บทที่ 6 - วันเวลาผ่านไป
ใบไม้สีเขียวสดบนต้นสนและต้นเมเปิ้ลตอนต้นเดือนกันยายนได้เปลี่ยนสีไปเป็นสีแดงอมส้ม ผมนั่งมองกิ่งไม้ที่โดนลมพัดเบาๆ อยู่ตรงหน้าต่างของห้องนอนผม ใบไม้บางใบก็ปลิวไปกับสายลม ในขณะที่ใบอื่นๆก็ร่วงหล่นลงสู่พื้นหญ้าสีเขียวอ่อน มันช่างเป็นอะไรที่สวยงามและทำให้ผ่อนคลายได้ดีจริงๆ ผมลุกขึ้นยืนแล้วสูดกลิ่นของลมหนาวเข้าไปเต็มปอด หลังจากนั้นก็เดินไปปิดหน้าต่างให้กับโลกภายนอก ท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มๆของนิวฮาเวนในเวลาห้าโมงเย็นอย่างนี้กำลังจะเปลี่ยนเป็นสีดำ ดำสนิทจนแทบจะมองไม่เห็นอะไรข้างนอกภายในไม่ช้า
ชีวิตของผมในมหาวิทยาลัยเยลในครึ่งเทอมแรกของปีที่สี่ผ่านไปอย่างเรียบง่าย วิชาแต่ละวิชาก็ไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไร แต่บางทีก็ต้องนั่งอ่านหนังสือตอนดึกๆบ่อยๆ เพราะวิชาทางด้านสายวิศวกรรมศาสตร์มันต้องใช้ความจำเยอะ ว่าโจทย์มีแนวเป็นอะไรยังไงมั่งเพราะมันไม่ได้เรียนแต่พวกฟิสิกส์อะไรพวกนี้ บางทีเวลาเราเลือกเรียนวิชาพิเศษหรือที่เค้าเรียกกันว่า Option topics มันก็ต้องใช้ความรู้โดยทั่วไปมาช่วยด้วยเพื่อที่จะหาคำตอบที่ดูสมบูรณ์ที่สุด เทอมนี้ผมเลือกเรียนวิชาพิเศษสองวิชาซึ่งก็คือ biomedical engineering กับ quantitative analysis ซึ่งคนที่เลือกเรียนสองวิชานี้ต้องเก่งเลขมากๆจึงทำให้ผมสามารถเรียนได้ค่อนข้างสบายๆเพราะเก่งเลขเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม วิชา Asian Studies ก็ยังคงเป็นวิชาที่ผมโปรดปรานอยู่ดี อาจารย์ที่นี่จะสอนให้ทุกคนรู้จักมีมุมมองของตัวเองและพยายามที่จะนำความคิดเหล่านี้ไปช่วยในการพัฒนาความคิดของผู้คนแต่ระดับรากหญ้า แต่ไม่ใช่นำมาเสนอเพื่อให้เกิดความขัดแย้ง
พอมีเวลาว่างๆจากการเรียน ผมก็จะหาเวลาไปวิ่งรอบๆ campus ออกกำลังกายกัน กะพวกเพื่อนสนิทของผม ไม่ว่าจะเป็น สแตนลี่ย์ ซู หวานหว่าน รวมไปถึงไอ้แบงค์ตัวดีด้วย ถึงแม้ว่าไอ้แบงค์มันจะเป็นคนปากร้าย(เฉพาะกับผม) แต่มันก็เป็นคนที่จิตใจดีและยินดีที่จะช่วยเหลือคนอื่นเสมอ จึงทำให้มันเป็นที่รักของบรรดาเพื่อนๆผมได้ในเวลาอันรวดเร็ว เรียกว่าได้ใจกันไปเต็มๆ จริงๆแล้ว หากใครมาอยู่ที่นี่นานๆจะเห็นได้ว่านักเรียนที่นี่จะรักและปองดองกันมาก และแทบจะไม่มีเลยที่นักเรียนจะไม่ถูกกันหรืออิจฉากัน แทบจะไม่มีเลยจริงๆ
นอกจากจะไปวิ่งรอบๆ campus แล้ว พวกเรายังหาเวลาไปนั่งเล่นแถวๆ low library บ่อยๆเพราะว่าห้องสมุดที่นี่ใหญ่มากๆ มีหนังสือถูกเก็บไว้ตั้ง 11 ล้านกว่าเล่ม แถมแต่ละเล่มก็มีความน่าสนใจไม่น้อยจึงทำให้นักเรียนหลายๆคนใช้เวลาว่างส่วนใหญ่ไปกับการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม
วันเสาร์และอาทิตย์ส่วนใหญ่ก็หมดเวลาไปกับงานปาร์ตี้แล้วก็เดินชอปปิ้งดูของในย่านนิวฮาเวน อากาศก็เริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆ จึงทำให้ต้องหมั่นดูแลตัวเองมากขึ้น แถมก็ใกล้สอบเก็บคะแนนแล้วด้วย ความเครียดจึงเข้ามาแทรกในบางเวลา
~~แอด แอด~~
เสียงโทรศัพท์ที่ถูกตั้งให้อยู่ในโหมด silent ดังขึ้นในกระเป๋ากางเกงของผม ผมมองไปที่เบอร์แล้วก็กดรับอย่างดีใจ
“ฮัลโหลมุก…….. ว่าไงจ๊ะ”
“ดีพี่อาร์ม สบายดีไหมอะ เห็นไม่โทรมาตั้งสามวันละ พ่อกะแม่เป็นห่วง”
“สบายดี พอดีช่วงนี้งานมันยุ่งๆไง ใกล้สอบแล้วอะ เลยต้องเร่งๆปั่นงาน”
“มัวแต่เที่ยวกับสาวนะสิ”
“สาวที่ไหนกัน ไม่มีหรอก ว่าแต่เราอะ สอบเป็นไงบ้าง”
“ก็โออะพี่ คือแบบว่ามุกทั้งสวยทั้งเก่งอะนะ ชิลๆ เบสิค แบบว่าไม่มั่นใจพูดไม่ได้นะเนี่ย” มันทำเสียงแจ๋นๆ กระแดะๆหน่อย
“เออ เอาให้รอดละกันมึง เตรียมตัวดูเรื่องสอบ iBT กับพวก GRE ไว้ด้วยนะ”
“โห อีกตั้งสองปีกว่าจะจบตรี รีบร้อนไปไหน”
“เออ เวลามันผ่านไปเร็วนะมุก แปบๆพี่ก็จะจบอยู่แล้ว เออ เอาเหอะ ดูแลตัวเองแล้วก็พ่อกับแม่ดีๆด้วยนะ แล้วอย่าลืมโหลดเป็นต่อให้พี่ด้วยล่ะ………….. เออๆๆอีกอย่าง ถ้าแกไปเดินสยามกะเพื่อนแกแล้วเจอแว่นกันแดดสีน้ำชาของกุชชี่ก็ดูๆให้พี่ด้วยนะ อย่าลืมนะสุดสวย” ผมอ้อนเต็มที่
“ค่าๆๆ ดูแลตัวเองดีๆนะ บาย”
แล้วผมก็วางสายไป
“สั่งน้องสาวอย่างกะสั่งคนใช้เลย น้องสาวมึงคงเศร้าใจที่มีพี่ชายที่แย่ๆอย่างงี้” ไอ้แบงค์มันกัดผม
“เออๆ มึงดีตายล่ะ ไอ้ลูกคนเดียว พ่อแม่ปล่อยเลี้ยงแบบตามใจมันถึงเถื่อนอย่างงี้ไง”
“โห เดี๋ยวนี้มีด่ากลับนะ หุบปากไปเลย เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน”
“ทำไม แล้วมึงจะทำอะไรกู”
“ก็จะทำอย่างงี้ไง” มันว่าแล้วก็เดินเข้ามาจักกะจี้เอวผมจนผมทนไม่ไหว นอนดิ้นพราดๆบนเตียง จนเตียงยับไปหมด
“โอ้ย ไอ้เวรแบงค์ กูยอมแล้ว ปล่อยๆๆๆๆๆๆๆ”
“ไม่ปล่อยเว้ย” มันหัวเราะได้ใจ
“ไอ้บ้า ปล่อย”
ผลั่ก!!
……………
…
…….
...
..
...
..
……….
“โอย ไอ้เชี่ยอาร์ม กูจุกนะ” ผมถีบมันเข้าไปที่ท้องเต็มๆด้วยเท้าของผม
“สมควรแล้วแหละ บอกให้หยุดไม่หยุด” ผมแลบลิ้นให้มัน
ผมยังคงนั่งหน้าแดงอยู่บนเตียงเพราะหัวเราะมากจนเลือดขึ้นหัว ส่วนไอ้แบงค์มันก็นั่งขดอยู่บนพื้นห้อง
หลังจากพักเหนื่อยกันสักครู่มันก็ถามผม
..
…..
“ปิด half term มึงจะกลับเมืองไทยปะเนี่ย”
“กลับดิ กูคิดถึงพ่อแม่ กะ ไอ้มุกจะตาย แล้วมึงอะ”
“อืม กูก็กลับเหมือนกันแหละ คิดถึงเพื่อนๆแล้วก็อาหารไทยด้วย” มันทำเสียงงุ้งงิ้ง
“อะไรวะ อาหารไทยที่นี่ก็มีให้กินออกจะบ่อย แถมอร่อยไม่แพ้เมืองไทยเลยนะเว้ย”
“มึงเข้าใจคำว่า sense ปะ กินที่นี่กับที่ไทยมันไม่เหมือนกันอะ”
“โห ไอ้ศิลปิน น่าหมั่นไส้ว่ะ”
“อืม ใครจะอารมณ์แข็งทื่อเป็นควายเหมือนมึงล่ะ” มันแลบลิ้นใส่ผม
“พอเลยๆ ไปๆ ไปอาบน้ำแล้วเดี๋ยวลงไปกินข้าวกัน อย่าให้ไอ้สแตนลี่ย์กะหวานหว่านมันรอนาน เดี๋ยวมันจะบ่น เข้าใจปะ”
“คร้าบ แม่อาร์ม”
...
...
.........
...
...
.......
ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเราสองคนมาสนิทกันขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกดีอยู่ไม่น้อย ที่คำอธิษฐานของผมเริ่มจะเห็นผลขึ้นมาบ้างแล้ว อย่างน้อยก็อุ่นใจที่มีเพื่อนดีๆอย่างมัน
.......ระหว่างที่ผมรอมันอาบน้ำ ผมก็นั่งทำโจทย์ข้อสอบเก่าๆที่ครูให้มาไปเรื่อยๆ……………………………..
Tbc
เดี๋ยวมาให้อีกตอนนะ