บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]  (อ่าน 245663 ครั้ง)

lovevva

  • บุคคลทั่วไป
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 14 (25/02/11)
«ตอบ #150 เมื่อ25-02-2011 22:44:47 »

 :laugh:ฮากับพรสวรรค์ในการขับรถของอาซิง

ออฟไลน์ yakusa

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 340
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 14 (25/02/11)
«ตอบ #151 เมื่อ25-02-2011 23:40:32 »

อาซิง นี่สุดอะ  :m20:  น่าส่งไปขับรถวิบาก

คุณตำรวจคงเข็ดไปอีกคน 

ออฟไลน์ ycrazy

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 461
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 14 (25/02/11)
«ตอบ #152 เมื่อ26-02-2011 00:07:42 »

 o21อาซิงเป็นมนุษย์ที่มีพรสวรรค์น่ากลัวจริงๆ

mete

  • บุคคลทั่วไป
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 14 (25/02/11)
«ตอบ #153 เมื่อ26-02-2011 10:32:01 »

เย้ๆๆๆ :mc4:

ตอนใหม่มาอีกแล้ว

ตอนนี้อ่านแล้วก็อมยิ้มนะคับ

น่ารักดีนะคับ o13

จะรออ่านอีกนะคับพุร่งนี้ :bye2:

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 14 (25/02/11)
«ตอบ #154 เมื่อ26-02-2011 10:47:47 »

เป็นเลขาอย่างเดิมก็ดีแล้วล่ะอาซิง
อย่าเป็นมันเลยคนขับรถน่ะ 55

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 15 (26/02/11)
«ตอบ #155 เมื่อ26-02-2011 11:39:29 »

-15-



นับแต่วันที่จือหยินมาขอความช่วยเหลือเวลาก็ผ่านไปถึงหนึ่งสัปดาห์แล้ว หลี่จวี๋เหม่ยยังคงมาเยี่ยมในตอนเช้าเพื่อสนทนาเล็กน้อย นำขนมมาให้และเดินทางกลับเช่นเดิม หญิงสาวไม่ได้มีท่าทีว่าต้องการเรียกร้องอะไรจากเซินเฟยเลยแม้แต่น้อย ทำให้การมาเยือนของเธอเป็นที่ต้อนรับของคนในบ้านใหญ่มากขึ้น และเซินเฟยก็ไม่ต้องรู้สึกปวดหัวกับเรื่องพ่อแม่ของตัวเองด้วย

หลี่จวี๋เหม่ยเดินทางกลับไปราว ๆ 10 โมงเช้า ซึ่งเป็นเวลาก่อนมื้อเที่ยงเนื่องจากเธอต้องรีบกลับไปเตรียมมื้อเที่ยงให้สามี เซินเฟยจึงไม่มีโอกาสเชิญเธอให้อยู่กินมื้อเที่ยงด้วยกัน

การปรากฏตัวของหลี่จวี๋เหม่ยนำความเปลี่ยนแปลงมายังตัวของเซินเฟยเล็กน้อยโดยที่เขาไม่รู้ตัว จากเดิมที่ไม่เคยรู้สึกต้อนรับครอบครัวของตนเอง ตอนนี้เขากลับยอมรับหญิงสาวที่เป็นแม่ให้เข้ามาในชีวิตอีกครั้ง

“คุณหลี่เองก็ดูไม่มีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรนะครับ” หวางซิงออกความเห็นพลางวางแก้วขาให้เจ้านาย “แต่ผมยังไม่ไว้ใจทางคุณเซินหยู่ เขาอาจจะคิดอะไรอยู่ก็ได้”

“เรื่องนั้นผมเองก็ยังสงสัย” เซินเฟยเห็นด้วย ถึงใจของเขาจะยอมรับหลี่จวี๋เหม่ยได้เกือบเท่ากับสมัยเด็ก แต่สำหรับเซินหยู่นั้นเป็นอีกกรณีหนึ่ง ผู้ชายคนนั้นเป็นคนที่สามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อสิ่งที่ต้องการ เซินเฟยรู้จักพ่อตัวเองดีเกินกว่าจะกล้าวางใจ

“แต่ว่า...ทำไมคุณถึงได้ดูมีความสุขนักล่ะครับคุณฉู่?” เลขาหนุ่มหันไปมองฉู่เหวินจือที่นั่งยิ้มอยู่ที่เก้าอี้อีกตัวหนึ่ง เวลาที่หวางซิงอยู่ด้วย ฉู่เหวินจือแทบไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าใกล้เซินเฟย กระนั้นเจ้าตัวก็ดูจะไม่ได้ทุกข์ร้อนสักเท่าไหร่เพราะในเวลาที่ลับหลังหวางซิง เขาก็ตักตวงกำไรอย่างเต็มที่หมือนกัน

“ผมหรือ? ทำไมคุณถึงคิดอย่างนั้น” ฉู่เหวินจือถามกลับ

“ก็คุณนั่งยิ้มแบบนั้นทีไร ผมก็ต้องสังหรณ์ว่าคุณกำลังคิดเรื่องไม่ดีทุกที” หวางซิงตอบก่อนจะถอนหายใจ

“ผมน่ะหรือคิดเรื่องไม่ดี เปล่าเลย ผมกำลังคิดเรื่องที่ดีมาก ๆ เลยล่ะ” ฉู่เหวินจือกล่าวแล้วหันไปหาเซินเฟยด้วยดวงตาเป็นประกาย “ผมกำลังคิดว่าเมื่อคืนนี้คุณเซินตอบรับผมดีแค่ไหน รู้สึกว่านับวันคุณก็ยิ่งพัฒน.....หวา!”

ยังไม่ทันที่ฉู่เหวินจือจะพูดจบ เซินเฟยก็ยกน้ำชาทั้งกาสาดใส่จนชุ่ม โชคดีที่น้ำชากานั่นแค่อุ่น ๆ ไม่ได้ร้อนมากนัก ฉู่เหวินจือจึงเพียงร้องออกมาแล้วกระโดดหนีไปเล็กน้อย เขาแย้มยิ้มเมื่อเห็นเซินเฟยกำลังหน้าแดงด้วยความอับอายทั้งยังกัดฟันกรอด ถ้าให้เดา เซินเฟยคงกำลังคิดหาวิธีลงโทษเขาอยู่ในหัวแน่ ๆ ดังนั้น ก่อนที่เซินเฟยจะคิดเสร็จเขาก็ต้องฉวยโอกาสก่อน

ฉู่เหวินจือถลันเข้าไปคว้าตัวเซินเฟยมาจูบแนบแน่นก่อนรีบเผ่นออกไปทางประตูเมื่อทั้งเซินเฟยและหวางซิงกำลังตกตะลึงตาค้าง

“ผมขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะครับ” ว่าแล้วเจ้าตัวก็สาวเท้าจากไปอย่างรวดเร็ว

“ฉู่เหวินจือ!” แม้เซินเฟยจะตะคอกสวนกลับไปก็ไม่ทันเสียแล้ว

“คุณเซิน ยิ่งวันฉู่เหวินจือก็ยิ่งเอาแต่ใจมากขึ้นแล้วนะครับ” หวางซิงเตือนด้วยความหวังดี ระยะนี้เห็นได้ชัดว่าฉู่เหวินจือไม่ได้เกรงกลัวเซินเฟยเลย ทั้งยังคิดจะทำอะไรก็ทำตามอารมณ์จนเขายังตามไม่ทัน ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยจะทำตัวดีอยู่แล้ว ตอนนี้กลับอาการหนักยิ่งกว่าเก่า

เซินเฟยทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาตัวยาวด้วยความหงุดหงิดใจ ผู้ชายคนนั้นช่างขยันทำให้เขาโมโหเสียจริง กลัวว่าความดันของเขาจะต่ำเกินไปหรือยังไงกันนะ

“เอ่อ....ขอโทษครับ” คนรับใช้คนหนึ่งย่องเข้ามาด้วยความหวั่นวิตกเพราะได้ยินเสียงตะคอก ซ้ำบรรยากาศในห้องยังดูเคร่งเครียด

“มีอะไร?” เซินเฟยเอ่ยถามเสียงนิ่งราวกับเมื่อครู่นี้ไม่ได้เกิดอะไรขึ้น

“หมอจือมาขอพบครับ”

จือหยิน?

เซินเฟยมุ่นคิ้วพลางมองหน้าหวางซิง อาทิตย์ก่อนนี้อีกฝ่ายมาขอยืมเงินของเขาไปจำนวนหนึ่งเพื่อรักษาคนรักที่ประสบอุบัติเหตุ ซึ่งเซินเฟยก็จับกระแสเสียงของความผิดปกติได้ ทว่าเขาไม่ได้คาดคิดเลยว่าอีกฝ่ายจะมาหาเขาอีกครั้งรวดเร็วถึงขนาดนี้ เอาเงินมาคืนหรือ? ไม่น่าเป็นไปได้ หมอธรรมดาอย่างจือหยินจะหาเงินจำนวนมากมายแบบนั้นมาในเวลา 1 อาทิตย์ได้อย่างไร?

“พาไปที่ห้องรับแขก” เซินเฟยหันไปสั่งคนรับใช้ “แล้วก็ให้คนมาทำความสะอาดพรมกับโซฟาในห้องนี้ให้ด้วย ฉู่เหวินจือพลั้งมือทำชาหกลงไปทั้งกาเลยเปียกไปหมด”

“ครับ” คนรับใช้รีบรับคำแล้วไปทำตามคำสั่งทันที

เซินเฟยทำสีหน้าครุ่นคิด เขายังไม่อาจไขข้อสงสัยได้ว่าจือหยินโกหกเขาเรื่องอะไรและทำไม กระนั้นอีกฝ่ายอุตส่าห์มาถึงที่นี่อีก หรือจะมาเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจกันนะ?

ตอนที่เซินเฟยและหวางซิงไปถึงห้องรับแขก จือหยินก็ถูกเชิญเข้ามานั่งรอเรียบร้อยแล้ว ทั้งน้ำชาและขนมก็ยังถูกนำมาวางไว้พร้อม หวางซือไม่เคยละเลยหน้าที่เลยจริง ๆ

“คุณเซิน ขอโทษที่มารบกวนในวันหยุดอีกนะครับ” จือหยินรีบลุกขึ้นแล้วยิ้มกว้างทำให้เซินเฟยสะดุดไปเล็กน้อยเพราะเขาไม่เคยได้รับรอยยิ้มเช่นนั้นจากอีกฝ่ายเลย แต่วินาทีต่อมาเขาก็ตั้งสติได้จึงรีบเดินไปที่ก้าอี้รับแขกอีกตัวหนึ่งแล้วผายมือเชิญที่จือหยินนั่งลง

“ที่ผมให้ไปไม่พอหรือ?”

“ไม่ใช่ครับ! นั่นเกินพอเสียด้วยซ้ำ ผมยังอดสำนึกในความกรุณาของคุณเซินไม่ได้” จือหยินรีบตอบแล้วก้มหน้าลง หวางซิงอดรู้สึกประหลาดไม่ได้ ใบหน้าของจือหยินดูมีความสุขและวิตกกังวลไปในเวลาเดียวกัน คนที่ทำสีหน้าขัดแย้งในตัวเองแบบนี้ได้จะอยู่ในอารมณ์แบบไหนนั้นเขาก็สุดจะคาดเดา

“ถ้าอย่างนั้นหมอจือมีธุระอะไรให้ช่วยอีกหรือเปล่า?” เซินเฟยถามไปก็อดกลั้นหายใจไม่ได้ เสี้ยวเล็ก ๆ ในใจของเขาคาดหวังว่าอีกฝ่ายจะมาที่นี่เพื่อพบปะกับเขาโดยไม่ต้องมีเหตุผลหรือธุระมารองรับบ้าง แต่เซินเฟยก็รู้ดีว่ามันเป็นไปได้เพียงแค่ความคาดหวังเท่านั้น บางครั้งเซินเฟยก็สงสัยตัวเอง รู้ทั้งรู้ว่าจือหยินไม่ได้รับรู้ความรู้สึกของเขาทั้งยังมีคนรักเป็นตัวเป็นตนแล้ว ทำไมเขาถึงยังอยากจะหวังอยู่อีกนะ....

“คือ....คนรักของผมผ่านการผ่าตัดไปได้ด้วยดี ตอนนี้กำลังกายภาพบำบัดอยู่ ต้องรออีกเดือนจึงสามารถออกจากโรงพยาบาลได้ แต่ว่า....เธออยากจะขอบคุณคุณเซินด้วยตัวเองไว ๆ ผมก็เลย....”

บางครั้งจือหยินก็ชอบพูดจาอ้อมค้อมด้วยความเกรงอกเกรงใจ

“ผมเข้าใจความรู้สึกของหมอจือกับคนรักของหมอนะครับ แต่ว่าวันนี้คุณเซิน.....”

“ผมกำลังว่างพอดี” ไม่ทันที่หวางซิงจะปฏิเสธให้อย่างเคย เซินเฟยที่นั่งทำท่าครุ่นคิดจนถึงเมื่อครู่ก็ตอบรับออกมาเสียก่อน สร้างความประหลาดใจให้แก่หวางซิงและจือหยินเป็นอย่างมาก “อาซิง ให้คนเตรียมรถ และไปเรียกฉู่เหวินจือให้ผมด้วย”

“.....ครับ” ใช้เวลานานพอสมควรกว่าที่หวางซิงจะตอบรับออกมาแล้วเดินออกไปจากห้อง

“จะไม่เป็นการรบกวนเกินไปหรือครับ ความจริงรออีกสักเดือนเธอก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว ตอนนั้นผมค่อย...”

“หมอจืออุตส่าห์มาหาผมถึงที่นี่เพราะคาดหวังให้ผมตอบรับไม่ใช่หรือ?” คำกล่าวของเซินเฟยทำให้จือหยินชะงัก เขายิ้มออกมาน้อย ๆ ซึ่งก็พาเซินเฟยรู้สึกถึงความสุขเล็ก ๆ ในใจตามไปด้วย ทำไมเขาถึงได้หวั่นไหวกับรอยยิ้มของผู้ชายคนนี้นักนะ....

-------------->

คนขับรถเทียบให้ผู้โดยสารลงที่หน้าอาคารก่อนจะขับจากไปเพื่อนำรถไปจอด ตอนนี้หน้าอาคารจึงมีเซินเฟย หวางซิง จือหยิน และฉู่เหวินจือที่โดนพามาเป็นตัวแถม ทั้งสี่พากันเดินเข้าไปในอาคารท่ามกลางสายตาสงสัยของนางพยาบาลและหมอคนอื่น ๆ เนื่องจากสามในสี่คนสวมชุดสูทราวกับนักธุรกิจใหญ่ แม้โรงพยาบาลนี้จะเป็นโรงพยาบาลที่มีชื่อเสียงและมีคนใหญ่คนมารักษาบ่อย ๆ แต่ก็หาได้ยากที่จะได้พบแขกลักษณะนี้มาเยี่ยมผู้ป่วย โดยส่วนใหญ่จะเป็นญาติ ๆ ที่แต่งตัวธรรมดา ๆ เสียมากกว่า

ระหว่างที่เดินไป จือหยินก็อธิบายว่าคนรักของตนประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ทำให้กระดูกท่อนขาด้านบนจนถึงสะโพกแตกต้องผ่าตัดเพื่อใส่กระดูกเทียมแทน ตอนนี้ถึงจะผ่าตัดไปแล้วแต่ก็ต้องฝึกกายภาพอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ร่างกายชินกับการเดินด้วยสิ่งที่เป็นของเทียม

แผนกออโธปิดิกส์อยู่ชั้น 6 ของอาคาร เซินเฟยไม่ค่อยได้เข้าออกโรงพยาบาลนี้บ่อยนักจึงต้องให้จือหยินนำทาง ตัวเซินเฟยเองเคยมาเพียง 2 ครั้งเท่านั้นคือตอนที่ฉู่เหวินจือโดนยิง และอีกครั้งคือตอนที่ตนเองโดนยิงเสียเอง

จือหยินมองนาฬิกาเล็กน้อยเมื่อขึ้นมาถึง

“น่าจะกายภาพเสร็จแล้ว ผมจะพาไปที่ห้องเลยก็แล้วกันนะครับ” จือหยินสรุปเช่นนั้นก่อนจะเดินนำทั้งสามไปยังห้องหนึ่งซึ่งชื่อหน้าห้องติดชื่อเอาไว้ว่า…

‘หลิงหลิง’

ตั้งชื่อได้แปลกจริง....

เซินเฟยคิดเพราะเขาไม่ค่อยได้เจอคนที่ชื่อและแซ่ออกเสียงเหมือนกันมากนัก และเขาก็เชื่อว่าหวางซิงกับฉู่เหวินจือก็คิดเหมือนเขาเพราะทั้งสองจ้องป้ายชื่อด้วยความประหลาดใจเล็ก ๆ แต่ฉู่เหวินจือกลับมีรอยยิ้มผุดขึ้นมาที่มุมปาก เซินเฟยมุ่นคิ้วทันที หวังว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้คิดมิดีมิร้ายกระทั่งผู้หญิงที่มีเจ้าของแล้วหรอกนะ

จือหยินเปิดประตูเข้าไปในห้อง ภาพที่เซินเฟยเห็นไม่ต่างจากภาพที่เคยเห็นตอนมาเยี่ยมฉู่เหวินจือมากนักเพราะห้องพักผื้นในโรงพยาบาลไม่ว่าแผนกไหนก็ดูจะเหมือน ๆ กันไปหมด แต่ว่าเธอคนนี้ได้อยู่ห้องเดี่ยวพิเศษเชียวหรือ? อาจเป็นเพราะเงินของเขาที่เกินจำนวนไปช่วยให้จือหยินจัดห้องนี้ให้คนรักได้ก็เป็นได้

เมื่อประตูเปิดออกจนสุด เซินเฟยจึงได้เห็นร่างบอบบางของหญิงสาวคนหนึ่งกำลังนั่งห้อยขาหันหลังให้พวกเขาและหันหน้าไปทางหน้าต่างทำให้เซินเฟยไม่รู้ว่าหน้าตาอีกฝ่ายเป็นเช่นไร แต่เธอคนนี้มีสีผมสีน้ำตาลเช่นเดียวกับซากุระทั้งยังม้วนเป็นลอนนิด ๆ เหมือนกัน เพียงแต่ไว้ยาวจนถึงเอวในขณะที่ซากุระไว้ถึงแค่บ่าเท่านั้น กระนั้นเมื่อมองดี ๆ เขาก็พบสีผมนั้นเป็นสีย้อมหาใช่สีธรรมชาติ ข้างเตียงมีวอล์คเกอร์สำหรับคนที่ไม่สามารถเดินได้ด้วยตัวเองวางอยู่อีกตัวหนึ่ง และรถเข็นอีกตัววางอยู่ตรงมุมห้อง

เซินเฟยนึกย้อนไปถึงภาพถ่ายของฉู่เหวินจือ เขามองเพียงครู่เดียวและโฟกัสไปที่จือหยินเป็นส่วนใหญ่จึงไม่ทันสังเกตฝ่ายหญิงแม้แต่น้อย

แต่ว่า....ทำไมถึงมีผู้หญิงที่เพิ่งผ่านการผ่าตัดอยู่จริง ๆ นะ....หรือว่าทั้งเขาและฉู่เหวินจือจะคิดมากไปเองเรื่องที่จือหยินโกหกเพื่อยืมเงิน

“เสี่ยวหลิง” จือหยินเรียกหญิงสาวอย่างสนิทสนมทำให้เซินเฟยรู้สึกแปลบในอกขึ้นมา

“จือหยิน” อีกฝ่ายตอบกลับแล้วหันกลับมา

เซินเฟยเห็นใบหน้านั้นแล้วจึงจำได้ว่าใบหน้าในรูปถ่ายเป็นเช่นไร หลิงหลิงเป็นผู้หญิงที่ไม่ได้ดูสวยสะดุดตาอะไรเลย แต่ในทางกลับกัน เธอกลับดูน่ารักน่าเอ็นดู เห็นครั้งแรกอาจไม่ได้รู้สึกประทับใจ แต่เมื่อมองนาน ๆ ก็จะยิ่งรู้สึกว่าน่ารักน่ามอง เป็นผู้หญิงคนละแบบกับอาสะใภ้ของเขาที่เพียงมองครั้งแรกก็แทบถอนหายตาไม่ได้ แม้ตอนนี้อายุใกล้ 30 แล้วแต่ก็ยังมีชายหนุ่มมาติดพันอยู่บ่อย ๆ

เซินเฟยรีบสลัดความคิดนั้นออกไปจากสมอง เขารู้ว่าเป็นการเสียมารยาทเมื่อนำผู้หญิงสองคนมาเปรียบเทียบกัน แต่ว่าเขาก็อดนึกถึงอาสะใภ้ของตนเองไม่ได้เมื่อเห็นคนที่ดูคล้ายคลึงกัน

“เสี่ยวหลิง นี่คือคุณเซินที่ช่วยออกเงินให้เราไง” จือหยินเข้าไปพยุงคนรักให้เปลี่ยนจุดนั่งจะได้หันมาคุยกันได้สะดวก

“คุณเองหรือคะคือคุณเซิน” หลิงหลิงเอ่ยด้วยความประหลาดใจแล้วมองไปทางฉู่เหวินจือก่อนกระซิบกับจือหยิน “คุณบอกฉันว่าเขาเป็นเด็กอายุ 18 นี่นา”

“ไม่ใช่ผมหรอก ทางนี้ต่างหาก” ฉู่เหวินจือรีบปฏิเสธพร้อมหัวเราะเบา ๆ ก่อนผายมือไปทางเซินเฟย

“ตายจริง คุณเองหรือคะ ขอโทษด้วยค่ะ” หลิงหลิงรีบเอ่ยขอโทษพลางหน้าแดงด้วยความสะเทิ้นอาย

“ไม่เป็นไร” เซินเฟยตอบเสียงเรียบ “เห็นคุณสบายดีอย่างนี้หมอจือคงดีใจนะครับ”

“เรื่องนั้น.....” หญิงสาวหันไปมองคนรักของตนเองแล้วยิ้มเขิน ๆ “จือหยินน่ะบางครั้งก็ตกใจจนเว่อร์ไปหน่อยน่ะค่ะ ทั้งที่ฉันแค่กระดูกแตกแท้ ๆ”

“เรื่องนี้ไม่ใช่แค่นะเสี่ยวหลิง!” จือหยินค้านด้วยท่าทางเป็นจริงเป็นจัง

“ค่ะ ๆ ทราบแล้วค่ะคุณหมอ” หลิงหลิงหัวเราะคิก

ท่าทางที่ดูมีความสุขของคนทั้งสองราวกับอยู่ในโลกส่วนตัวทำให้เซินเฟยรู้สึกสะท้านจนเยือก เด็กหนุ่มกัดริมฝีปากแล้วหลบตาด้วยไม่อยากจะทรมานใจตนเอง เขารู้ดีว่าควรจะตัดใจได้แล้ว แต่ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เขาจะทำใจตัดคนที่อยู่ในใจตนเองออกไปในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน ก่อนหน้านี้ซากุระก็เพิ่งจะจากเขาไป เขาเพิ่งจะเริ่มรู้สึกทำใจได้ ครั้นจะให้ตัดจือหยินออกไปโดยทันทีจึงเป็นไปได้ยากยิ่ง

“คุณเซินสีหน้าไม่ดีเลยนะครับ” อยู่ ๆ ฉู่เหวินจือก็ทำลายบรรยากาศหวาน ๆ ระหว่างจือหยินและหลิงหลิงลง

“คุณเซินเป็นอะไรไปหรือครับ?” จือหยินหันกลับมาถาม ด้วยความเป็นหมอประจำตัวทำให้เขาต้องคอยสังเกตอาการอีกฝ่ายเสมอ แต่ว่าก่อนจะออกมาจากบ้านก็ยังไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ “หรือว่าไม่ชินกับกลิ่นในโรงพยาบาล? ถ้าอย่างนั้นผม....”

“เดี๋ยวผมพาคุณเซินออกไปสูดอากาศหน่อยแล้วกันนะครับ” ฉู่เหวินจือแทรกโดยไม่ปล่อยให้จือหยินเสนอตัว

“.....ก็ดี.....” เซินเฟยไม่ได้ปฏิเสธ เขาหมุนตัวเดินออกไป “อาซิง รออยู่ที่นี่ก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวผมกลับมา”

“ทราบแล้วครับ” หวางซิงรับคำ เขาไม่ได้กีดกันฉู่เหวินจือด้วยรู้ว่าตอนนี้เซินเฟยต้องการความเป็นส่วนตัว ในขณะเดียวกันก็อยากจะให้มีใครสักคนอยู่ข้าง ๆ เหมือนกับตอนที่เสียซากุระไปเขาก็พลาดไปครั้งหนึ่งแล้ว ดังนั้นสำหรับเรื่องนี้จึงต้องปล่อยให้ฉู่เหวินจือจัดการ และอีกอย่างหนึ่ง ที่นี่เป็นโรงพยาบาล ฉู่เหวืนจือคงไม่กล้าทำอะไรรุ่มร่ามเกินเหตุเกินควร

เซินเฟยและฉู่เหวินจือเดินออกมาด้วยกัน เมื่อประตูปิดตามหลัง อ้อมแขนข้างหนึ่งก็โอบเข้ากับเอวของเด็กหนุ่ม เซินเฟยรีบผละออกทันทีด้วยเกรงจะมีคนเห็น

“ฉันเดินเองได้”

“ผมรู้ แต่คุณอยากให้ผมกอดไม่ใช่หรือครับ?” ฉู่เหวินจือยิ้มกว้าง “หมายถึงกอดปลอบน่ะครับ ไม่ใช่กอดแบบนั้น คุณนี่ลามกจริง ๆ” ชายหนุ่มเสริมเมื่อเห็นเซินเฟยตวัดสายตามองเป็นประกายวาบวับอย่างโกรธเคือง เมื่อพบว่าตนเองพลาดท่า เซินเฟยจึงทำไม่รู้ไม่ชี้แล้วหันหน้ากลับไปมองทาง

เมื่อออกมาจากห้องนั้นแล้ว เซินเฟยก็สีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย เขารู้สึกหายใจสะดวกขึ้นมาก

“ผมสงสัยมานานแล้ว ทำไมคุณถึงไม่ใช้อำนาจของคุณล่ะ?”

“นายพูดถึงอะไร?” เซินเฟยมุ่นคิ้ว

“ผมพูดถึงหมอจือน่ะสิ ทำไมคุณถึงไม่ใช้อำนาจของคุณเอาตัวเขามา คุณชอบเขามากไม่ใช่หรือ?” ฉู่เหวินจือถามกึ่งเสนอแนะ

เซินเฟยนิ่งไป...

จริงอยู่ว่าหากใช้อำนาจของเขา ทุกสิ่งที่ต้องการก็จะได้มาอยู่ในกำมือ ทว่า....จะได้ประโยชน์อะไรในการกระทำเช่นนั้น?

การได้จือหยินมาอยู่ข้างกายอาจทำให้เขาอบอุ่นได้ ทำให้คลายจากความเปลี่ยวเหงา ทว่า....ความสุขเล่าจะได้มาอย่างไร? เช่นนั้นแล้วจือหยินก็คงจะมีสถานะไม่ต่างจากฉู่เหวินจือ เป็นเพียงสุนัขรับใช้ที่เคล้าแข้งขาเขาตามหน้าที่เท่านั้น

ฉู่เหวินจือเห็นคู่สนทนาเงียบไปก็คาดเดาความคิดได้ไม่ยาก แม้ภายนอกเซินเฟยจะดูเข้มแข็งเด็ดขาด ทว่าก็ยังไม่อาจทำใจให้โหดเหี้ยมได้กระทั่งคนใกล้ชิด ระหว่างที่คิดนั้นเขาก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่าง ฉู่เหวินจือยิ้มออกมา


ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 15 (26/02/11)
«ตอบ #156 เมื่อ26-02-2011 11:39:49 »

เซินเฟยเดินนำหน้า เขากำลังจะเดินพ้นประตูบ้านหนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเหมือนถูกใครบางคนฉูดจากด้านหลังแล้วเหวี่ยงเข้าไปในประตูที่อยู่ด้านข้าง เสียงประตูปิดลงอย่างรวดเร็ว ทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นในเสี้ยววินาทีที่เซินเฟยไม่อาจป้องกันตัวได้ และในตอนนี้เขาก็ถูกดันจนติดผนังในห้องที่มืดมิดจนมองไม่เห็นอะไร แต่เขาก็รู้ว่ามีคน ๆ หนึ่งอยู่ด้านกันในห้องอันคับแคบและเต็มไปด้วยของระเกะระกะนี้

“ฉู่เหวินจือ คิดจะทำอะไร?” เขากันฟันถามเพื่อไม่ให้เสียงเล็ดรอดออกไป

“ทำหน้าที่ของสุนัขครับ เจ้านาย” ฉู่เหวินจือตอบแล้วไล้ปลายนิ้วบนริมฝีปากของเซินเฟยก่อนจะทาบจูบร้อนฉ่าลงบนเรียวปาก เซินเฟยสะดุ้งเบิกตากว้าง เขารีบผลักอีกฝ่ายออกจากตัวทว่าด้วยน้ำหนักที่ทาบทับลงมาทำให้เซินเฟยไม่อาจขยับท่อนบนของลำตัวได้ นอกจากนี้มือของเขาทั้งสองข้างยังถูกพันธนาการด้วยมือกร้านใหญ่ ขาของเขาแม้จะเป็นอิสระแต่ก็ต้องทำหน้าที่รับน้ำหนักตัวที่ไม่อาจยืนได้เต็มเท้า ลิ้นอุ่นแทรกเข้ามาในปากไล่เก็บกวาดความหอมหวานอย่างอุกอาจไม่เกรงกลัว

ฉู่เหวินจือดันตัวเซินเฟยให้แนบติดผนังเย็นเฉียบ รุกไล่ไม่ยอมหยุดจนกระทั่งได้ยินเสียงหอบหายใจและเรี่ยวแรงที่อ่อนลงหลังจากความพยายามขัดขืน

“อย่าทำ...บ้า ๆ นะ....” เซินเฟยปรามเสียงแผ่ว

“คุณกำลังรู้สึกไม่ดีไม่ใช่หรือ? หน้าที่ของผมคือทำให้คุณลืมเรื่องพวกนั้น ทำให้คุณหายเหงา ไม่ใช่หรือครับเจ้านาย?” ฉู่เหวินจือหัวเราะในลำคอ

“แต่ว่าที่นี่....”

“เป็นห้องเก็บของ” ฉู่เหวินจือช่วยตอบให้เมื่อรู้สึกว่าเซินเฟยกำลังพยายามมองฝ่าความมืดไปรอบ ๆ

“ถ้ามีคนเข้ามา.....”

“ไม่มีแน่นอนครับ ไม่ต้องห่วง” เขาเริ่มไล่ลงมาขบกัดที่ลำคอ จะมีรอยหรือไม่เขาไม่นึกสนใจ ก่อนจะปลดเข็มขัดของเซินเฟยออก

“หยุดนะ! นายจะรู้ได้ยังไงว่าใครจะไม่เข้ามา!” เซินเฟยตะคอกเสียงเบา เขารู้สึกเหมือนหูแว่วเสียงรองเท้าคนเดินผ่านไป แต่ฉู่เหวินจือก็ไม่หยุดการกระทำ เขาดึงเข็มขัดเส้นยาวออกแล้วทิ้งลงบนพื้นอย่างไม่นึกใยดี นอกจากนี้ยังพยายามปลดกางเกงต่อ เซินเฟยไม่อาจใช้กำลังขัดขืนได้เพราะพื้นที่แคบจึงขยับตัวไม่สะดวก แค่ง้างมือออกก็ชนเข้ากับชั้นเก็บของได้แล้ว

“เพราะหน้าห้องมีตารางทำความสะอาดอยู่น่ะสิครับ” ฉู่เหวินจือกระซิบก่อนจะขบใบหูนิ่มบาง

“อ....ฉู่.....อือ....” เพียงแค่ได้รับสัมผัสที่คุ้นเคยทุกค่ำคืน เซินเฟยก็อ่อนระทวยราวกับขี้ผึ้งลนไฟ สมองของเขาเริ่มว่างเปล่าเหมือนทุก ๆ ครั้งที่ถูกปรนเปรอ

เซินเฟยรู้สึกสมเพชตัวเองขึ้นมา ทำไมเขาถึงเป็นคนแบบนี้ไปได้ แค่ถูกสัมผัสเท่านั้นก็โอนอ่อนตามไปเสียแล้ว

“จะว่าไป...หมอจือเรียกคนรักแบบสนิทสนมแบบนั้นก็ดูน่ารักไม่หยอก” ทั้งที่กำลังรู้สึกดีแท้ ๆ ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงต้องขัดอารมณ์ขึ้นมาทุกทีนะ ด้วยความโมโห เซินเฟยจึงกัดลงไปบนคอครั้งหนึ่งเพราะไม่อาจใช้มือเท้าต่อกรได้ และเมื่อรู้สึกถึงแรงสะดุ้งกับคำอุทานที่ข้างหู เซินเฟยก็อารมณ์ดีขึ้น

“อย่าเพิ่งโมโหสิครับ” ฉู่เหวินจือหัวเราะไม่ได้นึกถือสาการลงโทษที่ทำให้วูบวาบนั้น “ผมแค่จะบอกว่า เราน่าจะลองหาชื่อเรียกแบบน่ารัก ๆ ให้คุณตอนเรากำลังร่วมรักกันบ้าง”

“ฝันไป...เถอะ....อ๊ะ....” ความร้อนที่แทรกผ่านเข้ามาในร่างทำให้สติของเซินเฟยแทบกระเจิดกระเจิงอีกครั้ง

“งั้นเสี่ยวเฟยดีไหม?” ฉู่เหวินจือยังเสนอต่อพลางหัวเราะเมื่อเซินเฟยทุบหลังด้วยความรำคาญ

“บอกว่า...ไม่.....อือ......”

“จริงสิ อาของคุณเรียกคุณแบบนั้น มันคงฟังดูไม่ดี” ชายหนุ่มพูดไปก็แทรกกายเข้าลึก เสียงหอบครางข้างหูเริ่มกระชั้นขึ้นแสดงว่าเซินเฟยมีอารมณ์ร่วมขึ้นมาจริง ๆ แล้ว ดังนั้นเรื่องหลังจากนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่แล้วเขาก็ปิ๊งความคิดหนึ่งขึ้นมา ฉู่เหวินจือแย้มยิ้มในความมืด ตาเป็นประกายวาววาม เขาถอนกายออกก่อนจับเซินเฟยหันด้านหน้าแนบผนังก่อนซ้อนเข้าด้านหลังแล้วจึงแทรกกายเข้าไปอีกครั้ง

“อื...อึก....มีอะไร......” เพราะการเปลี่ยนท่าทำให้อารมณ์ขาดช่วง เซินเฟยจึงมุ่นคิ้วถาม

“เฟยเฟยล่ะเป็นยังไง?”

“.....อะไรน.......อ....อ๊า.....” เซินเฟยถามย้ำทว่าฉู่เหวินจือกลับเริ่มขยับตัวทำให้ตำถามกลืนหายไปในคอและแทนที่ด้วยเสียงครางแผ่วเบาในความมืด

“เฟยเฟย....น่ารักใช่ไหมครับ? เฟยเฟยของผม....”

“ย....อย่าพูดบ้า ๆ นะ.....อ.....” ไม่รู้ว่าทำไม แต่การเรียกชื่อเขาอย่างพิเศษด้วยเสียงทุ้มพร่าเช่นนั้นกลับทำให้ใจเต้นแรงเสียยิ่งกว่าตอนที่เห็นรอยยิ้มของจือหยินเสียอีก นอกจากนี้ ร่างกายของเขากลับตอบรับฉู่เหวินจือมากขึ้นจนรู้สึกละลายเกินกว่าจะทนไหว เซินเฟยซุกใบหน้าลงกับผนังห้อง กลั้นเสียงไว้ในลำคอทุกครั้งที่ฉู่เหวินจือนำพาความร้อนรุ่มเข้ามาจนลึกสุดจะคาดคิดถึง

“เฟยเฟย.....เฟยเฟย....”

เสียงเรียกนั้นดังอยู่ข้างหูตลอดเวลาจนเซินเฟยรู้สึกเหมือนในสมองของเขาห้องสะท้อนแต่เพียงเสียงนั้น ไม่ได้ยินกระทั่งเสียงลมหายใจของตนเอง

“ไม่....ไม่เอา.....” เซินเฟยครางออกมาเป็นคำปฏิเสธ ชื่อเรียกนั้นทำให้เขารู้สึกหวั่นไหวสั่นคลอน ร่างกายวูบวาบตามเสียงของฉู่เหวินจือที่กระซิบพร่าด้วยแรงปรารถนา

ทิชชู่ถูกยื่นมารองรับการปลดปล่อยของเซินเฟยก่อนที่ฉู่เหวินจือจะถอนหายออกไป ร่างของเขาอ่อนระทวยจนแทบทรุดลงกับพื้น ทว่าเซินเฟยก็ยังหยัดกายไว้ด้วยความช่วยเหลือจากชั้นวางของข้างตัว ฉู่เหวินจือผละออกไปจัดการตัวเองให้เรียบร้อย เขาไม่อาจปล่อยเข้าไปข้างในได้ด้วยตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่บ้านและไม่รู้จะพาเซินเฟยไปล้างตัวที่ไหน เซินเฟยคงไม่อยากเดินไปไหนพร้อมกางเกงที่เลอะเป็นคราบแน่ ๆ

“รู้สึกดีขึ้นหรือยังครับเจ้านาย?” ฉู่เหวินจือเลียที่ปากอีกฝ่ายเหมือนสุนัขเวลาออดอ้อนเจ้าของ

“อย่าพูดมาก” เซินเฟยกัดฟันสวมกางเกงให้ตัวเองแล้วรับเข็มขัดคืนจากฉู่เหวินจือ ขาของเขายังสั่นเทาจไม่สามารถเดินได้โดยไม่มีใครสังเกตถึงความผิดปกติ ดังนั้นจึงต้องอยู่ในห้องเก็บของกับฉู่เหวินจือต่ออีกครู่หนึ่งเพื่อให้อารมณ์ที่ตกค้างค่อย ๆ หายไปพร้อมกำลังกายที่กลับคืนมา

พวกเขาเดินกลับไปที่ห้องพักฟื้นของหลิงหลิงด้วยกันเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“กลับมาแล้วหรือครับ.......” หวางซิงรีบหันมาทัก ทว่ารอยแดงที่พ้นคอเสื้อออกมาทำให้ชะงักกึก “ปกเสื้อไม่เรียบร้อยแน่ะครับ” ว่าแล้ว หวางซิงก็เดินเข้าไปจัดปกเสื้อให้ปิดรอยนั้นอย่างแนบเนียนโดยไม่วายหันไปส่งสายตารู้ทันระคนตำหนิให้ฉู่เหวินจือที่ทำหน้าพออกพอใจเสียเต็มประดา

“คุณเซินยังรู้สึกไม่ดีอยู่ไหมครับ?” จือหยินเอ่ยถามทั้งที่ยังจับมือคนรักอยู่ แต่ตอนนี้หญิงสาวย้ายจากเตียงลงมาพยุงตัวด้วยวอล์คเกอร์เพราะถึงเวลาฝึกเดินด้วยตัวเองแล้ว

“ผมไม่เป็นอะไรแล้ว แต่เพิ่งผ่าตัด ลุกขึ้นมาเดินอย่างนั้นจะดีหรือ?” เซินเฟยมุ่นคิ้วและสังเกตการเดินของหญิงสาวว่าดูผิดปกติหรือไม่ ทว่าเขาก็รู้สึกรากวับไม่มีอะไรผิดแปลกเลย ท่าเดินของเธอดูตะกุกตะกักงก ๆ เงิ่น ๆ เหมือนคนที่ขาไม่มีเรี่ยวแรง ทั้งแต่ละก้าวยังดูลำบากลำบน หลิงหลิงกัดริมฝีปากและพยายามก้าวเดินอย่างช้า ๆ บนวอล์คเกอร์ที่ช่วยพยุงตัว

“การเดินบ่อย ๆ จะช่วยให้กระดูกเทียมเข้าที่ได้เร็วขึ้นครับ” จือหยินกล่าว “แต่ว่าแรก ๆ ต้องอยู่ในความดูแลของหมอและพยาบาลเพื่อไม่ให้เกิดล้มระหว่างฝึกเดิน”

“อ้อ....” เซินเฟยรับคำ

“หมอจือบอกว่าแรก ๆ การเดินจะรู้สึกเจ็บมากเพราะกระดูกเทียมแทงเข้าไปในกระดูกจริงที่ยังมีอยู่ ดังนั้นเลยต้องเดินบ่อย ๆ ให้ชินน่ะครับ แล้วจะค่อย ๆ หายเจ็บไปเอง” หวางซิงช่วยอธิบายเสริม เซินเฟยจึงพยักหน้ารับโดยสายตายังจับจ้องที่การเดินของหลิงหลิง อย่างน้อย....ตอนนี้เขาก็รู้สึกเสียวแปลบในอกน้อยลงกว่าเดิมแล้วเวลาที่ได้เห็นจือหยินและหลิงหลิงอยู่ด้วยกันอย่างใกล้ชิด บางทีฉู่เหวินจืออาจจะมีวิธีบำบัดที่ดีก็ได้ หรือไม่....เขาก็คงกำลังถูกดึงให้ถลำลึกลงไปในอีกทางหนึ่งที่ห่างไกลจากจือหยิน

----------------->

หลังจากได้พบกับหลิงหลิงแล้ว เซินเฟยก็พอจะเข้าใจจือหยินขึ้นมาบ้าง หลิงหลิงเป็นผู้หญิงที่ดูบอบบางน่าทนุถนอม และจือหยินเองก็เป็นคนอ่อนโยนชอบปกป้องคนอื่น ดังนั้นทั้งสองคนจึงดูเหมาะสมกันอย่างยิ่ง ทั้งยังดูเหมือนว่าน่าจะไปด้วยกันได้ดี...

เซินเฟยเดาว่าจือหยินคงไม่ได้เปิดเผยฐานะที่แท้จริงของเขาให้หลิงหลิงรับรู้ หญิงสาวจึงไม่ได้แสดงท่าที่ผิดแปลกกับเขาเลยตอนที่พบหน้ากัน

แต่ว่าหลังจากวันนั้นเขาก็ไม่ได้ไปที่โรงพยาบาลอีกเพราะงานเริ่มเข้ามาสุมจนปลีกตัวไม่ได้ ปกติแล้วในเวลาอย่างนี้ซากุระจะช่วยแบ่งงานไปบ้าง แต่เมื่อหญิงสาวจากไปแล้วเขาจึงต้องดูแลทั้งหมดคนเดียวเพียงลำพัง

ทางจือหยินก็ไม่ได้ติดต่อมาเช่นกัน มีบางครั้งที่อีกฝ่ายโทรมาหาแต่หวางซิงก็เป็นคนรับฝากข้อความไว้เนื่องจากกำลังประชุม

“ช่วยเอาเอกสารชุดนี้ส่งกลับไปที่แผนกจัดซื้อด้วย ผมคิดว่าตัวเลขดูแปลก ๆ” เซินเฟยกล่าวก่อนจะส่งแฟ้มเกี่ยวกับการจัดซื้อเครื่องจักรตัวใหม่ให้หวางซิง ช่วงนี้ทางโรงงานบางแห่งต้องการเครื่องจักรรุ่นใหม่มาผลิตสินค้าให้ได้คุณภาพสูงขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น และต้นทุนต่ำลง จึงยื่นขอมาทางเครือเพื่อให้อนุมัติงบประมาณสำหรับการจัดซื้อซึ่งฝ่ายจัดซื้อจะต้องเป็นผู้สรุปงบประมาณมาให้ กระนั้นเซินเฟยก็มักจะดูแคตตาล็อกสินค้าเหล่านี้ประกอบการตัดสินใจพร้อมทั้งคำนวนเองคร่าว ๆ ไปด้วย

บริษัทในยุโรปมีหลายบริษัทที่ผลิตเครื่องจักรที่มีศักยภาพคล้าย ๆ กัน ราคาแต่ละบริษัทก็ต่างกันไป เขาจำต้องแน่ใจว่ารุ่นของเครื่องจักรกับราคาสัมพันธ์กันและเหมาะสมกับการนำไปติดตั้งในโรงงาน ทางโรงงานได้ส่งผังการวางเครื่องจักรมาให้ ขนาดของเครื่องจักรรุ่นใหม่จะเล็กกว่าของเก่า ดังนั้นจึงสามารถขยับขยายพื้นที่ในโรงงานได้และยังอาจสามารถติดตั้งเครื่องมืออำนวยความสะดวกเข้าไปได้อีก

ส่วนเรื่องโรงแรมตอนนี้แปลนก่อสร้างก็เรียบร้อยดีแล้ว ใกล้ ๆ นี้ทางเครือตกลงใจว่าจะเปิดประมูลผู้รับเหมาซึ่งแน่นอนว่าผู้บริหารคงจะได้เวลารับทรัพย์ เพราะใครที่อยากได้งานนี้ต้องยัดใต้โต๊ะกันอยู่แล้ว ซองประมูลนั้นไม่ใช่สิ่งที่ตัดสินแต่เป็นเงินที่จ่ายให้กับกรรมการต่างหากที่บอกว่าใครจะได้

เรื่องพวกนี้เป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่มีอยู่ทุกที ดังนั้นเซินเฟยจึงไม่ได้คิดเป็นเดือดเป็นร้อนกับมัน เพียงแต่เขาต้องแน่ใจว่าบริษัทผู้รับเหมาที่ได้จะสามารถจัดการทุกอย่างตามสเปคที่วิศวกรกำหนดไว้ จะโกงกันเข้ามาหรืออะไรก็ได้ เมื่อทำงานต้องทำให้ดีเท่าที่เขาคาดหวังหรือมากกว่า

ฉู่เหวินจือที่รับผิดชอบเรื่องโรงแรมตอนนี้ก็ยังทำงานนั้นอยู่ เพราะฉู่เหวินจือเป็นคนวิ่งเต้นเรื่องทั้งหมด แต่ถึงจะยุ่งขนาดนั้นเจ้าตัวก็ยังชอบมาวุ่นวายรอบตัวเขา

ที่ระยะนี้เขาปล่อยให้ฉู่เหวินจือไปไหนมาไหนได้ตามใจชอบก็เพื่อความคล่องตัวในการติดต่อประสานงาน

“น้ำเย็นครับ” หวางซิงเดินออกไปส่งเอกสารแล้วนำน้ำผลไม้กลับเข้ามาด้วย น้ำหวาน มีปริมาณน้ำตาลสูงจะช่วยให้สมองทำงานได้ดีขึ้น และน้ำตาลจากผลไม้ก็มีประโยชน์กับร่างกายมากกว่ากาแฟหรือชา

“ขอบคุณนะ” เซินเฟยกล่าวตอบ

ช่วงนี้ชีวิตของเขาเริ่มเข้าสู่ช่วงปกติเหมือนที่ผ่านมาอีกครั้ง แม้จะรู้สึกเหนื่อยหน่ายแต่ก็ดีกว่าต้องเครียดกับเรื่องที่หนักหน่วงจนเกินจะรับเป็นเวลายาวนาน เซินเฟยคาดหวังว่าชีวิตอันเงียบสงบและแสนปกติจะอยู่กับเขาอย่างนี้ไปอีกสักระยะหนึ่ง.....


TBC

ออฟไลน์ PEENAT1972

  • Red Rhino
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +563/-106
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 15 (26/02/11)
«ตอบ #157 เมื่อ26-02-2011 12:47:11 »

เค้าปลอบกันแบบนี้เลยเหรอคะ คิๆ

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 15 (26/02/11)
«ตอบ #158 เมื่อ26-02-2011 13:00:00 »

กรี๊ดด อีตาฉู่นี่ก็หื่นได้ไม่เลือกที่จริงๆ
หุหุ

ออฟไลน์ sukie_moo

  • ปัจจุบัน คือ อดีตของอนาคต
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-15
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 15 (26/02/11)
«ตอบ #159 เมื่อ26-02-2011 13:48:49 »

ลมนิ่ง  ก่อนพายุใหญ่จะมาหรือเปล่า เฟยเฟย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 15 (26/02/11)
« ตอบ #159 เมื่อ: 26-02-2011 13:48:49 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 15 (26/02/11)
«ตอบ #160 เมื่อ26-02-2011 16:14:16 »

อ่านเรื่องนี้แล้วเกร็งชะมัด  ตอนนี้เหนื่อย  เหนื่อยเพราะลุ้นไปด้วยตลอด
ใครจะมาดีใครจะมาร้าย  เดาไปเรื่อยเปื่อย 
+1

samsoon@doll

  • บุคคลทั่วไป
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 15 (26/02/11)
«ตอบ #161 เมื่อ26-02-2011 17:10:24 »

ตามมาเก็บจนทันแล้ว อิอิ

ออฟไลน์ noina

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 15 (26/02/11)
«ตอบ #162 เมื่อ26-02-2011 17:55:30 »

การบำบัดของคุณฉู่นี่มันช่าง :jul1: :jul1: :jul1:

ออฟไลน์ Cherry Red

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 882
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-0
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 15 (26/02/11)
«ตอบ #163 เมื่อ26-02-2011 18:11:10 »

ฉู่เหวินจือ ทำหน้าที่ (พิเศษ) แบบนี้กับ เฟยเฟย ทุกคืนเลยเหรอ? น้ำแข็งไม่ละลายให้มันรู้ไป
ถึงตอนนี้เค้าจะหวานกันแบบปะแล่ม ๆ แต่ก็ยังไม่ไว้วางใจตาคุณฉู่อยู่ดี ลุ้นกันต่อไป...

mete

  • บุคคลทั่วไป
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 15 (26/02/11)
«ตอบ #164 เมื่อ27-02-2011 01:24:47 »

ฉู่เหวินจือ นี่เด็กเข้าไปทุกตอนเลยนะ 555+

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 16 (27/02/11)
«ตอบ #165 เมื่อ27-02-2011 01:47:27 »

-16-



บางครั้งวันเวลาก็ผันเปลี่ยนไปเร็วเกินใครจะคาดคิด เซินเฟยพักหายใจเพียงเฮือกหนึ่งพอรู้ตัวอีกครั้งซากุระก็จากไปได้หนึ่งเดือนแล้ว แน่นอนว่า ฉู่เหวินจือก็เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเขาได้หนึ่งเดือนแล้วเช่นกัน กระนั้นความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ยังคงที่ หรืออย่างน้อยเซินเฟยก็เป็นคนหนึ่งที่ยืนยันเช่นนั้น แม้ว่าอีกฝ่ายจะเกาะแกะรุ่มร่ามกับเขาบ่อยขึ้นทีละน้อยอย่างแนบเนียนก็ตาม

เวลาหนึ่งเดือนไม่ใช่เพียงช่วงเวลาที่ซากุระจากไปเท่านั้น แต่หมายถึงการนัดตรวจร่างกายกับจือหยินได้วนกลับมาอีกครั้ง

เซินเฟยกลับจากบริษัทเร็วกว่าเวลาปกติดังที่ทำทุกเดือนหากถึงเวลากำหนด

จะว่าไปแล้ว จือหยินเคยบอกเขาว่าหลิงหลิงจะออกจากโรงพยาบาลได้ก็เดือนหนึ่งหลังจากผ่าตัด ตอนนี้ก็ครบกำหนดเวลาแล้ว เขาหวังว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้คิดจะพาคนรักมาถึงที่นี่หรอกนะ?

ทันทีที่เซินเฟยคิดอย่างนั้น เขาก็พบว่าตนเองคิดผิด....

“บ้านของคุณเซินใหญ่โตจังเลยนะคะ ตกแต่งสวยด้วย” หลิงหลิงพูดพลางสอดส่ายสายตาไปรอบ ๆ อย่างตื่นเต้น เธอเอาแต่ทำกิริยาเช่นนี้ไม่หยุดตั้งแต่มาถึง กระนั้นมันกลับไม่ได้ทำให้รู้สึกรำคาญตาแม้แต่น้อย ทว่า...ในบางมุมเซินเฟยกลับรู้สึกว่าหลิงหลิงดูคุ้นตาอย่างประหลาด ตอนอยู่ที่โรงพยาบาลเขาไม่ทันได้สังเกตใบหน้าอีกฝ่ายชัดนัก หรือว่าเขาจะคิดไปเองอีกนะ....ระยะนี้สังหรณ์ของเขาชักจะทื่อลงจริง ๆ หรือนี่?

“ความจริงแล้ว เป็นบ้านของคุณอาผมน่ะครับ” เซินเฟยกล่าวตอบแล้วหันไปทางจือหยินที่กำลังหยิบของออกมาเตรียมก่อนจะหวนกลับมายังวอล์คเกอร์ที่วางข้างโซฟาตัวยาวสำหรับรับแขก “แต่ยังเดินไม่สะดวกอย่างนี้ ทำไมถึงมาหาผมที่นี่ล่ะครับ?”

“ก็วันนั้นตั้งใจจะขอบคุณคุณเซินแท้ ๆ แต่ว่ากลับเสียมารยาทให้คุณเซินไปพบถึงที่แบบนั้น ฉันมาคิดดูแล้ว ฉันควรจะมาขอบคุณถึงที่ดีกว่า จริงสิคะ ฉันทำเค้กมาฝากด้วย ถึงจะดูไม่ค่อยสวยแต่ก็ช่วยรับไว้แทนคำขอบคุณเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยนะคะ” หลิงหลิงว่าไปก็หันไปคว้าถุงกระดาษข้างตัวขึ้นมา เซินเฟยก็สงสัยอยู่นานแล้วว่าอีกฝ่ายหอบอะไรมาถึงที่นี่ แต่เมื่อได้ยินว่าเค้ก แทนที่เซินเฟยจะรู้สึกดีใจ ความรู้สึกเลี่ยนจากในกระเพาะกลับเอ่อล้นขึ้นมาจนถึงคอ จะไม่เลี่ยนยังไงไหว ก็แม่ของเขา หลี่จวี๋เหม่ย หลังจากที่เขายอมให้มาที่บ้านได้ทุกวันอาทิตย์ เธอก็มาทุกอาทิตย์จริง ๆ พร้อมกับเค้กที่ทำเองอีกก้อนหนึ่ง ขนาดราว ๆ 2 ปอนด์ ซ้ำยังเป็นชีสเค้กเสียมากกว่าครึ่งของจำนวนเค้กที่เอามาฝากทั้งหมด แบ่งให้คนทั้งบ้านช่วยกินก็แล้ว เขายังน้ำหนักขึ้นมาสองกิโลภายในเวลาแค่ 4 สัปดาห์

อายุของเขาเองก็ใกล้จะถึงวัยหยุดสูงแล้ว ถึงเขาจะรูปร่างค่อนข้างผอมแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าควรปล่อยให้น้ำหนักขึ้นด้วยปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่มากกินกว่าร่างกายต้องการต่อวัน กระนั้นเมื่อมีคนมาให้ถึงที่จะปฏิเสธได้อย่างไรกันล่ะ.....

“ขอบคุณมากครับ อาซิง ช่วยเอาไปไว้ในครัวด้วยนะ” ในที่สุดเซินเฟยก็ต้องยอมรับน้ำใจ เขาไม่อาจทำตัวเสียมารยาทได้นอกจากอีกฝ่ายจะเสียมารยาทกับเขาก่อน ซึ่งหลิงหลิงก็ไม่ได้ทำตัวให้มีข้อตำหนิเลยสักนิด เซินเฟยจึงหมดสิทธิปฏิเสธน้ำใจไปโดยปริยาย

“ถ้ารสชาติไม่ถูกใจก็ติได้นะคะ ฉันจะได้พัฒนาฝีมือขึ้นอีก” หลิงหลิงทำท่าดีอกดีใจเมื่อเซินเฟยยอมรับของโดยไม่ได้ทำท่าลำบากใจออกมาให้เห็น

“เดินก็ไม่สะดวกอย่างนั้น ยังอุตส่าห์ลุกขึ้นมาทำแต่เช้า ยังไงก็ช่วยชิมหน่อยนะครับ” จือหยินช่วยเชียร์อีกแรงหนึ่งพร้อมเดินเข้ามาหาแล้วคุกเข่าลงตรวจดูบาดแผลก่อน วันนี้เซินเฟยคาดเดาไว้แล้วว่าจะต้องนั่งตรวจในห้องรับแขกจึงสวมกางเกงขาสั้นไว้ซึ่งก็ไม่เสียเปล่า

ยังไงก็ดีกว่าต้องถอดกางเกงต่อหน้าผู้หญิงนั่นแหละ....

“ระยะนี้ดูมีเนื้อมีหนังขึ้นมานิดหน่อยหรือเปล่าครับ?” คำถามของจือหยินทำให้เซินเฟยมุ่นคิ้ว ไม่อยากจะตอบออกไปตามความจริงเลยว่าเพราะประดาเค้กที่เรียงหน้ามาทุกอาทิตย์นั่นแหละเขาถึงได้มีเนื้อมีหนังขึ้นแบบนี้

“ก็คงแบบนั้น”

“แต่ว่าช่วงนี้คุณเซินไม่ค่อยต้องใช้ยาแก้อาการไมเกรนแล้วใช่ไหมครับ?”

เป็นแบบนั้นหรือ?

เซินเฟยนึกแปลกใจ จะว่าไประยะนี้เขาก็ไม่ค่อยได้กินยาแล้ว อาจเป็นเพราะช่วงนี้ไม่มีเรื่องวุ่นวายอะไรมากนักทั้งเรื่องที่ยุ่งยากก่อนหน้านี้ก็เหมือนจะผ่านไปด้วยดี แต่หากจะคิดจริง ๆ เขาเองก็โหมงานทุกวันเหมือนเดิมแต่กลับไม่รู้สึกปวดหัวสักเท่าไหร่

“เพราะกินของหวานบ่อย ๆ ล่ะมั้ง” เขาตอบจือหยิน เพราะหวางซิงมักจะคอบเสิร์ฟน้ำหวานให้ตลอด...หรือว่านี่จะเป็นอีกสาเหตุที่เขาอ้วนขึ้น? คนพวกนี้คิดจะขุนให้เขากลายเป็นหมูหรือยังไง?

“ช่วงนี้ไม่ควรทานของหวานมากนะครับ เพราะคุณเซินเพิ่งจะแผลหายเริ่มออกกำลังกายได้นิดหน่อยเท่านั้น ถ้าใช้พลังงานไม่หมดมันจะสะสมนะครับ” จือหยินเอ่ยเตือนซึ่งเซินเฟยเองก็รู้ดีว่าเขาไม่ควรกินขอหวานมากเกินไปนัก แต่จะให้ปฏิเสธยังไงไหว อีกคนก็แม่ อีกคนก็เลขา ซ้ำตอนนี้ยังมีหลิงหลิงพ่วงเข้ามาอีกคน อีกไม่นานเขาอาจจะต้องใช้เวลาวันอาทิตย์เข้าฟิตเนสเสียแล้ว

“ถ้าอย่างนั้นฉันก็ไม่น่าทำเค้กมาเลยน่ะสิคะ” หลิงหลิงได้ยินจือหยินกล่าวเช่นนั้นก็ตกอกตกใจ

“เค้กก้อนเดียวถ้าแบ่งให้คนทั้งบ้านช่วยกันก็ไม่เป็นปัญหาหรอกเสี่ยวหลิง” จือหยินหันไปปลอบคนรักโดยไม่ทันได้หันมองสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของคนกิน

ถ้าก้อนเดียว....มันก็ไม่ใช่ปัญหาหรอก.....

แต่เมื่อสามวันก่อนเพิ่งจะได้มาก้อนหนึ่งจากหลี่จวี๋เหม่ย และเพิ่งจะกินหมดไปเมื่อวานนี้เอง....

เซินเฟยแทบจะเดาสีหน้าของหวางซือได้เลยว่าอีกฝ่ายจะทำหน้าอย่างไรเมื่อเห็นเค้กก้อนใหม่ และคงจะคำนวนอย่างรวดเร็วว่าควรจะแบ่งสักกี่ส่วนให้คนทั้งบ้านช่วยกันกำจัดไปโดยเร็วไว

บางทีเขาน่าจะลองบอกแม่ให้เปลี่ยนเมนูบ้างเสียแล้ว...

หลังจากนั้นจือหยินก็ถามคำถามและตรวจร่างกายไปเรื่อย ๆ ตามหน้าที่โดยมีหลิงหลิงคอยมองคอยถามอยู่ตลอด หญิงสาวดูเป็นคนที่อยากรู้อยากเห็นไปเสยหมดทุกอย่าง แม้เซินเฟยจะรู้สึกรำคาญอยู่บ้างที่มีเสียงคนพูดอยู่ตลอดเวลา กระนั้นเขากลับถูกความรู้สึกอื่นบดบังความรำคาญไปเสียกว่าครึ่ง

ในวันนี้....เขาไม่อาจมองใบหน้าของจือหยินได้อย่างมีความสุขเลย

เซินเฟยมักจะต้องคอยมองเข้าไปผนังหรือโต๊ะรับแขกเพื่อหลบเลี่ยงการทอดสายตาไปยังเสี้ยวหน้าอันอ่อนโยนของจือหยิน เพราเขาเกรงว่าสายตาของเขาจะสื่ออะไรบางอย่างออกไปให้หลิงหลิงไม่สบายใจ แน่นอนว่าโดยนิสัยเซินเฟยไม่ใช่คนดีหรือเสียสละอะไรขนาดนางเอกหรือพระเอกนิยาย เขาเพียงแต่ถูกสอนมาให้รู้จักวางตัวอย่างเหมาะสมในสถานการณ์ต่าง ๆ และการแสดงตัวให้คนอื่นรู้ว่ารู้สึกอย่างไรนั้นไม่ใช่การวางตัวที่ดีของคนที่มีตำแหน่งเช่นเขา ซึ่งบางครั้ง เซินเฟยก็อดจะรู้สึกขมขื่นไม่ได้

จือหยินร่ำลาเมื่อตรวจสุขภาพตาหน้าที่เรียบร้อย แม้จะใช้เวลานานกว่าปกติแต่หมอหนุ่มก็ดูไม่ค่อยเร่งรีบเหมือนเก่า อาจเพราะหลิงหลิงไม่สามารถขยับตัวได้อย่างรวดเร็วนักก็เป็นได้ เซินเฟยมองแผ่นหลังของจือหยินที่ค่อย ๆ พยุงหลิงหลิงเดินออกไปด้วยสายตาหลากหลายอารมณ์ เด็กหนุ่มกัดริมฝีปากก่อนเลือกที่จะไม่มองต่อ เขาเดินกลับเข้ามาในบ้านแล้วให้เป็นหน้าที่หวางซิงส่งแขกแทน

เมื่อเขาเดินเข้าไปในห้องทำงานส่วนตัวเพื่อจะอยู่ตามลำพัง เขากลับพบว่าฉู่เหวินจือรอเขาอยู่แล้ว

“หมอจือไปแล้วหรือครับ?” ฉู่เหวินจือเงยหน้าจากหนังสืออ่านเล่นขึ้นมาทักทาย

“ไปแล้ว นายก็ออกไปซะ ฉันอยากพัก” เซินเฟยออกปากไล่แล้วเดินไปนั่งที่เก้าอี้ตัวโปรด

“แน่ใจหรือว่าไม่อยากให้ผมอยู่ด้วย?” ชายหนุ่มวางหนังสือลงแล้วลุกจากเก้าอี้เดินเข้ามาหา เขาคร่อมตัวลงแล้วยันแขนกับพนักที่เซินเฟยใช้พิงหลังทำให้เงาของเขาตกทอดลงบนตัวของเซินเฟยพอดี คนถูกคร่อมเหลือบตาขึ้นมองผู้ที่อยู่เบื้องบนพลางมุ่นคิ้ว

“ทำไมฉันต้องอยากให้นายอยู่ด้วย”

ก็จริงอยู่ที่ระยะนี้เขากับฉู่เหวินจือแทบตัวติดกัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องอยู่ด้วยกันตลอดเวลาไม่ใช่หรือ?

“ก็คุณเพิ่งจะเจอหมอจือมา” ฉู่เหวินจือก้มลงกระซิบ “ก็เลยรู้สึกไม่ค่อยดีไม่ใช่หรือครับ....เฟยเฟย...อุ่ก!”

ทันทีที่ชื่อเรียกไม่เข้าหูถูกเอ่ย เซินเฟยก็ยกเท้าถีบใส่ท้องฉู่เหวินจือเต็มแรงจนอีกฝ่ายลงไปนั่งกุมท้อง เซินเฟยเท้าคางเหลืบตาลงมองฉู่เหวินจือด้วยอารมณ์ที่ดีขึ้นนิด ๆ แต่ว่าในขณะที่คิดแบบนั้น ฉู่เหวินจือกลับยื่นมือมาจับข้อเท้าของเขาแล้วลูบไล้แผ่วเบา เซินเฟยไม่รู้ว่าตนเองรู้สึกไปเองหรือไม่ แต่เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกเล้าโลมจึงสะบัดข้อเท้าออกแต่ฉู่เหวินจือก็ยิ่งจับแน่นขึ้นแล้วใช้อีกมือนวดเบา ๆ ที่ปลายเท้า

“อืม.....” เท้ามีปมประสาทอยู่มากมาย เซินเฟยเผลอส่งเสียงออกมาเมื่อฝ่ามือกร้านลูบไปที่ข้อเท้าด้านหน้าแล้วกดลงระหว่างช่องกระดูก ทันใดนั้นฉู่เหวินจือก็ยิ้มออกมาแล้วค่อย ๆ ก้มลงจูบตรงจุดนั้นก่อนจะแลบลิ้นเลีย เซินเฟยที่มองอยู่ด้านบนรู้สึกว่าภาพที่เห็นให้อารมณ์อิโรติกอย่างบอกไม่ถูก

เซินเฟยเคยอ่านเจอในหนังสือว่าข้อเท้าเป็นจุดหนึ่งที่มีปมอารมณ์ทางเพศอยู่แต่เขาก็ไม่เคยทดลองสักที ทว่ามันอาจจะเป็นจริงก็ได้เพราะเพียงแค่ฉู่เหวินจือกระตุ้นที่ร่องระหว่างกระดูกข้อเท้าด้านหน้า เขาก็รู้สึกเสียววูบ ๆ ขึ้นมาตามเรียวขา

“นี่ พอแล้ว” เซินเฟยปราม เขาไม่ใช่คนมักมากและไม่ได้มีความสนใจด้านกามารมณ์เป็นพิเศษ การมีเซ็กส์ในตอนกลางวันแสก ๆ จึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างกระดากอยู่มาก เพียงแค่มีอะไรกันแทบทุกคืนเขาก็รู้สึกว่ามันมากเกินไปสำหรับคนอายุ 18 เช่นเขาแล้ว

“หมอจือบอกว่าระยะนี้คุณเซินไม่ค่อยกินยาแล้ว” อยู่ ๆ ฉู่เหวินจือก็พึมพำออกมาอย่างนั้นโดยยังสาละวนกับข้อเท้าของเขาอยู่

“แล้วยังไง? ก็แค่มีปริมาณน้ำตาลมากพอ”

“คุณคิดแบบนั้นหรือ?” ชายหนุ่มหัวเราะในคอ เซินเฟยไม่ชอบเอาเสียเลยเวลาที่ฉู่เหวินจือหัวเราะแบบนี้ เขารู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นกระต่ายที่กำลังถูกหมาป่าแสยะเขี้ยวใส่ชอบกล

“น้ำตาลแค่ช่วยเพิ่มพลังงานให้สมองแต่ไม่ได้ช่วยคลายเครียดนะครับ” ฉู่เหวินจือขยับขึ้นมาจูบที่ขาอ่อน การที่เซินเฟยใส่กางเกงขาสั้นแบบนี้ก็เป็นอาหารตาอยู่เหมือนกัน “ถ้าน้ำตาลช่วยให้หายเครียดได้ คนอ้วนคงไม่รู้สึกเครียดหรอกครับ”

“แล้วนายมีความเห็นว่ายังไง?” เซินเฟยเหยียบบ่าฉู่เหวินจือไว้ไม่ให้ขยับไปมากกว่านั้น

“แล้วคุณล่ะ คิดยังไง?” รอยยิ้มของฉู่เหวินจือทำให้เซินเฟยมุ่นคิ้ว ก่อนที่ความคิดปากอย่างจะผุดขึ้นมาในสมอง ทันใดนั้นใบหน้าของเขาก็แดงวาบ สีหน้าเช่นนั้นทำให้ฉู่เหวินจือยิ้มกว้างขึ้น

“เฟยเฟยของผมช่างลามกจริง ๆ” ฉู่เหวินจือลุกขึ้นจากพื้นแล้วกดเซินเฟยจนแนบเก้าอี้ เซินเฟยตั้งใจจะถีบออกไปอีกครั้งทว่ามือข้างหนึ่งของฉู่เหวินจือกดขาของเขาเอาไว้ อีกข้างถูกทับด้วยขาของฉู่เหวินจือเช่นกัน เซินเฟยตวัดตามองคนที่ได้ใจขึ้นทุกวันด้วยความโมโห

“อย่าได้ใจนักนะ”

“แต่คุณก็ชอบไม่ใช่หรือ?”

“ฉันไม่ได้....อื้อ....” โดยไม่ให้จังหวะพูดไปมากกว่านั้น ฉู่เหวินจือก็บดจูบลงบนริมฝีปากที่กำลังปฏิเสธ “บอกว่า...หยุด.....ฮึก....” แม้เซินเฟยจะใช้มือยันหน้าฉู่เหวินจือออกไปได้ ทว่าวินาทีต่อมาแม้แต่มือของเขาเองก็ถูกเรียวลิ้นอุ่นกวาดชิมจนเสียววาบ และทันทีที่ดึงมือกลับฉู่เหวินจือก็ได้โอกาสรุกต่อทันที

“ดูเหมือนจือหยินจะไม่ได้สนใจขาของคุณเลยนะ” ฉู่เหวินจือลูบไล้หน้าขาเนียนมืออย่างย่ามใจ

“ใครจะไป....เหมือนนาย....อย่า.....”

ฉู่เหวินจือไม่ฟังเสียงห้าม กลับสอดมือเข้าไปทางขากางเกงและกอบกุมสัดส่วนอันอ่อนไหวไว้ในมือ เขามองเซินเฟยที่กัดฟันด้วยใบหน้าแดงก่ำอย่างสนุก เพียงแค่ขยับมือไม่กี่ครั้ง ความอ่อนนุ่มก็ค่อย ๆ เหยียดสู้มือทำให้เซินเฟยรู้สึกอับอายจนอยากจะเอาหน้าซุกดินเสียให้ได้ แต่แม้จะไม่เต็มใจ แต่ฉู่เหวินจือก็บังคับให้เซินเฟยปล่อยออกมาในมือของตนด้วยการปลุกเร้าอันเชี่ยวชาญและสัมผัสที่เซินเฟยเริ่มคุ้นเคย

เมื่อปล่อยออกไปครั้งหนึ่ง ธรรมชาติของร่างกายมนุษย์จะเกิดความอ่อนล้าไปเสี้ยววินาทีก่อนจะรวบรวมกำลังได้อีกครั้ง ซึ่งช่วงเวลานั้นเองที่ฉู่เหวินจือรูดกางเกงและชั้นในของเซินเฟยลงมาถึงข้อเท้า ไม่ทันที่เซินเฟยจะขัดขืน ฉู่เหวินจือก็ขยับเข้าประชิดเสียแล้ว

“ตรงนี้ของคุณยังน่ารักเหมือนเดิมเลยนะ” ฉู่เหวินจือวิจารณ์แล้วแตะส่วนสำคัญที่เพิ่งอ่อนตัวไปให้เซินเฟยสะดุ้งเล่น “ทั้งที่ตอนเรามีอะไรกันครั้งแรก หนังหุ้มปลายของคุณยังไม่เปิดเสียด้วยซ้ำ”

“....หุบปาก”

“โกรธหรือครับ เฟยเฟย....” ชื่อเรียกที่เซินเฟยไม่เคยรู้สึกชื่นชอบดังเข้าโสตประสาทอีกครั้งพร้อมกับการรุกรานของปลายนิ้วกร้าน นึกจะด่าก็ด่าไม่ออก อยากจะชกอีกฝ่ายสักหมัดก็ขยับตัวไม่สะดวก เพราะตอนนี้ฉู่เหวินจือดึงให้เซินเฟยรับน้ำหนักตนเองด้วยแผ่นหลัง ส่วนสะโพกยกสูงขึ้นเล็กน้อย หากไม่ใช่แขนช่วยพยุงตัวไว้คงจะต้องรู้สึกปวดหลังมากเป็นแน่

“เฟยเฟย อย่าจับผมแน่นแบบนั้นสิครับ” ฉู่เหวินจือล้อเมื่อนิ้วของเขาถูกภายในตอดรัดตามธรรมชาติของร่างกายเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้าไป

“หยุดนะ....”

“หยุดตอนนี้ก็ค้างน่ะสิครับ”

“ฉัน....ไม่สน.....”

“ก็คุณเพิ่งเสร็จไปรอบนึง แต่ผมยังเลยนะครับ” ฉู่เหวินจือประท้วงพร้อมพาตนเองเข้าไปในร่างของเซินเฟยที่ถูกบังคับกึ่งเล้าโลมจนพร้อมจะรองรับการรุกรานได้

เซินเฟยกลั้นหายใจเฮือก กัดฟันแน่น แม้เขาจะเคยถูกฉู่เหวินจือรุกรานหลายต่อหลายครั้ง ทว่าก็ยังยากจะทำใจยอมรับว่าในอีกมุมหนึ่ง นอกจากฉู่เหวินจือจะเป็นสุนัขที่เลี้ยงไว้แก้เหงาแล้ว เขายังถูกใช้เป็นเครื่องระบายความต้องการของอีกฝ่ายด้วย แม้ว่านั่นจะเป็นข้อตกลง แต่เซินเฟยก็ยังไม่อาจจะทำใจยอมรับได้ทั้งหมดอยู่ดี ซึ่งฉู่เหวินจือก็เหมือนจงใจจะตอกย้ำให้เขานึกถึงจึงได้เข้ามากอดคลอเคลียทั้งยังถือโอกาสแตะเนื้อต้องตัวเขาจนเกินควรอยู่บ่อย ๆ ตอนอยู่ข้างนอก หวางซิงจะคอยกันท่าให้ก็จริง แต่เมื่ออยู่ตามลำพังเขากลับต่อต้านไม่ได้ ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ แต่เซินเฟยรู้สึกขึ้นมาลึก ๆ ว่า ความจริงฉู่เหวินจืออาจจะรู้จักตัวเขามากกว่าที่ตนเองรู้จักเสียอีก

ความคิดนั้นทำให้เซินเฟยอดสะท้านในอกไม่ได้ ถ้านั่นเป็นความจริง....ฉู่เหวินจือก็เป็นคนที่น่ากลัวเกินไปแล้ว....

เซินเฟยปรือตามองคนที่กระซิบเรียกชื่อเขาอยู่ข้างหูด้วยความสงสัยที่หลากหลายเกินกว่าจะเอ่ยถามออกมาได้ในคำถามเดียว

เฟยเฟย.....เฟยเฟย....

เสียงเรียกที่คอยกระซิบอยู่ไม่หยุดทำให้สติของเขาเริ่มพร่าเลือนไม่อาจนึกคิดอะไรได้อย่างสมบูรณ์

เฟยเฟย....เฟยเฟย....

เสียงกระซิบที่ก้องในหูจนเข้าไปถึงสมอง

นับแต่วันที่ไปเยี่ยมหลิงหลิงที่โรงพยาบาล ฉู่เหวินจือก็มักจะใช้ชื่อนี้กับเขาเมื่อร่วมรักกันบนเตียงจนกระทั่งเขาหลับไป จนเดี๋ยวนี้.....เมื่อเขาได้ยินชื่อนี้ขึ้นมาทีไรก็มักจะรู้สึกวูบวาบเหมือนกำลังถูกเล้าโลมด้วยลมหายใจและเสียงกระซิบเสียทุกที

เซินเฟยถูกชักจูงให้ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับอารมณ์ใคร่โดยไม่ได้รู้เลยว่าที่หน้าประตูนั้น หวางซิงกำลังยืนเฝ้าดูสถานการณ์ด้วยความกังวลใจ

------------------->

“ผมใจอ่อนกับฉู่เหวินจือมากเกินไป?” เซินเฟยทวนคำที่หวางซิงพูดกับเขาก่อนจะตีหน้าเครียด

“ผมไม่ได้คิดจะก้าวก่ายคุณเซินหรอกนะครับ แต่ว่าระยะนี้คุณฉู่เริ่มจะรุ่มร่ามกับคุณเซินหนักขึ้น ผมเกรงว่า...” หวางซิงเว้นช่วงไป “ถ้าคุณเซินถลำลึกเกินไป...”

“เป็นห่วงมากเกินไปแล้วนะอาซิง” ที่เซินเฟยพูดออกไปแบบนั้นไม่ได้แฝงด้วยเจตนาต่อว่าการละลาบละล้วงเหมือนเวลาพูดกับคนอื่น เขาชินแล้วที่หวางซิงมักจะคอยมองดูทุกอย่างแทนเขาซึ่งรวมไปถึงเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัว และหวางซิงมักจะพูดอย่างตรงไปตรงมาเมื่อคิดว่าสถานการณ์นั้น ๆ กำลังจะถึงขั้นวิกฤต หรือว่าในสายตาของหวางซิง เรื่องของเขากับฉู่เหวินจือถึงขั้นวิกฤตแล้วกันนะ? คงไม่หรอก.....พอเป็นเรื่องของเขา หวางซิงมักจะกังวลมากเกินกว่าเหตุทุกครั้งไปอยู่แล้ว


ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 16 (27/02/11)
«ตอบ #166 เมื่อ27-02-2011 01:47:56 »

“คุณเซิน....ถึงยังไงคุณฉู่ก็ยังไว้ใจไม่ได้นะครับ” หวางซิงทำหน้ากระวนกระวาย “ระยะนี้คุณเซินให้คุณฉู่รับผิดชอบงานสำคัญ ทั้งยังให้ไปไหนมาไหนได้ตามใจ เพียงแค่นั้นก็น่ากังวลพออยู่แล้ว ถ้าเกิดถูกตลบหลังขึ้นมาจะทำยังไงล่ะครับ?”

“เพราะแบบนั้นผมถึงควรเก็บฉู่เหวินจือให้อยู่ใกล้ที่สุดไม่ใช่หรือ?”

“ก...ก็ใช่ครับ แต่ว่า....”

“อาซิง เรื่องของฉู่เหวินจือไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ผมคิดว่าผมยังควบคุมได้” เซินเฟยตัดบทแล้วหันไปรวบเอกสารปึกหนึ่งส่งให้ “นี่เป็นบัญชีที่ฝ่ายจัดซื้อทำมาใหม่”

“เรื่องที่ครั้งก่อนสั่งให้กลับไปแก้น่ะหรือครับ?”

“ใช่ ฉบับนี้ดูเหมือนจะไม่มีอะไรผิดสังเกตแล้ว แต่ว่าก็ยังวางใจไม่ได้เพราะความผิดพลาดครั้งก่อนดูจงใจเกินกว่าจะเป็นการระบุจำนวนผิดธรรมดา” เซินเฟยกล่าวต่อ “ผมเซ็นอนุมัติเรียบร้อย วานคุณเอาไปส่งให้ฝ่ายจัดซื้อจัดการต่อได้เลย”

“ได้ครับ” หวางซิงรับเอกสารแล้วออกไปจากห้อง

เซินเฟยเอนหลังพิงพนักแล้วถอนหายใจออกมา ครุ่นคิดถึงสิ่งที่หวางซิงสะกิด

เขาใจอ่อนกับฉู่เหวินจือมากเกินไปอย่างนั้นหรือ?

จะว่าไป ช่วงก่อนนี้ที่ฉู่เหวินจือมาใหม่ ๆ เขาก็ลงโทษอีกฝ่ายโดยไม่ได้พูดขู่ก่อนเหมือนตอนนี้ คิดจะลงโทษก็ลงมือเลยทุกครั้ง แต่ตอนนี้เขากลับติดที่จะขู่อีกฝ่ายก่อนเสมอ เป็นเสมือนการให้โอกาสอีกครั้งก่อนที่เขาจะอารมณ์เสียจริง ๆ ซึ่งทำให้ฐานะของฉู่เหวินจือสูงขึ้นจากเดิม จากคนนอกกลายเป็นอยู่ฐานะเดียวกับคนในบ้านที่เขามักจะขู่ให้กลัวเมื่อทำความผิดแต่ลงมือจริงก็นับครั้งได้

หรือว่าจะใจอ่อนเกินไปจริง ๆ นะ...

เซินเฟยส่ายศีรษะกับตนเอง

จริงอยู่ว่าระยะนี้เขาปล่อยให้ฉู่เหวินจือกระทำตามใจมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไว้ใจอีกฝ่าย เหตุที่ยอมให้มีอิสระก็เพราะว่าเวลาส่วนมากฉู่เหวินจือต้องอยู่ข้างกายเขาอยู่แล้ว ไม่ว่าจะมีอะไรผิดปกติเขาจะต้องรู้ตักก่อนนอกจากว่าฉู่เหวินจือจะมีทักษะการแสดงยิ่งกว่าพวกดาราฮอลิวูดนั่นแหละจึงจะสามารถตบตาเขาได้

“กลับมาแล้วครับ” กำลังคิดถึงอยู่หลัด ๆ ฉู่เหวินจือก็ส่งเสียงแทรกเข้ามาในโสตประสาทพร้อมเปิดเข้ามาในห้องโดยไม่เคาะประตู

“ฉันบอกให้เคาะประตูก่อนไม่ใช่หรือไง?” เซินเฟยมุ่นคิ้วแล้วยืดตัวตรง “ของล่ะ?”

“นี่ครับ” ฉู่เหวินจือวางกระเป๋าเอกสารลงตรงหน้าก่อนจะเปิดออก ข้างในนั้นเป็นเอกสารเกี่ยวกับการซื้อขายยาเสพติดตัวใหม่ที่จะกระจายลงไปที่ประเทศแถบอินโดจีน มันช่วยไม่ได้ที่ระยะนี้เขาต้องรับผิดชอบงานทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังด้วยตัวคนเดียว จึงไม่มีเวลาให้แยกแยะมากนักว่างานไหนควรจัดการที่บ้านหรือที่บริษัท งานนี้เร่งด่วนมากเพราะทางแผ่นดินใหญ่ต้องการคำตอบโดยเร็วว่าเขาจะยอมตกลงขายให้หรือไม่

จีนแผ่นดินใหญ่เป็นเส้นทางขนย้ายยาเสพติดลงไปยังประเทศทางตะวันออกเฉียงใต้ของเอเชียได้ดีที่สุดเพราะมีแผ่นดินติดกันยาวลงไปตลอดแนว ถ้าทางแผ่นดินใหญ่ยินดีเป็นเอเย่นให้ ทั้งพม่า ไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย ลงไปถึงอินโดนีเซียก็คงจะเป็นตลาดที่ดีเหมือนสินค้าตัวก่อน ๆ

“แสดงว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้วใช่ไหม?”

การที่มีเอกสารมาถึงมือเขาแสดงว่าสินค้าตัวอย่างพร้อมจะทำสัญญาซื้อขายแล้ว

ก่อนหน้านี้สินค้าตัวอย่างมีปัญหาเรื่องโดส ทำให้โดนส่งกลับไปแก้ใหม่ทั้งล็อต ยาเสพติดแต่ละชนิดต้องมีโดสที่เหมาะสม หากโดสสูงเกินไปอาจทำให้ผู้เสพช็อคตายได้ในทันทีหรือเกิดอาการประสาทหลอน วัตถุประสงค์ของยาเสพติดคือการมีผู้ซื้อในระยะยาว ไม่ใช่ซื้อไปแล้วหมดศักยภาพที่จะซื้อในทันที นอกจากนี้ หากมีคนตายหรือเสียสติเพราะตัวยามากเกินไปทางตำรวจจะจับทางได้เร็ว เมื่อเร็ว ๆ นี้เขาได้ยินว่าประเทศปลายทางถูกตรวจจับสายได้จึงต้องยกเลิกการซื้อขายกับทางนั้นไปชั่วคราว โชคดีที่เป็นประเทศเล็ก ๆ กำลังซื้อไม่มากนักอยู่แล้วจึงไม่ได้สร้างความเสียหายให้องค์กรมากจนรับไม่ไหว

“เหล่าโหวบอกว่าตรวจสอบแล้วเรียบร้อยทุกอย่างครับ”

เซินเฟยพยักหน้ารับ

“แล้วของตัวอย่าง?”

“จะส่งไปที่บ้านครับ”

เซินเฟยยิ้มน้อย ๆ อย่างพึงพอใจ ฉู่เหวินจือฉลาดพอที่จะรู้ว่าไม่ควรหิ้วของเถื่อนเดินไปเดินมากลางวันแสก ๆ ตอนแรกเขาคิดว่าหากฉู่เหวินจือหิ้วของตัวอย่างมาให้ที่บริษัทด้วยจะจับลงโทษเสียหน่อย แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เพราะจะวางใจว่าใช้งานได้สะดวกมือ

“ถ้าอย่างนั้นคืนนี้ฉันจะกลับไปดู โทรบอกเหล่าซานให้รับของด้วย” เซินเฟยตรวจสอบเอกสารแล้วยื่นคืนให้ฉู่เหวินจือ “เก็บเอกสารให้ดีล่ะ”

“ทราบแล้วครับ” ฉู่เหวินจือรับคำแล้วยืนยิ้มอยู่หน้าโต๊ะ ไม่ยอมถอยออกไป

“มีอะไร?”

“เรื่องปืนเถื่อนเหล่าโหวก็บอกว่าไปได้สวยครับ”

“งั้นหรือ” ทั้งที่เซินเฟยตอบรับไปอีกครั้ง ฉู่เหวินจือก็ยังยืนอยู่ที่เดิม “แล้วมีอะไรอีกไหม?”

“พื้นที่ที่เหล่าเฉียนเคยดูแลผมแวะไปดูมา เห็นว่าระยะนี้พวกตำรวจเข้ามายุ่งนิดหน่อยก็เลยขอให้หวางซิงช่วยติดต่อสารวัตรหรงให้แล้ว” บางครั้งฉู่เหวินจือก็ชอบทำเกินคำสั่ง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตเหมือนว่าแค่ผ่านไปแล้วเห็นเหตุการณ์จึงมาเล่าให้ฟังเท่านั้น เซินเฟยจึงไม่ได้ว่ากล่าวอะไร แต่ฉู่เหวินจือก็ยังรายงานต่อไป “ส่วนพื้นที่โรงแรมตอนนี้มีผู้รับเหมาส่งซองประมูลเข้ามาแล้ว”

“เรื่องนั้นทางบอร์ดบริหารแจ้งมาแล้ว” เซินเฟยเริ่มมุ่นคิ้วเมื่อฉู่เหวินจือยังยืนนิ่งกับที่ ไม่ยอมถอยออกไปเสียที “นายจะเอาอะไรกันแน่”

“ไม่รู้จริง ๆ หรือครับ” ฉู่เหวินจือเดินอ้อมโต๊ะแล้วจับเก้าอี้เซินเฟยหมุนมาเผชิญหน้าก่อนจะโน้มเข้าไปใกล้    เซินเฟยสามารถเข้าในภาษาท่าทางนั้นได้โดยทันที เขาหน้าแดงวาบรีบยกมือขึ้นดันหน้าฉู่เหวินจือออกห่าง

“นี่มันบริษัทนะ” เซินเฟยเตือนด้วยเสียงกดต่ำเหมือนแสดงความไม่พอใจ

“แต่ก็ห้องส่วนตัวไม่ใช่หรือครับ?”

“นายไม่เห็นหรือยังไงว่าข้างหลังฉันมันเป็นกระจกใสทั้งบาน หัดอายฟ้าอายดินเสียบ้าง” เซินเฟยผลักหน้าฉู่เหวินจือออกไปแล้วตีสีหน้าปฏิเสธอย่างจริงจัง เขาไม่ควรโอนอ่อนตามอีกฝ่ายไปทุกเวลา กับฉู่เหวินจือเขาคงจะใจอ่อนให้มากเกินไปจริง ๆ ถึงกล้าเกินเลยถึงขนาดนี้

“แค่จูบคงจะไม่โดนฟ้าผ่าหรอกครับ” ฉู่เหวินจือปั้นหน้ายิ้มแย้ม

“....จูบงั้นหรือ.....” เซินเฟยทวนคำ

“ครับ เอ.....หรือคุณเซินคิดอะไรเกินเลย คุณนี่ช่าง...”

“หุบปาก!” เด็กหนุ่มตะคอกหน้าดำหน้าแดง ไม่ต้องให้อ้าปากพูดก็รู้ว่าอีกฝ่ายคงจะบอกว่าเขาลามกเหมือนทุก ๆ ครั้งที่ชอบทำกิริยาให้เขาเข้าใจผิดแล้วมาต่อว่าเขาเอาทีหลัง ใครจะไปควบคุมความคิดได้กันในเมื่ออีกฝ่ายเอาแต่ทำเรื่องลามกกับเขาแทบทุกคืน!

“ถ้าอย่างนั้นผมก็ต้องขอค่าปิดปากเพิ่มด้วยนะ” แล้วฉู่เหวินจือก็รุกประชิดตัวอีกครั้ง เขาตรึงแขนของเซินเฟยไว้กับที่พักแขนก่อนจะโน้มลงจนริมฝีปากแนบชิดก่อนเคล้าคลออยู่เช่นนั้นจนเซินเฟยรู้สึกหวามซ่านไปทั้งใบหน้า

“ขออนุญาตครับ” หวางซิงเคาะประตูพร้อมเอ่ยขอ ทว่าไม่ทันที่เซินเฟยจะหันไปห้ามฉู่เหวินจือก็ดึงดันบดจูบปิดกั้นเสียงทันที ทำให้หวางซิงเข้ามาเห็นฉากจูบอย่างเต็มสองลูกตาและถึงแก่อึ้งค้างไปชั่วครู่ก่อนจะหน้าแดงสลับขาวซีดแล้วรีบเผ่นออกไปอย่างรวดเร็วพร้อมเสียงขอโทษขอโพย

เซินเฟยดิ้นรนอยู่ชั่วครู่ฉู่เหวินจือก็ยอมปล่อย และเมื่อได้โอกาส เซินเฟยก็รวบรวมแรงทั้งหมดดีดขาขึ้นกระแทกจุดยุทธศาสตร์ทำให้ฉู่เหวินจือถึงกับจุกพูดไม่ออก ก่อนจะทรุดลงไปกุมส่วนสำคัญด้วยท่าทางอันน่าสมเพช เซินเฟยพ่นลมหายใจออกมาอย่างเดือดดาล เขาขยับเสื้อนอกแล้วลุกออกไปจากห้อง

“เอามันไปโยนไว้ข้างนอก! อย่าให้เข้ามาถ้าฉันไม่ได้สั่ง!”

เสียงตะโกนสั่งของเซินเฟยทำให้การ์ดสองคนวิ่งเข้ามาในห้องแล้วรีบหอบฉู่เหวินจือออกไปก่อนโทสะของเจ้านายจะมาลงที่พวกเขา

ฉู่เหวินจือที่ถูกหิ้วออกมาถึงข้างนอกรู้สึกหายจุกเมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่ง จึงขยับลุกขึ้นแล้วนั่งพิงกระถางต้นไม้ที่หน้าอาคารหลักนั้นเอง เซินเฟยช่างหน้าบางเสียจนเขาต้องเจ็บตัวทุกครั้งที่มีใครเข้ามาเห็นหรือส่งเสียงทักขณะกำลังชักชวนให้มีอารมณ์ร่วม กระนั้นมันก็น่าสนุกที่ได้เห็นอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ นั้น ฉู่เหวินจือจงใจทำให้ตนเองซึมซาบเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเซินเฟยอย่างแนบเนียน กระทั่งเซินเฟยก็ยังไม่รู้สึกตัวว่าเขากลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว และไม่รู้ตัวเลยว่าช่วงนี้ตนเองเบามือกับเขาลงมากกว่าเดิมแค่ไหน

ทีละเล็กทีละน้อย....เซินเฟยกำลังถลำลงไปในกับดักอันหอมหวานที่เขาจงใจขุดไว้

ทีละเล็กทีละน้อย....เซินเฟยจะไม่อาจดิ้นหนีไปจากเขาได้

ฉู่เหวินจือคลี่ยิ้มมองท้องฟ้าอย่างอารมณ์ดี วันนี้ท้องฟ้าปลอดโปร่งแจ่มใสเสียจริง ๆ

“ยิ้มอะไรน่ะครับ?” หวางซิงที่ยืนมองอีกฝ่ายอยู่นานแล้วเอ่ยทักขึ้น ทำให้ฉู่เหวินจือเบือนหน้ากลับมายิ้มให้ก่อนจะไหวไหล่

“ผมกำลังขำท่าทางของคุณเมื่อกี้นี้”

หวางซิงหน้าแดงทันที ฉู่เหวินจือเห็นดังนั้นก็สรุปในใจว่านิสัยหน้าบางนี้เซินเฟยอาจติดมาจากหวางซิงก็ได้

“น่าตลกตรงไหนกัน เพราะคุณทำเรื่องแบบนั้นทั้งที่ผมเตือนแล้วว่าเวลาอยู่นอกบ้านควรจะสำรวจเสียบ้าง” ทั้งที่เขารู้สึกสงสารที่อีกฝ่ายโดนทำร้ายร่างกายเพราะเขา ทว่าพอมาได้ยินอย่างนี้ ความสงสารในใจก็หายวับไปกับตา แทนที่ด้วยความขุ่นเคืองใจที่ลวนลามเจ้านายของเขาแทน

“คุณหน้าแดงเพราะผมจูบคุณเซินหรือเพราะผมจูบผิดที่ผิดทาง?” ฉู่เหวินจือถามพลางเลิกคิ้วยียวน

“เรื่องนั้น......” หวางซิงชะงักไป “ก็ทั้งสองเรื่องแน่ ๆ สิครับ”

“ทั้งที่คุณเคยเห็นมากกว่านั้นมาแล้วน่ะหรือครับ?”

“อะไรนะ?” หวางซิงมุ่นคิ้วก่อนจะมองหน้าฉู่เหวินจือที่เริ่มคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ ทำไมกันนะ เขาถึงรู้สึกว่ารอยยิ้มนั้นไม่น่าไว้ใจเลยแม้แต่น้อย

“เมื่อวานนี้คุณอยู่หน้าประตูตลอดเลยไม่ใช่หรือครับ?”

ใบหน้าของหวางซิงขาวซีดทันควัน

“คุณ.....”

“ผมเดาถูกสินะ” ฉู่เหวินจือหัวเราะออกมาเมื่อเห็นสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก “เดาไม่ยากหรอก ก็คุณหวงเจ้านายตัวเองเสียขนาดนั้น คุณรู้ว่าผมรออยู่ที่ห้องทำงาน และคุณเซินก็ชอบเข้าไปนั่งในห้องทำงานเวลาที่ต้องการอยู่เพียงลำพัง พอคุณส่งหมอจือเสร็จคงจะรีบกลับมาให้ทันก่อนที่ผมจะลงมือทำตาใจชอบ แต่ก็ไม่ทัน ตอนคุณมาถึงผมก็กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มพอดี ผมเดาถูกใช่ไหม?”

หวางซิงพูดอะไรไม่ออก เขาเงียบไปแล้วกัดริมฝีปาก ความจริงเขาพยายามแล้วที่จะเข้าไปปราม ทว่าขาของเขากลับไม่ยอมก้าวเดิน เซินเฟยแม้จะดูเหมือนเป็นผู้ใหญ่ที่พร้อมเผชิญโลกแต่เนื้อแท้ก็ยังเป็นเด็กคนหนึ่งที่มีจุดที่ไม่อยากให้ใครแตะต้อง หากว่าเขาเข้าไปห้าม หรือเซินเฟยรู้ว่าเขายืนอยู่ข้างนอกนั่น เซินเฟยจะต้องรู้สึกอับอายมากเป็นแน่ ไม่ใช่แค่อับอาย....แต่คงจะรู้สึกเหมือนถูกทำลายศักดิ์ศรีด้วย เพราะรู้อย่างนั้น.....เพราะรู้อยู่เต็มอก ถึงแม้เขาอยากจะปกป้องเซินเฟยมากแค่ไหนก็ยังมีขีดจำกัดที่จะเข้าไปขวางกั้นได้อยู่ดี

“คุณน่ะ ปกป้องเจ้านายของคุณไปตลอดไม่ได้หรอก” ฉู่เหวินจือยื่นหน้าเข้าไปกระซิบใกล้ ๆ “สู้ยกให้ผมดูแลแทนเป็นไง?”

“คุณ.....คิดจะทำอะไรกับคุณเซิน....” หวางซิงจ้องตอบสายตาเจ้าเล่ห์ หากเป็นเรื่องของเซินเฟยแล้วเขาจะไม่ยอมหลบตาเป็นอันขาด จะต้องอ่านอีกฝ่ายให้ออกเสมอก่อนที่อีกฝ่ายจะทำอันตรายใด ๆ กับเจ้านายของเขา หวางซิงเป็นที่เชื่อใจของเซินเฟยและจูเชว่รุ่นก่อนเพราะนิสัยเช่นนี้เอง

ฉู่เหวินจือหัวเราะออกมาเมื่อเห็นสีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง

“ผมล้อเล่นน่า ผมไม่กล้าแย่งตำแหน่งเลขายอดเยี่ยมของคุณหรอก” ชายหนุ่มว่าแล้วเดินลงบันไดยกพื้นของอาคาร “ไหน ๆ คุณเซินก็โกรธผมซะแล้วเพราะคุณเข้ามาเห็นพอดี ดังนั้นวันนี้ผมจะโดดงานก็แล้วกัน ถ้าคุณเซินให้ผมเข้าบริษัทได้เมื่อไหร่ก็ช่วยโทรเรียกด้วยนะ”

“เดี๋ยวสิ! นั่นคุณจะไปไหนน่ะ!”

ฉู่เหวินจือไม่ได้ตอบคำถาม เขาเพียงโบกมือให้แล้วเดินจากไปด้วยรอยยิ้มอันลึกลับยากจะคาดเดาความคิดหรืออารมณ์ที่แฝงอยู่ภายใต้รอยยิ้มนั้น

TBC

lovevva

  • บุคคลทั่วไป
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 16 (27/02/11)
«ตอบ #167 เมื่อ27-02-2011 03:09:39 »

 :m16:ชักจะไม่ชอบคุณฉู่มากขึ้นทุกทีแหละ

ออฟไลน์ sam3sam

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2562
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +247/-4
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 16 (27/02/11)
«ตอบ #168 เมื่อ27-02-2011 03:47:36 »

คุณฉู่ลึกลับไม่เปลี่ยนจริงๆ
หลิงหลิงก็น่าสงสัย..
..เป็นลูกสาวใครจะมาแก้แคนเฟยเฟยรึเปล่าหว่า



รอติดตามตอนต่อไปจ้า :pig4:

ออฟไลน์ noina

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 16 (27/02/11)
«ตอบ #169 เมื่อ27-02-2011 10:48:23 »

คุณฉู่นี่มันน่าโดน :beat: :beat: :beat: :z6: :z6: :z6:

หรือว่าหลิงๆจะเป็นลูกเหล่าเฉียน :serius2: :serius2: :serius2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 16 (27/02/11)
« ตอบ #169 เมื่อ: 27-02-2011 10:48:23 »





samsoon@doll

  • บุคคลทั่วไป
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 16 (27/02/11)
«ตอบ #170 เมื่อ27-02-2011 11:29:41 »

มันจะมีอะไรร้ายแรงมั้ยนะ

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 16 (27/02/11)
«ตอบ #171 เมื่อ27-02-2011 12:14:58 »

โอ้ คุณฉู่นี่ก็ตลอดดดด

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 17 (27/02/11)
«ตอบ #172 เมื่อ27-02-2011 13:02:09 »

-17-



“ช่วงนี้พ่อเขาดูตั้งใจทำงานมากเลยนะ คงจะดีใจที่เสี่ยวเฟยช่วยไว้แน่ ๆ” หลี่จวี๋เหม่ยยังคงกิจวัตรเดิม ๆ คือการมาหาเซินเฟยทุกอาทิตย์ แต่ว่าหลังจากหวางซิงรายงานไปตามตรงว่าเซินเฟยกับคนในบ้านน้ำหนักขึ้นเพราะเค้ก หลี่จวี๋เหม่ยจึงเปลี่ยนเป็นทาร์ตผลไม้แทนและลดปริมาณลง ทำให้เซินเฟยรู้สึกโล่งท้องไปได้มาก เขาคิดว่าตนเองจะกลายเป็นหมูรอขึ้นโต๊ะตอนตรุษจีนเสียแล้ว

“ถ้าพ่อเป็นอย่างนั้นจริงก็ดีครับ” เซินเฟยตอบกลับไปพลางกินทาร์ตผลไม้รสเปรี้ยวแล้วจิบชาตาม

“ลูกเองก็ดูสบายดีแล้วนะ ช่วงนี้คงไม่มีเรื่องเครียดใช่ไหม?” หลี่จวี๋เหม่ยถามด้วยความเป็นห่วง บางครั้งเวลามาเยี่ยมเซินเฟยมักจะทำสีหน้าเคร่งเครียด เธอเองก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ

“ไม่มีแล้วล่ะครับ” ถึงจะตอบไปแบบนั้น แต่วันก่อนนี้ก็เพิ่งจะจับหางคนยักยอกเงินบริษัทได้และไล่ออกไปเรียบร้อย คิดจะยักยอกเงินที่ต้องให้บัญชีผ่านตาเขาน่ะฝันไปเสียเถอะ....

“ดีแล้ว ๆ จริงสิ พ่อเขาบอกว่าคิดโครงการใหม่ได้จะลองส่งมาให้พิจารณา ยังไงลูกช่วย....”

“ผมจะนำเข้าที่ประชุมให้ครับ” เซินเฟยขัดขึ้นก่อนที่หญิงสาวจะได้พูดอะไร ไม่ต้องคาดเดาเลยว่าแม่ของเขาคอยากจะขอให้เขาช่วยดันโครงการให้พ่อหน่อย แต่เขาคงไม่สามารถรับปากถึงขนาดนั้นได้ ตอนนี้มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างมากระทบหูเขาว่าเซินหยู่มีโอกาสที่จะได้เข้าตระกูลหลัก ไม่รู้ว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวออกไป แต่เรื่องนี้ทำให้คนในตระกูลเริ่มแข็งข้อขึ้นมาเสียดื้อ ๆ ด้วยมองว่าเขาเป็นคนลำเอียงเอาแต่คนของตนเองไปเสียอย่างนั้น หากเขาตกปากรับคำช่วยกระทั่งดันร่างโครงการพวกผู้บริหารอาจจะไม่พอใจ นอกจากนี้เขายังมีคนใต้ปกครองต้องกำราบ หากคนเหล่านั้นนึกจะแข็งข้อขึ้นมาพร้อมกันจะลำบาก

อย่างไรเสีย ในวงการนี้ เรื่องความเย้ายวนของอำนาจก็เป็นเรื่องที่มีอิทธิพลมากที่สุดและอ่อนไหวมากที่สุด เซินเฟยไม่อาจใช้ตามใจชอบได้อย่างที่ใคร ๆ คิดกัน

“เท่านั้นก็ยังดีนะ”หลี่จวี๋เหม่ยยิ้ม เซินเฟยมองแม่ตนเองพลางคิดในใจว่าหญิงสาวคงจะไม่ได้รู้เรื่องงานของพ่อและเขามากนัก ซึ่งก็ควรจะเป็นแบบนั้น หลี่จวี๋เหม่ยเป็นผู้หญิงที่อยู่แต่ในบ้าน พ่อเองเมื่อเข้าบ้านก็จะไม่พูดถึงเรื่องงานเช่นกัน แต่ทำไมช่วงนี้อีกฝ่ายถึงได้ชอบมาหาเขาแล้วพูดราวกับว่าพ่อตั้งอกตั้งใจทำงานจริง ๆ การพูดเรื่องงานให้ภรรยาฟังไม่ใช่นิสัยของพ่อเลยสักนิด

หรือว่าพ่อของเขากำลังวางแผนอะไรโดยใช้แม่เป็นทางผ่าน?

หากเป็นเช่นนั้นจริง หลี่จวี๋เหม่ยย่อมไม่มีทางรู้อยู่แล้ว หญิงสาวเป็นคนประเภทที่เรียกได้ว่าภรรยาแบบฉบับจีนดั้งเดิม อยู่แต่ในบ้าน ไม่พูดจากับคนแปลกหน้า ไม่ออกนอกบ้านถ้าไม่จำเป็น เชื่อฟังสามีและพ่อแม่ของสามี ไม่มีปากเสียงกับใคร และหัวอ่อน

“ผมคิดว่า แม่อย่ายุ่งกับเรื่องงานของพ่อเลยจะดีกว่านะครับ” เซินเฟยเอ่ยเตือน

“ทำไมล่ะเสี่ยวเฟย?”

“.....เพราะว่า......” เซินเฟยเม้มปาก เขาไม่รู้จะอธิบายอย่างไรเพื่อให้แม่ของเขาไม่รู้สึกแย่กับพ่อมากเกินไป “เพราะว่าอาจจะมีหลายอย่างที่แม่ยังไม่เข้าใจ”

“นั่นสินะ แม่ก็ไม่ใช่คนฉลาดสักเท่าไหร่”

“ผมไม่ได้....”

“ฟังแม่ก่อนสิเสี่ยวเฟย” หลี่จวี๋เหม่ยขัดด้วยรอยยิ้ม “แม่น่ะก็พอรู้ตัวเองอยู่หรอกว่าไม่ใช่คนฉลาดที่จะตามเกมคนอื่นทันเลย แต่ว่า....อย่างน้อยแม่ก็คิดว่า ถ้าช่วยแบ่งเบาภาระคนในครอบครัวได้ก็คงจะดี ตอนนี้พ่อของลูกก็ยอมปรึกษาเรื่องงานกับแม่บ้างแล้ว เท่านี้แม่ก็ดีใจแล้วล่ะ ถ้าลูกไม่อยากให้แม่พูดเรื่องนี้ให้ฟังแม่ก็จะไม่พูดอีก เท่านี้ลูกเองก็มีเรื่องเครียดพอแล้วล่ะนะ”

เซินเฟยนิ่งเงียบไป จริงอยู่ว่าเขาเดาอยู่แล้วว่าแม่ของเขาจะพูดอย่างไร กระนั้นเขาก็ไม่อาจทำตัวใจร้ายถึงขนาดจะพูดกลับไปว่าพ่ออาจจะหลอกแม่อยู่ได้ลงคอ

“ผมเข้าใจแล้วครับ”

“ดีแล้วล่ะ” หลี่จวี๋เหม่ยยิ้มแย้ม “ถ้าวันไหนลูกว่าง ๆ ก็ไปเยี่ยมพ่อเขาบ้างนะ พ่อเขาก็อยากเห็นหน้าลูกเหมือนกันแต่ก็ยังเสียหน้าไม่หาย คนทิฐิแรงก็อย่างนี้”

เสียหน้าไม่หาย....หรือไม่มีหน้าจะโผล่มากันแน่....

ครั้งสุดท้ายที่เซินหยู่ก้าวเข้ามาในบ้านหลังนี้ อีกฝ่ายได้สบประมาทอดีตนายหญิงไว้อย่างรุนแรง แม้จะพูดคุยกันในห้องรับแขกแต่เสียงก็ได้ยินออกไปถึงข้างนอก ผ่านไปไม่ถึงวันพวกคนรับใช้ต่างก็รู้เรื่องนี้กันไปทั่ว ซากุระเป็นนายหญิงที่ทุกคนต่างรักใคร่ เมื่อถูกว่ากล่าวเช่นนั้นมีหรือจะไม่โกรธแค้น เซินหยู่ก็เหมือนจะรู้ตัวดีจึงไม่กล้าโผล่มาที่บ้านหลังนี้อีกเลย แต่กลับจงใจปล่อยให้หลี่จวี๋เหม่ยมาหาได้ทุกอาทิตย์ เซินเฟยจึงไม่อาจทำใจปล่อยวางเรื่องพ่อตนเองได้เลย เพราะไม่อาจรู้ได้ว่าอีกฝ่ายคิดจะทำอะไรอีก

หลี่จวี๋เหม่ยนั่งคุยสัพเพเหระจนถึงเวลาประมาณ 10 โมงก็กลับไปเหมือนทุก ๆ ครั้ง เซินเฟยถอนหายใจออกมาเงียบ ๆ ในห้องที่เหลือเขาอยู่เพียงลำพัง

แปลกจริง....

ทำไมเขาถึงอยู่ตามลำพังได้ล่ะ?

เซินเฟยมุ่นคิ้ว วันนี้มีอะไรบางอย่างแปลกไปหรือเปล่านะ ทำไมเขาถึงคลับคล้ายคลับคลาว่าทุกครัง้ที่อยู่คนเดียวจะต้องมีใครบางคนเข้ามาเกาะแกะจนหมดความสงบทุกทีไป

“อาซิง”

“ครับ?” หวางซิงได้ยินเสียงเรียกก็รีบเข้ามาในห้องเพราะคิดว่าเซินเฟยต้องการเรียกใช้อะไร

“ฉู่เหวินจือไปไหน?” เซินเฟยเอ่ยถาม วันนนี้ตั้งแต่เช้าพอเขาตื่นขึ้นมาก็ไม่เห็นฉู่เหวินจือแล้ว นับเป็นครั้งแรกเลยก็เป็นได้นับแต่ที่ฉู่เหวินจือได้ล่วงล้ำเข้ามาในอาณาเขตส่วนตัวของเขาแล้วเขากลับต้องตื่นขึ้นมาเพียงลำพังบนเตียงกว้าง พอคิดไปแล้วก็รู้สึกอ้างว้างขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แต่ว่าเพราะหลี่จวี๋เหม่ยมาหาแต่เช้า เขาจึงลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิทใจ พออยู่คนเดียวก็พลันนึกขึ้นมาได้อีกครั้ง

“ออกไปข้างนอกแต่เช้าแล้วครับ แต่ไม่ยอมบอกว่าไปไหน” หวางซิงรายงานก่อนจะทำสีหน้ากังวล เขาคิดถึงเรื่องที่ฉู่เหวินจือพูดเมื่อวันก่อนขึ้นมา...ฝ่ายนั้นแสดงสีหน้าเอาจริงจนน่ากลัว เขาเริ่มรู้สึกพรั่นพรึงอย่างไม่ทราบสาเหตุด้วยไม่อาจอ่านผู้ชายคนนั้นได้ขาดดังที่เคยทำได้กับคนอื่น ๆ

“งั้นหรือ.....” เซินเฟยรับคำโดยไม่ได้ว่าอะไรต่อ

“คุณเซิน.....ผมคิดว่าอย่าไว้ใจคุณฉู่มากเลยจะดีกว่านะครับ” หวางซิงว่าต่ออย่างกลัว ๆ เกรง ๆ

“ผมคิดว่าเราพูดเรื่องนี้จบไปแล้วเสียอีก”

“แต่ว่า.....” เลขาหนุ่มกัดริมฝีปาก ความกังวลใจอัดแน่นอยู่ในอกไม่อาจหาทางระบายออกมาได้ ระยะหลังมานี้เขารู้สึกว่าเซินเฟยค่อย ๆ เปลี่ยนไปจากเดิมซึ่งเป็นอิทธิพลจากฉู่เหวินจือไม่ผิดแน่ ก่อนหน้านี้เขาไม่ทันสังเกตและไม่ได้รู้สึกตัวเลย แต่เมื่อถูกฉู่เหวินจือพูดใส่อย่างมีลับลมคมในเช่นนั้น เขาก็เริ่มสังเกตสังกามากขึ้นทำให้รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเจ้านายของเขามีอะไรบางอย่างผิดแปลกไปจากที่เคยเป็น ทั้งที่หากเป็นก่อนหน้านี้ เซินเฟยคงฉุกใจไตร่ตรองว่าฉู่เหวินจือชอบหายตัวไปทำอะไรที่ไหน และยังพฤติกรรมอันแปลกประหลาดที่หาคำตอบไม่ได้ สมัยก่อนนี้เซินเฟยไม่เคยปล่อยวางหรือไว้ใจใครเลย เมื่อมีอะไรผิดสังเกตจะต้องจับตามองทันที ทว่า....ตอนนี้ไม่ใช่แบบนั้นสักนิด ฉู่เหวินจือทำให้เซินเฟยสูญเสียความเฉียบแหลมไปจนสิ้น เหมือนสัตว์ที่ถูกลิดเขี้ยวเล็บก็ไม่ปาน

“อาซิง กำลังผิดหวังอะไรในตัวผมหรือเปล่า?” เซินเฟยคาดเดาจากสีหน้าอมทุกข์ที่น้อยครั้งนักที่หวางซิงจะแสดงออกมาให้เห็น และทันใดที่คำถามเดินทางเข้าสู่โสตประสาท หวางซิงก็สะดุ้งเฮือกเหมือนเด็กที่ถูกจับได้ว่าทำผิดก่อนจะรีบปฏิเสธ

“ไม่ใช่นะครับ ผมไม่กล้าคิดถึงขนาดนั้น”

“อยากพูดอะไรก็พูดตรง ๆ เถอะ ถ้าอาซิงเป็นคนพูดผมก็ไม่เคยถือสาอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?” เสียงของเซินเฟยดูผ่อนคลายลงเพื่อให้เลขาของตนไม่เครียดเกินไปนัก กระนั้นหวางซิงก็ยังเม้มปากเงียบไม่กล้าพูดอะไรออกมามากเกินไป อาจเป็นเพราะเขารู้พื้นฐานอารมณ์ของเซินเฟยดีก็เป็นได้ เพราะอย่างนั้นถึงบางครั้งจะเห็นว่าเจ้านายของตนกำลังถลำลึกลงไปในบางสิ่ง ก็ไม่กล้าที่จะรั้งด้วยเข้าใจดีว่ารู้สึกอย่างไร

หวางซิงก้าวเข้าไปใกล้ผู้เป็นนาย ก่อนจะคุกเข่าลงเบื้องหน้าแล้วจับมือที่พาดอยู่กับที่พักแขน

“คุณเซิน.....” เขาพูดออกมาได้แค่นั้นก็เงียบไปอีก ไม่รู้ว่าควรจะใช้คำไหน สื่อสารอย่างไร เซินเฟยจึงจะเข้าใจถึงสิ่งที่เขากังวลอยู่ หัวใจของเขาเต้นรัวแรงเมื่อคิดถึงรอยยิ้มของฉู่เหวินจือในตอนนั้น ไม่ต่างจากรอยยิ้มของสัตว์ร้ายที่หมายตาเหยื่อสักนิด

ในที่สุดหวางซิงก็ทำได้เพียงแนบหน้าผากลงกับหลังมือของเซินเฟยอย่างเงียบ ๆ หากเพียงกระแสของความคิดสามารถไหลผ่านผิวหนังได้ก็คงจะดี

เนิ่นนานที่ความเงียบไหลผ่านไปโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา เสียงนาฬิกาค่อย ๆ เดินไปเรื่อย ๆ ตามหน้าที่ของมันอย่างเที่ยงตรง กระแสเสียงอันเบาบางแหวกผ่านม่านอากาศโดยไม่จำเป็นต้องอาศัยคำพูด เซินเฟยหลับตาลง ปล่อยให้หวางซิงจับมือตนเองอยู่อย่างนั้นโดยไม่ได้แสดงอาการขัดใจ

การที่เขาไม่รับฟังหวางซิงไม่ได้หมายความว่าเขาดื้อดึงเอาแต่ใจตัวโดยไร้เหตุผล แต่เป็นเพราะว่าเขารู้ตัวดีอยู่แล้วจึงไม่อยากให้คนอื่นมาวุ่นวายใจเพิ่มขึ้น

เซินเฟยรู้ตัวดีว่าตอนนี้ความเฉียบคมของเขาลดเลือนหายไปกว่าครึ่ง ความเป็นตัวเขาในอดีตกำลังค่อย ๆ พังทลายอย่างช้า ๆ แม้จะพยายามหลอกตัวเองว่าสามารถดำรงอยู่เพียงลำพังบนบัลลังก์อันหนาวเหน็บได้ แต่ในความเป็นจริงนั้นกลับไม่อาจเป็นดังใจคิด เขาตัดสินใจดึงฉู่เหวินจือเข้ามาเป็นหลักพยุงเพราะฉู่เหวินจือเป็นคนมากเล่ห์และยากจะไว้ใจ การเก็บไว้ข้างกายจะทำให้เขารู้สึกตื่นตัวระแวดระวังตลอดเวลา แต่ว่า....มันกลับให้ผลตรงกันข้าม ฉู่เหวินจือทำให้เขาโอนอ่อนผ่อนตามโดยไม่รู้ตัว จากที่คิดจะใช้ฝ่ายนั้นเป็นตัวกระตุ้น เขากลับโดนฉุดรั้งให้ด่ำดิ่งลงไปเสียเอง แต่ว่า....แม้จะรู้อยู่เต็มอก แต่เขาก็ยังไม่อาจทำใจปล่อยมือฉู่เหวินจือและยืนหยัดเพียงลำพังได้ แม้จะรู้ว่าเป็นกับดัก ก็มีแต่จะต้องก้าวผ่านไป หรือไม่ก็ตายอยู่ตรงนั้น

ความอ้างว้างเดียวดายบนยอดเขาอันสูงชันยากจะมีใครเข้าใจได้ หากพลาดพลั้งแม้เพียงนิดก็พร้อมจะตกลงสู่เบื้องลึกของห้วงอเวจีได้ทุกเมื่อ ตอนนี้เท้าของเขาไม่อาจเหยียบลงไปได้อย่างมั่นคง ยังคงต้องการหลักพึ่งพิงที่ชื่อฉู่เหวินจืออยู่นั่นเอง....

-------------------------->

โรงพยาบาลเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในเขตนี้มักจะได้ต้อนรับแขกมากหน้าหลายตาต่างฐานะ บางคนก็ประสงค์จะเก็บทุกอย่างเป็นความลับ บางคนก็เปิดเผยตัวตนได้ ซึ่งฉู่เหวินจือถือว่าตนเองเป็นคนประเภทที่อยู่กึ่งกลางระหว่างทั้งสองอย่าง เขาไม่ได้ปิดบังตัวตน แต่ก็ไม่ได้เปิดเผยทั้งหมด กระนั้นเขาก็สามารถเข้าออกโรงพยาบาลได้อย่างอิสระด้วยเป็นคนของจูเชว่ ซึ่งเขาก็รู้สึกขอบคุณบารมีของเซินเฟยในหลาย ๆ ด้าน

วันนี้ฉู่เหวินจือแต่งกายให้ดูดีที่สุดซ้ำยังถือช่อดอกไม้มาช่อใหญ่ ส่งยิ้มรายทางให้นางพยาบาลที่เหลือบมองพลางยิ้มหน้าแดงก่อนจะพาตัวเองเดินผิวปากไปยังห้องกายภาพบำบัด

หญิงสาวผมหยักศกสีน้ำตาลกำลังฝึกเดินอยู่ในห้อง เธอทำท่างก ๆ เงิ่น ๆ เหมือนก้าวเดินไม่ค่อยสะดวกนักแต่ก็ยังยิ้มแย้มแจ่มใสไม่แสดงความหวาดกลัวในขณะก้าวเดินทีละก้าว ราวกับว่าการเดินสำหรับเธอนั้นไม่ใช่เรื่องยากลำบากเลย แต่เป็นการท้าทายใหม่ ๆ อันแสนสนุก

ฉู่เหวินจือยืนมองอยู่นานด้วยรอยยิ้มในดวงตา จนกระทั่งหญิงสาวได้นั่งพักบนรถเข็นและมีคนช่วยเข็นออกมานั้นเองเขาจึงเอ่ยทัก
“สวัสดีครับ คุณหลิงหลิง”

“ตายจริง คุณฉู่ที่อยู่กับคุณเซินสินะคะ” หลิงหลิงทำท่าตกอกตกใจที่ได้พบอีกฝ่าย “วันนี้มาเยี่ยมใครหรือคะ? ช่อดอกไม้ช่อใหญ่เชียว หรือว่าคุณฉู่กำลังจีบพยาบาลคนไหนอยู่เอ่ย?”

“ไม่ลองเดาว่าผมจะมาหาคุณบ้างหรือครับ?” ฉู่เหวินจือเดินตามรถเข็นไปเรื่อย ๆ

“เอ๋? มาหาฉันหรือคะ?” หลิงหลิงแปลกใจไม่น้อย ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงมาหาเธอกันนะ กระนั้นฉู่เหวินจือก็เอาแต่ยิ้มเงียบ ๆ จนกระทั่งรถเข็นถูกเข็นออกมาถึงสวนด้านนอก

“คุณหมอจือบอกว่าให้พาคุณหลิงหลิงมาพักแถวนี้ พอตอนเที่ยงจะมารับนะคะ” นางพยาบาลร่างท้วมกล่าวก่อนจะเดินจากไปเมื่อหลิงหลิงเอ่ยขอบคุณอย่างเป็นกันเอง หญิงสาวหันกลับมามองฉู่เหวินจืออีกครั้งด้วยดวงตาแสดงความสนเท่ห์อย่างไม่ปิดบัง ฉู่เหวินจือเห็นดังนั้นจึงวางช่อดอกไม้ลงบนตักของหลิงหลิงก่อนจะพาตนเองนั่งลงบนพื้นหญ้าข้าง ๆ รถเข็นแล้วมองขึ้นไปบนฟ้า

“พอดีผมได้ยินมาว่าวันนี้คุณมีนัดกายภาพบำบัดก็เลยมาดักรอ” ฉู่เหวินจือกล่าว

“แสดงว่ามีอะไรอยากจะพูดกับฉันหรือคะ? หรือว่าจะเป็นจือหยิน?” หลิงหลิงลองเดาตามประสาคนอยากรู้อยากเห็น

“ผมมาหาคุณนั่นแหละครับ” ชายหนุ่มหัวเราะ “ตอนนี้เดินเป็นยังไงบ้างครับ?”

“ก็ดีขึ้นมากแล้วค่ะ จือหยินบอกว่าอีกไม่นานคงเปลี่ยนไปใช้ไม้เท้าแทนได้จะได้เทอะทะน้อยลง”

“เห....งั้นหรือครับ” เสียงหัวเราะของฉู่เหวินจือดังอยู่ในลำคอ ให้ความรู้สึกเสียดหูแปลก ๆ “คุณเซินเป็นคนใจดีนะคุณว่าไหม?”

“ฉันไม่ค่อยรู้จักคุณเซินเท่าไหร่ แต่การที่คุณเซินช่วยเหลือฉันขนาดนี้ฉันก็คิดว่าคุณเซินต้องเป็นคนดีแน่ ๆ เลยค่ะ” หลิงหลิงยิ้มกว้างอย่างสดใสทำให้ฉู่เหวินจือเลิกคิ้ว

“คุณคิดแบบนั้นจริง ๆ หรือ?”

“อะไรนะคะ?”

“คุณหลิงหลิง....คุณรู้อยู่เต็มอกไม่ใช่หรือครับว่าคุณเซินมีความรู้สึกพิเศษกับหมอจือของคุณ” สายตาของฉู่เหวินจือที่เหลือบกลับมามองทำให้หลิงหลิงสะดุดลมหายใจตัวเอง ราวกับว่าเขากำลังมองทะลุลงไปถึงในจิตใจของเธอและคว้านมันออกมาทั้งทรวง หญิงสาวเผลอหลบตาทันควัน

“พูดอะไรกัน คุณเซินเป็นผู้ชายนะคะ” เธอกล่าวโต้

“คุณหลิงหลิง คุณกำลังคิดจะทำอะไร” คำถามที่ตรงไปตรงมาทำให้หลิงหลิงมองตอบโต้ผู้ถามด้วยใบหน้าซีดเผิดไปวูบหนึ่ง

“คุณพูดเรื่องอะไรกันคะ?”

“หึ ๆ” ฉู่เหวินจือหัวเราะออกมาแล้วลุกขึ้นพลางปัดเศษหญ้าบนหน้าขา เขาเดินอ้อมไปหลังรถเข็นแล้วจับไหล่บางเอาไว้จนแน่น “คุณคิดว่า....ถ้าผมปลดล็อคล้อรถเข็น มันจะเป็นยังไงนะ?”

หลิงหลิงกัดริมฝีปากด้วยความตระหนก ไม่รู้ว่าอยู่ ๆ ผู้ชายคนนี้เกิดเป็นอะไรขึ้นมาแต่ดูเหมือนว่าจะจงใจประทุษร้ายเธอ เพราะตรงจุดนี้เป็นเนินลาดลงไปเล็กน้อย ด้านล่างเป็นต้นไม้พุ่มไม้ หากปลดล้อคล้อรถเข็นมันก็จะไหลลงไปและชนเข้ากับต้นไม้หรือพุ่มไม่เป็นแน่ จริงอยู่ว่ามันไม่ได้ทำให้บาดเจ็บมากมาย แต่ด้วยสัญชาตญาณมนุษย์ ในใจก็เกิดประหวั่นพรั่นพรึงขึ้นมาจนเผลอจับล้อรถเข็นไว้แน่น

เสียงหัวเราะดังขึ้นอีกครั้งทางด้านหลัง ลมหายใจอุ่นเป่าตรงใบหู

“คุณจะร้องให้คนช่วยหรือเปล่า?”

“คุณ...คิดจะทำอะไร.....”


ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 17 (27/02/11)
«ตอบ #173 เมื่อ27-02-2011 13:02:25 »

“นั่นคือคำถามที่ผมถามคุณก่อนใช่ไหม?” ฉู่เหวินจือย้อนคำก่อนจะพูดต่อ “ไม่ต้องห่วงผมไม่ปลดล้อครถเข็นนี่หรอก เพราะคุณคงจะดีดตัวหนีก่อนมันไถลลงไปแน่ หรือคุณอาจจะดีดตัวไม่ทันแต่ถึงจะลงไปข้างล่างนั่นอย่างมากก็แค่รถเข็นพลิกทำให้คุณเจ็บตัวนิดหน่อย ผมไม่ชอบทำเรื่องหยุมหยิมแบบนั้น”

หลังกล่าวจบ ฉู่เหวินจือก็ปล่อยมือจากบ่าเล็กบาง หลิงหลิงรู้สึกได้ว่าบ่าของตนเองชาวาบและรู้สึกเจ็บเล็กน้อยราวกับว่าถูกขยุ้มอย่างแรงด้วยความจงใจ

“คุณหลิงหลิง ผมสามารถทำอะไรได้มากกว่านี้ถ้าคุณอยากรู้” ฉู่เหวินจือแสยะยิ้ม แม้หลิงหลิงจะหันหลังให้แต่เธอก็รู้สึกได้ว่าแผ่นหลังของเธอกำลังถูกทิ่มแทงด้วยสายตาอันน่ากลัว

“คุณเซิน....สั่งมาหรือคะ.....”

“เปล่าเลย ผมแค่อยากจะบอกให้คุณรู้ไว้ก่อนก็เท่านั้น” ฉู่เหวินจือเว้นจังหวะไปเล็กน้อย “สิ่งที่คุณคิดจะทำ ถ้าลงมือไปแล้วล่ะก็ คุณจะได้รับผลของมันคืนอย่างสาสมแน่นอน”

หลิงหลิงรู้สึกหวาดกลัวจนตัวสั่น ผู้ชายแซ่ฉู่คนนี้ดูน่ากลัวผิดกับที่เคยพบกัน เธอทำแข็งใจและเอี้ยวคอหันกลับมามอง ทว่า....ตรงนั้นก็ไม่มีใครอยู่เสียแล้ว

--------------------------->

ฉู่เหวินจือกลับมาถึงบ้านใหญ่ตอนเลยเที่ยงไปเล็กน้อย โชคดีที่เขาแวะกินอาหารข้างนอกแล้วเพราะบ้านนี้มีเวลามื้ออาหารชัดเจนเที่ยงตรง หากมาช้าก็จะอดไปตามระเบียบ ฉู่เหวินจือจึงเลือกที่จะเติมเต็มกระเพาะตนเองให้เรียบร้อยก่อนจะกลับ

เขาเดินตรงไปห้องทำงานด้วยความเคยชิน เพราะเซินเฟยมักจะอยู่ที่นั่นซึ่งเขาก็เดาถูก

เซินเฟยนั่งหลับอยู่บนโซฟา อากาศในฤดูนี้ช่างชวนให้ง่วงหงาวหาวนอน จึงไม่น่าแปลกที่จะได้เห็นภาพนี้หากบ้านใหญ่อยู่ในภาวะสงบเงียบไร้เสียงรบกวน ฉู่เหวินจือเดินเข้าไปนั่งลงข้าง ๆ แล้วจ้องมองใบหน้ายามหลับใหลก่อนจะคลี่ยิ้มลุ่มลึกออกมา ปลายนิ้วกร้านยกขึ้นเกลี่ยปอยผมออกจากใบหน้าก่อนจะไล่ลงมาที่ริมฝีปากซึ่งเผยอขึ้นเล็กน้อยอย่างไม่รู้ตัว เซินเฟยไม่ได้ขยับตัวหนี เพียงแต่มีอาการกระตุกที่เปลือกตาเล็กน้อยเท่านั้น แพขนตายาวงอนทาบสนิทกับผิวแก้มสีขาวใส ฉู่เหวินจือรู้สึกว่าหากมีกล้องในมือคงไม่พลาดโอกาสเก็บภาพนี้ไว้เป็นแน่

เสียงประตูเปิดดังจากด้านหลังเรียกให้ฉู่เหวินจือหันไปมอง และเมื่อพบว่าเป็นหวางซิงเขาก็ยิ้มออกมาในขณะที่หวางซิงขึงหน้าตึง มือที่ถือน้ำผลไม้อยู่เกือบจะเผลอปล่อยถาดลงพื้นแต่ก็ตั้งสติได้ทัน น้ำจึงเพียงกระฉอกออกมาเล็กน้อยจนเปื้อนถาดเท่านั้น

ทั้งสองคนยืนจ้องตากันนิ่งโดยไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา หวางซิงไม่ยอมถอยออกไป ฉู่เหวินจือก็ยังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม ราวกับหยั่งเชิงซึ่งกันและกันว่าใครจะยอมใครก่อน

แต่แล้ว ฉู่เหวินจือก็เริ่มขยับ เขาหันกลับไปสัมผัสท่อนแขนเปล่าเปลือยของเซินเฟยอย่างถือสิทธิก่อนจะโน้มหน้าลงไปหมายจะจุมพิต หวางซิงทนดูต่อไม่ได้จึงรีบผลุนพลันออกไปแล้วปิดประตูเสียงดังจนเซินเฟยสะดุ้งตื่นขึ้นมา แต่หวางซิงไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะวิ่งกลับไปขอโทษที่รบกวนการนอนแล้ว

เพราะไม่ได้รับอนุญาตให้ขับรถ หวางซิงจึงเพียงแค่คว้าเสื้อนอกแล้ววิ่งออกไปเรียกรถแท็กซี่ เขาบอกจุดหมายปลายทางจบก็นั่งสงบจิตใจในขณะที่รถกำลังเคลื่อนตัวไปเรื่อย ๆ ตามท้องถนนที่ค่อนข้างคลาคล่ำด้วยรถราแม้จะเป็นวันหยุด

ปลายทางที่บอกไปนั้นเขาเพิ่งเคมาเพียงครั้งเดียวแต่กลับจดจำได้แม่นยำ เป็นคุณสมบัติพิเศษของคนที่จะเป็นเลขาที่ความทรงจำต้องแม่นยำเหนือกว่าคนทั่วไปอยู่เล็กน้อย

หวางซิงรีบจ่ายเงินให้แท็กซี่แล้วเดินดุ่ม ๆ ขึ้นไปบนอพาร์ทเมนท์ก่อนจะกดกริ่งห้องหนึ่งซึ่งอยู่ริมสุดชั้นสาม

“ครับ ๆ” เจ้าของห้องทำเสียงงัวเงีย เพราเป็นวันหยุดเขาจึงคิดจะนอนยาว ๆ และเพิ่งตื่นเมื่อเที่ยงนี้เองกระนั้นเพาะนอนมากเกินไปก็เลยเมื่อยขบไปหมดซ้ำยังง่วงไม่หาย แต่เมื่อมีแขกมาหาเขาก็ต้องลุกไปเปิดถึงจะไม่รู้ว่าเป็นใครก็ตามที ทว่า...เมื่อเขาเห็นผู้มาเยือนก็ต้องมุ่นคิ้ว

“คุณหวาง?”

“ผมขอเข้าไปได้ไหมครับ?” หวางซิงช้อนตามองเข้าของห้อง ซึ่งแววตัดพ้อระคนสับสนปรากฏในดวงตาที่อยู่หลังเลนส์แว่นคู่นั้น

“.....ด...ได้ครับ” มู่อี้จิงรีบหลีกทางให้อีกฝ่ายเดินเข้ามาในห้อง หวางซิงเดินไปนั่งที่โซฟารับแขกที่ตนเองเคยเกือบจะถูกปลุกปล้ำโดยไม่ได้รู้สึกกระดากอายอะไรราวกับลืมเรื่องตอนนั้นไปจนหมดลิ้นแล้วหรือไม่ก็ไม่ได้นำกลับมาคิดให้เสียเวลา มู่อี้จิงหย่อนตัวลงนั่งข้าง ๆ อย่างกล้า ๆ กลัว ๆ หลังจากที่เขาได้นั่งรถที่หวางซิงขับ เขาก็ไม่เคยได้พบเจ้าตัวโดยตรงอีกเลยเพราะเรื่องงาน

“คุณมู่....ผมมารบกวนหรือเปล่าครับ?” หวางซิงกระซิบถามพลางก้มหน้าแล้วยกขาขึ้นมานั่งคุดคู้

“ไม่หรอก ยังไงวันนี้ก็วันหยุดผมอยู่แล้ว” มู่อี้จิงถอนหายใจ “อีกอย่าง เรียกผมว่ามู่อี้จิงก็ได้ ไม่ต้องเรียกคุณมู่ ๆ หรอก มันสุภาพเกินไปสำหรับคนแบบผมน่ะ แล้วคุณก็แก่กว่าผมด้วย”

หวางซิงเงียบไปไม่ได้ตอบคำ มู่อี้จิงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจึงไม่รู้จะปลอบโยนอย่างไรเช่นกัน เขาได้แต่นั่งอยู่ข้าง ๆ อย่างนั้นจนกระทั่งหวางซิงถอดแว่นออกวางบนโต๊ะแล้วซุกหน้าลงกับแขนตัวเองอีกครั้ง มู่อี้จิงถอนหายใจหนักหน่วงก่อนตัดสินใจตบบ่าเบา ๆ เหมือนเวลาที่เขาปลอบเพื่อนตัวเอง

“ถ้าให้ผมเดา.....จะต้องเป็นเรื่องจูเชว่แน่ ๆ” เขาว่าเช่นนั้น มือของเขาก็สัมผัสได้ถึงแรงสะท้านแทนการตอบรับ

หวางซิงยังคงไม่พูดอะไร เขาเพียงแค่มาที่นี่เพราะไม่อยากจะเห็นภาพบาดตาเท่านั้น แต่ไม่ได้คิดจะขายเรื่องลับของเจ้านายตัวเองเลย สุดท้ายจึงทำได้เพียงแค่นั่งซุกเข่าตนเองอยู่เช่นนั้นจนมู่อี้จิงเองก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรและเริ่มกระสับกระส่าย

มู่อี้จิงไม่ใช่คนที่จะอยู่นิ่งได้นานนัก เขาจึงตั้งใจจะลุกขึ้นไปรินน้ำระหว่างที่หวางซิงยังเอาแต่เงียบอย่างนี้ ทว่าวินาทีที่เขาลุกขึ้น เลขาหนุ่มกลับดึงชายเสื้อเอาไว้แล้วค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมา

“คุณมู่....”

“มู่อี้จิง ได้โปรดเถอะ ผมไม่อยากผมหงอกในเร็ววันนี้หรอกนะ” มู่อี้จิงรีบขอให้แก้คำ เขาไม่ชอบเลยสักนิดที่ถูกคนแก่กว่าเรียกอย่างให้เกียรติอย่างนี้ แต่บางทีจูเชว่อาจจะชอบก็ได้ เห็นไปไหนมาไหนก็มีแต่คนก้มหัวให้แล้วเรียก คุณเซิน ๆ ไม่ขาดปาก

“มู่อี้จิง.....คุณเคย.........” หวางซิงเม้มปากแล้วชั่งใจอีกครู่หนึ่ง “คุณเคย.....มี.....อะไรแบบนั้นหรือยังครับ?”

“อะไรแบบนั้น?” มู่อี้จิงมุ่นคิ้ว นึกแปลกใจว่าอยู่ ๆ อีกฝ่ายคิดจะตั้งกระทู้อะไร

“ผมหมายถึง เอ่อ....” เหมือนว่าสิ่งที่พูดนั้นแสนจะลำบากใจ หวางซิงจึงต้องตัดสินใจนานกว่าที่จะกลั่นกรองออกมาเป็นคำได้ “คือ.....ที่คุณเคยพยายามทำกับผม คุณเคย...นอนกับใครหรือเปล่า?” ในที่สุดหวางซิงก็เลือกคำพูดที่เหมาะสมได้

“หา?” มู่อี้จิงกระพริบตาถี่ ๆ “ก็ต้องเคยสิครับ”

เขานึกสงสัย อีกฝ่ายจะตะล่อมถามทำไมกันนะ ก็เรื่องปกติของผู้ชายไม่ใช่หรือที่เคย ๆ กับเรื่องแบบนี้

“คุณว่าการที่ผู้ชายสองคน.....”

“หือ? คุณกังวลใจเรื่องนี้เองหรือ?” มู่อี้จิงหัวเราะออกมาก่อนจะรีบหุบปากเมื่ออีกฝ่ายมองกลับมาอย่างตัดพ้อราวกับเขาไปหัวเราะเยาะ ชายหนุ่มกระแอมเล็กน้อยแล้วจึงอธิบาย “ผมไม่ได้หมายถึงว่าคุณพูดอะไรผิดแปลกหรอกนะ แต่ผมไม่คิดว่าคุณจะคิดมากเรื่องนี้ คือว่า สำหรับบางคนอาจจะเป็นเรื่องใหญ่ แต่สำหรับความคิดเห็นของผม ผมคิดว่าเป็นเรื่องปกตินะครับ”

นาน ๆ ครั้งที่มู่อี้จิงจะพูดอะไรเป็นงานเป็นการแบบจริงจัง เขาจึงรู้สึกกระดากตัวเองอยู่นิดหน่อย

“คุณคิดว่าการที่คนเราทำแบบนั้น จะทำไปเพื่ออะไรหรือครับ?”

คำถามต่อมายิ่งทำให้มู่อี้จิงคิดหนัก ใครจะไปรู้วัตถุประสงค์ของทุกคนเวลามีเซ็กส์กัน ต่างหากเป็นจุดประสงค์ร่วมที่ทุกคนมีเวลามีเซ็กส์ก็.....

“เพื่อระบายความใคร่ล่ะมั้งครับ”

ทันใดนั้นหวางซิงก็ลุกพรวดขึ้นจากโซฟา ทำเอามู่อี้จิงสะดุ้งโหยง ไม่ทันจะผงะถอย มือของเลขาหนุ่มก็คว้าเอาคอเสื้อเขาเข้าไปกำแน่น ใบหน้าดูเดือดดาลด้วยโทสะจนเขาเผลอกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ไม่รู้ว่าตัวเองไปพูดอะไรผิดหูเข้า เขายังไม่ทันพูดถึงจูเชว่สักคำเลยไม่ใช่หรือ!

“ต....แต่ว่ามันก็ไม่ใช่ซะทีเดียว แบบว่า.....ตอนคุณมาหาผมคุณก็ไม่ได้อยากจะระบายอะไรไม่ใช่หรือครับ?” มู่อี้จิงรีบแก้คำ ทำให้สีหน้าของหวางซิงอ่อนลงก่อนที่จะปล่อยมือแล้วกลับไปนั่งคู้เช่นเดิม มู่อี้จิงขยับคอเสื้อให้เข้าที่เข้าทางก่อนจะถอนหายใจออกมา “ความจริงแล้วนะ.....คุณไม่น่าจะมาปรึกษากับผมเรื่องนี้เลย จำไม่ได้หรือยังไงว่าผมเองก็เคยเกือบจะปล้ำคุณเหมือนกันน่ะ”

“นั่นไม่เหมือนกันเสียหน่อย” หวางซิงว่า “ที่คุณทำตอนนั้นก็แค่อยากจะทดสอบคุณเซินเท่านั้น ไม่ได้คิดจะทำอะไรผมจริง ๆ ไม่ใช่หรือครับ”

มู่อี้จิงสะอึกไปก่อนยิ้มเจื่อน ความจริงแล้วตอนนั้นอารมณ์เขากำลังขึ้นเต็มที่ หากไม่ใช่เพราะหวางซิงทำท่าเดือดร้อนแทนเจ้านายถึงขนาดจะฆ่าจะแกงเขา ก็คงโดนปลุกปล้ำจริง ๆ ไปแล้ว

“แล้วคุณอยากจะปรึกษาอะไรผมกันแน่?” เขาเปลี่ยนเรื่องเพื่อไม่ให้ตัวเองรู้สึกผิดมากนักกับเรื่องเก่า ๆ ที่อีกฝ่ายไม่ได้เก็บเป็นอารมณ์สักนิด

“......คุณคิดว่าผู้ชายทำเรื่องแบบนั้นกันเป็นเรื่องปกติสินะครับ” หวางซิงเอ่ยออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา

“ครับ มันเป็นเรื่องของร่างกาย อีกอย่าง....ถ้าทั้งสองฝ่ายไม่คิดมากก็ไม่มีปัญหา” มู่อี้จิงสรุปด้วยประสบการณ์และความเป็นตำรวจ อย่างไรก็ควรเป็นการยินยอมพร้อมใจไม่ใช่การถือเอาด้วยกำลัง ไม่ว่าจะต่างเพศหรือเพศเดียวกัน การข่มขืนก็ถือเป็นโทษร้ายแรงอยู่ดี

“ไม่จำเป็น.....ต้องเฉพาะความใคร่ก็ได้สินะครับ....”

ตำรวจหนุ่มเลิกคิ้ว ทำไมวันนี้หวางซิงถึงดูย้ำคิดย้ำทำราวกับคิดอะไรบางอย่างไม่ตกถึงขนาดนี้นะ เลขายอดเยี่ยมอย่างผู้ชายคนนี้ยังมีเรื่องอะไรต้องกังวลใจด้วยหรือ?

“ความจริงก็มีหลายสาเหตุน่ะนะครับ.....อย่างเช่นในกรณีสามีภรรยา บางทีอาจจะไม่ได้มีอารมณ์อะไรมากมายแต่ทำโดยหน้าที่ นั่นก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่จะมีเซ็กส์ได้”

“หน้าที่.....” หวางซิงทวนคำอย่างเลื่อนลอยก่อนจะลุกขึ้นแล้วหยิบแว่นมาสวมก่อนยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูหลังจากกดเบอร์โทรของใครบางคนด้วยความทรงจำในสมอง “คืนนี้มีงานที่ไหนหรือเปล่าครับ อา....งั้นหรือ ถ้าอย่างนั้นจะเป็นอะไรไหมครับถ้าผมจะฝากคนไปฝึกงานด้วยสักคืนหนึ่ง”

มู่อี้จิงมองอีกฝ่ายที่กำลังเจรจากับใครบางคนที่ปลายสายด้วยสายตาเหมือนตัดสินใจอะไรบางอย่างได้แล้ว เขารู้สึกผวาโดยไม่ทราบสาเหตุ เพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมาหาเขาทำไม และเหตุใดจึงต้องถามเรื่องใต้ผ้าห่มกับเขาอย่างเอาจริงเอาจังถึงขนาดนั้น ซ้ำยังทำสีหน้าสับสนเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ แต่กระนั้น มู่อี้จิงก็ไม่ได้เอ่ยถาม เขารอจนกระทั่งอีกฝ่ายคุยจนเสร็จ และคำสุดท้ายที่ได้ยินก่อนที่หวางซิงจะวางสายคือ

“ครับ....ฉู่เหวินจือ”

TBC

ออฟไลน์ bigbeeboom

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 16 (27/02/11)
«ตอบ #174 เมื่อ27-02-2011 13:18:04 »

โดนคนรักทรยศมันคงจะเจ็บปวดที่สุดอ่ะนะ  :เฮ้อ: คุณฉู่วางแผนไรกันแน่อ่ะ อยากรู้
แต่ว่าอยากให้คุณฉู่หึงบ้างนี่นา นะๆไรเตอร์จ๋า

ออฟไลน์ PEENAT1972

  • Red Rhino
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +563/-106
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 17 (27/02/11)
«ตอบ #175 เมื่อ27-02-2011 13:35:42 »

มาไวดีแฮะ 555

ออฟไลน์ Cherry Red

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 882
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-0
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 17 (27/02/11)
«ตอบ #176 เมื่อ27-02-2011 13:42:56 »

แม่หลิงหลิง นั่นก็เหมือนจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังเกินจะเดา การเข้ามาทางหมอจือต้องมีจุดประสงค์อะไรสักอย่าง?
ตาฉู่ ยิ่งแล้วใหญ่ บางทีเหมือนจะปกป้อง แต่เจตนาประหนึ่งอยากจะทำลาย เฟยเฟย
เสี่ยวเฟย ตอนนี้คงกำลังสับสนเรื่องตาฉู่ รู้ทั้งรู้ว่าไม่น่าไว้ใจ แต่กลับห้ามความรู้สึกลึก ๆ ไม่ได้
อาซิง เหมือนจะน้อยใจในขีดจำกัดของตัวเอง อยากปกป้องเสี่ยวเฟยแต่เป็นแค่เลขาคนสนิท เลยไม่อาจ
ทำอะไรเกินขอบเขตหน้าที่ แต่ขำที่เอา "เรื่องอย่างว่า" ไปปรึกษาตามู่ ได้feelเด็กน้อยกับเรื่องของผู้ใหญ่มาก ๆ

อา...ตอนนี้มันดราม่าทางอารมณ์และความนึกคิดชัด ๆ เลย ( หรือเราจะอินเกินไปหน่อย :z3: )

เดี๋ยว ๆ ก่อนจบตอน อาซิงโทรหาตาฉู่ "ฝึกงาน" "คืนนี้" แล้วงานอะไรที่ตาฉู่ทำตอนกลางคืน???
อ๊าย....ไม่นะ  :serius2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-02-2011 14:37:44 โดย Cherry Red »

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 17 (27/02/11)
«ตอบ #177 เมื่อ27-02-2011 14:40:08 »

อาหลิงมีพิรุธมากมาย  อาฉู่ท่าทางจะรู้เรื่องนี้ดีมาก ๆ และดูเหมือนจะรู้ทุกเรื่องที่เกี่ยวอาเซินเป็นอย่างดี
คนเขียน  เขียนออกมาทำให้รู้สึกไม่วางใจในตัวอาฉู่อยู่หลายครั้งเหมือนกัน
ทำให้รู้สึกว่าเรื่องนี้อาจไม่จบลงอย่างสุขสมหวัง  ไม่รู้ว่าคนรอบกายของอาเซินแต่ละคนมีนัยอะไรซ่อนอยู่
เพราะอะไรไป่หูวถึงส่งอาฉู่มาอยู่กับอาเซิน  เพราะอะไร  ทำเพื่ออะไร
อ่านแล้วก็สงสารอาเซิน  รู้สึกได้ว่าหวางซิงเท่านั้นที่จริงใจต่ออาเซินอย่างไม่มีเงื่อนไขจริง ๆ

daizodiac

  • บุคคลทั่วไป
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 17 (27/02/11)
«ตอบ #178 เมื่อ27-02-2011 14:54:17 »

มีปมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
แต่คุณฉู่ ก็แอบห่วงเฟยเฟยอยู่นะ ไม่งั้นไม่ไปเตือนหลิงหลิงหรอก

แต่ยังไง หวางซิง ก็เป็นเลขาที่ยอดเยี่ยมที่สุดจริงจริง

ออฟไลน์ ycrazy

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 461
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 17 (27/02/11)
«ตอบ #179 เมื่อ27-02-2011 14:54:50 »

 :m16:ไม่รู้คูณฉู่หวังดี หรืออะไร
ไม่ค่อยชอบที่เหมือนจะมาหลอกเซินเฟยเลยอ่ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด