สวัสดีทุกคนฮ่า~~~
ขอบคุณสำหรับรีพลายที่ทำให้ป้าคนเขียนเป็นปลื้มขนาดหนัก(....ป้าเเกฝากบอกมา)

ขอบคุณสำหรับ +1 ให้อิชั้น

เป็นการตอบเเทนเอา ตอน4กับตอน5 ไปอ่านกัน คิคิ
.
.

.
.
.
.
.
Imprison 4: ข้างหลังประตูบานนั้น
ปัง !!!
เสียงปิดประตูรถขนย้ายผู้ต้องหาดังสะเทือนในหูจนยอกมาถึงอก ร่างของหญิงวัยกลางคนค่อยๆทรุดลงตรงพื้นซีเมนต์ช้าๆ...นัยน์ตาเอ่อคลอด้วยน้ำใสๆที่รินไหลอาบแก้ม...
ในอกมันปวดยอก..เจ็บจนร้าวรานไปทั้งกาย
..ลูก...ลูกรักของแม่ บุตรในอุทรที่อุตส่าห์เฝ้าถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดู..เหตุไฉนต้องห่างไกลจากอกแม่ด้วยเหตุเช่นนี้...
ภาพของบุตรชายก้มลงกราบลงบนฝ่าเท้าด้วยความรักและเทิดทูนอย่างสุดแสนยิ่งนำพาน้ำตามาให้..หากจะร้องไห้สาสมกับความเจ็บปวดในจิตใจ..คงต้องรอจนน้ำตากลายเป็นสีเลือด..
ฝ่ามือขาวซีดเซียวยกขึ้นกุมอกที่ปวดแปลบดั่งถูกกระชากก้อนเนื้อหัวใจด้วยความรวดร้าว ก้อนสะอื้นแล่นจุกคอหอย ความทรมารอันไม่มีทางออกราวกับจะมารวมกันตรงทรวงอกที่เต้นตุบดังสะท้อนความเจ็บปวดอย่างเงียบงัน..
....กระทั่งทุกสิ่งเลือนหายไปในที่สุด...
“...แม่....” เสียงใสๆของแก้วตาอีกดวงดังแว่วเข้ามาในสติอันเลือนราง แพขนตาเปิดออกช้าๆรับภาพของเด็กสาววัยแรกรุ่นผู้มีดวงตาใสบริสุทธ์งดงาม..ที่ซุกซ่อนความเจ็บปวดไว้...
“...น้ำ...”เธออุทานในลำคอเสียงแผ่วหวิว ยกมืออันเย็นเฉียบของตนมาคว้าร่างลูกสาวกอดแนบอก กอด..รัดเด็กน้อยผู้เป็นแก้วตาด้วยหัวใจระส่ำ..รู้สึกราวกับดวงใจจะแตกสลาย...
“...ลูกแม่..ลูกแม่...” เปล่งเสียงออกมาได้เพียงนั้น หญิงวัยกลางคนก็สะอื้นในลำคอจนตัวสั่น
“...มีอะไรเหรอค่ะแม่..พี่เนมล่ะ..ไปไหน??...” น้ำเสียงอันใสบริสุทธิ์และประโยคคำถามอันซื่อตรงสะท้อนใจให้เธอรวดร้าวยิ่งกว่าตอนไหนๆ เมื่อนึกถึงบุตรชายอีกคน...ลูกรักของหล่อนทำไมกันน่ะ เหตุการ์ณถึงได้กลายเป็นเช่นนี้ ครอบครัวที่ควรจะสงบและสุขสันต์เหตุใดจึงได้พบเจอเคราะห์กรรมอันหนักหนาปานนี้..
....สิ่งศักดิ์สิทธ์ทั้งหลายเจ้าขา..ลูกช้างทำกรรมอันใดใหญ่หลวงไว้หรือ มันจึงได้ตามมาย้อนคืนสนอง...
...หากลูกช้างมีกรรมอันใด ก็ขอรับไว้แก่ตนเอง ..ไม่อยากให้ลูกรักต้องมาเจ็บปวดด้วยเลยแม้นสักนิด...
...แล้วเพราะสาเหตุอันใด..ผลกรรมถึงต้องไปตกอยู่กับลูกน้อยของหล่อนด้วยเล่า...?
“...แม่ขา...พี่เนม....” เสียงเรียกของแก้วตาทำให้ผู้เป็นแม่ชะงักไป..หญิงสาวลูบหัวลูกน้อย เอ่ยถามแผ่วเบา
“...แล้วใครพาแม่กลับบ้านล่ะลูก...”
“..ลุงศักด์สิทธิค่ะ..คุณลุงบอกว่าแม่ไม่สบายเป็นอะไรไปค่ะ...” เด็กสาวออกปากถามมารดาด้วยแววตาสดใส
“......” ผู้เป็นแม่ได้ฟังก็ได้แต่นึกสะท้อนสะท้านใจ..หล่อนถอนหายใจแผ่วเบาเอื้อมมืออันสั่นระริกลูบศรีษะกลมๆที่มีเส้นผมนุ่มงามปกคลุมอยู่อย่างอาดูร..
“...ไม่เป็นอะไรมากหรอกลูก...แม่...ไปส่งพี่เนมมา..”
“...พี่เนมไปไหนเหรอค่ะ?..เอ๋?..รึพี่เขาสอบชิงทุนไปเรียนที่เมืองนอกได้แล้ว...” เด็กสาวถามเสียงแจ๋ว..ด้วยแววตาปรีเปรมนัก..
“...น้ำ...พี่เนม...เขา....” ผู้เป็นแม่นิ่ง...อึกอักในลำคอ
“..อ๊ะ !!!..เมื่อกี้หนูยังเห็นกล่องไวโอลินของพี่เนมอยู่เลย ไม่เอาไปด้วยเดี๋ยวคุณพ่อโกรธตายเลย..เดี๋ยวน้ำไปเอามาให้คุณแม่ดีกว่าน่ะ...” ว่าพลางวิ่งไปอย่างรวดเร็ว ผู้เป็นแม่ที่กำลังนิ่งงันสะดุ้งผวา หน้าตาซีดเซียว..
“..น้ำ..ลูก..ไม่ต้องเอา...”
เพล้ง !!!
“...อ่ะ....ฮึก !!..ฮือ....ม่ายยยยยยยยยยยยยยย....” เสียงกรีดร้องของเด็กสาวทพเอาหัวอกปวดแปลบยอกแสยง ร่างผอมสะดุ้งเฮือกวิ่งถลาไปหาเด็กสาวภายในบ้าน และภาพที่เธอเห็นคือร่างของลูกสาวนั่งร้องไห้อย่างหวาดผวา..สายตามองกล่องไวโอลินที่ว่างเปล่าด้วยสายตาหวั่นผวา..
“...ฮือ..อย่า....อย่า...ฮือๆๆๆๆๆ..” เด็กสาวร้องไห้ลั่น มือไม้สั่นไหว พยายามปัดบางสิ่งให้พ้นไปจากร่างกายตอนอย่างหวาดผวา ทั้งที่เบื้องหน้ามีเพียงความว่างเปล่า..ราวกับหวาดกลัวบางสิ่ง..บางสิ่งที่มองไม่เห็น...
“..น้ำ...น้ำ...หนูเป็นอะไรไปลูก...ไม่ต้องกลัวน่ะ..แม่อยู่ที่นี่แล้ว...” หล่อนถลาไปกอดรัดร่างของลูกสาวเอาไว้แน่น..กอดแน่นๆราวกับจะขจัดความหวาดกลัวที่เกาะกินใจร่างน้อยๆนี้ให้หมดไป...
...แต่ทว่ารอยแผลที่ถูกกรีดลึกคงไม่ลบเลือนอย่างง่ายดาย...
....เช่นเดียวกับตราบาปในชีวิตที่ไม่มีวันเลือนหาย...
“..อย่า....ไม่น่ะ....ไม่น่ะ...อย่าเข้ามา...อย่าเข้ามา !!!!!!!...” เด็กสาวบิดตัวหนีอ้อมกอดของมารดาอย่างหวาดผวา ดวงตาคู่นั้นไม่ได้มีเงาสะท้อนของผู้เป็นแม่ที่โอบกอด หากแต่ว่างเปล่าและเหม่อลอยราวกับตกอยู่ในภวังค์ที่ไม่มีใครสามารถช่วยเหลือ..ร่างทั้งร่างของเธอสั่นกระตุกรุนแรง ริมฝีปากยังคงร่ำร้องอย่างหวาดผวา ผลักไสอ้อมกอดผู้เป็นมารดาอย่างสุดความสามารถ..
“...น้ำ....ลูกแม่..ลูกแม่...ไม่เป็นไรน่ะลูก..แม่อยู่ตรงนี้แล้ว..แม่อยู่ตรงนี้แล้ว....” เสียงร้องร่ำจนปากคอสั่นของมารดาพร้อมกับอ้อมกอดที่ปลอบประโลมเป็นไปอย่างรวดร้าว นัยน์ตาของผู้เป็นมารดาสั่นไหวคล้ายจะร้องไห้ หากแต่กระบอกตาที่ร้อนผ่าวไม่ยอมให้รินไหลต่อหน้าบุตรสาว..หล่อนยังคงกอดร่างเล็กๆนั้นไว้ แม้จะเจ็บปวดจากเล็บคมๆที่จิกลงบนแขนเสื้อจนมีรอยชื้นของเลือดซึมออกมา แม้จะต้องเบ้หน้าด้วยความรวดร้าวยามที่มือเล็กนั้นออกแรงดิ้นรนทุบตี..ยังคงอดทน กอดไว้..กอดให้แน่น...แน่นที่สุดพร้อมกับพร่ำถ้อยคำอ่อนโยน...
...แม่อยู่ตรงนี้...จะไม่มีใครทำร้ายลูกรักได้อีกแล้ว...
สักพักร่างเล็กๆที่ดิ้นรนหวาดผวาจึงค่อยคลายฤทธิ์และสลบไปด้วยความเหนื่อยอ่อนทั้งกายและใจ ผู้เป็นมารดาหอบฮั่ก คลายอ้อมกอดลงช้าๆ หากแต่แววตาที่มองบุตรสาวเต็มไปด้วยความรวดร้าว...ทรมาร..
...นัยน์ตาของเธอหยุดลงที่รูปถ่ายสีจางที่มีครอบครัวหนึ่งอยู่พร้อมหน้า พ่อ แม่ ลูก...
...ลูกเอ๋ย...เพราะแม่เอง...เจ้าถึงต้องเจ็บปวดรวดร้าวถึงเพียงนี้...
ร่างของเด็กสาวนอนหลับตาพริ้มบนเตียงนอนนุ่ม ใบหน้าอ่อนเยาว์ดูผ่อนคลายอยู่ในนิทราอันแสนสุข มีผ้าชุบน้ำเช็ดรอบวงหน้าเล็กๆนั้นอย่างอาดูร..และแววตาที่เต็มเปี่ยมด้วยความรักและหวังดีทอดมองตรงมา..
“......เจ้ากาเหว่าเอย ไข่ไว้ให้แม่กาฟัก
แม่กาก็หลงรัก คิดว่าลูกในอุทร....”
น้ำเสียงสั่นไหวหากกลั่นออกมาจากลำคอด้วยความรักอย่างสุดซึ้ง มือผอมบางของหญิงสาววัยกลางคนผู้เรียกตัวเองว่าแม่...ค่อยๆยกขึ้นลูบเส้นผมนุ่มนั้นอย่างแผ่วเบา นัยน์ตาสีนิลสั่นไหวระริกอย่างรวดร้าว..หล่อนกล้ำกลืนกล้อนสะอื้นไว้ในลำคอ ด้วยกลัวว่าลูกรักจะตื่นจากนิทรา ก่อนจะเอื้อนเอ่ยประโยคต่อไปช้าๆ แม้สั่นไหวหากแต่มั่นคง..ด้วยความรัก..และอาดูร..
“....คาบข้าวมาเผื่อ คาบเอาเหยื่อมาป้อน
ถนอมไว้ในรังนอน ซ่อนเหยื่อมาให้กินเอย....”
บทเพลงกล่อมนิทราบทต่อไปไม่สามารถออกมาจากเรียวปากซีดขาวนั้นได้อีกต่อไปแล้ว ผู้เป็นแม่ปิดปากทรุดตัวลงสะอื้นไห้กับพื้นไม้อย่างอดรนทนไม่ไหว
“...เนม....น้ำ...แม่ขอโทษ...”
หยดน้ำไหลลงบนพื้นไม้สีน้ำตาลเข้มจนเป็นดวงด่าง แทรกผ่านฝ่ามือสองข้างที่ปิดบังไว้ราวกับจะทะลายทะลัก..ดวงตาที่พรายพร่างด้วยหยาดน้ำหวั่นไหววาววามอย่างรวดร้าว..เมื่อมองไปยังกล่องไวโอลินสีน้ำตาลเข้มบุด้วยกำมะหยี่อย่างดี...ที่เหลือเพียงเศษซากของวัตถุ..มีเพียงกล่องเปล่าๆไร้เครื่องดนตรีสีน้ำตาลเข้มกับคันชักที่มักทำให้เกิดเสียงสดใสเคล้าคลอเสียงหัวเราะ..
....ไม่มีอีกแล้ว...
....นัยน์ตาคู่นั้นปิดลงช้าๆ..เมื่อภาพของอดีตผุดวาบขึ้นในสมอง..
อดีตอันแสนสุข..ช่างต่างกับปัจจุบันอันแสนเศร้าเหลือเกิน..
...เด็กน้อยในชุดหมีสีน้ำตาลสวมทับเสื้อแขนสั้นสีขาวยืนยิ้มแป้นแร้นอยู่เบื้องหน้าผู้เป็นแม่ มือข้างหนึ่งของเขาถือไวโอลินสีน้ำตาลที่ดูจะใหญ่กว่าตัวไว้ อีกข้างก็จูงมือเด็กน้อยวัยอ่อนกว่ากำมือเล็กๆไว้แน่น ขณะที่มือน้อยของเด็กหญิงก็กำคันชักสีน้ำตาลไว้ในมือด้วยท่าทีอ่อนเดียงสา...
เป็นภาพที่ผู้เป็นแม่มองดูด้วยความปลาบปลื้ม ขณะที่ผู้เป็นบิดาหัวเราะลั่นอย่างเปรมปรีดิ์ถลาเข้าหอมแก้มเด็กชายและอุ้มเด็กหญิงตัวน้อยไว้ มือใหญ่จูงมือเล็กๆที่เฝ้าถือไวโอลินอันใหญ่ไว้จนกำรอบ ขณะที่ผู้เป็นมารดาเอื้อมหยิบคันชักจากมือเด็กหญิงมาถือไว้ แต่ก็ยอมปล่อยให้เจ้าตัวน้อยเดินถือไวโอลินคันใหญ่เคียงข้างผู้เป็นพ่อด้วยรอยยิ้มอันแสนสุข...
ผู้เป็นพ่อจะคอยสอนเด็กน้อยจับไวโอลินคันงามอย่างใจเย็น ขยับช่วยจับนิ้ว สอนไล่อักษรโน้ตดนตรีอย่างตั้งใจ โดยมีเด็กหญิงเกาะขามองดูอยู่ไม่ห่าง..กระทั่งเติบใหญ่..เด็กน้อยกลายเป็นหนุ่มน้อยน่ารักผู้มีพรสวรรค์ทางด้านดนตรีอย่างเหลือล้น หากแต่ผู้เป็นพ่อกลับต้องจากไปอย่างไม่มีวันกลับ...
....หญิงสาวรู้สึกว่าเท้าสองข้างของเธอไม่มั่งคงพอจะยืนหยัดโอบอุ้มเด็กน้อยทั้งสองได้อย่างเต็มที่ เธอจึงยอมจับมืออีกข้างของชายหนุ่มอีกคนที่เอื้อมมาหา โดยหารู้ไม่ว่า นั่นคือหนทางพาชีวิตน้อยๆที่เธอรักไปสู่นรกภูมิ...
เพล้ง !!!
โครม !!!
“...ไอ้เด็กเหลือขอ !!!..ตัวผอมขี้ก้างทำอะไรไม่เป็นอย่างแกน่ะเหรอจะทำอะไรได้...จะไปเรียนต่างประเทศ... เหอะ !!!!...นึกว่าฉันเป็นเศรษฐีรึไง..ไอ้นักดนตรีไส้แห้ง !!!...” เสียงด่าทอดังลั่นบ้านทำเอาร่างของเธอสะดุ้งเฮือก ผละจากการทำงานครัวไปเมียงมองด้านบนบ้านที่ยังคงมีเสียงดังตึงตัง แล้วร่างของบุตรชายคนโตก็ถลาลงมาจากบันได เขากอดกระเป๋าไวโอลินไว้แน่นสีหน้าไม่ย่อท้อ แม้ใบหน้าจะมีร่องรอยของการถูกทำร้าย เด็กหนุ่มก็ทำเพียงปาดเช็ดของเหลวบนใบหน้าตนเงียบๆ แล้วเดินดุ่มออกไปเท่านั้น
“...เนม!!!...เป็นอะไรไปลูก....คุณค่ะ...คุณ..หยุดก่อน..ทำไมทำลูกแบบนั้น..” เธอเอ่ยปากรั้งชายผู้เดินลงบันใดมา เขาทำท่าจะเดินตามไปแต่เมื่อถูกเธอรั้งก็ถอนหายใจฟึดฟัดอย่างไม่พอใจ
“...พอกันที !!...ดูลูกชายคุณสิ..บอกอยากไปเรียนต่างประเทศ คิดว่าค่าเล่าเรียนมันถูกนักรึไง..แล้วยังจะไปเรียนดนตรี..ไอ้ผัวเก่าเธอมันยัดความคิดบ้าบออะไรให้ไอ้เด็กนี่ห๊ะ..ถึงไม่คิดจะทำการทำงานอย่างอื่น..คิดจะช่วยพ่อแม่มันเลย..ไอ้เด็กเนรคุณเอ้ย !!!...”
เสียงก่นด่ายังดังลั่นบ้านขณะที่เธอได้แต่กล้ำกลืนความขื่นขมไว้ในหัวอก ด้วยไม่อยากให้เกิดความแตกแยก แต่ใครจะรู้เล่าว่าเวลานั้นจะมาเร็วกว่าที่คิด..
ผลั่ว !!!
เสียงไม้ราคาแพงที่ใช้สร้างเสียงเพลงอันหรรษากระทบกับวัตถุช่างบาดหูนัก เส้นสายขาดกระจายลงบนพื้นชิ้นส่วนตัวเครื่องตกกระจายไม่เป็นท่า แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญในตอนนี้ เมื่อแทบเท้าลูกชายของเธอ มีร่างของชายหนุ่มที่เธอร่วมชีวิต และลูกสาวที่เธอรักในสภาพเสื้อผ้าหลุดลุ่ยเนื้อตัวสั่นไหว..
แววตาไหววะวูบด้วยแรงโทสะของลูกชายถูกบดบังด้วยเสียงกรีดร้องของลูกสาวในอ้อมกอด ในวินาทีที่เลือดสีเข้มสาดกระจาย..สติรับรู้ของเธอก็เหมือนจะขาดหายไป..เหลือเพียงห้วงคิดคำนึงอันทุกข์ระทมเท่านั้น...
...เป็นเพราะแม่ ที่ผิด ที่พลาดพลั้ง..ลูกถึงต้องทำผิด...
...เพราะแม่ไม่เข้มแข็ง..ไม่สามารถเลี้ยงลูกให้ดี..ลูกถึงต้องถูกบีบคั้นจนต้องกระทำสิ่งนั้นลงไป...
....แววตารวดร้าวของลูกชายที่เธอรักดั่งแก้วตาทำให้หัวอกปวดแปลบ...
...ไม่ใช่ความผิดของเจ้าหรอกลูกเอ๋ย..มันเป็นเพราะแม่ที่เลี้ยงเจ้ามาไม่ดีเอง...
...มันคือความผิดของแม่เพียงผู้เดียว...
ร่างบอบบางที่ดูราวกับแก่ขึ้นอีกสิบปีในชั่วพริบตาโงนเงนลุกขึ้นอย่างไร้เรี่ยวแรง เท้าทั้งสองข้างพาตัวเองมาอยู่ในห้องอย่างเลื่อนลอย ปิดประตูลงเงียบๆ..แล้วทรุดกายลงอย่างสิ้นหวัง.,สายตาของเธอจับจ้องบานประตูไม้ข้างหลังอย่างเลื่อยลอย..
...หลังประตูบานนั้น..ลูกรักจะเป็นอย่างไร
....หลังประตูบานนั้น...เจ้าจะหลับสบายไหม
...หลังประตูบานนั้น...เจ้าจะต้องทนทุกข์ระทมอีกนานเท่าใด..
....หลังประตูบานนั้นที่ขวางกั้นแม่และเจ้าเอาไว้จะมีสิ่งใดคอยดูแลลูกยา..
เชือกไนล่อนสีเขียวเข้มในมือดูคล้ายงูตัวเล็กๆที่เกาะเกี่ยวเรียวแขนไว้ แขนขาวบางสั่นระริกยามนึกถึงสิ่งที่ตนจะทำลงไปหากแต่เมื่อมนุษย์สูญสิ้นซึ่งความต้องการที่จะมีชีวิตอยู่แล้วไซร้ คนสิ้นหวัง...กระทั่งหวังในการมีชีวิตอยู่อย่างเธอ..คงคิดออกแต่เพียงอยากเข้าไปดูแลปกป้องลูกรักที่ถูกพรากจากอกด้วยตนเองเท่านั้น..
...ม่านน้ำตาที่เอ่อคลอดวงตาไหลระรินอีกคราราวกับไม่มีวันหมด..
...เสียงสะอื้นสั่นไหวในลำคอผสมปนเประหว่างความทรมารและความสิ้นหวัง..
....ลูกเอ๋ย..แม่จะไปหาเจ้า...และดูแลเจ้า..
...ลูกรัก...แม่จะคอยเฝ้าดู..และปลอบประโลม...
....ลูกแม่...แม่ขอโทษที่ไม่อาจมีชีวิตอยู่บนโลกที่แสนโหดร้ายนี้ได้อีกแล้ว...
หยดน้ำตารินไหลลงอาบแก้มหยาดแล้ว หยดเล่า..
เรียวขาวอ่อนแรงพยายามใช้แรงเฮือกสุดท้ายโยนเชือกให้เข้าไปในขื่อ..
ก๊อกๆๆๆ
“...แม่ค่ะ...วันนี้เราไม่ขายของเหรอ?..น้ำหิวข้าวแล้วน้า ~~” เสียงใสๆของลูกสาวทำให้ร่างของเธอสะดุ้งเฮือก..ราวกับคนที่หลุดออกจากภวังค์ เธอมองสิ่งของในมืออย่างไม่เชื่อสายตา..อยากตบหน้าตัวเองซ้ำๆที่คิดจะทำแบบนี้
“..แม่...แม่ค่ะ...ทำอะไรอยู่น่ะ...” เสียงใสๆตะโกนถามอีกรอบทำให้เธอไม่อาจลงโทษตัวเองด้วยการตบหน้าแรงๆซักที รีบโยนเชือกสีเขียวออกจากหน้าต่างอย่างไม่แยแส พลันเอื้อมมือเช็ดน้ำตาลวกๆ ร้องตอบบุตรสาวเสียงใส
“..แม่เก็บห้องอยู่น่ะ ลงไปรอก่อนเลยลูกเดี๋ยวแม่อุ่นข้าวให้กินกัน..”
“..ค่าๆ...เร็วๆน้า..อ๊ะ..วันนี้หนูทำเองดีกว่า..อิอิ..” ลูกน้อยหัวเราะคิดคักจากไป เสียงหัวเราะใสๆทว่าชวนโล่งใจอย่างประหลาด นัยน์ตาสีนิลหันไปมองรูปถ่ายครอบครัวที่หัวเตียงอีกครั้งด้วยสายตาอาวรณ์..แต่ก็พลันเปลี่ยนเป็นเข้มแข็งได้ไม่นานนัก...
....ไม่ว่าหลังประตูบานนั้นจะมีอะไร..เธอเชื่อว่าลูกรักของตนจะผ่านมันมาได้..
..แล้วแม่จะรอ...รอวันที่เจ้าจะคืนมาสู่อก...
...หลังประตูบานนั้นคือการรอคอย..
....หลังประตูบานนั้นคือความอาทรห่วงใย..
....หลังประตูบานนั้นคือความรัก..ที่ไม่หวังผลตอบแทน...
กริ๊งงงงงงงงง...
“..อ่ะ...” ผมโงหัวขึ้นมาจากซอกเข่าตัวเองแบบมึนๆเมื่อได้ยินเสียงกริ่งยาวโหยหวนชวนสยองขวัญไม่น้อย พลันก็ต้องสะดุ้งเมื่อประตูห้องขังถูกเปิดแรงๆผลั่วใหญ่ ตามมาด้วยร่างของนักโทษนับสิบที่กรูกันเข้ามา หลายคนชะงักเมื่อเห็นผมนิดหน่อยก่อนจะเดินผ่านไปทางข้าวของตัวเอง ยกผ้าขาวม้า ไม่ก็ผ้าขนหนูมาพาดไหล่ แล้วถือขันน้ำ สบู่ น้ำยาสระผมเดินตัวปลิวไป..
“..เอ๊ะ....” ผมอุทานงงๆ ก่อนจะพยายามเค้นสมองถามตัวเองว่าผู้คุมบอกถึงกิจกรรมอะไรไว้มั่ง อยากจะอ้าปากถามเสียแต่ไม่ทันเปล่งเสียง ในห้องขังก็กลับไปโล้นเปล่าไร้ผู้คนอีกรอบซะแล้ว..
“.......” เรียกว่าไม่ต้องมีคำบรรยายใดๆให้ลึกซึ้งเลยทีเดียว..
“..เห้ย !!..ไอ้เด็กใหม่ ไม่อาบน้ำเหรอมึง เดี๋ยวคืนนี้จะได้โดนถีบให้ไปนอนเฝ้าส้วมหรอก..” เสียงที่ผมจำได้ว่าเป็นไอ้คุณพี่โวยดังมาจากทางเดินช่วยชีวิตทำเอาผมต้องรีบความหาอุปกรณ์ของตัวเองมั่ง แม้จะไม่รู้ว่าที่นี่เขาอาบน้ำกันยังไงก็เถอะ..
“....” ผมมองบานประตูเหล็กดัดของห้องขังแล้วสูดหายใจลึกๆเข้าปอดอย่างเรียกกำลังใจตัวเอง..ไม่ว่าข้างหน้ามันจะมีอะไร ผมก็ต้องฝ่าไปให้ได้
...เพราะผมรู้..ว่าหลังประตูบานนั้น..มีใครรอคอยอยู่...
...
สักนิดจาก ไรท์เตอร์....................
อัพแล้วเจ้าค่ะตอนนี้เรามาไขอดีตของนายเอกกัน
เรื่องความรู้สึกของคนที่อยู่ข้างหลังนี่มันน่าเศร้าจริงๆน่ะค่ะ ไม่ว่าคนในคุกเขาจะอยู่กันอย่างไร คนที่เฝ้ารอเฝ้าห่วงอยู่ภายนอกก็ไม่อาจรู้ได้เลย มีแต่ความเศร้าสร้อยเหว่าว้าเท่านั้น หลังประตูบานนั้นมีแต่ความห่วงหาอาทรที่ส่งไปไม่ถึง...
..ตอนนี้เหมือนจะมีสาระน่ะ แต่สังเกตมั้ยว่าคนเขียนเริ่มรั่วอีกแล้ว...

ตอนต่อไปนะจ๊ะ ...........