ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
สรุปข้อสำคัญดังนี้
1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2. ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์ และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม
5. ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้ แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6. อย่าพูดคุย ทักทาย นักเขียน คนอ่่านโดยรีพลายดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับนิยายให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรคอมเม้นต์สักคอมเม้นต์เีดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และทำลิงค์โยงมายังนิยาย และให้นักเขียนทุกคนทำลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนคลับนิยาย ในรีพลายแรกด้วย เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
เวปไซต์แห่งนี้เป็น เวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ตอนแรก
ผมตัดสินใจอยู่นานกว่าจะกดกริ่งประตูไม้สีน้ำตาลเกือบดำสนิทนี้ บ้านเลขที่ก็หล่นหายไปตัวเลขหนึ่ง เพราะมีแค่เลขต้นกับเลขท้าย ส่วนตรงกลางหล่นหายไปแล้วเหลือเพียงร่องรอยให้เดาว่าเป็นเลขอะไร ผมมาที่นี่เพื่อสอนพิเศษวิชาภาษาอังกฤษ ให้กับเด็กนักเรียนมัธยมห้า ที่ผมรับสอนพิเศษด้วยแม่ของผมกับแม่ของเด็กคนนี้สอนอยู่โรงเรียนเดียวกัน แม่จึงเสนอความช่วยเหลือ ผมเองเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปีสุดท้าย เหลือเล่มสุดท้ายก็จบแล้ว ความจริงผมไม่มีงานค้าง ฝึกงานก็เสร็จแล้ว รอแค่รับใบปริญญาบัตรอย่างเดียว เพราะวิชาที่เหลือ โครงงานก็ทำไว้ก่อนแล้ว เหลือแค่ส่ง ผมจึงไม่ค่อยห่วงเท่าไหร่ วันปกติถ้าไม่มีเรียนผมก็ไปทำงานที่บริษัทรับตกแต่งภายในของพี่สาวของพล พลคือเพื่อนสนิทของผม อีกคนหนึ่งคือจ๋า ผมกับจ๋าเรียนมัธยมมาด้วยกัน จนเข้ามหาวิทยาลัย ส่วนพลมาสนิทกันเรียนอยู่ปีหนึ่งเทอมสอง เพราะเทอมแรกมัวแต่เขม่นกันอยู่ ที่จริงผมเรียน มนุษยศาสตร์เอกภาษาอังกฤษ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมพี่สาวพลรับเข้าทำงาน คงเป็นเพราะผมเป็นเพื่อนของพล ส่วนหน้าที่ในบริษัทก็จัดเอกสาร ตรวจสัญญาภาษาอังกฤษ เตรียมแผนงานเสนอลูกค้า สรุปคือถ้าทำอะไรได้ก็ทำไป
ผมอยู่กับแม่สองคน แม่ผมชื่ออรอนงค์ แม่เป็นครูสอนภาษาไทยอยู่โรงเรียนประถมแถวพระโขนง ส่วนผมชื่อ ยศภาค หรือ โย พ่อผมเสียไปตั้งแต่ผมเรียนอยู่ประถมต้น จำได้ว่าพ่อเสียเพราะโดนยิง พ่อผมเป็นนายทหารชั้นสัญญาบัตร ยศชั้นตรีที่เพิ่งได้ตำแหน่งมา พ่อผมเสียชีวิตในเขตชายแดนภาคใต้ ตอนนั้นรู้สึกว่าเสียใจมากร้องไห้กับแม่สองคน แต่ที่จริงผมเพิ่งรู้ว่าวันนั้นไม่ใช่วันที่ผมเสียใจที่สุด เพราะแต่ละวันกับการใช้ชีวิตอยู่แบบไม่มีพ่อมันแสนจะปวดร้าวเสียใจ จนความเสียใจนั้นมันรางเลือนไปตามกาลเวลา แม่เองก็เสียใจมาก แต่ผมไม่เคยเห็นแม่ร้องไห้ตอนที่ไม่มีพ่ออยู่ เว้นจากวันที่เรารู้ข่าว กับวันที่รับศพพ่อมาทำพิธีทางพุทธศาสนา แค่นั้นจริงๆที่ผมเห็นแม่ร้องไห้ แต่แม่เองก็จะเว้นจากการพูดถึงพ่อ ผมก็เข้าใจแม่คงจะยังเสียใจอยู่มาก แต่ผมก็นับถือความอดทนของแม่มากเพราะแม่เองไม่เคยแสดงความอ่อนแอออกมาให้ผมเห็นสักครั้ง แม่เป็นทั้งพ่อและแม่ และคอยบอกผมอยู่เสมอว่า
“ถึงแม้เราจะไม่มีพ่อ ก็ใช่ว่าเราจะทำตัวเหมือนไม่มีใครเคยอบรมสั่งสอน”
แม่คอยสั่งสอนในสิ่งที่ถูกพร้อมทั้งชี้ให้เห็นความแตกต่างของสิ่งที่ไม่ควรทำและสิ่งที่ควรทำ ผมภูมิใจในตัวแม่มาก ถึงแม้ผมจะไม่ได้ดีเด่อะไร แต่ผมก็มั่นใจว่าผมเป็นคนดี ถึงแม้จะจำหน้าพ่อได้รางเลือนแต่ผมก็รักพ่อมาก เท่าที่จำได้พ่อมักให้ผมซ้อนจักรยานแล้วปั่นออกไปรอบหมู่บ้านตอนเย็นๆ เสื้อผ้าทหารยังมีอยู่เต็มตู้ มันไม่เคยเก่าไปเลย เพราะแม่เก็บมาซักรีดอยู่เป็นประจำ แม่บอกว่าเวลาแม่คิดถึงพ่อก็เอาเสื้อผ้าของพ่อนี่ล่ะออกมาซัก เพราะแม่รู้ว่าพ่ออยู่กับเราตลอดเวลา พ่อคอยจ้องมองเราอยู่ คอยให้กำลังใจคอยเป็นแสงนำทางให้แม่และผมทำในสิ่งที่ดีนั่นล่ะครับ
ผมใช้ชีวิตวัยรุ่นไม่หวือหวาอะไรนัก ส่วนมากก็ใช้เวลาอยู่กับแม่ ช่วยแม่ทำงานบ้านทุกอย่างตั้งแต่เด็กจนชิน จะออกไปเที่ยวบ้างก็เป็นวันพิเศษจริงๆ อย่างวันเกิดของจ๋า หรือไม่ก็พล เพื่อนทั้งสองก็เข้าใจจนพักหลัง บ้านผมเองกลายเป็นที่รวมตัวของบรรดาเพื่อนๆ
ผมสูดลมหายใจเข้าอีกครั้งเพื่อเรียกความมั่นใจ ก่อนที่จะมีคนมาเปิดประตู ผมกดกริ่งไปนานพอสมควรจนจากประหม่าจนเริ่มจะสงสัย เสียงประตูบ้านเปิดออก มีเด็กชายตัวเล็กยืนมองหน้าผมอยู่
“มาหาใครครับ”
เขาถามพลางเอาตัวออกมาจากประตูครึ่งตัว
“เอ่อ คือพี่มาสอนพิเศษ ที่นี่คือบ้านอาจารย์ปริศนาใช่ไหมครับ”
ผมไม่เข้าใจว่าทำไมผมต้องพูดสุภาพขนาดนี้กับเด็กตัวกระเปี๊ยกที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“อ้อ ครับ เชิญครับ พี่โยใช่ไหม”
เขาเปิดประตูกว้างขึ้น เพื่อให้ผมเข้าไปในบ้านแล้วยกมือไหว้ผม เออเด็กคนนี้มันน่ารักดีนะ
“ครับ เราล่ะ ชื่ออะไรครับ”
“ผมชื่อโอ ครับ พี่ไม่ได้มาสอนผมหรอกนะ แต่มาสอนพี่เอ” “อ้อครับ”
เขาปิดประตูบ้านหลังจากที่ผมเข้าไปในบริเวณบ้านแล้ว ขวามือเป็นที่จอดรถ ซ้ายมือเป็นผนังกำแพงซึ่งติดกับบ้านหลังอื่น ทาง เข้าบ้านมีชั้นรองเท้าที่มีรองเท้าอยู่หลายคู่วางระเกะระกะล้นออกมาจากชั้น ประตูไม้บานใหญ่ดูแข็งแรงเปิดทิ้งไว้ ผมได้ยินเสียงของอาจารย์ปริศนาดังแว่วออกมา โอวิ่งเข้าไปในบ้านก่อน ผมก็ยืนลังเลอยู่แล้วจึงถอดรองเท้าเดินตามเข้าไป
“แม่ๆ ครูสอนพี่เอมาแล้ว”
โอวิ่งไปเกาะแขนแม่ที่กำลังง่วนอยู่กับการจับนั่นจับนี่ ความจริงผมคุ้นหน้ากับอาจารย์ปริศนาเป็นอย่างดี เพราะเคยไปรับแม่ที่โรงเรียนบ่อยๆ เคยคุยกันบ้างแต่ก็ไม่มาก บางทีอาจารย์ปริศนาเองก็เคยมาที่บ้านมานั่งคุยกับแม่ ผมยกมือไหว้อาจารย์ปริศนา
“อ้าวโย มาแล้วเหรอลูก มาๆ นั่งก่อน”
อาจารย์ปริศนารับไหว้พลางเดินไปนั่งที่โซฟา ผมเดินค้อมตัวไปนั่งตรงข้าม โอนั่งลงข้างๆแม่ของเขา
“ตาโอ ไปตามพี่มาหน่อยซิ นี่คงจะเล่นเกมอยู่แน่ๆ”
อาจารย์ปริศนาหันหน้าไปทางลูกชายคนเล็ก แล้วบุ้ยปากไปข้างบนบ้าน ดูเหมือนโอจะไม่ค่อยพอใจแต่ก็ยอมไปแต่โดยดี
“วันนี้ แม่ว่าจะพาตาโอไปเรียนว่ายน้ำเดี๋ยวโย อยู่สอนน้องที่บ้านนะลูก แม่คงกลับสักสี่โมง เดี๋ยวกลับมาทำกับข้าวให้กิน เด็กเดี๋ยวนี้สอนยาก แม่ล่ะเหนื่อย ลูกตัวเองก็จะทำลมจับอยู่แล้วต้องสอนลูกคนอื่นอีก โอยนั่นยิ่งลิงทโมน อรเขาไม่บ่นให้ฟังบ้างเหรอลูก”
“ก็นิดหน่อยครับ แต่แม่ชอบสอนเด็กๆ เลยไม่ค่อยบ่นเท่าไหร่” ผมยกย่องแม่
“เห็นแม่บอกว่าตอนอาจารย์อยู่ที่โรงเรียนเด็กก็รักมากนี่ครับ เพราะใจดี” ผมรีบหักล้างคำพูดของตัวเองเพราะกลัวแกน้อยใจ
“โอ๊ย อรเขาก็พูดเกินไป ก็เรามีลูกแล้วนี่ เลยเข้าใจว่าเด็กๆมันต้องการอะไร จะบังคับมันมากเดี๋ยวก็พาลโกรธ เกลียดเราเปล่าๆ ต้องเอาน้ำเย็นเข้าลูบ มีอะไรก็ค่อยๆบอกค่อยๆสอนไป อย่างตาเอ มันติดเกมส์ยิ่งกว่าอะไรเสียอีก แม่ก็ไม่ว่ามัน แต่ก็คอยแนะว่าต้องดูหนังสือบ้าง แต่ดูเหมือนกรรมของแม่ มันไม่เอาไหนเลย”
“แต่เห็นแม่บอกว่าน้องเขาเก่งเลขไม่ใช่เหรอครับ คงจะไม่ถนัดเรื่องภาษาเท่าไร ผมเองเลขก็ไม่เอาไหนเหมือนกันครับ”
”อาจจะจริง ยังไงก็ช่วยน้องหน่อยนะลูกแม่ฝากล่ะ อย่าให้เขาว่าได้เลยว่าลูกครูสอนภาษาอังกฤษแต่ลูกตัวเองติดศูนย์ทุกเทอม มันคิดยังไงของมันไม่รู้อยากสอบเข้าเรียนวิศวฯ ไอ้เรียนเลขเก่งน่ะ อย่างเดียวมันพอที่ไหน ภาษาอังกฤษมันไม่กระดิกเลย แม่ล่ะกลุ้มใจ ดีนะที่อรเขายอมให้หนูมาช่วย”
อาจารย์ปริศนาพูดพลางหัวเราะ ทำให้ผมหัวเราะไปด้วย พอดีกับที่โอเดินกึ่งวิ่งลงมาจากชั้นบน
“พี่เอเล่นเกมอยู่จริงๆแหล่ะแม่ โอขอเล่นก็ไม่ยอม”
เขาวิ่งเข้ามากอดแขนแม่
“ไม่ต้องเล่นหรอกลูกเดี๋ยวแม่พาไปว่ายน้ำ กลับมาค่อยเล่น หนูไปอาบน้ำไป”
ผมอมยิ้มกับการที่แม่ลูกคลอเคลียกัน อาจารย์ปริศนาพูดพลางลูบหัวโอ เสียงเดินลงส้นเท้าหนักลงมาตามบันได
“อ้าวเอ นี่พี่โย ไหว้พี่เขาเสียสิ พี่เขาจะมาช่วยสอนภาษาอังกฤษให้”
ผมหันไปตามสายตาของอาจารย์ปริศนา ผมผงะเล็กน้อย เพราะคนที่เดินลงมาดูเหมือนจะไม่ใช่นักเรียนมัธยมปลายเสียเลย เขาตัวสูงใหญ่ตัวหนาๆ หนวดเครายังเป็นไรอ่อนๆ เขายกมือไหว้ผมด้วยสีหน้าปกติเฉยชาเสียจนผมเสียวสันหลังวาบ จะรอดไหมเนี่ย ผมคิดในใจ
“แม่จะไปไหนครับ”
”แม่จะพาโอไปเรียนว่ายน้ำ เดี๋ยวแม่กลับตอนเย็นๆ ตั้งใจเรียนล่ะลูก”
เสียงเขาทุ้มต่ำดูดุทีเดียว ผมต้องหลบหน้ามองกลับมาทางอาจารย์ปริศนา
“อะไรโย หน้าซีดเชียว กลัวน้องมันเหรอ”
ตายล่ะสิ พูดแทงใจดำผมทีเดียว พูดเสร็จก็หัวเราะ
“น้องมันตัวโตอย่างนี้แหล่ะลูก พ่อมันตัวโต น้องมันว่าง่ายมีอะไรก็ดุได้เลยแม่อนุญาต”
ผมได้แต่ยิ้มแห้งๆ เขามานั่งข้างๆแม่ แล้วจ้องมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า อะไรกันเด็กคนนี้เสียมารยาทจัง ผมคิดในใจ
“พี่เรียนอยู่เหรอครับ”
เขาถามผมสูดหายใจเข้าลูกๆเบาๆ เพราะกลัวเขาจะสังเกตเห็น
“ครับ อยู่ปีสุดท้ายแล้ว”
”ผมบอกไว้ก่อนนะว่าผมไม่รู้เรื่องเลยนะภาษาอังกฤษน่ะ” เขาออกตัว
“พี่เขาเก่ง เอไม่ต้องกลัวหรอก”
อึดอัดจริงแฮะ
“เดี๋ยวแม่ไปอาบน้ำก่อนนะลูก นี่จะเรียนกันตรงนี้หรือเปล่าแม่จะได้เคลียร์ของแม่ออกจากโต๊ะ”
”ไม่เอา ไปเรียนบนห้องผมดีกว่า ของแม่เยอะจะตาย ผมง่วงจะได้นอนเลย”
”อ้าว ไอ้ลูกคนนี้นี่ พี่เขาเสียเวลามานะ”
”ก็ได้ตังค์ไม่ใช่เหรอฮะ”
”เอ” เสียงอาจารย์ปริศนาขุ่นขึ้นทันที
“ไม่เป็นไรครับ มันก็จริง งั้นเราขึ้นไปเลยไหม”
ผมรีบตัดบทเพราะเห็นสีหน้าของเอจะเจื่อนลงทันที อาจารย์ปริศนายังค้อนลูกชายอยู่วงใหญ่ เอลุกขึ้นก่อน
“มีอะไรกินน่ะแม่ หิวข้าวแล้ว”
เอพูดพลางเดินเข้าไปในครัวที่อยู่ติดกับห้องรับแขกที่เรานั่งอยู่
“มีต้มจืด เออ โย กินข้าวมารึยังล่ะลูก ไปกินกับน้องมันไป”
“อ้อ เรียบร้อยมาแล้วครับ” ผมตอบ
“รีบไปกินสิเอ อย่าให้พี่เขารอนาน เดี๋ยวแม่ไปอาบน้ำก่อนล่ะ เดี๋ยวสาย”
อาจารย์ปริศนาลุกขึ้นไปชั้นบน ส่วนเอก็เข้าไปในครัว ผมเองก็ไม่รู้จะทำอะไรจึงเอาตำราเรียนตั้งแต่ชั้นมัธยมปลายกับที่เตรียมมาอีกสองสามเล่มออกมาเปิดดู ไม่รู้จะเริ่มสอนเขาจากตรงไหนดี คงต้องลองวัดพื้นดูก่อน เอเดินถือจานข้าวมานั่งข้างๆผมแล้วหยิบรีโมทย์โทรทัศน์มาเปลี่ยนช่องดู
“พี่เรียนจะจบแล้วจริงเหรอ”
เขาถามแต่หน้ายังมองโทรทัศน์อยู่ ส่วนปากก็เคี้ยวข้าวหมุบหมับอยู่
“ครับ” ผมรู้สึกประหม่า แปลกจังทั้งที่ตัวเองก็เคยเรียนมัธยมมาก่อน แต่ทำไมต้องประหม่าได้ขนาดนี้ด้วย
“ตัวเล็กกระเปี๊ยกเนี่ยนะ เรียนมหาฯลัย ผมว่าพี่หน้าเด็กกว่าผมอีกนะ”
เอหันหน้ามาทางผม ตามองสำรวจแล้วอมยิ้ม ผมรู้สึกว่ากำลังโดนเด็กล้อเลียนอยู่
“พี่คงตัวเล็กน่ะครับ ดูไม่น่าเชื่อถือเหรอ” ผมเน้นเสียงคำสุดท้าย เขาอมยิ้ม
“พี่จะสอนผมไหวเร้อ ผมไม่ค่อยรู้เรื่องหรอกนะ”
“ก็ยังไม่ลองนี่ครับ ไม่มีอะไรยากเกินไปหรอก ถ้าเราไม่พยายาม”
“อ่ะนะ”
ผมคุยกับเขาอีกครู่ใหญ่ โอกับอาจารย์ปริศนาก็พร้อมที่จะออกจากบ้าน ผมล่ำลากับทั้งสองแล้วจึงเดินเข้ามาในบ้าน เอยืนเป็นยักษ์รออยู่ตรงบันไดขึ้นชั้นสอง
“พี่ขึ้นไปก่อนนะครับ ห้องขวามือ ผมปิดบ้านก่อน”
เขาบอก ผมจึงเดินไปหยิบเป้แล้วเดินขึ้นไปบนชั้นสอง หน้าห้องเขามีรูปการ์ตูน น่าจะปริ๊นออกมาจากคอมพิวเตอร์ ติดอยู่เกือบครึ่งประตู ส่วนอีกห้องน่าจะเป็นห้องของอาจารย์ปริศนา เป็นประตูไม้เรียบๆ ไม่มีอะไรปิดทับด้านหน้า ห้องที่ติดกับห้องน้ำน่าจะเป็นห้องของน้องโอ พระเป็นรูปโดราเอมอน การ์ตูนญี่ปุ่น ไม่ใช่กระดาษแต่เป็นพลาสติก ผมเดินเข้าไปในห้องที่เปิดประทิ้งไว้ ห้องนอนของเอ ผมสูดหายใจเข้าปอดลึกๆอยู่หลายรอบกว่าจะก้าวเข้าในห้อง ไม่รู้เหมือนกันว่าจะประหม่าหรือตื่นเต้นอะไรมากมาย แค่เด็กมัธยมปลายคนหนึ่งที่ตัวโตเหมือนกับนักบาสฯทีมชาติ นี่ถ้าไม่ติดว่าเขาหน้ายังอ่อนใสกับมีไรหนวดเขียวๆอยู่ เขาคงดูเหมือนหนุ่มวัยรุ่นเลยทีเดียว พอก้าวเข้าไปในห้อง กลิ่นของชายหนุ่มปะทะเข้าเต็มหน้า เป็นกลิ่นของห้องที่ไม่ได้เปิดหน้าต่างระบายอากาศเลย กลิ่นกายของเจ้าของห้องมันยังระคนลอยไปทั่วห้อง ที่บอกกลิ่นกายนี่ไม่ใช่กลิ่นแบบที่ไม่อาบน้ำ แต่เป็นกลิ่นของเนื้อตัวของคนที่ไม่ได้ใช้น้ำหอม หรือเครื่องหอมใดๆ ผมเองก็เพิ่งได้กลิ่นชัดเจนตอนนี้เอง ห้องนอนของเอทาด้วยสีเขียวกรมท่าแก่ ด้านขวามือเป็นเตียงนอนที่ผ้าห่มยังกองอยู่ที่ปลายเตียง ส่วนซ้ายมือเป็นโต๊ะอ่านหนังสือ มีโคมไฟสีดำยื่นออกมา บนโต๊ะมีหนังสือเรียนกองกระจัดกระจายอยู่ บนพื้นก็มีเสื้อผ้าใส่นอนวางอยู่คนละทิศละทาง ตู้เสื้อผ้าก็เปิดทิ้งไว้ให้เห็นเสื้อผ้าที่ล้นตู้จนเกินจะปิดประตูได้ ผมถอนหายใจคงเด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง ไม่มีอะไรโย ไม่มีอะไร ผมปลอบใจตัวเอง
“ไงพี่ ห้องรกเหรอ”
เขาทักจนผมสะดุ้ง เอไม่ได้สนใจเขาปิดประตู แล้วเดินมาเอาเท้าเขี่ยเสื้อผ้าใส่นอนบนพื้นให้ไปเสียอีกทางหนึ่ง
“พี่จะสอนตรงไหนเนี่ย”
เอพูดแล้วก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงอย่างแรง
“น้องเอ อยากนั่งเก้าอี้หรือนั่งกับพื้นดีครับ”
ผมพยายามไม่สนใจกับอากัปกริยาของเขา ที่จริงผมเองก็ถามออกไปได้ ว่านั่งเรียนตรงไหนดี แทนที่จะระบุไปเลยว่าให้นั่งเรียนกับพื้น เซ็งตัวเองเหมือนกัน
“นอน”
เอพูดพลางเอาเท้าเขี่ยผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวครึ่งล่าง ว่าแล้วเชียว
“มีโต๊ะญี่ปุ่นไหมครับ เรามานั่งเรียนบนพื้นดีกว่า จะได้ไม่ง่วง”
ผมพยายามไถไป
“ปวดหลัง พี่นั่งไปดิผมจะนอน”
กรรมแท้ๆ ผมคิดไว้แล้วไม่มีผิด
“เอาใกล้ๆเตียงก็ดีเหมือนกันเนอะ เมื่อยจะได้พิง”
ผมยังไม่ละความพยายาม แต่ในใจเริ่มท่องนะโมๆ ใจเย็นๆนะโย น้องเขายังเด็กอยู่มาก ไม่ใจร้อนๆ ผมเตือนตัวเองอยู่ในใจ
“พี่ ถามจริงๆเถอะ พี่เป็นตุ๊ดป่าวเนี่ย”
เอกึ่งนั่งกึ่งลุกขึ้นจากเตียง ผมรู้สึกเหมือนโดนตบหน้าอย่างแรง จากที่ประหม่าอยู่แล้วเป็นทุน ยิ่งไปกันใหญ่ ใจเต้นระรัว ทั้งไม่ได้เตรียมคำตอบมา ทั้งรู้สึกอายที่เด็กถามยัดเข้ามาไม่ให้ตั้งตัว
“ทำไมครับ”
ผมถามเสียงสั่น
“ก็พี่ดูขาวๆ บางๆ ดูท่าเหมือนกับตุ๊ดเลย น่าใสๆอย่างนี้อ่ะ เป็นตุ๊ด ชัวร์”
อยากจะตะคอกใส่หูมัน เขาเรียกเรียบร้อยเฟ้ยไอ้บ้า
“แล้วไงครับ”
ผมยังดึงดันที่จะพูดออกไป ไม่รู้เหมือนกันว่าสีหน้าตอนนี้เป็นยังไง แต่ข้างในเหมือนโดนแกล้ง อายเหมือนนักเรียนโดนทำโทษโดยการแก้ผ้าหน้าเสาธง
“แค่ลักษณะภายนอกนี่เราก็สรุปแล้วเหรอครับ ว่าพี่เป็นอะไร”
ผมจ้องเขาเขม็ง พยายามจะบีบเสียงให้แข็งข่มความสั่น
“เฮ้ย พี่ ทำท่าซีเรียสไปได้ ผมแค่ล้อเล่น แต่พี่อย่ามาแอบชอบผมนา ผมไม่นิยม”
เอากับมันสิ พูดจบก็หัวเราะอย่างสบายใจ น่าถีบจริงๆนะแก
“แล้วจะเรียนได้รึยังครับ จะสงสัยอีกนานไหม”
ผมเริ่มโมโห
“เรียนดิพี่ สอนมาดิ”
เขายังอยู่ในท่าเดิม
“นี่ จะเรียนแบบนี้น่ะเหรอ พี่ไม่สอนหรอกนะ นอนเรียนน่ะ ไปเอาโต๊ะญี่ปุ่นมา”
ผมขึ้นเสียง เขาดูตกใจเล็กน้อย
“โห ดุเว้ย เห็นน่าใสๆนี่เอาเรื่องเหมือนกันนะพี่เนี่ย”
เขายังยียวน ก่อนที่จะลุกออกไปข้างนอก ปล่อยให้ผมยืนเคว้งอยู่ในห้อง สูดหายใจเข้าปอดใหม่ เรียกกำลังใจขึ้นมาใหม่ ไม่ได้นะโย จะยอมกับเด็กกวนประสาทง่ายๆแบบนี้ไม่ได้นะ เอกลับเข้ามาพร้อมโต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็ก ที่น่าจะวางหนังสือได้แค่สองเล่ม ตายล่ะสิจะนั่งสอนมันยังไงล่ะนี่
“เอ้า นั่งตรงนี้นะ”
เขาวางโต๊ะลงใกล้ๆเตียง แล้วก็นั่งลงหลังพิงเตียงทันที
“แล้วหนังสือเรียน สมุด ปากกาล่ะครับ”
“โหพี่ หยิบให้หน่อยดิ นะนะ โน่นแน่ะอยู่บนโต๊ะ”
“เอ”
ผมขึ้นเสียง ทำไมมันถึงได้ลามปามแบบนี้นะ
“เออๆ ไม่หยิบก็ไม่หยิบ โหอย่างกะแม่เลยเว้ย”
กรรมนี่ขนาดผมยังไม่ได้พูดอะไรกับมัน อยากจะต่อยหน้ามันเหลือเกิน แต่คงจะสู้ไม่ไหวเพราะมันตัวโตเหลือเกิน ท่องไว้ๆโย อดทนๆ น้องมันยังเด็ก มันยังไม่บรรลุนิติภาวะเลย ค่อยๆสอน เด็กมันก็เด็กวันยังค่ำ ไม่มีพิษมีภัยหรอก
“พี่ตัวหอมจังเลย ใส่น้ำหอมอะไรเนี่ย”
เขาเข้ามาทำจมูกฟุดฟิดอยู่ข้างๆหู ผมรู้สึกใจเต้นออกมานอกตัว ผมรีบถอยออกทันที แล้วจ้องหน้าเขาอย่างไม่พอใจ
“ทำอะไรน่ะ”
ผมแว้ดเสียงขึ้น
“โห แค่นี้ก็หน้าแดงด้วย ไหนบอกไม่ใช่ตุ๊ด”
เขาหัวเราะอย่างอารมณ์ดี มันแกล้งผมนี่ ไอ้เด็กบ้า
“อย่าทำแบบนี้นะเอ พี่ไม่ชอบ”
ผมพูดไปทั้งที่ใจยังเต้นอยู่โครมคราม
“พี่เป็นตุ๊ดแน่ๆ แค่นี้ก็อาย”
คุณพระคุณเจ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย โปรดประทานความอดทนให้ลูกด้วยเถิด อดทนกับมารตัวนี้ให้อยู่รอดข้ามวันไปทีเถิด
“แล้วไง เป็นตุ๊ดแล้วจะสอนเราไม่ได้เหรอ”
ผมพูดด้วยความโกรธ
“ก็สอนได้อ่ะนะ แต่อย่าล่วงเกินผมนะผมฟ้องแม่จริงๆด้วย”
โหเด็กเวร ล่วงเกินน่ะล่วงแน่ แต่จะถีบยอดอกแกนี่ล่ะ ผมสั่นไปทั้งตัวไม่คิดว่าจะเจอกับเด็กแบบนี้ ผมกลั้นหายใจอยู่หายทีเพื่อให้มีสติ แล้วนั่งลงตรงข้ามกับเขา พอนั่งลง เงยหน้าขึ้นเขาก็เอาหน้ามาจ่อเกือบติดหน้าผม ด้วยความตกใจผมผงะออกอย่างแรง
“ฮ่าๆ พี่กลัวผมเหรอ”
ดูมันทำเสียง โอ๊ย ไม่ไหวแล้ว
“นี่ จะเรียนหรือไม่เรียน ทำไมทำตัวแบบนี้ พี่เป็นรุ่นพี่เธอนะ จะเล่นอะไรน่ะเกรงใจกันบ้าง ถ้าไม่อยากเรียนจะได้บอกแม่เรา ว่าพี่เองล่ะที่ไม่มีปัญญาสอนเรา และเราถ้ารังเกียจพี่นัก ก็ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ บอกกันดีๆก็ได้”
ผมเม้มปากกัดฟันพูด ด้วยความโมโห เขาหน้าสลดลงทันที ผมพูดเสร็จก็เตรียมจะลุกขึ้น ไม่ไหวแล้ว เด็กอะไรไม่มีมารยาทเอาเสียเลย
“โห พี่ ผมขอโทษ นะนะ อย่าไปเลยนะ ผมล้อเล่น ถ้าพี่ไป แม่เอาผมตายแน่ๆ นะนะพี่โย ผมจะตั้งใจเรียนไม่แกล้งพี่แล้ว นะนะ อย่าไปเลยนะครับ”
เขารั้งมือผมเอาไว้ ผมจ้องเขาตาเขม็ง แหมทีอย่างนี้นะมาทำเสียงอ่อน ไอ้เด็กบ้า ผมด่ามันด้วยสายตา
“นะนะ พี่ ผมจะทำตามที่พี่บอกทุกอย่างนะครับ สอนผมเถอะนะ”
มันยังรบเร้า ผมถอนหายใจอย่างระอา เอาวะ ถึงยังไงเขาก็ต้องการคนสอน ถ้าเขาไม่มีคนสอนก็ไม่ผิดหรอกที่เขาจะจาบจ้วงคนอื่นง่ายๆ แบบนี้ ยอมก็ยอมวะ ผมเถียงกับตัวเองในใจ
“อย่าทำแบบนี้อีก ไม่งั้นพี่ไม่สอนเราแน่ๆ”
ผมขู่ก่อนจะนั่งลงที่เดิม
“คร้าบบบ”
เขาลากเสียงแล้วอมยิ้มเห็นไหม มันจะรอดไหมเนี่ย
*** ขออนุญาตแก้ไขคำห้อยท้ายของชื่อเรื่อง เพื่อลดความรุงรังของหัวข้อ แต่หากผู้แต่งมีเรื่องแจ้งเพิ่มเติม ก็สามารถแก้ไขชื่อเรื่องได้ตามปกติค่ะ
ทิพย์โมบอร์ดนิยาย