เย็นวันนั้นหลังจากที่ผมกลับมาจากเรือนหลังสวน กลับมาอาบน้ำและก็ฆ่าเชื้อด้วยขมิ้นชันอีกครั้งทั่วตัว อย่างหนึ่งที่ต้องระวังเวลาไปเรือนหลังสวนก็คือความสะอาด เพราะว่าที่เรือนหลังนู้นมีคนป่วยมาก มีเชื้อโรคกระจายอยู่ทั่วบริเวณ ความสะอาดจึงเป็นสิ่งที่ผมจะละเลยเสียไม่ได้
เมื่ออาบน้ำชำระร่างกายเรียบร้อยแล้วก็มานั่งรอสนอยู่ศาลากลางเรือน ลมเย็นๆของยามเย็นวันนั้น อีกทั้งบรรยากาศที่เริ่มเย็นลง ทำให้ผมเริ่มง่วง และในที่สุดผมก็เผลอหลับไปในตอนเกือบจะหกโมงเย็น
ตื่นมาอีกทีก็อีตอนที่ได้ยินเสียงบ่นงึมงำๆของนังอ่ำบ่าวเรือนนี้
“นอนตอนเย็นแบบนี้ มิกลัวตะวันจะทับตาหรือกระไร เจ้าบ้านี่” เสียงบ่นงุ๋งงิ๋งๆของอ่ำทำผมลืมตาขึ้น ผมมองไปรอบๆรู้สึกปวดหัวหนึบๆ
นังอ่ำคนนี้แหละที่มักจะบ่นเวลาผมทำอะไรไม่ถูกใจ ไม่ว่าจะเวลาที่ผมกินข้าวแล้วเอาช้อนเคาะจานเพื่อให้ข้าวมันหลุดออกจากช้อนเพราะไม่มีซ้อม อ่ำก็จะบ่น
“เคาะชามข้าวเยี่ยงนี้ ประเดี๋ยวก็จักได้เมียแก่ดอก”
หรือเวลาที่ผมนอนกลางวัน แล้วนอนหงาย มันก็จะบ่น
“นอนหงายแบบนี้เดียวฟ้าก็ผ่าหรอก” อันนี้ตอนแรกผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงเชื่อกันแบบนั้น แต่พอถามหมอปีย์เขาก็เล่าให้ฟังว่า เป็นกลอุบายขอคนโบราณที่ไม่อยากให้เรานอนหงาย เวลานอนหงายแล้ว ปากจะอ้าหวอ น้ำลายไหล หน้าตาดูไม่ได้ เหมือนคนตาย การนอนหงายนี้นี่เองที่เป็นเหตุผลที่ทำให้พระพุทธเจ้าถึงกับปลงจนต้องออกบวชมาแล้ว
“ขนาดนั้นเลยเหรอ” ผมบ่น
ความมืดเริ่มปกคลุมไปทั่วบริเวณ สร้างความงุนงงให้ผมไม่น้อย เพราะก่อนจะเผลอหลับไปยังสว่างอยู่เลย แต่พอตื่นขึ้นมากลับมืด ทำให้ผมไม่แน่ใจว่าวันนี้วันไหน กลางวันหรือกลางคืน นี่ละมั้งที่เป็นเหตุผลที่คนโบราณห้ามไม่ให้นอนตอนใกล้ค่ำ
ผมขยับตัวจะลุกก็พบว่าร่างของตัวเองถูกคลุมด้วยผ้าแพร มีใครบางคนเอาผ้ามาห่มให้ผม
“อ่ำ เอาผ้ามาห่มให้ชั้นเหรอ” ผมถามอ่ำที่กำลังปัดกวาดบ้าน หล่อนส่ายหัว ผมนิ่งคิดอีกครั้งก่อนจะเอะใจว่าใครคนนั้นคือ........
“ขอบใจนะ” ผมพูด
ผมไม่เข้าใจหมอปีย์เลยจริงๆว่ามันคิดอะไรของมันอยู่ บางทีมันก็ดูเป็นคนที่ผมสามารถจะพึ่งพาได้ในยามที่ผมไม่มีใคร
แต่บางทีก็กลับกลายเป็นใครก็ไม่รู้ที่ดูเฉยชา บ้าอำนาจ และจ้องแต่จะจับผิด
ทุกครั้งที่ผมจ้องเข้าไปในดวงตาคู่นั้นของมัน ผมจะพบว่าแววตาคู่นั้นเต้นระริกเหมือนพยายามจะอดกลั้นความรู้สึกบางอย่าง ดวงตาที่หรี่ลงเหมือนพยายามปกปิดความหมายอะไรบางอย่าง
พยายามหลายต่อหลายครั้งที่จะทะลวงเข้าไปให้ถึงจิตใจของหมอนั่น แต่ยากเหลือเกินที่จะเดินผ่านม่านหมอกแห่งอคติของเขาไปโดยไม่หลงทาง
“ขอโทษทีนะเจ้าบ้า พอดีข้ามีงานเร่งต้องทำที่เรือนหลังสวน” นายสนวิ่งกระหืดกระหอบขึ้นมาหาผมที่นั่งรออยู่บนเรือน
“ไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่จะไปกันรึยังหล่ะ” ผมถามเก็บอาการตื่นเต้นไว้ไม่อยู่ ตื่นเต้นที่จะได้ไปเห็นบรรยากาศงานแบบย้อนยุค เอ้ย ไม่สิ ไม่ได้ย้อนยุคเสียหน่อย นี่มันยุคปัจจุบันของที่นี่ตะหาก ผมอยากรู้ว่าเขาจะแสดงกันยังไงในเมื่อไม่มีไฟฟ้า จะพูดประกาศกันยังไงเมื่อไม่มีไมโครโฟน จะเอาลำโพงมาจากไหน คงจะเป็นงานตีมแบบเงียบๆมืดๆ ทึมๆ หรือปล่าว ผมนึกภาพไม่ออกจริงๆ
“ไปสิ แล้วเจ้าบอกคุณหลวงท่านหรือยังเล่า” สนถาม กลอกตาไปมา
“บอกแล้ว”
“ท่านว่ากระไร”
“จะว่ากระไดได้” ผมล้อ “ชั้นแค่บอกเพราะว่าเกรงใจที่มาอาศัยอยู่บ้านเขาก็เท่านั้น ส่วนจะให้ไปไหนหรือไม่ให้ไปไหน มันสิทธิ์ของชั้น”
ความมืดเข้าปกคลุมทั่วบริเวณ แต่ผมสามารถมองเห็นสองข้างทางๆได้ด้วยสปอร์ตไลท์ขนาดยักษ์ หลายคนคงสงสัยว่าสปอร์ตไลท์จะมีในที่แบบนี้ได้อย่างไร
ไม่ผิดหรอกครับ สปอร์ตไลท์ที่ผมว่านั้นมีจริงๆ และมันก็คือ นู่นไงครับ
“ดวงจันทร์ดวงเบ้อเริ่ม”
ตั้งแต่ผมเกิดมา ผมไม่เคยเห็นดวงจันทร์ที่ไหนสวยและดวงโตเท่าที่นี่เลย ดวงจันทร์ดวงนั้นจะใช่ดวงจันทร์ดวงเดียวกับที่บ้านผมมั๊ยน๊า
ผมคิด
ความใหญ่ของมันทำให้ผมนึกไปว่า มันอยู่ใกล้แค่เอื้อมแค่นี้เอง ลายเส้นที่เห็นบนนั้นมันช่างชัดเจนอะไรขนาดนี้ อีกทั้งแสงที่ส่องลงมาก็นุ่มนวลจนเหมือนกับเดินอยู่ในความฝัน
แสงจันทร์ที่สาดไปทั่วบริเวณพื้นหญ้านั้นทำให้ผมแทบจะอดใจกระโจนลงไปนอนเกลือกกลิ้งบนหญ้านั้นไม่ไหว
“เฮ้ย ทำเจ้าอะไรของเจ้าน่ะ เจ้าบ้า” สนทำท่าเหมือนเห็นผี
“ชั้นก็นอนกลิ้งบนหญ้านุ่มๆนี่น่ะสิ” ผมยิ้มร่า กลิ่นหอมอ่อนๆของใหญ่ และน้ำค้างนั้นทำให้ผมเคลิบเคลิ้มไม่น้อย
“เจ้าจะบ้าไปแล้วรึ” มันหันไปมองซ้าย มองขวา คงกลัวคนมาเห็น “ขี้หมา ขี้ควายเลอะตัวเสียหมดแล้วกระมัง ลุกประเดี๋ยวนี้” มันกระชากผมลุกขึ้นจากพื้นหญ้า
“เจ้านี่มันเพี้ยนผิดมนุษย์มนาเสียจริง” มันส่ายหัวไปมาก่อนจะเร่งฝีเท้าทิ้งห่างผมไป
“มึงไม่เคยเดินแต่บนพื้นคอนกรีต มึงคงไม่รู้หรอก หึ” ผมเปรย
ระหว่างที่เดินไปงานนั้น ผมเห็นชาวบ้าน หอบลูกจูงหลาน เดินมุ่งหน้าไปทางเดียวกับผม ในมือของพวกเขาถือตะเกียงเจ้าพายุบ้าง ถือเสื่อ ถือผ้าห่มบ้าง เดินกันเป็นขบวน คุยกันงุ๊งงิ๊งๆ
“นาย นาย” ผมเรียกนายสน “เราไม่ต้องเอาผ้าห่มเอาเสื่อมาด้วยเหรอ”
“มิต้องดอก แม่ข้ามี” นายสนยิ้มแฉ่ง ผมพยักหน้างึกๆ
ยิ่งเดินเข้าไปใกล้งานเท่าไหร่ ผมก็ได้ยินเสียงตึกๆของกลองดังขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งเสียงอื้ออึงของผู้คนก็ดังลอยมาแต่ไกล อาจเป็นเพราะที่นี่เงียบมาก ไม่มีเสียงรถยนต์ เสียงเครื่องบินใดๆ จึงทำให้ได้ยินเสียงเหล่านี้ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
“นู่นไง ภูเขาทอง” สนหยุดชี้ไปที่ภูเขาทอง ที่บัดนี้ เขาลูกนั้นได้สะกดคนกรุงนักเรียนนอกอย่างผมให้อ้าปากค้างตะลึงพรึงเพริดในความสวยงาม ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนว่ามันจะสวยงามได้ขนาดนี้ พระเจดีย์สีขาวนวล โอบล้อมด้วยดอกไม้หลากสีที่ชาวบ้านต่างพากันร้อยเรียงและแขวนตกแต่งไว้รอบองค์เจดีย์ ฉาบด้วยแสงไฟจากโคมไฟ และตะเกียงแก้วสีสรรต่างๆระยิบระยับราวกับอัญมณีอันเลอค่า เสียงมโหรีปี่พาทย์บรรเลงแว่วมา ยิ่งเพิ่มมนต์ขลังให้งานวันนี้จนผมขุนลุก และเผลอเอามือควานหามือถือในกระเป๋ากางเกงหวังจะถ่ายรูปไปให้ที่บ้านดูโดยลืมตัวไปว่ายุคสมัยนั้นมันมีมือถือซะที่ไหนเล่า
“จะอึ้งอีกนานไหม เจ้าบ้า” นายสนถาม ผมหันมามองมันพร้อมรอยยิ้ม
“สวยจัง” ผมบอก
“มันยิ้มรับก่อนจะบอกให้ผมรีบเดินเข้าไปในงาน
ทันทีที่ผมเข้าไปในงานบรรยากาศที่ยุคสมัยผมไม่มีอีกแล้วนั้นก็ทำให้ผมถึงกับตัวชา ผู้คนแต่งกายง่ายๆแต่สวยสะดุดตา สาวแรกรุ่นเดินผ่านกระมิดกระเมี้ยนเมื่อผมจ้องมองจีบสะไปที่เธอเหล่านั้นบรรจงจับอย่างปราณีต ความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาของเธอพวกนั้นทำให้ผมอดนึกถึงลูกหลานเธอในยุคผมที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่แม่งสก๊อยซ์จริง ติ่งได้ใจ
ผู้หญิงบางคนที่มีอายุมากขึ้นหน่อยก็อุ้มลูกคนเล็กไว้ข้าง อีกข้างจูงลูกคนโต ลูกคนเล็กซนหน่อยดึงผ้าแถบแม่ผ้าหลุดลุ่ย แม่ก็ไม่อาย ดึงผ้าออกมาพาดบ่าโชว์นมยานโทงเทงมันซะเลย
“วาย นั่นนมหรือถุงกาแฟนั่น” ผมพูดกับสน สนหันมาทำหน้าดุ
“เจ้าบ้า อย่าไปพูดเยี่ยงนั้นเชียวนา เดี๋ยวป้าแกเอานมฟาดปากเอาหรอก” ผมยกมือขึ้นปิดปากทันที นายสนหัวเราะก๊ากออกมา
พวกชาวบ้านผู้ชายนั้นส่วนใหญ่นุ่งกางเกงสามส่วน บ้างก็นุ่งผ้าถุงกันมา บางคนเอาผ้าคาดพุง บางคนก็เอาคาดบ่า ที่เอวของพวกเขาพวกมีดหรืออะไรสักอย่าง อ้อ มันคือกริชนั่นเองไว้ที่เอว
“สน นั่นอะไรน่ะ” ผมชี้ไปที่กริช
“อ้อ กริชน่ะ ชาวบ้านเขาพกไว้ป้องกันตัว จากพวกโจรอั่งยี่”
“อ๋อ ผมพยักหน้า
ในงานนี้นอกจากจะมีชาวบ้านธรรมดาแล้ว ยังมีพวกเจ้าขุนมูลนายที่แต่งกายอย่างปราณีตด้วยชุดไทยงามวิจิตรมาเดินอยู่ด้วย พวกเขาถูกรายล้อมด้วยบ่าวไพร่ที่คอยถือตะกร้าสานไว้ในมือ สาวๆเหล่านั้นเดินเลือกซื้อของและต่างก็ตื่นเต้นกับสิ่งรอบตัวราวกับไม่เคยเห็นมาก่อน
“พวกนางในน่ะ เจ้าบ้า นานๆพวกนางจะได้ออกมานอกวังเสียที เจ้าสนใจสักคนหรือไม่ล่ะ เราจะไปเกี้ยวมาให้” นายสนหัวเราะ
ผมก็หัวเราะ..............แหะๆ
นึกในใจ “โทษว่ะสน ยังไม่ใช่สเปคว่ะ”
ผมกับสนเดินผ่านร้านขายของมากมายที่วางแบกับพื้นบ้าง อยู่บนแคร่บ้าง ร้านนู้นขายกะลอจี๊ (ขนมโบราณทำมาจากแป้งข้าวเหนียวนำไปนึ่งและโรยด้วยงาขาวงาดำ และน้ำตาล) กลีบลำดวน และขนมต้ม
ส่วนร้านหัวมุมตกแต่งด้วยดอกเฟื่องฟ้าและดาวเรืองนั้นขายข้าวต้มน้ำวุ้นที่คล้ายๆกับข้าวต้มสามเหลี่ยมใส่น้ำเชื่อมดอกมะลิ และยังขายจาวตาลเชื่อมอีกด้วย
อีกฝั่งนึงนั้นเป็นพวกมอญที่เอาทอผ้ามาขาย อีกทั้งยังขายขนมกง กระยาสารท
พวกจีนนั้นมีชาวบ้านล้อมกันมากมาย ผมชะโงกหน้าไปดูก็เห็นคนจีนเอาป๋องแป๋ง ลิงตีกลอง ลูกข่าง ของเล่นที่เอาใจเด็กๆ นอกจากนั้นก็ยังมีขนมฝรั่งกุฎีจีนที่ผมเคยกินตอนเด็กๆก็ยังเอามาขาย
ผมเห็นของเล่นแล้วนึกถึงเจ้าแดงมันทันที
“นายสน นายสน นายมีเงิน เอ้ย อัฐให้ชั้นยืมมั่งป่าว” ผมถาม “ชั้นอยากจะซื้อของเล่นให้แดงมันน่ะ เดี๋ยวกลับเรือนแล้วชั้นเอ่อ.............” คิดถึงหน้าหมอปีย์แล้วหน้ามุ่ยทันที “แล้วเอ่อชั้นจะขอหมอปีย์ให้”
“ไม่มีดอก ข้าไม่พกอัฐมาเลย อ้อ แต่หากเจ้าต้องการอัฐ ประเดี๋ยวข้าจะบอกแม่ข้าให้ แต่เจ้าจักต้องช่วยแม่ข้าขายขนมเบื้องเสียก่อน"
“ได้เลยๆ” ผมยิ้มก่อนจะเดินตรงไปยังร้านขายขนมเบื้องโบราณของแม่สน
ร้านของแม่สนนั้นมีชาวบ้านมุงอยู่หลายคน แกขายของอยู่คนเดียวเลยไม่มีเวลาเงยหน้ามาทักทายผมเลย ผมรีบวางของในมือก่อนจะปรี่เข้าไปช่วยแม่
“ให้ผมช่วยอะไรมั๊ยครับ” ผมถาม
“อ้าวพ่อหนุ่ม ดีเลย เจ้ามาก็ดีแล้ว มาช่วยข้าคนแป้งหน่อยเถิด ประเดี๋ยวแป้งมันจะตกตะกอนเป็นก่อนเสียก่อน”
ผมหันไปมองอ่างดินที่ใส่แป้งก่อนจะเอากระบวยค่อยๆคน
“แม่ แป้งนี่ทำมาจากอะไรอ่ะ ทำไมสีมันแปลกๆ” ผมถาม
“อ้อ แป้งนี้รึ ทำมาจากถั่วเราะทองเอาไปบด ต้องเป็นแป้งที่ทำมาจากถั่วเราะทองเท่านั้นนะถึงจักกรอบแลอร่อย ทำไมรึ เจ้าสนใจกระนั้นรึพ่อหนุ่ม”
“ใช่ครับ สนใจ” ผมตอบ
“แปลกดีแท้นะ คุณหนุ่มอย่างเอ็งไยถึงมาสนใจทำอาหารเยี่ยงสตรี”
แหม ผมอยากจะบอกว่า อาหารที่ป้าบอกว่าเหมาะกับผู้หญิงเท่านั้นนี้แหละ ในยุคผมนั้นทำรายได้เข้าสู่ประเทศปีหละเหยียบเจ็ดแสนล้านบาทเชียวนะป้า เป็นใครใครก็สนใจทั้งนั้นแหละ จะให้ไปหยิบจอบหยิบเสียมรบราฆ่าฟันน่ะ หมดยุคไปแล้ว
“หากเอ็งสนใจ ข้าจักสอนให้ ขนมเบื้องนี่นะสำคัญที่แป้ง แป้งต้องละเอียดนุ่มไม่เป็นเม็ดๆ ส่วนไส้นั้นมีสองไส้” แล้วแกก็เอี้ยวตัวไปหยิบถ้วยดินเผาใบหนึ่ง
“ไส้เค็มนี่” แกยื่นถ้วยมาให้ผมดู “ทำมาจากกุ้งนางผัดมันกุ้ง มะพร้าว พริกไทย ผักชี แล้วนี่ก็ไส้หวาน” แล้วแกก็ยื่นอีกถ้วยให้ผม “ทำมาจากฝอยทอง มะพร้าว ฟักเชื่อม ลูกพลับหั่นเป็นแว่นๆ และทาด้วยสังขยาที่ข้าทำเอง”
แกยิ้มภูมิใจในฝีมือ
“สิ่งที่สำคัญอีกอย่างของการทำขนมเบื้องนี่นะ เอ็งจำไว้ ว่าไฟต้องไม่แรงไม่อ่อนเกินไป ใช้ถ่านไม้นี่แหละ หอมดี”
ว่าแล้วแม่สนก็ทำการโชว์ฝีมือด้วยการตักแป้งเทลงบนกระทะแบนๆที่ทำมาจากเหล็ก แล้วใช้กระบวยวนจนเป็นวงกลมบางๆ รอสักพักก็โรยไส้ จากนั้นก็ใช้เครื่องมือที่คล้ายๆเกรียงค่อยๆแซะแผ่นแป้งสีเหลืองทองที่ส่งกลิ่นหอมโชยออกมา แล้วใส่ใบตองยื่นให้ผม
“อ้าว เอาไปชิมสิพ่อหนุ่ม”
“จะดีเหรอแม่เกรงใจ” ปากบอกว่าเกรงใจ แต่มือนั้นหยิบเข้าปากหมับไปแล้ว
“โอ้ยร้อนๆ” ผมเป่าไอร้อนออกจากปาก นายสนกับแม่และชาวบ้านที่รอคิวซื้อขนมขันกันใหญ่ คงไม่เคยเห็นคนประหลาดแบบผมเป็นแน่
“อร่อยจังเลย” ผมคิดในใจ คิดไปถึงขนาดที่ว่า ทำไมสมัยผมถึงไม่มีขนมเบื้องอร่อยๆแบบนี้ขายนะ ทั้งๆที่สมัยนี้สมัยโบราณแท้ๆ ไม่มีเครื่องปรุงพิศดาร วัตถุดิบหลากหลาย มีแต่ของพื้นๆ หาได้ทั่วไป แต่ทำไมมันกลับอร่อยต่างกันอย่างนี้
“หือ อย่างนี้ถ้าเราแอบขอสูตรแป้งกับไส้ แล้วทำแช่แข็งขายส่งนอกแบบเอาเข้าเวฟกิ๊งเดียวก็จะได้กินขนมเบื้องสูตรโบราณ โห คงรวยน่าดู” ผมยิ้มออกมาอย่างออกนอกหน้า
“อ้าว เจ้าบ้า เร่งคนแป้งเข้า ดูสิ แป้งนอนก้นหมดแล้ว” นายสนเรียกเตือนสติ
ผมช่วยแม่ของสนขายของบางครั้งหากคนน้อยๆ ผมจะขอลองทำเองบ้างซึ่งผลออกมาก็ไม่น่าประทับใจสักเท่าไหร่ นายสนเองนั้นใช้เวลาทั้งหมดไปกับการปอกและขูดมะพร้าวด้วยมือ เนื่องจากขนมเบื้องของแม่มันขายดีมาก มันจึงไม่มีเวลาเงยหน้ามาดูสาวๆที่มายืนมุงซื้อขนมเบื้องเลย
“แม่เสร็จแล้ว ชั้นขออัฐไปซื้อของได้มั๊ย” ผมทวงหน้าด้านๆ
แม่ของสนยื่นอัฐมาให้ผมสี่เหรียญ ผมไม่รู้หรอกว่ามีค่าเท่าไหร่ ซื้ออะไรได้มั่ง เพราะอยู่ที่นี่มา ไม่เคยได้ใช้เงินเลยสักกะบาท
มุ่งหน้าไปยังร้านขายของเล่นเจ๊กที่อยู่ตีนภูเขาทอง
“แปะ นี่เท่าไหร่” ผมถามราคาของป๋องแป๋ง แปะบอกราคาซึ่งผมไม่รู้ว่าเท่าไหร่ ผมจึงแบมือที่มีเหรียญอยู่ให้แก แกหยิบไปสองเหรียญเท่ากับผมยังมีเงินเหลืออีกตั้งสองเหรียญแน่ะ
ว่าแล้วผมก็มุ่งหน้าเดินเข้างาน ก่อนที่จะเข้าไปในส่วนของมหรสพนั้นเห็นร้านขายกล้วยปิ้งก็นึกหิวขึ้นมา ผมถามป้าว่ามีเงินเท่านี้ซื้อได้หรือเปล่า แกพยักหน้า ก็เป็นอันว่าได้กล้วยปิ้งน้ำผึ้งป่ามากินหวานชื่นใจ
เมื่อเดินเข้ามาในส่วนของงานมหรสพ สิ่งแรกที่ผมเห็นนั่นก็คือเด็กเล็กๆที่วิ่งกันขวักไขว่ในมือถือดอกไม้เพลิงบ้าง ประทัดบ้างวิ่งกันไปมา ผมนึกในใจว่าไอ้ของพวกนี้มันคงเข้ามากับพวกจีนแน่ๆเลย เพราะจีนเป็นชาติที่คิดค้นประทัด ดอกไม้ไฟ
ถัดเข้ามาไม่ไกลก็ถึงโรงละครมอญรำ ซึ่งถือเป็นการแสดงของพวกมอญ ศิลปะการรำของมอญส่วนมากจะ
นิยมกระเถิบเท้า โดยจะไม่ย่างก้าวไปมา เพราะมอญถือว่า
การรำที่ไม่ยกหรือไม่ก้าวเท้าดูแล้วเรียบร้อยและเคารพต่อ
สถานที่และงานนั้นด้วย การแต่งกายก็จะเรียบร้อย สสวยงาม
หญิง นุ่งผ้าถุงยาวถึงข้อเท้า สรวมเสื้อแขนกระบอก พาดผ้า
สะไบที่ไหล่ซ้าย เกล้าผมมวยประดับด้วยดอกไม้
ถัดออกมาจากโรงละครมอญรำก็เป็น ญวนรำโคม ดูเหมือนในส่วนนี้จะเป็นงานแสดงของพวกมอญเสียงส่วนใหญ่ เสียงปี่พาทย์ ปี่ชวาดังเอี้ยยอ้ายๆ ถึงจะบาดหูแต่ก็เพราะดี
ผมยืนดูการละเล่นที่โรงนี้เสียนาน เพราะติดใจการต่อตัวเป็นรุปเรือสำเภาที่งดงามนั้น ในมือของผมก็แกว่งป๋องแป๋งไปมาให้เข้าจังหวะเพลินๆ
“มาอยู่เสียทีนี่เองเจ้าบ้า ข้าตามหาเสียแทบแย่” นายสนเดินมาข้างหลัง
“ทำไม” ผมหันไปถาม
“ก็ถึงเพลากลับเรือนแล้วนะสิ ดึกแล้ว ประเดี๋ยวคุณหลวงท่านจักเอ็ดเอา”
“เรื่องของมันสิ ชั้นไม่กลัวมันหรอก” ผมหันกลับไปมองหน้าโรงแสดงต่อ
“เจ้าไม่กลัวแต่ข้ากลัว อย่าทำให้ข้าเดือดร้อนเลย วันพรุ่งก็ยังมีอีกหลายวัน เจ้าจักมาอีกเมื่อใดก็ได้ กลับเรือนกลับข้าเถิด นะ เจ้าบ้า”
ผมทนเสียงรบเร้าของสนไม่ไหว ในที่สุดก็ตัดสินใจหันกลับบ้านทั้งๆที่ใจยังไม่อยากกลับ
“พรุ่งนี้มาใหม่ก็ได้วะ”