เสียงใสขาดหายเมื่อเห็นว่าเจ้าของมือใหญ่ที่จับแขนตัวเองไว้แน่นเป็นใคร เชษฐ์ขมวดคิ้วก่อนจะถามเสียงต่ำพอให้ได้ยินกันเพียงสองคน
“จะไปทำธุระอะไรที่ไหน?”
ภัทรกระพริบตาเมื่อได้ยินคำถามก่อนจะรีบตอบเมื่อตั้งตัวได้ “คุณเชษฐ์! พอดีเลย ผมมีเรื่องจะคุยด้วย”
คิ้วเข้มเลิกขึ้นข้างหนึ่งแม้นัยน์ตาหลังกรอบแว่นจะยังดูกรุ่นไปด้วยอารมณ์ มือแข็งแรงปล่อยแขนที่รั้งเอาไว้ให้เป็นอิสระก่อนจะก้มลงกระซิบข้างหูคนตัวเล็กกว่าเบาๆ
“ถ้างั้นไปรอในห้องฉันที่ด้านในก่อน เสร็จจากประชุมเมื่อไหร่ค่อยคุยกัน”
ฝ่ามือใหญ่บีบลงบนบ่าไม่แรงนักก่อนที่ร่างสูงจะเดินกลับไปทางห้องประชุมอีกครั้ง ภัทรมองตามคนที่เดินจากไปก่อนจะกำมือแน่นแล้วระบายลมหายใจช้าๆ วันนี้เขาต้องมองตามแผ่นหลังของอีกฝ่ายกี่ครั้งแล้วนะ
มือเรียวแตะลงบนบ่าที่ถูกสัมผัสเมื่อครู่ก่อนจะหันกลับแล้วเดินตรงไปยังออฟฟิศด้านในสุด หลังจากมองไปรอบตัวจนแน่ใจว่าคงไม่มีคนเห็นแล้วภัทรจึงเปิดประตูห้องของเชษฐ์เข้าไปก่อนจะปิดประตูตามหลัง
แม้ว่าจะเคยไปเยี่ยมบ้านของเจ้าตัวหลายครั้ง แต่ว่านี่เป็นครั้งแรกที่ภัทรได้เข้ามาในอาณาเขตส่วนตัวของเชษฐ์ในที่ทำงาน ความเป็นระเบียบถูกสะท้อนให้เห็นจากทุกมุมห้องผ่านแฟ้มเอกสารบนชั้นที่ถูกจัดเรียงตามลำดับตัวอักษรและเลขปีอย่างเรียบร้อย ขณะที่บนโต๊ะทำงานก็มีเพียงโทรศัพท์ เครื่องคอมพิวเตอร์และกล่องใส่ปากกาโลหะโดยไร้ซึ่งกรอบรูปหรือเครื่องประดับโต๊ะจุกจิกเช่นที่คนอื่นมักนำมาตกแต่งกัน
ภัทรกวาดสายตาไปรอบห้องก่อนที่สายตาจะสะดุดลงที่โคมไฟตั้งพื้นขนาดสูงที่มีหลอดไฟสามดวงลดหลั่นกันซึ่งตั้งอยู่ข้างโต๊ะ ใบหน้าหวานยิ้มออกมาได้เมื่อได้เห็นอีกสิ่งที่สะท้อนรสนิยมความชอบของเชษฐ์ เพราะนั่นคือโคมไฟแบบเดียวกันกับที่เขาเคยเห็นเวลาไปเยี่ยมบ้านของคนตัวใหญ่นั่นเอง
ชายหนุ่มเปิดสวิทช์โคมไฟเพื่อเพิ่มแสงสว่างในห้องก่อนจะก้าวไปยืนริมกระจกหน้าต่างซึ่งสามารถมองลงไปเบื้องล่างได้ หลังจากยืนดูภาพการจราจรอันติดขัดซึ่งเป็นเรื่องปกติของถนนหลักที่ด้านหน้าอาคารได้พักใหญ่ภัทรก็ตัดสินใจหยิบนิตยสารการตลาดจากบนชั้นมานั่งอ่านฆ่าเวลา ความที่ไม่รู้ว่าเชษฐ์จะประชุมเสร็จเมื่อไหร่ทำให้เขาไม่กล้าลุกออกไปไหนแม้ว่าเวลาจะผ่านเรื่อยๆไปโดยไร้วี่แววของเจ้าของห้องก็ตาม
หลังจากนั่งรออยู่ราวหนึ่งชั่วโมงมือเรียวขาวก็ปิดนิตยสารที่เปิดอ่านซ้ำไปซ้ำมาลงแล้วเก็บเข้าที่เดิม ภัทรยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูก่อนจะตัดสินใจลุกออกไปหาน้ำดื่มในครัว ทว่าเมื่อกำลังจะแตะมือลงบนลูกบิดประตูก็ต้องตกใจที่บานประตูถูกผลักเข้ามาพอดี
“ขอโทษที ตอนแรกฉันนึกว่าจะประชุมไม่นาน”
เชษฐ์เอ่ยก่อนจะรั้งแขนคนที่เกือบล้มหงายหลังเอาไว้ ตอนนี้ทั้งสองจึงยืนอยู่ใกล้กันจนคนตัวเล็กกว่าได้กลิ่นโคโลญจน์ที่อีกฝ่ายใช้อย่างชัดเจน ภัทรรีบถอยเพื่อเปิดทางให้อีกฝ่ายเข้ามาในห้องก่อนจะส่ายหน้าเป็นเชิงตอบว่าไม่เป็นไร
“ไม่เป็นไรครับ ผมเองก็ลืมไปว่าคุณเชษฐ์คงมีเรื่องต้องอัพเดตกับพวกผู้บริหารหลายเรื่อง ว่าแต่นี่ประชุมเสร็จแล้วใช่มั้ยครับ?”
คนถูกถามเพียงไหวไหล่ก่อนจะปล่อยมือแล้วเดินไปผลักบานกระจกหน้าต่างออก เครื่องปรับอากาศในบริษัทถูกปิดไปตั้งแต่หลังเวลาเลิกงานทำให้อากาศในห้องค่อนข้างอบอ้าว เมื่อลมจากภายนอกซึ่งหอบไอเย็นของฝนที่ตกเมื่อช่วงบ่ายไหลเวียนเข้ามาภัทรจึงหายใจสะดวกขึ้นบ้าง
ร่างสูงหยุดยืนที่ริมหน้าต่างก่อนจะหยิบซองบุหรี่ออกมาเกล็ดขึ้นคาบที่มุมปากด้วยความเคยชิน แต่แล้วเมื่อเหลือบเห็นคิ้วที่ขมวดอยู่บนใบหน้าของคนร่วมห้องมือใหญ่ก็หยิบบุหรี่ออกทิ้งลงถังขยะแต่ไม่ได้พูดอะไร ภัทรเห็นท่าทางดังนั้นก็รู้ทันทีว่าอีกฝ่ายคงยังไม่หายโกรธเพราะปกติเชษฐ์จะไม่หยิบบุหรี่ออกมาสูบต่อหน้าเขาเด็ดขาดเพราะรู้ดีว่าเขาไม่ชอบ
ริมฝีปากบางเม้มแน่นขณะก้มมองพื้นตรงหน้าโดยที่ยังพิงประตูอยู่ ชายหนุ่มรู้ว่าเชษฐ์คงกำลังรอให้เขาพูดอะไรสักอย่าง แต่เมื่อเห็นท่าทางเย็นชาของคนที่ยังทอดสายตามองไปด้านนอกก็ทำให้คำพูดที่เคยเตรียมไว้ไหลกลับลงคอ แม้เสียงการจราจรที่คับคั่งด้านล่างจะผ่านเข้ามาทางหน้าต่างก็จริงแต่บรรยากาศในห้องกลับอบอวลด้วยความเงียบจนน่าอึดอัด
สุดท้ายคนที่ทนความเงียบไม่ไหวจนต้องปริปากขึ้นก่อนกลับเป็นคนตัวใหญ่ที่ยังยืนอยู่ริมหน้าต่าง
“ภัทร มานี่ซิ”
คนถูกเรียกเงยหน้าขึ้นมองคนออกคำสั่งที่กำลังถอดแว่นออกพับใส่กระเป๋าเสื้อก่อนจะเดินเข้าไปหาอย่างหวาดๆ ทว่าเมื่อก้าวเข้าไปใกล้ก็ต้องส่งเสียงครางในคออย่างตกใจกับอ้อมแขนแข็งแรงที่รวบตัวเองเข้าไปกอดอย่างกะทันหัน ริมฝีปากอุ่นที่แนบตามลงบนขมับยิ่งจุดชนวนให้หัวใจเต้นแรงขึ้นจนราวกับจะกระดอนออกมานอกอก
“คุณเชษฐ์...”
ภัทรเรียกชื่ออีกฝ่ายยังไม่ทันขาดคำก็ถูกมือใหญ่เชยคางขึ้น นัยน์ตาเรียวเบิกกว้างเมื่อใบหน้าคมเข้มก้มลงหาและฉกเสียงที่ติดอยู่บนริมฝีปากไป ชายหนุ่มหลับตาแน่นเมื่อรู้สึกถึงปลายลิ้นที่ถูกสอดไล้เข้ามาในโพรงปากอย่างไม่ให้เวลาตั้งตัวจนเผลอยืนตัวแข็งทื่อ
มือใหญ่ที่เมื่อครู่เชยคางได้รูปอยู่เลื่อนไปประคองที่ต้นคอเรียวขณะที่มืออีกข้างลูบแผ่นหลังบางขึ้นลงอย่างปลอบโยน เชษฐ์เพียงถอนริมฝีปากออกนานพอให้คนในอ้อมแขนได้สูดหายใจเข้าก่อนจะเปลี่ยนมุมและประทับจูบลงอีกครั้ง ความตื่นกลัวทำให้คนที่ถูกโอบกอดสั่นไปทั้งร่าง ในสติที่เริ่มพร่าเลือนนั้นภัทรทั้งนึกอยากหนีและทั้งไม่อยากขัดขืนพายุอารมณ์ของอีกฝ่ายไปพร้อมกัน ที่ผ่านมาเชษฐ์ไม่เคยสัมผัสเขาด้วยอารมณ์รุนแรงเช่นนี้มาก่อนจนเขาไม่รู้จะสนองตอบอย่างไรจึงได้แต่ยึดบ่ากว้างไว้แน่น
สัมผัสที่อุกอาจและเร่งเร้าในตอนแรกค่อยๆผ่อนลงราวสายน้ำเอื่อยที่ตามมาหลังกระแสคลื่นอันกราดเกรี้ยว ภัทรหอบหายใจแรงเมื่อใบหน้าคมถอนริมฝีปากออกและอ้อมแขนใหญ่รั้งตัวเขาไว้แนบอก ใบหน้าหวานซุกลงเพื่อปิดบังใบหน้าที่ร้อนผ่าวแม้เสียงหัวใจที่เต้นรัวเร็วไม่หยุดคงส่งถึงอีกฝ่ายก็ตาม จริงอยู่ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เชษฐ์แสดงความต้องการในตัวเขาผ่านการสัมผัสเช่นนี้ แต่ตั้งแต่เริ่มคบกันอีกฝ่ายจะปฏิบัติกับเขาอย่างทะนุถนอมทุกครั้งเหมือนรู้ว่าภัทรยังต้องการเวลา ทว่าจูบที่เพิ่งผ่านไปกลับดึงดันและเอาแต่ใจราวถูกอัดแน่นไว้ด้วยความปรารถนาที่ถูกเก็บกดไว้มาตลอด
“เมื่อกี้ขอโทษด้วยนะ ตกใจหรือเปล่า?”
หลังจากปล่อยให้เสียงลมหายใจของกันและกันคลี่คลุมภายในห้องอยู่ครู่ใหญ่ เชษฐ์ก็เอ่ยถามขึ้นพลางถอยตัวออกเพื่อจะมองหน้าคนในอ้อมแขน แต่ภัทรกลับยิ่งซุกหน้าลงกับบ่ากว้างมากกว่าเดิมเพราะรู้ดีว่าตัวเองยังไม่พร้อมจะมองหน้าอีกฝ่ายในตอนนี้ ราวคนตัวใหญ่จะอ่านความคิดเขาออกจึงยกมือลูบต้นคอขาวเนียนเบาๆพลางเอาคางเกยผมนุ่มไว้โดยไม่ถามอะไรต่ออีก
ภัทรพยายามควบคุมลมหายใจที่หอบกระชั้นให้เป็นปกติก่อนจะค่อยๆเอียงหน้าเข้าหาอกอุ่นที่พิงอยู่ เสียงหัวใจเต้นเป็นจังหวะที่ถ่ายทอดมาจากเชษฐ์ผ่านร่างกายที่แนบชิดกันทำให้ความตื่นเต้นจากเหตุการณ์เมื่อครู่เริ่มผ่อนคลายลงบ้าง ชายหนุ่มหายใจเข้าลึกก่อนจะตัดสินใจเอ่ยสิ่งที่ตั้งใจจะพูดตั้งแต่แรกออกไป
“คุณเชษฐ์...เมื่อตอนบ่ายผมขอโทษนะครับ”
“อืม...ทีหลังอย่าทำแบบนั้นอีกก็แล้วกัน”
ร่างสูงใหญ่เอ่ยตอบก่อนจะดันตัวคนในอ้อมแขนออกเบาๆ ภัทรสบตากับนัยน์ตาสีเข้มโดยไม่มีกรอบแว่นบดบังแล้วก็พยักหน้าก่อนจะหลับตาลงรับจูบที่แนบลงบนหน้าผาก น่าแปลกที่เพียงแค่การได้สัมผัสใกล้ชิดกันเมื่อครู่ก็ราวกับทั้งสองจะสื่อสารความในใจต่อกันได้โดยไม่ต้องอธิบายยืดยาว ซึ่งความอดทนที่อีกฝ่ายมีเป็นสิ่งที่ภัทรไม่เคยได้รับตอนคบกับคนรักเก่าเลย
อ้อมแขนใหญ่คลายออกก่อนจะจูงร่างเพรียวให้ตามไปที่เก้าอี้พนักสูงบุหนังสีดำ ผิวแก้มเนียนจึงซับสีเลือดขึ้นมาเมื่อถูกกระตุกแขนให้นั่งลงบนตักของคนที่นั่งรออยู่ ภัทรทรุดตัวลงอย่างเกร็งๆก่อนจะหันไปถามเจ้าของห้องด้วยความประหม่า
“คุณเชษฐ์ ล็อกประตูแล้วใช่มั้ยครับ?”
คนถูกถามเลิกคิ้วขึ้นขณะสอดแขนทั้งสองรัดเอวบางเอาไว้ ความจริงภัทรรู้อยู่แล้วว่าเวลาค่ำหลังเลิกงานในวันศุกร์สิ้นเดือนเช่นนี้คงยากที่จะมีใครมาเคาะประตูเรียกเชษฐ์ไปคุยด้วยอีก แต่ถึงจะรู้เขาก็ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยกับรุ่นพี่ของตัวเองอยู่ดี
“ทำไมล่ะ หรืออยากให้ทำอะไรไม่ดีเลยต้องล็อกประตู?”
ภัทรค้อนคนถามที่ยิ้มเจ้าเล่ห์ให้แล้วก็เหลือบมองประตูห้องด้วยความกังวล คนตัวใหญ่จึงเอาคางเกยลงบนไหล่บางก่อนจะรัดเอวคนบนตักแน่นเข้า
“ไม่ต้องห่วงหรอก ตอนเข้ามาเมื่อกี้ฉันล็อกไปแล้วล่ะ ว่าแต่เพราะกลัวใครจะมาเห็นตอนเราอยู่ด้วยกันใช่รึเปล่าถึงได้หนีหน้าชั้นแทบตายเมื่อตอนบ่ายน่ะ?”
ยังจะมาถามอีก...ที่ต้องระวังขนาดนี้ก็เพื่อคุณเชษฐ์เองน่ะแหละ ภัทรคิดในใจอย่างขวางๆแต่กลับเลือกจะตอบเฉไฉไม่ตรงกับคำถามแทน
“ถ้าล็อกแล้วก็ดีครับ ผมแค่คิดเผื่อไว้เฉยๆ”
“งั้นก็แล้วไป ฉันนึกว่าเธอไปเห็นคุณนินกับป๋วยทำอะไรกันตอนอยู่ในออฟฟิศถึงได้เกร็งขึ้นมาซะอีก”
“คุณเชษฐ์รู้?”
ภัทรหันขวับมองคนพูดด้วยความประหลาดใจเพราะคิดว่าตัวเองเป็นคนเดียวที่กำความลับของรุ่นพี่ไว้ เชษฐ์จึงยักไหล่เหมือนไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ
“ถึงจะระวังตัวกันแค่ไหนความลับก็ไม่มีในโลกหรอก อยากให้บอกมั้ยว่าฉันรู้เรื่องคู่ไหนในออฟฟิศนอกจากสองคนนี้อีก?”
คนถูกถามนึกถึงเพื่อนร่วมงานแต่ละคนขึ้นมาแล้วก็รีบส่ายหน้า ท่าทางคุณผู้จัดการคนเก่งจะรู้ข้อมูลความเป็นไปของคนในบริษัทมากพอสมควร แต่ถ้าให้เลือกภัทรก็ไม่อยากได้รับการแบ่งปันความรู้แบบนี้อยู่ดี “ไม่เอาดีกว่าครับ ผมยังอยากมองหน้าทุกคนได้อย่างสนิทใจอยู่ คุณเชษฐ์เก็บไว้รู้คนเดียวเถอะ”
เชษฐ์ยิ้มก่อนจะสูดกลิ่นหอมจากแก้มเนียนตรงหน้าจนภัทรเขินขึ้นมาอีก บทคนตัวใหญ่จะได้ทีฉวยโอกาสก็ตักตวงเอาอย่างไม่เกรงใจกันเลยสักนิด แต่แล้วประโยคที่อีกฝ่ายเอ่ยตามมาก็ทำให้คิ้วเรียวต้องเลิกขึ้นอย่างประหลาดใจ
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว แล้วก็รู้ไว้ด้วยนะว่าไม่จำเป็นต้องเกร็งเวลาอยู่กับฉันในออฟฟิศหรอก ถ้าใครจะเห็นหรือจะรู้ก็ปล่อยเขาไป เราไม่ได้แอบใครทำเรื่องไม่ดีนี่นา”
“แต่ว่า...”
คนถูกอบรมอดจะแย้งไม่ได้แม้จะนึกคำพูดต่อไม่ออกเพราะโดนดักทางไว้แล้ว อาจเพราะท่าทางของเขาที่แสดงออกให้เห็นนั้นชัดเจนเกินไปอีกฝ่ายจึงเดาได้ว่าเขากำลังคิดมากเรื่องอะไรอยู่ เชษฐ์มองเสี้ยวหน้าของภัทรแล้วก็เลื่อนมือขึ้นลูบเรือนผมนุ่มก่อนจะโน้มคอขาวให้ซบลงกับบ่าตัวเอง
“ฉันบอกว่าไม่เป็นไรก็ไม่เป็นไรสิ การที่เราตกลงคบกันก็เท่ากับนี่เป็นเรื่องของเราสองคน แล้วถ้าไม่มีอะไรกระทบกระเทือนถึงเรื่องงานใครจะมาว่าอะไรได้ แต่ถ้าหากว่าใครยังมีปัญหาอีกเดี๋ยวฉันจัดการเอง”
ภัทรหัวเราะเสียงเบาเมื่อได้ยินคำพูดทิ้งท้าย รู้สึกราวกับว่าตัวเองช่างไร้สาระสิ้นดีที่เอาแต่วิตกกังวลอยู่คนเดียวมาตลอดทั้งอาทิตย์ เพราะเมื่อได้ยินคนตัวโตพูดแบบนี้ก็ราวกับว่าเขาไม่จำเป็นที่จะต้องมัวคิดมากเลยแท้ๆ
“ถ้าคุณเชษฐ์ว่าอย่างนั้น ผมจะเชื่อคุณเชษฐ์ก็แล้วกัน”
“ก็ลองไม่เชื่อดูสิ ว่าแต่ฉันเบื่อออฟฟิศจะแย่อยู่แล้ว เดี๋ยวเธอไปเก็บของแล้วรอที่ข้างหน้าก่อนแล้วกัน ฉันเช็คอีเมล์เสร็จแล้วจะตามไป”
พอรู้ว่าจะได้กลับบ้านภัทรก็ถอยตัวออกยิ้มให้เจ้าของอ้อมแขนก่อนจะพยักหน้ารับ เชษฐ์จึงดึงร่างเพรียวเข้าไปหอมแก้มอีกครั้งก่อนจะปล่อยออกจากห้อง ชายหนุ่มเดินตรงไปที่โต๊ะของตัวเองเพื่อปิดคอมพิวเตอร์และเก็บของลงกระเป๋า แต่เมื่อกลับหลังหันก็ต้องสะดุ้งเมื่อพบว่ามีคนที่ไม่คาดคิดยืนรออยู่ด้านหลัง
“พี่โจ! ยังไม่กลับอีกเหรอครับ?”
“อืม พอดีพี่รอภัทรอยู่น่ะ เพราะว่าหลังจากวันนี้คงไม่ได้เจอกันแล้ว”
ชายหนุ่มร่างผอมสูงเอ่ยก่อนจะยิ้มเหงาๆให้ แต่ภัทรกลับหน้าถอดสี เพราะหากอีกฝ่ายรอเขาอยู่ก็เป็นไปได้สูงว่าเห็นตอนที่เขาเดินออกมาจากห้องของเชษฐ์เมื่อครู่ และประโยคถัดมาก็ยืนยันความกังวลนั้นได้เป็นอย่างดี
“คุณเชษฐ์เป็นคนดีนะถึงจะเข้มงวดไปหน่อย แต่ก็ดีแล้วล่ะ ถ้าหากเป็นคนอื่นพี่ก็คงยังมีความหวังอยู่แล้วตัดใจไม่ได้แน่ๆ”
คำสารภาพรักจากคนที่ตัวเองไม่เคยคิดอะไรด้วยทำให้คนฟังรู้สึกลำบากใจไม่น้อย ยิ่งประโยคที่แสดงว่าคนพูดรู้เรื่องความสัมพันธ์ของเขากับเชษฐ์แล้วยิ่งทำให้ภัทรกระอักกระอ่วนมากเข้าไปอีก แต่เมื่อนัยน์ตาเรียวเหลือบขึ้นก็พบกับแววตาที่แสดงความปรารถนาดีอย่างจริงใจ ใบหน้าหวานจึงค่อยยิ้มตอบ
“ผมขอโทษด้วยที่ตอบรับความรู้สึกของพี่โจไม่ได้ แต่ผมเชื่อว่าวันหนึ่งพี่โจต้องได้เจอคนที่เหมาะกับพี่โจแน่ๆ อย่าเพิ่งหมดหวังเลยนะครับ”
ร่างสูงยิ้มกับคำอวยพรก่อนจะส่ายหน้า “พี่ก็หวังอย่างนั้น ว่าแต่ถึงยังไงพี่ก็ยังห่วงภัทรอยู่ดีนะ”
“ครับ? ทำไมล่ะ?”
ภัทรเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจ คู่สนทนาจึงมองเลยไปยังด้านหลังคนตัวเล็กกว่าก่อนจะพูดยิ้มๆ
“ก็ถึงคุณเชษฐ์จะดูขรึมอย่างนั้น เวลาหึงแกคงอารมณ์รุนแรงเอาเรื่องเลยล่ะ ยังไงภัทรก็ระวังตัวไว้หน่อยแล้วกัน”
ใบหน้าหวานแดงเรื่อเมื่อได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายเอ่ยเตือนเพราะเขาเองก็เพิ่งได้บทเรียนนั้นมาหมาดๆ ร่างสูงเบนสายตากลับมาเห็นสีหน้าอิหลักอิเหลื่อนั้นเข้าก็ยิ้มให้อย่างเอ็นดู
“พี่คงต้องกลับแล้ว ไหนๆเราก็คงไม่ได้เจอกันอีก พี่ขอถือโอกาสนี้อวยพรให้ภัทรโชคดีนะ”
ภัทรกระพริบตามองมือที่ถูกยื่นมาให้ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนที่กลายเป็นอดีตเพื่อนร่วมงานไปแล้ว ถึงแม้จะไม่ค่อยได้คุยกับอีกฝ่ายนักแต่เขาก็นึกอยากให้คนตรงหน้าได้พบคนที่ใช่สำหรับตัวเองจากใจจริง มือเรียวยื่นออกไปบีบมือผอมเกร็งทว่าแข็งแรงกลับก่อนจะยิ้มอย่างให้กำลังใจ
“ครับ ขอให้พี่โจโชคดีเหมือนกัน”
“ฝากดูแลน้องผมด้วยนะครับคุณเชษฐ์”
ร่างเพรียวสะดุ้งเมื่อคนตรงหน้าทำท่าเอ่ยกับใครบางคนที่ด้านหลังของตัวเอง และเมื่อเอี้ยวคอกลับไปก็ต้องตกใจเข้าไปอีกที่เห็นเชษฐ์ยืนอยู่ตรงนั้นโดยที่เขาไม่รู้ตัวเลย ร่างสูงใหญ่เพียงกอดอกแล้วก็ส่งเสียงรับคำในคอเป็นเชิงรับรู้ คนที่เพิ่งกล่าวคำฝากฝังจึงมองใบหน้าหวานอีกครั้งอย่างอาลัยก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป
“หมอนั่นทำงานกับฉันมาก็หลายครั้งนะ ทุกครั้งฉันก็ต้องสั่งให้แก้งานใหม่อยู่เรื่อยเพราะไม่รู้ใจฉันสักทีว่าอยากได้อะไร เพิ่งมีเมื่อกี้แหละที่ทำให้รู้ว่ายังพอเดาใจฉันออกอยู่บ้าง”
ภัทรเอียงคออย่างไม่เข้าใจ เชษฐ์จึงก้าวขึ้นมายืนเคียงข้างก่อนจะพยักหน้าไปยังทิศทางที่โจเพิ่งเดินออกไปเมื่อครู่
“ก็ที่บอกว่าฉันหึงแล้วจะเจ้าอารมณ์ไงล่ะ แต่เธอคงรู้ตั้งแต่ตอนที่อยู่ในห้องแล้วมั้ง”
ใบหน้าหวานก้มหนีคนพูดด้วยความอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ยังดีว่าตอนที่เชษฐ์แสดงความหึงหวงกับเขาออกมาคือตอนที่อยู่กันตามลำพัง ถ้าหากอีกฝ่ายเป็นพวกความอดทนต่ำแล้วทำแบบนั้นต่อหน้าคนอื่นภัทรคงขอลาออกเพราะไม่กล้ามองหน้าใครในออฟฟิศอีกแน่ๆ ยิ่งนึกทบทวนเรื่องที่เชษฐ์ทำตอนอยู่ในห้องมากขึ้นเท่าไหร่ภัทรก็ยิ่งนึกเป็นห่วงสวัสดิภาพในอนาคตของตัวเองเข้าไปทุกที
มือใหญ่เอื้อมมาจูงมือบางออกเดินจนคนที่มัวแต่ก้มมองพื้นสะดุ้ง ทว่าเมื่อนัยน์ตาเรียวเหลือบตาขึ้นเป็นเชิงถามคนตัวใหญ่ก็ยิ้มให้
“ไม่มีใครอยู่ในออฟฟิศแล้วไม่เป็นไรหรอกน่ะ แล้วก็ขอบอกไว้ก่อนเลยนะว่าคืนนี้เธอต้องไปนอนบ้านฉัน แต่ถ้าไม่ตกลงล่ะก็ฉันจะตามไปนอนคอนโดเธอจริงๆด้วย”
“คุณเชษฐ์! เรื่องอะไรมาขี้ตู่เอาเองแบบนั้นล่ะครับ!”
ภัทรแทบจะหยุดเดินเอาดื้อๆเมื่อถูกมัดมือชกจากคนที่จับมือตัวเองไว้แน่น แต่พอถูกคุณผู้จัดการก้มลงกระซิบเสียงทุ้มที่ข้างหู แก้มขาวเนียนสองข้างก็เปลี่ยนเป็นสีชมพูเรื่อและไม่รู้จะเถียงต่ออย่างไรอีก
“ก็เธอยังไม่ได้ชงกาแฟให้ฉันเลยนี่ แล้วคืนนี้ก็คืนวันศุกร์ทั้งที พรุ่งนี้ตื่นนอนแล้วเธอจะได้ชงกาแฟให้ฉันไง”
+------+
ขอโทษที่ทำให้รอนานกันนะจ๊า มาอัพหลังเลิกงานเลยยังเบลอๆ เดี๋ยวอาจมาเม้นต์เพิ่มเติมเมื่อสติสตังค์กลับมาครบถ้วนแล้วกันนิ