ตอนที่ 13 วันแรกของการชนคณะผมขยับตัวลืมตาตื่น เหลือบสายตาไปมองนาฬิกาแขวนเรือนใหญ่บนผนัง เข็มสั้นชี้เลขหก เข็มยาวชี้เลขสิบสองพอดิบพอดี แสงที่ลอดผ่านจากระเบียงทำให้รู้ว่าเป็นตอนเช้า หกโมงเช้าแล้ว!
ผมงัวเงียลุก ขยี้ตาแก้ง่วง มองซ้ายมองขวาไม่เห็นเงาของเจ้าของห้อง สงสัยจะไปวิ่งออกกำลังหายตอนเช้าล่ะมั้ง? ผมสะบัดผ้าห่มออกจากตัวเผยให้เห็นร่างเปลือยเปล่าซึ่งมีจุดแดงๆ ตามผิว เห็นแล้วแม่งอยากจะฆ่าไอ้คนทำให้ตายด้วยฝ่าเท้านี้จริงๆ!
ผมก้าวลงมาจากเตียงเดินเข้าห้องน้ำ ผมยึดพื้นที่ห้องของไอ้คุณชายมานานแล้วล่ะ ก็พอผมไปนอนห้องเดิมทีไรตอนดึกๆ แม่งก็เจอผีผ้าห่ม เกือบหัวใจวายทุกที ไอ้คุณชายเอาแต่ใจลากผมมาสิงที่ห้องมันเองนะ ผมไม่ได้มาเอง ผมเปิดฝักบัว น้ำเย็นๆ ไหลลงมากระทบร่าง ผมเอื้อมมือไปกดเอาสบู่เหลวอย่างดี (ไอ้คุณชายมันผิวแพ้ง่าย ถุย! โคตรคุณหนูเลยเฮอะ!) ลูบไล้ตามเนื้อตัวพยายามถูรอยบ้าๆ ที่เจ้าหื่นนั่นทำไว้ ถูเท่าไรก็เหมือนเดิม ผมหยุดมือแล้วถอนหายใจ
ต่อให้โง่ที่สุดก็รู้ว่าการที่มีอะไรกับผู้ชายมันแปลก ถึงไอ้บร๊ะเจ้าจะบอกว่าไม่แปลกก็เถอะ แต่เมื่อเร็วๆ นี้มันเซ้าซี้ผมมาก ผมก็เลยตัดสินใจเล่าความจริงออกไป ตอนแรกไอ้ห่าโจ้หัวเราะจะเป็นจะตาย พอผ่านไปนานเข้ามันก็ล้อผมอยู่นั้นแหละ ทำให้ผมหงุดหงิด อารมณ์ของผมถึงดำดิ่งลงง่ายๆ
ยิ่งเจ้าบ้าโซโล่ที่เอาอะไรไม่แน่นอนมาทำดีด้วยเนี่ย ยิ่งทำให้รู้สึกโมโหอย่างไม่มีเหตุผล ไม่ได้โมโหใคร โมโหตัวเองนี่แหละ แม่ง! จู่ๆ ก็เป็นบ้า ช่วงนี้ไม่เข้าใจตัวเองเลย พอคิดถึงความอ่อนโยนที่อีกฝ่ายมีให้แล้วใจเต้นรัวหน้าแดงก่ำทุกครั้ง ผมถอนหายใจอีกครั้ง ถูยังไงก็ไม่ออก มันต้องแกล้งผมอยู่แน่ๆ เรื่องอะไรผมจะเดินไปติดกับด้วยล่ะ!? แกล้งทำดีด้วย พอตกหลุมเท่านั้นแหละ มันต้องออกมาหัวเราะเยาะสะใจแน่ๆ!
“เฮ้ย! หยุดหายใจหรือไง? คนอื่นจะอาบน้ำ เร็วๆ!”
ผมตกใจสะดุ้งเฮือกเมื่อเสียงตะโกนห้วนๆ ดังขึ้นตรงหน้าประตูห้องน้ำ ไอ้โซโล่ยืนกอดอกอยู่หน้าห้องด้วยสภาพเหงื่อโชก ทำไมวันนี้มันออกกำลังกายเร็วจังวะ? ปกติเจ็ดโมงค่อยขึ้นมานี่หว่า ผมหันไปมองอย่างแปลกใจ
“รู้แล้วน่า ทำไมวันนี้มึงออกกำลังกายเร็วจังวะ”
“มาดูคนอาบน้ำ” มันตอบหน้านิ่งม๊ากกกกกก!
“เชี้ย กูถามมึงจริงๆ”
“กูก็ตอบจริงๆ”
“เออ! อยากดูก็ดูไป กูไม่แคร์ มึงกับกูเห็นมาหมดทุกส่วนอยู่แล้ว” ผมตะโกนตอบกลับ ยักไหล่ไม่มายด์ต่อสิ่งใดๆ ก่อนจะหันกลับมาเปิดน้ำล้างสบู่ออกจากตัว แม่ง! นั่นไง อาการแปลกๆ ของผมเริ่มอีกแล้ว กูจะหน้าแดงทำไม!? หัวใจจะเต้นแรงไปเพื่ออะไรรรร!? ไม่ได้อาย ไม่ได้เขินอะไรทั้งนั้น!
“ถ้าเป็นคนอื่นอายม้วนไปแล้วแท้ๆ” ไอ้โซโล่ส่ายหน้า บ่นพึมพำก่อนจะเดินจากไป
คนอื่นแล้วมันใครกันล่ะ? กิ๊กมึง? แฟนเก่ามึง? ชิ! อย่าเปรียบเทียบกูกับพวกนั้น! เพราะกูไม่ได้เป็นอะไรกับมึง ไม่ได้ชอบมึงด้วย! กูจะอายทำไม!? ผู้ชายเหมือนกัน มีอะไรก็เหมือนกัน ทำไมต้องอาย!
พอผมอาบน้ำเสร็จก็เดินมาฉวยเอาผ้าเช็ดตัวพันเอวเดินออกมาจากห้องน้ำ ไอ้โซโล่กำลังถอดเสื้อโยนใส่ตะกร้าใส่ชุดคลุมอาบน้ำแทนที่ โฮ~ คุณชายไปไหนวะ? มันเหลือบมามองผมที่เดินโทงๆ เปลือยท่อนบนแบบไม่อายผีบ้านผีเรือนกำลังจะเดินผ่านมันไป มันรีบยกมือห้าม
“เดี๋ยว”
ผมหยุดแล้วหันกลับไปมองพร้อมกับเลิกคิ้วถาม มันเดินเข้ามาหาผม คว้าเอวรั้งเข้าหา อะไร!? ผมมองมันอย่างงงๆ ไอ้โซโล่ถามพร้อมกับยิ้มๆ ขำขัน
“งอนอะไร?”
“งอน? งอนอะไร? ไม่มีเฟ้ย!” ผมทวนคำถามมันด้วยอาการไม่เข้าใจ ก่อนจะสะบัดตัวออกจากมัน งอนอะไร? กูนี่นะงอน เฮอะ! พับผ่าเถอะวะ!! มึงเอาตาตุ่มมองหรือไง? ส่วนไหนของกูที่เรียกว่างอน แล้วกูจะต้องงอนมึงเรื่องอะไรมิทราบ? บ้าไปแล้ว!
“ไม่งอนก็แล้วไป เห็นทำหน้างอๆ”
“ห๊ะ กูก็หน้าแบบนี้อยู่แล้ว!”
“เออๆ กูเข้าใจผิดไปเอง เฮอะ! กูเอาอะไรคิดวะ ว่าอย่างมึงนี่งอนน่ารักๆ ให้ตามง้อ” มันบ่นพึมพำเป็นหมีกินผึ้งเดินเข้าไปในห้องน้ำ ผมมองตามมันแล้วอย่างเยาะเย้ย รอให้ไอ้แซมได้แฟนสวยอย่างกับนางฟ้าซะก่อนล่ะกัน กูถึงจะงอนให้มึงง้อ! บอกได้คำเดียวว่า....
ไม่มีวันวะ! ฮ่าๆๆๆ!!!
บางคนอาจสงสัยหลังจากเหตุการณ์วิกฤตหมาใหญ่หมาน้อยนั่นเป็นยังไงต่อ ก็ไม่มีอะไรครับ พวกเราสามคนแยกย้ายกันกลับ โดยไอ้โซโล่ขับรถไปส่งน้องข้าวโพด ผมเพิ่งรู้ว่าน้องเขาอยู่บ้านถัดไปแค่สองสามหลังนี่เอง!
จากวันนั้นผมต้องทำกับข้าวเผื่อให้อีกคน เพราะเกือบทุกวันน้องข้าวโพดจะมาจ้องผมกับไอ้โซโล่เขม็งเพื่อจับผิด อะไรของเขาวะ ผมได้แต่หัวเราะขำ จริงๆ แล้วน้องเขาก็น่ารักนะครับ เด็กอะไรน่ารักจริงๆ ว่ะ! อิจฉาไอ้โซโล่นิดหน่อยที่มีเด็กน่ารักๆ แบบนี้มาหลงรัก ไอ้โซโล่เองก็เอ็นดูน้องข้าวโพดจริงๆ นะครับ ไม่เคยขัดใจ อยากได้อะไรก็หาให้หมด ทำตัวเป็นพี่ชายแสนดี ผมแทบอยากเอาคำยกยอของน้องข้าวโพดที่มีต่อไอ้โซโล่ไปโยนถ่วงน้ำจริงๆ!
ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดลำลองเสื้อยืดกางเกงขาสั้นสบายๆ ผมเดินลงมาข้างล่างเพื่อเข้าครัวเตรียมทำอาหาร ผมได้ยินเสียงสดใสที่มาก่อนตัว วันนี้ก็มาตรงเวลาเหมือนเดิม ผมหันไปมองน้องข้าวโพดที่มาในชุดลำลองที่แสนน่ารักสุดใจขาดดิ้น ข้าวโพดยิ้มแฉ่งทักทายผมอย่างสดใส
“พี่พรีสต์ อรุณสวัสดิ์ครับ”
“อรุณสวัสดิ์” ผมยิ้มมุมปากนิดๆ ตอบกลับ จากนั้นเดินเข้าครัวไปคว้าเสื้อกันเปื้อนใส่ แล้วลงมือทำข้าวมื้อเช้า น้องข้าวโพดเดินตามผมเข้ามา นั่งประจำตำแหน่งพูดเรื่อยเปื่อยไปเหมือนเดิม ผมพยักหน้ารับออเออห่อหมกตามไป
“พี่พรีสต์จะอยู่ที่นี้ไปตลอดเลยเหรอครับ?”
“อ๋อ ไม่หรอก”
“นานเท่าไรอะครับ?”
“ถามทำไมฮึ?” ผมกำลังหั่นผัก หยุดมือหันไปมองหน้าคนถามซึ่งเหมือนกำลังกังวลอะไรบางอย่าง น้องข้าวโพดขมวดคิ้วยื่นปากนิดหน่อย ผมแอบถอนหายใจ น่ารักสาดดดด~!
“ก็ผมเป็นห่วงพี่พรีสต์น่ะสิครับ เดี๋ยวจะโดนพี่โซโล่ขย้ำเข้าสักวัน”
“หึๆ แน่ใจว่าห่วงพี่?”
“เอ่อ...อันที่จริงก็ห่วงพี่เหมือนกันนะ...”
ผมเหลือบมองอีกฝ่ายแล้วหัวเราะอย่างรู้ทัน น้องข้าวโพดหน้าแดง มือไม้อยู่ไม่เป็นที่เกานั้นเกานี้แก้เขินไปเรื่อย ไม่ต้องห่วงพี่หรอกครับน้องข้าวโพด พี่โดนมันขย้ำทุกคืนนั่นแหละ เฮอะๆ แต่ไม่ต้องห่วงว่าพี่จะเสียเปรียบมัน เพราะพี่ก็ขย้ำมันตอบไงล่ะ!
“ก็ผมกลัวพี่โซโล่จะชอบพี่นี่น่า พี่พรีสต์น่ะทั้งสวย ทั้งน่ารัก แล้วยังทำกับข้าวเก่ง งานบ้านก็ทำได้ แบบนี้มันต้นแบบของศรีภรรยาชัดๆ! ผมพยายามฝึกโดยเอาพี่พรีสต์เป็นต้นแบบ ผมจะต้องเป็นภรรยาที่ดีของพี่โซโล่ให้ได้!” น้องข้าวโพดเอ่ยอย่างมุ่งมั่น
มุ่งมั่นมันก็ดีนะครับน้อง แต่อย่าเอาพี่ไปเป็นต้นแบบศรีภรรยาได้ไหมครับ? เดี๋ยวเหล่าคุณสามีจะวอดวายตายกันไปหมด! ผมยิ้มแห้งๆ
“ก่อนจะคิดเป็นศรีภรรยาของไอ้คุณชาย พี่ว่าเราน่าจะมั่นใจในตัวเองมากกว่านี้นะ น้องน่ะน่ารักกว่าพี่ตั้งหลายเท่าตัว ขนาดพี่ยังชอบ ถ้าไม่ติดว่าเป็นผู้ชายล่ะก็ พี่จะฟาดหัวให้สลบลากเข้าห้องจัดการให้เรียบร้อยซะเดี๋ยวนี้เลย” ผมเอ่ยให้กำลังใจ แม้มันจะออกแนวล้อเลียนก็เถอะ อืม... ผมปลอบใจใครไม่เป็นซะด้วย
“ไม่เห็นจะเกี่ยวกับเพศเลย แค่เป็นคนที่ใช่ก็พอแล้วนี่ครับ” น้องข้าวโพดเอ่ยแย้งอย่างไม่เห็นด้วย ผมยิ้มกรุ้มแล้วตอบกลับ
“อย่างที่ไอ้โซโล่เป็นคนที่ใช่สำหรับน้องใช่ไหมล่ะ?”
“แต่ผมไม่ใช่คนที่ใช่ของพี่โซโล่” น้องข้าวโพดเอ่ยต่ออย่างรวดเร็ว มีแววเศร้าสร้อย ผมถอนหายใจ ไม่รู้จะพูดอย่างไรต่อ น้องข้าวโพดเงียบไปแล้วยิ้มสดใสอีกครั้ง
“แล้วนี่พี่พรีสต์ไม่มีแฟนจริงๆ เหรอครับ?”
“ทำไมเหรอ สนใจพี่เหรอครับ?”
“บ้า พี่ไม่ใช่สเป็กผมหรอก” น้องข้าวโพดพูดพลางทำแก้มป่องอย่างน่ารัก ผมส่ายหน้าไปมารู้สึกเอ็นดู หนอย! ถึงพี่จะหน้าตาไม่หล่อเท่าไอ้โซโล่แต่ใจพี่หล่อมากน่ะน้อง! ฮ่า~ ผมล้างมือแล้วเข้าไปหยิกแก้มที่ป่องจนน่าหมั่นไส้
“โอ๊ย~ พี่พรีสต์น่ะ มือยังเปียกอยู่เลยนะครับ!”
“ช่างสิ” ผมยักไหล่ กลับไปทำกับข้าวต่อ น้องข้าวโพดก็ยังเพ้อหาไอ้คุณชายซึ่งตอนนี้ตายคาห้องน้ำไปแล้วล่ะมั้ง ผมชักเริ่มรู้สึกลำบากใจซะแล้ว แหม คนทำอาหารก็ต้องใช้สมาธินะครับ มาพร่ำเพ้อหาพ่อเทพบุตรสุดหล่อของตัวเองแบบนี้อยู่ได้ มันเสียสมาธินะ เดี๋ยวหยิบน้ำตาลกลายเป็นหยิบเกลือแทนหรอก
“พี่พรีสต์ พี่ว่าพี่โซโล่จะอาบน้ำเสร็จหรือยัง?”
“อยากรู้ก็ขึ้นไปดูสิ” ผมตอบโดยสายตายังจับจ้องที่หม้อตรงหน้า
“ถ้าขึ้นไปได้ก็ขึ้นไปนานแล้วล่ะครับ พี่โซโล่น่ะหวงห้องของตัวเองจะตาย แทบจะไม่มีใครได้เข้าห้องพี่เขาเลยนะ ขนาดพวกพี่ๆ ที่เป็นเพื่อนสนิทกันยังไม่เคยเข้าไปเลย!”
“ไม่มั้ง...” ผมไม่รู้จะตอบอะไร แกล้งทำเป็นตั้งใจคนแกงจืดในหม้อต่อ อือ... งั้นเหรอ? แล้วทำไมผมถึงได้ไปนอนตีพุงในห้องนั้นเยี่ยงเจ้าของห้องเลยล่ะ สงสัยข้อมูลน้องข้าวโพดจะผิดแหง
“จริงๆ ครับ! ขนาดคุณป้า แม่ของพี่โซโล่ยังไม่กล้าเข้าไปเลย” น้องข้าวโพดเอ่ยยืนยันนั่งยัน ผมได้แต่พยักหน้ารับๆ แบบขอไปที น้องข้าวโพดค่อนข้างจะสนิทกับครอบครัวของไอ้โซโล่ ที่น้องเขาสนิทกับไอ้โซโล่ก็เพราะเล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็กๆ แถมคุณย่าของไอ้โซโล่ก็ถูกอกถูกใจน้องมากด้วย (ไอ้โซโล่มันเล่าให้ฟังครับ) ข้าวโพดเลยค่อนข้างมีอำนาจทางย่าไอ้โซโล่ ไอ้บ้านั่นเลยไม่ค่อยกล้าขัดใจน้อง ฮ่าๆ สะใจว่ะ!
“พี่พรีสต์เคยเข้าไปหรือเปล่าครับ?”
“หือ? กะ...ก็ไม่นิ”
ใจหนอใจ ดำมืดขึ้นไปอีกเป็นเท่าตัว โฮกกกก!!! ต้องมาโกหกหนุ่มใสซื่อแบบนี้ ชีวิตของผมมันช่างน่าสมเพชนัก! อยู่กับไอ้บ้าโซโล่แค่สามอาทิตย์เท่านั้น อะไรๆ ที่มันเคยปกติสุขก็เป็นอันเปลี่ยนไปทุกอย่าง ความผิดมันอยู่ที่ไอ้เวรโซโล่คนเดียววว!!! ฮึ่ม!
“แน่ใจเหรอครับ?”
“ก็ใช่น่ะสิครับ ทำไมน้องกังวลเรื่องพี่จังเลย ก็บอกแล้วไงว่าพี่กับไอ้โซโล่นี่ไม่มีวันสปาร์กกันแน่นอน!”
“พี่อาจจะไม่ แต่ไม่ใช่ว่าพี่โซโล่จะไม่รู้สึกอะไรกับพี่นี่ครับ”
“หา?” ผมหันมามองข้าวโพด ไม่เข้าใจสิ่งที่พูดเมื่อกี้ ข้าวโพดมองผมแล้วส่งค้อนให้อย่างหมั่นไส้ อ้าว? ผมทำอะไรผิดวะ ได้ข่าวว่ายืนทำกับข้าวเฉยๆ
“ก็อย่างพี่น่ะสเป็กพี่โซโล่เลยน่ะสิ!”
“ห๊ะ?” สมองผมในตอนเช้าแรมค่อนข้างช้า ประมวลผลไม่ค่อยทันใจเท่าไร อะไรนะ? น้องข้าวโพดบอกว่าสเป็กไอ้โซโล่เป็นแบบผมงั้นเหรอ? โฮ~! ไอ้โซโล่แม่งชอบของแปลกว่ะ! ผมหัวเราะร่วนทันที น้องข้าวโพดทำหน้าหงิกสะบัดหน้าให้ ผมหัวเราะอย่างอารมณ์ดี เข้าใจเลยว่าทำไมไอ้โซโล่ถึงเอ็นดูข้าวโพดนัก ก็น่ารักขนาดนี้นี่น่า ผมเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนแล้วเอื้อมมือมาดึงแก้มของอีกฝ่าย
“คิดมากน่า~ น้องน่ะน่ารักที่สุดเลย~!”
“เชอะ! ก็พี่โซโล่ชอบแบบผมทองลูกครึ่งนี่ครับ!”
“น้องก็ไปย้อมผมสิ”
“อ๊ะ นั้นสิ แล้วสีผมของพี่พรีสต์ทำสีอะไรเหรอครับ?” น้องข้าวโพดทำหน้านึกขึ้นได้ หันมาทำหน้าอ้อนถามผม
โฮะๆ พี่ไม่ได้ทำครับน้อง สีผมของพี่เป็นมาตั้งแต่เกิดแล้ว พี่รับกรรมพันธุ์ฝ่ายคุณตามาล้วนๆ
คุณตาของผมเป็นคนอิตาลีแท้ๆ มาแต่งงานกับคุณยายซึ่งเป็นคนไทย ได้ผลผลิตเป็นคุณแม่ลูกครึ่งสุดแนวของผม จากนั้นคุณแม่ก็แต่งงานกับคุณพ่อ ได้ผมและพี่ๆ ออกมานี่แหละ
“พี่ไม่ได้ทำ มันเป็นแบบนี้ตั้งแต่เกิดแล้ว”
“โฮ พี่พรีสต์เป็นลูกครึ่งจริงๆ เหรอ มิน่าสีตาก็แปลกๆ แต่สวยดีนะครับ!”
“อ่า ขอบใจ” ผมสะดุ้งเล็กน้อย
จะว่าไปเจ้าบ้าโซโล่ก็เคยชมว่ามันสวยนี่น่า งืม... แล้วทำไมผมจะต้องไปคิดถึงมันด้วยฟะ!? ลบไปเลยนะเจ้าสมองงี่เง่านี่!
“แล้วเรียกว่าสีอะไรเหรอครับ?” น้องข้าวโพดจับผมของผมมาพิจารณาอย่างจริงจัง ผมถอนหายใจเล็กน้อย รู้สึกว่ามีอยู่ช่วงหนึ่งพี่เซนต์จะอิจฉาเรื่องสีผมของผมมากถึงขนาดไปล่าหาสีที่ใกล้เคียงมาย้อมผมของตัวเองเลย อืม... รู้สึกว่าจะเป็นสี...
“บรอนซ์น้ำผึ้งน่ะ”
“ไม่เคยได้ยินเลยอะ แล้วผมจะไปหาที่ไหนกันล่ะเนี่ย”
“ทำอะไรน่ะ!?” เสียงฟ้าผ่าดังลั่นขึ้นทำเอาผมกับน้องข้าวโพดที่ขบคิดเรื่องสีผมสะดุ้งโหยง ไอ้โซโล่ทำหน้าทะมึนเป็นอสูรนรกที่เพิ่งหลุดออกมาจากเมืองปีศาจ ผมกำลังหันไปต่อว่า โทษฐานทำให้ตกใจ แต่เสียงเดือดปุดๆ ในหม้อทำให้ผมหันกลับมาดูหม้อบนเตาแทน
ไม่นานข้าวเช้าก็เสร็จเรียบร้อย ผมยกถ้วยชามมาวางบนโต๊ะ โซโล่นั่งประจำที่โดยมีน้องข้าวโพดนั่งอยู่ข้างๆ ส่วนผมก็นั่งที่ประจำตรงข้ามกับไอ้โซโล่ ผมกำลังคดข้าวใส่จาน ข้าวโพดยื่นคำร้องอยากจะทำแทน แต่ถูกไอ้โซโล่ดึงนั่งลงก่อน มันพูดเสียงเรียบ
“ไม่ต้องทำหรอกข้าว ปล่อยให้เขาทำเถอะ มันเป็นหน้าที่ของเขา”
“ครับ...” น้องข้าวโพดพยักหน้ารับฟังอย่างง่ายดาย
ผมคดข้าวไปกัดฟันไป เออ!!! หน้าที่นี้ต้องเป็นของคนเป็นทาส กูมันก็แค่ทาส! กูเข้าใจ! ผมส่งจานข้าวให้คนที่นั่งรอกินเยี่ยงเจ้านาย ชิ!
ผมนั่งลงมือทานอย่างรวดเร็ว ผมไม่อยากอยู่ให้น้องข้าวโพดมองเป็นกางหรอกนะ ผมกินหมดอย่างรวดเร็วเรียกได้ว่าสวาปามชัดๆ วางจานไว้ที่เดิมรีบลุกขึ้นมารินน้ำให้คุณชายและน้องข้าวโพด ผมดื่มน้ำไปหมดแก้วก็เดินขึ้นชั้นสองเพื่อเอากระเป๋าสะพายออกไปข้างนอก ปกติถ้าเป็นวันหยุดผมต้องนั่งรอเก็บจานชามไปล้างเอง แต่วันนี้ไม่ใช่อย่างนั้น เพราะวันนี้เป็นวันสถาปนาของมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นวันหยุดที่ตรงกับวันจันทร์ และเป็น...
เป็นวันแรกของการชนคณะ! ต่อรีล่างโล้ด...