

“อืม คงมีแค่เราคนเดียวละมั้งเพราะเราก็ไม่เห็นว่าจิ๋วจะชวนใครไปเลยนี่นา” กฤษณาพูดตามที่คิด ชลาธลกลืนน้ำลายเล็กน้อย

“อืม แล้ว เออ นายจะไปทั้งวันเลยหรอ” ชลาธลถาม กฤษณาขมวดคิ้ว

“ก็คงงั้นมั้ง ก็หลายวิชาอยู่อะนะ เผลอๆอาจจะหลายวันด้วยยิ่งสมองแบบเราด้วยแล้วละก็” กฤษณาพูด ชลาธลก้มหน้าลงพลางถอนหายใจเบาๆ

“นายมีอะไรหรอ” กฤษณาถาม ชลาธลมองหน้ากฤษณา

“อืม คือ เราไปด้วยได้ไหม” ชลาธลถาม กฤษณาทำตาลุกวาว

“นายไม่มีเรียนแล้วนายจะไปติวกับเขาทำไมเล่า” กฤษณาแย้ง ชลาธลเริ่มแสดงอาการกระอักกระอ่วน

“อะ อือ ก็เราไปเป็นเพื่อนไง” ชลาธลเริ่มแก้ตัว กฤษณามองหน้าชลาธลเขม็ง

“ธล นายมีเรื่องอะไรงั้นหรอ” กฤษณาถาม ชลาธลหลบสายตากฤษณาไปเล็กน้อย

“กะ ก็ คือ เฮ้อ บอกตามตรงนะ เราไม่อยากให้นายไปกับจิ๋วตามลำพังสักเท่าไหร่” ชลาธลพูด กฤษณาขมวดคิ้วเข้าหากัน

“ทำไมละ หลวงตาก็ลบความทรงจำตอนนั้นออกไปแล้ว เขาไม่รู้หรอกน่าว่านายเป็นอะไร แล้วเราก็สัญญาเลยว่าเราจะไม่พูดเรื่องของนายอีกเด็ดขาด” กฤษณาพูดอย่างหนักแน่น ชลาธลถอนหายใจอีกครั้ง

“มันไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก” ชลาธลพูดนั่งยิ่งทำให้กฤษณาขมวดคิ้วหนักขึ้น

“แล้วมันเรื่องอะไรหรอ” กฤษณาถาม ชลาธลถอนหายใจ

“นายไม่คิดบ้างหรอว่าจิ๋วเขาอืม พยายามทำตัวสนิทสนมกับนายนะ” ชลาธลถาม กฤษณาหันมามองชลาธลด้วยสายตาแปลกๆ

“ก็เขาเป็นเพื่อนเรานี่นา” กฤษณาแย้ง ชลาธลมองหน้ากฤษณาอีกครั้ง

“แค่เพื่อนจริงๆหรอ” ชลาธลถามอีก กฤษณามองหน้าชลาธลด้วยคำถามเต็มศีรษะ

“ทำไมหรอ นายคิดว่าเราจีบจิ๋วงั้นหรอ” กฤษณาถามกลับ ชลาธลส่ายหัว

“ไม่ใช่หรอก แต่เราว่าจิ๋วกำลังจีบนายนะ” ชลาธลพูด กฤษณามองหน้าชลาธลตาค้างๆ แล้วพลันเขาก็ปล่อยเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น

“ฮะ ฮะ ฮะ ฮะ ฮะ อย่างนั้นเนี่ยนะจีบ โอ๊ย นายนี่คิดมากเป็นบ้าเลย เขาก็แค่แซวกันเล่นๆแค่นั้นเอง จิ๋วเขาไม่คิดอะไรกับเราหรอกน่า ยัยนั่นมีดีก็แต่แซวเราสารพัดนั่นแหละ” กฤษณาพูด ชลาธลเบ้ปากเล็กน้อย กฤษณาเอามือคล้องคอของชลาธลเอาไว้

“อย่าคิดมากเลยนะ เรากับจิ๋วก็แค่เพื่อนกันจริงๆ ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้นหรอกน่า ยังไงๆเราก็ไม่ทิ้งนายอยู่แล้วละน่า” กฤษณาพูด ชลาธลมองกฤษณาพลางถอยหายใจเล็กน้อย

“อืม เราก็เชื่ออย่างนั้น อืม เราคงคิดมากไปหน่อย ขอโทษทีนะ” ชลาธลพูด กฤษณายิ้มให้เล็กน้อยที่มุมปาก

“เอาน่า แหมแต่นายนี่ก็ขี้หึงเอาเรื่องเหมือนกันนะเนี่ย” กฤษณาแซว ชลาธลมองหน้ากฤษณาค้อนๆ

“ก็แหงสิ นายออกจะดูดีขนาดนี้ ขืนปล่อยให้หลุดไปเสียดายแย่” ชลาธลกล่าว กฤษณายิ้ม

“ต่อให้ไม่จับก็จะเกาะไม่ปล่อยเองนั่นแหละ” กฤษณาพูด ชลาธลก็ยิ้มรับก่อนที่ทั้งสองจะเดินไปที่บ้านของกฤษณา

“วันนี้นายมานอนบ้านเราสิ ถือว่าชดเชยที่พรุ่งนี้เราไม่ได้อยู่กับนายก็แล้วกัน” กฤษณาชวน ชลาธลก็พยักหน้ารับด้วยแก้มที่แดงแจ๋ ทั้งสองทานข้าวเสร็จแล้วก็เตรียมตัวไปอาบน้ำ ชลาธลถอดเสื้อออกเผยแผ่นอกกว้างหน้า บาดแผลจากการถูกทำร้ายจางลงไปมากแต่ก็ไม่หายขาด กฤษณาลูบมือของเขาไปตามบาดแผลนั่น

“นายคงเจ็บมากสินะที่ต้องเจอกับอะไรแบบนี้” กฤษณาถาม ชลาธลส่ายหัวเล็กน้อย

“มันเจ็บแค่คืนเดียวก็หายแล้ว ต่อให้ต้องเจ็บมากกว่านี้เราก็ยอมถ้ามันช่วยนายได้นะ” ชลาธลพูด กฤษณากอดร่างของชลาธลเอาไว้

“นายไม่ต้องเจ็บคนเดียวอีกแล้วละ เราจะแบ่งกันนะ” กฤษณาพูด ชลาธลพยักหน้ารับพลางกอดร่างของกฤษณาตอบกลับไป ทั้งสองเดินลงไปยังห้องอาบน้ำ ชลาธลเหลือบมองดูกฤษณา ร่างที่สูงเพรียว หน้าท้องแบนราบ กับแผ่นอกที่แน่นทำเอาใจของชลาธลนั้นเต้นสั่นระรัว ทั้งสองลงมาถึงห้องอาบน้ำต่างก็ชำระร่างกายของตนเอง

“เดี๋ยวเราถูหลังให้” กฤษณาเสนอ ชลาธลก็หันหลังให้ กฤษณาถูมือไปมาจนสบู่เป็นฟองขาว พลางค่อยๆลูบมือของเขาไปตามร่างของชลาธลอย่างช้าๆ เขาค่อยๆบรรจงเลื่อนมือของเขาลงไปที่ไหล่กว้างก่อนที่จะเลื่อนลงไปที่แผ่นหลังหนา มือทั้งสองของกฤษณาลากไปจนถึงเอว ก่อนจะวกกลับขึ้นมาที่ไหล่ของชลาธล

“ถูให้เราบ้างสิ” กฤษณาร้อง ชลาธลหันกลับไปถูหลังให้กฤษณา โดยที่ไม่ได้ตั้งตัวชลาธลกอดร่างของกฤษณาทั้งๆอย่างนั้น

“ฮะ เฮ้ย ธล” กฤษณาร้อง

“ขอเราอยู่อย่างนี้สักพักนะ” ชลาธลพูด กฤษณาไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด ชลาธลกอดกฤษณาอยู่สักพักกฤษณาก็จับมือของชลาธลยกออก

“รีบขึ้นกันดีกว่า เดี๋ยวจะเป็นหวัดนะ” กฤษณาพูด ชลาธลพยักหน้ารับอย่างเสียดาย ทั้งๆที่ใจจริงเขาอยากจะกอดกฤษณาตลอดไป ทั้งสองเดินขึ้นมาแต่งตัวที่ห้องของกฤษณา ทั้งสองนอนลงบนเตียงข้างกัน

“ราตรีสวัสดิ์นะ” ชลาธลกล่าว กฤษณาหัวเราะในลำคอพลางโน้มตัวมาจูบที่ปากของชลาธลอย่างดูดดื่ม ชลาธลถึงกับอึ้งไปชั่วคราว

“เรากอดนายได้ไหม” กฤษณาถาม ชลาธลได้แต่ยิ้มเขินแก้มแดงไม่ได้ตอบอะไรก่อนที่ทั้งสองจะหลับกันไปภายใต้อ้อมกอดอันตลบอบอวลไปด้วยความรัก เช้าวันรุ่งขึ้นเป็นวันเสาร์ แต่กฤษณานั้นมีนัดที่จะต้องไปให้จิ๋วติววิชาที่จะสอบให้ เมื่อกฤษณานั้นพาชลาธลมาส่งถึงที่วัดแต่ชลาธลกลับมีสีหน้าไม่สบายใจนัก

“เอาน่า ก็บอกแล้วไงว่าเธอนะไม่คิดอย่างนั้นหรอก” กฤษณาพูดอย่างให้กำลังใจ ชลาธลพยักหน้าหงึกๆ

“อืม แต่ยังไงเราก็ไม่อยากอยู่ห่างจากนายอยู่ดี” ชลาธลพูด กฤษณากอดคอชลาธลเอาไว้ทันที

“ไม่ต้องคิดมากน่า เอางี้ แล้วเราจะกลับมาหานายก่อนกินข้าวเย็นแล้วกัน ตกลงไหม” กฤษณายื่นเงื่อนไข ชลาธลพยักหน้า

“ดีมาก แล้วเดี๋ยวจะรีบกลับมานะ” กฤษณากล่าวพลางรีบเดินไปที่บ้านจิ๋วทันที ไม่นานนักกฤษณาก็มาถึงบ้านใหญ่หลังงาม กฤษณากดกริ่งประตูบ้านสักพักจิ๋วก็เดินออกมา

“มาตรงเวลาเป็นเหมือนกันนี่นา” จิ๋วแซว กฤษณายิ้ม

“ก็แหม ขืนมาสายแล้วเธอเบี้ยวไม่สอนก็ยุ่งอะดิ” กฤษณาแซว จิ๋วพยักหน้าเออออพลางเปิดประตูให้กฤษณาเข้าไปข้างใน ทั้งสองเดินเข้ามาในบ้าน

“จะเอาน้ำอะไรไหม” จิ๋วถาม กฤษณาส่ายหัว

“ไม่ต้องหรอกรีบสอนก่อนดีกว่า กลับช้ามากเดี๋ยวไอ้ธลมันคลั่งตายเอา” กฤษณากล่าว

“แหม ติดกับธลหยั่งกับปาท่องโก๋เชียวนะ เป็นแฟนกันหรือไง” จิ๋วถาม กฤษณาเหล่ตา

“ก็คนมันสนิทกันก็เลยคิดถึงกันเป็นธรรมดาแหละน่า” กฤษณาแก้ตัว จิ๋วยิ้มรับ

“จ้าๆ งั้นเริ่มจากเลขก่อนเลยแล้วกัน” จิ๋วเสนอ กฤษณานั้นกลืนน้ำลายแทบไม่ลงคอเพราะนี่เป็นวิชาที่เขาอ่อนที่สุดเลย แล้วการสอนของจิ๋วก็เริ่มขึ้น กฤษณายอมรับว่าจิ๋วนั้นเขี้ยวกว่าอาจารย์ที่สอนเสียอีก

“ไม่ได้ นี่บอกกี่ทีแล้วไงว่าต้องหารก่อนแล้วค่อยคูณ เดี๋ยวทำแบบฝึกหัดเพิ่มอีกข้อนึงนะ” จิ๋วพูด กฤษณาถึงกับเบ้ปากเพราะนี่เขาทำมาเกือบสิบข้อแล้ว

“โห ขอพักก่อนไม่ได้หรอ นี่ก็จะเที่ยงแล้วนะ เราหิวข้าวแล้วอะ” กฤษณาแย้ง จิ๋วทำตาโตใส่

“ได้ไง นี่ยังไม่เข้าใจเลยนี่นาต้องทำจนกว่าจะเข้าใจนั่นแหละ” จิ๋วแย้ง แต่กฤษณาก็ยังคงส่งสายตาอ้อนวอน

“นะ นะ นะ ขอกินข้าวหน่อยเถอะ เราหิวจะแย่อยู่แล้วอะ” กฤษณาขอร้อง จิ๋วมองดูกฤษณาที่ทำสายตาละห้อยก็อดสงสารขึ้นมาไม่ได้

“ก็ได้ๆ พักก่อนก็ได้” จิ๋วกล่าว กฤษณาถึงกับกระโดดตัวลอย

“ขอบใจนะ” กฤษณากล่าว จิ๋วได้แต่ยิ้มรับเขินๆไม่กล้าตอบอะไร แล้วทั้งสองก็ตัดสินใจออกไปกินก๋วยเตี๋ยวเรือ กฤษณามองยืนดูอยู่หน้าร้านพลางยิ้มให้กับตัวเอง

“เป็นอะไรงั้นหรอ” จิ๋วถาม กฤษณาส่ายหัว

“ไม่มีอะไรหรอก อืม แค่ธลเขาไม่ชอบก๋วยเตี๋ยวเรือนะ” กฤษณาพูด จิ๋วมองดูกฤษณาด้วยสายตาที่แฝงไว้ด้วยความสงสัย จากนั้นทั้งสองจึงตัดสินใจเข้าไปนั่งกินในร้าน กฤษณาจัดแจงส่งอาหารอย่างคล่องแคล่ว

“อืม เธอกับธลนี่รู้จักกันมาตั้งแต่มิถุนาจริงๆหรอ” จิ๋วถาม กฤษณาก็พยักหน้า

“อืม ราวๆนั้นละ ทำไมหรอ” กฤษณาถามอีก จิ๋วเบ้ปากเล็กน้อย

“ไม่รู้สิ ฉันไม่คิดว่าคนที่รู้จักกันแค่นั้นมันจะรู้อะไรลึกขนาดนั้นเลยหรอ” จิ๋วถาม กฤษณาขมวดคิ้ว

“ทำไมจะไม่ได้ละ ก็มีอะไรก็ถาม มีอะไรก็คุย โอ๊ย แค่อาทิตย์เดียวเผลอๆบางทีก็รู้ไส้รู้พุงกันหมดแล้วละ” กฤษณาตอบ

“ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นหรอก แต่ที่ฉันหมายถึงคือ มันเหมือนเธอกับธลนะสนิทกันเกินกว่าคำว่าเพื่อนนะ” จิ๋วพูด กฤษณาสะดุ้งเล็กน้อย

“เฮ้ย คิดมากไปป่าว” กฤษณาพูดมือสั่นๆ

“ของที่สั่งได้แล้วคะ” พนักงานเอาก๋วยเตี๋ยวมาวาง

“กินกันก่อนดีกว่า เราหิวจะแย่อยู่ละ” กฤษณาเปลี่ยนบทสนทนาแม้ว่าข้างในใจของเขาเองก็ยังอดสงสัยไม่ได้ว่า ตกลงแล้วเขาคิดยังไงกับชลาธลกันแน่ หลังจากนั้นจิ๋วก็พากฤษณากลับไปติวหนังสือต่อที่บ้าน และเพราะจากการเขี่ยวเข็ญของจิ๋วทำให้กฤษณาดูเหมือนจะเข้าใจในเนิ้อหาขึ้นมาบ้างแล้ว

“อืม ดูเหมือนว่าเธอพอจะทำได้บ้างแล้วละนะ” จิ๋วกล่าว กฤษณาพยักหน้ารับ

“เฮ้อ กว่าจะได้แทบเป็นแทบตายแหนะ” กฤษณาบ่น จิ๋วกรอกตาไปมา

“คนที่เหนื่อยก็ฉันเหมือนกันแหละ กว่าจะสอนให้รู้เรื่องได้” จิ๋วพูด กฤษณายิ้มแห้งๆ

“จ้า ขอบใจนะ” กฤษณาพูดพลางทิ้งตัวลงบนเบาะนั่งนุ่มๆ

“อืม ว่าแต่ตกลงแล้วเธอคิดยังไงกับธลกันแน่” จิ๋วพูดขึ้นมา ทำเอากฤษณาเกือบทรุดจากเบาะนั่ง

“เฮ้ย ถะ ถามงี้หมายความว่ายังไง” กฤษณาแย้งขึ้น จิ๋วเบ้ปาก

“ก็ไม่รู้สิ ฉันดูแล้วเธอสองคนเหมือนมีอะไรในใจนะ แววตาที่ส่องออกมามันไม่เหมือนเพื่อนกันเลยนะ” จิ๋วพูด กฤษณาขมวดคิ้ว

“ถ้าไม่เหมือนเพื่อนแล้วเหมือนอะไรละ” กฤษณาย้อนถาม

“เหมือนกับเป็นคนรักกันนะ” จิ๋วพูด กฤษณาสะอึกไปเล็กน้อย

“อ้าว กะ ก็เพื่อนรักเพื่อนมันไม่เห็นจะแปลกตรงไหนเลยนี่นา” กฤษณาแย้ง จิ๋วส่ายหัว

“ไม่ใช่หรอก มันเหมือน อืมม ถามตรงๆนะ นายชอบธลเขาใช่ไหม นายเป็นเกย์ใช่หรือเปล่า” จิ๋วพูดออกมาจนได้ กฤษณาส่ายหัว

“บ้าหรอ เราไม่ได้ตุ้งติ้งสักหน่อย เราจะเป็นเกย์ได้ไงละ” กฤษณาตอบตามที่ตัวเองเข้าใจ

“นี่ เกย์นะไม่ต้องแต่งสวยก็เป็นได้นะ แค่ชอบผู้ชายเหมือนกันก็ถือว่าเป็นเกย์ได้ยะ อีกอย่างนะเกย์นะน่ากลัวกว่ากระเทยอีก เพราะกระเทยยังดูออก แต่เกย์นี่ดูยากเหมือนกันเพราะบางคนก็ไม่แสดงออก” จิ๋วสรุปความ กฤษณาอึ้งไปสักพักแต่เขาก็ส่ายหัว

“มะ ไม่ใช่ เราไม่ได้เป็นเกย์ แล้วเราก็ไม่ได้ชอบผู้ชายด้วย” กฤษณาแย้ง จิ๋วพยักหน้าพลางกำมือแน่น

“งั้นหมายความว่า นายก็ต้องชอบผู้หญิงใช่ไหมละ” จิ๋วย้ำ กฤษณาพยักหน้า

“กะ ก็ใช่นะ” กฤษณาตอบ

“แล้วผู้หญิงในสเป็กนายละ เป็นยังไง” จิ๋วถามใจเต้นแรง กฤษณามองหน้าจิ๋วใจของเขาก็เต้นแรงไม่แพ้กัน

“สเป็กนี่ยังไงละ” กฤษณาย้อนถามน้ำขุ่นๆ จิ๋วหน้าแดงแจ๋เลือดสูบฉีดไปทั่วร่าง

“อะ อืม ก็ผู้หญิงที่นายชอบนะ หน้าตา รูปร่างแบบไหนละ” จิ๋วพูดขยายความ กฤษณาเบ้ปาก

“อะ เออ ยังไงละ ก็ สวย น่ารัก” กฤษณาตอบแบบกำปั้นทุบดิน

“แล้วอย่างเราละนายจะชอบบ้างไหม” จิ๋วพูดขึ้น กฤษณามองหน้าจิ๋วตาค้างๆ จิ๋วเหลือบมองหน้ากฤษณาแก้มแดงราวลูกแอปเปิ้ล

“ระ เราชอบนายนะ” จิ๋วพูด กฤษณาเหมือนมีลูกศรพุ่งเข้าปักหัวของเขาอย่างแรง เขาเริ่มนึกถึงคำพูดของชลาธลขึ้นมาในทันที

“นะ นี่ธลพูดจริงหรอเนี่ย” กฤษณาคิดอย่างสับสน เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลยว่าจิ๋วนั้นชอบเขาอยู่ กฤษณามองดูจิ๋วอย่างช้าๆ เธอนั้นหน้าตาดีอยู่ไม่น้อย ผมยาวประบ่า แก้มเป็นสีชมพูเรื่อๆ แววตาโต แต่กฤษณาก็ยังคงมีหัวใจให้กับชลาธล

“ตะ แต่เราไม่ใช่เกย์” กฤษณาปฏิเสธตัวเอง เขานั้นไม่ได้คิดจะรักชลาธลแบบในฐานะแฟนอยู่แล้ว แต่ทั้งหมดที่มันเกิดขึ้นเขาไม่อาจจะลบภาพนั้นไปได้เลย อันที่จริงแค่เขาคิดถึงใบหน้าของชลาธล กฤษณาก็แทบจะยิ้มไม่หุบอยู่แล้ว

“กฤษ” จิ๋วพูดขึ้น กฤษณาลุกขึ้นพรวดทันที

“ระ เราไม่ค่อยสบาย ขอตัวกลับก่อน” กฤษณาตอบ พลางเดินออกจากบ้านไป

“กฤษ นายชอบธลเขาจริงๆใช่ไหม” จิ๋วแย้ง กฤษณาถึงกับหยุดไปชั่วขณะ

“มะ ไม่ใช่” กฤษณาแย้ง ทั้งๆที่ใจของเขานั้นไม่เคยลืมชลาธลเลย

“ถ้างั้นนายจะพิสูจน์ให้ดูได้ไหมละ” จิ๋วพูดอย่างท้าทาย กฤษณาหันไปมองหน้าจิ๋ว เธอยืนกำมือแน่น กฤษณาหลบสายตาเธอไปเล็กน้อย

“จะให้พิสูจน์ยังไง” กฤษณาพูด จิ๋วกำมือแน่น

“นายต้องมาคบกับเรา แล้วเลิกคุยกับธล” จิ๋วตั้งข้อเสนอขึ้นมาทันที กฤษณามองหน้าจิ๋ว

“มันไม่เกินไปหน่อยหรอ” กฤษณาทัก จิ๋วหลบหน้ากฤษณาไป

“ถ้ามันเป็นแค่เพื่อนกัน ห่างกันแค่นี้ไม่ตายหรอกน่า” จิ๋วพูด กฤษณากำหมัดแน่น

“หรือว่านายจะยอมรับว่านายเป็นเกย์” จิ๋วพูดแทงใจดำ กฤษณากัดฟันพลางกำหมัดแน่น

“เอาเถอะ ฉันไม่รอคำตอบของนายนะ พรุ่งนี้นายต้องมาหาเราตอนเก้าโมงตรง ถ้านายมาหาเราจะถือว่านายรับข้อเสนอแล้วเราจะไม่คิดว่านายเป็นเกย์ แต่ถ้านายไม่มา เราจะถือว่านายนั้นเป็นเกย์” จิ๋วพูด กฤษณามองหน้าจิ๋วด้วยสายตาเคียดแค้น

“เธอขู่ฉันหรอ” กฤษณาย้อน จิ๋วส่ายหัว

“ฉันไม่ได้ขู่สักหน่อย ฉันก็แค่อยากให้แน่ใจเท่านั้นว่าเธอไม่ใช่จริงๆ อีกอย่างฉันว่าธลนะเข้าต้องเข้าใจเธออยู่แล้วละ” จิ๋วพูด กฤษณาสะบัดหน้าหนีไปทันทีโดยที่ไม่พูดอะไรสักคำ กฤษณากำหมัดแน่น เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าสิ่งที่เขาทำลงไปกับชลาธลนั้นจะเรียกว่า “เกย์” ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยได้ยินคำนี้ แต่ในความคิดของเขาคือ ผู้ชายที่ทำท่าเหมือนผู้หญิง แต่จิ๋วกลับยืนยันเช่นนั้นทำให้กฤษณานั้นเริ่มไม่แน่ใจนักว่าสิ่งที่เขาทำกับชลาธลนั้นจะเข้าข่ายเดียวกันหรือไม่ กฤษณาเดินคิดอย่างสับสน เขายืนดูอยู่หน้าวัด ขาของเขาเหมือนจะไม่ยอมก้าวออกไปเลย ความตั้งใจทั้งหมดของเขาที่จะมาหาชลาธลดูเหือดแห้งลงในพริบตา

“กฤษ” เสียงของชลาธลดังขึ้น กฤษณาหันหน้ากลับไปดู ชลาธลยืนอยู่ข้างหลังของเขา กฤษณาถึงกับสะดุ้งโหยง

“นายตกใจหรอขอโทษที” ชลาธลกล่าวพลางยิ้มให้ กฤษณาพยักหน้ารับ

“นายเป็นอะไรหรือเปล่าหน้านายดูซีดๆชอบกล เหนื่อยหรอ” ชลาธลถาม กฤษณาพยักหน้า

“อืม จิ๋วเขาติวให้หนักนะ เหนื่อยเลย อืม นายจะว่าอะไรไหมถ้าเราจะขอกลับไปพักที่บ้านก่อนนะ” กฤษณาถาม ชลาธลพยักหน้า

“อืม ตามสบายเถอะ เราก็อยากให้นายพักเหมือนกันแหละ จะให้เราไปส่งที่บ้านไหม” ชลาธลถาม กฤษณาส่ายหัว

“มะ ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวคนเขาตกใจกันหมดว่านายแบกเรากลับบ้าน อีกอย่างมันก็ไม่ไกลมากหรอ” กฤษณาพูด ชลาธลพยักหน้ารับ

“อืม งั้นก็เดินทางดีๆนะ แล้วพรุ่งนี้เจอกัน” ชลาธลกล่าว กฤษณากลืนน้ำลายเล็กน้อย

“อะ เออ เอาไว้วันหลังดีกว่านะ คือ พรุ่งนี้เราต้องมีติวกันอีกนะ” กฤษณาตอบ ชลาธลเบ้ปาก

“หรอ อืม ก็ได้เราเข้าใจนะ งั้นก็ตั้งใจให้เต็มที่แล้วกัน” ชลาธลกล่าวทั้งรอยยิ้ม ยิ่งกฤษณาเห็นเขายิ้มเท่าไหร่ใจของเขาก็ยิ่งเจ็บปวดมากขึ้นเท่านั้น เขาอยากอยู่ข้างๆชลาธลแต่เพียงคำคำเดียวมันเหมือนราวกำแพงหนาที่กั้นระหว่างเขากับชลาธลเอาไว้

“อืม ขอบใจนะ” กฤษณาตอบก่อนจะขึ้นรถกลับบ้านไปด้วยหัวใจที่แตกร้าวและสับสน...


ชายหนุ่มสะดุ้งขึ้นกลางคัน เขาหายใจหอบเหงื่อท่วมตัวเต็มไปหมด เขาเอามือกุมศีรษะเอาไว้พลางถอนหายใจยาว

“พอแล้วน่า” เขาคิดก่อนที่จะล้มตัวลงกลับไปนอนอีกครั้ง เขาถอนหายใจยาวพลางพยายามกลั้นน้ำตาของเขาเอาไว้

“ธล เราขอโทษ” ชายหนุ่มคิดอยู่ในใจก่อนที่น้ำตาของเขามันจะร่วงลงมาช้าๆ


abcd

  • บุคคลทั่วไป
Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
«ตอบ #55 เมื่อ17-01-2007 19:55:22 »

 :pigscare2:  ไมจิ๋วทำงี๊อ่ะ เล่นขู่กันแบบนี้ได้ไง  :3125:


เพียงคำคำเดียวมันเหมือนราวกำแพงหนาที่กั้นระหว่างเขากับชลาธลเอาไว้    :sad4:

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
«ตอบ #56 เมื่อ17-01-2007 20:05:27 »

เขาอยากอยู่ข้างๆชลาธลแต่เพียงคำคำเดียวมันเหมือนราวกำแพงหนาที่กั้นระหว่างเขากับชลาธลเอาไว้

 :monkeysad:  :monkeysad:


meemewkewkaw

  • บุคคลทั่วไป
Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
«ตอบ #57 เมื่อ17-01-2007 21:50:31 »

จิ๋วจ๋า . . . วอนโดนหมีตะปบแล้วมั้ยล่ะ :3125:

สงสารธลง่ะ . . .  :monkeycry2:

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
«ตอบ #58 เมื่อ20-01-2007 19:40:20 »

แน๊วววแน๋ววว  บางครั้งเราก็ไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องราวๆต่างๆเกิดขึ้น เพราะคำพูดเพียงไม่กี่คำ

shell  เราจึงต้องคิดก่อนพูดเสมอ แต่ไม่ต้องพูดๆทุกๆครั้งที่คิด

meemewkewkaw  ท่าทางจะโหดว่าจระเข้นะนี่


********************************************************************

บทที่ 17

“สวัสดีคะคุณพ่อ” เสียงของเด็กสาวดังขึ้นเมื่อชายหนุ่มเดินออกจากประตูรถมา ชายหนุ่มยิ้มพลางรับไหว้ของเด็กสาว

“ไงจ๊ะ วันนี้ทำข้อสอบได้ไหม” ชายหนุ่มถาม

“ทำได้คะ” เด็กสาวพูด ชายหนุ่มยิ้มพลางอุ้มตัวเด็กสาวขึ้นยกเหนือหัว

“เก่งจังเลย แบบนี้ต้องให้ไปฉลองกันเสียหน่อยแล้ว” ชายหนุ่มตอบ เด็กสาวหัวเราะคิกคัก

“งั้นเราไปฉลองกันที่บ้านคุณปู่ดีไหมจ๊ะ” เสียงของหญิงสาวดังขึ้น ชายหนุ่มวางเด็กสาวลง

“จริงหรอคะ เย้ หนูอยากไปบ้านคุณปู่อีกจัง หนูอยากไปเห็นบึงที่พี่ชลาธลเขาเล่นกับคุณพ่อจังคะ” เด็กสาวพูด ชายหนุ่มถึงกับหยุดอึ้งไปชั่วคราว

“คุณพ่อคะ” เด็กสาวพูดพลางดึงขากางเกงของชายหนุ่ม

“อะ อะจ๊ะ” ชายหนุ่มได้สติพลางก้มลงมองดูเด็กสาว

“คุณพ่อเป็นอะไรหรือเปล่าคะ ทำไมคุณพ่อเศร้าจัง” เด็กสาวทัก ชายหนุ่มกระอึกกระอักเล็กน้อย

“คุณพ่อเขาคงทำงานเหนื่อยนะจ๊ะ ให้คุณพ่อเขาไปอาบน้ำดีกว่า ลูกมาช่วยแม่ทำกับข้าวดีกว่ามา” หญิงสาวเรียก เด็กสาวพยักหน้ารับพลางวิ่งเข้าไปหาแม่ของเธอ ชายหนุ่มพยักหน้าเป็นเชิงขอบคุณ หญิงสาวยิ้มรับก่อนจะพาลูกน้อยของเธอเข้าไปในบ้าน ชายหนุ่มถอนหายใจยาว ความทรงจำเรื่องของชลาธลค่อยๆผุดกลับขึ้นมาอีกครั้ง...


กฤษณานั้นนอนไม่หลับเลยหลังจากกลับมาที่บ้าน อันที่จริงเขาแทบไม่อยากจะทำอะไรเลยด้วยซ้ำไป เขานอนพลิกตัวไปมาอย่างหงุดหงิด

“ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย” กฤษณาคิดอย่างสับสนในใจ เขาคิดมาตลอดว่าสิ่งที่เขาทำกับชลาธลนั้นมันเป็นเหมือนเพื่อนที่สนิทกันแบ่งปันความสุขให้กันและกัน เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าสุดท้ายแล้วมันจะกลายเป็นสิ่งที่กรอบของสังคมระบุไว้ว่าเป็นเรื่อง ผิดปกติ กฤษณานอนหงายแหงนหน้ามองดูเพดานด้วยใจที่ว้าวุ่น เขามีความสุขเสมอที่ได้อยู่ข้างกายของชลาธล แต่ทันทีที่เขาได้รับรู้ว่าสิ่งที่เขาทำลงไปตลอดนั้นมันเป็นเรื่องที่ใครต่อใครต่างไม่ยอมรับ และที่สำคัญมันเป็นสิ่งที่กฤษณากลัวมาตลอด เขาเข้าใจไปเองเสมอว่าเกย์คือผู้ชายที่ทำกริยาท่าทางเหมือนเป็นผู้หญิง

“เกย์นะไม่ต้องแต่งสวยก็เป็นได้นะ แค่ชอบผู้ชายเหมือนกันก็ถือว่าเป็นเกย์ได้” เสียงของจิ๋วดังขึ้นในหัวของชลาธล เขาเองก็อยากจะเถียงแต่จิ๋วนั้นอยู่กรุงเทพฯ
มาก่อน อันที่จริงกฤษณาเองก็ได้เรียนรู้เรื่องพวกนี้ก็ตอนเขาลงไปกรุงเทพฯนั่นเอง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่จิ๋วน่าจะรู้เรื่องพวกนี้ดีกว่าเขา กฤษณานอนพลิกตัวนอนตะแคงสายตาก็เหลือบไปเห็นถุงขนมบนโต๊ะ ซึ่งตอนแรกเขากะจะเอาไปให้ชลาธลเพื่อไถ่โทษที่เขาไม่ได้อยู่เล่นด้วยตลอดวัน แต่คราวนี้เขากลับไม่กล้าแม้แต่จะเจอหน้ากัน ภาพรอยยิ้มของชลาธลปรากฏเด่นชัดขึ้นในหัวของเขาและมันก็ยิ่งทำให้ใจของกฤษณาเจ็บปวดรวดร้าวขึ้นทุกที กฤษณาคว้าหมอนที่อยู่ข้างกายพลางขว้างไปที่กำแพงอย่างสุดแรงเกิดเพื่อระบายอารมณ์

“โถ่เว้ย” กฤษณาร้องอย่างอดไม่ได้ แม้เขาไม่อยากจะเป็นเกย์ แต่เขากลับไม่อาจห้ามความรู้สึกของเขาได้เลย เขาอยากจะเจอชลาธลอีก เขาอยากจะคุยกับชลาธล ว่ายน้ำด้วยกัน กินขนมด้วยกัน ยิ้นและร้องไห้ด้วยกันอย่างที่เคยๆเป็นมา แต่คำสั้นๆคำเดียวเหมือนมันเป็นกำแพงที่กีดกันเขาออกไป

“เราควรจะทำยังไงดี” กฤษณาถามตัวเองทั้งๆที่ก็ไม่รู้คำตอบ ตลอดคืนนั้นกฤษณานอนไม่หลับเอาเลย ในใจเขาสับสนไปหมด เขาอยากจะอยู่ข้างชลาธลเหมือนอย่างเคยแต่เขาก็กลัวสังคมจะไม่ยอมรับ และถ้าจะให้เขานั้นตัดใจจากชลาธลยิ่งทำให้เขาปวดร้าวหนักเข้าไปอีก กฤษณามองดูนาฬิกาที่บอกเวลาแปดโมงครึ่งแล้ว เขาเหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมงเท่านั้นที่จะตัดสินใจทางเลือกของเขา กฤษณามองดูนาฬิกากับถุงขนมที่ตั้งอยู่ข้างกัน เขาส่องสายตาไปมาระหว่างของสองสิ่ง กฤษณาหลับตาลงช้าๆพลางถอนหายใจยาวก่อนที่เขาจะลุกขึ้นแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป

“นายมาช้านะ” จิ๋วทักขึ้นเมื่อพบว่ากฤษณามาหาเธอช้าไปสิบนาที แต่กฤษณาก็ไม่ได้ตอบอะไร

“ช่างเถอะ อืมพร้อมหรือยัง” จิ๋วถาม กฤษณาขมวดคิ้ว

“พร้อมอะไร” เขาถามกลับ จิ๋วยิ้มพลางเดินเข้ามาใกล้

“ดูไม่ออกหรอ” จิ๋วทัก กฤษณาสำรวจดูร่างของจิ๋ว เธอใส่เสื้อสีขาวที่มีขอบเสื้อสีชมพูลายดอกไม้ประดับเป็นทาง เข้ากับกระโปงสีชมพูดอ่อนๆของเธอ กฤษณามองหน้าจิ๋วที่ยิ้มให้อย่างมีเลศนัย

“เราไปเดทกันดีกว่า” จิ๋วพูดจบเธอก็ดึงมือของกฤษณาพลางเดินนำหน้าไปทันที กฤษณาได้แต่เดินตามต้อยๆ

“นี่ เธอว่าไปไหนดีละ” จิ๋วถาม กฤษณาหลบสายตาของเธอไปเล็กน้อย

“อยากไปที่ไหนละ” กฤษณาย้อนถาม จิ๋วเบ้ปาก

“นี่ ฉันไม่ใช่คนแถวนี้นะ เธอนะต้องพาฉันไปสิ” จิ๋วบ่น กฤษณาถอนหายใจพลางหันมามองหน้าจิ๋ว

“แล้วเธอชอบที่ไหนละ อยากดูบึงไหม” กฤษณาถาม จิ๋วคิดอยู่สักพักก่อนจะพยักหน้ารับ

“ก็ดีนะ ไปสิไป” จิ๋วพูดพลางจับมือของกฤษณาไว้ ส่วนกฤษณาก็ได้แต่ถอนหายใจยาวไม่ตอบอะไร ทั้งสองเดินทางมายังบึงสีไฟที่อยู่ไม่ไกลนัก จิ๋วพอได้เห็นบึงขนาดใหญ่ก็ถึงกับร้องอุทานออกมา

“โห สวยจังเลยละ โรแมนติกมากด้วย แหมเข้าใจเลือกนะ” จิ๋วกล่าวด้วยรอยยิ้ม แต่กฤษณาได้แต่พยักหน้า เขาเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมเขาถึงเลือกที่นี่ แต่ดูเหมือนที่นี่จะเป็นที่เดียวที่เขานึกออก

“ตรงโน้นมีสวนด้วยละ ไปดูกันดีกว่า” จิ๋วร้อง กฤษณาเดินตามอย่างใจลอยโดยไม่ได้คิดอะไร เขาเดินพลางมองไปรอบๆตัว บรรยากาศที่คุ้นเคย กลิ่นของต้นไม้ใบหญ้าพอจะทำให้ใจของเขาได้ผ่อนคลายลงบ้าง

“นี่ นี่ นี่กฤษ” จิ๋วทัก กฤษณาได้สติพลางหันกลับไปมอง จิ๋วมองหน้ากฤษณาพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย

“เป็นอะไรเหม่อเชียว นี่ทำให้มันเหมือนกับคนรักกันหน่อยสิ” จิ๋วพูด กฤษณาเบ้ปากพลางโอบร่างของจิ๋วมากอดไว้ จิ๋วซบลงที่แขนของกฤษณาพลางเดินอมยิ้มอย่างมีความสุข แต่กฤษณากลับไม่รู้สึกอบอุ่นแต่อย่างใด อันที่จริงเขาเหมือนไม่รู้สึกอะไรเลยด้วยซ้ำไป กฤษณาและจิ๋วเดินต่อไปที่พิพิทธภัณฑ์สัตว์น้ำที่จัดเอาไว้ จิ๋วมองดูปลาในตู้อย่างสงสัย

“อี๋ ปลาหรอเนี่ยตัวนี้น่าเกลียดจัง ทำไมตามันไปอยู่ตรงนั้นละ” จิ๋วพูดพลางชี้ดูปลาในตู้ กฤษณาก็หันไปมอง

“ปลาตาเดียวนะหรอ” กฤษณาพูด จิ๋วขมวดคิ้ว

“ตาเดียวที่ไหนละนี่ไงตามันอยู่ที่กลางหน้าผากนี่ไง” จิ๋วแย้ง กฤษณากรอกตา

“ก็คนสมัยก่อนเขาเห็นมันมีตาอยู่ข้างเดียวเขาเลยเรียกมันปลาตาเดียวไง” กฤษณาอธิบาย จิ๋วพยักหน้าหงึกๆ

“อ๋อ แต่น่าเกลียดดีเนอะ” จิ๋วพูด กฤษณาขมวดคิ้ว

“มันน่าเกลียดตรงไหนหรอ ก็แค่มันมีตำแหน่งของตาอยู่แปลกไปแค่นั้นเอง” กฤษณาแย้ง จิ๋วเบ้ปาก

“ไม่เอาอะ น่ากลัวจะตาย เหมือนสัตว์ประหลาดเลย” จิ๋วพูด กฤษณาส่ายหัวไปมาแต่ก็ไม่ได้ตอบอะไร

“ใครๆก็ว่าเราเป็นตัวประหลาดทั้งนั้นแหละ” เสียงของชลาธลดังขึ้นในหัว กฤษณาถอนหายใจยาว บางครั้งเขาก็สุดที่จะเข้าใจว่าทำไมแค่คนเรามีอะไรที่แตกต่างไปก็ต้องถือว่าเป็นเรื่องประหลาด เรื่องไม่ดีบ้าง ทั้งๆที่เขาอาจจะไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนั้นเสียหน่อย กฤษณากับจิ๋วเดินดูรอบพิพิทธภัณฑ์โดยที่จิ๋วก็คอยถามโน่นถามนี่ กฤษณาตอบได้บ้างไม่ได้บ้างแต่ก็ตอบไปตามเรื่อง เขายิ่งมองมันก็ยิ่งรำลึกถึงวันที่เขากับชลาธลมาเดินเที่ยวด้วยกัน เขายังจำได้ดีว่าเขามีความสุขแค่ไหน เขาเดินคุยกันอย่างสนุกสนาน หัวเราะ และแลกเปลี่ยนความคิดกัน แต่ตอนนี้ สถานที่แห่งเดิมเพียงแต่ไม่มีชลาธลเท่านั้นมันกลับดูต่างออกไปราวกับไม่ใช่ที่เดียวกัน

“กฤษ เราหิวแล้วละ” จิ๋วทัก กฤษณาพยักหน้ารับอย่างเซ็งๆก่อนที่จะออกไปหาอะไรกินกัน ทั้งสองตัดสินใจนั่งกินที่ร้านอาหารที่อยู่ไม่ไกลนัก กฤษณานั่งอยู่ที่โต๊ะอย่างเลื่อนลอย

“กฤษ กฤษ นี่ กฤษ” จิ๋วร้อง กฤษณาสะดุ้งขึ้นพลางหันไปมอง

“อะ อะไร” กฤษณาทัก จิ๋วกรอกตา

“ทำไมหรอ อยู่กับเรามันน่าเบื่อขนาดนั้นเลยหรอ” จิ๋วทัก กฤษณาได้แต่นั่งนิ่งไม่ตอบอะไร

“นี่ พูดอะไรบ้างสิเป็นใบ้หรอ” จิ๋วพูดอย่างมีอารมณ์ กฤษณามองหน้าจิ๋วพลางถอนหายใจ

“แล้วจะให้พูดอะไรละ” กฤษณาถาม จิ๋วเบ้ปาก

“อะไรก็ได้นะ แบบ เอางี้เวลาเธอคุยกับธลเธอพูดอะไรบ้างละ” จิ๋วถาม กฤษณาเริ่มนึกถึงทุกครั้งที่เขาคุยกับชลาธล เขาแทบไม่ต้องคิดเลยด้วยซ้ำว่าจะต้องพูดอะไร เขาก็แค่พูดในสิ่งที่เขาอยากจะพูด และไม่ว่าจะเรื่องอะไรชลาธลก็รับฟังเขาทุกเรื่องไม่มีปริปาก

“อืม ก็พูดทุกเรื่อง” กฤษณาตอบ จิ๋วกรอกตา

“เช่นอะไรละ แฟชั่น หรือ เรื่องเรียน ชีวิต อะไรงี้” จิ๋วซัก กฤษณาขมวดคิ้ว

“ก็ทุกเรื่องนะ อืม ชีวิต มั้ง” กฤษณาตอบ จิ๋วกรอกตาไปมา

“แล้วชีวิตเขาเป็นยังไงหรอ” จิ๋วถาม กฤษณาเริ่มคิด

“เขาเป็นเด็กกำพร้านะ ใครๆก็รังเกียจ แต่เขา...” กฤษณาหยุดพูดไปชั่วขณะ ตาของเขาลุกวาว

“กฤษ” จิ๋วถามพลางหันหลังกลับไปมองแล้วเธอก็พบคำตอบ ชลาธลยืนตัวแข็งอยู่ตรงหน้าของทั้งสอง มือของเขาสั่นเทา แววตาจ้องเขม็งมาที่กฤษณา

“ธล” กฤษณาพูดขึ้น ชลาธลเหมือนได้สติ เขาก้มหน้าหลบไปเล็กน้อย พลางเดินหันหลังกลับไป กฤษณาลุกขึ้นแต่จิ๋วจับมือของกฤษณาไว้ กฤษณาก้มลงมองดู แววตาของจิ๋วเหมือนจะบอกกับเขาว่าถ้าเขาตามไปมันจะเป็นการยอมรับว่าเขานั้นเป็นเกย์จริงๆ กฤษณากำมือแน่น แม้ว่าเขาอยากจะวิ่งไปอธิบายให้ชลาธลฟังใจจะขาดแต่คำนั้นยังคงหลอกหลอนเขาอยู่ทำให้เขาก้าวขาไม่ออก กฤษณานั่งลงที่โต๊ะอย่างเซื่องซึม

“เขาดีต่อเธอมากขนาดนั้นเลยหรอ” จิ๋วถาม กฤษณาไม่ตอบอะไรได้แน่นั่งนิ่ง ใจของเขามันสับสนไปหมด เขาอยากจะอยู่ข้างชลาธลเหมือนแต่ก่อนแต่เขากลับทำไม่ได้ ยิ่งจะให้เขาลืมชลาธลไปมันยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ เขาไม่อาจตัดสินใจอะไรได้เลย

“ตามเขาไปเถอะ กฤษ” จิ๋วพูดขึ้น กฤษณามองหน้าจิ๋ว เธอมีสีหน้าเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด

“เราขอโทษนะ เราคงหวังในตัวนายมากไปหน่อย คือ เราแค่อยากให้นายลองคบเราดูบ้างเพื่อว่าอย่างน้อยๆนายจะลองมองเราใหม่ดูบ้าง แต่เราว่าเราดูถูกใจของนายมากไปหน่อย” จิ๋วพูดพลางมองหน้ากฤษณา

“เราชอบนายนะ แต่เราว่าเราควรจะปล่อยนายให ้นายยู่กับคนที่นายรักดีกว่า” จิ๋วตอบ กฤษณาขมวดคิ้ว

“เธอจะมาไม้ไหนอีก คิดจะลองใจเราอีกงั้นหรอ ต้องให้เราพูดใช่ไหมว่าเราเกลียดธลนะ” กฤษณาย้อน จิ๋วส่ายหัว

“ไม่จำเป็นหรอก เพราะเรารู้ยังไงนายก็ทำไม่ได้แน่ๆ” จิ๋วตอบ กฤษณาหยุดคิดเล็กน้อย ซึ่งมันก็เป็นเรื่องจริง เขาจะพูดคำนั้นได้อย่างไรในเมื่อแม้แต่ตอนนี้เขายังไม่เคยลืมชลาธลเลย

“ถ้าตามไปตอนนี้ยังทันนะ” จิ๋วพูด กฤษณาส่ายหัวช้าๆ

“ระ เราทำไม่ได้หรอก เราไม่อยากจะเป็นเกย์ เรายอมรับมันไม่ได้” กฤษณาพูด จิ๋วเอามือทุบโต๊ะเสียงดัง

“แล้วไงหรอ แล้วนายจะปล่อยให้ตัวเองจมอยู่ในกองทุกข์แบบนี้นะหรอฮะ ความสุขนะมันหากันไม่ได้ง่ายๆหรอกนะ นายคิดแล้วหรอว่าทำแบบนี้แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นนะ” จิ๋วตวาด กฤษณาขมวดคิ้วใส่

“แล้วเธอเองไม่ใช่หรอที่พูดแบบนั้น” กฤษณาย้อน จิ๋วส่ายหัว

“เออ เราผิดเองที่พูดกับนายไปอย่างนั้น เราก็แค่อยากอยู่ข้างนายบ้างเท่านั้นเอง แต่ นี่ นายกับเขาเองก็รักกันขนาดนี้แล้วนายจะปล่อยให้ความรักที่นายกับเขาสร้างขึ้นมาต้องพังทลายลงเพียงแค่คำคำเดียวเนี่ยนะหรอ” จิ๋วถาม กฤษณาส่ายหัว

“ไม่หรอก มันเป็นไปไม่ได้” กฤษณาพูด จิ๋วกำหมัดแน่น

“ป๊าป” มือของจิ๋วตบไปที่แก้มของกฤษณาเสียงดังสนั่น กฤษณามองหน้าจิ๋วอย่างงงๆ

“อีตาบ้า ทำไมไม่หัดเข้าใจอะไรบ้างเลยนะ เราคิดผิดจริงๆที่หลงรักนาย เราคิดว่านายเป็นคนหนักแน่น รักษาคำพูดเสียอีก ทีแท้ก็ไอ้ไก่อ่อนดีๆนี่เอง” จิ๋วด่า กฤษณาเริ่มคิด ภาพรอยยิ้มของชลาธลค่อยๆเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ แล้วกฤษณาก็พึ่งจะคิดอะไรออก ชลาธลเองเขาก็เป็นจระเข้แต่เขาก็ยังกล้าที่จะยอมรับตรงนั้น แม้เขาจะอยู่ในร่างของมนุษย์แต่ชลาธลก็ยังรับงานจากหลวงตาไปเจรจากับเหล่าจระเข้และถึงขนาดเอาตัวเองเข้าเสี่ยงเพื่อช่วยเหลือคนอื่น แม้ว่าจะไม่มีใครเห็นความสำคัญของเขาก็ตาม

“เรายอมรับนายตั้งแต่เราบอกว่านายเป็นเพื่อนเราแล้วละ และไม่ว่าอะไร เราก็จะไม่ทิ้งนายเด็ดขาด เราสัญญา” กฤษณานึกถึงคำสัญญาที่เขาให้กับชลาธลไว้ กฤษณามองมือตัวเองพลางลุกขึ้น เขารีบวิ่งออกไปทันที แต่แล้วเขาก็กลับมากอดจิ๋วเอาไว้

“ขอบใจนะที่เตือนสติ” กฤษณาตอบ พลางรีบวิ่งออกตามหาชลาธลทันที

“เราสัญญาแล้วนี่ เราสัญญากับเขาเองว่าเราจะไม่ทอดทิ้งเขา แล้วยังไงหรอ เขาเป็นจระเข้ เราเป็นเกย์ มันก็ไม่เห็นจะสำคัญเลยนี่นา แค่ได้อยู่ด้วยกันไม่ใช่หรอ” กฤษณาคิดพลางวิ่งออกตามหาชลาธล เขารู้ดีว่าต้องไปที่ไหน กฤษณารีบจับรถกลับไปยังวัดแล้วก็วิ่งตรงไปยังบึงที่ทั้งสองเล่นด้วยกันเป็นประจำ กฤษณาหายใจหอบ ชลาธลต้องอยู่ในถ้ำทองแน่ๆ แต่ทางที่จะลงไปยังถ้ำทองนั้นมันไม่ง่ายเลยจริงๆ เพราะขนาดว่าเขาเคยกลั้นหายใจในน้ำแล้วก็ยังไม่ถึง แถมเขายังไม่รู้ที่ที่อยู่ที่แน่นอนอีกด้วยกฤษณากำมือแน่นพลางถอดเสื้อผ้าของเขาออกแล้วก็กระโดดลงน้ำไปทันที เขาดำน้ำลึกลงไปเรื่อยๆพลางแหวกว่ายไปมา เขามองภายใต้ผิวน้ำอย่างละเอียดถี่ถ้วน เขาพยายามมองหาแสงสีทองที่อาจส่องมาจากที่ไหนสักแห่ง แต่กฤษณาว่ายอยู่ได้สักพักเขาก็เริ่มรู้สึกอึดอัด เขารีบโพล่ขึ้นไปเหนือผิวน้ำทันที

“แฮ่ก แฮ่ก” กฤษณาหายใจหอบ พลางมองกลับไปที่ฝั่ง เขาพึ่งอยู่ห่างจากฝั่งไปไม่เท่าไหร่เอง กฤษณาสูดหายใจเข้าไปใหม่พลางพลิกตัวกลับลงไปใต้ผิวน้ำอีกครั้ง กฤษณาดำดิ่งลงไปเพื่อหาถ้ำทองแต่เขาก็ยังไม่เข้าใกล้ กฤษณาดำผุดำโพล่อยู่นานแต่เขาก็ยังหามันไม่เจอ กฤษณาหายใจหอบด้วยความเหนื่อยอ่อน หูเขาปวดไปหมด มือของเขาเปื่อยยุ่ย

“ไม่ เราจะยอมแพ้แค่นี้ไม่ได้” กฤษณาคิดพลางกระโดดลงไปใต้ผิวน้ำอีกครั้ง กฤษณาว่ายลงไปให้ลึกที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้พลันพลางส่ายตามองไปโดยรอบ แต่แล้วเขาก็เห็นแสงสีทองส่องสว่างอยู่ลิบๆ กฤษณาตาลุกวาวพลางรีบว่ายเข้าไปใกล้ทุกทีๆ เขาว่ายเข้าไปใกล้ระดับนึงแล้วเขาก็โพล่ขึ้นมาหายใจ กฤษณาหอบหายใจสักพักก่อนจะก้มลงดูอีกครั้ง แสงสีทองยังคงส่องแสงเรืองรอง กฤษณามั่นใจว่านั่นจะต้องเป็นถ้ำทองแน่ๆ กฤษณาโพล่หัวขึ้นไปพลางสูดหายใจลึก แล้วเขาก็รีบดำน้ำไปยังเป้าหมายทันที เขาแหวกทวนกระแสน้ำไปเรื่อยๆ แสงสีทองค่อยๆสว่างขึ้นทุกทีๆ กฤษณาว่ายดำลงไปลึกเรื่อยๆ เขาว่ายอยู่ได้สักพักเขาก็เริ่มรู้สึกอึดอัด แต่นั่นหาได้หยุดกฤษณาไม่ เขายังคงพยายามดั้นด้นว่ายเข้าไปให้ได้

“อีกนิดเดียว อีกนิดเดียว” กฤษณาพูดกับตัวเองทั้งๆที่อากาศในปอดของเขามันแทบจะไม่มีเหลือแล้ว กฤษณาแหวกกระแสน้ำเร็วขึ้น เพราะอีกไม่นานเขาคงไม่อาจจะทนได้อีก กฤษณากวาดแขนขาอย่างรวดเร็วเพื่อดันร่างเขาให้ใกล้ถ้ำนั่น ปากถ้ำสีทองส่องแสงอร่าม กฤษณารวบรวมกำลังเฮือกสุดท้ายดันตัวเองเข้าไปในถ้ำจนได้ กฤษณาโพล่เข้ามาในถ้ำพลางนอนหายใจหอบ กฤษณามองไปรอบๆถ้ำทอง ของประดับตกแต่งของธลถูกยึดไว้อย่างแน่นหนา กฤษณาค่อยๆพยุงร่างของเขาขึ้น เขาถึงกับเซเล็กน้อยเพราะเนื่องจากการดำน้ำเป็นเวลานาน แต่กฤษณาก็ยังคงต้องหาชลาธลให้เจอ

“ธล” กฤษณาร้องเรียก แต่ก็ไม่มีเสียงใดๆตอบกลับมา กฤษณาเดินลึกเข้าไปในถ้ำ

“ธล ออกมาเถอะนะ เรามีเรื่องอยากจะคุยด้วย” กฤษณาส่งเสียงแต่ก็ยังไม่มีวี่แววของชลาธลที่จะโพล่ออกมาเลย กฤษณาเดินลึกเข้าไปทุกทีๆ แต่เขาก็ยังไม่เจอ

“ธล อยู่ไหนนะออกมาเถอะ” กฤษณาร้อง เขาเดินไปจนสุดถ้ำแต่เขาก็ไม่เห็นใคร กฤษณาพยายามนึกว่าถ้ำนี้จะมีช่องลับอะไรให้ชลาธลนั้นซ่อนตัวได้หรือไม่ แต่เขาก็นึกไม่ออก อันที่จริงมันเหมือนจะไม่มีด้วยซ้ำ กฤษณาเริ่มกังวลใจ

“หรือว่าเรามาหาผิดที่” กฤษณาคิดพลางเดินวนดูรอบๆถ้ำอยู่สักพัก แต่เขาก็ไม่เห็นวี่แววของชลาธลเลย กฤษณานั่งลงอย่างหัวเสีย

“เขาไปไหนของเขากันนะ” กฤษณาบ่นพลางพยายามคิด แต่ส่วนใหญ่แล้วชลาธลไม่ค่อยได้ออกไปเที่ยวไหนสักเท่าไหร่ กฤษณาเอามือกุมหัวพลางตั้งสติคิดให้ดี

“โว้ย เขาจะไปที่ไหนได้อีกละวะ” กฤษณาคิดอย่างสับสน เขาจะรอใจของเขามันก็ร้อนรนเกินกว่าเขาจะทนอยู่เฉยๆได้ กฤษณาตัดสินใจกลับไปที่ผิวน้ำอีกครั้ง ตอนขากลับดูเหมือนจะง่ายกว่าขามาอาจเป็นเพราะกฤษณาพอจะคุ้นเคยกับเส้นทางแต่พอกฤษณามองย้อนกลับไปที่ฝั่งเขาก็ต้องยอมรับว่ามันไกลกันอยู่เอาเรื่องเหมือนกัน กฤษณาส่ายหัวไปมาพร้อมกับออกว่ายกลับไปยังฝั่ง กฤษณาต้องหยุดพักเป็นช่วงๆเพื่อพักเหนื่อยแต่สุดท้ายแล้วเขาก็มาถึงจนได้ กฤษณาหายใจหอบพลางพยายามคิดถึงสถานที่ที่ชลาธลน่าจะไปอยู่ได้ กฤษณาไม่รอให้ตัวแห้งเขารีบแต่งตัวแล้วออกวิ่งกลับไปที่วัดทันที ขาของกฤษณาเริ่มจะเมื่อยล้าแต่เขาก็ไม่ได้หยุดที่จะวิ่ง เขาทำให้ชลาธลลำบากมาตลอดเวลา และเขายังทำให้ขลาธลต้องเจ็บปวดอีก กฤษณากัดฟันแน่น

“ต่อให้มันต้องลงเอยยังไง เราจะไม่หนีอีกแล้ว” กฤษณาพูดกับตัวเอง เขาวิ่งกลับไปถึงวัดในเวลาต่อมา เขารีบเดินเข้าไปในกุฏิทันที

“เฮ้ยไอ้กฤษ ทำไมเอ็งตัวเปียกงี้วะ อ๋อ ไอ้ธลไม่อยู่นะข้าให้มันไปซื้อของมันยังไม่กลับมาเลย” หลวงตายุทกล่าว กฤษณาหันกลับไปยกมือไหว้

“ขอบคุณนะครับหลวงตา แล้วหลวงตาให้ธลซื้อะไรบ้างหรอครับ” กฤษณาถาม

“ก็ของใข้จุกจิกของพวกเด็กๆในวัดนะ ยาสีฟันแปรงสีฟันอะไรพวกนี้นะ ทำไมหรอ” หลวงตายุทถาม กฤษณายกมือไหว้อีกครั้ง

“ขอบคุณนะครับหลวงตา แต่ตอนนี้ผมยุ่งๆไว้คุยกันนะครับ” กฤษณาพูดพลางวิ่งฉิวออกไปจากวัดทันที กฤษณามองดูรอบๆแล้วเขาก็จัดแจงตระเวณถามร้านขายของชำทุกร้านเท่าที่เขาจะถามได้

“ขอโทษนะครับ พี่เห็นผู้ชายผิวสีน้ำผึ้งล่ำๆตัวใหญ่ๆมาซื้อของไปไหมครับ” กฤษณาถามคำถามนี้กับทุกร้านที่เขาผ่านไม่ว่าจะร้านเล็กร้านใหญ่ ร้านย่อย หรือแม้แต่ร้านข้างเคียงเขาก็ยังถามเพื่อจะเห็นชลาธลเดินผ่านไปบ้างแต่ส่วนใหญ่ก็มักจะเห็น ไม่เห็นก็ลืม ไม่ลืมก็ให้ข้อมูลผิดๆ แต่กฤษณาก็ไม่ได้ย่อท้อเขาเดินวนจนจะรอบเมืองเพื่อว่าจะเจอกับชลาธลเข้าระหว่างทาง

“อ๋อ ฉันเห็นเขาเดินไปทางบึงสีไฟโน่นแหนะ” ชายคนนึงตอบ กฤษณายกมือไหว้ทันที

“ขอบคุณครับพี่” กฤษณาพูด พลางคิดว่านั่นคงจะเป็นตอนเมื่อกลางวัน กฤษณามองดูท้องฟ้าที่ตอนนี้กำลังจะลับขอบฟ้า กฤษณามองดูไปตามถนน

“เอาวะ” กฤษณาคิดพลางก้าวขาทันที สำหรับเขาตอนนี้แล้วยังไงเขาก็ต้องหาตัวชลาธลให้เจอ แม้ว่าชลาธลจะรังเกียจเขาแล้วก็ตาม แต่อย่างน้อยๆเขาก็อยากจะบอกกับปากของเขาเองว่าเขาขอโทษ กฤษณาวิ่งไปตามถนนใหญ่พลางมองไปรอบตัวเพื่อจะเจอชลาธลระหว่างทาง แต่ก็ไร้ซึ่งวี่แวว กฤษณาวิ่งอย่างเหนื่อยล้าแต่เขาก็ยังพยายามจะก้าวต่อไป กฤษณาวิ่งจนท้องฟ้าเริ่มจะเปลี่ยนเป็นสีดำ เขามาถึงบึงก็เกือบจะทุ่มนึงอยู่แล้ว กฤษณาเริ่มออกเดินหาชลาธล เขาเดินไปทุกแห่งที่เขาเคยพาชลาธลไป เขาเดินมองซ้ายทีขวาทีแต่ก็ไม่พอ กฤษณาเริ่มหายใจหอบอย่างเหนื่อยอ่อน ขาของเขามันแทบจะไม่มีแรงแม้แต่จะขยับอีกแล้ว แต่กฤษณากัดฟันแน่นพลางพยายามยกขาก้าวเดินต่อไป เขาเดินจนมาถึงพิพิทธภัณฑ์สัตว์น้ำ แต่ทว่ามันปิดเสียแล้ว กฤษณาถอนหายใจยาวด้วยความเหนื่อยอ่อน สุดท้ายแล้วเขาก็มาไม่ทัน เขามองดูพิพิทธภัณฑ์ตรงหน้าประตูของมันลงกลอนแน่นสนิทเขาไม่มีทางที่จะเข้าไปได้เลย กฤษณาเดินอย่างเหนื่อยอ่อนลงไปนั่งที่ม้านั่งที่อยู่ไม่ไกลนัก เขานั่งก้มลงพลางเอามือกุมหัวเอาไว้

“ธล เราขอโทษนะ เพราะเราเองที่ไม่หนักแน่นพอ เรากลัวแต่จะเป็นเกย์ทั้งๆที่นายเองลำบากกว่าเราตั้งเยอะ แต่เราก็ดันไม่คิดจะใส่ใจ เราอยากจะบอกนายเหลือเกินว่าตอนนี้มันไม่สำคัญอีกแล้ว ต่อให้เราต้องเป็นเกย์ หรือ เป็นจระเข้ แค่ให้เราได้อยู่ข้างนายเราก็มีความสุขแล้วละ” กฤษณารำพึงพลางมองดูท้องฟ้าที่เหล่าดาราต่างออกมาเปล่งแสงสว่างราวอัญมณีที่แสนจะมีค่า

“ธล เรารักนายนะ” กฤษณาพูด

“เราก็รักนายนะ” เสียงของชลาธลดังขึ้น กฤษณาหันกลับไปมอง ชายคนที่นั่งข้างๆเขา มีผิวสีน้ำผึ้งเข้มกับรูปร่างที่สูงใหญ่ กฤษณาแทบจะหล่นจากม้านั่ง

“เฮ้ย ธล” กฤษณาร้อง ชลาธลโผเข้ากอดร่างของกฤษณาทันที

“นายมาจริงๆด้วย อย่างที่จิ๋วบอกเลย” ชลาธลพูด กฤษณาขมวดคิ้ว

“เราเจอเขา และเขาบอกว่าถ้าเรายังรักเขาอยู่จงให้โอกาสเขาแล้วรอจนกว่าเขาจะกลับมา” ชลาธลตอบ กฤษณามองหน้าชลาธลอย่างงงๆ

“จิ๋วเล่าทุกอย่างให้ฟังหมดแล้ว และเธอก็ขอโทษกับเรื่องที่เกิดขึ้นด้วย เธอบอกว่าเธอเองก็ชอบนายมาก แล้วอิจฉาที่เราอยู่แต่กับนาย เธอเลยอยากให้นายได้ใช้เวลาอยู่กับเธอสองต่อสองดูบ้าง” ชลาธลตอบ กฤษณาพยักหน้ารับ

“ตอนแรกที่เธอเจอเรา เราเองก็ตกใจไม่น้อย เราก็คิดว่าเธออาจจะหลอกให้เราคอย แต่ไม่รู้สิ ใจเราเองก็เชื่อเหมือนกันว่านายต้องมา แล้วนายก็มาจริงๆ” ชลาธลพูด กฤษณากอดร่างของชลาธลตอบกลับไป

“เราต่างหากที่ต้องขอโทษ ธล เรามันไม่ดีเอง เรามันโลเล เรามันไม่ได้เรื่อง ทั้งๆที่เราสัญญากับนายไว้อย่างนั้นแต่เรากลับทำมันไม่ได้ ธลเราขอโทษจริงๆนะ จากนี้เราจะไม่สนอะไรทั้งนั้นแล้ว เพราะเราเข้าใจแล้วว่าเราต้องการอะไร ธล เรารักนายนะ” กฤษณาพูดพลางจ้องตาของชลาธล

“ต่อให้นายห่างเราไปจริงๆ เราก็ไม่คิดจะเลิกรักนายอยู่แล้วละ” ชลาธลตอบ กฤษณากอดร่างของชลาธลเอาไว้

“จากนี้ไปเราจะไม่หนีนายอีกแล้ว” กฤษณากล่าว ชลาธลกอดร่างของกฤษณาตอบกลับไป

“เราเองก็จะอยู่ข้างนายเหมือนกัน” ชลาธลตอบ ทั้งสองกอดกันท่ามกลางหมู่ดาวที่ร่วมเป็นสักขีพยานรักของทั้งสองในวันนี้...


“คุณคะ อาบน้ำเสร็จหรือยังคะ” เสียงของหญิงสาวดังขึ้น ชายหนุ่มตื่นขึ้นมาจากภวังค์

“อะ จ๊ะจะเสร็จแล้ว” ชายหนุ่มตอบ

“คะ จะบอกว่าอาหารเย็นพร้อมแล้วนะคะ” หญิงสาวพูด ชายหนุ่มพยักหน้าพลางเอื้อมมือไปปิดก๊อกน้ำ

“เดี๋ยวผมลงไป” ชายหนุ่มตอบพลางถอนหายใจยาว

“เราต้องเลิกหนีสักที” ชายหนุ่มคิดอยู่ในใจก่อนที่จะออกไปแต่งตัวและลงไปหาครอบครัวของเขา


wee

  • บุคคลทั่วไป
Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
«ตอบ #59 เมื่อ20-01-2007 21:37:14 »

คงเหนื่อยเหมือนกันน่ะ...ที่จะต้องวิ่งหนีหัวใจตัวเองน่ะ
แต่การยอมรับหัวใจตัวเอง ...ก็คงจะยากน่าดู


สงสารทั้งคู่เลย....
 

[attachment deleted by admin]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-01-2007 21:38:45 โดย wee »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด