มีข่าวดีจาบอกครับ
คือนิยายเรื่องต่อไป จะเป็นนิยายที่แต่งมาจากเรื่องจริง90%เลยทีเดียว
เป็นเรื่องราวของเพื่อนๆผมเอง เรื่องนี้ผมกะจะแต่งมานานแล้วครับ
ชีวิตรักพวกมันน่าปวดหัวมาก ก็เลยเอามาแต่งดู นะครับ
ข่าวร้ายคือ....ปีหน้า
บทที่ 61
องุ่นจากไร่กิ่งกาญมณีชนะเลิศหัวข้อทางด้านคุณภาพ
งานเลี้ยงฉลองจึงถูกจัดขึ้น ทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
ขณะที่ทุกคนในโรงครัวกำลังฉลองกันอย่างสนุกสนาน ไฟเปิดสว่างไสวไปทั่วทั้งไร่ ใครที่ไม่ได้รับเชิญกำลังเฝ้ามอง…
มองจากมุมสูงนี้ มันช่างน่าอิจฉา น่าอิจฉาซะเหลือเกิน!
อยากทำลาย ทำลายให้ป่นปี้ไปด้วยน้ำมือตัวเอง
ตาย! งานนี้ต้องให้ตายกันไปข้าง
หัวใจที่สุมอัดแน่นด้วยความเคียดแค้นเต็มที่ พร้อมจะลงมืออย่างบ้าระห่ำ…
ไม่มีอะไรต้องเสีย
ผู้บุกรุกจากมุมมืดปลอบใจตัวเอง…อีกไม่นาน…ไม่นานแล้ว!...
“ตาเมฆเห็นนินเค้าบ้างมั้ยลูก?”
คุณผกากำลังง่วนไปกับการกำกับเมนูอาหารที่จัดเลี้ยงคนงานภายในโรงครัว เสียงดนตรีสนุกสนานครื้นเครงบรรเลงดัง เป็นข้อยกเว้นสำหรับค่ำคืนนี้
“ทำไมเหรอครับคุณแม่? ชนินทร์เขาไม่ได้อยู่แถวนี้เหรอครับ”
“จ๊ะ เห็นแค่ตอนเย็นลงมาช่วยงาน เสร็จแล้วก็หายตัวไปเลย”
เมฆินใจหายวูบ ใบหน้าซีดเผือด ก่อนจะกวาดตามองไปโดยรอบ ป้าไผ่กำลังวิ่งวุ่นพร้อมทั้งหยอกเย้ากับพวกคนงานที่จะเข้ามาชวนไปเต้นระบำรำวง
“งั้นผมขอตัวไปหาเขาก่อนนะครับ”
เมฆินสืบเท้าขึ้นเรือนอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็พบร่างโปร่งบางยืนอยู่นอกชานทางด้านหลัง ถึงกับถอนหายใจโล่งอกเมื่อพบ…
เสียงฝีเท้าทำให้ชนินทร์ระวังตัวมากขึ้น
“มาทำอะไรอยู่ตรงนี้มืดๆคนเดียว”
เมฆินก้าวเข้าไปยืนข้างๆ รักษาระยะห่างเพราะไม่อยากให้ชนินทร์เดินหนีไปเสียก่อน
“เรื่องของผม…”
คำตอบไร้เยื่อใย แต่น้ำเสียงนั้นแทบเรียกได้ว่าอ่อนโยน…
“ออกมารับลมคนเดียวแบบนี้ ต่อไปนี้ผมขอห้ามนะครับ”
“มันไม่ใช่เรื่องของคุณนะ”
ชนินทร์เสียงเขียวทันที ตั้งท่าจะสู้รบกับเขาตลอด เมฆินรีบยกมือปราม
“เอาล่าๆ ฟังผมก่อนนะ ให้ตายซิ…ทำไมคุณต้องเห็นผมเป็นศัตรูไปเรื่อย”
“ก็คุณเป็นศัตรูกับผม…”
“เป็นอย่างอื่นเลยไม่ได้หรือ?”
ชนินทร์ถอนหายใจเบื่อหน่าย
“มีอะไรก็ว่ามาเถอะ”
“ผมไม่อยากให้คุณออกมายืนในที่มืดๆคนเดียวแบบนี้อีก ตอนนี้ไร่ของเราไม่ค่อยปลอดภัยเหมือนเมื่อก่อนแล้ว”
ชนินทร์นิ่วหน้า หันไปมองสีหน้าหนักใจของชายหนุ่มเจ้าของไร่
“ทำไม? เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ?”
“สองอาทิตย์ก่อนผมออกไปเดินตรวจความเรียบร้อยตรงท้ายไร่ เจอกับร่องรอยน่าสงสัยว่ามีใครบางคนกำลังบุกรุกที่ของเรา หรืออย่างน้อยก็มีเจตนาไม่ดีโดยที่เราไม่รู้…”
เมฆินเล่าเหตุการณ์ให้ชนินทร์รับทราบ ซึ่งรับฟังด้วยความตระหนัก
“คุณต้องระวังหน่อยนะครับ เอาเป็นว่าตอนนี้เราอาจอยู่ร่วมกับแขกที่ไม่ได้รับเชิญก็ได้...”
“คุณรู้มั้ยว่า...’มัน’ ต้องการอะไร?”
“ไม่รู้ครับ…เพียงแค่คาดเดาว่ามันมาซุ้มดู ซุ้มเพื่อการอะไรสักอย่าง…”
ชนินทร์นิ่งเงียบไป ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ผมควรกลับไปมั้ย?”
เมฆินใจหายวาบ น้ำเสียงเบาหวิว
“ทำไมถึงพูดแบบนั้น”
“ผมไม่รู้ว่าเป็นคนที่ปองร้ายผมหรือเปล่า…อาจเป็นศัตรูของผม ผมไม่อยากให้เรื่องของผมทำความเสียหายให้ครอบครัวของคุณอีก โดยเฉพาะคุณแม่ผกา…”
เมฆินก้าวเข้าไปจับไหล่บางก่อนชั่งใจและดึงเข้ามากอดหลวมๆ
“อย่าไป…ขอร้อง ถ้า…ถ้าคุณไปตอนนี้อาจจะยิ่งอันตราย ได้โปรดอยู่กับผม เราจะช่วยกันปกป้องคุณ แค่รอเวลา…เชื่อใจผม คุณจะปลอดภัย”
ท่ามกลางความเงียบงัน ชนินทร์ยอมให้ร่างสูงใหญ่กว่าตนนักกอดรัดไว้…
เพราะนี่อาจเป็นครั้งสุดท้าย
“คุณแม่หายดีแล้ว ผมไม่มีเหตุผลต้องอยู่ต่อ”
คำพูดเหมือนเป็นมีดนับร้อยนับพันเล่มพุ่งเข้าทิ่มแทงหัวใจของเมฆิน ใบหน้าเจ็บปวดบิดเบี้ยว
“ผมรู้…ว่าไม่มีเหตุผลใดจะรั้งคุณให้อยู่ต่อได้” เมฆินไม่อาจกลบเกลื่อนความรู้สึกรวดร้าวกับความจริง…ที่สักวันหนึ่งชนินทร์ต้องจากไป...“แต่ขอร้อง เพื่อตัวคุณเอง เราควรรู้ว่าใครมาดีหรือมาร้าย คุณต้องอยู่นิ่งๆ อย่าตื่นตะหนก”
“แล้วถ้าเกิดอะไรขึ้นกับ…”
“ชู่ว์…” เมฆินแตะริมฝีปากด้วยเรียวนิ้วยาว “มันจะไม่เกิดขึ้น ผมสัญญา”
ดึงร่างชนินทร์ออกมาจ้องตามาดมั่น ก่อนจะถามเสียงเครียด
“คุณคิดว่าธุรกิจของที่บ้านกำลังมีปัญหาหรือ?”
ชนินทร์ตอบอย่างเรียบเฉยที่สุด
“เปล่า ผมก็แค่คิด ทุกสิ่งไม่เคยแน่นอน ครอบครัวของเราทำธุรกิจใหญ่ ย่อมต้องมีเรื่องพรรค์นี้ ครั้งหนึ่งคุณพ่อเคยได้รับจดหมายข่มขู่จากบริษัทคู่แข่งเรื่องผลประโยชน์”
เมฆินพยักหน้า
“เช่นนั้นเรายิ่งต้องระวัง ระวังทุกด้าน ผมอยู่ที่ไร่นี้มานานและไม่เคยมีปัญหากับใครเพราะเราเป็นไร่เก่าแก่ และไม่ค่อยสุงสิงกับใคร เราแยกตัวออกมาอยู่ตรงนี้นานแล้ว ไม่เคยเกิดเรื่อง”
ชนินทร์ดึงร่างออกจากอ้อมแขนเบาๆ เมฆินไม่เรียกร้อง แต่ก็รู้ว่าภายใต้หน้ากากนั้นหัวใจของเขากำลังร้าวรานต่างจากที่พยายามแสดงออกมา
“ลมเย็นดีนะ”
ร่างเล็กสั่นไปทั้งตัว
“คุณกำลังหนาวต่างหาก มานี่ กลับไปที่โรงครัวกันเถอะครับ อย่ายืนอยู่มืดๆคนเดียวเลย ต่อไปนี้ผมขอให้ระวังตัวด้วย”
ชนินทร์ไม่ประท้วงใดๆอีกต่อไป กลับไปที่โรงครัว เดินเข้ามาพร้อมกับนายใหญ่
คนงานพอเห็น ต่างก็ส่งเสียงแซวหรือบ้างก็มองด้วยสายตาเข้าใจความสัมพันธ์ของทั้งคู่
ชนินทร์ไม่โกหกหรือขัดขืนอีกต่อไป ปล่อยให้เมฆินเดินนำตนเข้าไปหาคุณผกาที่นั่งกินอาหารรออยู่อย่างมีความสุข
มีเพียงคนสองคนเท่านั้น กันและกัน…ที่เข้าใจความจริงทุกอย่าง
ชนินทร์แอบร้องไห้อยู่ลึกๆในใจ ไม่ต่อต้านความเจ็บปวดลึกในโพลงอก…จะมีประโยชน์อะไรในเมื่อไม่ช้า…เขาก็ต้องจากผู้คนที่นี่ไปไกลแสนไกล และไม่มีวันกลับมา!
ไม่มีวันกลับมา…
โปรดติดตามตอนต่อไป