(ต่อ)
หลังจากหงุดหงิดโมโหทั้งไอ้คุณหมอ ไอ้คุณแฟน ไอ้คุณบอดีการ์ดของแฟนที่แม่งก็เสือกลืมเหมือนกันว่าเจ้านายมันมีเลือด(บ้า)กรุ๊ปเดียวกับหมอ ปล่อยให้ผมต้องว้าวุ่นวิ่งหาเลือดมาให้มันแทบเป็นแทบตาย แถมยังโดนโคเนโรปั่นหัวจนหมุนแบบเมื่อคืนอีก ผมก็เลยประท้วงพวกมันทุกตัวด้วยการปิดปากตัวเองเสียสนิท ไอ้เอี้ยฟ้างอนผมก็ไม่ง้อแม่ง ไอ้หมอบ้าพูดแหย่ผมก็ไม่ใส่ใจ จะไอ้มานะหรือพ่อบ้านเข้ามาชวนพูดคุยถามไถ่อะไรผมก็ไม่หือไม่อือด้วยทั้งนั้น
ผมเคืองมาก ณ จุดนี้!!
จากนั้นผมก็เดินหน้าบูดมาทิ้งตูดลงบนโซฟาที่มีไอ้จี้นั่งอยู่ก่อนแล้ว ไอ้หมอนี่เป็นคนเดียวที่ไม่คิดจะเปิดปากพูดกับผม และผมเองก็ไม่ได้สนใจจะเปิดปากพูดกับมันเช่นกัน(ตอนนี้ปวดประสาทเกินทน) เราต่างคนต่างนั่งเงียบๆ อยู่คนละด้านของโซฟา ..จะว่าไปนี่ก็เป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดเรื่องคราวนั้นที่ผมได้เจอกับมัน
นึกถึงเรื่องคืนนั้นขึ้นมาผมก็อดที่จะมองไปทางมันไม่ได้ ไม่รู้ฟื้นขึ้นมาแล้วเป็นไงมั่ง? จำอะไรต่อมิอะไรได้บ้างหรือเปล่า? แต่พอผมหันไปก็เหมือนว่ามันจะคอยหลบตา และพอผมดึงสายตากลับมาก็เหมือนว่ามันจะแอบมองผมอยู่...
อะไรของมันวะ?
รอบตัวมึงนี่จะหาคนธรรมดาที่สติดีๆ สักคนไม่มีเลยใช่ไหม เอี้ยฟ้าประทาน?
ระหว่างที่ผมเล่นเกมส์แอบมอง(?)กับไอ้จี้อยู่นั้น.. ไอ้มานะที่ถอดใจจะคุยกับผมแล้วก็เอ่ยขอตัวจากทุกคนในห้อง เห็นบอกว่ามีบางอย่างที่ต้องไปจัดการ แต่เพราะเห็นว่ามันไม่ได้นอนมาตลอดทั้งคืน ไอ้หมอนรกเลยบอกว่ามันควรจะไปพักผ่อนมากกว่า ไว้ร่างกายพร้อมค่อยออกไปก็ได้ แน่นอนว่าไอ้มานะต้องไม่ฟังอยู่แล้ว มันรั้นจะออกไปให้ได้ แต่ไอ้หมอก็ไม่คิดยอมง่ายๆ เหมือนกัน พวกมันเลยทะเลาะกันใหญ่โตในห้องพักผู้ป่วยนั่นล่ะ โดยมีเจ้าของห้องนอนดูตาแป๋ว ไม่คิดจะมีส่วนร่วมหรือห้ามปรามใดๆ ทั้งสิ้น เมรันดรีเองก็ยืนมองเฉยๆ เช่นกัน ยิ่งผมกับไอ้จี้นี่ไม่ต้องพูดถึง ต่างคนต่างนั่งมองประมาณว่า..ไม่ใช่เรื่องของกู กูไม่เกี่ยว
สุดท้ายไปไงมาไงไม่รู้ จู่ๆ ไอ้หมอเวรก็ชี้ออกหน้าต่างไปยังตึกตรงข้าม แล้วร้อง ‘อ๊ะ! สไปรเดอร์แมน!!’ ไอ้หนูน้อยมานะรีบหันควับตามนิ้วไปทันทีด้วยหวังจะได้เจอฮีโร่ในดวงใจ(..อันหลังนี่ผมเดาเอาน่ะ ฮ่ะๆ) ไอ้หมอผีเลยฉวยโอกาสนั้นสับเข้าที่ต้นคออย่างชำนาญ....ก็ล่วงสิครับงานนี้ ..แล้วหมอบ้ายังมีหน้าหันมาชูสองนิ้วพร้อมยิ้มแฉ่งให้ผู้ชมในห้องผู้ป่วยอีกต่างหาก(ตกลงมึงเป็นหมอแน่ป่ะวะ ไอ้โหด?! ..แต่ผมรู้สึกเหมือนเดจาวูยังไงไม่รู้สิ คล้ายๆ เรื่องปัญญาอ่อนทำนองนี้ก็เคยเกิดขึ้นกับตัวเองมาก่อน เหอะๆ)
ยกนี้หมอเฮี้ยนชนะบอดีการ์ดซื่อ(บื้อ)อย่างไม่ต้องสงสัย ..จากนั้นมันก็แบกไอ้มานะผู้ไม่ได้สติขึ้นบ่าแล้วพาออกจากห้องไปอย่างอารมณ์ดี
“ผมฝากด้วยนะครับ หมอ” คุณพ่อบ้านฝากฝังลูกบุญธรรมด้วยท่าทางสุภาพเช่นเคย
หมอหันมาชูนิ้วโป้งพร้อมยิ้มกว้าง “เชื่อใจได้เลย!”
พ่อบ้านจะเชื่อหรือเปล่าไม่รู้ แต่ผมคนนึงล่ะที่ไม่เชื่อมัน..
“อืม..” ผมไม่รู้ว่าตัวเองเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงคนหลายคนคุยกันเหมือนอยู่รอบๆ หัวผม
ผมขยับตัวเล็กน้อยแล้วค่อยๆ ลืมตาขึ้น กว่าจะปรับสายตาให้ชินกับแสงสว่างก็เสียเวลาไปอีกครู่หนึ่ง แต่พอเริ่มจับโฟกัสได้ ใบหน้าแรกที่ผมมองเห็นกลับเป็นใบหน้าหวานๆ ที่ดูกระอักกระอ่วนของไอ้จี้ ...ไหงงั้น?
ผมขมวดคิ้วไม่เข้าใจ ก่อนจะจับรู้สึกได้ว่าที่ตัวเองกำลังหนุนนอนอยู่มันไม่น่าจะใช่หมอน...แต่เป็นตักของไอ้หน้าหวานนี่ต่างหาก! เฮ้ยยยย!
“โอ๊ยยย! // อูยยย..” ผมซึ่งพรวดพลาดลุกขึ้นก็เลยหัวโขกกับเจ้าของตักซึ่งหลบไม่ทันแบบจังเบอร์ ..วิ้งเลย~
“เป็นอะไรมากรึเปล่า ซันนี่?” ซินเซียร์ที่ไม่รู้ว่ากลับมาถึงกรุงเทพตั้งแต่ตอนไหนรีบปรี่เข้ามาดูผมด้วยท่าทางเป็นห่วงแบบเว่อร์ๆ ผมโบกมือเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร..
“เจ็บมากรึเปล่าครับ คุณจี้?” พ่อบ้านก็เข้ามาถามอาการของผู้ร่วมชะตากรรมของผมเช่นกัน
“ไม่...จี้ไม่เจ็บเท่า..ไหร่..” คนพูดเสียงแผ่วหายไปเมื่อหันมาสบตากับผม ..แล้วก็หลบตาไปอีก ..อะไรวะ?
“โทษทีนะ” ผมเอ่ยขอโทษจากใจ ..ท่าทางว่าผมจะเผลอหลับแล้วไหลไปหนุนตักมันแน่ๆ แถมตื่นมายังเนรคุณด้วยการเอาหัวไปโขกเขาอีก กูเนาะกู..
“แล้วก็ขอบใจ..ที่ให้ยืมตัก” ผมพยายามยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างเป็นมิตร ทางนั้นเหลือบมามองแค่นิดนึง แล้วก็รีบก้มหน้างุดทันที
“มะ..ไม่เป็นไร” มีเสียงพูดตอบกลับมาเบาๆ
“ให้ผมเอายามาทาให้มั้ยครับ?” พ่อบ้านถามเราทั้งคู่
“คุณเมรันดรีเอามาทาให้..ให้ ซันชายน์ เถอะ ..เดี๋ยวจี้ขอตัวไปห้องน้ำก่อน” ว่าแล้วก็รีบลุกหนีกันไปดื้อๆ ซะงั้น
อะไรของมันวะ? แล้วถ้าผมตาไม่ฝาด ผมว่าแก้มมันแดงๆ ด้วยนะนั่น? หรือจะไม่สบาย? ก็เลยดูเพี้ยนๆ ไปอีกคน?
ตกลงรอบตัวมึงนี่มีแต่คนเพี้ยนจริงๆ สินะ เอี้ยฟ้า?
ผมโบกมือเป็นเชิงว่าไม่เป็นอะไรให้พ่อบ้าน แล้วหันกลับมาสนใจซินและคนอื่นๆ ในห้องบ้าง ..ตอนนี้นอกจากซินกับเมรันดรีแล้ว ห่างออกไปยังมีซอลลี่ยืนกอดอกหน้าตาเรียบเฉยอยู่ด้วย ถัดออกไปมีสกายกับเมย์บียืนยิ้มอยู่(..นี่พวกมันก็ตามซินกลับมาจากขอนแก่นด้วยเหรอ? ยังอยู่บ้านเกิดไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงกันด้วยซ้ำนะนั่น) และข้างๆ เตียงของเอี้ยฟ้า มีผู้ชายใส่แว่น(แบบเปลือยกรอบ) ท่าทางสุภาพ อายุประมาณสามสิบกว่าๆ ยืนส่งยิ้มบางมาให้ผมด้วย ..ใครหนอ?
แล้วมากันตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย? ทำไมไม่มีใครปลุกผมบ้างเลย? ไม่รู้นอนน้ำหลายไหลหรือเผลอกรนโชว์แขกไปบ้างหรือเปล่า? หึยยยย..
“ซันนี่..” เอี้ยฟ้าเรียกชื่อผม(ดูจากสีหน้าท่าทางแล้ว.. สงสัยว่ามันจะลืมเรื่องที่งอนผมอยู่ไปแล้วล่ะ) แล้วผายมือไปทางผู้ชายใส่แว่นคนนั้น “..นี่คุณพิณ”
“อ่า.. สวัสดี..ครับ” ผมยกมือไหว้แบบเก้ๆ กังๆ
ทางนั้นก็ยกมือรับไหว้ผมซะอย่างสวยเลย แถมยังยิ้มมากกว่าเดิมอีก “สวัสดี ซันนี่ ..เคยเห็นแต่ในรูปกับฟังเรื่องเล่ามาบ้าง ดีใจจังที่วันนี้ได้เจอตัวจริงซักที”
“ตัวจริงดูดีกว่าในรูปเยอะใช่มั้ยล่ะฮะ?” ผมถามทีเล่นทีจริง ไม่อยากให้บรรยากาศมันดูทางการจนเกินไป เดี๋ยวผมจะทำตัวไม่ถูก ฮ่ะๆๆ
“ถุ๊ย!!” แว่วเสียงถ่มถุยจากไอ้อีสองตัวที่ติดสอยห้อยตามซินมา
“นั่นสินะ” คุณพิณหัวเราะเบาๆ และหัวเราะดังขึ้นเมื่อซินยืดอกขึ้นและพูดอย่างภาคภูมิว่า ‘น้องผมๆ’
..ท่าทางว่าตอนที่ผมหลับทุกคนจะแนะนำตัวกันไปหมดแล้วสินะ
ผมลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก เพราะอย่างน้อยตอนนี้ผมก็ยังไม่ถูกแอนตี้จากคนในครอบครัวของ ‘แฟน’ ล่ะน่า
เอ้อ.. เห็นแบบนี้แต่ผมก็แคร์ญาติมันเหมือนกันนะ ไม่อยากให้เกิดกรณีแบบ..แม่ผัว-ลูกสะใภ้เหมือนในละครหรอก ..เฮ้ย!! ใครพูดอะไร ‘ผัวๆ’ วะ? ใครผัวใครห๊ะ? เดี๋ยวปั๊ดตบปากกลบเลือดเลยนี่ ชิชะ!
เราพูดคุยทำความคุ้นเคยกันอีกหลายประโยค ก่อนที่คุณพิณจะยื่นนามบัตรของตัวเองมาให้ผม “..นี่ครับ”
จะว่าไปแล้ว.. แววตาดำๆ ทึบๆ ของคุณพิณนี่ดูเหมือนของเอี้ยฟ้าชะมัดเลยแฮะ จะต่างไปหน่อยก็ตรงที่มันแฝงนัยเศร้าแปลกๆ ชอบกลด้วย ..ก็ไม่รู้ว่าเป็นมาแต่กำเนิด หรือเกิดจากประสบการณ์ชีวิตกันแน่?
ผมรีบยื่นมือทั้งสองข้างออกไปรับกระดาษแผ่นเล็กๆ นั่นมา แล้วอ่านออกเสียงตามมารยาทสังคมที่เคยถูกเสี้ยมสอน “นายแพทย์ เพลงพิณ ทามิยะ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ สาขาจิตเวชศาสตร์เด็กและวัยรุ่น คลินิก...”
เดี๋ยวนะ.. ก็ไหนเอี้ยฟ้าบอกว่าคุณพิณเป็นน้องคุณขลุ่ยไง? คุณขลุ่ยก็แม่มันใช่ไหมล่ะ? แล้วทำไมน้องของแม่ถึงมาใช้นามสกุลเดียวกับมันได้ล่ะ? ..ยังไงเนี่ย? หรือผมเข้าใจอะไรผิด? เอี้ยฟ้าใช้นามสกุลน้ามัน? ไม่ได้ใช้นามสกุลของพ่อมันหรอกเหรอ? แล้วตกลงพ่อมันนามสกุลอะไร??
เอ๊ะ.. ทำไมอยู่ดีๆ หางตาขวาก็กระตุกแบบนี้วะ?
“ทามิยะ...” ผมพูดออกมาแค่นั้น ก็เหมือนว่าเอี้ยฟ้าจะเดาความคิดของผมออก มันเลยพูดตอบสิ่งที่ผมไม่ได้ถาม(แต่คิด)ออกมาด้วยเสียงเนิบๆ
“กูใช้นามสกุลคุณขลุ่ยน่ะ”
“แล้ว..นามสกุลพ่อมึงล่ะ?” ผมถามอย่างไม่แน่ใจ
รู้สึกคล้ายๆ กำลังหวาดระแวงอะไรบางอย่างที่แม้แต่ตัวผมเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร?
“แบร์ลุสโคนี” คำตอบนี้ไม่ใช่มาจากปากคนที่ผมถาม แต่ออกมาจากปากบางๆ ของซอลลี่ที่ยืนทำหน้านิ่งอยู่ใกล้หน้าต่างต่างหาก!
“พี่ว่าอะไรนะ?!” ผมหันไปถามซอลลี่ด้วยความตกใจ ห้องทั้งห้องเงียบกริบลงอีกครั้งอย่างไม่ตั้งใจ
แบร์ลุสโคนี..?!
งั้นหมอนี่กับโคเนโรก็... ..แล้วทำไม?? ทำไมถึงไม่มีใครพูดอะไร?
“พี่แปลกใจนะ ที่นายยังไม่รู้เรื่องนี้” ซอลลี่ขยับเข้ามาใกล้ผม พลางกวาดสายตาไล่มองคุณพิณ เอี้ยฟ้า และเมรันดรีที่ต่างยืนเงียบ โดยไม่แสดงอารมณ์ใดออกมาทางใบหน้าสวยๆ นั่นแม้แต่น้อย ..ท่าทางซอลลี่ดูจริงจังอย่างที่ผมแทบไม่เคยเห็นเลยล่ะ “หมอนี่เป็นคนของตระกูลแบร์ลุสโคนี พี่ว่าพี่เคยบอกนายไปแล้วไม่ใช่รึไง?”
“แต่ตอนนั้นพี่บอกว่าจำคนผิด!” ผมเถียงเท่าที่พอจะจำได้
“พี่ก็พูดไปงั้นแหล่ะ” ซอลลี่ยักไหล่ง่ายๆ “นายไม่เห็นรึไงว่าหน้าตาแฟนนายมันแทบจะเป็นพิมพ์เดียวกับโคเน่อยู่แล้ว”
“..........” ข้อนี้ผมเถียงไม่ออก
นั่นน่ะสิ.. ต่อให้โง่แค่ไหนก็ต้องนึกสงสัยบ้างแหล่ะว่าทำไมมันสองคนถึงได้หน้าคล้ายกันขนาดนี้? แต่ผมกลับไม่เอะใจอะไรเลย..
ผมนี่มันเป็นที่สุดของความโง่เง่าเลยสินะ?
เฮอะ! แล้วไง? ก็ไม่เห็นมีใครบอกผมเลยนี่หว่า? แล้วไอ้ผมมันก็คนซื่อด้วย(?) จะไม่รู้ก็ไม่เห็นแปลกตรงไหน?
ผมแอบเหล่ไปทางเอี้ยฟ้าอย่างคาดโทษ ก็เห็นว่ามันกำลังจ้องผมอยู่เช่นกัน ดวงตาสีดำนั้นแสดงออกถึงความกังวล ...กังวล??
“แล้วที่วันนี้พี่อุตส่าห์ถ่อมาถึงนี่ก็เพราะอยากจะพูดกับนายเรื่องนี้แหล่ะ” ซอลลี่เริ่มเข้าเรื่อง ขณะที่ผมเริ่มใจไม่ดี “ในฐานะที่พี่เป็นพี่นาย และพอจะรู้เรื่องราวเกี่ยวกับคนในตระกูลนี้มาบ้าง..”
“พูดตามตรงนะ พี่อยากจะให้นายถอยห่างออกมาจากหมอนี่จะดีกว่า”
“พูดอะไรน่ะ ซอลลี่?” คราวนี้เป็นซินที่ร้องถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ “พี่ไม่ควรจะมาก้าวก่ายเรื่องของซันนี่แบบนี้นะ”
“พี่ก็ไม่ได้อยากก้าวก่าย ถ้าแฝดของนายไม่ใช่น้องชายของพี่..” ซอลลี่ว่าแล้วหันไปทางคนบนเตียง “..แล้วหมอนี่ก็ไม่ใช่น้องชายของโคเน่”
“ทำไม.. พี่เองก็เป็นเพื่อนกับโคเนโรนี่นา”
“ใช่.. พี่เป็นเพื่อนกับโคเน่ และรู้จักหมอนั่นดีเกินกว่าจะยอมปล่อยให้นายคบกับน้องชายของเขาต่อไปโดยไม่คิดจะทำอะไรเลย...” ยิ่งฟังซอลลี่พูดผมก็ยิ่งไม่เข้าใจ ซอลลี่กำลังพูดอะไร? แล้วทำไมผมจะคบกับฟ้าประทานต่อไม่ได้?
“ตามพี่ไปคุยข้างนอกดีกว่า” ซอลลี่พูดแล้วหันหลังเดินออกจากห้องไป
ผมกับซินเลยต้องจำใจลุกขึ้นเดินตาม.. แต่ก่อนไปยังไม่วายหันไปมองเอี้ยฟ้าอย่างคนต้องการกำลังใจหรือความมั่นใจอะไรสักอย่าง แต่สิ่งที่ได้กลับมามีเพียงความกังวลและคล้ายกับกำลังอ้อนวอนอยู่ในแววตาสีดำคู่นั้น ส่วนเมรันดรีกับคุณพิณทำเพียงมองพวกผมพี่น้องด้วยความสงบเท่านั้น
“ตอนนี้นายก็รู้แล้วใช่มั้ยว่าแฟนของนายน่ะมีวิถีชีวิตยังไง?” ทันทีที่หามุมเงียบๆ ในโรงพยาบาลได้ ซอลลี่ก็เปิดประเด็นต่อ “ต่อให้ครั้งนี้โชคดีรอดมาได้ ก็ไม่แน่ว่าครั้งต่อไปจะยังเหลือโชคให้ใช้อีกหรือเปล่า? ..แล้วมันก็จะเป็นแบบนี้ไปตลอดถ้าหมอนั่นยังเอาแต่วิ่งหนีชะตากรรมของตัวเองอยู่แบบนี้..”
ชะตากรรม? วิ่งหนี??
“ตราบใดที่หมอนั่นยังไม่ยอมหันไปเผชิญหน้า ปัญหามันก็จะไม่มีวันจบ หรือไม่หมอนั่นก็ต้องจบชีวิตลงไปอย่างหมาขี้แพ้ ..นายทนได้เหรอ ซันนี่? ต้องทนอยู่กับคนที่ใช้ชีวิตอยู่บนเส้นด้ายโดยไม่รู้ว่ามันจะขาดลงเมื่อไหร่แบบนี้..?”
“..........” ผมพูดไม่ออก
ซอลลี่เหมือนจะรู้ตื้นลึกหนาบางของเรื่องที่เกิดขึ้นกับเอี้ยฟ้ามากมายหลายขุมกว่าผมนัก ..แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่เพียงพอที่จะทำให้ผมทอดทิ้งเอี้ยฟ้าไปในช่วงเวลาแบบนี้ได้หรอกนะ!
“..ที่พูดทั้งหมดเนี่ย เพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของนายหรอกนะ ถ้าเกิดนายเป็นอะไรไป แล้วฝาแฝดตัวแสบของนายจะอยู่ยังไง? ไหนจะริต้า ไหนจะตาลุงอีก? ..รวมทั้งพี่ด้วย ถึงจะไม่ค่อยแสดงออกแต่พี่ก็ไม่เคยลืมหรอกนะว่าเราเป็นอะไรกัน”
..ที่พูดนี่เพราะซอลลี่ห่วงผมหรอกเหรอ?
“..รู้ใช่มั้ยว่าพวกเราทุกคนเป็นห่วงนาย ซันนี่?” ซอลลี่ถามพลางมองไปทางซินที่นั่งเงียบอยู่ข้างผม “..โดยเฉพาะแฝดพี่ของนาย”
“ซิน..” ผมเองก็หันไปมองซินด้วยเหมือนกัน
“พี่มาเพื่อที่จะเตือนสตินายแค่นี้ล่ะ ..จะเลือกทางไหนก็คิดดูให้ดีแล้วกัน แต่ไม่ว่าจะเลือกทางไหน...ก็เตรียมใจรับผลที่จะตามมาเอาไว้ด้วยล่ะ” พูดจบซอลลี่ก็หันหลังเดินจากไปโดยไม่มีคำล่ำลาใด เหมือนกับตอนมาที่ไม่มีคำทักทายใด
หลังจากร่างของพี่ชายคนโตลับสายตาไปแล้ว ผมก็เอื้อมมือที่ยังมีผ้าพันแผลพันไว้ไปกุมมือของซินที่วางอยู่บนโต๊ะ ซินก็เลยเอามืออีกข้างมากุมทับผมไว้อีกที เราสองคนบีบมือกันเบาๆ โดยไม่มีคำพูดใด เพียงแต่ส่งความรู้สึกให้แก่กันและกันผ่านทางอุณหภูมิของร่างกายและสายตาเท่านั้น
ก่อนจะเป็นซินที่ยิ้มอย่างมั่นใจออกมา แล้วพูดว่า “..ถ้ามึงเลือกที่จะเสี่ยง กูก็พร้อมที่จะเสี่ยงไปกับมึง ซันนี่”
“ซิน..” ผมเรียกชื่ออีกฝ่ายอีกครั้ง
แต่ผมจะเอาซินเข้าไปเสี่ยงด้วยได้ยังไง? ผมจะอยู่โดยไม่รับผิดชอบชีวิตซินได้ยังไง? ผมทำไม่ได้...
แต่ถ้าผมถอยออกมา.. แล้วฟ้าล่ะ?
จะให้ผมทิ้งฟ้าไปงั้นเหรอ? ..นั่นผมก็ทำไม่ได้อีกเหมือนกัน
แล้วผมควรจะทำยังไงดี..?
“ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น.. ทำตามหัวใจตัวเองเถอะ” ซินบีบกระชับมือผม “เพราะหัวใจของซันนี่ ก็คือหัวใจของพี่”
“ซิน..” ผมโผเข้าไปกอดซินไว้แน่นด้วยซาบซึ้งใจ “ขอบคุณ ..พี่ชาย”
“ถ้าซินเสี่ยง กูก็พร้อมจะเสี่ยงด้วยคน” จู่ๆ สกาย(ที่คงจะแอบฟังมานาน)ก็ปรากฏตัวขึ้นจากมุมตึก พร้อมกับเมย์บีที่ยืนอยู่ข้างหลังเป็นกำลังเสริม
“กูไม่มีทางปล่อยให้สุดที่รักของกูต้องไปเสี่ยงอันตรายตามลำพังเด็ดขาด!” ไอ้กายพูดอย่างมุ่งมั่น แล้วชู่กำปั้นขึ้นฟ้า (..เพื่อ??)
“อ้วกกกกก!!” ผมกับอีเมย์ร้องขึ้นแทบจะพร้อมกัน
แต่คนหน้าด้านอย่างสกายมีหรือจะระคายเคือง ..ยิ่งกว่านั้น ‘สุดที่รัก’ ของมันยังทำหน้าปลาบปลื้มดีใจเห็นดีเห็นงามไปกับความโอเวอร์ของมันซะอีก
“กายยย~” ซินผละจากผมแล้วโผไปหาไอ้บ้ากายแทน “กูรักมึงจัง เมียรัก”
“กูก็รักมึงเหมือนกัน~” ไอ้กายยิ้มกว้างกอดตอบ พร้อมลูบหัวลูบไหล่ซินไปด้วย “..แต่กูไม่เป็นเมียได้มะ?”
“มึงไม่เป็นแล้วหมาที่ไหนจะเป็น?” ซินว่า
“แต่กูไม่อยากเป็นอ่า..” ไอ้กายอิดออด
“งั้นเราเลิกกัน!” ซินประกาศตัดความสัมพันธ์ด้วยความขัดใจ
“ไม่น้าาาาา~” และไอ้บ้ากายก็แหกปากร้องตามสูตร
“..........”
นี่พวกมึงนึกว่ากำลังเล่นขายของกันอยู่หรือไง? ปัญญาอ่อนได้อีก..
“มันเป็นแบบนี้กันมาตลอดทางแหล่ะ จากกรุงเทพถึงขอนแก่น จนขอนแก่นกลับมากรุงเทพ ..มันก็ยังตกลงกันไม่ได้ว่าใครจะเป็นเมีย” อีเมย์พูดหน่ายๆ ขณะยืนมองสองผัวผัว(ไม่มี ‘เมีย’ เพราะยังไม่มีใครยอมเป็น)ทะเลาะกันล้งเล้ง “..กูเสนอจะเป็นเมียให้เอง แมร่งก็ไม่เอาอีก เรื่องมากกันชิบหาย”
“เป็นกูก็ไม่เอาเหอะ..” ผมพึมพำเบาๆ โดยไม่ให้อีกฝ่ายได้ยิน
“แต่มึงไม่ต้องห่วงนะ อีซันซัน..” อยู่ดีๆ เมย์บีก็เอื้อมแขนมาพาดคอผม พร้อมกับพูดอะไรงงๆ จนผมต้องหันไปเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม “ก็เรื่องของมึงไง ..ยังไงกูก็พร้อมจะยืนข้างมึงและคนที่มึงรักเสมอนะ”
“เมย์..” ผมกำลังจะซึ้งแล้วเชียว
ถ้าไม่ได้ยินมันพูดประโยคถัดมาซะก่อน..
“เพราะกูถือคติ.. ผัวเพื่อนก็เหมือนผัวกู”“โอ๊ย!!”
นั่นแหล่ะ.. มันก็เลยโดนผมตบกะโหลกแทนคำขอบคุณไป
TBC. 