“งั้นคืนนี้จะแบ่งกันนอนยังไงดีวะ” ไอ้แป๊ะถาม
“กูกำลังคิดว่า พวกผู้ชายไปนอนที่บ้านไอ้เมฆมัน ส่วนผู้หญิงนอนที่บ้านกูก็คงโอเค ไม่ต้องมาแนวว่าใครจะนอนกับแฟนอะไรทั้งนั้นล่ะ เพราะห้องมันไม่มี ต้องนอนรวมๆกัน แต่ถ้าเกิดใครจะเอายังไงมันก็อีกเรื่องนึง ไว้ค่อยดูอีกที ไม่ได้มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว พวกมึงคิดว่าไง”
“ได้ ไม่มีปัญหา เดี๋ยวไคล์ก็กลับไปย้ายของของเรามาไว้ที่ห้องพวกพี่ก็แล้วกัน งั้นตอนนี้เราเดินกลับบ้านกูกันก่อนดีกว่า มึงสามคนรถสองคันก็ไปตัดสินใจเอาว่าจะเอากระเป๋าเพื่อนๆเราไปเก็บไว้ที่บ้านหลังไหนก่อน แล้วพอเสร็จแล้วเดี๋ยวเราออกไปซื้อของกันได้แล้ว เพราะว่ากูอยากกินน้ำจิ้มกุ้งเผาแซ่บๆไวๆ”
ไอ้กอล์ฟกับไอ้แป๊ะมองหน้ากันงงๆ แต่พวกเราสี่คนที่เหลือกลับหัวเราะชอบใจ และพอสองคนนั้นถามว่าที่ผมพูดมันหมายความว่ายังไง ไอ้วิทก็บอกแค่ว่า “มึงไม่อยากรู้หรอก” เท่านั้น
หลังจากเราใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงในการขนของและจัดเตรียมบ้านพักทั้งสองหลังเสร็จเรียบร้อย วิท แป๊ะ กับไคล์ก็ขับรถออกไปเพื่อซื้อของสด เครื่องดื่ม ขนม และของแห้งทั้งหลายกลับมาตุนเอาไว้ มันบอกให้ผมกับเมฆอยู่รอที่นี่เพื่อเจอและต้อนรับเพื่อนๆ เผื่อจะมีใครมาถึงไว ส่วนไอ้กอล์ฟก็คอยอยู่โยงแทนไอ้วิทมัน
ในบรรดาคนที่รู้ว่าผมกับเมฆเป็นแฟนกันนั้นก็มี วิท กอล์ฟ แป๊ะ ป๋อม แล้วก็เพื่อนผู้หญิงอีกคนหนึ่งชื่อ อีฟ เท่านั้น ดังนั้นเราสองคนจึงยังไม่ต้องคอยระวังตัวอะไรเท่าไหร่นักเมื่ออยู่กับไอ้กอล์ฟตามลำพังแบบนี้
“ว่าแต่ไอ้ป๋อมล่ะ มายังไงวะ มาถึงกี่โมง” ผมถามไอ้กอล์ฟขณะที่เรากำลังนั่งคุยและดูทีวีกันอยู่ที่บ้านของไอ้วิท
“มาบนรถตู้พร้อมคนอื่นๆน่ะ อีกไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็มาถึงแล้ว เมื่อกี๊มันเพิ่งโทรมาเอง”
“กูสงสัยมาตั้งแต่แรกและว่ะ ไอ้รถตู้ที่ว่าเนี่ย รถใครวะ เช่าเหมามาเหรอ แล้วจะมากันเต็มคันรถเลยมั๊ยน่ะ” ไอ้เมฆถามขึ้นบ้าง
“รถของบ้านไอ้แบ๊งค์น่ะ ส่วนมากันเต็มรถมั๊ย มึงก็คิดดูแล้วกันว่ากูกับไอ้แป๊ะต้องขับรถมากันเองอ่ะมึง แถมยังมีคนอื่นๆที่จะขับรถมาเองอีก ไม่อย่างงั้นกูก็ไม่ต้องมาเหนื่อยขับรถกันเองหรอก”
“โห มากันเยอะขนาดนั้นเลยเหรอวะ เกือบจะครึ่งห้องเลยดิ่เนี่ย เหมือนงานรวมนัดเจอกันสมัยก่อนเลยว่ะ”
“ช่ายยย ก็ประมาณนั้นแหละ พวกกูเตรียมงานกันนานนะมึง ก็เป็นการเลี้ยงต้อนรับมึงสองคนด้วย แล้วก็นัดเจอเพื่อนๆทุกคนด้วย คนส่วนมากก็เลยมากันน่ะ มาเยอะเท่าที่มาได้เลยล่ะ เพราะช่วงหลังๆมานี้ห้องเราไม่ค่อยได้นัดเจอกันแบบเยอะๆแบบนี้มานานแล้วไง ก็ประมาณสองปีกว่าเกือบสามปีได้แล้วมั๊งที่ไม่ได้นัดกันเต็มที่แบบนี้”
“ซัน เมฆชักหวั่นๆว่ะ ไอ้ได้เจอเพื่อนเมฆก็ดีใจนะ แต่ว่าไม่ได้เจอมานานอ่ะ กลัวเขินทำตัวไม่ถูกว่ะคับ”
ผมหันไปยิ้มให้มัน แล้วก็เหยียดแขนออกไปโอบมันเข้ามากอด “หน้าบางจังนะครับ คุณเมฆ คุณน่ะแค่สามปี แต่คุณซันอ่ะ สี่ปีนะครับ เพื่อนๆกันทั้งนั้น จะเขินทำมายยยย ฮึ”
“เฮ้ย มึงสองคน........” ไอ้กอล์ฟพูดขึ้น ทำให้เราสองคนหันไปหามันเกือบจะพร้อมๆกันทันที “จะให้กูเหมาเป็นงานวิวาห์ด้วยเลยมั๊ยวะ ไอ้สัตว์ หวานมากอ่ะมึง หวานจนกูจะอ้วก ขนลุก ไม่ชินเว้ย แม่งงง เห็นผู้ชายสองคนมาทำแบบนี้กันกูก็รู้สึกแปลกๆแล้ว ยิ่งเห็นเป็นมึงสองคนกูยิ่งไม่อยากจะเชื่อเข้าไปใหญ่เลย เหี้ยเอ๊ย มึงคิดดู กูเห็นพวกมึงทุกวันๆมาตลอดสามปีนะเว้ย ไม่เคยคิดเลยว่าพวกมึงจะมาทำอะไรแบบนี้กันได้ โดยเฉพาะมึง ไอ้ซัน ไม่สิ มึงก็ด้วย ไอ้เมฆ โอ๊ยยยย บอกไม่ถูกเว้ย สับสนๆๆ มึงรักกันดีอย่างนี้มันก็ดีน่ะนะ แต่เกรงใจแขกอย่างกูนิดนึง กูทำใจลำบาก” ไอ้กอล์ฟพูด แต่ผมสองคนก็รู้ว่ามันไม่ได้ซีเรียสอะไรเท่าไหร่หรอก เพราะรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าของมันนั้นแสดงความรู้สึกแท้จริงของมันออกมาได้อย่างชัดเจน
“ทำไมวะ เมื่อเช้าไอ้วิทก็คนนึงและ แล้วนี่มึงอีกคน แค่กอดแค่หอมแก้มแค่นี้พวกมึงทำเป็นรับกันไม่ได้ แล้วถ้ากูดูดลิ้นเลียตูดกันตรงนี้ มึงจะทำยังไงกันวะ”
“ไอ้ซันๆ เกินไปมึง พูดระวังๆหน่อย แต่กูว่าที่พวกมันพูดมาก็ถูกนะ เพราะขืนเราทำตัวเคยชินกันแบบนี้เกินไป ขืนยังเกาะๆแกะๆกันตลอดเวลาแบบนี้ ไม่รีบๆปรับตัวล่ะก็ เวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นหรืออยู่ในที่สาธารณะเราจะลำบากเอานะ ที่นี่มันประเทศไทย ไม่ใช่อังกฤษ ปัญหามันเยอะกว่าตอนเราอยู่ที่นั่นแน่ๆอ่ะ”
“อะไรวะ แค่นี้ต้องดุกันด้วยเหรอวะ แม่ง” ผมคลายวงแขนที่โอบบ่ามันอยู่ออก
“กูไม่ได้ดุ กูแค่พูดความจริง ตอนที่เราเดินโอบกันที่อังกฤษนั่นก็ยังเคยโดนพวกฝรั่งมันมาหาเรื่องแล้ว มึงจำไม่ได้เหรอ แต่นี่ที่ประเทศไทย มันอาจจะไม่รุนแรงขนาดนั้น แต่ว่าเรื่องวัฒนธรรมกับสายตาคนอื่นน่ะ....... คือ เรื่องนี้มันก็ลำบากนะ และที่สำคัญกูไม่ได้ว่ามึงคนเดียวหรอก กูหมายถึงตัวกูเองด้วย มึงก็รู้นี่”
ผมถอนหายใจเบาๆ “เออๆ กูรู้ กูก็คิดมาตั้งนานแล้ว ก่อนที่เราจะกลับมาที่ไทยนี่ซะอีก เพียงแต่ตอนนี้เราอยู่กับเพื่อน กูก็เลยไม่คิดว่าเราจะต้องฝืนอะไรมากมายนี่หว่า แถมที่สำคัญกูไม่อยากจะคบกับมึงแบบหลบๆซ่อนๆด้วย”
“กูเข้าใจ กูเองก็เหมือนมึงนั่นแหละ แต่เราก็ไม่ได้หลบๆซ่อนๆนี่ เพียงแต่เราต้องปรับตัวเรื่องการวางตัวเวลาอยู่ด้วยกันในสังคมนิดหน่อยเท่านั้นเอง แถมยังเวลาทำงานอีก กูรู้ว่ามึงเข้าใจว่ากูหมายความว่ายังไง ซัน ใจเย็นๆนะครับ อย่าคิดมากสิ” เมฆกุมมือผมแล้วยกขึ้นไปจูบเบาๆ
“อือๆ กูขอโทษ กูก็แค่ไม่ชินจริงๆอย่างที่มึงพูดนั่นแหละ” ผมหันกลับไปยิ้มให้มัน
ผมเข้าใจเรื่องที่มันพูดทุกอย่าง แต่ในใจผมมันก็ยังคงมีความรู้สึกขัดแย้งอยู่บ้างอยู่ดี ผมไม่ค่อยชอบการเปลี่ยนแปลงอะไรเพื่อใครที่ผมไม่รู้จักและไม่ได้มีส่วนอะไรในชีวิตของผมเท่าไหร่นัก แต่ถึงยังไงสิ่งที่ไอ้เมฆพูดมาก็ถูกหมดทุกอย่าง สภาพสังคมของที่นี่กับที่นั่นมันไม่เหมือนกัน โดยเฉพาะที่ตอนนี้พวกเราต่างก็เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว จะทำอะไรตามใจแบบเด็กๆก็คงไม่ได้ และที่สำคัญ ตอนนั้นเราเคยชินกับการใช้ชีวิตอยู่กับกลุ่มคนที่ยอมรับและเข้าใจเรา นั่นก็คือครอบครัวของผมเอง แต่ตอนนี้ นับจากนี้ไปมันไม่ใช่อีกแล้ว เราต้องพึ่งพาคนแปลกหน้าคนอื่นๆอีกมาก และก็ถึงเวลาที่ต้องรู้จักวางตัวให้เหมาะสมในฐานะผู้ใหญ่แล้วสักที
ดูท่าผมคงต้องหัดเรียนรู้และรู้จักการปรับตัว การทำตัวให้อ่อนลง และรู้จักยอมคนอีกมากขึ้นเยอะๆเลยซะแล้ว
“เอ้าๆ มึงอย่าเพิ่งเครียดกัน อย่าเพิ่งทะเลาะกันสิวะ กูไม่ได้ซีเรียสอะไรขนาดนั้นสักหน่อย อย่าลืมว่าตรงนี้ก็เพื่อนๆกันทั้งนั้น แถมทุกคนมันก็รู้กันอยู่แล้ว่ามึงสองคนสนิทกันขนาดไหน มึงจะจับจะต้องกันมั่งก็ไม่มีใครสงสัยหรอกน่า”
“เออๆ กูผิดเองแหละ กูชอบใจร้อนขี้หงุดหงิดแบบนี้อยู่เรื่องไปเอง ขอโทษทีว่ะ กอล์ฟ”
“ไม่ต้องๆ เลิกๆๆ เลิกซีเรียสได้แล้ว แต่จะว่าไปกูเองก็แปลกใจนะ ไอ้ซัน.....” ไอ้กอล์ฟมองหน้าผมแล้วยิ้มแปลกๆ จากนั้นก็หันไปมองหน้าไอ้เมฆ “กูต้องนับถือมึงเลยไอ้เมฆ ที่ทำให้ไอ้ซันมันเชื่องลงได้ขนาดนี้น่ะ แต่ก่อนนี้จะได้เห็นมันมีสีหน้าหรืออยู่ในสภาพแบบนี้ได้นี่แทบจะต้องฝันเอาอย่างเดียวเลยนะเว้ย สี่ปี ไม่สิ มึงไปอยู่กับมันแค่สามปี จากเสือเลยกลายเป็นแมวไปเลย” ไอ้กอล์ฟหัวเราะชอบใจ
“ไม่ใช่แมวธรรมดาๆนะมึง แต่เป็นลูกแมวในกำมือเลยด้วย” ไอ้ตัวดีหัวเราะเพราะเข้าทางมันเลยนี่
“ปากดีอีกแล้วนะค้าบบ คุณเมฆ ไอ้สัตว์” พอพูดจบผมก็บีบตรงชายโครงของมันที่ถูกต่อยมาเมื่อคืนแรงๆ ทำเอาไอ้เมฆร้องออกมาเสียงดังพร้อมกับสะดุ้งจนสุดตัว “แล้วดูซิว่าตอนนี้ใครอยู่ในกำมือใคร”
เราสองคนเห็นไอ้กอล์ฟมีสีหน้าประหลาดใจกับอาการของไอ้เมฆ แต่เราก็ขี้เกียจจะอธิบายกันแล้ว เลยบอกมันไปว่าให้รอคนมาเยอะๆแล้วค่อยไปถามไอ้วิทเอาเองทีเดียว
“ว่าแต่ไอ้เรื่องงานวิวาห์เนี่ย คิดไปคิดมากูว่ามันก็เป็นความคิดที่ดีเหมือนกันนะ.......” เมื่อสิ้นประโยคไอ้กอล์ฟ พวกเราสองคนก็มองหน้ามันด้วยความแปลกใจระคนตกใจทันที “เฮ้ย ไม่ถึงขนาดนั้น มึงสองคนอย่าเพิ่งทำหน้าแบบนั้นดิ่ แต่หมายถึงมึงก็เปิดตัวหรืออะไรแบบนั้นไปเลยน่ะ ก็อย่างที่พวกมึงบอกไง เพื่อนๆกันทั้งนั้น แถมทุกคนก็รักพวกมึงกันมากด้วย นอกจากนั้นพวกเราก็รู้ๆกันอยู่แล้วว่ามึงอ่ะรักกันสนิทกันมากแค่ไหนมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว และนี่ก็ไปเรียนที่อังกฤษด้วยกัน ถ้าเกิดกลับมาแล้วมึงจะกลายมาเป็นแฟนกันแบบนี้ กูว่าพวกมันก็คงไม่ช็อคเท่าไหร่หรอกมั๊ง”
“นี่มึงพูดจริงเหรอวะ ไอ้วิท” ผมพูดขึ้นหลังจากมองหน้ากับไอ้เมฆเงียบๆอยู่ครู่หนึ่ง
“พูดน่ะจริง กูหมายความทุกอย่างแบบที่กูพูด แต่ทุกอย่างมันก็อยู่ที่มึงสองคนตัดสินใจเอาเอง นี่ไอ้ซันไอ้เมฆ มึงคิดดู ต่อให้มึงสองคนใส่แหวนนิ้วอื่นเพื่อปกปิดเอาไว้ด้วยแบบที่มึงกำลังทำอยู่นี่น่ะ แต่แหวนหมั้นหรือแหวนแต่งงานเหี้ยอะไรของพวกมึงนี่มันเป็นแหวนทองนะเว้ย แถมมีเพชรอีกต่างหาก เด่นออกมาเลย และที่สำคัญ หน้าตาเหมือนกัน อยู่ที่นิ้วนางข้างซ้ายทั้งคู่ และมึงก็อยู่กันเป็นคู่ตลอด เพื่อนๆเราหลายคนน่ะไม่ได้เจอมึงมานานแล้ว บางคนไม่ได้เจอพวกมึงเลยด้วยซ้ำ พวกมันต้องสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของพวกมึงทุกอย่างอยู่แล้วว่ะ นอกเสียจากมึงไม่อยากให้ใครรู้จริงๆ มึงก็ต้องถอดแหวนออกตลอดเวลาที่เหลืออยู่นี่จนกว่าจะกลับกรุงเทพ”
ผมกับไอ้เมฆหันมามองหน้ากันอีกครั้ง ถึงจะไม่มีคำพูดใดๆออกมาระหว่างเรา แต่ผมก็รู้ได้เลยว่ามันเองก็กำลังคิดหนักเหมือนกับผมอยู่เช่นกัน ตอนที่เราอยู่ที่อังกฤษนั้นเราแทบไม่เคยถอดแหวนออกจากนิ้วของพวกเราเลย เพราะเราไม่ได้เรียนคณะเดียวกัน เพื่อนก็คนละกลุ่มกัน และถึงจะในกลุ่มๆเพื่อนสนิทที่เราสองคนใช้เวลาอยู่ด้วยบ่อยๆ พวกนั้นก็รู้เรื่องของเราสองคนดีอยู่แล้ว เพราะว่าเราไม่ได้ปิดบังอะไร เราแทบไม่เคยต้องฝืนหรือปกปิดตัวเองเลย เนื่องจากที่นั่นมันไม่ใช่สังคมของเราถาวร เราไม่ได้สนใจคำนินทาภาษาอังกฤษลับหลังพวกเราอยู่แล้ว และที่สำคัญคือคนส่วนมากที่นั่นไม่ใช่กลุ่มคนที่เราจำเป็นต้องแคร์ และพวกเขาก็ไม่ได้ข้องเกี่ยวและผูกพันกับพวกเรามากเท่ากับเพื่อนๆของเราพวกนี้ด้วย
“มึงว่าพวกมันจะรับเรื่องของเราสองคนได้กันมั๊ยวะ” ไอ้เมฆถามผมหลังจากที่เราเงียบกันไปพักหนึ่ง
“ไม่รู้ว่ะ........ แต่กูว่าก็คงได้แหละ โตๆกันแล้วทั้งนั้น ที่สำคัญเราไม่ได้เจอพวกมันมาตั้งนานนะ เว้นแต่ว่าจะมีใครที่มันเป็นพวกแอนตี้เกย์หรือโฮโมโฟเบียแบบสุดๆและเราไม่เคยรู้มาก่อนน่ะนะ” ผมยักไหล่ แล้วหันไปมองหน้าไอ้กอล์ฟ “มีมั๊ยวะ คนแบบนั้นน่ะ”
“ไม่มีๆ” ไอ้กอล์ฟส่ายหน้า “เท่าที่รู้ไม่มี และที่สำคัญก็เป็นอย่างที่พวกมึงรู้ๆกันอยู่แล้วว่าพวกเราน่ะรักกันมากนะเว้ย และพวกมันก็รักมึงสองคนมากด้วย ทีพวกกูที่เป็นผู้ชาย แถมยังสนิทกับพวกมึงที่สุดรู้เรื่องเมื่อตอนมอหก กูว่าพวกกูน่ะน่าจะเป็นกลุ่มที่รับพวกมึงไม่ได้มากกว่าใครๆ และเป็นคนที่มึงน่าจะกังวลว่าพอเรารู้ความจริงแล้วกลัวจะเสียเพื่อนไปมากที่สุดด้วยซ้ำยังรับได้เลย แล้วนี่นับประสาอะไรกับคนอื่นวะ”
“กูไม่ค่อยอยากถอดแหวนออกอ่ะ ซัน กูงี่เง่าเปล่าวะ แบบว่าถ้าถอดแบบจำเป็นต้องถอดน่ะมันก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก แต่ถ้าจะให้ถอดเพราะว่ากลัวคนอื่นรู้ความสัมพันธ์ของเราสองคนน่ะ กูยังทำใจไม่ค่อยได้ว่ะ เพราะว่าพ่อของกูก็ไม่เคยถอดแหวนออกจากนิ้วของท่านเลย กูโตมากับพ่อพร้อมๆกับสายตาที่เห็นแหวนวงนี้อยู่ที่นิ้วนางข้างซ้ายนิ้วนั้นมาตลอดนะ มันเป็นเหมือนตัวแทนความรักที่พ่อของกูมีให้แม่มาตลอดและตลอดไปจริงๆ ทั้งๆที่คนอย่างพ่อกูจะไปมีผู้หญิงคนอื่นหรือถอดมันออกเวลาไปเที่ยวกับเพื่อนตอนไหนหรือเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ท่านก็ไม่เคยทำแบบนั้นเลย และตอนนี้ยี่สิบปีผ่านไปท่านก็ถอดมันออกมาให้กูเป็นครั้งแรก และคงจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วด้วย คือ เพราะงั้นกูก็เลย.........” ไอ้เมฆก้มหน้าลงแล้วหมุนแหวนในนิ้วเล่นพร้อมกับสายตาที่เหม่อลอย
จริงๆแล้วผมเองก็ไม่ได้ซีเรียสกับเรื่องถอดหรือใส่แหวนเอาไว้เท่าไหร่หรอก ผมเองก็ไม่ได้อยากจะถอดมันออกหรอกนะ แต่ว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับผมเช่นกัน เพราะว่าสำหรับผมแล้ว ผมคิดว่ามันสำคัญที่จิตใจมากกว่าสิ่งของ และที่สำคัญการถอดแหวนด้วยเหตุผลแบบนี้มันก็ยังดีกว่าถอดเพราะต้องการจะปิดบังตัวเองว่ามีเจ้าของแล้วเพื่อจะเป็นการเปิดโอกาสให้ตัวเองหรือเปิดโอกาสให้คนอื่นได้เข้ามามากกว่า เพียงแต่ผมเองก็เข้าใจเหตุผลและความรู้สึกของไอ้เมฆได้ดีทีเดียว แหวนสองวงนี้มันไม่ใช่แค่วัตถุ แต่เป็น “สัญลักษณ์” ที่แสดงถึงความผูกพันและความรักที่มั่นคงและยืนยาวอันไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา..........
“ไม่เป็นไรเมฆ ซันเข้าใจ งั้นเราก็ไม่ต้องถอดก็แล้วกันนะ ก็ให้มันรู้ๆกันไปเลยว่าเรารักกัน ไม่ต้องถึงกับขั้นป่าวประกาศให้ทุกคนฟังหรอก แต่ถ้ามีใครถามก็บอกไปตามตรง และเดี๋ยวมันก็แพร่ไปเองนั่นแหละเนอะ ถ้าเมฆลำบากใจ เดี๋ยวซันเป็นคนพูดให้เอง เมฆอยู่เงียบๆเฉยๆก็ได้ ไม่ต้องกังวลนะครับ”
..................................
เด๋วได้ปั่นต้นฉบับไม่ทันแหงๆ เอิ๊กกกก
