บทที่ 50
“ท่านคะ มีแขกขอพบค่ะ”
เลขาฯสาวก้าวเข้ามาในห้องที่แทบเงียบสงบด้วยอาการหวั่นเกรงถึงบุคคลภายในห้อง ก้มหน้าก้มตารายงานเจ้านายผู้เคร่งขรึม
...ห้องที่แทบว่างเปล่าไร้ผู้คนนั้นยังมีชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่ง ที่ยืนนิ่งงันผินใบหน้าเหมอมองออกไปยังท้องฟ้ากว้างไกล...คงเพราะรังสีแห่งความตึงเครียดที่แผ่ออกมาไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหน รองประธานหนุ่มแห่งดำรงเดชกรุ๊ป...ทายาทคนที่สองของบริษัทในเครือดำรงเดชทั้งหมด
“ใคร?”
น้ำเสียงที่เอ่ยเย็นเยือก เคร่งเขรึม เปี่ยมด้วยอำนาจ
เลขาฯสาวตอบเท่าที่จำเป็น แอบถอนหายใจเมื่อเจ้านายยอมพบแขกอย่างไม่ได้ตำหนิว่าหล่อนบกพร่องใดๆ เพราะหมู่นี้คุณชลัช รองประธานหนุ่มไฟแรงนั้นขยันทำงานอย่างบ้าคลั่งชนิดที่ถึงกับขั้นเสพติดความสมบูรณ์แบบ...ใครผิดไม่ได้ โทษต่ำสุดคือหักเงินเดือน สูงสุดก็ไล่ออกสถานเดียว ไม่เคยไว้หน้าใครจนเป็นที่โจษขานของเหล่าบรรดาพนักงานและผู้บริหารระดับสูงแทบทุกคน
เป็นใครก็อยากหลบหนีอาการ ‘เฉียบจัด’ ชนิดที่ว่ากระดิกแทบไม่ได้แบบนี้...หล่อนเองยังหวั่นใจทุกครั้งว่าหน้าที่การงานของตนจะหลุดลอยไปเมื่อไร อย่างวันก่อนแม่บ้านชงกาแฟเข้ามาเสิร์ฟช้าไปนิดเดียวก็โดนตำหนิอย่างแรงจนต้องวิ่งร้องไห้ออกมา หรือว่าคดีที่ต่อว่าคุณสุชาติ หัวหน้าฝ่ายบุคคลที่ส่งรายงานประเมินผลประจำปีมาผิดเล่มต่อหน้าคนทั้งชั้น นั่นถึงกับทำให้คุณสุชาติพนักงานอาวุโสเกือบเส้นเลือดในสมองแตกคาที ทว่าต่อมาก็ยื่นเอกสารลาออกทันที...
แขกถูกเชิญเข้าพบ...ชลัชไม่เดาก็แทบรู้ได้ชัดเจนว่าใครกันที่กล้าพอขอเข้าพบในเวลาเช่นนี้
“สวัสดีค่ะลัช…”
พิมพาในชุดแต่งกายเรียบง่ายธรรมดา การแต่งกายต่างๆจัดได้ว่าไม่เฉียดเข้าความเป็นดาราดังอย่างก่อนเลย ทว่าสีหน้ากลับสงบนิ่งอย่างประหลาด แม้แววตานั้นจะดูดีขึ้นเล็กน้อยจากการเผชิญหน้ากันที่โรงพยาบาลครั้งก่อน แต่มันก็ยังแฝงแววความขุ่นเคือง อิดโรย ท้อแท้สิ้นหวังเอาไว้ลึกๆ...
ต่างจากคราวก่อน หน้าท้องของพิมพานูนออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“คงมีเรื่องสำคัญนะ เพราะผมมีกฏใหม่แล้ว ว่าจะไม่รับแขกที่มาพบด้วยเรื่องไร้สาระ”
“พิมรับรองว่าจะไม่ทำลายความสงบในการทำงานของคุณแน่ค่ะ”
ชลัชหันตัวกลับมาที่โต๊ะอย่างรวดเร็ว ดึงลิ้นชักออกมาด้วยอาการที่แทบเรียกได้ว่ากระชาก ข้อมือหนาขยับยุกยิกไปมาบนกระดาษแผ่นเล็ก
“เอ้า นี่เงินก้อนสุดท้ายที่ผมพอจะช่วยคุณได้ รับไว้ซิ แล้วอย่ากลับมาอีกนะ ผมไม่อยากต้อนรับคนน่าสมเพชแบบคุณอีกแล้ว”
พูดด้วยน้ำเสียงธรรมดา แววตาก็ว่างเปล่าเรียบเฉย กิริยาเย็นชาเยี่ยงนี้กลับไม่ทำให้พิมพาเสียใจเท่าไรนักเท่ากับ...สมเพชตัวเองมากขึ้นไปกว่าเดิม
“พิมขอบคุณลัชมากเลยค่ะ” คนพูดน้ำตาเอ่อคลอจวนจะไหลพราก
“ต่อไปเรียกผมด้วยชื่อเต็ม ผมไม่อยากสนิทชิดเชื้อกับคนชั้นต่ำอย่างคุณ”
“ค่ะ...คุณชลัช” พิมพาไม่กล้าสบสายตาที่มองดูถูกเหยียดหยามนั้นมา “พิมรู้ว่าคุณรังเกียจพิม สมเพชพิม แต่พิมอยากจะมาขอบคุณสำหรับเรื่องทุกอย่างคะ”
“รังเกียจงั้นเหรอ? คุณไม่รู้แม้แต่กระผีกของมันเลยล่ะ ผมรังเกียจคุณ แต่ก็สลัดคุณไปไหนไม่ได้เพราะอย่างน้อยชื่อเสียงหน้าตาผมก็มี ผมขยะแขยงเต็มแก่ คุณเหมือนน้ำเน่าน้ำครำที่มาแปดเปื้อนชีวิตในอดีตของผม ถ้าจะช่วยกรุณาออกไปตอนนี้ได้ก็จะยิ่งดี”
พิมพาไม่ปวดแสบปวดร้อนไปกับคำพูดเชือดเฉือน...ไม่ซิ คำพูดที่โหดร้ายที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมา แต่เธอสมควรได้รับแล้ว...พิมพาไม่คิดตอบโต้ใดๆ
“คุณชลัชดีกับพิมมาตลอด...” หญิงสาวเอามือบางลูบท้องนูนของตัวเอง “คุณชลัชคะ พิมขอร้อง...เด็กคนนี้ยังต้องการพ่อ...”
ชลัชหน้าตึงขึ้นมาทันที
“คุณพูดบ้าอะไรของคุณ?!”
“เปล่านะคะ พิมไม่ได้ขอให้คุณรับผิดชอบหรืออะไรทั้งนั้น” ชลัชถมึงตาใส่อย่างน่ากลัว “แต่ในเมื่อพ่อมันก็ไม่อยากได้ พิมเองก็จนปัญญา...หากพิมเป็นอะไรไป พิมขอให้คุณช่วยดูแลลูกของพิม ในฐานะที่เขาก็เป็นเด็กตาดำๆที่ไม่รู้เรื่องอะไรคนหนึ่ง พิมยอมรับค่ะ...ว่าพิมมันเลวชั่วช้าหาที่ติไม่ได้ พิมไม่มีสิทธิจะขอร้องคุณแบบนี้...แต่อย่างน้อย ดูแลเขาให้รอดตายก็พอ ให้รอดตายก็พอ...”
อดีตดาราสาวปล่อยโฮ ชลัชเบือนหน้าหนี
“คุณหน้าด้านมากนะ”
“ค่ะ พิมทราบ แต่ขอร้อง...พิมเอาเขาออกไม่ได้ จนป่านนี้...พิมรักเขาค่ะ เขาคือลูกของพิม พิมยอมไม่ได้หากลูกต้องตาย...พิมอาจจะเป็นผู้หญิงไม่ดีในสายตาคุณ แต่พิมอยากเป็นแม่ที่ดี นะคะคุณชลัช ได้โปรด พิมกราบล่ะคะ พิมอยากจะขอแค่นี้เป็นครั้งสุดท้าย...”
พิมพาก้มลงกราบอย่างทุลักทุเล ด้วยความยากลำบากเพราะร่างกายที่ไม่เอื้ออำนวยเท่าไรนัก กระนั้นชลัชก็ยังปล่อยให้พิมพากราบเขาลงที่แทบเท้า มองดูด้วยสายตาว่างเปล่า ทว่าภายในอกระเบิดด้วยอารมณ์ทุกข์ทรมานจากทุกสิ่ง...
“ผมทนเห็นคุณในสายตาอีกต่อไปไม่ได้แล้ว...ออกไป อย่ามาวอแวให้เห็นที่นี่อีก”
“รับปากซิคะ รับปาก…” หญิงสาวร้องไห้สะอึกสะอื้น ดวงตาแดงก่ำ
“ออกไป ผมไม่รับปากอะไรทั้งนั้น ออกไป!”
ชลัชสั่งคนมาลากร่างหญิงท้องแก่ที่ไร้เรี่ยวแรงออกไป อยู่ตามลำพังในห้อง...ชลัชควบคุมอารมณ์แทบไม่ไหว ซัดข้าวของบนโต๊ะหล่นกระจายจนหมด ทุบโต๊ะดังๆพร้อมกับพยายามอย่างรุนแรงเพื่อจะกลั้นน้ำตา และเสียงสะอื้นไห้...น้ำตาแห่งความอัดอั้น ความเคียดแค้นและ...เศษเสี้ยวแห่งความอาวรณ์...ชายหนุ่มสับสนว้าวุ่น หัวใจปะปนไปด้วยอารมณ์และสำนึก...ระหว่างผิดชอบชั่วดี?
ทำไม?...ทำไมชีวิตของเขาถึงอาภัพในความรักนัก
บางครั้งเขาก็เกลียดตัวเองที่ทำตัวร้ายกาจ แต่บางครั้งเขาก็เกลียดตัวเองที่ทำตัวอ่อนแอ...
หัวใจของเขากลายเป็นสีดำไปแล้วหรือไง?
มันด้านชา...หัวใจของเขาไม่ตอบสนองต่อสิ่งใดแล้วหรือ?
เขากลายเป็นคนหัวใจสีดำตั้งแต่เมื่อไรกัน?...
โปรดติดตามตอนต่อไป