ราตรีประดับดาว7
โดย:ทิวารา
เด็กหนุ่มนั่งบนเตียงไม้เก่าพลางทอดสายตาไปด้านนอก แต่พอยิ่งคิดถึงคนตัวสูงที่นั่งเรียนเคียงข้างแล้วก็พลันหน้างอ เข้าตำราทำหน้างอราว “จวัก” ดังที่คุณสนธยาเคยว่าไว้ไม่มีผิด
“ วา...วาน้อยของพี่ ”
เสียงทุ้มแลนุ่มนวลเอ่ยเรียกพร้อมรอยยิ้มบางเบาแต่อ่อนหวาน ก่อนที่ทิวาจะลุกขึ้นเดินเข้าไปหาด้วยสีหน้าที่ดีกว่าแตกแรกมาก ชายหนุ่มกอดน้องไว้เบา ๆ ก่อนที่จะจูงน้องไปนั่งบนเตียงไม้ โดยส่งห่อผ้าในมือให้คนตัวเล็กกว่าพร้อมยิ้มบาง ๆ เย็น ๆ
“ ของรับขวัญ...อายุเท่าใดแล้วล่ะเจ้าปีนี้น่ะ ? ”
เอ๋...ทำไมพี่สนถามอย่างนี้ล่ะ ? ก็ทุกที...เราเหมือนจะมาแทนคุณวาคนน้องไม่ใช่เหรอ ? แล้วทำไม...ดวงตาของพี่สนถึงได้ไม่เหมือนพูดหรือถามเล่น ๆ เอาเสียเลย
“ ถามอะไรดั่งว่าคุณพี่จะไม่รู้...ว่าน้องอายุเท่าใดอย่างไรอย่างนั้น ”
ทิวาเอ่ยอย่างใจเย็น...พยายามคิดว่าตัวเองกลัวไปคนเดียว แต่ทว่า...
“ โธ่...ใจคอจะไม่พูดความจริงกับพี่เลยหรือไร ? สำหรับเจ้าวาน้องพี่น่ะปีนี้ก็ได้ 13 ปีแล้ว แต่วาคนนี้ของพี่เล่า...อายุเจ้าเท่าใดแน่ ? ”
// อะไรนะ ? ...นี่ไม่ใช่อย่างที่เราคิดหรือนี่ ? เรา...ไม่ได้มาแทนคุณวาหรือนี่ ? แล้ว...โธ่เอ๋ย!! เด็กอายุเพียง 13 เท่านั้นเองหรอกหรือคุณทิวา มิน่าเล่า...ดูอย่างไรก็ไม่น่าเป็นไปได้อยู่แล้ว เพราะเราน่ะอายุก็ตั้ง 16 จะไปละม้ายกับเด็กอายุเพียง13 ก็คงเป็นไปไม่ได้ //
“ คุณ...คุณสนรู้เรื่องตั้งแต่เมื่อไรหรือ ? ”
ทิวากลั้นใจถาม...หัวใจก็แสนจะหวั่น ๆ ไหว ๆ กลัวคนตัวสูงจะโกรธเคืองที่ไม่เล่าเรื่องเล่าความกันมาแต่แรก แต่ชายหนุ่มเพียงหัวเราะเบา ๆ ด้วยเสียงต่ำเย็นระรื่น ก่อนจะยกมือหนาขึ้นลูบข้างแก้มของคนตัวเล็กกว่าอย่างเบามือ
“ แต่แรกแล้วละเจ้า... ”
ห๊ะ!!!!
“ วันนั้น...เด็กที่เรือนโน้นเดินผ่านเรือนเล็กนี้แล้วได้ยินเสียงคล้ายคนเดิน ก็เลยวิ่งไปร้องไห้ให้ฟังว่าคงโดนวิญญาณคุณย่าท่านมาหลอกเอาเป็นแน่ เพราะตอนนั้นท่านพึ่งเสียไปได้ไม่ถึงปีดี ”
ชายหนุ่มเล่าไปเรื่อย ๆ โดยที่คนฟังได้แต่ทำตาโต
“ พี่เองกลับคิดว่าจะเป็นโจรเสียละมากกว่า เลยขึ้นเรือนมาดู แล้วก็เลยได้พบกันเราในตอนนั้นนั่นละเจ้า... ”
ได้ฟังเพียงนั้นทิวาก็ให้รู้สึกเสียใจ ไม่รู้ว่าตัวเองได้โกหกไปโดยไม่ได้ตั้งใจ เพียงเพราะไม่แน่ใจว่าตัวเองโผล่มาแทนที่ใคร ไม่รู้ว่าถ้าพูดความจริงไป...จะมีผลอะไรหรือเปล่า ดังนั้นจึงได้แต่ตามน้ำ...เป็นคุณวาไปเรื่อย
เด็กหนุ่มค่อย ๆ เปลี่ยนลงนั่งบนพื้นในขณะที่คุณสนธยารั้งคนตัวบางไว้แทบไม่ทัน
“ ทำอะไรน่ะเจ้า ? ไม่เอา ๆ พี่ไม่ได้ต้องการให้ทำดังนี้เลย ”
เขารั้งคนที่ทำท่าทางคล้ายหมายใจจะก้มลงกราบขอลุแก่โทษที่ได้พูดปดไปต่าง ๆ นานาตั้งแต่มาในคราแรกจนกระทั่งในวันนี้
“ ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ ผมไม่รู้ว่าตัวเองมาได้อย่างไรทุกคืน...คิดว่ามาแทนคุณทิวา ก็เลยไม่อยากพูดว่าตัวเองไม่ใช่ กลัว...ว่าคุณสนธยาจะตกใจ... ”
“ พอเลยเจ้า...วาน้อยของพี่ เรียบร้อยอย่างเจ้าละหรือจะไปละม้ายตาวาได้ รายนั้นซนราวพญาลิง พี่เองก็ดีใจจึงไม่ได้คิดจะห้ามปราม แต่เห็นว่าหลัง ๆ มานี้เจ้าร้องไห้เสียหลายหน...เลยคิดว่าน่าจะไม่สบายใจที่ต้องพูดปดทุกคืน ”
นิ้วมือใหญ่นั้นลูบไหล่ที่ห่อลู่นั้นอย่างเอ็นดู ก่อนจะทวงถามขึ้นอีกครั้ง
“ ว่าแต่...ยังไม่ตอบพี่เลย ว่าอายุเท่าใดแล้ว ? ”
คุณสนลูบนิ้วไปมาบนมือเล็ก ๆ อย่างประโลม ก่อนที่จะยิ้มให้บาง ๆ เหมือนปรกติ ...ดวงตาคมคู่นั้นบอกแววเอ็นดูในตัวทิวาไม่ใช่น้อย
“ ปะ...ปีนี้ได้ 16 ละ...แล้วขอรับ ”
คุณสนธยาทำหน้างอบ้าง ก่อนจะกระเซ้าให้
“ ไม่เอา...ไม่ให้พูดดังนี้ วาน้อยไม่เคยใช้คำพูดแบบนี้กับพี่เลยนะ เดี๋ยวเถิด...บอกว่าไม่ได้โกรธเคืองเจ้ายังจะไม่เชื่อกัน ดื้อนักละก็พี่จะตีมือเสียให้ ”
คุณสนธยาพูดไป...หัวเราะไป ในขณะที่นายสนธยาอีกคนหนึ่งกลับกำลังยืนเคาะประตูทำหน้ามุ่ย ๆ อยู่กับภูริที่หน้าห้องของทิวา โดยที่ไม่ว่าเจ้าตัวจะเคาะ จะเรียกอย่างไร...ก็ไม่มีเสียงตอบจากภายในห้อง
“ สงสัยยังไม่กลับละมั้ง แกมาอยู่ที่ห้องเราก่อนดีกว่าไอ้สน เดี๋ยวยุงหามเอา ”
ภูริชวนก่อนที่นายสนธยาใจร้ายของไอ้แว่นวาจะได้แต่พยักหน้ารับคำ แล้วระเห็จไปรออยู่ในห้องของนายภูริเสียแทน
อันนี้เป็น ปล. ของผู้เขียน นะค่ะ
ปล. พวกกลอนที่ดูเหมือนจะแต่งได้หาความไพเราะไม่ได้ทั้งหลายบทนั้น เราเป็นคนเขี่ยมั่วออกมาเองล่ะค่ะ
ส่วนเพลงต่าง ๆ นั้น เราก็จะก็นึก ๆ จากเพลงที่เคยฟังมาบ้างสมัยเรียนอยู่ตอนมัธยม แล้วก็หาเนื้อมาจากเท่าที่จำได้ค่ะ บางเพลงก็ดีไปที่มีให้ฟังทางเน็ตละค่ะ
ราตรีประดับดาว8
โดย:ทิวารา
ในขณะที่ทิวาเล่าไปทำหน้างอไปด้วย คุณสนก็เพียงแต่นั่งฟังด้วยรอยยิ้มบาง ๆ จนกระทั่งคนตัวเล็กเล่าจนจบเท่านั้นละ ชายหนุ่มจึงได้เริ่มพูดขึ้นบ้าง
“ เขาว่าเราเป็นคนบ้ากระนั้นเชียว ? ปากคอร้ายน่าดูเหมือนกันนะนายสนคนนั้นน่ะ แต่ว่า...เขาคงไม่ได้ร้ายกาจมากมายกระมัง ไม่เช่นนั้นคงรังแกวาน้อยของพี่ไปมากมายเสียกว่ามาประชดประชันดังที่ว่า อีกอย่าง...วันนี้เขาก็เรียกวาของพี่ด้วยท่าทางที่ดีกว่าวันก่อน ๆ ไม่ใช่หรือ ? ”
คุณสนตั้งข้อสังเกตจากคำบอกเล่าของทิวา ในขณะที่ทิวากลับทำหน้าเจือนลง
“ พี่สน...วาอยากอยู่กับพี่สน ไม่อยากยุ่งกับใครแล้ว... ”
“ ไม่เอาสิ...อย่าพูดดังนี้เลย ไม่ว่าวาจะเป็นใคร...วาก็ยังเป็นวาน้อยของพี่ รู้ไหมละเจ้า ? ”
คุณสนธยาแกะห่อผ้าแล้วส่งแหวนทองลายบัวหลวงให้คนตัวเล็กกว่าพร้อมรอยยิ้มบาง ในขณะที่ทิวาตกใจเสียจนทำอะไรไม่ถูกที่ได้รับของมีค่ามากเช่นนี้
“ สวมไว้เถิด...มันมิได้ใหญ่โตหรูหราเหมือนของเจ้านายท่านใส่กันก็จริง แต่พี่ว่ามันเหมาะสมกับนิ้วเล็ก ๆ ของเจ้านัก ”
คุณสนค่อย ๆ สวมแหวนลงไปที่นิ้วกลางของทิวาขณะที่เด็กหนุ่มพยายามปฏิเสธพลางดึงมือหนี แต่ทว่าสุดท้าย...แหวนทองวงน้อยลายบัวหลวงก็ถูกสวมเข้าที่นิ้วเล็ก ๆ ของทิวาจนได้ พร้อม ๆ กับที่คุณสนเอาแต่ยิ้มน้อย ๆ ด้วยความพอใจ
“ ของราคาสูงเช่นนี้...วาไม่ควรรับไว้เลย พี่สน...คือวา... ”
ในขณะที่เด็กหนุ่มรังแต่จะปฏิเสธ คุณสนธยากลับวางมือใหญ่ ๆ ของตนเองลงกับมือนุ่ม ๆ ของเด็กหนุ่ม ซึ่งนั่นทำให้ทิวาสังเกตว่า...คุณสนธยาก็สวมแหวนทองรูปบัวซึ่งมีหลวงลวยลายแม้ไม่เหมือนของทิวานัก แต่ก็ละม้ายกันอยู่มากราวกับเป็นสิ่งของชุดเดียวกันอย่างไรอย่างนั้น
“ ตาวาน้องพี่นั่น...ก็สวมแหวนบัวหลวงนี้เช่นกัน พี่เองก็สวม...แล้วใยวาน้อยของพี่คนนี้จึงไม่อยากสวมมันไว้เล่า ? เจ้าไม่รักพี่หรือ ? ”
เสียงทุ้มเย็นของชายหนุ่มเอ่ยนุ่มนวลแต่แฝงแววทอดอ่อนในท้ายประโยค พาให้ทิวารู้สึกตื่นเต้นแบบแปลกประหลาด แต่แม้ว่าถ้าจะให้อธิบายความรู้สึกนั้นเป็นคำพูดเด็กหนุ่มก็ทำมิได้
“ ว่าอย่างไรละเจ้า...เจ้าไม่รักพี่ละหรือ ? จึงได้ไม่อยากสวมมันเอาไว้ ”
เด็กหนุ่ม...ทิวาน้อยของคุณสนบัดนี้รู้สึกประหลาดจนไม่อาจมองตาคม ๆ คู่เดิมนั้นได้ สุดท้ายเจ้าตัวจึงแลเลยไปอีกทางหนึ่ง พร้อม ๆ กับที่เจ้าตัวพยายามตอบตะกุกตะกัก
“ วาไม่ได้หมายความอย่างนั้น...คือว่า... ”
ท่าทางเช่นนั้นเรียกรอยยิ้มกว้างขวางจากคุณสนธยา เจ้าตัวหัวเราะเบา ๆ ก่อนที่จะเอ่ยตะล่อมเด้กน้อยให้อยู่ในโอวาทด้วยความชำนาญ เนื่องจากทิวาอีกคนหนึ่งนั้นซุกซนเสียยิ่งกว่าวาน้อยคนนี้ แล้วเหตุใดวาน้อยคนนี้จะดื้อแพ่งไปได้หากเข้าลองหว่านล้อม
“ แม้แหวนของเจ้าจะลวดลายไม่เหมือนของพี่กับของตาวา แต่นี่ก็เป็นสิ่งแสดงความรักของพี่...วาจะสวมไว้ไม่ได้หรือ ? ...วาน้อยของพี่เอย ”
คุณสนพูดเบา ๆ พร้อม ๆ กับที่แววตาคู่คมนั้นแลคล้ายหม่นหมองลง
เมื่อเจอวาจาคล้ายน้อยอกน้อยใจดังนั้นแล้ว ทิวาน้อยในอ้อมแขนคุณสนก็ต้องรีบรับคำ เพราะกลัวว่าคนตัวสูงจะน้อยอกน้อยใจ หาได้รู้เท่าทันไม่...ว่าตนเองได้ถูกเกลี้ยกล่อมเรียบร้อยเสียแล้ว
“ วาไม่ได้หมายความดังนั้นเลย เพียงแต่เกรงว่าราคาของมันอาจจะสูงเกินไป...คือถ้า...เอ่อ...วารับไว้ก็ได้จ้ะ พี่สนให้เพราะว่าวาเป็นน้องใช่ไหม? เพราะงั้น...เอ่อ วารับไว้ก็แล้วกันนะพี่สนนะ อย่าน้อยใจไปสิจ๊ะพี่ ”
แลดูเหมือนทิวาจะไม่ได้รู้สึกเอาเสียเลยว่ากำลังถูกกล่อม คุณสนมองกิริยาลนลานที่น่าเอ็นดูนั้นก่อนจะค่อย ๆ ระบายรอยยิ้มอ่อนโยน
“ แล้วถ้าพี่ไม่ได้ให้เพราะเห็นเป็นน้อง...วาก็จะไม่รับไว้เลยละหรือ ? ”
ชายหนุ่มถามพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ กระแสเสียงนั้นแม้เหมือนมิได้มีใจอันใด แต่ลึกลงไปในอกกว้างกลับรู้สึกหม่นหมองไม่ใช่น้อย ๆ
// อยากรู้เสียจริง...หากพี่บอกเจ้าว่าตัวพี่นั้นมิได้มอบให้ด้วยความรักเหมือนว่าเจ้าเป็นเพียงน้อง ....เช่นนั้นแล้วเจ้าจะรับมันไว้หรือไม่เล่าวาน้อยของพี่เอย //
เด็กหนุ่มมองคุณสนธยาด้วยแววตาคล้ายไม่เข้าใจในคำถามเมื่อครู่ จนเมื่อชายหนุ่มตบมือลงกับตัก ชวนให้คนตัวเล็กเอนลงนอน...ทิวาจึงเอนกายลงหนุนตักคุณสน หลับตาฟังเพลงดังที่คุณสนว่า
“ คืนนี้พี่จะร้องเพลงให้เจ้าหลับฝันดี... ”
// วันนี้.................................................แสนสุดยินดีพระจันทร์วันเพ็ญ
ขอเชิญสายใจเจ้าไปนั่งเล่น.................ลมพัดเย็นเย็นหอมกลิ่นมาลี
หอมดอกราตรี...................................แม้ไม่สดสีหอมดีน่าดม
เหมือนงามน้ำใจแม้ไม่ขำคม...............กิริยาน่าชมสมใจจริงเอย
ชมแต่ดวงเดือน.................................ที่ไหนจะเหมือนได้ชมหน้าน้อง
พี่อยู่แดเดียวเปลี่ยวใจหม่นหมอง.........เจ้าอย่าขุ่นข้องจงได้เมตตา
หอมดอกชำมะนาด.............................กลิ่นไม่ฉูดฉาดแต่หอมยวนใจ
เหมือนน้ำใจดีปราณีปราศรัย...............ผูกจิตสนิทได้ให้รักจริงเอย
หอม...ดอกชำมะนาด...........................กลิ่นไม่...ฉูดฉาด เอ๋ย แต่หอม...ยวนใจ
เหมือนน้ำใจดีปราณีปราศรัย................ผูกจิตสนิทได้...เอ๋ย ให้รักจริงเอย //
ยามแลเห็นใบหน้าเจ้าหลับฝันดี พี่นี้แสนสุขใจนัก
รัก...เอยรัก สุดหักสุดร้างแลเลย โอขวัญเจ้าเอย
ยามใดพี่จึงจะได้เฉลย รักเอยพี่จะเผยให้เจ้า บอกเล่าได้เมื่อใด
คุณสนธยามองเด็กน้อยที่หลับตาพริ้มนิทราลงอย่างแสนสบายบนตกเขา ก่อนที่ชายหนุ่มจะลูบไล้ใบหน้านวล ๆ ซึ่งเมื่อครู่เขาแลเห็นมันแดงเรื่อยามที่เขาพยายามหว่านล้อมเรื่องแหวนบัวหลวงวงน้อย ก่อนที่เขาจะยิ้มบาง เงยหน้าขึ้นมองออกไปยังดวงจันทร์ซึ่งทอแสงนวล
// เจ้าจะรู้ตัวหรือไม่หนอเจ้าวาน้อยเอย...ว่ายามเราได้มาพบหน้ากัน ไม่ว่าจะคืนไหนดวงจันทร์ก็ยังทอแสงนวล เป็นจันทร์เต็มดวงงดงามทุกคืนไม่เคยเปลี่ยนเลย //
ชายหนุ่มยิ้มบาง ๆ ทั้งที่แววตาคู่คมยังทอประกายโศกเศร้า แม้แลเศร้าลึกไหลเย็นราวสายน้ำ แต่ความซึ่งซึ่งอยู่ก็ชวนให้เจ็บปวดอยู่มิรู้หาย วาเจ้าเอย...เจ้าจะรู้หรือไม่ว่าในขณะนี้ที่เราได้พบกันนั้น เราพบกันได้เพราะเหตุอันใดกันแน่ ...เจ้าจะมีวันรู้ตัวไหมหนอ วาน้อยของพี่เอย
// ยามเมื่อลมพัดหวน เอ๋ย...ลมก็อวลแต่กลิ่นมณฑาทอง
ไม้เอย...ไม่สุดสูง อย่าสู้ปอง ไผเอย...บ่ได้ต้อง
แต่ยิน นามดวงเอย โอ้เจ้าดวง เจ้าดวงดอกโกมล
กลิ่นหอม เพิ่งผุดพ้น พุ่มในสวนดุสิตา
แข่งแข อยู่แต่นภา ฝูงภุมรา สุดปัญญา เรียมเอย
โอ้อกคิดถึง คิดถึง คนึง นอนวัน
นอนไห้ ใฝ่ฝัน เห็นจันทร์แจ่มฟ้า ทรงกลด สวยสดโสภา
แสงทอง ส่องหล้า ขวัญตา เรียมเอย //
ไม้เอย...ไม่สุดสูง เอย...อย่าสู้ปอง ไผเอย...บ่ได้ต้อง
เจ้าอยู่สูงเกินสอย ไหนเลยพี่จะได้ปอง แม้ต้องด้วยรักสลักจิต
แต่เพียงพี่คิดก็พลันหม่นหมอง ไผ่เลยจะได้ต้อง...
เสียงเพลงลาวคำหอมดังก้อง...สะท้อนใสในคืนวันเพ็ญที่สายลมเย็นฉ่ำ กลิ่นบัวหลวงพัดอวลหวนร่ำไห้ในอากาศเย็นแลสบาย เสียงเพลงนั้นดังเรื่อยรินอยู่เป็นนาน ด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มฉ่ำเย็นของคุณสนธยา
แต่ทว่าใครเลยจะรู้...ในความเย็นฉ่ำนั้นกลับแฝงไว้ด้วยรอยเศร้าลึกในหัวใจ พร้อม ๆ กับที่ชายหนุ่มทบทวนบทเพลงมั่นในใจคล้ายต้องการตอกย้ำ
// ไม้เอย...ไม่สุดสูง เอย...อย่าสู้ปอง ไผเอย...บ่ได้ต้อง //
=TBC=
ปล. เพลงราตรีประดับดาว >>>>>
http://www.esnips.com/doc/177b76dc-6e1d-4e47-b811-2cf04a800205/05-ราตรีประดับดาว
และ เพลงลาวคำหอม >>>>>
http://oldsonghome.exteen.com/20070321/entry-1ปล. จากผู้โพส ค่ะ อันนี้ขอแก้ไขลิงค์นะค่ะไปหาของที่มีคนทำใส่ไว้ได้เลยอยากให้เพื่อนๆๆได้ฟังกัน เป้นเพลงเก่าที่เพราะมากๆๆทั้ง สอง เพลง อยากให้ได้ฟังกัน คะ